หมอดูยอดอัจฉริยะ 752-755

 ตอนที่ 752 ทรมานจนตาย (2)

ตระกูลอิโตมีมาตั้งแต่ยุคโชกุน ประวัติตระกูลยาวนานกว่าตระกูลคิตะมิยะ วิชาฟันดาบที่ตระกูลนี้สืบทอดต่อกัน คล้ายคลึงการต่อสู้จริงมาก


ถึงแม้ท่าฟันดาบของอิโต ซากิจะไม่หวือหวา แต่ท่าหักข้อมือเรียบ ๆ ของเขา เชลยเจ็ดคนตายคาดาบไปแล้วห้าคน ตอนนี้เหลือแค่ต่งต้าจ้วงกับลุงสอง


ตอนที่อิโต ซากิง้างดาบซามูไรต่อหน้าต่งต้าจ้วง ลอฟสกี้ที่ยืนห่างออกไปสิบกว่าเมตรเหมือนได้สติขึ้นมา เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า“พอก่อน สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่อวัยวะที่ขาดเหล่านี้ ! ”


หากย้อนกลับไป ญี่ปุ่นกับรัสเซียเคยมีความบาดหมางต่อกัน เมื่อต้นศตวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นกับพระเจ้าซาร์ของรัสเซียเคยทำสงครามกันครั้งแรกที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนกับเกาหลีเหนือ


สงครามครั้งนั้น รัสเซียพ่ายแพ้ ส่งผลให้ญี่ปุ่นมีความเหนือกว่าทางด้านทหารในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับสิทธิ์ในการประจำการทางทหารในเกาหลีเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของจีน และยังปิดกั้นการขยายอำนาจของรัสเซียไปโดยปริยาย


หลังจากผ่านไปสี่สิบกว่าปี ในปี 1945 ญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับอดีตสหาพโซเวียตอีกครั้งบนพื้นที่เดิม


กองทัพคันโตใช้เวลา 26 ปีในการปกครองแถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน แต่ก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับเมื่อถูกโซเวียตใช้กำลังโจมตีอย่างเต็มกำลัง และกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการยอมแพ้ของญี่ปุ่นกับการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง


ความบาดหมางระหว่างกองทัพเป็นเรื่องที่แก้ไขยากมาก ตอนที่เห็นอิโตใช้ความรุนแรง ลอฟสกี้ที่ไม่ได้ดีไปกว่าเท่าไหร่ อ้าปากสั่งให้อิโต ซากิหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่


ขณะเดียวกัน เสียงปืนขึ้นลำดังสนั่น ปืนสิบกว่ากระบอกจ่อเล็งไปที่อิโต ซากิ


หากพูดถึงกำลังต่อสู้ ทหารพวกนี้แต่ละคนไม่มีใครสู้อิโต ซากิได้เลย แต่การที่อิโต ซากิถูกปืนสิบกว่ากระบอกจ่อตรงหน้าแบบนี้ ก็เหมือนกับถูกเงาแห่งความตายครอบอยู่


“ตกลง งั้นสองคนนี้ผมให้ท่านนายพลจัดการต่อก็แล้วกัน ! ”


อิโตยิ้มชั่วร้าย หยิบผ้าเช็ดมือสีขาวออกมาผืนหนึ่ง เช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนบนดาบซามูไรอันเงาวับของเขาอย่างช้า ๆ


ลอฟสกี้นึกถึงคำสัญญาของตัวเอง เขาหันไปหาหัวหน้ากองกำลังพิเศษและพูดว่า “แพททริค ยิงสองคนนั้นทิ้ง และนำศพออกไปทิ้ง ! ”


ลอฟสกี้ผู้เคยผ่านเหตุการณ์อดีตสหภาพโซเวียตล่มสลาย แถมยังเคยปะทะกับกองกำลังเชเชนมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก เคยออกคำสั่งให้ฆ่าคนทิ้งมาแล้ว ชีวิตหลายชีวิตไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเขา


“ครับ ท่านนายพล ! ”


ทหารรัสเซียยศพันเอกคนนั้น มือขวาถือปืนที่ขึ้นลำเรียบร้อยแล้ว เดินไปหาต่งต้าจ้วง


แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีหมอกกลุ่มหนึ่งกำลังลอยลงมาที่ค่ายฝึก


“เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมมีคนตายมากขนาดนี้ ? ”


เยี่ยเทียนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศตากระตุกโดยไม่รู้ตัว เขาลงมาถึงตีนเขาตั้งนานแล้ว แต่ด้วยระยะทางเกือบสามร้อยกิโล ทำให้ปราณแท้ในร่างของเยี่ยเทียนถูกใช้ไปจนเกือบหมด เขาจึงต้องใช้เวลาฟื้นฟูอยู่ครู่นึง


ตอนนั้นค่ายฝึกมวยถูกทหารล้อมไว้ทั้งหมดแล้ว และยังถูกส่องด้วยไฟขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนจนสว่างเหมือนกลางวัน ถึงแม้จะใช้ปราณแท้ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แต่ก็อาจจะถูกคนอื่นมองเห็น


เยี่ยเทียนจึงตัดสินใจรอให้กองกำลังถอยไปก่อน แล้วค่อยมาที่ค่ายอีกครั้ง แต่พอเขามาถึง ใจของเขาแทบจะระเบิด เพราะเขาไม่คิดเลยว่านอกจากต่งต้าจ้วงแล้ว ยังมีคนของสมาคมหงเหมินที่รอดชีวิตอยู่ถูกจับไว้


ตาของเยี่ยเทียนแดงก่ำทันทีที่เห็นหินอ่อนถูกย้อมไปด้วยเลือด เขาไม่กล้าส่งเสียง แต่ตั้งจิตเพื่อส่งปราณแท้ทั้งหมดที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้เก็บเข้าไปยังจุดตันเถียน


“ใคร ? ”


แพททริคในฐานะผู้นำหน่วยกำลังพิเศษของทหารรัสเซีย มีการตอบสนองที่ไวมาก เมื่อเขารู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่างอยู่บนหัว ปากกระบอกปืนของเขาก็เปลี่ยนทิศทางทันที


แต่แพททริคยังไม่ทันเหนี่ยวไก ก็รู้สึกเจ็บที่แขนข้างขวา เสียงดัง “แคร่ก” ดังขึ้นข้างหู จากนั้นคอที่หนาและแข็งแรงของเขาก็พับลงมา


“หัวหน้า ? ! ”


เสียงตกใจดังขึ้นรอบ ๆ กองกำลังพิเศษทั้งสองกองที่คุ้มกันลอฟสกี้ถอยออกไป ขณะเดียวกันปืนสิบกว่ากระบอกก็ยิงใส่เยี่ยเทียนดังสนั่นไปทั่ว


ตอนที่พวกเขาเอาปืนเล็งมาที่เยี่ยเทียน เขารู้สึกชาที่หนังหัว ขนทั้งตัวก็ลุกซู่


หลังจากเขาหักคอของแพททริค เยี่ยเทียนก็หมอบลงกับพื้นเหมือนแมวดาว จากนั้นใช้สองมือตบลงที่พื้นพร้อมกัน ตัวเขาก็พุ่งไปตรงกลางของหน่วยกำลังพิเศษสิบกว่าคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว


หากคนเหล่านี้เว้นระยะห่างออกไปไกล ๆ ปืนในมือของพวกเขาอาจจะเป็นภัยคุกคามต่อเยี่ยเทียนได้ เพราะตอนนี้เยี่ยเทียนยังเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ เยี่ยเทียนจึงไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด ย่นระยะห่างให้ใกล้กว่าเดิม


เขาทำเหมือนแม่ทัพอยู่ยงคงกระพันในสมัยก่อนที่พุ่งเข้าไปยังค่ายของศัตรู แม้ว่าจะมีศัตรูอยู่ทุกที่ แต่นั่นก็เป็นที่ ๆ ปลอดภัยมากที่สุด


เขามีสายตาที่เคียดแค้นมาก ตัวของเยี่ยเทียนพุ่งขึ้นดั่งธนู สูงเกือบสองเมตร ทันทีที่เท้าข้างขวาแตะพื้น


“แ…คร่ก..! ” เสียงกระดูกหักผสมผสานกับเสียงร้องเจ็บปวด มีคนร่างใหญ่ร่างหนึ่งถูกเยี่ยเทียนยกขึ้นโยนออกไปไกลเกือบสิบกว่าเมตร


ทหารกองกำลังพิเศษที่เหลือตอบสนองไวมากเมื่อเห็นว่ายิงไม่โดนเยี่ยเทียน พวกเขาโยนปืนที่ไร้กระสุนทิ้ง ขณะเดียวกันก็หยิบปืนสั้นออกมา


ตั้งแต่หยิบปืนจนเล็งเป้าหมาย พวกเขาใช้เวลาไม่ถึง 0.5 วินาที ล้วนแต่เป็นปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกที่มีความรวดเร็วมาก


แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนความเร็วของคนเหล่านี้ก็ยังช้าเกินไป แต่ละคนเหมือนภาพเคลื่อนไหวที่วิ่งผ่านเลนส์ไปอย่างช้า ๆ


ขาขวาของเยี่ยเทียนเหยียบลงพื้นที่ดูเหมือนเหยียบอย่างแผ่วเบา แต่หลังจากที่ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้น ทันใดนั้นก็มีเสียง “ปัง ! ” ดังขึ้นสนั่นหู


การเหยียบของเยี่ยเทียน ส่งผลให้พื้นของค่ายฝึกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว ร่างของบางคนถึงกับลอยสูงสามสี่เมตรเพราะถูกแผ่นหินที่เด้งออกมาดันขึ้นไป


สถานการณ์แบบนี้ คนที่เคยนั่งรถเมล์จะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันคล้ายกับการเบรกกะทันหันของรถ ถึงแม้ตัวของคุณจะยืนอย่างมั่นคง แต่ด้วยความแรงในการเบรกก็สามารถทำให้ตัวลอยขึ้นได้


แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น ทำให้ทหารหน่วยพิเศษที่ถือปืนเอาไว้เซไปเซมา จนไม่สามารถเล็งปืนไปที่เยี่ยเทียน


“ไปตายให้หมด ! ”


เท้าที่เหยียบลงไป ฟ้าแทบถล่มดินแทบทลาย ท่าทางของเยี่ยเทียนดุจเมฆเหินน้ำไหล ฝ่ามือดุจมีด สิบนิ้วดุจดาบ แสงสีขาวพุ่งออกมาจากนิ้วเป็นเส้นๆ ฟันซ้ายขวาหน้าหลังเป็นระยะ


ปราณแท้ก่อนกำเนิดที่ถูกเยี่ยเทียนบีบคั้นออกมา มีอานุภาพเกียงไกรที่สามารถทำลายกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่งได้ จากนั้นก็มีเสียง “สวบ ๆ ” เป็นเสียงฟันดังขึ้น เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็ดังไปทั่ว


หลังจากที่ร่างของเยี่ยเทียนปรากฏตัวขึ้น ร่างกายของทหารหน่วยพิเศษที่ใส่เสื้อกันกระสุนยืนกระจายอยู่รอบ ๆ ก็ระเบิดแหลกสลายเป็นสายฝนสีเลือด แม้แต่พื้นหินในระยะสิบกว่าเมตรรอบ ๆ ตัวของเยี่ยเทียนก็ยังแตกออกเป็นชิ้น ๆ


เพียงท่าเดียวในการจัดการคนถือปืน เยี่ยเทียนพลิกฝ่ามือ หน่วยกำลังพิเศษทั้งสองหน่วยก็รู้สึกท้ายทอยชาไปหมด ทั้งตัวอ่อนระทวยล้มไปกับพื้น ในขณะเดียวกันก็ใช้มือดึง ลอฟสกี้ที่กำลังวิ่งหนีมาถึงหน้าประตูค่ายฝึก


“กลับมา ! ”


เยี่ยเทียนก้าวออกไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นทั้งตัวและเงาของเขาก็ไปโผล่อยู่ที่ระยะสามสิบเมตร เขาจับคอของลอฟสกี้ได้ทันควัน ลากเขากลับมาที่เดิมและโยนลอฟสกี้ไปตรงกลางของพื้นห้อง


“แก…แกเองเหรอ ไอ้เยี่ยเทียน…ไอ้คนจีน ? ! ”


สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าเขียนบรรยายคงจะยาวเหยียด แต่ในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นในเวลาที่สั้นมาก เมื่อเยี่ยเทียนหันกลับมา ฟรุสก็ร้องตะโกนเหมือนกับเห็นผี


“ดี ดีมาก เพื่อนเก่านี่เอง”


เยี่ยเทียนยิ้ม เมื่อเห็นหน้าฟรุส เขาเคยรับปากว่าจะแก้แค้นให้กับต่งเซิงไห่ แต่ไม่คิดว่าจะได้แก้แค้นเร็วขนาดนี้


“แก…แกทำแบบนั้นได้ยังไง ? ”


ฟรุสยังตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ชื่อเยี่ยเทียนบนเรือสำราญแล้ว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ต่างจากปีศาจเลย เพียงเวลาสั้น ๆ เขาฆ่าทหารถือปืนไปถึงสิบกว่าคน


“จะอธิบายยังไงดีล่ะ ? ” เยี่ยเทียนเอียงหัวและทำท่าครุ่นคิด เขาส่ายหัวและพูดว่า “พูดให้ฟัง แกก็ไม่เข้าใจหรอก แกลองดูเองเลยก็แล้วกัน ! ”


เยี่ยเทียนพูดไป ก็ยื่นมือออกไปในอากาศตรงหน้าที่ว่างเปล่า ฟรุสที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรบินมาทางเยี่ยเทียนเหมือนเป็นแค่กระดาษ “แคร่ก..กกก” เสียงหักดังขึ้น และมีเสียงเจ็บปวดของฟรุสปนอยู่ด้วย


มือหนึ่งบีบคอของฟรุสเอาไว้ อีกมือหนึ่งบีบสองแขนสองขาของฟรุสจนแหลกเหลวเหมือนเป็นฝุ่นผง ฟรุสล้มลงอย่างรวดเร็ว ตาขาวของฟรุสเหลือกขึ้นไปไม่นานก็สลบลง


“อยากตายเหรอ ง่ายไปมั้ง ! ”


เยี่ยเทียนโยนฟรุสลงไปที่พื้นเหมือนโยนผ้าขี้ริ้ว และดีดตรงขมับของฟรุส สิ่งที่ดีดเข้าไปคือปราณแท้ที่เข้าไปห่อหุ้มชีพจรของฟรุสเอาไว้ ซึ่งคล้ายกับการฉีดยากระตุ้นหัวใจให้เขา


ขณะที่ปราณแท้ซึมเข้าไปภายในร่างกายของฟรุส จากที่ยังสลบอยู่ก็ฟื้นขึ้นมา ความเจ็บปวดบนร่างกายส่งขึ้นไปยังสมอง จนเขาอยากจะตายให้มันจบ ๆ


“ฉันจะให้แกตายเป็นคนสุดท้าย ! ”


เยี่ยเทียนไม่สนใจฟรุสที่ร้องโหยหวน แต่เขาขยับสายตาไปที่อิโต ซากิแทน และพูดด้วยเสียงนิ่งว่า “ในร่างของแกมีพลังพิฆาต ถ้าฉันเดาไม่ผิด แกเป็นคนฆ่าคนจีนพวกนี้ใช่มั้ย ? ”


“บัดซบ ! แก…แกเป็นใคร ? ”


ถึงแม้อิโต ซากิจะเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิต แต่เขาก็ตกตะลึงกับวิธีจัดการของเยี่ยเทียนจนเข่าอ่อนไปหมด ตั้งแต่เยี่ยเทียนปรากฏตัวขึ้นจนมีคนตายเต็มไปหมด เวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งนาที


“ต่งต้าจ้วงใช่มั้ย ? ผมเป็นเพื่อนของคุณปู่ของคุณ”


เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบคำถามของอิโต ซากิ แต่ขยับสายตาไปหาต่งต้าจ้วงที่ตาค้างอยู่ และพูดว่า “คุณสามารถเลือกวิธีตายให้ตาแก่นี่ได้หนึ่งวิธี ! ”


ตอนที่ 753 ทรมานจนตาย (3)

“ช่วยเขาเลือกวิธีตายเหรอครับ?”


ต่งต้าจ้วงถามย้ำคำพูดของเยี่ยเทียน ไม่กล้าเชื่อหูตัวเองไปชั่วขณะ


เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เขายังนึกว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ที่นี่ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเรื่องราวดันกลับตาลปัตร เยี่ยเทียนราวกับนายทัพสวรรค์ ฉับพลันก็ปรากฏตัว มารบราสังหาร


ถึงแม้ต่งต้าจ้วง จะเกลียดชังอิโต ซากิเข้าใส้ แต่เขาก็แตกต่างจากคนในสมาคมหงเหมิน หากว่ากันอย่างจริงจัง เขาไม่นับเป็นคนในสมาคมหงเหมินด้วยซ้ำ


เนื่องจากต่งเซิงไห่ไม่อยากให้หลานชายหนึ่งเดียวคนนี้เข้าร่วมสมาคมหงเหมิน กระทั่งวิชาประจำตระกูลจึงไม่ได้ถ่ายทอดให้แก่เขา หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ต่งต้าจ้วงนับว่าเป็นนักศึกษาเปี่ยมคุณธรรมฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง


ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนให้เขาเลือกวิธีตายสำหรับอิโต ซากิ ต่งต้าจ้วงจึงงงเป็นไก่ตาแตกไปชั่วขณะ ชั่วชีวิตนี้เขาเคยบันดาลโทสะร้ายแรงที่สุด ก็แค่ต่อยเพื่อนร่วมชั้นจนเลือดกำเดาไหลเมื่อตอนประถมเท่านั้นเอง


“สับร่าง เฉือนมันทั้งเป็น!”


ขณะที่ต่งต้าจ้วงยังคงตกตะลึงอยู่นั้น ชายวัยกลางคนข้างตัวก็ดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง ร้องตะโกนเสียงดัง “พี่น้องของผมตายด้วยน้ำมือของมันทั้งหมด จะปล่อยให้มันตายดีไม่ได้!”


“คุณคือ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของคนผู้นั้นละม้ายคล้ายเคียงกับต่งต้าจ้วงสี่ถึงห้าส่วน หรือว่าจะเป็นลูกชายของต่งเซิงไห่?


“ผมชื่อต่งเทียนอี้ เป็นลุงของต้าจ้วง”


ต่งเทียนอี้มีสีหน้าโศกสลด โน้มตัวคุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะไปทางเยี่ยเทียนอย่างหนักหน่วง พูดว่า “ตระกูลต่งทั้งหมดสามสิบแปดคน เหลือแค่ผมกับต้าจ้วงเท่านั้น ท่านผู้นี้ต้องช่วยล้างแค้นให้พวกผมนะครับ!”


“ทั้งตระกูลมีสามสิบแปดคน เหลือรอดเพียงแค่สองคน คิดฆ่าล้างตระกูลกันจริงๆ ใช่ไหม?!” ดวงตาของเยี่ยเทียนฉายแววสังหาร พยักหน้าน้อยๆ แล้วบอกว่า “ได้ตามที่คุณปรารถนา มันจะถูกสับร่าง!”


“บ้าไปแล้ว ไอ้คนจีน…ไอ้คนป่าเถื่อน!”


ชาวญี่ปุ่นอายุกว่าเจ็ดสิบปี น้อยคนนักที่ไม่รู้ภาษาจีน โดยเฉพาะตระกูลญี่ปุ่นอันโด่งดัง มักใช้ภาษาจีนเป็นภาษาภาคบังคับ ดังนั้นคำพูดที่ต่งเทียนอี้พูดกับเยี่ยเทียน อิโต ซากิจึงฟังเข้าใจทั้งหมด


แม้ว่าประกาศิตของเยี่ยเทียนจะทำให้อิโต ซากิรู้สึกเย็นเยียบจับใจ แต่สายเลือดโหดเหี้ยมภายในกายชาวญี่ปุ่น กลับทำให้รู้สึกละอายเพราะนึกหวาดกลัว


“ฆ่า!”


อิโต ซากิถีบขารัวเร็วราวสายฟ้ามาทางเยี่ยเทียน พูดงึมงำขณะที่อยู่ห่างจากเยี่ยเทียนไปสี่ห้าเมตร ทันใดนั้นก็กระโดดตัวสูง สองมือจับดาบชูขึ้นเหนือหัวอย่างน่าเกรงขาม


ขณะที่อิโต ซากิลงมือ ชาวญี่ปุ่นที่เดิมทีกระจายตัวรอบทุกทิศ ก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาพร้อมกัน ต่างดึงดาบซามูไรออกจากเอวของตัวเอง ห้อมล้อมเยี่ยเทียนเอาไว้


“ไอ้ระยำ ตายซะเถอะ!”


วิถีแห่งดาบของชาวญี่ปุ่นแกร่งกล้าอย่างที่สุด ภายใต้การกดดันอันไร้รูปร่างจากเยี่ยเทียน อิโต ซากิสัมผัสได้ว่า ดาบนี้มีพลังโจมตีระดับสุดยอดในชีวิตเขาแล้ว ใครๆ ก็ตามในโลกล้วนไม่อาจต้านทานได้


“เจ้าตัวตลก!” เยี่ยเทียนพ่นเสียงหัวเราะออกมาจากจมูก แค่ก่อร่างวิถีแห่งดาบยังทำไม่ได้ กลับยังกล้ามาโอ้อวดต่อหน้าเขาอีก?


เยี่ยเทียนไม่ได้ขัดขวางความมาดมั่นของอิโต ซากิแต่ต้น จนกระทั่งดาบซึ่งเปี่ยมด้วยจิตสังหารมาอยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงได้ยื่นสองนิ้วจากมือขวาออกไป


ไม่ผิด เยี่ยเทียนหนีบนิ้วชี้และนิ้วกลางสองข้างเข้าด้วยกันเหมือนตะเกียบคีบอาหาร ดาบเวหาถึงกับหยุดนิ่ง กระทั่งร่างของอิโต ซากิที่กระโจนขึ้นฟ้า ยังถูกเยี่ยเทียนยันค้างเอาไว้


ปลายคมดาบซามูไร อยู่ห่างจากหัวคิ้วของเยี่ยเทียนเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น แต่ไม่ว่าอิโต ซากิจะออกแรงเท่าไหร่ ดาบก็เหมือนถูกหลอมละลายเข้ากับนิ้วของเยี่ยเทียน ไม่สามารถขยับได้แม้เพียงมิลลิเมตร


ในเวลานั้นเอง ดาบซามูไรอีกหกถึงเจ็ดเล่มก็พุ่งตรงลงมาฟาดฟันเยี่ยเทียน


ชาวญี่ปุ่นที่อิโต ซากิพามาครั้งนี้ ล้วนเป็นมือดีในตระกูลทั้งหมด จิตใจแข็งแกร่งหนักแน่น การสังหารหมู่ของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ สร้างแรงกระเทือนต่อจิตใจของพวกเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


“หนึ่งสู่เซียน หลากหลายเส้นทาง!”


สัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากเหนือหัว เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน เยี่ยเทียนคงได้แต่ต้องปล่อยมือถอยหนีไป แต่ว่าตอนนี้ยากนักที่ศาสตราวุธเหล่านี้จะทำอันตรายต่อเยี่ยเทียนได้


“เคร้ง…เคร้ง!”


สองนิ้วมือขวายังคงคีบดาบซามูไรของอิโต ซากิ มือซ้ายของเยี่ยเทียนยกขึ้น ลำแขนส่องประกายแสงสีขาวออกมาจากด้านบน เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้อง


คนที่จับดาบเพียงรู้สึกถึงแรงมหาศาลที่ปล่อยออกมา สั่นสะเทือนจนสองแขนร้าวชา จนไม่อาจประคองเอาไว้ได้อีกต่อไป ดาบทั้งหกเจ็ดเล่มสั่นสะเทือนอยู่เบื้องสูงในอากาศ


แต่แขนข้างซ้ายของเยี่ยเทียนปราศจากร่องรอยบาดแผล กระทั่งแขนเสื้อยังไม่มีรอยฉีกขาด ราวกับว่าท่วงท่าเหล่านั้นเพียงขับไล่แมลงหวี่แมลงวันเล็กจ้อยไร้ค่า


“แกเองก็ปล่อยมือเถอะ!”


ข้อมือขวาของเยี่ยเทียนที่จับคมดาบเอาไว้ สั่นสะเทือนเล็กน้อย พลังลมปราณแฝงส่งผ่านจากตัวดาบตรงไปยังด้าม ดาบซามูไรซึ่งหลอมขึ้นจากเหล็กกล้า ดาบก็หงิกงอราวกับร่างสั่นเทาของอสรพิษในทันใด


ภายในมืออิโต ซากิรู้สึกเหมือนจับถ่านแดงร้อนลวกก้อนหนึ่ง จึงรีบปล่อยมือทั้งสองข้างตามคำพูดของเยี่ยเทียน เมื่อก้มหน้ามอง พบว่าง่ามมือแตกออก และข้อต่อนิ้วโป้งก็หักออกจากกันไปแล้ว


หลังจากหยุดดาบซามูไรไว้ได้แล้ว มือขวาของเยี่ยเทียนก็สั่นขึ้นอีกครั้ง ดาบนั้นโค้งงอเข้ามาราวกับมีจิตวิญญาณ และด้ามดาบก็เคลื่อนเข้าหามือซ้ายของเยี่ยเทียน


“สังหาร”


เยี่ยเทียนตะโกนออกมา ฝั่งมือซ้ายมีลำแสงสีขาวส่องสว่างวาบไกลระยะสามเมตร ปรากฎขึ้นที่ปลายหน้าคมดาบซามูไร


“อุ๊บ อึก…”


เสียงหลายเสียงดังตามหลังมา ผู้คนเจ็ดแปดคนที่เคยล้อมร่างเยี่ยเทียนอยู่ ล้วนรู้สึกเยียบเย็นในลำคอ จากนั้นสติสัมปชัญญะกลับกลายเป็นเลือนราง


ด้วยการออกดาบของเยี่ยเทียนมีความไวสูง ลำคอของคนเหล่านั้นจึงปรากฎเพียงเลือดพุ่งออกเป็นสาย หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ศรีษะเหล่านั้นก็ร่วงลงมาจากลำคอ พร้อมกับกระแสเลือดพุ่งขึ้นสู่ฟ้าราวกับลูกธนู


“ระยำ!”


เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เฒ่าญี่ปุ่นอิโต ซากิก็โกรธจัด ชาวญี่ปุนที่ติดตามเขามาในครั้งนี้ ล้วนเป็นหัวกะทิของตระกูล และท่ามกลางกลุ่มพวกนั้นยังมีกระทั่งหลานแท้ๆ ของตัวเขาเอง


ขณะที่เยี่ยเทียนโบกมือ อิโต ซากิกลับต้องจากพวกเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เลือดซึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายที่ทรงตัวไว้ไม่อยู่นั้น กลบสายตาของอิโต ซากิจนพร่าเลือน


“ถึงตาแกแล้ว แต่แกจะไม่ได้ตายอย่างไม่ทรมานแบบนั้นหรอก!”


เยี่ยเทียนหันไปทางอิโต ซากิ ถึงแม้รอบตัวเขาจะกลายเป็นทะเลเลือด แต่บนร่างของเยี่ยเทียนกลับไม่เปรอะเปื้อนแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากถูกปราณแท้สกัดกั้นเอาไว้ทั้งหมด


“ไม่… ไม่ แกจะฆ่าฉันไม่ได้!”


อาจเป็นเพราะถูกการสังหารหมู่ตรงหน้าทำลายความเชื่อมั่นในใจจนสูญสิ้น อิโต ซากิจึงลนลานถอยกรูด ใต้ฝ่าเท้ากลับเหยียบถูกอะไรบางอย่าง จนซวนเซล้มลงไปบนพื้น


“บนโลกไม่มีสิ่งใดสังหารไม่ได้ อย่างแกนับว่าเป็นใครกัน?”


เยี่ยเทียนแกว่งดาบ อิโต ซากิที่นั่งอยู่กับพื้นเพียงรู้สึกใบหูทั้งสองข้างเย็นเยียบ พอใช้มือสองข้างคลำดู ใบหูทั้งสองข้างก็อันตรธานไปแล้ว เลือดไหลรินออกมาจากรูหู


“ไม่!” เห็นเยี่ยเทียนฟาดดาบลงอีกครั้ง อิโต ซากิก็คว้าเอาร่างคนที่ทำให้เขาสะดุดเมื่อครู่ชูไว้เหนือหัว


“คนอย่างแกมีค่าอะไรกัน ตายไปซะเถอะ!”


เยี่ยเทียนเพ่งมองแวบหนึ่ง พบว่าร่างที่อิโต ซากิใช้ป้องกันตัวเอง ก็คือนายพลรัสเซียก่อนหน้านี้ ดาบซามูไรที่อยู่ในมือยังคงฟาดฟันลงไป โดยไม่มีความลังเลแม้เพียงชั่วขณะ


จะอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้สังหารกองกำลังพิเศษจนสิ้นซากไปแล้ว ต่อให้ฆ่าชาวรัสเซียเพิ่มอีกสักคน เยี่ยเทียนจึงไม่รู้สึกหนักอกหนักใจใดๆ


ตอนที่เยี่ยเทียนเข้ามายังค่ายฝึกแห่งนี้ ก็ได้ตัดสินใจชะโลมสถานที่นี่ด้วยเลือดแล้ว นอกจากต่งต้าจ้วง จะไม่เหลือชีวิตไว้แม้เพียงคนเดียว เพื่อที่ทางกองทัพรัสเซียจะได้ไม่สามารถสืบสาวตามตัวเขาได้


คมดาบพาดผ่านช่วงเอวของลอฟสกี้โดยไร้ซึ่งสิ่งสกัดกั้นอย่างสิ้นเชิง ราวกับหั่นเต้าหู้ อวัยวะภายในชุ่มไปด้วยเลือด พลันละเลงลงบนใบหน้าของอิโต ซากิ


ข้อมือของเยี่ยเทียนพลิกว่องไวราวสายฟ้าฟาด อิโต ซากิส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาจากปาก สิบนิ้วบนมือทั้งคู่ของเขา ก็ถูกเยี่ยเทียนเฉือนขาดพร้อมกับร่างของลอฟสกี้


“เห็นหรือยัง หนี้แค้นของตระกูลต่ง ผมช่วยพวกคุณสะสางแล้ว!”


เยี่ยเทียนถือดาบซามูไรยาวประมาณหนึ่งเมตรยี่สิบเซนติเมตร เคลื่อนไหวคล่องแคล่วเชี่ยวชาญราวกับพ่อค้าเนื้อสัตว์ เนื้อสดขนาดประมาณนิ้วโป้งปลิวกระเด็นว่อนในอากาศ ที่ตรงกลางมีอิโต ซากิกรีดร้องอย่างโหยหวน


ขณะดาบในมือเยี่ยเทียนฝานเนื้อของอิโต ซากิออกในแต่ละชิ้น ล้วนปล่อยปราณแท้ออกมาเพื่อปกป้องชีพจรของเขาไว้


ดังนั้นถึงแม้ร่างกายของอิโต ซากิจะมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่เขากลับยังมีสติสัมปชัญญะ เขาสามารถสัมผัสความเจ็บปวดที่ส่งผ่านในร่างกายได้อย่างแจ่มแจ้งในทุกขณะ ความทรมานอันไร้ขอบเขตเช่นนี้ ทำให้เขาอยากตายไปเสียตรงนั้น


ไม่กี่นาทีต่อมา นอกจากใบหน้าที่ไร้รอยขีดข่วน อิโต ซากิก็กลายเป็นมนุษย์โลหิตไปทั้งเนื้อตัว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลรูปตาข่าย ไม่เหลือเนื้อดีแม้เพียงชิ้นเดียว


ต่งเทียนอี้และหลานชายที่เฝ้ามองดูอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีความเคียดแค้นแสนสาหัส แต่วิธีการสังหารอย่างทุกข์ทรมานของเยี่ยเทียน กลับทำให้ทั้งสองสะอิดสะเอียนจนทนไม่ไหว ในช่องท้องมีน้ำรสเปรี้ยวผลักดันขึ้นมา


อีกทั้งฟรุสที่นอนอยู่ห่างไปเมตรกว่า สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กระดูกแขนและขาที่แตกหักยังไม่อาจระงับความหวาดกลัวในใจได้ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า บนโลกจะมีวิธีการตายที่โหดเหี้ยมถึงปานนี้?


“หือ? เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ!”


สัญญาณเตือนบางอย่างผุดขึ้นในใจเยี่ยเทียน เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจอะไรผิดบางอย่าง จึงรีบคลายประสาทสัมผัส กลับพบว่าภายในค่ายทหารแห่งนี้ นอกจากลานที่เขาอยู่ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลืออยู่อีกแล้ว


“รีบไปจากที่นี่กันดีกว่า…” เยี่ยเทียนหยุดมือขวา ในความคิดบังเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง รู้สึกว่าภายใต้การคาดคะเน จะเกิดอันตรายใหญ่หลวง


ในขณะเดียวกันนั้น นอกค่ายทหารห่างออกไปสามสี่ร้อยเมตร ก็เกิดมีเสียงเอะอะดังมา กองทหารที่ล้อมค่ายฝึกไว้เมื่อครู่กรูกันเข้ามาล้อมไว้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะเสียงปืนอันดุเดือดไปกระตุ้นพวกเขา


“หัวนี้พวกคุณเก็บไว้ซะ เอาไว้บูชาบรรพบุรุษ!”


ลำแสงเยียบเย็นหนึ่งพาดผ่าน ปากของอิโต ซากิก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นแล้วหยุดลง หัวที่เต็มไปด้วยผมขาวโพลนนั้นหล่นลงข้างเท้าของต่งต้าจ้วง


ตอนที่ 754 สถานการณ์ไม่สู้ดี

“สองคนนั้น มานี่ พวกเราต้องไปกันแล้ว!”


ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกล เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถ้าหากถูกทหารเหล่านั้นโอบล้อมเข้าจริงๆ ถึงแม้เขาจะสามารถหลบหนีออกไปได้ แต่ต่งเทียนอี้กับหลานคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย


“ท่านครับ ผมอยากฆ่ามันก่อนแล้วค่อยไป!”


ใบหน้าของต่งเทียนอี้มีรอยยิ้มโหดเหี้ยม ถึงแม้เขาจะไม่มีสัญชาตญาณหลักแหลมอย่างเยี่ยเทียน ที่สามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวจากเชิงเขา แต่เขาก็รู้ว่า เสียงปืนเมื่อครู่ต้องกระตุ้นผู้คนจำนวนหนึ่งอย่างแน่นอน


แค้นใหญ่หลวงต้องสะสาง ต่งเทียนอี้ไม่มีอะไรติดค้างในใจอีก ต่อให้ต้องตายตอนนี้ เขาก็ตายตาหลับแล้ว แต่ว่าก่อนหน้านั้น ยังมีบุคคลหนึ่งที่ยังไม่ได้ถูกตัดหัว


ต่งเทียนอี้หยิบดาบซามูไรที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา ใช้มันต่างไม้เท้า ยันก้าวทีละก้าวไปข้างตัวฟรุส ในดวงตาแสดงให้เห็นแววเกลียดชังอย่างปกปิดไม่มิด


เป็นคนผู้นี้ที่อำนวยความสะดวกให้มีการรวมตัวกันกดดันสมาคมหงเหมินในมอสโคว และเป็นเขาที่ก่อให้เกิดคดีฆ่าล้างตระกูลต่งหลายสิบชีวิต หากไม่ฆ่าฟรุสด้วยมือตัวเอง ต่งเทียนอี้คงตายตาไม่หลับ


“เร็วหน่อยแล้วกัน ให้เวลาคุณสองนาที!”


เยี่ยเทียนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าทหารในชุดเครื่องแบบเต็มยศเกือบพันนายกำลังมุ่งตรงมาบนภูเขา ถ้าหากไม่เป็นเพราะหิมะยังไม่ละลาย เดินทางไม่สะดวกง่ายดายนัก สองนาทีนี้คงไม่เพียงพอ


ความจริงต่อให้ต่งเทียนอี้ไม่ลงมือ ฟรุสก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตอนที่เยี่ยเทียนบดขยี้แขนและขาของเขา ได้แอบส่งพลังลมปราณแฝงเข้าไปภายในกระแสโลหิต เพียงตื่นเต้นตื่นตัวก็จะทำให้เขาถึงที่ตาย


“น่าเสียดายที่พ่อของฉันเห็นแกเป็นเพื่อน แต่แกกลับร่วมกับคนกลุ่มใหญ่กลั่นแกล้งตระกูลเรา คงไม่คิดว่าจะมีวันนี้สินะ?”


ต่งเซิงไห่มีลูกชายทั้งหมดสามคน ทั้งหมดล้วนทำหน้าที่การงานอยู่ในสมาคมหงเหมิน ต่งเทียนอี้ลูกชายคนที่สองในนั้นรับผิดชอบเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับสนามมวยใต้ดิน จึงรู้เรื่องที่พ่อไปยังประเทศไทยคราวนั้นอย่างแจ่มแจ้ง


เรื่องนี้จึงทำให้ต่งเทียนอี้เกิดความแค้นต่อฟรุส ทั้งหมดล้วนเป็นเจ้าคนอังกฤษคนนี้ทำให้เกิดขึ้น เพราะเขา…ทำให้ธุรกิจหลายสิบปีของตระกูลต่งในรัสเซียกลายเป็นประวัติศาสตร์


ยืนอยู่ต่อหน้าฟรุสที่นอนขวางบนพื้น ต่งเทียนอี้ชูดาบซามูไรขึ้นสูง เมื่อนึกถึงภรรยาและลูกที่ตายอย่างน่าเวทนา ขอบตาก็อดมีน้ำตาเลือดหลั่งรื้นขึ้นมาไม่ได้


“ไปตายซะ!” ลำคอของต่งเทียนอี้สำรอกเสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่า สองมือจับด้ามดาบซามูไร ฟันลงไปยังช่วงลำคอของฟรุสอย่างหนักหน่วง


“อ๊าก…”


ฟรุสที่นอนอยู่บนพื้นร้องโหยหวนขึ้นมา ทว่าต่งเทียนอี้ถูกคุมขังไว้นานหลายวัน จึงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือภายในร่าง ดาบนี้จึงฟันลงไปได้เพียงครึ่งลำคอของฟรุสเท่านั้น


ลำคอที่ถูกผ่าออกของฟรุสมีเลือดไหลริน เสียงดัง “ฟู่ๆ” ไหลออกมาราวกับถุงลม แต่กลับไม่ตายในเดี๋ยวนั้น ใบหน้ามีความทรมานอย่างสุดแสน


“ลุงสอง ผมเองครับ!”


ต่งต้าจ้วงที่ว่านอนสอนง่ายนับตั้งแต่เด็กจนโต เวลานี้ก็คว้าดาบเดินเข้ามา ฟันที่บาดแผลตรงลำคอของฟรุสอีกครั้ง ราวกับการหลั่งเลือดสังหารหมู่ในวันนี้ปลุกสัญชาตญาณกระหายเลือดในกายเขาขึ้นมา


เพียงแต่สภาพของสองลุงหลานคู่นี้ไม่ต่างกันนัก ดาบนี้ของต่งต้าจ้วงไม่สามารถตัดหัวของฟรุสให้ขาดออก แต่กลับโดนเลือดกระเซ็นกระสายใส่ทั่วทั้งเนื้อตัว


“พอแล้ว รีบไปกันเถอะ ขืนยังไม่ไปอีกจะหนีไม่รอดนะ!”


เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว โยนดาบซามูไรในมือขวาออกไป ตัดลงบนลำคอชองฟรุสจนหัวหลุดพอดี


“ต้าจ้วง นายเอาสองหัวนี้กลับไปเซ่นไหว้พ่อกับแม่”


ต่งเทียนอี้หยิบปืนกลมือที่อยู่บนพื้นขึ้นมาหนึ่งกระบอก ดึงลูกเลื่อนอย่างเชี่ยวชาญ กล่าวว่า “นายท่าน ขอฝากฝังต้าจ้วงด้วย ผมจะช่วยคุ้มกันข้างหลังเอง!”


จากสายตาของต่งเทียนอี้ เขาและต่งต้าจ้วงล้วนไม่มีเรี่ยวแรงจะวิ่ง ต่อให้เยี่ยเทียนแบกขึ้นหลัง ก็พาไปได้แค่คนเดียว คงฝ่าวงล้อมของศัตรูไปไม่รอดแน่ สู้สังเวยตัวเองหลอกล่อความสนใจของศัตรูดีกว่า เยี่ยเทียนและหลานจะได้หนีไปได้อย่างปลอดภัย


“คุณเนี่ยนะ จะช่วยคุ้มกันหลังให้พวกเรา?”


ได้ยินคำพูดของต่งเทียนอี้แล้ว เยี่ยเทียนก็อดขำขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ แค่หยิบปืนขึ้นมายังต้องออกแรงถึงขนาดนี้ เกรงว่าเหนี่ยวไกยิงกระสุนออกมาเพียงนัดเดียวคงจะทำให้ปืนเลื่อนหลุดจากมือ


“แย่แล้ว มีเฮลิคอปเตอร์มา!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะพูด สีหน้าก็พลันเเปลี่ยนไป เพราะว่าเขาได้ยินเสียงของเฮลิคอปเตอร์ข้างใบหู


“อย่าขยับ อย่าส่งเสียงด้วย!”


สองมือของเยี่ยเทียนคว้าอากาศ ต่งเทียนอี้และหลานที่อยู่ห่างไปสิบกว่าเมตร พลันถูกแรงมหาศาลดึงเข้าสู่ข้างตัวเขา ขณะเดียวกันหมอกควันสีขาวก็พวยพุ่งจากใต้ฝ่าเท้า ห่อหุ้มคนทั้งสามเอาไว้


เยี่ยเทียนซ่อนตัวอยู่ภายในหมอกควัน นิ้วทั้งสิบแทนกระสุน เสียงหลอดไฟระเบิดแตกดังขึ้น ค่ายฝึกทหารที่เดิมส่องสว่างด้วยแสงไฟพลันกลับกลายเป็นมืดสนิท


มือแต่ละข้างจับไว้คนหนึ่ง เยี่ยเทียนควบคุมปราณแท้ ลอยตัวขึ้นเบื้องบน เพียงชั่วพริบตาก็ลอยข้ามกำแพงสูง กลมกลืนเข้าสู่ความมืด


“บ้าเอ๊ย พาคนเหาะมันยากเย็นอย่างนี้เองเรอะ?”


สิบกว่านาทีหลังจากนั้น เยี่ยเทียนและทั้งสองคน ก็มาปรากฎตัวยังป่าละเมาะห่างจากค่ายฝึกทหารห้าสิบกว่าเมตร พอวางทั้งสองคนลงบนพื้นแล้ว เยี่ยเทียนก็อดสบถเสียงแผ่วเบาออกมาไม่ได้


นำปราณแท้มาบังคับร่างกายต้านทานแรงดึงดูดของโลก จากนั้นก็บินขึ้นออกมาในระยะทางสั้นๆ จำเป็นต้องใช้พลังอย่างสูง


ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนเดินทางสามร้อยกว่ากิโลเมตร ปราณแท้ยังสลายไปถึงเกือบหกส่วน เมื่อใช้อีกสี่ส่วนที่เหลือประคองคนสองคน เขาจึงรู้สึกแทบไม่มีแรงเหลือ


คนที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน ภายในร่างจะไร้ซึ่งไอขุ่น ไอสะอาดจะลอยสูง ร่างกายจึงไม่หนักหน่วงอะไร ดังนั้นเวลาเยี่ยเทียนทะยานขึ้นสู่ฟ้าจึงง่ายดายอย่างยิ่ง


แต่ต่งเทียนอี้และหลานล้วนเป็นกายเนื้อขุ่นระดับโฮ่วเทียน ตอนจับตัวทั้งสองบนพื้นดิน เยี่ยเทียนอาจไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของพวกเขา แต่เมื่อพาทั้งสองคนขึ้นสู่ห้วงอากาศ กลับทำให้เขาเหนื่อยยากจนพูดไม่ออก


“คุณ…คุณเป็นเทพเซียนเหรอครับ?”


เมื่อครู่ตอนที่บินข้ามหัวกองทหารอาวุธครบมือเหล่านั้น แม้ต่งเทียนอี้และหลานจะกล้าหาญ แต่ก็ตกใจกลัวจนแทบปล่อยของเสียออกมา พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตัวเองจะได้มาบินอยู่บนฟ้าด้วย?


พอลงมายังพื้นดิน ทั้งสองคนก็เข่าทรุดฮวบ ความหวาดกลัวของพวกเขาเวลานี้ ยังห่างชั้นจากตอนที่เยี่ยเทียนรบราฆ่าฟันในค่ายฝึกทหาร ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นสิ่งที่มนุษย์มีกำลังทำได้


“เทพเซียนกะผีน่ะสิ ถ้าเป็นเทพเซียน ระยำนั่น จะเหนื่อยขนาดนี้เหรอ?”


เยี่ยเทียนสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้เขาเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลยจริงๆ เพียงระยะทางสั้นแค่ห้าสิบกิโลเมตร ก็แทบทำให้เขาสูญปราณแท้ภายในกายไปทั้งร่าง


ผมของเยี่ยเทียนถูกหยาดเหงื่อชะโลมจนชุ่ม พอโน้มตัวก็ไหลลงบนหน้าผาก นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เขาก็ไม่เคยต้องกระเสือกกระสนขนาดนี้


“แล้ว…แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อครับ?”


ได้ยินคำสบถของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเทียนอี้กับหลานกลับรู้สึกโล่งใจมากขึ้น ในความคิดของพวกเขา เทพเซียนควรจะมีบุคลิกอย่างเซียน ไม่เห็นเคยได้ยินมาว่ามีประเภทที่ชอบสบถด่า


“พวกคุณหาอะไรกินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะมีคนมารับ!”


เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ โยนกาน้ำกับหมั่นโถวที่เย็นเยียบเหมือนก้อนหินให้กับทั้งสอง ส่วนตัวเองนั่งลงขัดสมาธิกับพื้น


ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ดังมาแต่ไกล เยี่ยเทียนผุดลุกยืน สติสัมปชัญญะไม่อ่อนล้าเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว


“บอสส์ ทำไมมีสองคนล่ะครับ?” พอเยี่ยเทียนใช้ญาณนำทางมาแล้ว มาลาไกย์ก็ปิดเครื่องยนต์ ขมวดคิ้วมองต่งเทียนอี้กับหลานที่เปรอะเปื้อนเลือดไปทั้งตัว


“เหล่าต่งยังมีลูกชายเหลืออีกคน ฉันคงทิ้งไว้ที่นั่นไม่ได้หรอกใช่ไหม?” เยี่ยเทียนส่ายหน้า บอกว่า “รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รู้สึกเหมือนถูกใครจับตามองอยู่!”


ตอนที่อยู่ในค่ายฝึก เยี่ยเทียนมีความรู้สึกอย่างนั้น แต่ว่าตอนนี้หนีออกมาจากค่ายฝึกแล้ว ความรู้สึกนั้นของเขากลับยังคงไม่จางหายไป เยี่ยเทียนรู้ว่า ต้องมีอะไรผิดพลาดบางอย่าง


มาลาไกย์พยักหน้า หยิบชุดหนังสองชุดออกมาจากในรถ พูดกับต่งต้าจ้วงและลุงว่า “เอ้า คุณสองคน เปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนเถอะ!”


เมื่อครู่ตอนขับรถมา มาลาไกย์สัมผัสได้ว่าในเขตแดนนี้มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถ้าหากมาลาไกย์ไม่รู้จักทางลัดล่ะก็ เกรงว่าอาจไม่สามารถขับรถมาถึงจุดนี้ได้


“คุณสองคนนอนพักกันก่อนเถอะ ตื่นขึ้นมาก็ปลอดภัยแล้วล่ะ!”


เยี่ยเทียนนั่งลงบนเบาะหน้ารถยนต์ หันหลังไปกดจุดล่างใบหูของต่งต้าจ้วงและลุง ทันใดทั้งลุงและหลานก็เกิดรู้สึกง่วงงุน เอนร่างนอนลงบนเบาะ


“เกิดอะไรขึ้น มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนมองไปทางมาลาไกย์ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ หัวคิ้วของเหล่าหม่าไม่คลายออกจากกันเลย


“สถานการณ์ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ครับ”


มาลาไกย์พยักหน้า บอกว่า “ไม่รู้ว่าทางรัสเซียเกิดอะไรขึ้น กองกำลังประจำจังหวัดกำลังรวมตัวกันมาทางนี้ เส้นทางสายหลักล้วนถูกปิดหมด เกรงว่าจะไปไม่ถึงอีร์คุตสค์


ตามแผนการเดิมของมาลาไกย์ หลังจากเดินทางถึงอีร์คุตสค์แล้ว จะใช้ขั้นตอนการปลอมแปลงที่ตระเตรียมเอาไว้ ส่งตัวต่งต้าจ้วงไปยังสาธารณรัฐอัลไตในไซบีเรียก่อน จากนั้นค่อยหาทางพาเขาส่งตัวกลับประเทศ


เนื่องด้วยสาธารณรัฐอัลไตแยกตัวออกมาจากโซเวียตเมื่อในอดีต มีเครือข่ายนับพันหมื่นเส้นทางกับรัสเซีย เขตแดนถูกแบ่งกั้นด้วยหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น การหาทางข้ามแดนจึงง่ายดายอย่างมาก


แต่ว่าตอนนี้เส้นทางไปอีร์คุตสค์ถูกปิดกั้นเอาไว้หมดแล้ว ตลอดทางมีด่านกั้นมากมาย มาลาไกย์จึงไม่สามารถพาพวกเขาขับผ่านตลอดระยะทางสามร้อยกิโลเมตรได้


“ก็แค่สงครามระหว่างแก๊งค์มาเฟียไม่ใช่เหรอ? รัฐบาลรัสเซียให้ความสำคัญขนาดนี้เชียว?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว เขตไซบีเรียแห่งนี้พื้นที่กว้างใหญ่ผู้คนเบาบาง หากรอจนฟ้าสาง ทางกองทัพส่งกำลังค้นหาทางอากาศหรือเฮลิคอปเตอร์มา น่ากลัวว่ารถยนต์คันนี้จะถูกพบเข้าโดยเร็ว


“มีวิธีอื่นอีกไหม?” เยี่ยเทียนไม่ค่อยคุ้นชินกับพื้นที่ในไซบีเรียนัก เขาทำได้เพียงมองมาลาไกย์ หวังว่าจะพบสักหนทางที่เหมาะสม


มาลาไกย์ส่ายหน้า บอกว่า “ทหารบนเส้นทางหลักในเขตอีร์คุตสค์ต้องถอนตัวออกไป ไม่อย่างนั้นก็ต้องซ่อนตัวพวกเขาไว้แถวนี้แหละครับ!”


“ไม่ได้ ต้องส่งตัวออกจากรัสเซียโดยเร็วที่สุด!”


เยี่ยเทียนปฎิเสธคำแนะนำจากมาลาไกย์ เขาสังหารทหารรัสเซียไปสิบกว่านาย ทางรัสเซียจะต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน


ตอนที่ 755 ดาวเทียมตรวจการณ์

ชาวรัสเซียเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นมาตลอด ปฎิบัติการแมนจูเรีย สงครามแห่งการล้างแค้นในอดีตเมื่อสี่สิบปีก่อนในครั้งนั้น ได้สังหารคนของพวกเขาในเขตแดนของตนเอง เยี่ยเทียนจึงไม่คาดหวังให้ชาวรัสเซียละเว้น


อีกทั้งไซบีเรียมีพื้นที่กว้างขวางผู้คนเบาบาง บวกกับตอนนี้ยังไม่เข้าฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ใบหญ้าล้วนโล่งเตียน ต่อให้อยู่นอกเขตชุมชนยังไม่อาจซ่อนตัวได้ ถ้าหากไม่อาจหลบหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว ไม่ช้าย่อมถูกอีกฝ่ายพบตัวอย่างแน่นอน


“บ้าเอ๊ย รู้งี้แค่ทำให้พวกรัสเซียนั่นสลบก็คงดี!”


เยี่ยเทียนอดตัดพ้อออกมาไม่ได้ สถานการณ์ตรงหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรดี


“บอสส์ คุณฆ่าคนรัสเซียเหรอครับ?” ได้ยินคำบ่นของเยี่ยเทียนแล้ว มาลาไกย์ตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย “คุณฆ่าใครไป? ถ้าหากเป็นนายทหารธรรมดา เครมลินคงไม่จัดกองกำลังใหญ่ขนาดนี้มาหรอกมั้ง?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “เป็นนายพลน่ะ หัวล้าน แล้วยังมีนายทหารอีกสิบกว่าคน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร”


ตอนเร่งรุดไปยังค่ายฝึก เยี่ยเทียนได้ยินลอฟสกี้ออกคำสั่งให้ยิงต่งเทียนอี้กับหลานทิ้งพอดี จากชื่อยศของนายทหารรัสเซียคนนั้น ดูเหมือนจะเป็นพลเอก


“หัวล้าน เป็นนายพล?”


มาลาไกย์ทวนคำพูดของเยี่ยเทียน ทันใดก็เบิ่งตากว้าง ลนลานคุ้ยหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกมาจากในรถ ชี้ไปที่รูปภาพบนนั้น แล้วบอกว่า “บอสส์…คุณ…คุณคงไม่ได้ฆ่าคนนี้ทิ้งหรอกใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนยื่นหน้าไปดู แล้วพยักหน้าตอบ “คนนี้แหละ ทำไมเหรอ? ชาวรัสเซียคนนี้มีอิทธิพลมากเหรอ?”


คนหัวล้านที่อยู่บนหนังสือพิมพ์ก็คือลอฟสกี้ที่ถูกเยี่ยเทียนฟันตายในดาบเดียว รูปนี้ถูกถ่ายขึ้นเมื่อตอนที่เขาไปตรวจตรากองทัพทางตะวันออกหลายวันก่อน หลังจากมาลาไกย์รู้ว่าเขารับผิดชอบภารกิจนี้ จึงตั้งใจหามาเก็บไว้บนรถ


แต่เยี่ยเทียนเพียงรู้ว่าคนบนรูปตายด้วยน้ำมือของตัวเอง เขาไม่เข้าใจตัวอักษรที่อยู่ด้านข้างของรูปถ่าย มองไปยังมาลาไกย์แล้วถามขึ้น “คนนี้คือนายพลยศไหน แล้วการเคลื่อนไหวกองทัพรัสเซียเกี่ยวข้องอะไรกับเขา?”


เยี่ยเทียนออกจะงงงันเล็กน้อย นับตั้งแต่เขาสังหารนายพลคนนี้จวบจนปัจจุบัน เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เหตุใดทางรัสเซียถึงมีปฏิกิริยาว่องไวขนาดนี้ ถึงกับมีจุดสกัดบนเส้นทางหลักในทุกทางเลยทีเดียว?


“บอสส์ ไม่ต้องถามแล้วล่ะครับ ต้องเกี่ยวกับการตายของเขาอย่างแน่นอน!”


ใบหน้าของมาลาไกย์มีรอยยิ้มเจื่อน เขาเคยปฏิบัติการเป็นกองทหารรับจ้างในหลายสิบประเทศ แต่ยังไม่เคยประสบกับเหตุการณ์อย่างคราวนี้ ที่ผู้ว่าจ้างของเขา ดันไปสังหารคนใหญ่คนโตระดับประเทศเข้า


เห็นสีหน้าเยี่ยเทียนยังคงมึนงง มาลาไกย์จึงพูดต่อว่า “เขาคือนายพลลอฟสกี้ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าใหญ่สุดของกองทัพทั้งหมดในไซบีเรีย บอสส์ครับ คราวนี้คุณทำพลาดครั้งใหญ่แล้วล่ะ…”


ในยุคสมัยโซเวียตยังเคยมียศจอมพล แต่ว่าหลังจากแยกประเทศแล้ว รัสเซียก็ยกเลิกยศจอมพล อีกทั้งยศทางการทหารที่เคยใช้ในระบบโซเวียตเก่า


รัสเซียในปัจจุบัน นอกจากเซอร์เกเยฟ รัฐมนตรีว่าการกระทวงกลาโหมซึ่งเป็นจอมทัพแห่งสหพันธรัฐรัสเซียแล้ว ยศสูงสุดในกองทัพทหารก็คือนายพล และลอฟสกี้ ก็คือผู้ที่กุมอำนาจแท้จริงหนึ่งในนั้น


สุขภาพของเซอร์เกเยฟไม่ค่อยดีนักมาตลอด ดังนั้นเสียงเรียกร้องให้นายพลลอฟสกี้เข้ารับตำแหน่งของเขา กลายเป็นจอมทัพคนที่สองของสหพันธรัฐรัสเซียจึงมีสูงมาก


กระทั่งผู้นำแห่งวังเครมลิน ยังแสดงความชื่นชมความสามารถของนายพลลอฟสกี้ ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่าภายใต้เซอร์เกเยฟ นายพลลอฟสกี้ก็คือบุลคลสำคัญอันดับสองในกองทัพ


เป็นถึงผู้นำกองทัพใหญ่ผู้มีส่วนร่วมภายในการเมืองคนนี้ อีกทั้งในเวลาเดียวกันยังเป็นประเด็นวิเคราะห์สำคัญสำหรับต่างชาติ เมื่อเยี่ยเทียนสังหารเขา จึงเท่ากับเป็นการจุดชนวนระเบิดนิวเคลียร์ในรัสเซีย


เชื่อว่าหลังจากที่ฟ้าสว่าง แต่ละประเทศคงจะแพร่กระจ่ายข่าวนายพลลอฟสกี้ถูกสังหารแล้ว


ผู้นำของกองทัพถูกฆาตกรรมภายใต้การโอบล้อมของกองทหาร ถ้าหากรัสเซียไม่เร่งรีบตามจับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว คงจะอับอายขายขี้หน้าทั้งประเทศอย่างแน่นอน


“บัดซบเอ๊ย ก็ผมไม่รู้ว่าเขาคือนายพลลอฟสกี้นี่หว่า!”


หลังจากได้ยินคำอธิบายของมาลาไกย์แล้ว เยี่ยเทียนก็หน้าซีดเผือด เมื่อครู่เขาเห็นเฒ่าญี่ปุ่นอิโตสังหารคนในสมาคมหงเหมิน ท่ามกลางความเดือดดาล ไหนเลยจะมีใจไปถามชื่อเสียงเรียงนามของนายพลลอฟสกี้?


“แล้วจะทำยังไงดี?”


เยี่ยเทียนที่เผลอสังหารคนใหญ่คนโตของประเทศนี้ไป จึงเครียดหนักจนไม่มีอะไรมาเทียบได้ แต่โชคดีที่คนในเหตุการณ์ล้วนถูกเขาสังหารทิ้งหมดแล้ว ทางรัสเซียจึงไม่สามารถพุ่งเป้ามาที่ตนเอง


“บอสส์ครับ ถ้ายังไง…ทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่…”


มาลาไกย์หันไปมองข้างหลังเล็กน้อย ใช้มือวาดที่ลำคอ กระซิบเสียงเบา “ถ้ายังไงเราฆ่าพวกเขาซะ แล้วเราสองคนหนีไปจากที่นี่ คงจะไม่มีปัญหา!”


มาลาไกย์เองก็รู้ถึงความสามารถในการหลบเร้นกายของเยี่ยเทียน ขอเพียงปราศจากภาระสองคนนี้ พวกเขาก็สามารถหลบหนีไปจากรัสเซียได้อย่างง่ายดาย แล้วค่อยทิ้งการตายของนายพลลอฟสกี้ไว้เบื้องหลัง


“ไม่ได้ ทำอย่างนั้นการเดินทางครั้งนี้ของฉันจะไม่เสียเปล่าเหรอ?”


เยี่ยเทียนโบกมือ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ เขาตกปากรับคำกับต่งเซิงไห่ไปแล้ว ว่าต้องคุ้มกันสายเลือดนี้ของตระกูลต่ง แต่มาลาไกย์ที่เป็นชาวต่างชาติคงไม่มีทางเข้าใจความคิดของชาวจีน เยี่ยเทียนจึงขี้เกียจอธิบาย


สำหรับความปลอดภัยของตนเองนั้น เยี่ยเทียนไม่นึกใส่ใจอะไร เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะใช้จรวดนำทางและปืนใหญ่ แต่อีกฝ่ายก็ต้องค้นพบพิกัดของเขาก่อนจึงทำได้ ดังนั้นถึงแม้อีกฝ่ายจะโอบล้อมด้วยกองทัพนับแสน เยี่ยเทียนจึงไม่นึกกังวลอะไร


“ขอฉันคิดก่อน ต้องมีวิธีแน่” เห็นมาลาไกย์ทำท่าจะพูดอะไรต่อ เยี่ยเทียนก็โบกมือตัดบทเขา


……


ในพระราชวังเครมลิน กลางดึกทหารยศสูงทั้งหลายในรัสเซีย ล้วนได้รับการแจ้งเตือนอย่างเร่งด่วนจากฝ่ายใน จนต้องลุกขึ้นจากเตียงมายังพระราชวังเครมลิน พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของประธานาธิบดีแล้ว พวกเขาก็รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน


แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามท่านประธานาธิบดี นายพลทั้งหลายต่างพูดคุยซุบซิบกัน จวบจนกระทั่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เซอร์เกเยฟมาถึง เสียงวิจารณ์จึงได้เงียบลง


“ผมจำเป็นต้องแจ้งข่าวอันเศร้าสลดต่อทุกๆ คน!”


ประธานาธิบดีร่างไม่สูงนักจ้องมองมายังเหล่านายพลด้วยสายตาเฉียบคม กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้บังคับบัญชาการภาคตะวันออกไกลลอฟสกี้ ถูกคนสังหารที่ไซบีเรีย ขอให้ทุกคนถอดหมวกแสดงการไว้อาลัย!”


“ว่าไงนะ? ลอฟสกี้ตายแล้วหรือ?”


“เป็นไปได้ยังไง ใครกันจะฆ่านายพลใหญ่ในรัสเซียได้?”


“ท่านประธานาธิบดี เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ลอฟสกี้เสียชีวิตได้อย่างไร?”


คำพูดของประธานาธิบดี ราวกับทิ้งระเบิดลงยังที่ประชุม ห้องประชุมอันเงียบสงบพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันที กระทั่งจอมพลเซอร์เกเยฟยังมีสีหน้าตกตะลึง


ด้วยสถานะของพวกเขา ล้วนได้รับการคุ้มกันจากหน่วยรบพิเศษตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมีกองกำลังสนับสนุนอีกหนึ่งกอง


ความสามารถของทหารเหล่านั้น เพียงพอจะรับมือสงครามเล็กๆ แห่งหนึ่งได้ อีกทั้งเมื่อลอฟสกี้ไปตรวจสอบเรื่องกรณีในมอสโคว รอบตัวย่อมต้องมีการคุ้มกันหนาแน่น แต่กลับถูกคนสังหารได้อย่างไร?


นายพลที่อยู่ในห้องประชุมเหล่านี้ ไม่ใช่ทุกคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับลอฟสกี้ ในทางกลับกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นศัตรูทางการเมืองกับเขา แต่ว่าเวลานี้ พวกเขากลับตั้งคำถามต่อการตายของลอฟสกี้


แน่นอนว่า ที่คนเหล่านี้สนใจคือ ลอฟสกี้ถูกสังหารในสถานการณ์ใด เพราะถ้าคนร้ายมีความสามารถพอที่จะสังหารลอฟสกี้ได้ ก็ต้องเป็นอันตรายต่อพวกเขาเช่นกัน นี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด


“เงียบ!”


ประธานาธิบดีขึ้นเสียง กวาดสายตาเยือกเย็นไปยังใบหน้าของคนเหล่านี้ ห้องประชุมเงียบสงัดลงทันใด


ทุกคนต่างรู้ดีว่า ลอฟสกี้คือฝ่ายสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของประธานาธิบดี เมื่อลอฟสกี้ตาย คนที่เครียดหนักที่สุดก็คงจะเป็นประธานาธิบดี พวกเขาจึงไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียดไปกว่านี้


“ท่านประธานาธิบดี ผมรู้สึกเสียใจต่อการตายของลอฟสกี้อย่างสุดซึ้ง แต่ว่าตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็ คือการจับตัวคนร้าย ท่านคงมีเบาะแสใช่ไหมครับ?”


ความเงียบสงบในห้องประชุมถูกเซอร์เกเยฟแทรกขึ้น เขามียศเป็นจอมพลของประธานาธิบดีสมัยก่อน มีความอาวุโสในกองทัพสูง ประธานาธิบดีจึงต้องให้ความเคารพต่อเขา


“ฉันเซ็นคำสั่งประธานาธิบดีออกไปแล้ว ตำแหน่งของลอฟสกี้ให้อีวานอฟรักษาการชั่วคราว ตอนนี้ไซบีเรียประกาศกฎอัยการศึกแล้ว จะไม่ปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้เด็ดขาด!”


กำปั้นของประธานาธิบดีทุบลงบนโต๊ะทำงานเนื้อไม้ตรงหน้าอย่างหนักหน่วง ส่งเสียงดังตึง ทุกคนที่ได้ยินต่างเลิกคิ้วพร้อมกัน พวกเขาสัมผัสถึงความแน่วแน่จากประธานาธิบดีได้


“ที่ฉันเรียกทุกคนมา ก็เพราะอยากให้ทุกคนดูเทปวิดีโอ!”


จ้องมองกลุ่มคนที่เงียบงันไม่ส่งเสียงแล้ว ประธานาธิบดีก็แอบถอนหายใจอยู่ภายใน หลังจากการตายของลอฟสกี้ ความหวังต่อการปรองดองกองทัพของเขาคงต้องสูญสลายอีกแล้ว


พอเจ้าหน้าที่เลิกม่านด้านหน้าห้องประชุมออก ภาพที่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก ก็เคลื่อนไหวอยู่บนจอเล็กๆ


ภาพเหล่านี้ไม่มีเสียงใดๆ ตัวภาพเองยังเลือนรางมองเห็นไม่ถนัด ขนาดที่ต้องเพ่งมองเงาร่างของคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความละเอียดต่ำมาก กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังเห็นได้ไม่ถนัดตา


“ท่านนายพลที่เคารพทุกท่าน ผมคือพันเอกกินเนสส์”


ชายวัยกลางคนในเครื่องแต่งกายทหารยศผู้พันเดินมายังด้านหน้าจอ ในมือเขาถือไม้สำหรับชี้ตำแหน่ง ชี้ไปยังภาพบนจอ กล่าวว่า “นี่เป็นภาพที่กล้องดาวเทียมจับไว้ได้ตอนที่ลอฟสกี้เสียชีวิต…”


ขณะที่นายพันคนนี้ปรากฎตัว นายพลในห้องประชุมมากมายหลายคนแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา


เพราะพวกเขาล้วนรู้ว่า พันเอกกินเนสส์รับภารกิจด้านดาวเทียมตรวจการณ์ ในยุคนี้ที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นแล้ว หน่วยนี้อาจนับได้ว่าเป็นหน่วยงานลับและสำคัญที่สุดในกองทัพ


ผู้คนในห้องประชุมต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเวลาที่พวกเขาเข้าร่วมงานประชุมสำคัญนอกรัฐบาลทั้งหลาย อาจถูกพันเอกกินเนสส์ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานใช้ดาวเทียมจับตาดูเอาก็ได้


“ผู้การกินเนสส์ ที่ฉันอยากรู้ก็คือ ทำไมภาพถึงไม่ค่อยชัดแบบนี้? เงินสนับสนุนที่กระทรวงกลาโหมจ่ายให้พวกคุณทุกปี ถูกเอาไปใช้ในส่วนไหนกัน?”


จอมทัพเซอร์เกเยฟเห็นภาพบนหน้าจอแล้ว เอ่ยคำพูดตำหนิขึ้นมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)