ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 751-773

 ตอนที่ 751 เทียนเกอเจินเหริน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตามที่บันทึกในคัมภีร์ หากสามารถปรับแต่งถุงกระบี่ตามคุณสมบัติกระบี่ของตัวเองได้ ก็สามารถเสริมโอสถและสมุนไพรจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ในถุงกระบี่ได้ และเปลี่ยนเป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อหล่อเลี้ยงกระบี่บินอย่างช้าๆ


และกระบี่บินที่มีถุงกระบี่ที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เพียงแค่บ่มเพาะช่วงเวลาหนึ่ง ก็สามารถอาศัยถุงกระบี่ช่วยเพิ่มทวีผลลัพธ์ได้ ทำให้พริบตาที่กระบี่ออกจากถุงมีอานุภาพเพิ่มขึ้นทวี และเผด็จศึกกำชัยชนะได้อย่างง่ายดาย


ว่ากันว่าเคยมีผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วแผ่นดินจงเทียนผู้หนึ่ง ลำพังแค่พลังของถุงกระบี่ ก็ทำให้อานุภาพของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าภายในพริบตาในขณะที่ต่อสู้กับศัตรูได้ แม้แต่ผู้ฝึกฝนที่มีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น ก็ไม่อาจรับกระบี่ของเขาได้


แต่หากกระบี่บินพลังจิตวิญญาณโชคดีบรรลุถึงแก่นกระบี่แล้ว พริบตาที่มันกลายเป็นแก่นกระบี่นั้น ก็จะต้องใส่เข้าไปผนึกไว้ในถุงกระบี่ และต้องบ่มเพาะอย่างน้อยหลายสิบปี อย่างมากก็นับร้อยปี ถึงจะเปิดถุงกระบี่ปล่อยมันออกมาได้


มิเช่นนั้นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่เพิ่งบรรลุระดับเป็นแก่นกระบี่ ก็อาจจะแตกร้าวเพราะปลายกระบี่คมเกินไป


แต่ว่าแก่นกระบี่นี้ ต้องมีการฝึกฝนอย่างน้อยระดับแก่นแท้ถึงจะควบคุมได้ และตัวหลิ่วหมิงเองยังมีโอสถประลองกระบี่อยู่กับตัวหนึ่งเม็ด จึงไม่ค่อยกังวลปัญหาเรื่องการปรับแต่งมากนัก


แต่กลับเป็นเพราะคุณสมบัติของกระบี่บินว่างเปล่า หากจะสร้างถุงกระบี่ที่มีคุณสมบัติเดียวกัน และโอสถจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ที่นำมาเสริมในถุงกระบี่ กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมา


เพราะไม่ว่าจะเป็นวัสดุแบบใดก็ตาม พอได้ชื่อว่าว่างเปล่า ราคาก็จะเพิ่มทวีขึ้นมา ซึ่งหาในตลาดไม่ได้เลย!


ตามที่บันทึกในคัมภีร์ วัสดุหลักของถุงกระบี่ที่ทำจากหนังปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติเดียวกันจะดีที่สุด และปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่าก็พบเห็นได้น้อยมาก จะหาสักหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องให้ความสนใจเรื่องนี้เร็วขึ้น


หลิ่วหมิงเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


เช้าวันที่สอง เขาก็ออกไปจากถ้ำที่พัก และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังหอลี้ลับ


สองชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงที่สวมชุดสีเขียวก็เดินออกมาจากด้านในหอลี้ลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ภายใต้รางวัลใหญ่จำเป็นต้องมีผู้กล้าหาญ หวังว่าด้วยความยิ่งใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ จะต้องมีคนรู้เกี่ยวกับตำแหน่งของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า หากได้ศพของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่ามาจากมือผู้อื่นโดยตรง ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก” หลิ่วหมิงพูดพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังถ้ำที่พัก


ตรงหน้าป้ายประกาศลี้ลับในหอลี้ลับส่วนใน มีคนไม่น้อยกว่าสิบคนกระจุกอยู่อย่างหนาแน่น ขณะนี้ พวกเขากำลังแหงนหน้ามองภารกิจที่สามที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ครู่หนึ่ง


“รีบดูภารกิจใหม่นี้เร็ว!”


“…เสนอให้บอกเบาะแสของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า ก็จะได้รับสองล้านหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการอีกหนึ่งหมื่นแต้ม…ไม่รู้ว่าผู้ที่ประกาศภารกิจเป็นใครกัน คิดไม่ถึงว่าจะใจกว้างเช่นนี้” ชายชุดคลุมสีเขียวที่มีรูปร่างค่อนข้างกำยำกล่าวด้วยความประหลาดใจ


“ผู้ที่สามารถบอกเบาะแส อีกทั้งนำทางไปด้วยกันได้ จะได้รับค่าตอบแทนห้าล้านหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการสามหมื่นแต้ม หากมีศพของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า ก็สามารถขายได้โดยตรง เพื่อแลกกับสิบล้านหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการห้าหมื่นแต้ม ศิษย์พี่หลิน ภารกิจนี้เป็นงานใหญ่จริงๆ ไม่สู้พวกเราทั้งสองรับภารกิจนี้ไว้” หญิงสาวรูปร่างอรชรที่อยู่ข้างชายชุดเขียวกล่าวออกมา


ชายชุดเขียวได้ยินก็รู้สึกใจเต้นเป็นอย่างมาก


แต่ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเทาที่อยู่บริเวณนั้นกลับหัวเราะออกมา


“ท่านทั้งสองอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย ปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่านี้มีอยู่น้อยมาก หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง และปีศาจอสูรว่างเปล่าที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้ขึ้นไป ทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาเคลื่อนย้ายภายในพริบตา ต่อให้พวกเราจะหาร่องรอยของปีศาจอสูรนี้เจอ ก็ไม่อาจยุแหย่มันได้ พอถูกมันค้นพบก็จะต้องมอบชีวิตน้อยๆ ให้กับมัน ดังนั้นแต้มคุณูปการเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าจะได้มาโดยง่าย”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ชายขุดเขียวได้ยินก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และไม่พูดอะไรออกมาอีก


หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที


เมื่อได้ยินคำว่าระดับแก่นแท้ ศิษย์ที่ห้อมล้อมอยู่ใต้ป้ายประกาศลี้ลับก็แยกย้ายกันออกไป หรือไม่ก็ละสายตาไปดูภารกิจอื่น มีแค่ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากภารกิจนี้ สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่


ไม่นานหลิ่วหมิงก็กลับถึงห้องลับถายในถ้ำที่พัก พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวไอหมอกสีดำกับหมอกควันสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาพร้อมกัน หลังจากหมุนตัวติ้วๆ รวมตัวกันตรงหน้าเขาแล้ว ก็กลายเป็นหญิงสาวชุดดำรูปร่างอรชรกับเด็กชายชุดเขียวที่มีผิวพรรณขาวสะอาดผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่กลายร่างมานั่นเอง


“นายท่าน!” พอหญิงสาวชุดดำปรากฏตัวออกมา ก็เข้ามาอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนม แขนของนางกอดแขนของเขาไว้เบาๆ


 


“ได้ออกมาสักที ดูเหมือนว่าตอนนี้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณจะมีพื้นที่ไม่เพียงพอแล้ว อยู่ในนี้นานๆ ก็รู้สึกทรมาณมาก” เด็กชายเสื้อเขียวหาวออกมา และส่ายหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงของเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม


“ข้ารู้แล้ว รอมีโอกาสจะเปลี่ยนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่มีคุณสมบัติดีกว่าให้พวกเจ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบขวดเล็กสีเขียวหยกสองใบให้กับทั้งสอง


พอเด็กชายรับขวดเล็กมา ก็เปิดจุกออกทันที ทันใดนั้นปราณจิตวิญญาณก็ลอยขึ้นมาจากขวด สิ่งที่อยู่ในขวดคือโอสถจิตวิญญาณสองสามเม็ดที่สามารถเพิ่มทวีพลังเวทได้ ซึ่งก็คือโอสถแฝงจิตวิญญาณนั่นเอง


“หูววว…….หอมจัง!” เด็กชายชุดเขียวเทออกมาหนึ่งเม็ดทันที และนำใส่ปากเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง


“ขอบคุณนายท่าน!” หญิงสาวชุดดำจ้องมองเด็กชายทีหนึ่ง ดูเหมือนจะตำหนิที่เขาไม่รู้จักมารยาท จากนั้นก็หันไปขอบคุณหลิ่วหมิง


“แจ๊บๆ!…ขอบคุณนายท่าน!” เด็กชายชุดเขียวกลืนโอสถลงไปสองสามครั้ง จากนั้นก็หันไปแลบลิ้นให้กับหญิงสาวชุดดำทีหนึ่ง และหันมากล่าวกับหลิ่วหมิง


“เอาล่ะ! สำหรับระดับผลึกแล้ว โอสถแฝงจิตวิญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก พวกเจ้าเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้นได้ไม่นาน จะได้ถือโอกาสนี้ทำระดับการฝึกฝนให้มั่นคงพอดี” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ


แม้จะบอกว่าโอสถแฝงจิตวิญญาณนี้มีมูลค่าไม่เบา แต่หลายปีที่อยู่ในดินแดนทางตอนใต้ เขาก็รวบรวมของเหลวห้าแสงมาได้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ โอสถแฝงจิตวิญญาณที่ปรุงขึ้นมา นอกจากจะใช้ในการฝึกฝนของตัวเองแล้ว ก็สามารถแบ่งให้อสูรเลี้ยงทั้งสองได้อย่างเหลือเฟือ


หญิงสาวชุดดำได้ยินก็กะพริบตา และเปิดจุกขวดนำโอสถแฝงจิตวิญญาณใส่ปาก หลังจากกระตุ้นพลังของโอสถแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิฝึกฝนอย่างตั้งใจ


ทันใดนั้น เศษหินและฝุ่นจำนวนหนึ่งก็ม้วนตัวขึ้นมาภายในห้องลับ และค่อยๆ กลายเป็นเกราะคุ้มกันสีเหลืองปกคลุมในระยะหนึ่งจั้งกว่าๆ


เด็กชายเสื้อเขียวก็นั่งขัดสมาธิลงไป ไอสีเขียวรายล้อมรอบตัว ประจักษ์ชัดว่าหลังจากพลังของโอสถถูกกระตุ้นออกมาแล้ว ก็อดใจไม่ไหวที่จะทำการฝึกฝนแล้ว


หลิ่วหมิงมองดูอสูรจิตวิญญาณทั้งสองด้วยความพอใจ และก็นั่งขัดสมาธิฝึกฝนเช่นกัน


วันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังฝึกฝนอยู่ในห้องลับกับหัวบินและแมงป่องกระดูกนั้น อยู่ๆ ป้ายประจำตัวบนเอวก็สั่นสะท้านเบาๆ แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งยิงออกมา จากนั้นน้ำเสียงราบเรียบของอินจิ่วหลิงก็ดังขึ้น


“หลิ่วหมิง พรุ่งตอนเช้ามาที่วิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยวเถิด อาจารย์อยากจะพบเจ้า”


นับเวลาดูแล้ว อินจิ่วหลิงก็ออกจากการเก็บตัวมานานครึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้เพิ่งอยากจะพบเขา ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขาย่อมตอบกลับไปอย่างนอบน้อม


เช้าตรู่วันที่สอง หลิ่วหมิงก็ออกไปจากถ้ำที่พัก และขี่เมฆพุ่งไปยังวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาต่อมา เขาก็เข้าไปในวิหารใหญ่ แต่ขณะที่กำลังจะเดินเข้าประตูใหญ่ไปนั้น กลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


จะเห็นว่าภายในห้องโถงมีคนสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่


หนึ่งในนั้นสวมชุดสีดำ เป็นผู้อาวุโสที่มีใบหน้าแห้งเหี่ยวครึ่งหนึ่ง ไม่ต้องพูดอะไรมาก เขาก็คืออินจิ่วหลิงที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขา และอาจารย์ของเขานั่นเอง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายที่อยู่ตรงหน้า กลับมีสีหน้านอบน้อมเป็นอย่างมาก


และชายวัยกลางคนที่มีกลิ่นไอไม่ธรรมดา ใส่เครื่องประดับผมหยก และสวมชุดสีเหลือง คือคนที่หลิ่วหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน


แม้ว่าเขาจะไม่กล้าปล่อยจิตออกไปสำรวจดู แต่กลับรับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากชายผู้นี้ลางๆ


หลังจากหลิ่วหมิงแลกมือกับปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนในแดนมายาอยู่หลายครั้ง ก็รู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นไอของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ทันใดนั้นเขาก็รีบไปคารวะทันที


“ศิษย์คารวะอาจารย์ และผู้อาวุโส”


“หลิ่วหมิง ท่านนี้ไม่อาจเรียกว่าผู้อาวุโสได้ ท่านเป็นประมุขของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา ‘เทียนเกอเจินเหริน’ อาจารย์อา หลิ่วหมิงไม่ทราบสถานะของท่าน ขอท่านโปรดให้อภัย” อินจิ่วหลิงกลับกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะแหะๆ


“ไม่เป็นไร ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” ชายชุดเหลืองตอบด้วยรอยยิ้ม


“คารวะท่านประมุข!”


พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่าประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบทำการคารวะอีกครั้ง


เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ ตอนที่เพิ่งเข้ามาในนิกายนั้น เขาก็ได้ยินชื่อเสียงดังก้องหูแล้ว


ได้ยินมาว่าเทียนเกอเจินเหรินผู้นี้ เคยอาศัยการฝึกฝนระดับแก่นแท้ฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่เจ็ดสิบสอง ต่อสู้กับราชาปีศาจระดับแก่นแท้ขั้นปลายที่ร่วมมือกันหกตัว พลังของเขานับว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก บารมีในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็สูงมากเช่นกัน ต่อมาก็กลายเป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างราบรื่น


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเทียนเกอเจินเหรินอยู่นั้น ชายชุดเหลืองก็สังเกตดูหลิ่วหมิงสองทีโดยไม่มีสีหน้าประหลาดใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น เงาฝ่ามือยักษ์ขนาดหลายจั้งก็ก่อตัวขึ้นมาในพริบตา และตบเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยอานุภาพราวกับภูเขาไท่ซานพร้อมเสียงอันดัง


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเงาสีเหลืองเปล่งประกายตรงหน้า พลังมหาศาลกดดันเข้ามา เขาย่อมรู้สึกอึ้งในทันที พอเหลือบตามองเห็นสีหน้าสงบของอินจิ่วหลิง ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที เขารีบทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง จากนั้นไอดำก็พวยพุ่งออกมา


เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังก้องขอบฟ้า!


พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนทั้งสอง มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำอย่างละห้าตัวก็ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งออกไปรับมือกับฝ่ามือยักษ์


“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่น!


เมื่อมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสองตัวสัมผัสกับฝ่ามือยักษ์ มันก็หยุดชะงักในทันที จากนั้นก็ถูกพลังมหาศาลกดดันจนแตกกระจาย


ครู่ต่อมา มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำอีกสามตัวที่ตามมา ก็พุ่งเข้าไปรัดพันฝ่ามือยักษ์พร้อมกัน


ท่ามกลางเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำราม ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็ถูกรัดพันกันจนกลายเป็นก้อน ทันใดนั้นแรงดันด้านบนก็หยุดลง!


แต่ขณะนั้นเอง ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็เปล่งแสงสีทองออกมา และมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสองตัวต่างก็สลายไป แต่ว่าแรงกดดันของฝ่ามือยักษ์ก็ลดลงไปมาก


สุดท้ายภายใต้การหักล้างของมังกรและพยัคฆ์หมอกที่เหลือ ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็ค่อยๆ สลายตัวกลายเป็นจุดแสงแวววาว


ตอนที่ 752 วังสวรรค์กับงานประตูสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ดีมาก ได้!” ชายชุดเหลืองเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากหันไปพยักหน้าให้กับอินจิ่วหลิงแล้ว ก็เดินออกไปจากวิหารใหญ่


พอได้ยินคำพูดที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุของอินจิ่วหลิง ในใจหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าที่ประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ลงมือทดสอบเขา มีวัตถุประสงค์ใดกันแน่


แต่ดูจากสีหน้าของอินจิ่วหลิงในเมื่อครู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอาจารย์รู้ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างดี


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังมองดูทิศทางที่เทียนเกอเจินเหรินจากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดนั้น น้ำเสียงของอินจิ่วหลิงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง


“เมื่อครู่ท่านประมุขเพียงแค่ทำทดสอบเล็กน้อยเท่านั้น งานประตูสวรรค์ในอีกสองปีข้างหน้า ทางนิกายตัดสินใจให้เจ้ากับศิษย์นิกายสายในอีกหลายคนที่มีการฝึกฝนต่ำกว่าระดับแก่นแท้เข้าร่วม หากเจ้าสามารถสร้างผลงานในงานประตูสวรรค์ได้ ถึงเวลานั้นทางนิกายย่อมตบรางวัลให้อย่างงาม”


“งานประตูสวรรค์!” หลิ่วหมิงหันตัวกลับมาด้วยใจที่เต้นแรง และกล่าวด้วยความประหลาดใจ


เรื่องราวเกี่ยวกับงานประตูสวรรค์ เขาไม่รู้ที่มาของมันเลยแม้แต่น้อย จำได้ว่านอกวังมายานภาหยกในปีนั้น ชายหนุ่มเผ่าปีศาจเคยพูดถึงงานประตูสวรรค์อยู่ แต่ว่าตอนนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับได้เป็นตัวแทนนิกายยอดบริสุทธิ์ไปร่วมงานนี้


แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกฉงนเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของนิกาย ทั้งยังมีการอนุญาตจากอาจารย์อินจิ่วหลิง เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม


“ได้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ถือว่าเป็นโชคดีของศิษย์ ศิษย์จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อนิกายของเรา”


“ดีมาก! แต่ว่าในระยะเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน เจ้าสามารถทะลวงระดับได้ถึงสองขั้น มันก็เหนือความคาดหมายของข้าไปมากแล้ว เดิมทีคิดว่าหากเจ้ายังมีการฝึกฝนที่ระดับผลึกขั้นต้นล่ะก็ ข้าอาจจะลังเลเรื่องนี้เล็กน้อย เพราะแม้ว่าการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์จะได้ประโยชน์ไม่น้อย แต่ก็อันตรายไม่เบาเช่นกัน เพียงแค่ไม่ระวัง ก็อาจจะเสียชีวิตในนั้นได้ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ ข้าก็วางใจเป็นอย่างมากแล้ว หลายปีมานี้เจ้าสามารถบรรลุระดับผลึกขั้นปลายได้ ดูท่าคงจะมีโอกาสดีไม่น้อย” อินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิงตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ เขาก็ค่อนข้างรู้สึกพอใจมาก หลังจากสังเกตดูอีกสองทีแล้ว ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที


“บอกอาจารย์อย่างไม่ปิดบัง หลายปีมานี้ศิษย์ได้พบโอกาสอันดีในหนานฮวงค่อนข้างมาก” หลิ่วหมิงอธิบายไปสองประโยค


ก่อนมาที่นี่เขาได้เก็บเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเข้าไปแล้ว เพราะหากจงใจปิดบังระดับการฝึกฝนต่อหน้าอาจารย์ อาจจะปล่อยไก่ออกมาได้


แม้ว่าเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์นี้จะสามารถปิดบังการรับรู้ของระดับดาราสวรรค์ทั่วไปลงมาได้ แต่ว่าอินจิ่วหลิงมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมยอดเขาของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไหนเลยที่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปจะสามารถเทียบได้ แม้จะบอกว่าสามารถสังหารผู้ฝึกฝนอิสระระดับดาราพยากรณ์ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย


“ในเมื่อมีโอกาสอันดีเช่นนี้ ก็เป็นความโชคดีของเจ้า ข้าเพียงแค่อยากจะเตือนสักหน่อย หากอาศัยโอสถเพิ่มพลังเวทอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า อาจส่งผลกระทบต่อการบรรลุระดับในภายหน้าของเจ้าเป็นอย่างมาก นอกจากนี้หากเจ้าพบปัญหาอะไรในการฝึกฝน ก็สามารถมาให้ข้าชี้แนะได้ตลอดเวลา” อินจิ่วหลิงได้ยินกลับกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ


“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม


ต่อมาหลิ่วหมิงก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับงานประตูสวรรค์อีกสองสามประโยค จากนั้นก็กล่าวลาอินจิ่วหลิงอย่างรีบร้อน และขี่เมฆไปยังหอเก็บคัมภีร์


ครึ่งวันต่อมา ภายหอเก็บคัมภีร์ หลิ่วหมิงค่อยๆ ปิดคัมภีร์เล่มหนึ่งลง และนำกลับไปวางไว้บนชั้นไม้


หลังจากตรวจสอบไปหนึ่งรอบ เขาถึงเข้าใจว่างานประตูสวรรค์คืออะไรกันแน่


ที่แท้งานประตูสวรรค์ที่พูดถึง เป็นงานประลองใหญ่ที่กลุ่มอิทธิพลลึกลับที่เรียกว่า ‘วังสวรรค์’ ที่มีมาแต่บรรพกาล เป็นผู้ดำเนินการ


ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ ทุกๆ แปดร้อยปี ‘วังสวรรค์’ จะเปิดแดนลึกลับแห่งหนึ่งที่เรียกว่าประตูสวรรค์ และส่งเทียบเชิญไปยังนิกาย และตระกูลใหญ่ต่างๆ ในแผ่นดินจงเทียนตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ให้เข้าร่วมทำการประลองแย่งชิงโอกาสอันดีและชะตาชีวิต


และผู้ที่เข้าไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์ จะต้องเป็นศิษย์ระดับแก่นแท้ลงมาที่มีอายุไม่เกินหนึ่งร้อยปีเท่านั้น


ว่ากันว่าในแดนลึกลับประตูสวรรค์มีสมบัติและวัตถุจิตวิญญาณชนิดต่างๆ มากมาย แม้กระทั่งยังมีซากของนิกายในสมัยบรรพกาลกับผนึกสืบสานอยู่ในนั้นด้วย และผู้ชิงสมบัติยิ่งมีมาก ก็จะได้รับโชคมากขึ้นด้วย


ใครก็ตามที่สามารถคว้าโชคในแดนลึกลับได้มาก นิกายที่สังกัดก็จะรับความรุ่งเรืองในระยะเวลาหนึ่งพันปีด้วย และนิกายที่คว้าโชคได้น้อย ก็จะเกิดภัยพิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่งพันปีหลังจากนี้อยู่ไม่หยุด ทำให้อิทธิพลลดลงไปมาก


แม้ว่าสี่ยอดนิกายใหญ่ และผู้ทรงพลังในกลุ่มอิทธิพลชั้นนำต่างๆ จะค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์กับเรื่องนี้มาก จนลงมือตรวจสอบเส้นสนกลในของวังสวรรค์อยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหมดก็กลับมาอย่างไร้ประโยชน์ รู้แค่ว่าวังสวรรค์ที่ลึกลับเป็นพิเศษนี้ ก็มีผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ประจำการอยู่เช่นกัน ทั้งยังไม่ได้มีแค่คนเดียว จะต้องไม่ใช่เรื่องที่สามารถดูถูกได้


 


ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ คนของวังสวรรค์จะปรากฏตัวในการเปิดแดนลึกลับประตูสวรรค์ในแต่ละครั้ง และก็หายไปอย่างลึกลับหลังจากแดนลึกลับประตูสวรรค์ปิดลง แม้ว่านิกายต่างๆ จะใช้วิชาเสี่ยงทายตามผังปากว้าตรวจสอบเรื่องนี้ ก็ไม่อาจทำนายออกมาได้


เวลานานเข้า เมื่อเห็นว่าผู้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ไม่มีผลกระทบอันใดต่อนิกายต่างๆ การส่งคนเข้าร่วมในทุกๆ แปดร้อยปีจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำสำหรับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ มิเช่นนั้นต่อให้จะเป็นนิกายใหญ่ หากโชคร้ายติดต่อกันหลายปี ก็รู้สึกรับไม่ไหวเช่นกัน


งานประตูสวรรค์ในครั้งที่แล้ว นิกายยอดบริสุทธิ์ชิงมาได้แค่อันดับสามเท่านั้น อยู่อันดับหลังของนิกายเทียนกง นิกายปีศาจลี้ลับ ซึ่งอยู่หน้าสำนักเฮ่าหรานเท่านั้น


จากคำพูดของอินจิ่วหลิง งานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ สถานการณ์ของนิกายยอดบริสุทธิ์แย่กว่าครั้งก่อนมาก เพราะงานประตูสวรรค์ตรงกับช่วงที่ศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ขาดแคลน ศิษย์เก่งกาจหลายคน หากไม่อายุเกิน ก็เพิ่งบรรลุระดับแก่นแท้ ซึ่งล้วนแต่ไม่อาจเข้าร่วมได้


มิเช่นนั้นเรื่องนี้คงมาไม่ถึงมือหลิ่วหมิงที่เพิ่งกลายเป็นศิษย์สายในในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้


เพราะการที่ได้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ แม้ว่าจะมีอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ว่าแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็มีโอกาสอันดีมากมานเช่นกัน อีกอย่างหากช่วยนิกายคว้าโชคมาได้ล่ะก็ ทางนิกายจะต้องตอบแทนให้อย่างงามแน่นอน


“อายุไม่เกินหนึ่งร้อยปี ระดับแก่นแท้ลงมา!” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา และรู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก


ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ หากลงมือด้วยพลังทั้งหมด แม้แต่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางก็อาจจะสังหารได้ ต่อให้จะเผชิญกับศิษย์ร้ายกาจของนิกายอื่นในงานประตูสวรรค์ คงเอาตัวรอดได้อย่างไม่มีปัญหา


ขณะนี้อยู่ห่างจากเวลาที่งานประตูสวรรค์เริ่มแค่สองปีเท่านั้น เวลากระชั้นชิดมาก หากจะยกระดับพลังเวทก็ไม่อาจทำได้ และหากจะออกนิกายไปหาโอกาสอันดี ก็จะต้องเร่งรีบในเรื่องของเวลาอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างเขาเพิ่งกลับมาจากด้านนอก เรื่องนี้จึงไม่อาจทำได้


“นักรบยันต์พลังผ้าเหลือง!”


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ตัดสินใจได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาวางแผนไว้เมื่อหลายวันก่อนแล้ว เขาเชื่อว่าหากปรับแต่งนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองให้แยกร่างได้สำเร็จ มันจะต้องกลายเป็นอาวุธทรงพลังในการรักษาชีวิตจนกระทั่งเอาชนะในงานประตูสวรรค์ได้


หลังจากวางแผนไว้ในใจแล้ว หลิ่วหมิงก็กลับที่พักอย่างไม่รอรี และเข้าสู่สถานะเก็บตัวอย่างจริงจัง


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ภายในห้องลับภายในถ้ำ


หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ สีเหลืองผืนหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ปิดลง เขากลั้นลมหายใจและตั้งสติ มือทั้งคู่ทำท่ามือที่ดูลึกลับอย่างรวดเร็ว


ขณะที่เขาทำท่ามือ ปรานจิตวิญญาณฟ้าดินที่อยู่รอบด้านก็เริ่มมารวมตัวบนท่ามือของหลิ่วหมิงอย่างต่อเนื่อง


ขณะที่หมุนท่ามือ ปราณจิตวิญญาณก็รวมตัวจนกลายเป็นกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณสีขาวสลัวๆ ที่มีขนาดเท่าแผ่นโม่


และด้านล่างของกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณ มีบาตรเงินที่เปล่งแสงสีขาววางอยู่หนึ่งใบ ในบาตรมียันต์สีทองอร่ามที่เปล่งแสงสีม่วงจางๆ วางอยู่


ขณะนี้ยันต์พลังผ้าเหลืองได้ดูดซับของเหลวจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ในบาตรไปพอประมาณแล้ว พื้นผิวของมันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ประจักษ์ชัดว่าได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว


“ได้เวลาแล้ว!”


ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา มือทั้งคู่เปลี่ยนท่ามือในทันที จะเห็นว่าแสงสีทองเปล่งประกายบนยันต์พลังผ้าเหลืองอย่างรุนแรง จากนั้นก็ส่งเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง ของเหลวสีม่วงจางๆ บนผิวยันต์ก็ถูกแสงสีทองแผดเผา จนระเหยเป็นหมอกจิตวิญญาณสีม่วง


พอหลิ่วหมิงชี้มือข้างหนึ่งออกไป ยันต์พลังผ้าเหลืองที่อยู่ท่ามกลางหมอกสีม่วงก็หมุนวนขึ้นฟ้า และพุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณสีขาวสลัวๆ ที่อยู่กลางอากาศโดยตรง


ยันต์พลังผ้าเหลืองสั่นสะท้านอยู่กลางกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณเบาๆ มันเปล่งแสงสีทองออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และโจมตีปราณจิตวิญญาณสีขาวที่สั่นสะเทือนอยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่อง


แสงสีทองกับแสงสีขาวโจมตีประสานกันไปมา กระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณก็เริ่มไม่มั่นคงเล็กน้อย


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขากัดลิ้นและพ่นโลหิตใส่ยันต์พลังผ้าเหลืองทันที


ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังออกไปติดต่อกันหลายครั้ง หลังจากยันต์พลังผ้าเหลืองส่งเสียงดังหวึ่งเบาๆ มันก็หมุนวนอยู่ในกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณ ทั้งยังหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ


หลิ่วหมิงเห็นว่ายันต์พลังผ้าเหลืองอยู่ในกระแสน้ำวนอย่างมั่นคงแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ต่อมาเขาก็ดีดนิ้วกระชั้นชิดขึ้นเรื่อยๆ และก็เริ่มร่ายคาถา


……


เรื่องราวเกี่ยวกับหลิ่วหมิงที่เคยมีชื่อเสียงในนิกายกลับมาที่ยอดเขา และยังถูกกำหนดให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ ได้แพร่กระจายในนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้ที่สนใจเป็นอย่างมาก


……


บนยอดเขาเลื่อนลอยที่มีเมฆหมอกรายล้อม ภายในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับยอดเขา


การตกแต่งภายในถ้ำไม่ค่อยหรูหรามาก ส่วนใหญ่จะใช้สีฟ้าเป็นหลัก แลดูสะอาดและงดงามเป็นอย่างมาก ใจกลางห้องโถงมีโต๊ะหินอยู่หนึ่งตัว บนโต๊ะมีกาน้ำชาหยกวางอยู่หนึ่งใบ ด้านข้างมีถ้วยชาสีฟ้าหยกวางอยู่สองใบ


ขณะนี้ มือเรียวเล็กข้าวหนึ่งกำลังยกกาหยกขึ้นมา และเทชาสีเขียวเข้มลงในถ้วยทั้งสอง จากนั้นก็ยื่นถ้วยชาให้กับหญิงที่อยู่ตรงหน้า


หญิงสาวที่ชงชาผู้นี้สวมชุดสีฟ้าทั้งตัว ผมยาวปะบ่า ใบหน้างดงามดูมีเสน่ห์และไร้เดียงสา ดวงตาสีฟ้าทั้งคู่เป็นประกาย นางก็คือเจียหลานนั่นเอง


และหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีผิวขาวราวกับหิมะ ชุดสีเขียวที่งดงามและสุภาพ ขับให้รูปร่างที่อ่อนช้อยของนางดูเด่นขึ้นมา นางคือหลงเหยียนเฟยจากยอดเขากระบี่สวรรค์นั่นเอง


หลังจากทั้งสองรู้จักกันที่เจดีย์ซวีหลิงแล้ว ก็กลายเป็นสหายที่ดีต่อกันมาโดยตลอด


“ศิษย์พี่หลง เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลามาหาศิษย์น้องได้?” เจียหลานรวบผมข้างใบหูแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ


“ทำไมล่ะ! หรือว่าศิษย์น้องเจียหลานไม่อยากต้อนรับข้า?” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ตอนที่ 753 เรื่องวุ่นวาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์น้องไหนเลยจะกล้า เพียงแต่หลายวันก่อนได้ยินมาว่า ศิษย์พี่ถูกเลือกให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วย เวลานี้แล้วเหตุใดถึงยังมีเวลามาคุยเล่นกับข้าเล่า?” เจียหลานส่ายหน้ากล่าว


“สิ่งที่ต้องเตรียม ย่อมเตรียมเสร็จนานแล้ว ที่มาในครั้งนี้เพราะได้ยินข่าวลือในนิกายเรื่องหนึ่ง คิดว่าศิษย์น้องเจียหลานก็คงจะสนใจเช่นกัน” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“อ๋อ! ช่วงนี้ศิษย์น้องเก็บตัวอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในนิกาย?” เจียหลานขมวดคิ้วกล่าว


“ศิษย์น้องเจียหลานเคยได้ยินไหมว่า ศิษย์น้องหลิ่วกลับนิกายมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ทั้งยังถูกประมุขเลือกให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ด้วย” หลงเฟยเหยียนปราดตามองเจียหลานทีหนึ่ง หลังจากจิบชาหอมกรุ่นแล้ว ก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“หรือว่า…ศิษย์พี่หลงหมายถึงหลิ่วหมิงหรือ?” เจียหลานได้ยินก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา


“นอกจากศิษย์น้องหลิ่วหมิงผู้นี้แล้ว ยังจะมีใครอีก? หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไปแอบฝึกฝนอยู่ที่ใดกัน หนึ่งเดือนก่อนที่เพิ่งกลับมานิกาย ข้าเองก็บังเอิญได้ยินศิษย์ในยอดเขาหลายคนพูดถึงเรื่องนี้ ว่ากันว่าถูกศิษย์น้องซาทงเทียนพบโดยบังเอิญ จึงเกิดการท้าประลองในทันที หลังจากทั้งสองแลกมือกัน ศิษย์น้องซาก็พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้พลังของศิษย์น้องหลิ่วจะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าได้บรรลุระดับผลึกขั้นปลายแล้ว” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“แม้ว่าในนิกายจะเล่าลือกันว่าศิษย์พี่หลิ่วมีคุณสมบัติไม่ดี แต่ตอนที่เป็นศิษย์สายนอกก็สามารถกดดันสาขาทั้งแปดได้ ตอนนี้มีการฝึกฝนระดับนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้ข้าที่เข้านิกายมาพร้อมกับศิษย์พี่หลิ่ว รู้สึกละอายใจยิ่งนัก” เจียหลานเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ศิษย์น้องเจียหลาน เจ้าเข้านิกายช้าเกินไป ดังนั้นงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ถึงไม่มีชื่อของเจ้า แต่ว่าด้วยวิชามายาสวรรค์ของเจ้า วันหน้าจะต้องโดดเด่นในแผ่นดินจงเทียนอย่างแน่นอน!” หลงเหยียนเฟยกะพริบตา และเริ่มพูดปลอบใจไปสองประโยค


“ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว พลังของศิษย์น้องเปราะบาง ไหนเลยจะกล้าเปรียบเทียบศิษย์พี่คนอื่นๆ ในนิกาย” เจียหลานหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่จะว่าไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องเจียหลานจะประเมินค่าศิษย์น้องหลิ่วหมิงสูงเช่นนี้ จะว่าไปเจ้าเด็กนี่ก็บรรลุระดับเร็วมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็เข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว เป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่ศิษย์หลิ่วเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ยังเป็นเรื่องที่ฝืนไปหน่อย อย่างที่รู้ว่า ผู้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์นั้นแข็งแกร่งมาก ศิษย์ที่แต่ละสำนักแต่ละนิกายส่งมา ล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นในนิกาย ดูเหมือนต่างก็มีพลังเหนือกว่าระดับเดียวกัน แม้กระทั่งอาจมีศิษย์ระดับแก่นเสมือนปรากฏอยู่ไม่น้อย!” หลงเหยียนเฟยถอนหายใจและกล่าวออกมา


นางย่อมมีสิทธิ์พูดเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นไม่นานนางได้บรรลุระดับแก่นเสมือนแล้ว มีพลังในการต่อสู้กับระดับแก่นแท้ขั้นต้นโดยทั่วไปได้


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ จากการคาดการณ์จากงานประตูสวรรค์ที่ผ่านมา พลังของนางในงานประตูสวรรค์ก็อยู่ในระดับกลางถึงสูงเท่านั้น ไม่อาจเทียบกับผู้มีพรสวรรค์แท้จริงเหล่านั้นได้


“ศิษย์พี่หลงไม่มีความเชื่อมั่นศิษย์พี่หลิ่วเลย ศิษย์น้องกลับคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำให้คนในงานประตูสวรรค์จำนวนมากรู้สึกตกใจได้ ไม่แน่อาจจะเข้าสู่สิบอันดับแรกก็เป็นไปได้” เจียหลานกล่าวด้วยสีหน้าสงบ แต่มีความหนักแน่นในน้ำเสียง


“สิบอันดับแรก?” หลงเหยียนเฟยเบิกตาค้าง จนเกือบจะพ่นชาที่ดื่มเข้าไปออกมา


“หากศิษย์พี่หลงไม่เชื่อ ก็ลองเดิมพันกับศิษย์น้องได้ ถ้าศิษย์พี่หลิ่วได้สิบอันดับแรกในงานประตูสวรรค์จริงๆ ศิษย์พี่ก็แค่รับปากศิษย์น้องเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งก็พอ แต่หากศิษย์น้องแพ้ล่ะก็ จะมอบสร้อยข้อมือทางช้างเผือกนี้ให้กับศิษย์พี่!” เจียหลานหัวเราะเบาๆ และนำสร้อยข้อมือสีเงินแวววาวออกมาหนึ่งเส้น มันดูคล้ายกับทางช้างเผือกย่อส่วน และยังเปล่งแสงแวววับจับตา แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดทั่วไป


“เอาล่ะ! ข้าตกลงเดิมพันในครั้งนี้ ข้าเป็นศิษย์พี่ย่อมไม่อาจเอาเปรียบเจ้าได้ หากเจ้าชนะ ศิษย์พี่ไม่เพียงแต่รับปากเจ้าหนึ่งเรื่อง ทั้งยังจะมอบกำไลตั๊กแตนหยกให้เจ้าด้วย” หลงเหยียนเฟยขยับกำไลหยกสีขาวบนข้อมือแล้วกล่าวออกมา


เจียหลานได้ยินก็เผยรอยยิ้มพราว แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา


“ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงเชื่อมั่นศิษย์น้องหลิ่วเช่นนี้ ได้ยินมาว่าศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องเจียหลานมาจากสถานที่เดียวกัน พวกเจ้าทั้งคงไม่ได้มีความสัมพันธ์อื่นกันหรอกนะ” เจียหลานยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา คิดไม่ถึงว่าหลงเหยียนเฟยจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชวนหัวเราะ


นางย่อมมองออกว่าเมื่อครู่เจียหลานกำลังแหย่นางอยู่ แต่ว่านางไม่ได้ถือหางหลิ่งหมิงเลยจริงๆ


“ศิษย์พี่พูดเหลวไหลแล้ว!” เจียหลานได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย


“เอาล่ะ! เอาล่ะ! ไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว! แต่จะว่าไปแล้ว งานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์น้องหลิ่วหรือข้า ก็ล้วนเป็นแต่ผู้โดดเด่นธรรมดาเท่านั้น” หลงเหยียนเฟยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“อ๋อ! ศิษย์พี่หมายถึง…”


“ยอดเขาสวรรค์ลี้ลับที่เป็นยอดเขาอันดับหนึ่งในนิกาย หลายปีก่อนได้ปรากฏตัวผู้มากพรสวรรค์ที่มีชื่อว่า ‘หลัวเทียนเฉิง’ มีร่างจิตวิญญาณตูเทียนในตำนาน ว่ากันว่ามีอานุภาพอันน่าหวาดกลัวมาก ตอนนี้คนผู้นี้เพิ่งจะบรรลุระดับผลึกขั้นต้น ได้ยินมาว่าเคยแลกมือกับผู้ฝึกฝนสายปีศาจระดับแก่นแท้มาก่อน ผลลัพธ์คือทั้งคู่เสมอกัน ตอนนี้เขาถูกผู้อาวุโสหลายคนในนิกายให้ความสำคัญ และระบุเป็นที่แน่นอนว่าจะให้เป็นศิษย์ลับแล้ว และก็เป็นศิษย์ที่เพิ่งพาได้มากที่สุดในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น


“หลัวเทียนเฉิง!”


เจียหลานฟังจบ ก็ไม่ได้พูดต่อแต่อย่างใด แต่แววตาของนางเปล่งประกายผิดปกติอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดใคร่ครวญเรื่องอะไรอยู่


……


ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำบางแห่งบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณ


ภายในถ้ำที่พักเป็นสีแดงไปทั้งแถบ มีเปลวไฟสีแดงพวยพุ่งอยู่ทุกหนแห่ง ปรานจิตวิญญาณอัคคีก่อตัวเป็นมังกรไฟ และอสรพิษไฟ พวกมันต่างก็ส่งเสียงคำรามอยู่กลางอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้แต่พื้นและผนังต่างก็มีแนวโน้มที่จะละลายขึ้นมา ห่างออกไปค่อนข้างไกล ยังรู้สึกได้ถึงคลื่นลมร้อนที่พัดเข้ามาปะทะหน้า


ภายในห้องลับที่อยู่ส่วนลึกของถ้ำที่พัก ชายหนุ่มผมแดง สวมชุดสีแดงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะที่ดูคล้ายกับกองไฟ เสียงหายใจของเขาดังเป็นอย่างมาก ทำให้เปลวไฟโดยรอบเกิดการแปรปรวนขึ้นมา


ทันใดนั้น มีเสียงดังหวึ่งๆ บนเอวของคนผู้นี้ ชายหนุ่มผมแดงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขาพลิกฝ่ามือนำแผ่นค่ายกลออกมา ส่วนมืออีกข้างก็ปล่อยพลังเข้าไปในนั้น


ครู่ต่อมา แสงแวววาวก็หมุนวนอยู่บนแผ่นค่ายกล อักขระเล็กๆ ปรากฏออกมาแถวหนึ่ง พอชายผมแดงกวาดสายตามองดูแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูเยือกเย็นขึ้นมาทันที


“หลิ่วหมิง…” ชายผมแดงพูดพึมพำออกมาหนึ่งที หลังจากส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็เงียบลงไปอย่างรวดเร็ว


ฉากเดียวกัน ได้เกิดขึ้นบนยอดเขาลูกอื่นๆ เพียงแต่ว่าบางคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา บ้างก็ค่อนข้างรู้สึกตื่นตระหนกมาก บ้างก็รู้สึกโกรธแค้น…


ภายในห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ท้องฟ้าสีครามเต็มไปด้วยชั้นเมฆสีเทาที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ซึ่งมองไม่เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เลย แต่กลับมีแสงสาดส่องลงมาจากช่องว่างในก้อนเมฆ


ใต้ท้องฟ้าเป็นผิวน้ำนิ่งสงบที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ใจกลางผิวน้ำมีเกาะรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่แห่งหนึ่ง


ภายในศาลาที่ตั้งอยู่บนเกาะอย่างโดดเดี่ยว ชายหนุ่มสวมชุดผ้าแพรสีทองกับชายวัยกลางคนชุดสีเหลืองที่มีมงกุฎหยกติดอยู่บนศีรษะ กำลังนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ ซึ่งโต๊ะที่อยู่ตรงกลางก็มีกระดานหมากสีดำวางอยู่ด้วย


ชายชุดคลุมสีทองมีใบหน้าหล่อเหลา แม้ว่าจะมีการฝึกฝนแค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่กลิ่นไอที่แผ่ออกมาจากตัวก็ดูทรงพลังมาก หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่ด้วย จะต้องจำได้ว่าเขาคือจินเทียนชื่อที่มีวาสนาพบเจอกับเขาอยู่หลายครั้ง


และชายวัยกลางคนสวมมุงกฎหยกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ดูสง่างามและน่าเกรงขาม เขาก็คือเทียนเกอเจินเหริน ประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ที่หลิ่วหมิงเคยเจอบนยอดเขาลั่วโยวนั่นเอง


“จะว่าไปแล้ว ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องแบบมาก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้ถึงตั้งใจออกหน้าให้ศิษย์ของยอดเขาลั่วโยวผู้นั้นเข้าร่วมงานประตูสวรรค์? ข้าได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหลิ่วหมิงผู้นั้นแล้ว แต่ก่อนตอนที่เป็นศิษย์สายนอกนั้น ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ในการประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก ยังเคยแลกมือกับเจ้าหนึ่งครั้ง แต่นี้คงไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าแนะนำเขาหรอกนะ” เทียนเกอเจินเหรินค่อยๆ วางหมากลงบนกระดาน และมองดูจินเทียนชื่อที่นั่งนิ่งเป็นภูเขา จากนั้นค่อยๆ ถามออกมา


จินเทียนชื่อคีบหมากสีขาวด้วยสีหน้าจดจ่ออยู่ และค่อยๆ วางลง จากนั้นก็แหงนหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “การประลองจิตวิญญาณในวันนั้น ข้ารู้สึกถึงอกถึงใจมาก”


เทียนเกอเจินเหรินเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา และกล่าวต่อ “เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงมาก่อน จะว่าไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงวิ่งไปเข้าร่วมงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกในครั้งนั้น?”


จินเทียนชื่อเอามือแตะคางทำราวกับไม่ได้ยิน สายตายังคงจดจ่ออยู่กับกระดานหมาก


เทียนเกอเจินเหรินถอนหายใจ และหยิบหมากสีดำวางลงอีกด้านหนึ่ง และกล่าวต่อ “หลังจากหลิ่วหมิงผู้นั้นบรรลุระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่น่าทึ่ง หลายปีมานี้ก็แอบฝึกฝนอยู่นอกนิกาย สามารถพูดได้ว่าไม่ได้มีชื่อเสียงในบรรดาศิษย์สายในเลยแม้แต่น้อย”


“แม้จะบอกว่านิกายเรามีความขาดแคลนเล็กน้อย แต่ว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่าหนึ่งร้อยปี และผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ลงไปก็มีไม่น้อย ในนั้นมีผู้ที่มีการต่อสู้อันน่าตกใจมากมาย แม้กระทั่งผู้ที่เคยทำเรื่องบางอย่างที่สร้างความตกใจให้กับคนในนิกาย ข้าก็ได้ทดสอบไปหมดแล้วในก่อนหน้า ดูจากการฝึกฝนของเขาแล้ว มันอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลายจริงๆ แม้ว่าพลังเวทจะบริสุทธิ์มาก ซึ่งไม่เหมือนกับการบรรลุระดับที่อาศัยการฉวยโอกาสตามที่เล่าลือแต่อย่างใด แต่หากคิดที่จะช่วงชิงผลประโยชน์ในงานประตูสวรรค์ให้นิกายอย่างเพียงพอ เกรงว่าคงยังมีพลังไม่ถึง?”


“ท่านประมุขคิดมากไปแล้ว ข้าก็แค่ไม่รู้สึกขัดหูขัดตาเขา ก็เลยแนะนำกับท่านเท่านั้น” จินเทียนชื่อหาวและกล่าวออกมา หลังจากนั้นก็วางหมากลงบนกระดานอีกเม็ด


“ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูด ก็ช่างเถอะ! แต่ว่าในบรรดาศิษย์ที่เดิมทีถูกคาดหวังว่าจะได้รับคัดเลือก หากรู้ว่ามีคนที่ไม่มีชื่อเสียงมาครอบครองตำแหน่งสำคัญไปเช่นนี้ ย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เป็นเพราะข้อเสนอของเจ้า ข้าถึงระงับไว้ได้ แต่หากศิษย์เหล่านี้ไปหาเรื่องเจ้าเด็กนี่ ให้เขาละทิ้งการเข้าร่วมงานครั้งนี้ไปล่ะก็ ข้าก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงแล้ว” พอเทียนเกอเจินเหรินกล่าวมาถึงจุดนี้ ก็ละสายตาลงบนตัวของจินเทียนชื่อ


“เช่นนี้ก็ดี หากใครไม่ยอมรับ ก็ไปหาหลิ่วหมิงเพื่อทำการประลองก็พอ เดิมทีนิกายเราก็อาศัยพลังในการพูดคุยกัน หากสามารถโจมตีหลิ่วหมิงจนพ่ายแพ้ได้ ก็เปลี่ยนจากหลิ่วหมิงเป็นพวกเขาไปเข้าร่วมงานประตูสวรรค์แทน ซึ่งเรื่องราวควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!” จินเทียนชื่อได้ยินกลับหัวเราะออกมา ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจในเรื่องนี้เลย


แม้ว่าเทียนเกอเจินเหรินจะรู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของจินเทียนชื่อ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรมากได้ ทันใดนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพูดคุยเล่นไปด้วย และเล่นหมากไปด้วย


สามเดือนต่อมา ห้องลับภายในถ้ำที่พักบนยอดเขาลั่วโยว


หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ไอสีขาวสลัวๆ ที่หมุนวนอยู่ค่อยๆ จางลง และถูกแทนที่ด้วยหมอกขาวเป็นเส้นๆ ที่พุ่งไปรวมตัวกับยันต์พลังผ้าเหลือง


ตอนที่ 754 ยั่วยุถึงที่

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากดูดปราณจิตวิญญาณเข้าไปจำนวนมากเช่นนี้ ยันต์พลังผ้าเหลืองที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นมา หลังจากยืดตัวให้สูงเท่าคนหนึ่งคนแล้ว ถึงหยุดขยายตัวลง และลอยอยู่กลางอากาศ


หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมา และอ้าปากพ่นพลังเวทบริสุทธิ์ใส่ยันต์นักรบพลังผ้าเหลือง


ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองเปล่งแสงสีทองอร่าม เงาร่างมนุษย์สลัวๆ เงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมา


“เร็ว!” หลิ่วหมิงเพ่งตามอง และปล่อยพลังลึกลับลงบนยันต์สีทองอร่าม แสงสีเขียวถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้นอย่างลางๆ จากนั้นก็กะพริบหายเข้าไประหว่างคิ้วของเงาร่างมนุษย์


เงาร่างมนุษย์สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีทองเจิดจ้าก็เปล่งประกายในฉับพลัน หลังจากแสงสีทองดับลง ใบหน้าที่ดูพร่ามัวก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็เผยนิสัยของมนุษย์ออกมา


หลิ่วหมิงมองดูและปล่อยพลังลึกลับออกไปอีกหลายสาย


ผลลัพธ์คือพอเงาร่างมนุษย์ดูดซับพลังไปแล้ว ร่างก็ดูชัดเจนขึ้นมา เมื่อหลิ่วหมิงหยุดปล่อยพลังออกมานั้น เงาร่างก็กลายเป็นกึ่งโปร่งแสง และใบหน้าก็มีส่วนคล้ายกับหลิ่วหมิงแปดเก้าส่วน เพียงแต่ว่ามันหลับตาทั้งคู่ และยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ ผิวเป็นสีทองอร่ามทั้งตัว แลดูเหมือนจริงเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาดีใจออกมา เขาเดินวนดูร่างแบ่งของยันต์พลังผ้าเหลืองไปหนึ่งรอบ หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ปล่อยพลังใส่เข้าไปบนตัวนักรบยันต์พลังผ้าเหลือง


ครู่ต่อมา แสงสีทองก็เปล่งประกายบนตัวนักรบยันต์พลังผ้าเหลือง มันลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที ใบหน้าเย็นยะเยือก ไร้ซึ่งความรู้สึก เพียงแต่ว่าในส่วนลึกของแววตามีพลังจิตวิญญาณปรากฏอยู่รำไร


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง รู้สึกถึงภาพลวงตาอยู่ลางๆ นักรบยันต์ผ้าเหลืองในตอนนี้ ดูเหมือนจะเชื่อมผนึกกับตัวเองอย่างแปลกประหลาด


ภายใต้การคิดพิจารณาเล็กน้อย เขาก็กระตุ้นพลังนักรบพลังผ้าเหลืองตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ทันที


ร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองทำเสียงฮึดฮัดทันที มือเท้าพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง กำปั้นทั้งคู่ชกผ่านอากาศไปทางผนังถ้ำ


ท่ามกลางไอดำที่แผ่กระจาย มีเสียงมังกรร้องพยัคคำรามดังอยู่ไม่หยุด มังกรหมอกตัวห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกดำห้าตัวก่อตัวขึ้นมาจากแขนทั้งสองข้างของนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองอย่างรวดเร็ว และพุ่งใส่ผนังถ้ำพร้อมกัน


“โครมคราม!”


ผนังถ้ำอันแข็งแกร่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภายใต้ไอดำอันพวยพุ่ง มีก้อนหินและเศษทรายร่วงลงมาราวกับแผ่นดินไหว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย พอเอามือข้างหนึ่งแตะระหว่างคิ้ว กระบี่เล็กสีทองจางๆ เล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา พอสั่นไหวตามลม มันก็กลายเป็นกระบี่ที่ยาวสองฉื่อแปดชุ่นและหมุนอยู่กลางอากาศ มันแผ่แสงสีทองจางๆ ออกมา


หลิ่วหมิงดูดกระบี่บินเข้ามาในมือ และแทงกระบี่ออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ฟิ้ว!” แสงกระบี่ลำหนึ่งพุ่งยิงออกมา และยิงใส่คอหอยของร่างแบ่งพลังผ้าเหลารวดเร็วดุจสายฟ้า


ตอนที่หลิ่วหมิงลงมือนั้น ไม่มีลางบอกเหตุเลยแม้แต่น้อย พอร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองเผชิญหน้ากับกระบี่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ กลับหดหัวกลับไปด้านหลัง “ตุ๊บๆ!” และร่นถอยไปหลายก้าว พริบตาเดียวก็หลบกระบี่ที่จ่อคอหอยนี้ได้ ขณะเดียวกันพอแสงสีทองเปล่งประกายบนแขน แขนทั้งท่อนก็กลายเป็นโล่สีทองต้านทานแสงกระบี่ตรงหน้าไว้


“ฟิ้ว!”


ภายใต้การเปล่งประกายของแสงกระบี่ ทำให้โล่สีทองกลายเป็นสองส่วนอย่างรวดเร็ว


โล่นี้สร้างขึ้นมาจากพลังเวท ย่อมต้านทานความแหลมคมของกระบี่ว่างเปล่าไม่ได้ ร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองถือโอกาสนี้เคลื่อนไหวออกไปหนึ่งจั้งกว่าๆ


“เต๊ง!” โล่ที่ถูกฟันขาดครึ่งหนึ่งเพิ่งจะร่วงลงถึงพื้น


“ไม่เลว มีพลังของข้าอยู่บ้างจริงๆ ปฏิกิริยาตอบสนองก็รวดเร็วมาก!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ และไม่ได้ไล่โจมตีต่อ แสงสีทองเปล่งประกายบนมือเล็กน้อย และกระบี่บินว่างเปล่าก็ถูกเก็บเข้าไป


ร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองโค้งตัวให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย โล่ครึ่งหนึ่งที่อยู่บนพื้นเปล่งแสงประกาย และกลายเป็นแสงสีทองลำหนึ่ง จากนั้นก็กะพริบหายไปบนแขนซ้าย


ดูเหมือนว่าของเหลวสีทองในร่างจะขยับตัวขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง และกลับกลายเป็นแขนข้างที่มีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง


หลิ่งหมิงเห็นฉากเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาเผยสีหน้าดีใจออกมาจริงๆ แล้ว


จะว่าไปแล้วในระหว่างที่ทำการปรับแต่ง ร่างแบ่งนี้ เขาได้ทำตามบันทึกในคัมภีร์ โดยใส่วัสดุล้ำค่าในหนวนฮวงที่มีชื่อเรียกว่า เรียกว่า ‘ทรายคุนจิน’ เข้าไปด้วย ทำให้ร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจราวกับของเหลว


และตามการคาดการณ์ของเขา ร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองนี้ จะมีพลังเวทของเขาราวๆ หกส่วน นี่เพิ่งปรับแต่งเสร็จเท่านั้น จิตส่วนหนึ่งที่ใส่เข้าไปในร่างแบ่งยังไม่สามารถควบคุมร่างกายได้โดยสมบูรณ์ รอเวลาผ่านไปนานเข้า พลังการต่อสู้คงจะถูกยกระดับขึ้นมาไม่น้อย


แน่นอนว่าร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองไม่อาจสืบทอดความแข็งแกร่งของกายเนื้อของร่างจริง และพลังของกระบี่บินว่างเปล่ารวมไปถึงพลังของสมบัติติดตัวชิ้นอื่นๆ ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกรอคอยขึ้นมาแล้ว


หลิ่วหมิงระงับความดีใจไว้ พองอนิ้วชี้ออกไป นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองก็กลายเป็นยันต์พลังผ้าเหลือง และถูกเขาเก็บเข้าไปในร่าง


การปรับแต่งร่างแบ่งในครั้งนี้ ทำให้เขาสูญเสียพลังไปไม่น้อย โดยเฉพาะวิธีการปรับแต่งจำเป็นต้องแบ่งวิญญาณออกมาส่วนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะมีหนอนพลังจิตคอยช่วย แต่ก็รู้สึกแบกรับไม่ไหวเช่นกัน


เวลาต่อมา เขานั่งขัดสมาธิลงพื้นทันที และเริ่มเก็บตัวเข้าฌาน เพื่อเตรียมฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป


สองเดือนต่อมา ประตูห้องลับที่ปิดสนิทมานานถูกเปิดออกในฉับพลัน หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินออกมาจากในนั้น


หลังจากเข้าฌานฟื้นฟูพลังไปรอบหนึ่งแล้ว พลังของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาในที่สุด ทันใดนั้นเขาคิดจะไปที่วิหารลี้ลับ เพื่อตรวจสอบดูข่าวคราวเกี่ยวกับอสูรว่างเปล่า


เขาทักทายหญิงสาวกับเด็กชายทีหนึ่ง หลังจากนำทั้งสองเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว ก็เดินตรงไปที่ประตูใหญ่ทันที


พอหลิ่วหมิงออกจากถ้ำที่พัก และกำลังจะทะยานขึ้นฟ้านั้น เขาก็ต้องหันไปมองท้องฟ้าอีกด้านด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที


ผ่านไปสักพัก ลำแสงก็เปล่งประกายตรงขอบฟ้า มีแสงหลบหลีกสองลำพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงทันที ดูจากทิศทางแล้วแสงหลบหลีกนี้กำลังพุ่งมายังถ้ำที่พักของเขา


“ฟิ้วๆ!”


แสงหลบหลีกสองลำร่วงลงราวกับฝนดาวตก ซึ่งห่างจากด้านหน้าหลิ่วหมิงไปหลายจั้ง ทำให้เกิดกระแสอากาศสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง และร่างของชายหนุ่มสองคนก็ปรากฏออกมา


คนที่อยู่ด้านหน้าสวมชุดคลุมยาวสีแดงเพลิง อายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ใบหน้าหล่อเหลา มีแสงสีแดงพุ่งออกมาระหว่างคิ้วอยู่รำไร ทำให้รู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตาว่า ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นลูกไฟที่ร้อนแรงหนึ่งลูก


แม้ว่าชายอีกคนจะมีรูปร่างผอมสูง แต่ว่าบนตัวล้วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ซึ่งดูราวกับเหล็กดำ ดูเหมือนว่าจะมีพลังระเบิดที่รุนแรงแฝงอยู่ในนั้น


“ศิษย์พี่ทั้งสองคือ?” หลิ่วหมิงมองดูผู้ที่ไม่ได้มาดีทั้งสองด้วยสีหน้าปกติ และค่อยถามๆ ออกมา


“ข้าคือกู่อวี้จากยอดเขาเฉาหยวนเฟิง ด้านข้างนี้คือซือหม่าชงจากยอดเขาแสงทองคำ” ชายชุดแดงสังเกตดูหลิ่วหมิงสองที และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


ซือหม่าชง ชายที่สวมชุดดำก็จ้องตาหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่ดูราวกับคมดาบ และไม่ได้พูดอะไรออกมา


“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่กู่กับศิษย์พี่ซือหม่า ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว! ท่านทั้งสองมาหาข้าน้อยถึงที่ มิทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะ?” หลิ่วหมิงทำราวกับมองไม่เห็นสายตาของทั้งสอง ยังคงถามออกไปอย่างสงบ


“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยวหรือ?” ในที่สุดซือหม่าชงก็เผยรอยยิ้มวออกมาอย่างเยือกเย็น


“คือข้าน้อยเอง” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ดีมาก! ไม่ทำให้ข้ารอเสียเวลาเปล่า พวกข้าทั้งสองมาหาเจ้าเพราะจะบอกกับเจ้าว่า มอบสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้มาซะ” ซือหม่าชงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น


หลิ่งหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นมา และใช้สายตาแปลกประหลาดสังเกตดูทั้งสองใหม่อีกครั้ง


“ทำไมล่ะ! ยังต้องให้ข้าพูดใหม่อีกรอบหรือ? เรื่องใหญ่อย่างงานประตูสวรรค์นี้ ด้วยระดับการฝึกฝนของเจ้า ถึงไปก็ไร้ประโยชน์ และงานประตูสวรรค์เกี่ยวพันถึงความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของนิกายเราในหลายร้อยปีหน้า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถรับผิดชอบได้ ทางที่ดีศิษย์น้องไปพูดกับอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาสักหน่อย และยอมถอนตัวออกไปซะ” พอเห็นหลิ่วหมิงมีท่าทีเช่นนี้ กู่อวี้กลับทำเสียงฮึดฮัด และกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอยากขำเล็กน้อย!


จากความเข้าใจงานประตูสวรรค์ของเขา เขาก็คาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าอาจจะมีคนรู้สึกไม่พอใจที่เขาเข้าร่วมงานใหญ่ในครั้งนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาหาถึงถ้ำที่พัก และให้เขามอบสิทธิ์ในการเข้างานประตูสวรรค์ให้ด้วย


พอนึกถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“เกรงว่าคงจะต้องทำให้ศิษย์พี่ทั้งสองผิดหวังแล้ว การเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ของข้าน้อยในครั้งนี้ ท่านประมุขเป็นคนกำหนดเอง ข้าน้อยไม่อาจถอนตัวเองได้ หากศิษย์พี่ทั้งสองไม่มีธุระอื่นแล้ว เชิญกลับไปเถอะ! ข้าน้อยยังมีเรื่องสำคัญบางอย่าง ต้องขอลาก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็เดินผ่านด้านข้างของทั้งสองไป


กู่อวี้กับซือหม่าชงได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก


“หยุดนะ! ยังพูดไม่ทันจบก็คิดจะไปแล้ว! และอย่าคิดที่จะเอานิกายมาข่มขู่พวกเรา แต่ไหนแต่ไรมานิกายยอดบริสุทธิ์ล้วนใช้พลังในการพูดจา เพียงแค่โจมตีเจ้าจนคลานอยู่บนพื้น ข้าไม่เชื่อว่าทางนิกายจะยังให้เจ้าไปเข้าร่วมงานประตูสวรรค์อีก ข้าจะพูดแค่ประโยคเดียว จะมอบสิทธิ์ของเจ้าออกมาหรือไม่!” ชายชุดแดงหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอร่างของเขาเคลื่อนไหว ก็มาขวางอยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น ชาวชุดแดงกลับพุ่งขึ้นฟ้า พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง อักขระแปลกประหลาดที่ดูราวกับโลหิตก็ปรากฏออกมาบนหน้าผาก เปลวไฟบนตัวคุโชนอย่างรุนแรง ไอร้อนแผ่ออกมา อากาศบริเวณรอบๆ ก็เริ่มมีลายคลื่นสีแดงจางๆ ปรากฏออกมา


เกิดเสียงโครมครามรอบด้าน คลื่นอัคคีอันร้อนแรงก่อตัวขึ้นมา ครู่เดียวก็กลายเป็นเมฆอัคคียักษ์ปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกว่าจั้ง และร่างของกู่อวี้ก็จมหายเข้าไปในนั้น ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าตกใจก็พุ่งลงจากฟ้า และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง


“ร่างสุริยาแผดเผา มิน่าล่ะถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้” หลิ่วหมิงแหงนหน้าหรี่ตาทั้งคู่ลง และพยักหน้าเล็กน้อย เขายังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนเขาจะรู้สึกเฉยๆต่อแรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าตกใจที่กู่อวี้แผ่ออกมา


กู่อวี้ที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหมาก เขาส่งเสียงคำรามออกมาทันที นิ้วทั้งสิบปล่อยลำแสงสีแดงใส่เมฆอัคคีติดต่อกัน


ภายใต้สถานการณ์ที่มีปราณจิตวิญญาณเปลวไฟกระพือฮือโหมอย่างต่อเนื่อง เมฆอัคคีก็ขยายตัวอย่างบ้าคลั่งจนมีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ สีของมันก็เปลี่ยนจากสีส้มจนกลายเป็นสีแดงเข้ม แสงสีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายเจิดจ้าตรงขอบ


เกิดเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังขึ้นมา!


เมฆอัคคีพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอสรพิษเพลิงตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในนั้น


อสรพิษยักษ์ยาวสามสิบกว่าจั้ง มีเกล็ดสีแดงเข้มปกคลุมทั้งตัว มีเปลวไฟเผาไหม้อยู่บนนั้น บนหัวมีเขาปะการังอยู่หนึ่งคู่ ดวงตาทั้งคู่ดูราวกับมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ และดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก


ซือหม่าชงเห็นเช่นนี้ ก็ร่นถอยออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น


เขารู้ดีว่าเคล็ดวิชาของกูอวี้แตกต่างจากเคล็ดวิชาควบแน่นเปลวไฟเป็นอสูรทั่วไปมาก ร่างของอสรพิษเพลิงที่สร้างขึ้นมาเต็มไปด้วยเปลวไฟบริสุทธิ์ พอพ่นเปลวไฟอันร้อนแรงออกมา แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ก็อาจจะละลายขึ้นมาได้ เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าหลิ่วหมิงจะสามารถต้านทานอสรพิษเพลิงตัวนี้ได้


ตอนที่ 755 ร่างจันทราถึงสุริยา

โดย

Ink Stone_Fantasy

จะบอกว่าช้าแต่กลับรวดเร็วมาก ภายใต้การสะบัดหัวของอสรพิษเพลิง เปลวไฟอันพวยพุ่งก็ถูกพ่นออกมาทันที และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างล้นหลาม


เปลวไฟยังไม่ทันเข้าใกล้หลิ่วหมิง ไอร้อนก็กดดันเข้ามาราวกับภูเขา


หลิ่วหมิงไม่กระพริบตาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอสรพิษนี้จะมีพลังมาก แต่กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ก็เกิดเสียงกระบี่ดังกังวาน เงากระบี่สีทองเปล่งประกายออกมา และแผ่ขยายออกไปเป็นรูปพัด กลิ่นไอกระบี่อันครั่นคร้ามพวยพุ่งออกมาทันที


ครู่ต่อมา ท่ามกลางเสียงดังหวึ่งๆ เงากระบี่ก็รวมตัวกันเป็นแสงกระบี่ที่ยาวสิบกว่าจั้งก่อนพุ่งออกไปเป็นแถบผ้าสีทอง


เปลวไฟที่พวยพุ่งเข้ามาสั่นสะท้านทีหนึ่ง จากนั้นก็ถูกกวาดออกไปท่ามกลางปราณกระบี่สีทองจนหมดสิ้น


ภายใต้การพร่ามัวของแถบผ้าสีทอง มันก็ฟันลงบนหัวของอสรพิษเพลิง


หลิ่วหมิงเผยแววตาโหดเหี้ยมออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวติดต่อกัน ไอกระบี่เย็นราวกับน้ำแข็งพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีทอง


ท่ามกลางเมฆอัคคี กู่อวี้รู้สึกแค่ว่าร่างกายเย็นสะท้าน จากนั้นจิตใจและสติปัญญาก็จมอยู่ในไอกระบี่อันครั่นคร้ามโดยสมบูรณ์ ในสมองว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง


เกิดเสียงดังขึ้นมา!


อสรพิษเพลิงถูกแสงสีทองฟันจนระเบิดตัวกลายเป็นสะเก็ดไฟ


ตั้งแต่ตอนที่กู่อวี้ลงมือ จนถึงตอนที่อสรพิษเพลิงถูกโจมตี ใช้เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ซือหม่าชงที่ยืนอยู่ไกลๆ รู้สึกตกใจจนปากอ้าตาค้าง ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า


“เป็นไปไม่ได้!” ท่ามกลางเมฆอัคคี กู่อวี้ได้สติขึ้นมาทันที และตะโกนด้วยความตกใจระคนโมโห


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด แต่กลับชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ พลังของสายรุ้งสีทองม้วนตัวกลับไปยังเมฆอัคคีโดยที่พลังของมันไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจันทราสีทองก็ปรากฏออกมา และหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น มันก็ระเบิดปราณกระบี่สีทองออกมาจนแน่นขนัด


เมฆอัคคีที่ปกคลุมเต็มฟ้าถูกปราณกระบี่แทงจนกลายเป็นรูจำนวนมาก หลังจากส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นแล้ว มันก็ระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์


ครู่ต่อมา เงาร่างสีแดงก็โซเซออกมาจากท่ามกลางเมฆอัคคี และกระเด็นออกจากเมฆอัคคีที่แตกกระจาย หลังจากเกิดเสียง “ปัง!” ก็ถูกปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่กวาดเข้ามาโจมตีจนล้มลงบนกองหินที่อยู่บริเวณนั้น และส่งเสียงร้องอย่างเวทนา


เงาร่างสีแดงก็คือกู่อวี้นั่นเอง พอเขาตกถึงพื้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที ใบหน้าเป็นสีแดงไปทั้งแถบ ดวงตาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เหมือนว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่ามีลมร้อนโจมตีมาจากด้านข้าง ซือหม่าชงที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่เห็นว่ากู่อวี้เสียเปรียบ จึงปะทะเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมา ไอดำก็เปล่งประกายรอบตัว ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นเงาร่างสามเงา เงาร่างจริงพุ่งไปด้านหน้าหลายจั้งอย่างรวดเร็ว และเงาร่างสองเงาที่ยังอยู่ที่เดิมก็ถูกกำปั้นสีทองโจมตีจนแตกกระจาย


ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงหันหน้ากลับไปมอง จะเห็นว่าซือหม่าชงถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งปกคลุมไว้ ร่างของเขาขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ ขณะเดียวกัน กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็บ้าคลั่งอย่างหาที่เปรียบมิได้


“ผู้ฝึกร่าง!”


หลิ่วหมิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา มือซ้ายงอเล็กน้อย ปราณกระบี่สีทองพุ่งกลับมา หลังจากกระพริบหนึ่งทีแล้ว มันก็หลายเป็นเงากระบี่พุ่งกลับเข้าไปในระหว่างคิ้ว


“ฮึ! ตอบสนองเร็วดีนี่!”


ดวงตาของซือหม่าชงดูเยือกเย็นขึ้นมา เขาส่งเสียงคำรามออกมาทันที ร่างสีดำแววแววปล่อยแสงสีทองออกมานับหมื่นลำ กล้ามเนื้อแต่ละก้อนที่เป็นสีดำราวกับเหล็กก็นูนขึ้นมา ร่างกายขยายใหญ่สามถึงสี่ส่วน


คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกร่างผู้หนึ่ง พอโคจรพลังจนกลายเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่มีผิวสีทองแล้ว ปราณแกร่งคุ้มร่างก็ส่งเสียงระเบิดดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอแขนข้างหนึ่งพร่ามัว เงากำปั้นขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก็โจมตีผ่านอากาศมาทางหลิ่วหมิง


สีหน้าหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ไอดำรอบตัวพวยพุ่งขึ้นมา เงาร่างมังกรพยัคฆ์สีดำหมุนอยู่บนแขน จากนั้นก็โจมตีใส่กำปั้นสีทองที่พุ่งเข้ามา


เกิดเสียงดังขึ้น!


มังกรพยัคฆ์สีดำปะทะเข้ากับเงากำปั้นสีทอง พลังมหาศาลทำให้เกิดระลอกคลื่นสีดำกับสีทองกลางอากาศ และแผ่ขยายออกไปทั่วทิศ


จากนั้นลำแสงสองกลุ่มก็แตกสลายไปพร้อมๆ กัน


คิดไม่ถึงว่าพลังของทั้งสองจะไม่มีใครเป็นรองใคร ซึ่งมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน!


ซือหม่าชงรู้สึกทั้งตกใจทั้งโมโห


อย่างที่รู้ว่า เขาเกิดมาพร้อมกับโครงกระดูกอันน่าประหลาดใจ หลังจากตั้งใจฝึกฝนมาหลายปีสิบปี ตอนนี้ยิ่งกระตุ้นเคล็ดวิชา ‘ร่างจันทราถึงสุริยา’ ขั้นที่สองที่เป็นวิชาฝึกร่างของยอดเขาแสงทองคำด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าในด้านของพลัง ยังไม่อาจเอาชนะหลิ่วหมิงได้


หลังจากเขาครุ่นคิดสองสามทีแล้ว ก็เผยแววตาโหดเหี้ยม และร่ายคาถาออกมา


ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายบนร่างของซือหม่าชง ลวดลายแปลกประหลาดสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นบนผิวหนัง เสียงเอ็นและกระดูกดังขึ้นภายในร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่อีกสามส่วน กลิ่นไอก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แลดูโหดเหี้ยมขึ้นมามาก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และกระตุ้นพลังเวททั่วร่างอย่างไม่รอรี ไอดำรอบตัวก็เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย


ขณะนั้นเอง ร่างขนาดใหญ่ของซือหม่าชงก็พุ่งขึ้นฟ้า และก้มลงมองหลิ่วหมิง แขนขนาดใหญ่กวาดออกไป กำปั้นขนาดเท่าศีรษะพร่ามัวเล็กน้อย และกลายเป็นกำปั้นสีทองเจ็ดแปดลูกที่มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง


“ตู๊ม!”


หลังจากร่างของหลิ่วหมิงพร่ามัวแล้ว ก็หายไปจากที่เดิมในทันที และบนพื้นที่เคยยืนอยู่ก็มีแสงสีทองระเบิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ก็เกิดหลุมลึกๆ ขึ้นมาหนึ่งหลุม ซึ่งก่อให้เกิดเศษหินและฝุ่นควันจำนวนมาก


แต่พอร่างของหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวบนพื้นบริเวณนั้น ซือหม่าชงก็กระโจนเข้ามาอีกครั้ง กำปั้นยักษ์ในมือเปล่งแสงสีทองเป็นประกาย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเบาๆ พอขยับตัวหนึ่งที ก็กลายเป็นเงาร่างสามเงาพุ่งออกไปรับมือ และหมุนวนรอบตัวซือหม่าชงราวกับพายุ


เงากำปั้นของซือหม่าชงยกขึ้นมาโจมตีเงาร่างจนแตกกระจายอีกครั้ง พอเงาร่างสลายไป เงาร่างอีกเงาก็ปรากฏออกมาทันที!


“ตู๊ม!”


ซือหม่าชงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ร่างจริงของหลิ่วหมิงปรากฏตัวด้านหลังราวกับปีศาจ เงาร่างมังกรพยัคฆ์กลุ่มหนึ่งโจมตีลงบนหลังโดยตรง


ภายใต้สถานการณ์ที่ซือหม่าชงไม่ทันได้ระวัง ร่างขนาดมหึมาของเขาก็ถูกพลังมหาศาลโจมตีจนกระเด็นออกไปหลายจั้ง และกระแทกใส่หินบริเวณนั้นจนกระเด็นออกไป


เขาเอามือทั้งสองค้ำยันพื้นไว้ และกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก แสงสีทองบนตัวดับลงอย่างรวดเร็ว วิชาฝึกร่างถูกทำลายในกำปั้นเดียว ร่างของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาเท่าคนปกติราวกับมีรูรั่ว แม้แต่กลิ่นไอก็ดูอ่อนแรงขึ้นมา


“ล่วงเกินแล้ว!”


หลังจากมีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นไม่ไกล เงาร่างทั้งสามก็พร่ามัวรวมกันเป็นหนึ่ง ผู้ที่ยืนเอามือไขว้หลัง และอยู่ห่างออกไปหลายจั้งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


กู่อวี้กับซือหม่าชงสบตากันทีหนึ่ง พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าตนเองทั้งตกใจ ทั้งโมโห และน่าอับอายยิ่งนัก


ทั้งสองต่างก็ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนต้องถอยออกไปในไม่กี่กระบวนท่า แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร และดูจากสีหน้าผ่อนคลายของฝ่ายตรงข้าม เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้นำพลังที่แท้จริงออกมา


“ดี! พลังของศิษย์น้องหลิ่วล้ำลึกยิ่งนัก เป็นพวกข้าที่สายตาคับแคบ ไม่รู้จักประมาณพลังของตนเอง” ซือหม่าชงเอามือเช็ดเลือดตรงมุมปาก ตอนนี้ไหนเลยจะยังมีหน้าอยู่ต่ออีก หลังจากทำท่าคารวะแล้ว ก็ทะยานขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจกู่อวี้ที่อยู่ด้านข้างอีก


จะว่าไปแล้ว แม้เขาจะรู้สึกไม่พอใจที่หลิ่วหมิงแย่งสิทธิ์ไป แต่ก็ไม่คิดที่จะมาท้าสู้ถึงที่เช่นนี้ หากไม่ใช่ว่ากู่อวี้พยายามชวนเขามา ครั้งนี้คงไม่ต้องมาเสียหน้าเช่นนี้ ตอนนี้เขาจึงขี้เกียจสนใจสหายผู้นี้แล้ว


กู่อวี้ก็มองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็หันตัวกลับไป และขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก


หลิ่วหมิงเห็นทั้งสองจากไปเช่นนี้ ก็ยิ้มออกมาทันที พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง เมฆดำก็ปรากฏขึ้นใต้เท้า และยกร่างของเขาขึ้นมา


ขณะนั้นเอง มีเสียงเด็กผู้ชายดังออกจากถุงหนังบนเอว ซึ่งก็คือหัวบินนั่นเอง


“นายท่าน ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอึดอัดมาก ให้ข้าออกไปเถอะ!”


“เจ้านี่พูดมากเสียจริง นายท่านบอกแล้วนี่ว่าจะซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่ให้พวกเรา อดทนอีกสองสามวันไม่ได้หรือไร?” น้ำเสียงเยือกเย็นของแมงป่องกระดูกดังออกมาจากถุงหนังอีกใบ


หลิ่วหมิงได้ยินก็เอามือลูบท้ายทอย ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเก็บเมฆดำแล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังถ้ำที่พักอีกครั้ง


พอเขาเหยียบเข้าไปในห้องลับ ก็ตบถุงหนังบนเอวทันที ไอหมอกสีเขียวดำทั้งสองสายพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นเด็กชายชุดเขียวกับหญิงสาวชุดดำ


“ในเมื่อเจ้าทั้งสองกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ข้าออกไปชั่วคราวคงไม่พาพวกเจ้าไปด้วยแล้ว ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในถ้ำจะดีกว่า แต่อย่าได้ออกไปเพ่นพ่านในขณะที่ข้าไม่อยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมา” หลิ่วหมิงสั่งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล


“อันนี้……รับทราบ! นายท่าน!” หญิงสาวชุดดำลังเลเล็กน้อย จากนั้นถึงตอบรับกลับไป


“แต่ว่าหากยังมีคน……” เด็กชายชุดเขียวเผยสีหน้าลำบากใจออกมา


“แต่อะไรกัน เจ้านี่เรื่องมากสุดเลย” หญิงสาวชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็ตบหัวเด็กชายทีหนึ่ง และกล่าวอย่างไม่เกรงใจ


“รับทราบ! นายท่าน!” เด็กชายชุดเขียวก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น


ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะมองอะไรออก จึงกล่าวอย่างไม่ถือสา


“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองกลัวจะมีคนในนิกายมาท้าสู้อีก แต่ด้วยพลังของข้า พวกเจ้ายังไม่วางใจอีกหรือ? อีกอย่างการประลองในนิกายก็สิ้นสุดลงแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรมาก ช่วงเวลานี้พวกเจ้าก็ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในถ้ำก็พอแล้ว”


“ได้ รอถึงงานประตูสวรรค์จริงๆ พวกข้าทั้งสองจะช่วยนายท่านอีกแรงหนึ่ง” เด็กชายชุดเขียวได้ยินก็พยักหน้าติดต่อกัน


“นายท่านระวังตัวให้มากๆ นะ” หญิงสาวกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงอบอุ่น


หลังจากอสูรเลี้ยงทั้งสองเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ไม่เพียงแต่จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น คำพูดคำจาก็คล่องแคล่วไม่น้อย และนิสัยก็เหมือนกับคนทั่วไปแล้ว


หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินออกไปเปิดชั้นจำกัดนอกถ้ำอย่างคุ้นเคย จากนั้นถึงกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังวิหารลี้ลับ


หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงกลับเดินออกมาจากหอลี้ลับด้วยสีหน้าผิดหวัง


เขาได้ประกาศภารกิจบนป้ายประกาศลี้ลับมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว แต่กลับไม่มีคนรับภารกิจเลยแม้แต่คนเดียว ดูท่าเบาะแสของอสูรว่างเปล่าคงหายากกว่าที่คิดไว้มาก


หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่หน้าประตูหอลี้ลับอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พอทำท่าเคล็ดกระบี่ เขาก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปทางวิหารไท่เจินทันที


ก่อนหน้านั้นเขาใช้แต้มคุณูปการแลกกับแก่นทองคำอุกกาบาตของตัวอ่อนกระบี่บินที่วิหารไท่เจิน แม้ว่าตอนนี้จะมีแต้มคุณูปการไม่มาก แต่ก็ลองไปเสี่ยงโชคที่วิหารไท่เจินดู


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาอยู่ด้านในของวิหารไท่เจินแล้ว และกำลังตรงขึ้นไปบนชั้นสอง


ตอนที่ 756 หลัวเทียนเฉิงกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์พี่ท่านนี้ต้องการแลกสิ่งใด วัสดุ โอสถ หรือว่าอาวุธจิตวิญญาณ?” บริเวณทางเข้าชั้นสอง ชายหน้ายาวที่สวมชุดศิษย์ดำเนินการ อายุราวๆ สามสิบกว่าปี รีบลุกขึ้นมากล่าวกับหลิ่วหมิง


“ข้าอยากจะสอบถามว่าทางนี้มีวัสดุที่มีคุณสมบัติว่างเปล่าที่สามารถแลกได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงรีบพูดออกมาตามตรง


“วัสดุที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า? ให้ข้าตรวจสอบดูสักหน่อย แล้วค่อยบอกกับศิษย์พี่” ชายหน้ายาวสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขานำคัมภีร์หยกแววแววออกมาเล่มหนึ่ง และหรี่ตาทั้งคู่ทำการตรวจสอบ


ครู่ต่อมา เขาก็ปิดคัมภีร์หยกลง และกล่าวด้วยความเสียดาย


“ศิษย์พี่ผู้นี้ ต้องขอโทษด้วย ข้าได้ตรวจสอบดูวัสดุทั้งหมดที่มีในวิหารไท่เจินแล้ว ไม่มีสิ่งของที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เลย”


“รบกวนศิษย์น้องแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวด้วยแววตาผิดหวัง


แม้แต่วิหารไท่เจินยังไม่มีของสิ่งนี้ ดูท่าเรื่องตามหาวัสดุอสูรว่างเปล่าคงได้แต่ละทิ้งไว้ชั่วคราวแล้ว


เขาคิดไตร่ตรองเช่นนี้ในใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากวิหารไท่เจิน


ขณะที่เขาเดินออกมาตรงประตูใหญ่นั้น แสงหลบหลีกสีดำกับสีเงินก็พุ่งเข้ามา พริบตาเดียวก็ร่วงบนอากาศตรงหน้าหลิ่วหมิง พอแสงหลบหลีกดับลง กลับเป็นชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดผ้าแพรสีเงิน


“หยุดก่อน! เจ้าคือหลิ่วหมิงใช่ไหม?”


ชายหนุ่มหน้าตาดุดัน รูปร่างค่อนข้างสูง ปราฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง เขายื่นแขนขวาขัดขวางไว้พร้อมกับตะโกนออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ แล้ว เขาหมุนตัวเพื่อจะจากไป แต่กลับถูกชายหนุ่มใบหน้างดงาม ที่สวมชุดคลุมสีเงินอีกคนขวางทางไว้


“ศิษย์พี่หลิ่ว ข้าหลัวเทียนเฉิง เป็นศิษย์ยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ผู้นี้คือฟ่านเจิ้ง ลูกพี่ลูกข้าของข้า เคยมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในศิษย์คัดเลือกเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วยเช่นกัน” ชายหนุ่มชุดคลุมสีเงินประสานมือคารวะแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


พูดถึงหลัวเทียนเฉิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในนิกายในช่วงนี้แล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้จักเล่า แม้กระทั่งอินจิ่วหลิงยังเคยพูดถึงชื่อนี้กับเขาเลย


และคนที่ชื่อฟ่านเจิ้งนี้เขาก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน แม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จักเหมือนกับหลัวเทียนเฉิง แต่ก็มีชื่อเสียงในบรรดาศิษย์สายในไม่น้อย


“เทียนเฉิงอย่าพูดจาไร้สาระกับเขา หากเจ้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไร ก็มอบสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์มาเถอะ บางทีข้าอาจจะข้าให้ผลประโยชน์แก่เจ้าเล็กน้อย ข้าจะได้ไม่ต้องลงมือเอง” ฟ่านเจิ้งกลับเผยแววตาโหดร้ายออกมา และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


สำหรับข้อคิดเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิวย่อมไม่สนใจแต่อย่างใด หลังจากยิ้มบางๆ แล้ว ก็เคลื่อนไหวออกไปสี่ห้าจั้ง


“ฮึ! ไม่รู้จักให้เกียรติกันเลย! เทียนเฉิงหลบไป วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้” ฟ่านเจิ้งเห็นเช่นนี้ก็โมโหเป็นอย่างมาก พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นผังอวกาศสีขาวดำก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ


“ศิษย์พี่ฟ่าน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือที่ใด?” หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงปราณจิตวิญญาณแปลกประหลาดที่อยู่ด้านหลัง แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมโดยไม่ได้หันหน้ากลับไป


ฟ่านเจิ้งกระโดดขึ้นฟ้าราวไม่ได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง จากนั้นก็ปล่อยพลังใส่แผ่นผังอวกาศ แผ่นผังอวกาศที่มีขนาดแค่หนึ่งชุ่นกว่าๆ มีลายเส้นจิตวิญญาณสีดำกับสีขาวเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิวอย่างบ้าคลั่ง และแผ่นค่ายกลนี้ก็หมุนตัวติ้วๆ ท่ามกลางพายุจนขยายใหญ่ห้าหกจั้ง ทำให้ผังอวกาศบนแผ่นค่ายกลขนาดใหญ่ดูชัดเจนขึ้นมา ขณะเดียวกัน ภายในรัศมีที่ปกคลุมก็มีพายุสีดำกับสีขาวม้วนตัวขึ้นมา


หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทันที เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งถอยออกไป


หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงว่าฟ่านเจิ้งจะลงมือในสถานที่แห่งนี้โดยไม่สนกฎของนิกาย เขาจึงมีท่าทีตอบสนองช้าไปหน่อยหนึ่ง ขณะที่กำลังตกใจนั้น พายุกระหน่ำสีดำขาวก็กลายเป็นกำแพงพายุในทันที และกักขังเขาไว้ด้านใน


ขณะนี้คลื่นพลังจิตวิญญาณก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นมาดูการประลองนี้


“ในเมื่อศิษย์พี่ฟ่านจะตัดสินแพ้ชนะให้ได้ ข้าน้อยคงต้องตอบสนองแล้ว” หลิ่งหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ไอดำก็ม้วนตัวออกจากร่างของเขา และคิดที่จะปล่อยกำปั้นใส่กำแพงพายุ


แต่ขณะนั้นเอง เท้าของเขาก็รู้สึกเบาขึ้นมา พายุบ้ากระหน่ำม้วนตัวออกมาจากด้านล่าง ทำให้อากาศรอบด้านหนาแน่นขึ้นมา และเขาก็ไม่อาจขยับตัวได้ชั่วเวลาหนึ่ง


“หลิ่วหมิง วันนี้ข้าจะนำเจ้ามาเก็บไว้ในกรงอวกาศนี้” ขณะเดียวกัน พลันมีน้ำเสียงเยือกเย็นของฟ่านเจิ้งดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง


ครู่ต่อมา ฟ่านเจิ้งตบมือข้างหนึ่งลงไปด้านล่าง แผ่นผังอวกาศสั่นสะเทือนกลางอากาศอย่างรุนแรง และยิ่งหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนสีดำกับสีขาวผสมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว


“ฟิ้ว!” อักขระสีดำกับสีขาวล่องลอยออกมาจากแผ่นผังอวกาศ แรงดึงดูดมหาศาลม้วนตัวลงไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างของหลิ่วหมิงถูกดูดขึ้นมา และพุ่งไปทางแผ่นผังอวกาศโดยตรง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาเยือกเย็นออกมา ไอดำบนตัวม้วนตัวออกไป ร่างของเขาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศทันที ขณะเดียวกัน พลังที่คุมขังอยู่รอบด้านก็สั่นสะเทือนออกไป พอเอานิ้วแตะระหว่างคิ้ว แสงสีทองลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งทองคำที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ


“ไป!”


ขณะที่หลิ่วหมิงตะโกนออกมาเบาๆ นั้น รุ้งกระบี่สีทองก็แยกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงกระบี่แปดลำพุ่งไปรับมือกับอักขระสีขาวดำที่กำลังร่วงลงมา


เกิดเสียงแตกหักดังมาจากกำแพงพายุอย่างต่อเนื่อง อักขระอวกาศสีดำกับสีขาวแต่ละตัวถูกรุ้งกระบี่ฟันจนแตกกระจายกลายเป็นจุดๆ และสลายไปในอากาศ


ฟ่านเจิ้งที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา เขาตบแผ่นอวกาศอย่างรุนแรงอีกครั้ง และใส่พลังเวทเข้าไปในนั้นอย่างบ้าคลั่ง อักขระอวกาศหลายร้อยตัวพวยพุ่งออกจากผิวแผ่นค่ายกล หลังจากรวมตัวกันกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นอักขระขนาดสิบกว่าจั้ง และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง


“ฟัน!”


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลโจมตีเข้ามา จึบรีบเก็บแสงกระบี่ที่กลายร่างมาจากกระบินพลังจิตวิญญาณทั้งหมด ทันใดนั้นแสงกระบี่ที่ยาวเจ็ดแปดจั้งก็หมุนวนอยู่รอบตัวเขา


เกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” อยู่ชั่วขณะหนึ่ง!


มันคือกำแพงพายุสีดำขาวที่แผ่นผังอวกาศสร้างขึ้นมา ภายใต้การการปั่นของปราณกระบี่ที่อยู่รอบด้าน ทำให้เกิดรอยร้าวแคบยาวบนพื้นผิว


“ระวัง!”


หลัวเทียนเฉิงที่มองดูการต่อสู้อยู่เห็นเช่นนี้ ก็รีบตะโกนออกไปออกไปทันที


แต่ฟ่านเจิ้งยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ ก็มีเสียงคำรามของหลิ่วหมิงดังขึ้นมาจากด้านล่าง


“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”


แสงสีทองเจิดจ้าม้วนตัวหลิ่วหมิงขึ้นมา และกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังอักขระอวกาศขนาดใหญ่


จะพอทั้งสองปะทะกัน คลื่นบางอย่างก็โจมตีกำแพงพายุจนแตกกระจาย


ทั้งสองคุมเชิงกันแค่พริบตาเดียว อักขระอวกาศสีขาวดำก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ สายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งทะลุผ่านไป หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” สายรุ้งสีทองก็วาดตัวผ่านไป


แผ่นผังอวกาศส่งเสียงแตกหักออกมา จากนั้นก็มีรูใหญ่ตรงกลางเหมือนกระดาษแปะ และมีเสียงร้องอย่างเวทนาอยู่พักหนึ่ง


ภายใต้การหมุนวนของสายรุ้งสีทอง พอแสงดับลง ก็เผยให้เห็นหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่บินว่างเปล่าอยู่


“ตู๊ม!”


แผ่นผังอวกาศเปล่งประกายสองสามที จากนั้นก็ระเบิดตัวกลางอากาศ จนกลายเป็นเศษสีขาวดำผสมปนเปกับฝนโลหิตร่วงลงมาจากท้องฟ้า


เงาร่างสีเงินโซเซออกมาจากเศษสีขาวดำเหล่านี้ ซึ่งก็คือฟ่านเจิ้งนั่นเอง


จะเห็นว่าในขณะนี้ แขนขวาของเขาถูกตัดออกมา บริเวณที่ขาดมีโลหิตไหลย้อยลงมา หลังจากร่างของเขาโงนเงนสองสามทีแล้ว ก็ล้มลงพื้นและหมดสติไป


ตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงปล่อยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมา จนถึงตอนที่ทำลายแผ่นอวกาศที่ฟ่านเจิ้งควบคุมนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่สองสามอึดใจเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ที่ดูการต่อสู้อยู่พากันตกใจเป็นอย่างมาก


ขณะนั้นเอง หลัวเทียนเฉิงก็มาปรากฏตัวด้านข้างฟ่านเจิ้ง พอโบกมือข้างหนึ่ง ก็ดูดแขนที่ตกอยู่บนพื้นบริเวณนั้นเข้ามาไว้ในมือ เมื่อนำไปประกบบนบาดแผลเสร็จแล้ว ก็ใช้มืออีกข้างก็ขยี้ยันต์สีฟ้าจางๆ มาแปะไว้อย่างรวดเร็ว


ม่านแสงสีฟ้าปกคลุมร่างของฟ่านเจิ้งไว้ภายในพริบตา โลหิตหยุดไหลออกจากบาดแผลบนไหล่ และเริ่มสมานเข้าด้วยกัน


ขณะนี้ หลัวเทียนเฉิงถึงหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ศิษย์พี่หลิ่ว ก็แค่การแลกมือกันในนิกายเท่านั้น ไม่ลงมือหนักไปหน่อยหรือ?”


“ศิษย์พี่ฟ่านไม่สนแม้แต่กฎของนิกาย ลงมือลอบโจมตีข้าโดยตรง ข้ากลับคิดว่าการลงมือสั่งสอนในเมื่อครู่มันยังเบาไปหน่อย” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวอย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น


“ฮึ! ในเมื่อศิษย์พี่หลิ่วกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าผู้แซ่หลัวก็จำเป็นต้องสั่งสอนท่านเล็กน้อยแล้ว” หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็รู้สึกโมโหขึ้นมา แต่ยังคงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็สะบัดแขนทั้งสองทันที ทันใดนั้นเปลวไฟสีเงินก็พวยพุ่งออกมาจากตัว


เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังขึ้นมาพักหนึ่ง!


เงามังกรสี่ตัวกับเงาพยัคฆ์สี่ตัวพุ่งออกจากตัวหลัวเทียนเฉิง และแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่เหนือศีรษะของเขา


ที่เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ฝึกฝนก็เป็นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเช่นกัน แต่แตกต่างจากเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่หลิ่วหมิงแสดงออกมา โดยที่เงามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาสร้างขึ้นมานั้นเป็นสีเงิน


จะเห็นว่าเงามังกรสี่ตัวยาวสามสิบจั้ง แต่ละตัวต่างก็มีอักขระสีเงินปรากฏอยู่บนตัวอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่ก็มีเปลวไฟสีเงินเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด แลดูราวกับมีชีวิตจริงๆ


เงาพยัคฆ์สีเงินทั้งสี่ตัวก็มีขนาดเจ็ดแปดจั้ง ทั้งยังมีใบหน้าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง


ขณะที่เงามังกรพยัคฆ์ปรากฏตัวออกมานั้น ศิษย์จำนวนหนึ่งที่มองดูอยู่รอบๆ ต่างก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง จนต้องพากันร่นออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก สองสามคนที่อยู่ค่อนข้างใกล้ ต่างก็พากันร่นถอยออกไปร้อยกว่าจั้ง จากนั้นถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจมาก


แม้ว่าศิษย์สายในต่างก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬได้ แต่มันก็ฝึกฝนได้ยากมาก นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนฝึกวิชานี้ในนิกาย มังกรพยัคฆ์สีเงินที่ฝ่ายตรงข้ามก่อตัวขึ้นมาแตกต่างจากเขามาก ยิ่งทำให้ใจของเขาร่วงหล่นลงไปทันที “ตุ๊บ!”


ดูเหมือนว่าเขาจะเก็บกระบี่บินไปโดยไม่ต้องคิด หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเช่นกัน


ไอหมอกสีดำพวยพุ่งรอบตัวหลิ่วหมิง ทันใดนั้นเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามก็ดังออกมาเช่นกัน มังกรหมอกดำห้าตัวที่ยาวสิบกว่าจั้งกับพยัคฆ์หมอกดำก่อตัวขึ้นมาจากไอดำที่อยู่ด้านหลัง


เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเงาร่างมังกรพยัคฆ์สีเงินที่หลัวเทียนเฉิงสร้างขึ้นมาแล้ว มังกรพยัคฆ์ดำของหลิ่วหมิงมีขนาดเล็กกว่ามาก


“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็ฝึกฝนวิชานี้ด้วย ทั้งยังบรรลุขั้นที่ห้าแล้ว! ดี! ดีมาก!” พอหลัวเทียนเฉิงเห็นมังกรพยัคฆ์สีดำที่พุ่งขึ้นมาบนตัวหลิ่วหมิง เขาก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็นในทันที ยังไม่ทันเห็นว่าเขาจะมีท่าทีใดๆ มังกรพยัคฆ์เหนือศีรษะก็พุ่งขึ้นฟ้าด้วยเสียงอันดัง “ตู๊ม!” และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม


ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด เขากระตุ้นเคล็ดเกราะอสูรในทันที หมึกแปดขาที่แนบติดหน้าอกส่งเสียงร้องออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นเกราะอสูรสีเงินปกคลุมทั่วร่างของหลิ่วหมิง


เคล็ดเกราะอสูรนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้อสูรจิตวิญญาณกลายเป็นเกราะหนังเพื่อทำการป้องกันเท่านั้น ยังมีผลต่อกายเนื้อของเขาเป็นทวี ตอนนี้ปีศาจอสูรสมุทรแปดขามีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว จึงเพิ่มทวีความแข็งแกร่งของกายเนื้อให้กับเขาได้ถึงสามส่วน


ขณะเดียวกัน พอหลิ่วหมิงยื่นแขนทั้งสองไปด้านหน้า มังกรพยัคฆ์หมอกที่อยู่ด้านหลังก็ขยายใหญ่ในพริบตา และพุ่งลงด้านล่างพร้อมกับส่งเสียงคำราม


การที่หลิ่วหมิงใช้เคล็ดเกราะอสูรเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้ ทำให้หลัวเทียนเฉิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็ทำเสียงฮึดฮัดอย่างรวดเร็ว ท่ามือของเขาเปลี่ยนแปลงอยู่ครู่หนึ่ง มังกรพยัคฆ์สีเงินพากันระเบิดออกมาทีละตัว และกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวขึ้นไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง มังกรหมอกดำห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกส่งเสียงระเบิดออกมาเช่นกัน “ปังๆ!” จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งลงไป


“ตู๊ม!” แสงสีดำกับสีเงินปะทะกันกลางอากาศ หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นลูกแสงสีเงินกับสีดำอย่างละหนึ่งลูก และปะทะเข้าหากันราวกับดวงอาทิตย์สองดวงพุ่งชนกัน


ท่ามกลางเสียงดังโครมครามกลางอากาศ ทำให้ท้องฟ้าบริเวณนั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง


การประลองระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงก่อให้เกิดเสียงดังเช่นนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของศิษย์แต่ละกลุ่มที่ผ่านบริเวณนั้นให้หยุดมองจากที่ไกลๆ


ขณะนี้ ลูกแสงยักษ์กลางอากาศสองลูกขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปัดแข้งปัดขากัน มันก็ค่อยๆ รวมกันเป็นหนึ่ง ดูจากที่ไกลๆ แล้ว มันเหมือนกับลูกแสงยักษ์ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ อีกครึ่งหนึ่งเป็นสีเงิน แต่กลับมีเส้นแบ่งเขตตรงกลางชัดเจน และกลิ่นไอที่แผ่ออกจากในนั้นมันน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่ใช้จิตสำรวจดู ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!


ลูกแสงครึ่งวงกลมสองลูกระเบิดออกมาทันที ลำแสงสีเงินผสมปนเปกับสีดำพุ่งออกไปทั่วทิศ


หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังสะท้อนกลับที่โจมตีเข้ามา ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง พอกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูร โล่สีเงินชิ้นหนึ่งก็ต้านทานอยู่ตรงหน้า


จากนั้นร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลที่ส่งผ่านมาจากโล่กระแทกจนกระเด็นออกไปร้อยกว่าจั้ง และชนใส่ยอดเขาเล็กๆ ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างรุนแรง


แผ่นดินสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง เกิดรอยขนาดเท่าปากถ้วยบนยอดเขา


ขณะที่เขาคิดจะกระตุ้นพลังให้พุ่งออกไปนั้น ร่างของเขากลับหยุดชะงักลง และกระอักเลือดออกมา


และหลัวเทียนเฉิงก็ถูกพลังสะท้อนกลับจนมีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก จะเห็นว่าพื้นด้านนอกวิหารไท่เจิน มีหลุมสีดำขนาดสิบกว่าจั้ง และลึกหนึ่งจั้งกว่าๆ ปรากฏออกมาหลุมหนึ่ง


ในส่วนลึกของหลุมสีดำ หลัวเทียนเฉิงกำลังนอนหงายหลังอยู่ในนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว มีบาดแผลปกคลุมเต็มตัว โลหิตไหลออกจากมุมปาก ผ่านไปสักพัก ถึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา และมองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มุงดูอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล พอเห็นฉากอันน่าตกใจในก่อนหน้า ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แม้แต่ผู้ที่ทำการกระซิบกระซาบกันอยู่ ต่างก็ลืมคำพูดของตัวเองไปชั่วคราว ทำให้บรรยากาศรอบด้านเงียบไปทั้งแถบ


หลังจากหลัวเทียนเฉิงออกจากหลุมมาแล้ว ก็สูดหายใจลงเข้าลึกๆ สองสามทีแสงสีเงินหมุนวนรอบตัวอยู่ครู่หนึ่ง บาดแผลบนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว กลิ่นไอบนตัวค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ราวกับว่าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน ตอนนี้ถึงนึกขึ้นได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีร่างจิตวิญญาณตูเทียนในตำนาน ร่างกายเกือบจะเป็นอมตะ แม้ว่าเขาจะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังทั้งหมด สุดท้ายแล้วจะชนะหรือแพ้ล้วนเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก


แต่ว่าหลัวเทียนเฉิงเพียงแค่มองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็หายวับมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างฟ่านเจิ้งที่ยังคงหมดสติอยู่ หลังจากอุ้มเขาขึ้นมาแล้ว ก็หมุนตัวทะยานขึ้นฟ้า และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งจากไป พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขารีบนำโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมาทานอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งหนีไป


มิเช่นนั้นหากเขาหนีไปช้าแล้วถูกคนของหอคุมกุฎจับตัวได้ล่ะก็ อาจจะมีปัญหาตามมาเล็กน้อย


หลังจากหลิ่วหมิงจากไปแล้ว ฝูงชนที่มุงดูอยู่ถึงได้สติจากความตกใจ ทันใดนั้นก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา โดยเฉพาะหนึ่งในผู้ที่ทำการแลกมือในครั้งนี้ เป็นหลัวเทียนเฉิงที่ผู้คนในนิกายต่างก็รู้จัก จึงทำให้คนจำนวนมากรู้สึกสนใจไม่น้อย


และสถานะของหลิ่วหมิงก็ถูกคนมองออกอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้เกิดความฮือฮามากขึ้นกว่าเดิม


ไม่นาน ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขาเมฆาหยก เฮ่าเยวี่ยที่ดูเหมือนเด็กอายุสิบสองสิบสามปี กำลังเก็บแผ่นค่ายกลส่งสารด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


“ศิษย์น้องเฮ่าเยวี่ย เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตรวจสอบปราณจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในเมื่อครู่ได้แล้วหรือ? หรือว่ามีข่าวร้ายอะไร?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวถามด้วยความเป็นห่วง เขาก็คือผู้ควบคุมยอดเขาที่แซ่หลูนั่นเอง


ทารกเฮ่าเยวี่ยส่ายหน้า หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็เอ่ยปากออกมา


“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่หลูยังจำเด็กที่ชื่อหลิ่วหมิงได้หรือไม่? เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า เป็นเพราะเรื่องสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ครึ่งชั่วยามก่อน เขากับหลัวเทียนเฉิงและฟ่านเจิ้งลงมือกันด้านนอกวิหารไท่เจิน” เฮ่าเยวี่ยหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กล่าวออกมา


 


“เช่นนี้ก็หมายความว่า ที่เกิดเคลื่อนจิตวิญญาณสั่นสะเทือนในก่อนหน้า มันเกิดจากการลงมือของพวกเขา แม้ว่าหลัวเทียนเฉิงจะอายุยังน้อย ทั้งยังมีการฝึกฝนแค่ระดับผลึกขั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งของพลังกลับเป็นที่ประจักษ์แจ้งกันทั่วทุกคน หรือว่าเขาจะยั้งมือไม่ทันจนทำร้ายหลิ่วหมิงเข้า?” ชายชุดคลุมสีขาวได้ยินก็ขมวดคิ้วถาม


“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก แต่ตามข่าวที่ข้าได้รับมา การปะทะกันระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ สุดท้ายกลับเสมอกันโดยที่ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้” เฮ่าเยวี่ยเผยแววตาประหลาดใจ และอุทานออกมาเบาๆ


“ศิษย์น้องมั่นใจหรือว่าไม่ได้เข้าใจผิด? หลัวเทียนเฉิงผู้นั้นมีร่างจิตวิญญาณตูเทียนโดยกำเนิด เป็นเพราะคุณสมบัติของเขา เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่แสดงออกมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ อานุภาพที่แสดงออกมาจึงเพิ่มทวีไม่น้อย แม้ว่าเจ้าเด็กหลิ่วหมิงจะใช้เคล็ดวิชาเดียวกัน แต่ด้วยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณของเขา ไหนเลยจะสามารถเปรียบเทียบได้?” ผู้ควบคุมยอดเขาแซ่หลูกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“ตอนนั้นศิษย์ที่รายงานเรื่องนี้ ก็อยู่บริเวณวิหารไท่เจินด้วย และเห็นการแลกมือนี้กับตา จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงผู้นี้มีความสามารถระดับใดกันแน่ ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบกว่าปี ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมายถึงเพียงนี้ ได้ยินมาว่ายังทะลวงระดับผลึกขั้นปลายแล้วด้วย ดูท่าตอนนั้นข้ากับท่านคงจะมองข้ามเขาไปจริงๆ” เฮ่าเยวี่ยส่ายหน้าอีกครั้ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


ผู้ควบคุมหลูฟังจบ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง


ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องลับค่อนข้างกว้างขวางในเทือกเขาที่ยอดเขาทองคำตั้งอยู่ ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปี กำลังถือป้ายส่งสารของนิกายไว้แน่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและฉงนสนเท่ห์


คนผู้นี้ก็คือจางเม่า หนึ่งในผู้อาวุโสยอดเขาทองคำที่เข้าพบหลิ่วหมิงหลังงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกในครั้งนั้น


“วันนั้นไม่ได้รับเจ้าเด็กนี้เข้ามา ตอนนี้ดูท่าคงจะพลาดต้นกล้าดีไปต้นหนึ่งแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ ตอนนั้นเด็กผู้นี้เอาชนะซือหม่าชงอย่างง่ายดาย ตอนนี้ยังตัดสินแพ้ชนะกับหลัวเทียนเฉิงไม่ได้ พลังแฝงของเขายากที่จะหยั่งถึงจริงๆ” ผ่านไปสักพัก ชายวัยกลางคนก็เรียกสติกลับมา และพูดพึมพำด้วยความเสียดาย จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลงเพื่อทำการฝึกฝนต่อ


ครึ่งวันผ่านไป ภายในห้องข้างห้องโถงแห่งหนึ่งบนยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงกับชายชุดคลุมสีเทาที่มีผมสีขาวเทา กำลังนั่งเล่นหมากอยู่ตรงหน้ากระดานหมากสีดำ


“ศิษย์พี่ ได้ยินมาว่าที่หลิ่วหมิงได้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในอีกสองปีหน้านั้น ท่านประมุขเป็นคนคัดเลือกเอง มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” พอชายชุดคลุมสีเทาลูบมือข้างหนึ่งเบาๆ หมากสีดำเม็ดหนึ่งก็พุ่งไปยังมุมขวาบนของกระดาน แล้วเขาก็ถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


“มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หลายวันก่อนท่านประมุขมาทดสอบที่ยอดเขาลั่วโยว ถึงได้รับปากด้วยตนเอง” ดูเหมือนอินจิ่วหลิงจะกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม ขณะเดียวกันก็ตบมือข้างหนึ่งเบาๆ เม็ดหมากสีขาวพุ่งขึ้นมา และค่อยๆ ร่วงลงในมุมเฉียงของหมากดำในเมื่อครู่


“ในเมื่อท่านประมุขระบุชื่อด้วยตนเอง คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ชายชุดคลุมสีเทาพยักหน้า และแสดงสีหน้าสบายใจออกมา


“เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา ว่ากันว่าศิษย์สองคนที่ประลองกันหน้าประตูวิหารไท่เจินในเช้าวันนี้ ก็คือหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงของยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ได้ยินมาว่าไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่คะแนนการต่อสู้ในครั้งนี้ ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว” อินจิ่วหลิ่วหัวเราะเหอะๆ แล้วกล่าวออกมา


“แน่นอน! ศิษย์หลานหลิ่วสามารถรับมือกับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของหลัวเทียนเฉิงได้โดยที่ไม่ตกเป็นรอง ลำพังแค่คุณสมบัติในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ก็เหลือเฟือแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว หากแลกมือกันอย่างจริงจัง เกรงว่าศิษย์หลานหลิ่วคงจะแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเขาจะมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณอยู่ในมือ แต่หากจะกรีดร่างจิตวิญญาณตูเทียนนั้น ยังคงเป็นไปไม่ได้ และพอการต่อสู้ยืดเยื้อนานเข้า ก็ไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้อีก เพราะเดิมทีร่างจิตวิญญาณตูเทียน ก็มีชื่อเสียงในการป้องกันและความทรหดอันน่าตกใจอยู่แล้ว ผู้ที่มีร่างจิตวิญญาณนี้ จะมีการฟื้นฟูรวดเร็วอย่างน่าตกใจ เพียงแค่พลังเวทไม่ถูกใช้จนหมด ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อาจเอาชนะได้”


ชายชุดคลุมสีเทาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และดีดหมากขาววางลงบนมุมที่หมากดำอยู่กองกัน


พอหมากเม็ดนี้ร่วงลงไป กระดานหมากก็เปล่งประกายแวววาว หมากดำหลายสิบเม็ดที่อยู่มุมหนึ่งของกระดานหายไปในฉับพลัน


“เฮ่อๆ! เรื่องของผู้น้อย ก็ให้พวกผู้น้อยจัดการเองเถอะ พวกเราทำเรื่องของตนเองให้ดีก็พอ ว่าแต่ศิษย์น้องเถียน ข้าเองก็ตั้งใจศึกษาหมากล้อมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังห่างชั้นกับเจ้าเช่นนี้” อินจิ่วหลิงมองดูกระดานหมากทีหนึ่ง จากนั้นก็ปรบมือหัวเราะเป็นการใหญ่


“ท่านผู้ควบคุม เป็นเพราะท่านไม่มีสมาธิ ถึงทำให้ข้าฉวยโอกาสได้ ออมมือแล้ว!” ชายชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างนอบน้อม


……


การต่อสู้อันตื่นตะลึงของหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง ย่อมถูกบอกเล่ากันปากต่อปาก จนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์


หลิ่วหมิงที่เคยเป็นที่ฮือฮาในนิกายยอดบริสุทธิ์เมื่อสามสิบปีก่อน ถูกผลักดันไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ชื่อเสียงดังกระฉ่อนกว่าเมื่อก่อนสิบกว่าเท่า แม้แต่ยอดเขาแต่ละแห่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ยังพูดถึงเขาอย่างออกรส


และขณะที่ผู้คนในนิกายต่างก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเขานั้น หลิ่วหมิงกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เพื่อฟื้นฟูพลังเวทอย่างเงียบๆ และสีหน้าซีดขาวของเขาก็กลับมามีเลือดฝาดแล้ว กลิ่นไอที่ดูไม่มั่นคงเล็กน้อย ก็ค่อยๆ สงบขึ้นมา


ตอนที่ 758 ท้าสู้สามเดือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

การปะทะกันด้วยพลังทั้งหมดระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย และยังกระอักเลือดออกมาด้วย แต่หลังกลับมาถึงถ้ำที่พัก และใช้จิตกวาดดูภายในร่างแล้ว กลับค้นพบว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้สาหัสมากนัก อาจเป็นเพราะว่าเขาเคยทานโลหิตปีศาจสวรรค์ไป หลังจากนั่งเข้าฌานครึ่งวันอย่างง่ายๆ ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว


แต่ว่าวันนี้เขาออกจากถ้ำที่พักไปแค่ครึ่งวัน ก็พบเจอกับคนมาท้าสู้ถึงสี่คน แม้ว่านอกจากหลัวเทียนเฉิงแล้ว อีกสามคนก็ล้วนไม่คณามือเขา แต่ก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะหลบทิศทางลมนี้ชั่วคราว


ดังนั้นจึงแขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู และเก็บตัวฝึกฝนกับแมงป่องกระดูกและหัวบินในห้องลับ


ผ่านไปไม่กี่วัน เขายังคงได้รับสารจากหอคุมกฎ เรื่องที่เขากับหลัวเทียนเฉิง ฟ่านเจิ้ง และคนอื่นๆ ลงมือกันหน้าวิหารไท่เจิน ซึ่งถูกลงโทษโดยหักทรัพยากรที่นิกายมอบให้เป็นเวลาหนึ่งปี


โทษของหลัวเทียนเฉิงพอๆ กับเขา แต่ฟ่านเจิ้งกลับถูกกักขังอยู่ในเขตยอดเขาสวรรค์ลี้ลับเป็นเวลานานสามปี เพราะเป็นผู้ลงมือก่อน


……


ครึ่งเดือนต่อมา บนลานหินสีดำด้านหน้าวิหารหลักของยอดเขาหลักในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ มีคนมารวมตัวกันอยู่นับพันคน


คนเหล่านี้ต่างก็สวมชุดแตกต่างกันไป จับตัวกันเป็นกลุ่มๆ ละสองสามคน สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาต่างก็เป็นศิษย์สายในของแต่ละยอดเขา


ท่ามกลางกลุ่มฝูงชน มีคนกลุ่มเล็กๆ สวมชุดสีดำอยู่กลุ่มหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ใบหน้าแห้งเหี่ยวครึ่งซีก อีกครึ่งซีกกลับชุ่มชื้น เขาก็คืออินจิ่วหลิงนั่นเอง


ด้านหลังของเขามีศิษย์สวมชุดยอดเขาลั่วโยวที่เป็นสีดำเหมือนกันยืนอยู่สามคน หนึ่งในนั้นมีรูปร่างหน้าธรรมดา ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก เขาก็คือหลิ่วหมิงที่มีข่าวลือในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นเอง


รอบด้านของพวกเขาไม่เพียงแต่จะมีเสียงกระซิบกระซาบกันเท่านั้น ยังมีสายตาปราดมองมาอยู่ไม่หยุด บ้างก็รู้สึกตกใจ บ้างก็รู้สึกประหลาดใจ บ้างก็รู้สึกอิจฉา บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม


หลิ่วหมิงย่อมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สังเกตดูทุกอย่างรอบด้านเท่านั้น


จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขาเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาบนยอดเขาหลัก ดังนั้นย่อมสังเกตดูตำแหน่งศูนย์กลางของหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ที่มีมาตั้งแต่โบราณของแผ่นดินจงเทียนอย่างละเอียด


จะเห็นว่ารอบด้านของยอดเขาหลักมีกลุ่มยอดเขาตั้งอยู่ แต่กลับเตี้ยกว่ายอดเขาหลักมาก มันโอบล้อมยอดเขาหลักไว้ราวกับหมู่ดาวที่ล้อมดวงเดือน


หน้าผารอบๆ ยอดเขาหลักสูงชันเป็นอย่างมาก ตอนที่ยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองไปรอบด้าน ทำให้รู้สึกถึงความโปร่งโล่งในขณะที่รับชมทุกสิ่ง


พื้นหลายร้อยจั้งบนยอดเขา นอกจากจะมีลานกว้างแล้ว ก็เป็นวิหารสูงใหญ่ที่สร้างจากหินสีทองไม่ทราบชื่อหลังหนึ่ง ซึ่งครอบครองพื้นที่สิบกว่าหมู่


วิหารหลักมีความกว้างและความสูงสามจั้ง มีลายเส้นจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งประทับอยู่บนนั้น มีอักขระสีทองขนาดใหญ่สลักอยู่ว่า ‘วิหารยอดบริสุทธิ์’ อักขระดูมีพลังเป็นอย่างมาก เผยให้เห็นถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชนตั้งแต่สมัยโบราณ


พอมองออกไปไกลๆ ที่เชื่อมต่อกับวิหารหลักยังมีวิหารข้างที่มีขนาดแค่หนึ่งในสามของวิหารหลักอยู่สองหลัง โดยล้อมรอบวิหารหลักเป็นรูปสามเหลี่ยม


ด้านหน้าวิหารใหญ่ยังมีรูปปั้นของผู้อาวุโสที่สวมชุดนักพรตซึ่งดูราวกับมีชีวิต กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ ใบหน้าเงยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่หรี่มองไปบนอากาศ ทำให้รู้สึกถึงความลึกล้ำที่ยากจะหยั่งถึง


ขณะนี้ สายตาของหลิ่วหมิงตกอยู่บนรูปปั้นของผู้อาวุโสท่านนี้ หลังจากขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้ว ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


ขณะนั้นเอง ประตูของวิหารใหญ่ที่ปิดสนิท ก็ถูกผลักออกมาจากด้านในโดยฉับพลัน และชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินเคียงบ่าออกมา


ผู้ชายสวมชุดคลุมสีเงิน สะพายกระบี่ยาวตรงหลัง ใบหน้าคมสัน เป็นชายอายุสามสิบกว่าปีที่ดูเคร่งขรึมมาก


ผู้หญิงสวมชุดคลุมสีดำ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวแวววาวราวกับหิมะ ผมยาวสยายลงด้านหลัง นางเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามผู้หนึ่ง


หลังจากทั้งสองออกมาแล้ว ก็ยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตูโดยไม่พูดอะไรออกมา


จากนั้นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎที่ดูไม่ธรรมดาในชุดคลุมสีเหลือง ก็ค่อยๆ ก้าวออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน คนผู้นี้ก็คือเทียนเกอเจินเหรินที่เป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง


“เอาล่ะ! ในเมื่อมากันครบแล้ว ข้าก็จะประกาศรายชื่อศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์อย่างเป็นทางการแล้ว” พอเทียนเกอเจินเหรินขยับตัว ก็มาปรากฏตัวบนแท่นสูงตรงหน้าลานกว้าง หลังจากกวาดสายตาลงมาแล้ว ก็พูดออกมาด้วยเสียงอันดัง


พอได้ยินประมุขนิกายพูด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบลงทันที ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเงียบเป็นเป่าสาก และสายตาของผู้คนทั้งหมด ต่างก็มองมาที่เทียนเกอเจินเหริน


“หลัวเทียนเฉิงจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ หลงเหยียนเฟยจากยอดเขากระบี่สวรรค์ หลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว……”


“สิบคนนี้ถูกกำหนดให้เป็นศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ชั่วคราว เนื่องจากงานประตูสวรรค์เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของนิกายเราในอีกหลายร้อยปีหน้า เพื่อประโยชน์ของนิกายเรา ศิษย์คนอื่นๆ ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ สามารถท้าสู้ศิษย์ทั้งสิบคนนี้ได้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากเอาชนะได้ ก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์แทน เวลาที่จำกัดคือสามเดือน” เทียนเกอเจินเหรินค่อยๆ ประกาศออกมา


พอคำพูดนี้ดังออกมา ย่อมเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันที่ด้านล่างแท่นสูง ศิษย์จำนวนหนึ่งแสดงสีหน้าคันไม้คันมืออยากจะลองดู สายตาของพวกเขาพากันมองไปยังคนทั้งสิบที่อยู่บนลานกว้าง


ต่อมา เทียนเกอเจินเหรินก็พูดให้กำลังใจฝูงชนอีกรอบหนึ่ง จากนั้นถึงให้คนทั้งหมดจากไป


ขณะที่เทียนเกอเจินเหรินเดินลงแท่นหินนั้น ก็มีศิษย์หลายคนท้าสู้ผู้ที่มีรายชื่อเข้าร่วมพร้อมกัน


อาจเป็นเพราะว่าการต่อสู้อันโด่งดังกับหลัวเทียนเฉิงในก่อนหน้า จึงไม่มีคนไปท้าสู้หลิ่วหมิงชั่วขณะหนึ่ง


หลิ่วหมิงเองก็ขี้เกียจไปดูการประลองของคนอื่นๆ หลังจากกล่าวลาอินจิ่วหลิงแล้ว ก็ขี่เมฆดำกลับถ้ำที่พักทันที


ช่วงเวลาหลังจากนี้ เขาทำการฝึกฝนอยู่ในถ้ำโดยไม่ออกไปไหน ด้วยระดับของเขาในตอนนี้ เพียงแค่ทานโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด พอถึงเวลาก็ทานโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธา คงจะทะลวงระดับแก่นแท้ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร


เดือนแรก มีคนมาท้าสู้กับเขาน้อยมาก หลังจากถูกเขาจนโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดายแล้ว เดือนที่สองก็ไม่มีคนมาท้าสู้อีก


จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนที่เวลาจำกัดสามเดือนใกล้จะหมดลง ถึงมีศิษย์สายในสองคนที่ไม่รู้จักประมาณพลังของตัวเองมาท้าสู้ถึงที่ แต่หลิ่วหมิงแค่กระตุ้นพลังหนึ่งมังกรหนึ่งพยัคฆ์ของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็ทำให้ทั้งสองจากไปอย่างง่ายดาย


หลัวเทียนเฉิงกับศิษย์มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ในบัญชีรายชื่อ ต่างก็พบเจอกับสถานการณ์พอๆ กัน


แต่ว่าศิษย์ที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่ง หลังจากถูกท้าสู้บ่อยๆ จนเวลาสามเดือนผ่านไป ก็ถูกม้ามืดจำนวนหนึ่งมาแทนที่อยู่หลายคน


ในช่วงระหว่างเวลานี้ นอกจากหลิ่วหมิงจะฝึกฝนอยู่ในแดนมายาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังใช้แผ่นค่ายกลส่งสารสอบถามเรื่องภารกิจที่ประกาศบนป้ายประกาศลี้ลับด้วย แต่ก็ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับปีศาจอสูรว่างเปล่า ทำให้เขารู้สึกจนปัญญาขึ้นมา


วันนี้ ภายในห้องลับในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เขากำลังชื่นชมถุงผ้าสีเทาสลัวๆ สองใบที่ถืออยู่ในมือ ลายเส้นจิตวิญญาณเล็กๆ ประสานกันไปมาบนถุงผ้า แลดูงดงามยิ่งนัก มันคือถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่สามารถบรรจุอสูรเลี้ยงระดับผลึกทั้งสองได้ ซึ่งเขาใช้ห้าแสนหินจิตวิญญาณในการสั่งทำขึ้นมา


“พวกเจ้าทั้งสองลองดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่หน่อยสิว่าเหมาะสมหรือไม่” หลิ่วหมิงสั่งเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่ฝึกฝนอยู่ข้างๆ


“ดี! ให้ข้าลองดูก่อน” เด็กชายชุดเขียวได้ยิน ก็เก็บไอหมอกสีเขียวอันพวยพุ่งเข้าไป จากนั้นก็กระโดดมาอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง


หญิงสาวชุดดำก็หายวับมาปรากฏตัวด้านข้างหลิ่วหมิงเช่นกัน


“ตอนนี้การตัดสินผู้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว ข้ากำลังคิดที่จะออกไปด้านนอกสักรอบ ไปที่หอเป๋ยโต่วเพื่อสืบดูว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับอสูรว่างเปล่าหรือไม่ หลายเดือนมานี้พวกเจ้าอยู่แต่ในถ้ำ คิดว่าคงรู้สึกเบื่อบ้างแล้ว พาพวกเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ


“ดีจังเลยนายท่าน!” เซียเอ๋อร์ได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มพราย


หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนมือ หัวบินก็กลายเป็นไอหมอกดำและถูกม้วนเข้าไปพร้อมกับไอหมอกสีเขียว


“นายท่าน กว้างขวางมากเลย ปราณหยินด้านในก็มีอย่างเพียงพอ!”


น้ำเสียงของหัวบินดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง ดูเหมือนจะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นก็สะบัดถุงอีกใบเพื่อนำหญิงสาวชุดดำใส่เข้าไปด้านใน จากนั้นก็นำถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทั้งสองใบมาห้อยไว้บนเอว และออกไปจากห้องลับภายในถ้ำที่พัก


พอเขาเดินออกจากประตูถ้ำ ก็ทะยานขึ้นฟ้าทันที แต่พอเหาะออกไปไม่กี่ลี้ เมฆสีขาวก้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง บนนั้นมีหญิงสาวสวมชุดสีขาว อายุสิบหกสิบเจ็ดปีที่ดูคุ้นตาเล็กน้อย


ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยนั้น หญิงสาวชุดขาวก็ตะโกนออกมา


“ศิษย์พี่หลิ่ว โปรดหยุดก่อน!”


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง นางก็เพิ่มความเร็วของก้อนเมฆเล็กน้อย และพุ่งมาทางหลิ่วหมิงทันที


“ศิษย์น้องผู้นี้ หาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ได้แต่หยุดเมฆดำลง และหันมากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


“อิๆ! เหตุใดศิษย์พี่หลิ่วถึงลืมข้าแล้วล่ะ! ข้าคือเถียนจิงไง เมื่อก่อนเคยเจอกันบนยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ!” หญิงสาวชุดขาวเหาะมาตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องเถียนนั่นเอง อย่าได้โกรธที่ศิษย์พี่เสียมารยาทเลย ไม่เจอกันหลายปี ศิษย์น้องมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก” หลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ในทันที และกุมมือกล่าวออกมา ในใจรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย วันนี้นางมาด้วยเรื่องอันใด ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว นางยังจะให้เขาสอนการปรุงโอสถให้อีกหรือ


“ตอนนี้ศิษย์พี่หลิ่วมีชื่อเสียงในนิกายมาก จะต้องมีผู้เลื่อมใสไม่น้อย ศิษย์หญิงที่คบค้าสมาคมด้วยก็คงมีไม่น้อย ไหนเลยจะจำข้าได้” เถียนจิงได้ยินกลับเบะปากกล่าว


“ศิษย์น้องเถียนพูดล้อเล่นแล้ว……”


หลิ่วหมิงได้ยิน ก็ได้แต่ยิ้มอย่างเก้อเขิน และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง


“แต่ว่าวันนี้ บรรพบุรุษของข้าให้ข้าพาท่านไปพบ” เถียนจิงเห็นท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ของหลิ่วหมิง นางก็ยิ้มแล้วกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที


แม้ว่าผู้อาวุโสเถียนก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของยอดเขาลั่วโยว แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลิ่วหมิงเลย วันนี้ให้เขาไปหาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องใดกัน


แต่ในเมื่อผู้อาวุโสในยอดเขาเชิญ เขาที่เป็นศิษย์ในยอดเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ตอบรับกลับไป


“ดีไปเลย! ศิษย์พี่หลิ่วตามข้ามาเถอะ!”


เถียนจิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากนางหันเมฆในทันที และพุ่งนำหลิ่วหมิงออกไป


หลิ่วหมิงเอามือลูบท้ายทอยอย่างไม่มีทางเลี่ยง พอกระตุ้นเมฆดำใต้เท้า เขาก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งตามไป


ตอนที่ 759 สู่ขอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป บนยอดเขาทางด้านตะวันออกของยอดเขาลั่วโยวที่ดูไม่เตะตาลูกหนึ่ง เมฆสีดำกับสีขาวกำลังตามกันมาติดๆ


“ศิษย์พี่หลิ่ว พวกเรามาถึงแล้ว ท่านเข้าไปเองเถอะ! ข้ายังต้องไปเรียนปรุงโอสถกับศิษย์พี่ท่านอื่นๆ น่ะ เถียนจิงชี้ไปยังถ้ำที่ไม่ได้ใหญ่โตบนยอดเขาลูกหนึ่ง จากนั้นก็หันเมฆพุ่งไปทางยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณทันที


คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้ ความสนใจในการปรุงโอสถของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย ดูท่าคงไม่ได้เป็นแค่ความสนใจในชั่วขณะ แต่ค่อนข้างหลงใหลในเส้นทางการปรุงโอสถมาก


หลิ่วหมิงมองดูหลังของนางทีหนึ่ง หลังจากส่ายหน้าแล้วก็กระโดดลงจากเมฆดำทันที


เขายังไม่ทันได้เคาะประตู ประตูใหญ่ของถ้ำก็เปล่งแสงสีเขียว และค่อยๆ เปิดออกมา


“หลิ่วหมิง เข้ามาเถอะ!” น้ำเสียงแหบแห้งดังออกจากประตู


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะกราบตัวเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวมาหลายปีแล้ว ผู้อาวุโสในยอดเขาก็พบเจออยู่บ่อยๆ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขามาพบผู้อาวุโสเถียนผู้นี้โดยลำพัง


เขาตอบรับอย่างนอบน้อมในทันที หลังจากเดินเข้าไปในถ้ำแล้ว ประตูใหญ่ด้านหลังก็ปิดตัวลงเอง


หลังจากเดินผ่านทางเดินสั้นๆ ที่เงียบสงบสายหนึ่ง ก็จะเป็นห้องกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ชายชุดดำที่มีไอดำรายล้อมรอบตัว กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง มือข้างหนึ่งถือถ้วยชา และทำการจิบชาจิตวิญญาณอยู่คนเดียว พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา ก็เงยหน้ามองเล็กน้อย


จะเห็นว่าคนผู้นี้มีอายุราวๆ ห้าสิบปี จอนผมทั้งสองข้างเป็นสีขาว ใต้คางมีหนวดยาวสามปอยที่มีสีขาวกับดำผสมกัน ดวงตาทั้งคู่กำลังจ้องมองหลิ่วหมิงอยู่


หลิ่วหมิงเพียงแค่สบตาเล็กน้อย ก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทง เขารีบกระตุ้นพลังจิตด้วยความตกใจ ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นสะบายก็ทะลักไปยังดวงตาทั้งสอง ขณะนี้เขาถึงไม่เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอีก


ชายชุดคลุมสีเทาเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาชื่นชมออกมา


“คารวะอาจารย์อาเถียน” ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเดินไปหน้าโต๊ะ และหยุดฝีเท้าลงก่อนโค้งคารวะ


“ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถอะ! ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ เป็นเพราะว่าศิษย์ของข้าบังเอิญไปเห็นภารกิจตามหาปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่าบนป้ายประกาศลี้ลับพอดี และข้าเองก็รู้เบาะแสของปีศาจอสูรชนิดนี้ตัวหนึ่งพอดี” ผู้อาวุโสเถียนยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“อาจารย์อารู้เบาะแสของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่าหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที หลังจากนั่งลงไปแล้ว ก็สอบถามด้วยสีหน้าดีใจ


“ไหนเลยข้าจะโกหกผู้น้อยอย่างพวกเจ้า แต่ว่าข้าไม่ได้สนใจหินจิตวิญญาณที่เป็นรางวัลเหล่านั้น แต่กลับต้องการสิ่งของจิตวิญญาณบางอย่างมาแลกกับเบาะแสนี้” ผู้อาวุโสเถียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลิ่วหมิง เขาก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา


“อาจารย์ต้องการสิ่งของจิตวิญญาณอันใดหรือ ผู้น้อยเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งของที่อาจารย์อาต้องการหรือไม่?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามด้วยความลังเล


“ได้ยินว่าศิษย์หลานมีชื่อในบัญชีรายชื่อเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ และสิ่งของจิตวิญญาณที่ข้าต้องการ ก็บังเอิญหาได้แค่ในแดนลึกลับที่งานประตูสวรรค์เท่านั้น พอถึงเวลาเจ้าแค่ระมัดระวังสักหน่อย คงจะนำของสิ่งนี้มาได้ไม่ยากนัก สำหรับข้อมูลของสิ่งของจิตวิญญาณชิ้นนี้ ได้บันทึกไว้ในแผ่นหยกแล้ว เจ้าอ่านดูก่อนเถอะ!” ผู้อาวุโสเถียนกล่าวโดยไม่ต้องครุ่นคิด พอยกมือข้างหนึ่ง แผ่นหยกที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ ก็พุ่งออกมา และร่วงลงบนมือของหลิ่วหมิงอย่างมั่นคง


หลิ่วหมิงนำแผ่นหยกมาแปะไว้บนหน้าผากทันที และใช้จิตกวาดดูอย่างรีบร้อน


ตามที่บรรยายไว้ในแผ่นหยก ของสิ่งนี้เป็นสิ่งของจิตวิญญาณที่มีเฉพาะแดนลึกลับในงานประตูสวรรค์ แม้จะบอกว่าไม่ได้ได้มาโดยง่ายอย่างที่ผู้อาวุโสเถียนพูด แต่ก็มีโอกาสได้มาสูง


“ได้ ศิษย์จะช่วยอาจารย์อาหาของสิ่งนี้อย่างสุดความสามารถ” หลังจากหลิ่งหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาไรมากนัก จึงตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ


“เช่นนี้ก็ดี เจ้านำของสิ่งนี้มาเมื่อไหร่ ข้าก็จะบอกเบาะแสของอสูรว่างเปล่าเมื่อนั้น ตอนนี้เจ้าไปยุ่งเรื่องของเจ้าเถอะ!” ผู้อาวุโสเถียนพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ออกคำสั่งไล่แขกทันที


หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินออกไปจากถ้ำโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และไม่คิดที่จะออกไปนอกนิกายอีก เท้าของเขาเหยียบเมฆดำก้อนหนึ่ง และพุ่งกลับไปยังที่พักของตนเองทันที


ในเมื่อมีเบาะแสของอสูรว่างเปล่าแล้ว ย่อมไม่ต้องบุ่มบ่ามไปที่หอเป๋ยโต่วอีก เพราะการไปกลับไม่เพียงแต่จะใช้เวลาจำนวนหนึ่งเท่านั้น เรื่องที่หอเป๋ยโต่วเปิดเผยข้อมูลของตนเองให้กับผู้ฝึกฝนชั่วร้ายนั้น ยังคงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวมาโดยตลอด


……


การฝึกฝนไร้ซึ่งเวลา พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว


ความวุ่นวายในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่เกิดจากสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ก็ค่อยๆ สงบลง ในเมื่อรายชื่อผู้เข้าร่วมทั้งสิบคนได้รับการยืนยันแล้ว คนจำนวนมากก็เริ่มแอบคาดเดาผลลัพธ์ของงานประตูสวรรค์ แม้กระทั่งคนน่าเบื่อจำนวนหนึ่ง ก็ได้จัดอันดับของทั้งสิบคนนี้ไว้แล้ว


ทั้งหมดนี้หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้เรื่องแต่อย่างใด เขายังคงทำการฝึกฝนอยู่ภายในถ้ำที่พักอย่างตั้งใจ


……


วันนี้ บนวิหารใหญ่ของยอดเขาเลื่อนลอย เทียนอินซ่างเหรินที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขา กำลังต้อนรับแขกพิเศษสองคนอยู่


ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขา หญิงสาวสวยวัยกลางคนที่สง่างามกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหลัก ชุดสีขาวจันทราที่สวมอยู่บนตัวไม่มีรอยเปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่น้อย ดวงตางดงามทั้งคู่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม นางก็คือเทียนอินซ่างเหรินที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอยนั่นเอง


ตำแหน่งในด้านที่ต่ำกว่า กลับเป็นหญิงใบหน้างดงามผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือผู้อาวุโสอวี้อินจื่อที่เป็นอาจารย์ของเจียหลาน


ตรงหน้าอวี้อินจื่อก็มีชายวัยกลางคนสวมชุดนักปราชญ์สีขาวนั่งอยู่คนหนึ่ง รูปร่างลักษณะดูภูมิฐาน ดูๆ แล้วอายุก็ไม่ได้น้อยแล้ว แม้ว่าผมจะยังคงเป็นสีดำ แต่เวลายิ้มจะมีรอยตีนกาปรากฏบนหางตาจางๆ


ชายวัยกลางคนผู้นี้ชื่อหลัวหยวน เป็นผู้ควบคุมยอดเขาดับสูญที่อยู่ใกล้ๆ ยอดเขาเลื่อนลอย


ยอดเขาดับสูญก็เป็นที่รู้จักกันในเรื่องของการฝึกฝนวิชามายา วิชาประเภทพลังจิต เป็นต้น ซึ่งให้ผลยอดเยี่ยมเหมือนกับยอดเขาเลื่อนลอย และก็มีตำแหน่งในนิกายไม่ด้อยไปกว่ายอดเขาอื่นๆ เลย


ด้านหลังชายวัยกลางคน มีชายหนุ่มสวมชุดผ้าแพรยืนอยู่ ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี มีคิ้วรูปดาบ ดวงตาเป็นประกาย บุคลิกองอาจห้าวหาญ


เมื่อศิษย์นำชามาต้อนรับแขกแล้ว ก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว นอกจากคนทั้งสี่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดในวิหารใหญ่อีก


ผู้ควบคุมและผู้อาวุโสจิบชาไปพลาง ทักทายปราศรัยไปพลางอย่างไม่ใส่ใจ


“ศิษย์น้องหลัว ว่ากันว่าหากไม่มีเรื่องราวอะไรก็จะไม่มาวิหารล้ำค่าทั้งสาม วันนี้เจ้ามายอดเขาเลื่อนลอยด้วยเรื่องอันใด เชิญพูดมาตามตรงเถิด” ในที่สุดเทียนอินช่างเหรินก็เอ่ยปากถามถึงวัตถุประสงค์ในการมาของหลัวหยวน


“ในเมื่อศิษย์พี่เทียนอินพูดเช่นนี้แล้ว ศิษย์น้องก็จะไม่พูดอ้อมค้อมอีก”


“ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีขาวได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่อยู่ด้านหลังก่อนกล่าวออกมา


“เมื่อครู่ลืมแนะนำให้ท่านทั้งสองรู้จัก นี่คือศิษย์คนสุดท้ายที่ศิษย์น้องเพิ่งรับเข้ามาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เวินอัน ยังไม่รีบไปคารวะอาจารย์อาทั้งสองอีก”


“ผู้น้อยเวินอัน คารวะเทียนอินซ่างเหริน อาจารย์อาอวี้” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และโค้งตัวคารวะเทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อ


เทียนอินซ่างเหรินสบตากับอวี้อินจื่อทีหนึ่ง ทั้งสองสังเกตเห็นชายหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มชุดผ้าแพรใบหน้างดงามผู้นี้จะเป็นศิษย์คนสุดท้ายของหลัวหยวน


“ศิษย์หลานเวินไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้น! ศิษย์ที่ศิษย์น้องหลัวรับมา ก็มีไม่เกินสี่ห้าคนสินะ เหตุใดจึงรับศิษย์คนสุดท้ายเร็วเช่นนี้ สิ่งนี้มันเกินความคาดหมายของข้าไปมาก” เทียนอินซ่างเหรินพยักหน้า และกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย


“วิชาอันน้อยนิดของข้านี้ สามารถฝึกฝนศิษย์ที่สามารถสืบทอดได้ ก็รู้สึกพอใจมากแล้ว ศิษย์พี่ลองพูดมาหน่อยว่าศิษย์ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์หลานเวินน่าจะอายุไม่เกินหนึ่งร้อยปี ก็เข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ตามที่ข้าดู รูปร่างและคุณสมบัติล้วนยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก” เทียนอินซ่างเหรินขมวดคิ้ว นางคาดเดาจุดประสงค์ของหลัวหยวนไม่ออก แต่ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ


“ศิษย์พี่เทียนอินชมเกินไปแล้ว แต่ว่าศิษย์ผู้นี้ได้ใจข้าจริงๆ จะว่าไปแล้วยอดเขาเลื่อนลอยก็มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ไม่น้อย ได้ยินมาว่าศิษย์พี่เทียนอินมีศิษย์คนหนึ่งชื่อเจียหลาน นางมีร่างมายาสวรรค์ที่พบเจอได้ยากยิ่งในรอบพันปี” หลัวหยวนหัวเราะเหอะๆ แล้วทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอพูดถึง ‘ร่างมายาสวรรค์’ สายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของหญิงงดงามตรงหน้า


“ศิษย์น้องหลัวชมเกินไปแล้ว เจียหลานจะเทียบกับศิษย์หลานเวินได้อย่างไร คุณสมบัติของนางก็นับว่าธรรมดาเท่านั้น” อวี้อินจื่อได้ยินก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา และยังกล่าวอย่างถ่อมตน


“ที่จริงที่ข้ามาเยี่ยมเยียนยอดเขาของท่านในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องดีบางอย่างอยากจะหารือกับศิษย์พี่ทั้งสองเล็กน้อย ข้าเป็นตัวแทนมาสู่ขอเจียหลานให้กับศิษย์ของข้า” หลัวหยวนมองดูเทียนอินซ่างเหรินอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง จากถึงกล่าวออกมาเช่นนี้


“คำพูดของศิษย์น้องหลัวทำให้ข้ารู้สึกตกใจมากนัก” ผ่านไปพักใหญ่ๆ หลังจากเทียนอินซ่างเหรินมองดูอวี้อินจื่อทีหนึ่งแล้ว ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา


“บอกศิษย์พี่ทั้งสองอย่างไม่ปิดบัง ศิษย์ของข้าผู้นี้เป็นร่างมายาพสุธาที่พบเจอได้น้อยมากในรอบพันปี สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในร่างจิตวิญญาณที่เหมาะสมต่อการฝึกฝนวิชามายาเป็นอย่างมาก ข้าเองก็ลำบากเสาะหามาหลายปี ถึงหาผู้ที่สามารถสืบทอดวิชาของข้าได้” หลัวหมิงกลับกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม


“ร่างมายาพสุธา!”


ดูเหมือนว่าเทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อจะรู้สึกตกใจพร้อมกัน


สายตาของทั้งสองที่มองดูชายหนุ่มชุดผ้าแพรก็แตกต่างกันไป พวกเขาเป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่เชี่ยวชาญวิชามายา ย่อมรู้ดีว่าร่างจิตวิญญาณนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างมายาสวรรค์เลย


แต่ครู่ต่อมา อวี้อินจื่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“คิดว่าศิษย์พี่ทั้งสองก็คงรู้ดี แม้ว่าร่างมายาพสุธาจะฝึกฝนวิชามายาได้ผลมาก แต่ทุกครั้งที่บรรลุแต่ละระดับขั้น ในร่างก็จะสะสมปราณหยางบริสุทธิ์ไว้ส่วนหนึ่ง ตอนนี้ศิษย์ของข้ามาถึงระดับนี้พอดี ปราณหยางบริสุทธิ์ที่ปะปนอยู่ในร่าง ได้เริ่มเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุการฝึกฝนของเขาแล้ว จำเป็นต้องมีหญิงสาวที่มีร่างจิตวิญญาณคล้ายคลึงกันมาฝึกฝนคู่กับเขา ถึงจะจัดการปราณหยางบริสุทธิ์ที่ปะปนได้อย่างสมบูรณ์ และการเข้าสู่ระดับแก่นแท้ในภายหลังก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว”


หลัวหยวนกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อมและจริงใจ หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์ของศิษย์พี่อวี้อินจื่อผู้นี้มีร่างมายาสวรรค์ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้นถึงได้ล่วงเกินมาขอร้อง หวังว่าท่านทั้งสองจะช่วยส่งเสริม”


อวี้อินจื่อขมวดคิ้วและเงียบไปทันที


“ศิษย์น้องหลัวพูดได้ง่ายมาก ข้อบกพร่องของร่างมายาพสุธา ไหนเลยจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้ เกรงแต่ว่าหลังจากเจียหลานฝึกฝนคู่กับศิษย์ของเจ้าแล้ว ร่างมายาสวรรค์อาจถูกดูดซับไปกว่าครึ่ง สิ่งนี้จะทำลายเส้นทางของวิชามายาในภายหน้า เรื่องเช่นนี้ข้าจะไม่ตอบตกลงอย่างเด็ดขาด”


ตอนที่ 760 ใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เฮ่อๆ! ศิษย์พี่เทียนอินมีความรู้กว้างไกลจริงๆ ศิษย์น้องนับถือยิ่งนัก”


หลัวหยวนดวงตาเป็นประกาย แต่กลับกล่าวต่อด้วยสีหน้าปกติ


“ข้าเองก็รู้ว่า การกระทำนี้อาจจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของยอดเขาเลื่อนลอย ศิษย์หลานเจียหลานก็ต้องเสียสละค่อนข้างมาก เช่นนี้เถิด! ข้ายินดีใช้โอสถมายานรกเก้าขุมที่เป็นโอสถระดับธรรมดาสามเม็ด หยกโลหิตแต่กำเนิดหนึ่งชิ้น และสิทธิ์ในการเข้า ‘ทางจันทรามายา’ หนึ่งครั้ง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน สำหรับศิษย์หลานเจียหลาน ข้าจะเสนอทรัพยากรให้จำนวนมาก และช่วยนางเข้าสู่ระดับแก่นแท้อย่างสุดความสามารถ เช่นนี้แล้วศิษย์พี่ทั้งสองคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”


เทียนอินซ่างเหรินได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่ดวงตาก็เป็นประกายอยู่ไม่หยุด


อย่างที่รู้ว่า โอสถมายานรกเก้าขุมปรุงขึ้นมาจากวิญญาณของแมงเม่ามายานรกเก้าขุม ที่เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ อสูรชนิดนี้ สามารถพบได้แค่ในทางปีศาจชั่วร้ายเท่านั้น ในวิญญาณแฝงไปด้วยพลังมายาอันบริสุทธิ์ มีผลลัพธ์อันดีต่อผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่ฝึกฝนวิชามายามาก มักจะช่วยให้ผู้ที่ทานสามารถทะลวงคอขวดได้ ด้วยเหตุนี้แต่ละเม็ดจึงมีราคาหลายสิบล้านหินจิตวิญญาณ และมักจะไม่มีขายในตลาดด้วย


โอสถมายานรกเก้าขุมระดับสูง ยังมีผลต่อการบรรลุระดับดาราพยากรณ์ในขอบเขตที่กำหนดได้


ส่วนหยกโลหิตแต่กำเนิดก็เป็นวัสดุจิตวิญญาณสำหรับสร้างอาวุธประเภทวิชามายาที่พบเจอได้น้อยมากในโลกเช่นกัน มูลค่าของมันสูงจนไม่ต้องบอกก็รู้


สำหรับ ‘ทางจันทรามายา’ ก็เป็นพื้นที่มิติเล็กๆ แห่งหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ทะลวงระดับที่เลิศล้ำสำหรับผู้ฝึกฝนวิชามายา มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับถ้ำวายุสวรรค์ที่หลิ่วหมิงเคยไป แต่ว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าหลายเท่า ซึ่งเสนอให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ใช้โดยเฉพาะ และทุกครั้งที่เปิดก็จะสิ้นเปลืองทรัพยากรล้ำค่าไม่น้อย แม้แต่ผู้มีสถานะสูงส่งอย่างผู้ควบคุมยอดเขาก็ไม่อาจเข้าไปได้โดยง่าย


เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนล้ำค่าเป็นอย่างมาก แม้ว่าเทียนอินซ่างเหรินจะมีสถานะเป็นถึงผู้ควบคุมยอดเขา ก็อดใจเต้นไม่ได้


แต่ว่าหลังจากนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็มองอวี้อินจื่อก่อนกล่าวออกมาเบาๆ


“ศิษย์น้อง เจียหลานเป็นศิษย์ของเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”


หลัวหยวนได้ยินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เทียนอินซ่างเหรินกล่าวเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่าได้ยอมรับเรื่องนี้โดยปริยายแล้ว แต่ติดที่อวี้อินจื่อที่เป็นอาจารย์ที่แท้จริงของเจียหลานอยู่ด้วย จึงไม่ได้พูดออกมาตามตรง


เพียงแค่เทียนอินซ่างเหรินพยักหน้า เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว


ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่อยู่ด้านหลังหลัวหยวนเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาดีใจออกมา


อวี้อินจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ เอ่ยปากออกมา


“เงื่อนไขที่ศิษย์น้องหลัวเสนอมาดีมากจริงๆ แต่ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว เรื่องนี้ศิษย์ของข้าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้นจึงควรถามความยินยอมจากนางเสียก่อน”


หลัวหยวนได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็นึกเรื่องราวอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“อืม! ที่ศิษย์พี่อวี้อินกล่าวมามันก็ถูก”


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องขอให้ศิษย์น้องอวี้อินส่งข่าวบอกเจียหลานให้มาพบกันที่นี่เถิด!” เทียนอินซ่างเหรินมองดูอวี้อินจื่อทีหนึ่ง ดูเหมือนนางจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับไม่แสดงออกมา


อวี้อินจื่อพยักหน้า และนำยันต์ส่งเสียงออกมาผืนหนึ่ง หลังจากพูดเบาๆ ไปสองสามประโยคแล้ว ก็ปล่อยพลังใส่เข้าไปในนั้น ภายใต้การเปล่งประกายของยันต์ส่งเสียง มันก็กลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนหายไปในอากาศ


เวลาต่อมา ทั้งสามก็จิบชาจิตวิญญาณไปด้วย และพูดคุยสัพเพเหระไปพลางๆ


ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกประตูอยู่รำไร หญิงสาวร่างอรชรที่สวมชุดสีฟ้านางหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในประตูวิหาร ผมงดงามราวกับปุยเมฆ ผิวขาวเกลี้ยงเกลาราวกับหยก นางก็คือเจียหลานนั่นเอง


พอได้ยินเสียงฝีเท้า สายตาของคนทั้งสี่ที่อยู่ในวิหารก็หันไปมองประตูพร้อมกัน


พอเจียหลานเห็นว่ามีคนนอกนั่งอยู่ในวิหาร นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา นางหยุดชะงักตรงประตูเล็กน้อย และคารวะเทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อก่อนกล่าวออกมา


“ศิษย์เจียหลาน คารวะอาจารย์อา และอาจารย์”


“ไม่ต้องมากพิธี! เจียหลาน ท่านนี้คือผู้ควบคุมยอดเขาหลัวจากยอดเขาดับสูญ” พอเทียนอินซ่างเหรินเห็นเจียหลานเดินเข้ามา ใบหน้าที่เย็นชาของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาทักทาย


เจียหลานได้ยิน ก็หมุนตัวไปคารวะชายวัยกลางคน


“คารวะอาจารย์อาหลัว”


เจียหลานไม่ได้รู้สึกแปลกหน้ากับยอดเขาดับสูญแต่อย่างใด ในนิกายมียอดเขาตั้งมากมาย หากพูดถึงยอดเขาที่เชี่ยวชาญวิชามายา ก็มีแค่ยอดเขาเลื่อนลอยกับยอดเขาดับสูญเท่านั้น และหลัวหยวนผู้ควบคุมยอดเขาดับสูญผู้นี้ ก็ได้ชื่อว่าผู้ฝึกฝนวิชามายาระดับแก่นแท้คนแรกของนิกายยอดบริสุทธิ์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่ว่านางก็เพิ่งได้เจอเป็นครั้งแรก


“ศิษย์หลานไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้” ขณะที่ชายวัยกลางคนพูดออกมา สายตาก็สังเกตดูเจียหลานไปด้วย จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยแววตาชื่นชม


ตั้งแต่เจียหลานเดินเข้ามา ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่ได้ละสายตาไปจากนางเลยแท้แต่น้อย ภายในระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ แววตาของเขาก็เร่าร้อนมากขึ้นกว่าเดิม


ดูเหมือนว่าเจียหลานจะรับรู้ได้ถึงแววตาเร่าร้อนของอีกฝ่าย คิ้วงดงามของนางยกขึ้นเล็กน้อย แววตาดูไม่พอใจอยู่ลางๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ทางสีหน้าแต่อย่างใด


“เจียหลาน นั่งลงด้านนี้เถอะ!” อวี้อินจื่อก็มองเห็นแววตาของชายหนุ่มชุดผ้าแพรเช่นกัน นางจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ทันใดนั้นก็เรียกให้ศิษย์ตัวเองมาอยู่ด้านข้าง


ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นเช่นนี้ ก็ละสายตาออกมาด้วยสีหน้าเหยเก และยืนอย่างเรียบร้อย


“ไม่ทราบว่าอาจารย์กับอาจารย์อาเรียกศิษย์มามีธุระอันใดหรือ?” เจียหลานเดินมาถึงด้านข้างอวี้อินจื่อ แต่ไม่ได้นั่งลงไป เพียงแค่เอ่ยปากถามเบาๆ เท่านั้น


“เรื่องมันเป็นอย่างนี้……” เทียนอินซ่างเหรินมองดูอวี้อินจื่อทีหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ศิษย์ของหลัวหยวนมาสู่ขอไปหนึ่งรอบ เพียงแต่เจตนาไม่พูดถึงคำที่อาจก่อให้เกิดความไม่เหมาะสม


อวี้อินจื่อเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากแทรกแต่อย่างใด


เจียหลานฟังจบ ดวงตาของนางก็เป็นประกายเล็กน้อย ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงถอนหายใจแล้วกล่าวกับหลัวหยวนอย่างนอบน้อม


“ขออาจารย์อาหลัวโปรดให้อภัย ศิษย์ไม่มีความตั้งใจที่จะฝึกฝนคู่กับศิษย์พี่เวินผู้นี้”


พอคำพูดนี้ออกมาจากปาก ก็ทำให้เทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อรู้สึกอึ้งเล็กน้อย เพียงแต่ว่าใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ ของเทียนอินซ่างเหรินกลับดูเคร่งขรึมภายในพริบตา ส่วนอวี้อินจื่อกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย และรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง


ชายหนุ่มชุดผ้าแพรก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แววตาของเขากลับเผยแววอับอายเล็กน้อย


หลัวหยวนได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึม และรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที หลังจากกวาดสายตามองดูเทียนอินซ่างเหรินแล้ว ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา


“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า ศิษย์หลานไม่ถูกใจศิษย์ผู้นี้ของข้าหรือ?”


“ศิษย์พี่เวินเป็นผู้ที่มีความสามารถ การฝึกฝนก็เลิศล้ำ ไหนเลยศิษย์จะคิดเช่นนี้ได้ เพียงแต่ว่าในใจมีคนอื่นแล้ว นอกจากเขาชาตินี้จะไม่แต่งกับคนอื่นอีก ขออาจารย์อาหลัวโปรดให้อภัย” เจียหลานก้มหน้าลงเล็กน้อย และกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ


ได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่ในวิหารต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้


“อ๋อ! ที่เจ้าพูดถึงคือศิษย์ยอดเขาใด เหตุใดอาจารย์ถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน?” อวี้อินจื่อรีบถามด้วยความประหลาดใจ


“เรียนอาจารย์ คือ……คือหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว ศิษย์พี่หลิ่ว” เจียหลานลังเล็กน้อยก่อนพูดชื่อนี้ออกมา


“หลิ่วหมิง? ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้หรือ?” อวี้อินจื่อรู้สึกอึ้งไปทันที


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเข้ามาในนิกายนานแล้ว และปรากฏตัวในนิกายไม่มาก แต่ช่วงนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการแลกมือเสมอกับหลัวเทียนเฉิงในครั้งนั้น ยิ่งสะเทือนไปทั่วนิกาย ดังนั้นอวี้อินจื่อย่อมเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน


เทียนอินซ่างเหรินเองก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


เขามีสถานะเป็นผู้ควบคุมยอดเขา ย่อมรู้เรื่องราวของหลิ่วหมิงมากกว่า รู้ดีว่าเขาไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้ พอนึกถึงจุดนี้ นางก็แสดงสีหน้าลังเลขึ้นมา


“หากข้าไม่ได้ดูผิดล่ะก็ ศิษย์หลานยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่ใช่หรือไม่? ศิษย์หลานเจียหลานให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ตลอดทั้งชีวิตมาก แต่ว่าผู้ฝึกฝนคู่ยังต้องเลือกอย่างรอบคอบ หากเจอคนที่ไม่ชอบธรรม จะถูกทำลายทั้งชีวิตได้ ศิษย์ของข้าผู้นี้อยากแต่งเจ้าเป็นภรรยาด้วยใจจริง ตรงจุดนี้อาจารย์สามารถรับประกันให้ได้” หลังจากรอยยิ้มบนใบหน้าหลัวหยวนหายไปสักพักใหญ่ๆ แล้ว ถึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“ตอนนี้ศิษย์ยังรักษาพรหมจารีอยู่ เป็นเพราะว่าวิชาที่ฝึกฝนค่อนข้างพิเศษ รักษาร่างหยินบริสุทธิ์ไว้ฝึกฝน มันจะเป็นประโยชน์มาก ส่วนข้ากับศิษย์พี่หลิ่ว เดิมทีก็มาจากสถานที่เดียวกัน ได้รู้จักกันนานแล้ว สำหรับอุปนิสัยใจคอของเขา ศิษย์มั่นใจว่ามีความเข้าใจอยู่มาก เพียงแต่ศิษย์กับเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ถึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับผู้อื่น ขออาจารย์โปรดให้อภัยด้วย” ขณะที่เจียหลานพูด นางก็หันไปกราบอวี้อินจื่อ


อวี้อินจื่อรีบประคองนางให้ลุกขึ้นมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“เอาล่ะ! อาจารย์ไม่ได้คิดที่จะตำหนิเจ้า แต่ว่าการฝึกฝนคู่เป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องรอบคอบให้มาก”


หลัวหยวนเห็นเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่สถานะระดับเขาก็ดูเหมือนจะไม่อาจพูดอะไรมากได้


“ศิษย์น้องเจียหลาน ในเมื่อเจ้ากับหลิ่วหมิงยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ อีกทั้งเจ้ายังไม่เคยเปิดเผยสถานะคู่รักฝึกฝนต่อหน้าผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อาจถือเป็นเรื่องจริงได้ ในโลกของการฝึกฝน ผู้ฝึกฝนชายหลายคนตามจีบผู้ฝึกฝนหญิงคนเดียว นับว่าเป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อยมาก ข้าคงยังมีโอกาสสู่ขอเจ้ากับอาจารย์อาอวี้อินจื่ออยู่” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยปากในฉับพลัน


“ไม่ผิด! อันเอ๋อร์กล่าวได้มีเหตุผล” หลัวหยวนพยักหน้าด้วยตาที่เป็นประกาย


“อันนี้……” อวี้อินจื่ออ้ำอึ้งไปในทันที


“ศิษย์พี่อวี้อินจื่อ ศิษย์น้องกับลูกศิษย์มาด้วยใจจริง ศิษย์พี่คงไม่ให้แม้แต่โอกาสหรอกนะ”


หลัวหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม โดยที่ไม่รอให้อวี้อินจื่อพูดอะไรออกมา


“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ศิษย์พี่ติดอยู่ที่คอขวดระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ไม่อาจทะลวงได้สำเร็จ ในมือศิษย์น้องมีคัมภีร์ฮ่วนซินอยู่เล่มหนึ่ง เป็นข้อคิดประสบการณ์ที่ผู้อาวุโสฮ่วนซินทิ้งไว้ในปีนั้น ข้าบังเอิญโชคดีจึงได้มันมา เชื่อว่าคงจะช่วยศิษย์พี่ทะลวงระดับได้”


“คัมภีร์ข้อคิดประสบการณ์ของผู้อาวุโสฮ่วนซิน……” อวี้อินจื่อมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก มีและความประหลาดใจในแววตาเล็กน้อย


พูดถึงผู้อาวุโสฮ่วนซิน นับว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้หนึ่งเมื่อหมื่นกว่าปีมาแล้ว การฝึกฝนของเขาลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้ เล่าลือกันว่าได้บรรลุถึงระดับสูงสุดของระดับดาราพยากรณ์แล้ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์


แต่ก่อนคนผู้นี้ปรากฏตัวในยอดเขาดับสูญ ซึ่งชำนาญวิชามายา และค่ายกล แต่ว่าต่อมาได้ออกไปนอกนิกายยอดบริสุทธิ์ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งนางเป็นถึงผู้อาวุโสของยอดเขา ย่อมเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน


และข้อคิดประสบการณ์ของผู้อาวุโสฮ่วนซิน มีความสำคัญต่อการฝึกฝนวิชามายาของอวี้อินจื่อที่ติดคอขวดเป็นอย่างมาก


ไม่เพียงแต่อวี้อินจื่อเท่านั้น เมื่อเทียนอินซ่างเหรินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักได้ยินคำว่า ‘คัมภีร์ฮ่วนซิน’ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


พอเจียหลานมองเห็นสีหน้าของทั้งสอง ใบหน้าของนางก็ซีดขาวเล็กน้อย


“อ้อ! ใช่แล้ว! ศิษย์น้องยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้พูด เหวินอันเป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสเวินเกอที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในนิกายเรา และท่านก็ค่อนข้างให้ความสนใจเรื่องการสู่ขอในครั้งนี้มาก” พอหลัวหยวนเห็นสีหน้าของทั้งสาม ก็ดูเหมือนจะรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็พูดข่าวสำคัญออกไป


ตอนที่ 761 ยอดเขาเวินโจ้วกับเวินเจิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อะไรนะ? ผู้อาวุโสเวิน……” อวี้อินจื่อมองดูเจียหลานด้วยความตกใจ และมีสีหน้าลังเลขึ้นมาทันที


เจียหลานได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าจิตใจกำลังดำดิ่งลงสู่ก้นเหว ดวงตางดงามเศร้าสลดลงทันที


“พวกข้าย่อมต้องให้เกียรติอาจารย์อาเวินอยู่แล้ว แต่เจียหลานกับหลิ่วหมิงมีสัญญาฝึกฝนคู่อยู่แต่เดิมแล้ว ตามที่ข้าทราบมา หลิ่วหมิงไม่เพียงแต่เป็นศิษย์ของอินจิ่วหลิงจากยอดเขาลั่วโยวเท่านั้น ยังเป็นที่ถูกใจของท่านประมุขเทียนเกอเจินเหรินด้วย ก่อนหน้านั้นไม่นาน ท่านยังแนะนำให้เขาเป็นศิษย์สำคัญในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วย หากศิษย์หลานเวินจะต้องแต่งกับเจียหลานให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายต่อทั้งสองฝ่าย” เทียนอินซ่างเหรินกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“อันนี้……” พอได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของหลัวหยวนก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา


พอน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อยของเทียนอินซ่างเหรินดังเข้าไปในหูเจียหลาน ก็ทำให้จิตใจของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็กัดฟันกล่าวออกมา


“หากศิษย์พี่เวินจะแต่งกับข้าจริงๆ ล่ะก็ ศิษย์น้องยินดีให้โอกาสสักครั้ง เพียงแค่ศิษย์พี่เวินประลองกับข้าหนึ่งครั้ง และชนะข้าได้ด้วยตนเอง ข้าจะไปยกเลิกสัญญาคู่รักฝึกฝนกับศิษย์พี่หลิ่วที่ยอดเขาลั่วโยวเอง และตอบรับการสู่ขอของท่าน แต่หากไม่อาจเอาชนะได้ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”


เวินอันได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก เขาคิดที่จะเดินยืดอกออกไป แต่กลับถูกอาจารย์ของเขาจ้องตาเขม็ง


จากนั้นหลัวหยวนถึงหันหน้ามากล่าวกับเจียหลานอย่างราบเรียบ


“ศิษย์หลานเจียหลาน ต้องการเช่นนี้จริงๆ หรือ เวินอันเข้านิกายมาเป็นเวลาน้อยกว่าเจ้ามาก หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าคงไม่ยุติธรรมไปหน่อย”


ด้วยสายตาระดับเขา ย่อมมองออกว่าระดับการฝึกฝนของนางสูงกว่าเวินอันเล็กน้อย หากทั้งสองประลองกันจริงๆ ล่ะก็ เวินอันมีโอกาสชนะไม่มากนัก


“นี่คือเงื่อนไขเล็กๆ ที่ศิษย์มีต่อสามีในอนาคต และก็เป็นการอ่อนข้อให้ครั้งสุดท้ายแล้ว” เจียหลานกลับส่ายหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น


“ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” หลัวหยวนเงียบลงเล็กน้อย สายตามองไปที่เทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่ออีกครั้ง


อวี้อินจื่อสบตากับเทียนอินซ่างเหรินทีหนึ่ง


เพราะเจียหลานเป็นศิษย์ยอดเขาเลื่อนลอย และพวกเขาก็รู้สึกเกรงกลัวเทียนเกอเจินเหริน จึงไม่อาจบังคับกันตรงๆ ได้


“เงื่อนไขที่เจียหลานเสนอขึ้นมานี้ ก็ไม่ได้หนักหนาจนเกินไป ผู้ฝึกฝนอย่างพวกเราใช้พลังพูดกันดีกว่า” ในที่สุดอวี้อินจื่อก็กระแอมไอเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


เทียนอินซ่างเหรินคิดชั่งน้ำหนักไปรอบหนึ่ง และก็พยักหน้าเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่ายอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย


“ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองต่างก็เห็นด้วยกับการที่จะใช้การประลองเพื่อตัดสินเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แต่ว่าไม่สู้เปลี่ยนวิธีการสักหน่อยไหม พวกเจ้าทั้งสองไปหาศิษย์รุ่นเดียวกันที่มีความสัมพันธ์กันมาช่วยได้หนึ่งคน และทำการประลองคู่สักรอบดีหรือไม่?” หลัวหยวนได้ยินก็เลิกคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง และเสนอออกมาเช่นนี้


เทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อรู้สึกอึ้งไปอีกรอบ!


ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไปหาผู้ที่มีความสัมพันธ์เบื้องหลังมาช่วย เจียหลานจะต้องไปหาหลิ่วหมิงอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วมันก็เป็นข้อคิดเห็นที่ไม่เลว


หากหลิ่วหมิงพ่ายแพ้ในการประลอง ก็ต้องโทษที่พลังของตัวเองไม่พอเอง ไม่มีเหตุผลที่จะตำหนิยอดเขาเลื่อนลอยได้


แต่หากว่าทางด้านเวินอันพ่ายแพ้ล่ะก็…..


“ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่ว่ายอดเขาดับสูญของข้าจะพ่ายแพ้หรือได้รับชัยชนะในครั้งนี้ ผลประโยชน์ที่เคยสัญญาไว้ก็จะเป็นไปตามนั้น” พอหลัวหยวนเห็นท่าทีลังเลของทั้งสอง ก็สะบัดแขนเสื้อกล่าวอย่างอาจหาญ


“อ๋อ! ศิษย์น้องหลัวพูดจริงหรือ?” เทียนอินซ่างเหรินรู้สึกแปลกใจมาก


“แน่นอน! ต่อหน้าศิษย์พี่ทั้งสอง ศิษย์น้องยังกล้ากล่าวเท็จอยู่หรือ?” หลัวหยวนกล่าวโดยไม่ต้องคิด


“ดูท่าศิษย์น้องจะมั่นใจการประลองในครั้งนี้มาก ดี! ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้” เทียนอินซ่างเหรินส่งเสียงกล่าวกับอวี้อินจื่ออย่างราบเรียบสองสามประโยค จากนั้นก็ตัดสินใจออกมา


พอมองเห็นสีหน้าเชื่อมั่นของหลัวหยวน เจียหลานก็รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่นางเป็นคนพูดข้อเสนอนี้ขึ้นมาเอง มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจพูดอะไรได้อีก


ต่อมา ภายใต้การเป็นพยานของผู้อาวุโสทั้งสาม เจียหลานกับเวินอันก็นัดหมายการประลองในอีกครึ่งเดือนให้หลัง สถานที่ก็คือยอดเขาเลื่อนลอยนั่นเอง


“ใช่สิ! ผู้ควบคุมหลัวมีความมั่นใจเช่นนี้ หรือว่าได้เลือกคนไว้แล้ว?” สุดท้ายอวี้อินจื่อก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้


“อืม! เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมคนหนึ่ง เป็นศิษย์ที่เก็บตัวมานานร้อยกว่าปี คือเวินเจิงที่มีฉายาว่าคาถาทำลายล้างสิบประการ เพิ่งออกจากการเก็บตัวเมื่อเดือนก่อน คนผู้นี้ก็เป็นอาของศิษย์ข้าพอดี” หลัวหยวนหาวแล้วกล่าวออกมา


“อะไรนะ! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนผู้นี้?” เทียนอินซ่างเหรินและอวี้อินจื่อได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที


แม้ว่าเจียหลานจะไม่รู้จักเวินเจิงอะไรนั่น แต่ดูจากสีหน้าของทั้งสอง จิตใจของนางก็ร่วงหล่นไปในฉับพลัน


ขณะนี้ อวี้อินจื่อถึงหันไปพูดเรื่องยอดเขาเวินโจ้วและเวินเจิงให้กับศิษย์ผู้นี้ฟังเล็กน้อย


สุดท้ายเจียหลานยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกตกใจ สีหน้าที่เพิ่งฟื้นกลับมาเล็กน้อย กลับดูซีดขาวขึ้นมาอีกครั้ง


ยอดเขาเวินโจ้วเป็นยอดเขาแห่งหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่มีลักษณะค่อนข้างโดดเด่นโดยเฉพาะ เชี่ยวชาญในการฝึกวิชาคาถาสาปแช่ง ศิษย์ในยอดเขาก็มีนิสัยผิดปกติเนื่องจากการฝึกฝน โดยเฉพาะเวินเจิงผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพลังไม่ธรรมดา การลงมือก็เหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง


ว่ากันว่าตอนที่การฝึกฝนของคนผู้นี้ยังไม่บรรลุระดับผลึกขั้นกลางนั้น ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ไปทางดินแดนเหนือสุดของแผ่นดินจงเทียนกับศิษย์อีกคนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบคดีทำลายล้างตระกูลในเขตพื้นที่ของกลุ่มอิทธิพลชั่วร้ายที่มีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ผู้หนึ่งประจำการอยู่


หลังจากตรวจสอบไปหนึ่งรอบ ทั้งสองก็ได้หลักฐานที่หนาแน่นแล้ว และเห็นชัดว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำของคนในนิกายชั่วร้ายนั้น


สุดท้ายเวินเจิงไม่สนใจคำห้ามปรามของศิษย์อีกคน เขาจะไปขอคุยกับอีกฝ่ายเพียงคนเดียว และผู้เฒ่าระดับผลึกขั้นต้นของนิกายนั้นกลับไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ภายใต้การพูดจาไม่ถูกใจกัน ทั้งสองจึงลงมือกันทันที


แต่ทว่าที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ เวินเจิงอาศัยเคล็ดวิชาสาปสังหารแปลกประหลาดต่อสู้กับผู้เฒ่าของฝ่ายตรงข้ามติดต่อกันสามวันสามคืน สุดท้ายก็สาปสังหารฝ่ายตรงข้ามในทีเดียว ทั้งยังดับสูญทั้งร่างกายและจิตวิญญาณก่อนหายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์


จากนั้นเขาก็เปิดฉากสังหารคนของผู้เฒ่าท่านนี้ ดูเหมือนว่าต้องการใช้เลือดล้างนิกายของฝ่ายตรงข้าม


หลังการเข่นฆ่าผ่านพ้นไป ศิษย์เกือบร้อยคนก็หนีมาหลบอยู่ในเมืองมนุษย์ธรรมดาเล็กๆ ที่อยู่บริเวณนั้น


และเวินเจิงที่สังหารจนเลือดขึ้นหน้า ก็วางชั้นจำกัดบางอย่างไว้นอกเมืองแห่งนั้น ภายในระยะเวลาหนึ่งคืน ก็สาปสังหารมนุษย์ธรรมดาหลายแสนคนกับผู้ฝึกฝนนับร้อยจนหมดสิ้น ภายในเมืองเกิดภาพสังเวชอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ราวกับเป็นนรกบนโลกมนุษย์


พอส่งเรื่องนี้กลับมา ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในนิกายยอดบริสุทธิ์ เป็นผลให้ผู้ควบคุมยอดเขาเวินโจ้วกับหอคุมกฎเกิดการโต้เถียงกัน แต่พอทำการหักกลบลบล้างกันแล้ว ก็ลงโทษห้ามไม่ให้ออกไปจากนิกายแม้แต่ก้าวเดียวเป็นเวลาสามสิบปี ทำให้ผู้คนรู้สึกปากอ้าตาค้างเล็กน้อย


อย่างที่รู้ว่า หากคนอื่นกระทำการอันเลวร้ายเช่นนี้ ถ้าไม่ถูกทำลายการฝึกฝนโดยตรง ก็จะถูกส่งไปขังไว้ในคุกห้าขุนเขาสองขั้วเป็นเวลาร้อยปีถึงจะได้


ขณะที่เจียหลานรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากนั้น หลัวหยวนก็มองดูอาการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของนาง จากนั้นก็หันไปกล่าวลากับเทียนอินซ่างเหรินด้วยรอยยิ้ม และพาเวินอันจากไป


“อาจารย์ อาจารย์อา ศิษย์ก็ต้องขอตัวก่อน” เจียหลานคารวะทั้งสองด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีมากนัก จากนั้นก็ไปจากวิหารด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


“สร้างความลำบากใจให้เจ้าเด็กนี่จริงๆ” อวี้อินจื่อมองดูจนเจียหลานหายไปจากประตูวิหาร และกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสลด


“ผลประโยชน์ที่หลัวหยวนเสนอมานั้น มันมากจริงๆ ข้ากับเจ้าไม่อาจเอ่ยปากปฏิเสธได้ แต่เจ้าว่าหากหลิ่วหมิงสู้กับเวินเจิงผู้นี้ จะมีโอกาสเอาชนะหรือไม่?” เทียนอินซ่างเหรินถอนหายใจแล้วถามกลับไปหนึ่งประโยค


“แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเคยแลกมือกับหลัวเทียนเฉิงมาก่อน และยังเสมอกันด้วย พลังแฝงของหลัวเทียนเฉิงก็คงจะเหนือกว่าเวินเจิง แต่เป็นเพราะว่าเวลาในการฝึกฝนค่อนข้างสั้น ทั้งสองยังคงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้” แม้ว่าอวี้อินจื่อจะไม่ได้ตอบกลับไปโดยตรง แต่ความหมายในคำพูดไม่ต้องบอกก็รู้


เช้าตรู่วันที่สอง


หน้าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงบนยอดเขาลั่วโยว แสงสีม่วงสลัวๆ ลำหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา และหยุดลงบนอากาศเหนือถ้ำ


ขณะที่เกิดระลอกคลื่นหมอกจางๆ ในยามเช้า เงาร่างสีฟ้าก็ร่วงลงมาจากท่ามกลางลำแสงสีม่วง


นางก็คือเจียหลานนั่นเอง!


นางยืนลังเลอยู่หน้าถ้ำหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกแขนขึ้นเคาะประตูเบาๆ


“ศิษย์น้องเจียหลาน?” ประตูใหญ่เปิดออก หลิ่วหมิงที่สวมชุดสีดำเดินออกมา พอเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ก็ต้องหลุดปากด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย


“ศิษย์พี่หลิ่ว ไม่เจอกันนานเลย ไม่ต้อนรับข้าหรือ?” เจียหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย


“ข้าก็แค่คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันเช่นนี้ ข้าย่อมยินดีต้อนรับอย่างสุดซึ้ง” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ บนสีหน้า และเบี่ยงตัวหลบให้เจียหลานเข้าไปข้างในก่อนปิดประตูลง


ครู่ต่อมา ภายในห้องโถง


“บ้านดูทรุดโทรมไปหน่อย ขอศิษย์น้องเจียหลานอย่าได้ถือสา” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ปกติถ้ำของเขาไม่ค่อยมีคนมาอยู่แล้ว ห้องรับแขกตกแต่งแบบเรียบง่ายมาก มีแค่โต๊ะหิน ตั่งน้ำชา และเก้าอี้ไม้สีแดงขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวเท่านั้น แลดูโล่งเป็นอย่างมาก


“แต่ก่อนที่อยู่ในนิกายปีศาจ ศิษย์พี่หลิ่วตั้งใจฝึกฝนเป็นอย่างมาก ศิษย์น้องนับถือเป็นยิ่งนัก” เจียหลานกลับส่ายหน้ากล่าวด้วยความชื่นชม


“อ้อ? ศิษย์น้องจำเรื่องเมื่อก่อนได้แล้ว” หลิ่วหมิงถามด้วยใจที่เต้นขึ้นมา


“หลายปีมานี้ศิษย์น้องฝึกฝนเคล็ดวิชาบางอย่างกับอาจารย์ ความทรงจำแต่ก่อนจึงฟื้นฟูมาเล็กน้อยแล้ว ตอนอยู่ในนิกายปีศาจ ศิษย์พี่หลิ่วเคยช่วยข้าอยู่หลายครั้ง” เจียหลานกล่าวด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย


“นั่นมันเรื่องของเมื่อก่อน ศิษย์น้องสามารถฟื้นคืนความจำมาได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว” พอเห็นว่าเจียหลานสามารถจำเรื่องราวเมื่อก่อนได้แล้ว หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าดีใจออกมา


ตอนที่อยู่บนเกาะตะพาบน้ำในอวิ๋นชวนนั้น นางมีสายเลือดเผ่าเจ้าสมุทรครึ่งหนึ่ง และเคยหักหลังนิกายปีศาจมาก่อน แต่ขณะที่ทั้งสองมาถึงแผ่นดินจงเทียน และเข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์แล้วทราบว่าเผ่าเจ้าสมุทรก็เป็นกิ่งก้านสาขาหนึ่งของมนุษย์ อีกอย่างก็นับว่านางเป็นคนรู้จักเพียงหนึ่งเดียวที่มาจากอวิ๋นชวนด้วยกัน ความหมางใจแต่เดิมจึงไม่มีเหลืออยู่แล้ว


แม้ว่าต่อมาทั้งสองจะพบเจอกันในนิกายน้อยมาก แต่ทั้งสองต่างก็มีความรู้สึกของความใกล้ชิดมากกว่าคนอื่นๆ


“พี่หลิ่ว ความจริงที่ข้ามาในวันนี้เพราะมีเรื่องขอให้ช่วย” หลังจากเจียหลานนั่งลงไปแล้ว ก็กระพริบตาและกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา


“อ๋อ! ศิษย์น้องมีอะไรก็พูดมาได้เลย” หลิ่วหมิงได้ยินก็หรี่ตาทั้งคู่ขึ้นมา


ตอนที่ 762 ตอบรับออกศึก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์พี่หลิ่ว เรื่องราวมันเป็นแบบนี้…” ดูเหมือนเจียหลานจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็พูดเรื่องที่หลัวหยวนมาสู่ขอออกไปโดยไม่คิดที่จะปิดบังแต่อย่างใด


หลิ่วหมิงมองดูเจียหลานด้วยอาการตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเล็กน้อย ตอนที่ได้ยินนางบอกว่ามีสัญญาฝึกฝนคู่กับเขานั้น สีหน้าเขาก็ดูแปลกๆ เล็กน้อย แต่ก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว


“…เรื่องที่นำศิษย์พี่หลิ่วมาเป็นข้ออ้าง ขอได้โปรดอภัยด้วย ตอนนั้นข้ารู้สึกกระวนกระวายใจจริงๆ ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนไม่อาจคิดอะไรมากได้ เพียงแค่อยากปิดปากคนผู้นั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะเสนอให้ประลองกันสี่คน” ขณะที่พูดมาถึงตรงนี้ แก้มของนางก็แดงระเรื่อ และกล่าวขอโทษเล็กน้อย


“ศิษย์น้องเจียหลานไม่ต้องรู้สึกผิดไป เจ้ากับข้าก็นับว่าเป็นสหายเก่า เรื่องเหล่านี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา


“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” เจียหลานได้ยินก็ลุกขึ้นมาคารวะด้วยความดีใจ จากนั้นก็ทำเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่กลับหยุดไว้


ไหนเลยหลิ่วหมิงจะไม่รู้ว่านางคิดจะพูดอะไร เขาจึงโบกมือให้นางนั่งลง และถามกลับไป


“ที่ศิษย์น้องมาในครั้งนี้ คงคิดที่จะเชิญข้าไปประลอง ช่วยเจ้ารับมือกับเวินเจิงผู้นั้นสินะ?”


“พี่หลิ่วเป็นศิษย์สายในที่มีพลังแข็งแกร่งที่ข้ารู้จัก อีกทั้งการประลองในครั้งนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กันถึงจะสามารถลงมือได้ ศิษย์ก็ได้แต่บากหน้ามาเชิญพี่หลิ่วช่วยสักครั้ง” ได้ยินน้ำเสียงของหลิ่วหมิงที่ไม่ได้มีนัยของการปฏิเสธ เจียหลานก็รู้สึกดีใจมาก นางจึงรีบพูดวิงวอนออกมา


หลิ่วหมิงฟังจบก็ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่กลับนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้


ด้วยนิสัยของเขา เรื่องยุ่งยากเช่นนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงทันที แต่ตอนนี้เจียหลานตกที่นั่งลำบากอยู่ หากเขาไม่สนใจเรื่องนี้ล่ะก็ ผลลัพธ์ของนางไม่ต้องบอกก็คงรู้ดี


พอนึกถึงการที่เจียหลานถูกบังคับให้แต่งงานกับคนแปลกหน้า หลิ่วหมิงก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย


แต่ว่าเพราะเรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายเหมือนการต่อสู้กับเวินเจิงเท่านั้น เพียงแค่เขารับปาก ก็เท่ากับว่าเป็นปรปักษ์กับยอดเขาดับสูญและยอดเขาเวินโจ้ว ทั้งยังพัวพันถึงผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์อย่างเวินเก๋อด้วย


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย


“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ศิษย์พี่หลิ่วลำบากใจ เพียงแค่พี่หลิ่วยอมช่วยข้าสักครั้ง หลายปีมานี้ข้าก็สะสมหินจิตวิญญาณมาไม่น้อย และยังมีโอสถที่อาจารย์มอบให้…” เจียหลานนำถุงหนังใบหนึ่งและขวดหยกหลายใบออกมา และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาน่าสงสาร


หลิ่วหมิงมองเห็นท่าทีทำอะไรไม่ถูกของเจียหลาน ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใจถึงรู้สึกใจอ่อน หลังจากอุทานออกมาเบาๆ แล้ว ก็ตัดสินใจออกมาได้


“ศิษย์น้องไม่ต้องทำเช่นนี้ ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าก็พอ ข้าเองก็ไม่ขาดแคลนสิ่งของนอกกาย ศิษย์น้องเก็บไว้เถอะ”


“ขอบคุณพี่หลิ่วมาก! ครั้งนี้ศิษย์น้องติดค้างน้ำใจศิษย์พี่หนึ่งครั้ง วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” เจียหลานได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอศิษย์น้องพูดสถานการณ์ของการประลองให้ข้าฟังอย่างละเอียดเถิด รวมถึงเรื่องของเวินเจิงผู้นั้นด้วย” หลิ่วหมิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที


“ได้! การประลองในครั้งนี้กำหนดไว้ในอีกครึ่งเดือนหน้า สถานที่คือยอดเขาเลื่อนลอย…” เจียหลานได้ยินเช่นนี้ ก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลิ่วหมิงฟัง


เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนที่พระอาทิตย์ตกดินนั้น นางถึงออกไปจากถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง


ขณะที่เจียหลานกำลังหารือเรื่องนี้กับหลิ่วหมิงอยู่นั้น ข่าวเรื่องที่ว่าหลิ่วหมิงทำการประลองเพื่อเจียหลานแห่งยอดเขาเลื่อนลอยโดยไม่คำนึงถึงเวินเจิง เวินอัน และคนอื่นๆ นั้น ถูกคนปล่อยข่าวจนแพร่ไปทั่วนิกาย


วันต่อมา เทียนอินซ่างเหรินประมุขยอดเขาเลื่อนลอยกับหลัวหยวนประมุขยอดเขาดับสูญ ออกมาประการยืนยันเรื่องนี้พร้อมกัน ย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาไม่น้อย


อย่างที่รู้ว่าหลิ่วหมิง เวินเจิง ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในนิกาย และเจียหลานเองก็มีรูปโฉมงดงามจนเป็นที่ชอบของศิษย์ชายทั้งสายในและสายนอก งานประลองในครั้งนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของศิษย์ในนิกายจำนวนมาก


ภายในถ้ำที่พักแห่งหนึ่งในยอดเขากระบี่สวรรค์ หลังจากซาทงเทียนฟังรายงานจบแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดเผือดทันที


“เวินเจิง…” ซาทงเทียนพูดพึมพำออกมา และนั่งลงไปทันที


ซาทงเทียนไม่เหมือนกับคนบางส่วนที่ต้องการดูความคึกคักเท่านั้น เขาใช้เวลาจำนวนมากถึงสืบเรื่องที่เวินอันสู่ขอเจียหลานมาได้ และก็ด้วยเหตุนี้เขาถึงมีสีหน้าร้อนรนมากยิ่งขึ้น


แต่ว่านอกจากนี้แล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าพลังของเขาในตอนนี้จะไม่เลว แต่เทียบกับผู้แข็งแกร่งอย่างเวินเจิงแล้ว ยังห่างชั้นอีกมาก


และอิทธิพลของตระกูลเวินในนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลซาจะสามารถเปรียบเทียบได้เช่นกัน


“ตอนนี้คงได้แต่อาศัยหลิ่วหมิงผู้นั้นแล้ว บางทีเขาอาจจะโชคดีเอาชนะเวินเจิงได้…” ซาทงเทียนนึกถึงการประลองในวันนั้น กระบี่อันน่าตกใจของหลิ่วหมิงทำให้เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย


……


ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำที่พักอีกแห่งบนยอดเขากระบี่สวรรค์ หลังจากหลงเหยียนเฟยมองดูอักขระเล็กๆ บนแผ่นค่ายกลแล้ว ก็เผยแววตาซับซ้อนออกมา


หลังผ่านไปพักใหญ่ๆ นางถึงเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ ก่อนพูดพึมพำออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องเจียหลาน ในเมื่อเจ้ามองเห็นความสำคัญของหลิ่วหมิงเช่นนี้ ก็ดูว่าครั้งนี้เขาจะมีกำลังช่วยเจ้าจากมือของเวินเจิงได้หรือไม่”


……


ยอดเขาลูกแรกในนิกาย ยอดเขาสวรรค์ลี้ลับสูงตระหง่านกว่ายอดเขาจำนวนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นมาก บนยอดเขาเป็นพื้นที่ราบเรียบ พระราชวังหยกเป็นแถวๆ ดูสูงเสียดฟ้า ถูกไอหมอกจางๆ ล้อมรอบไว้ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของตระกูลเซียนที่สง่างามและหรูหรา


ลานหยกขาวบนยอดเขา หลัวเทียนเฉิงที่สวมชุดผ้าแพรสีเงินเดินออกมาจากตำหนักแห่งหนึ่ง


ขณะนั้นเอง แสงหลบหลีกสีดำก็พุ่งเข้ามาจากด้านหน้า และร่วงลงมา หลังจากไอดำสลายไปแล้ว ก็เผยให้ชายหนุ่มหน้าตามุทะลุคนหนึ่งที่ก้าวมาด้านข้างของหลัวเทียนเฉิงอย่างรวดเร็ว และกะพริบออกมาเบาๆ สองสามประโยค


“อ้อ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” หลัวเทียนเฉิงฟังจบก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“เรื่องนี้แพร่ไปทั่วนิกายแล้ว งานประลองจะเกิดขึ้นในอีกครึ่งเดือนหน้า ศิษย์น้องหลัวเจ้าจะได้สังเกตดูพลังที่แท้จริงของหลิ่วหมิงจากการประลองในครั้งนี้พอดี” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“พลังของหลิ่วหมิง ข้ารู้จักเป็นอย่างดี ไม่ควรค่าที่จะกังวลแต่อย่างใด สามารถเอาชนะเขาได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เพียงแต่ว่าตอนนั้นอยู่ตรงหน้าวิหารไท่เจิน จึงไม่สะดวกจะลงมือด้วยพลังทั้งหมดก็เท่านั้น จะว่าไปแล้ว คนอีกคนในงานประลองนี้ถึงเป็นคนที่ควรค่าให้ข้าสนใจมากกว่า” หลัวเทียนเฉิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


“อ้อ! ศิษย์พี่หมายถึงเวินเจิงหรือ?” ชายหนุ่มรู้สึกอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้


“ถูกต้อง แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์เก่าแก่ในนิกาย แต่ว่าอายุก็ไม่มาก ผู้อาวุโสในนิกายส่วนหนึ่งค่อนข้างให้ความสำคัญกับเขามาก ได้ยินมาว่าหลังออกจากการเก็บตัวในครั้งนี้ ก็มีคนเสนอชื่อให้เขาเป็นศิษย์ลับแล้ว”


“สำหรับข้าในตอนนี้แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือศิษย์ลับ เทียบกับสิ่งนี้แล้ว แม้แต่งานประตูประสวรรค์ก็ไม่เข้าตาข้า” หลัวเทียนเฉิงกล่าวอย่างราบเรียบ พอโบกมือ หมอกควันสีเงินกลุ่มหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างกายไว้ และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งขึ้นฟ้า


เหลือไว้แค่ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดเท่านั้น


……


ยังคงเป็นมิติลึกลับในนิกายยอดบริสุทธิ์แห่งนั้น จินเทียนชื่อที่สวมชุดคลุมสีทองกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลา มีแสงดาวหมุนวนอยู่รอบตัวจำนวนมาก แต่หากมองดูอย่างละเอียด กลับค้นพบว่าแสงดาวแต่ละดวงต่างก็คล้อยตามวิถีบางอย่างอยู่ แลดูลึกลับยิ่งนัก


ขณะนั้นเอง ยันต์ส่งสารสีแดงเพลิงก็พุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ


จินเทียนชื่อลืมตาขึ้นมา พอยกแขนเสื้อขึ้น แสงดาวจางๆ จำนวนมากก็ม้วนตัวออกจากในนั้น พอกะพริบแค่ทีเดียว ก็ม้วนยันต์ส่งสารเข้ามา


“ฮ่าๆ!…” ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงหัวเราะของจินเทียนชื่อดังออกจากศาลา


“น่าสนุก น่าสนุก ดูท่าท่านประมุขคงยังไม่รู้สึกวางใจหลิ่วหมิง เกรงว่าคงต้องไปดูพลังที่แท้จริงของเขาสักหน่อยแล้ว” จินเทียนชื่อมองดูยันต์ส่งสารในมือ ทันใดนั้นก็กำนิ้วทั้งห้าขยี้ยันต์จนแตกกระจาย จากนั้นก็หลับตานั่งสมาธิต่อ


…..


ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยว ในมืออินจิ่วหลิงถือยันต์ส่งสารอยู่ผืนหนึ่งเช่นกัน ใบหน้าที่แห้งเหี่ยวครึ่งซีก ชุ่มชื้นครึ่งซีกไร้ซึ่งความรู้สึก ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่


ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านข้างของเขา และกล่าวด้วยสีหน้ากังวล


“ศิษย์พี่อิน อีกไม่นานงานประตูสวรรค์ก็เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้หลิ่วหมิงยังไปประลองกับเวินเจิงอีก หากมีอะไรผิดพลาด ก็ไม่เท่ากับว่าส่งผลกระทบต่อการแสดงพลังในงานประตูสวรรค์หรอกหรือ เพราะการที่สามารถเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สู้ให้ท่านออกหน้าไปเกลี้ยกล่อมให้เขาถอนตัวออกจากการประลองในครั้งนี้เถอะ”


“ผู้อาวุโสอวี๋ไม่ต้องกังวลไป ก็แค่การประลองของศิษย์เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” อินจิ่วหลิงส่ายหน้ากล่าวอย่างสงบ


แม้ว่าพลังของเวินเจิงจะน่ากลัว แต่ว่าศิษย์ของเขาผู้นี้ ก็มีพลังลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้เหมือนกัน ในเมื่อหลิ่วหมิงตอบรับการประลอง ไม่แน่อาจจะมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ก็เป็นไปได้


ผู้อาวุโสชุดเทาได้ยินก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขายังคิดที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกอินจิ่วหลิงโบกมือห้ามปรามไว้


ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้อาวุโสไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่บอกลาแล้วจากไป


ครึ่งเดือนต่อมา การประลองที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งนิกายก็ได้เปิดฉากขึ้น


บริเวณไหล่เขายอดเขาเลื่อนลอยที่สูงเสียดฟ้า ใจกลางลานกว้างแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่หลายสิบหมู่ ถูกม่านแสงสีขาวสลัวๆ ปกคลุมไว้


ท่ามกลางม่านแสง เจียหลานที่สวมชุดกระโปรงสีฟ้ากำลังลอยอยู่กลางอากาศ คิ้วงดงามขมวดขึ้นมา แลดูหนักใจเป็นอย่างมาก


และบนม่านแสงก็มีผู้อาวุโสหนวดขาวที่สวมชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่งลอยอยู่ มือทั้งสองห้อยอยู่ด้านหลัง สีหน้าค่อนข้างเยือกเย็นเป็นอย่างมาก


ขณะนี้ท้องฟ้ากำลังสว่าง ยังห่างจากงานประลองราวๆ ครึ่งชั่วยาม แต่รอบด้านลานกว้างกลับเต็มไปด้วยศิษย์ทั้งสายในและสายนอกมารวมตัวกัน โดยยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ กลุ่มละสองสามคน และกำลังกระซิบพูดจาอะไรกันอยู่


สายตาของศิษย์หลายคนมองไปยังเจียหลานที่อยู่บนอากาศเป็นครั้งคาว


……


ขณะเดียวกัน ภายในมิติลึกลับบางแห่งในนิกายยอดบริสุทธิ์


จินเทียนชื่อกับเทียนเกอเจินเหรินกำลังนั่งอยู่ในศาลากลางทะเลสาบ อากาศนอกศาลามีฉากวารีที่กว้างยาวสิบกว่าจั้งเปิดอยู่ ท่ามกลางคลื่นแสงที่สั่นสะเทือน สามารถมองเห็นสถานการณ์บนยอดเขาเลื่อนลอยอย่างชัดเจน


ตอนที่ 763 เผด็จศึกบนยอดเขาเลื่อนลอย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางห้องโถงว่างเปล่าแห่งหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวังใหญ่โตมโหราฬ ที่มีไอหมอกสีเทาปกคลุมเป็นชั้นๆ มีจานจิตวิญญาณใบหนึ่งลอยอยู่ตรงผู้อาวุโสชุดดำ ท่ามกลางจานจิตวิญญาณมีเงามนุษย์สั่นไหวไปมา ซึ่งเขาก็กำลังมองดูสถานการณ์บนยอดเขาเลื่อนลอยเช่นกัน


ผู้อาวุโสผู้นี้สวมมงกุฎหยกทรงสูง หนวดสามปอยไหลย้อยลงมาบนหน้าอก กลิ่นไอบนตัวก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ที่แท้ก็เป็นผู้ทรงพลังระดับดาราพยากรณ์เช่นกัน เขาก็คือเวินเก๋อ ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ ที่เป็นบรรพบุรุษของเวินอันนั่นเอง


“ผู้อาวุโส ครั้งนี้เวินเจิงออกจากการเก็บตัวฝึกฝนวิชาคำสาปแห่งภัยพิบัติสำเร็จ ท่ามกลางศิษย์สายในก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่พบเจอได้น้อย สามารถรับมือกับหลิ่วหมิงผู้นั้นได้อย่างง่ายดาย ใยท่านต้องคอยดูด้วยเล่า?” ด้านล่างของผู้อาวุโสชุดดำ มีชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าแพรสีม่วงผู้หนึ่ง กำลังยืนอยู่อย่างนอบน้อม


ผู้อาวุโสชุดดำมีสีหน้าซึมกระทือโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พองอนิ้วแล้วดีดออกไป จานจิตวิญญาณก็ขยายใหญ่สิบกว่าเท่า


ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าเหยเก และยืนกุมมือนิ่งโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีก


……


ผู้อาวุโส และผู้ควบคุมยอดเขาคนอื่นๆ ต่างก็อาศัยวิธีการต่างๆ แอบสังเกตดูการประลองในครั้งนี้


ครึ่งชั่วยามผ่านไป พื้นราบเรียบบนไหล่เขาของยอดเขาเลื่อนลอยมีคนมารวมตัวกันไม่น้อยกว่าคนแล้ว และยังคงมีแสงหลบหลีกสีต่างๆ พุ่งมาจากทั่วทิศอยู่ไม่หยุด


ขณะนั้นเอง จุดแสงสีทองก็ปรากฏบนขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว มันกระพริบแค่ไม่กี่ทีก็เข้ามาถึง และหยุดลงตรงหน้าผู้อาวุโสที่อยู่นอกม่านแสง


พอลำแสงดับลง ชายชุดดำผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


เจียหลานที่อยู่ในม่านแสงเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาดีใจออกมา แต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ


“เขาก็คือหลิ่วหมิง? การเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก!”


“จุ๊ๆ! คนผู้นี้ดูหนุ่มมาก คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนจนถึงระดับผลึกขึ้นปลายแล้ว มิน่าล่ะถึงได้ต่อสู้เสมอกับหลัวเทียนเฉิงจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับได้”


“ดูท่าวันนี้จะมีศึกใหญ่ที่น่าสนใจให้ดูแล้ว”


ศิษย์สายในและสายนอกที่อยู่ด้านล่าง ส่วนมากก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็นหลิ่วหมิงมาก่อน แต่ชุดคลุมสีดำของยอดเขาลั่วโยวยังคงรู้จักกันดี พอเห็นเช่นนี้ย่อมพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา


 หลิ่วหมิงมองด้านล่างทีหนึ่ง ก็มองเห็นคนที่รู้จักอยู่หลายคน กู่อวี้ ซือหม่าชง ที่พ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของเขา แม้กระทั่งหลัวเทียนเฉิงก็มาด้วย


ที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีศิษย์ยอดเขาลั่วโยวกับยอดเขากระบี่สวรรค์เลยแม้แต่คนเดียว


ผู้อาวุโสชุดขาวที่อยู่นอกม่านแสงมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง พอยื่นมือข้างหนึ่งออกไปทำท่ามือ ก็ปล่อยพลังสีทองใส่ม่านแสง


ทันใดนั้นแสงจิตวิญญาณก็เปล่งประกายบนม่านแสง ในขณะที่มันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงนั้น ก็เกิดช่องทางขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ตรงหน้าหลิ่วหมิง


“ขอบคุณผู้อาวุโส!”


พอหลิ่วหมิงเคลื่อนไหว ก็มาปรากฏตัวภายในม่านแสง และในขณะที่เขาเข้ามา ช่องทางก็ค่อยๆ สมานเข้าหากัน


“พี่หลิ่ว ท่านมาแล้ว” เจียหลานจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมาเบาๆ


“สองคนนั้นยังไม่มาอีกหรือ?”


หลิ่วหมิงพยักหน้าให้นางเล็กน้อย และเหาะมาอยู่ข้างๆ ก่อนถามออกมาอย่างราบเรียบ


“ยังห่างจากเวลาที่นัดหมายหนึ่งก้านธูป คาดว่าใกล้จะมาแล้ว” สายตาของเจียหลานไม่ได้ละไปจากหลิ่วหมิงเลย และนางก็ตอบกลับไปเบาๆ


“เหตุใดศิษย์น้องถึงมองข้าอยู่ตลอด หรือว่าบนตัวข้ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“ไม่……ไม่มีอะไร เพียงแค่เห็นพี่หลิ่วสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็มีความมั่นใจในศึกนี้มากขึ้นแล้ว” แก้มเจียหลานแดงเล็กน้อย  เสื้อสีฟ้าโบกสะบัดตามลม และมีกลิ่นหอมจางๆ โชยออกมา


“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกันนั้น แสงจิตวิญญาณก็เปล่งประกายมาจากที่ไกลๆ เมฆสีเหลืองก้อนหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา ไม่นานก็มาถึงบริเวณม่านแสง พอเมฆสีเหลืองสลายไป ชายสองคนก็ปรากฏตัวกลางอากาศ


ใบหูของหลิ่วหมิงขยับเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองทันที และกวาดสายตาผ่านตัวของเวินอันที่สวมชุดผ้าแพร ก่อนหยุดลงที่ชายชุดเขียวที่อยู่ด้านข้าง


คนผู้นี้รูปร่างผอมสูง ผมสีเหลืองถูกมัดรวบอย่างลวกๆ แลดูมีอายุสามสิบต้นๆ  ใบหน้าเหลืองซีด ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวมรกต


ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกได้ จึงรีบหันมามองทันที


พอทั้งสองสบตากันก็เกิดประกายเยือกเย็นขึ้นมา ดูเหมือนว่าแค่มองผ่านสายตาก็สามารถมองทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจ ทำให้เกิดไอเย็นสะท้านบนตัว ราวกับว่าถูกอสรพิษจ้องมอง


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน พอเขากระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเบาๆ ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ


“ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นเวินเจิงผู้นั้นแล้ว มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ” หลิ่วหมิงพูดพึมออกมาเบาๆ


ชายชุดเขียวเองก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่ก็รีบทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“พวกเรามาช้าไปแล้ว ขออาจารย์อาโปรดให้อภัย” เวินอันประสานมือคารวะผู้อาวุโสชุดขาวด้วยท่าทีนอบน้อม สายตาทำเป็นมองไปยังเจียหลานที่อยู่ในม่านแสงโดยไม่ตั้งใจ พอเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนม ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที ดวงตาแผ่ประกายเยือกเย็นออกมา


“ยังไม่ถึงเวลาที่นัดหมาย ไม่ถือว่ามาสาย พวกเจ้าเข้าไปเถอะ” ผู้อาวุโสชุดขาวโบกมือเปิดทางให้ทั้งสองเข้าไป


เวินอันและเวินเจิงเหาะเข้าไปในม่านแสงทันที และยืนอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงและเจียหลานไม่ไกล


“ศิษย์น้องเจียหลาน อีกสักครู่พอการประลองเริ่มขึ้น เจ้าก่อกวนเวินอันไว้ก็พอ ที่เหลือมอบให้ข้าเถอะ” หลิ่วหมิงขยับริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อส่งเสียงให้เจียหลานที่อยู่ด้านข้าง


เจียหลานได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย


ที่จริงในใจนางก็รู้ดี แม้จะบอกว่าการประลองในครั้งนี้เป็นการประลองแบบสองต่อสอง แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ยังต้องดูที่การต่อสู้ของหลิ่วหมิงกับเวินเจิง


ขณะนั้นเอง พลังมหาศาลบางอย่างก็ม้วนตัวมาจากทั้งสองด้าน จากนั้นก็มีเงาร่างพร่ามัวกลางอากาศ เทียนอินซ่างเหริน หลัวหยวน และอวี้อินจื่อที่เป็นอาจารย์ของเจียหลานก็ปรากฏตัวนอกม่านแสงพร้อมกัน


พอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ศิษย์นับพันที่ล้อมดูอยู่ก็พากันเงียบลงทันที สายตาของผู้คนทั้งหมดต่างก็มองไปยังผู้ควบคุมยอดเขาทั้งสองที่อยู่กลางอากาศ


“เอาล่ะ! ในเมื่อคนมาครบกันแล้ว การประลองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเถอะ แต่ว่าก่อนการประลองจะต้องพูดให้ชัดเจนก่อน การประลองในครั้งนี้ไม่ได้เดิมพันความเป็นความตาย ดังนั้นไม่ต้องทำร้ายกันจนถึงชีวิต อีกอย่างครั้งนี้เป็นการประลองสองต่อสอง เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมรับว่าพ่ายแพ้ทั้งคู่ หรือว่าพวกข้าวินิจฉัยแพ้ชนะได้ ถึงนับว่าสิ้นสุดการประลอง อีกฝ่ายจำเป็นต้องยุติการโจมตีทันที” ขณะที่เทียนอินซ่างเหรินพูดไปด้วย ก็กวาดสายตามองดูคนทั้งสี่ที่อยู่ในม่านแสงอย่างช้าๆ น้ำเสียงไม่ดังมาก แต่กลับเข้าไปในหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้ฝูงชนรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา


คนทั้งสี่ที่อยู่ในม่านแสงกลับมองดูกันจากที่ไกลๆ และไม่พูดอะไรออกมา


เทียนอินซ่างเหรินเห็นเช่นนี้ ก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดขาว


“ผู้อาวุโสมู่ ถ้าอย่างงั้นที่นี่ก็มอบให้ท่านแล้ว”


“ทราบ! ท่านผู้ควบคุมยอดเขาโปรดวางใจ” ผู้อาวุโสชุดขาวพยักหน้ากล่าวอย่างนอบน้อม


ขณะนี้เทียนอินซ่างเหรินถึงหันตัวเหาะไปยังแท่นอัฒจันทร์ที่อยู่ไม่ไกล หลัวหยวนตามไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่อวี้อินจื่อกลับมองดูเจียหลานทีหนึ่งด้วยความเป็นกังวล จากนั้นถึงหันตัวเหาะตามไปเช่นกัน


ขณะนี้บนอัฒจันทร์มีคนยกเก้าอี้ใหญ่สามตัวมารอให้ทั้งสามนั่งตั้งนานแล้ว


“เอาล่ะ! ได้เวลาแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าขอประกาศให้เริ่มการประลองได้!” ผู้อาวุโสชุดขาวมองดูท้องฟ้าแล้วประกาศออกมา


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง คนทั้งสี่ในลานประลองก็ลงมือเกือบจะพร้อมกัน


จะเห็นว่าดวงตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกาย มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ไอดำจางๆ ปรากฏบนตัว มือทั้งคู่ปล่อยกำปั้นออกไปกลางอากาศ


เกิดเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมา!


มังกรหมอกสองตัวกับพยัคฆ์หมอกสองตัวก่อตัวขึ้นมาในพริบตา และพุ่งเข้าหาทั้งสองตรงหน้าพร้อมส่งเสียงคำราม


“หูวววว…” คนที่ดูการประลองอยู่เกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที ประจักษ์ชัดว่าไม่คิดว่าหลิ่วหมิงจะลงมือโจมตีทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกันเช่นนี้


เวินอันก็อ้าปากพ่นโล่สีเขียวออกมา พอทำท่ามือ โล่ก็ขยายใหญ่กลายเป็นโล่ยักษ์สีเขียวต้านทานอยู่ตรงหน้า


พยัคฆ์หมอกสองตัวปะทะเข้ากับแสงสีเขียว จนค่อยๆ ระเบิดออกมา และกลายเป็นแสงสีดำม้วนตัวขึ้น ส่วนเวินอันก็ราวกับจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว พริบตาเดียวก็อาศัยพลังนี้พุ่งออกไปด้านหลัง จึงไม่ถูกแสงสีดำกักขังไว้


เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างสีฟ้าก็กระพริบผ่านข้างตัวหลิ่วหมิง ซึ่งก็คือเจียหลานนั่นเอง ไม่รู้ว่ามีกำไลสีฟ้าครามอยู่ในมือของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงจิตวิญญาณเปล่งประกายอยู่บนนั้นรำไร และกำลังจะตามเวินอันไป


หลังจากหลิ่วหมิงโจมตีออกไปหนึ่งทีแล้ว ก็จ้องมองเวินเจิงที่ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เมื่อครู่มังกรหมอกดำสองตัวเพิ่งจะเหาะไปถึงตรงหน้าคนผู้นี้นั้น ก็ถูกแสงสีเขียวบนมือทั้งสองของเขาต้านทานไว้ได้ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย


“ดูท่าพวกเราจะคิดเหมือนกัน” เวินเจิงวางแขนลง และแสงสีเขียวบนมือขวาก็ค่อยๆ สลายไป


“หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และเอ่ยปากถามโดยไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด


“ท่านรออีกสักครู่ก็จะรู้เอง” เวินเจิงกล่าวออกมา


ในระหว่างที่หลิ่วหมิงกำลังพูดคุยกับเวินเจิงนั้น ร่างของเจียหลานก็เคลื่อนไหวจนกลายเป็นเงาร่างพุ่งตามไป กำไลสีฟ้าครามในมือขยายใหญ่ตามแรงลม และเปล่งแสงสีฟ้าออกมาอย่างรุนแรง


เวินอันเห็นเช่นนี้ก็หยุดฝีเท้าลง มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว เขานำพลังเวททั่วร่างใส่เข้าไปในโล่สีเขียวตรงหน้าอย่างไม่รีบร้อน ทำให้แสงสีเขียวดูเข้มมากขึ้นกว่าเดิม


เจียหลานร่ายคาถาออกมา แขนของนางสั่นไหวตามจังหวะการร่ายคาถา จากนั้นก็มันกลายเป็นเงากำไลสีฟ้าครามล้อมรอบเวินเจิงไว้ และพวยพุ่งอยู่รอบตัวเวินอัน อานุภาพน่ากลัวเป็นอย่างมาก


เห็นได้ชัดว่าเวินอันมีประสบการณ์ต่อสู้ไม่มาก บางครั้งก็รู้สึกลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาก็ถูกเงามายาเป็นชั้นๆ บีบจนต้องร่นถอยออกไปเป็นระยะๆ สุดท้ายก็ได้แต่เปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว ทำให้โล่แสงสีเขียวตรงหน้าเปล่งประกาย และแสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาปกคลุมร่างของเขาไว้


พอเงากำไลสีฟ้าครามสัมผัสกับแสงสีเขียว มันก็ต้องกระเด็นออกไป โดยไม่อาจเข้าใกล้ตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย


เจียหลานทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง พริบตาเดียวก็เข้ามาประชิดเวินอัน พอสะบัดแขนเสื้อ โซ่เงินก็พุ่งออกมา และกลายเป็นบงกชเงินท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย ทั่วทั้งตัวบงกชเป็นสีเงินแพรวพราว และหมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


แต่ขณะนั้นเอง เวินอันกลับยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น แสงสีขาวเปล่งประกายบนมือ มียันต์ขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมาหนึ่งผืน


เจียหลานเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา  นางร่ายคาถาออกมาสองสามประโยค บงกชเงินที่หมุนวนอยู่มีอักขระสีเงินพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นอสรพิษยักษ์สีเงินกระโจนเข้าหาเวินอัน


ตอนที่ 764 เผด็จศึกบนยอดเขาเลื่อนลอย (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวินเจิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา และฉีกทึ้งยันต์สีขาวบนมือในทันที


ทันใดนั้น ม่านแสงสีขาวที่มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ก็ปรากฏออกมา มีอักขระหมุนวนอยู่บนนั้นรำไร พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งสองไว้ ขณะเดียวกันเสียงภาษาสันสกฤตก็ดังออกมาจากม่านแสง


พอเสียงภาษาสันสกฤตดังเข้าไปในหูเจียหลาน พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณก็หยุดชะงักในทันที ครู่ต่อมาก็ไม่อาจกระดิกตัวได้อีก


ทั่วทั้งม่านแสงถูกปกคลุมด้วยพลังชั้นจำกัดไร้รูปบางอย่าง ทุกอย่างที่อยู่ในนั้นราวกับถูกแช่แข็ง


อสรพิษยักษ์สีเงินที่พอจะต้านทานเวินอันได้ ก็แตกสลายไปท่ามกลางเสียงร้องคำราม และกลายเป็นโซ่เงินเส้นหนึ่งอีกครั้ง แต่ทว่าแสงที่เปล่งออกมากลับมืดลง และลอยอยู่กลางอากาศอย่างไร้เรี่ยวแรง


“ศิษย์น้องเจียหลาน ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว นี่คือวิชาค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยที่บรรพบุรุษมอบให้ อย่าได้เสียแรงเปล่าเลย แม้ว่าตอนนี้พวกเราทั้งสองจะไม่อาจขยับตัวได้ แต่ว่าการโจมตีระดับแก่นแท้ลงไป ก็ไม่อาจอะไรได้เลยแม้แต่น้อย” ขณะนี้เวินอันถึงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


เจียหลานได้ยินก็ไม่พูดอะไรออกมา นางกระตุ้นพลังเวทอย่างต่อเนื่อง แต่กลับค้นพบว่าไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกว่าจิตใจจมดิ่งลงไปทันที


ดีที่ว่าฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นกัน จึงทำให้นางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย


“ฮึ! กักขังทั้งข้าและเจ้าพร้อมกัน เจ้าคิดจะทำอะไร?” เจียหลานถามด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด


“ศิษย์น้องเจียหลานปราดเปรื่องยิ่งนัก รู้แล้วใยต้องถามด้วยเล่า ข้ารู้ดีว่าพลังของตนเองด้อยกว่าเจ้าเล็กน้อย ดังนั้นถึงได้ใช้ค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุกักขังพวกเราไว้ที่นี่ พวกเราก็แค่รอให้ทั้งสองตัดสินแพ้ชนะกันก็พอแล้ว” เวินอันกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


“เจ้า…… แม้แต่จะตัดสินแพ้ชนะกับข้าเจ้ายังไม่กล้าเลย ยังมีหน้ามาสู่ขอข้าอีก ช่างไร้ยางอายสิ้นดี” เจียหลานได้ยินก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก


“เฮ่อๆ! ข้าก็แค่ไม่อยากให้เกิดความเสียหายใดๆ ระหว่างข้ากับเจ้าในการประลอง ถึงได้ใช้วิธีการเช่นนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการไร้ยางอายเลย” เวินอันฟังจบก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง


แต่ว่าในใจเขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก และแอบสบถอยู่ในใจ


“หญิงสารเลว! รอข้าดูดซับร่างมายาสวรรค์ของเจ้ามาขจัดปราณหยางบริสุทธิ์ในร่างข้าได้ ระดับแก่นแท้ก็จะมาถึงในไม่ช้านี้ หากภายหน้าเจ้ายังโอนอ่อนผ่อนตามไปทุกอย่าง ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าสุภาพกว่านี้ได้ มิเช่นนั้นล่ะก็ พอข้าบรรลุระดับแก่นแท้แล้วจะต้องเหยียดหยามเจ้าทุกวิถีทาง เพื่อระบายความโกรธแค้นในใจข้า”


เจียหลานกลับหันหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้าเยือกเย็น และไม่มองเวินอันอีก


ครั้งนี้นางประมาทไปหน่อย ไม่ทันได้แสดงร่างมายาสวรรค์ออกมา ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามกักขังไว้ในสถานที่แห่งนี้แล้ว


แต่หลังจากนางคิดๆ ดูอีกครั้ง สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่นับว่าแย่มากนัก เพราะเดิมทีหลิ่วหมิงก็ให้นางรัดพันเวินอันไว้ก่อนอยู่แล้ว เช่นนี้แล้วผลลัพธ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก


พอนึกถึงจุดนี้เจียหลานก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย และมองไปทางหลิ่วหมิงที่ทำการต่อสู้อยู่


……


“เอ๊ะ! คือค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุ ดูจากระดับความแข็งแกร่งแล้ว คงมาจากมือของผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ แม้ว่ามันจะใช้ได้แค่ครั้งเดียวก็ตาม แต่มูลค่าก็สูงเกือบสิบล้านหินจิตวิญญาณ ครั้งนี้หลัวหยวนลงทุนไม่น้อย” ภายในมิติลึกลับ จินเทียนชื่ออุทานเบาๆ แล้วพูดพึมพำออกมา


เทียนเกอเจินเหรินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่พูดอะไร


……


ฉากที่เวินอันแสดงยันต์ออกมานั้น ย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาในบรรดาศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่ แม้ว่าในตอนแรกจะยังรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกเล็กน้อย แต่ภายใต้คำแนะนำของผู้รู้ไม่กี่คน จึงเข้าใจขึ้นมาในทันที และต่างก็มองไปยังการประลองอีกคู่หนึ่ง


และหลิ่วหมิงกับเวินเจิงย่อมมองเห็นฉากที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่นี้ทั้งหมด


“เอาล่ะ! ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาทั้งสอง ตอนนี้เจ้ากับข้าลงมือประลองกันได้แล้ว แต่จะบอกไว้ก่อน หากข้าเป็นเจ้าจะรีบยอมแพ้แต่โดยดี” ตอนนี้เวินเจิงถึงหันหน้ามากล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างไม่รีบร้อน


“อ้อ! คำพูดของศิษย์พี่เวินหมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วถามกลับไป


“ชื่อเสียงของศิษย์น้องหลิ่ว ข้าก็พอได้ยินมาบ้าง รับมือกับคู่ต่อสู่ระดับเจ้า ไม่อาจใช้วิธีการธรรมดาๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจำเป็นต้องใช้ ‘คำสาปพิบัติ’ ที่เป็นท่าไม้ตาย แต่ว่าพลังนี้แข็งแกร่งมาก พอแสดงออกมา แม้แต่ข้าก็ไม่อาจควบคุมอานุภาพของมันได้ หากมีใครคนหนึ่งเป็นอะไรไป เกรงว่าอาจารย์อาเทียนอิน และคนอื่นๆ ก็คงจะหยุดยั้งไม่ทัน…” เวินเจิงกล่าวอย่างไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ว่าในคำพูดเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่เวินจะมีความมั่นใจเช่นนี้ ไม่เป็นไร! ศิษย์น้องก็ได้ยินชื่อเสียงของศิษย์พี่มานานแล้ว กำลังอยากเห็นคำสาปพิบัติที่เล่าลือกันอยู่พอดี” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะเบาๆ พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ไอดำรอบตัวก็พวยพุ่งขึ้นมา


“ฮึ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าโทษที่ข้าไม่เตือนก็แล้วกัน” เวินเจิงมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา หลังจากส่งเสียงคำรามฮึดฮัดแล้ว ก็ยกมือทั้งคู่ขึ้น นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันแสงสีเทาบนตัวก็เริ่มเปล่งประกายจางๆ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ส่งเสียงคำรามออกมา และปล่อยกำปั้นโจมตีออกไปทันที


พอแสงสีดำกะพริบผ่านไป เงาหัวพยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา และกะพริบออกไปสิบไกลสิบกว่าจั้งก่อน มาปรากฏตัวตรงหน้าเวินเจิง


ท่ามกลางเสียงพยัคฆ์คำรามที่สั่นสะเทือนสยบจิตใจผู้คน  กำปั้นวายุสีดำสลัวๆ พุ่งออกจากหัวพยัคฆ์ พริบตาเดียวอากาศก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ทุกอย่างที่อยู่บริเวณนั้นบิดเบี้ยวและแตกกระจาย…


ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกม่านแสงเกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที เทียนอินซ่างเหริน หลัวหยวน และคนอื่นๆ ที่อยู่บนอัฒจันทร์ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอยู่ครู่หนึ่ง


เวินเจิงเผชิญหน้ากับเงากำปั้นอันน่าตกใจเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบมิได้ มือทั้งสองดึงออกไปทั้งสองด้าน พอแสงสีเทาเปล่งประกาย มันก็กลายเป็นม่านแสงสีเทาจางๆ ก่อนที่เงากำปั้นจะเข้ามาถึง


ม่านแสงดูคล้ายกับผ้าสีเทาบางๆ มันสะท้อนร่างของเวินเจิงจนดูพร่ามัวอย่างเห็นได้ชัด


ครู่ต่อมา เงากำปั้นสีดำก็โจมตีลงบนม่านแสงสีเทา แต่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจก็คือ ม่านแสงนี้เพียงแค่เป็นรอยบุ๋มลงไปในพริบตา ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาเท่านั้น มันยังไม่แตกกระจายออกมาด้วย


“ระเบิด!”


หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือ และส่งเสียงตะโกนออกมา


“ตู๊ม!”


หัวพยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่ระเบิดออกมาในทันที มันกลายเป็นไอดำอันพวยพุ่งกระจายออกไป พอไอดำสัมผัสกับม่านแสงสีเทา ก็เกิดเสียงกัดกร่อนดัง “ฟู่ๆ!”


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เวินเจิงยังคงถูกสั่นสะเทือนด้วยพลังมหาศาลผ่านม่านแสงสีเทาจนกระเด็นออกไป แต่ว่ากระเด็นออกไปแค่ไม่กี่จั้ง แสงสีเทาก็เปล่งประกายบนตัว ทำให้ทรงตัวไว้ได้อย่างมั่นคง


หน้าอกของเวินเจิงกระเพื่อมเล็กน้อย หลังจากหายใจลึกๆ สองสามทีแล้ว ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


“ดี! ดีมาก! ที่แท้ก็มีความสามารถอยู่บ้าง ข้ายิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าแล้วสิ!” เวินเจิงพูดออกมาเบาๆ หลังจากแววตาของเขาเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งแล้ว ก็พ่นโลหิตลงบนม่านแสงสีเทาตรงหน้า


“กาๆ!”


เสียงร้องของอีกาดังออกมาทันที


พอผู้คนที่ชมการประลองอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเช่นนี้ ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ ก็รู้สึกได้ถึงเลือดที่พลุ่งพล่านในอกทันที ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างสูง ก็รู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านในทันที!


เสียงของอีกาเต็มไปด้วยพลังไร้รูปบางอย่าง พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วม่านแสง


“หรือว่านี่จะเป็นอีกาพิบัติที่สร้างมาจากวิญญาณพยาบาทของศพ มิน่าล่ะเสียงของมันสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามฝึกฝนถึงขั้นไหนแล้ว” เขาคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว


หลายสิบกว่าวันมานี้ เพื่อการรับมือกับเวินเจิง หลิ่วหมิงก็ได้อ่านดูคัมภีร์เกี่ยวกับคำสาปพิบัติในหอเก็บคัมภีร์จำนวนไม่น้อย


วิชาคำสาปที่กล่าวถึง เป็นวิชาพ่อมดแม่มดที่มีต้นกำเนิดในสมัยบรรพกาล คล้ายกับการสะเทือนสยบจิตใจผ่านอากาศ มอบพลังแห่งคำสาปให้กับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ และอาศัยมันเอาชีวิตผู้คน ซึ่งแตกต่างจากพลังเวททั่วไปโดยสิ้นเชิง ไร้รูปไร้ร่องรอย ผู้ที่ไม่รู้ความลึกลับในนั้น ไม่อาจทำการป้องกันได้เลย


พอคิดมาถึงจุดนี้ ไอดำก็พวยพุ่งบนแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงในฉับพลัน ขณะเดียวกัน ภายใต้การส่งเสียงดังกรอบแกรบของกระดูก มันก็ขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว ภายใต้การสะบัดหนึ่งที มันก็โจมตีใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง


เกิดเสียงดังก้องฟ้า ทันใดนั้นเงากำปั้นสีดำก็ปรากฏออกมาจำนวนมาก และพุ่งเข้าใส่เวินเจิงทันที


เวินเจิงทำราวกับมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น มือทั้งสองปล่อยพลังเวทออกมาติดต่อกัน ลำแสงสีดำพุ่งออกจากร่างของเขา และกลายเป็นลูกแสงลอยอยู่กลางอากาศรอบๆ


พริบตาเดียวเงากำปั้นสีเทาก็เข้ามาถึง และโจมตีลงบนม่านแสงสีเทาตรงหน้าเวินเจิงราวกับฝนตก แม้ว่าจะยังคงไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา แต่กลับทำให้ม่านแสงสีเทาถูกโจมตีจนเป็นรอยบุ๋มติดต่อกัน ลำแสงเปล่งประกายบนม่านแสง และเริ่มมีท่าทีจะต้านทานไม่ไหวแล้ว


ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เวินเจิงหยุดทำท่ามือทันที ใบหน้าดูบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ หลังจากแสงสีเทาลำสุดท้ายพุ่งออกไปนั้น เสียงร่ายคาถาอันคลุมเครือก็ดังออกมาจากปากของเขา


ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสชุดขาวที่อยู่ด้านนอกม่านแสง ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทันที และสะบัดแขนเสื้อออกไป


“เพล้ง!” ยันต์สีเงินจางๆ พุ่งออกจากมือผู้อาวุโส มันระเบิดอักขระสีเงินจางๆ ออกมาจำนวนมาก และจมหายไปในม่านแสงสีขาวโปร่งใสตรงด้านล่าง


เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงอีกาที่ชัดเจนกว่าเดิมหลายเท่าก็ดังออกจากร่างของเวินเจิง แต่พออักขระสีเงินจางๆ จำนวนมากเปล่งประกายบนพื้นผิวม่านแสงโปร่งใส มันก็กั้นเสียงเหล่านี้ไว้ด้านใน!


ภายในม่านแสง เจียหลานและเวินอันที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลเขานักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงอีกาเหล่านี้ ประจักษ์ชัดว่าค่ายกลนี้ก็มีความมหัศจรรย์มากเช่นกัน


ครู่ต่อมา จะเห็นว่ากลุ่มแสงสีดำเทาสั่นสะเทือนเล็กน้อย และค่อยๆ รวมตัวกลายเป็นอีกาสีดำเทาทีละตัวทีละตัว ซึ่งมีทั้งหมดสามสิบหกตัว!


หลังจากแสงสีเทาเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง อีกาทั้งหมดก็จัดเรียงตัวกันอย่างแปลกประหลาด และหมุนวนรอบตัวเวินเจิง


“ที่แท้ก็เป็นอีกาพิบัติจริงๆ ด้วย มีมากถึงสามสิบหกตัวแล้ว!” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ร่างของเขาพร่ามัวขึ้นมา


เกิดเสียงดังขึ้นมา เงากำปั้นจำนวนมากปรากฏตัวกลางอากาศอีกครั้ง และพุ่งเข้าใส่เวินเจิงราวกับสายฝนกระหน่ำ


“เพล้ง!”


ภายใต้การโจมตีของเงากำปั้น ม่านแสงสีเทาก็ไม่อาจต้านทานได้อีก มันจึงระเบิดตัวเป็นไอสีเทากระจายไปทั่วทิศ เงากำปั้นที่เหลือพวยพุ่งเข้าหาเวินเจิงทันที


ตอนที่ 765 เผด็จศึกบนยอดเขาเลื่อนลอย (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หลิ่วหมิง อย่าได้เสียแรงเปล่าเลย! ในเมื่อค่ายกลคำสาปพิบัติสำเร็จแล้ว เจ้าก็อวยพรให้ตัวเองโชคดีก็แล้วกัน!” เวินเจิงดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ และคำรามออกมาอย่างดุร้าย


จะเห็นว่าอีกาสีดำเทาทั้งสามสิบหกตัวบินเร็วขึ้นเรื่อยๆ และก่อตัวเป็นทรงกลมสีดำเทารอบตัวเขา พอเงากำปั้นที่เหลือโจมตีลงบนพื้นผิวทรงกลม ก็มีแสงสีเทาจางๆ หมุนวน และค่อยๆ แตกกระจายออกมา


หลิ่วหมิงกลับมีใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แขนทั้งสองพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง และปล่อยเงากำปั้นออกไปมากกว่าเดิม


ภายใต้การประสานกันไปมาของแสงสีเทาและเงากำปั้น ลูกทรงกลมสีเทาดำก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง แต่ยังคงไม่อาจโจมตีเข้าไปด้านในได้เลยแม้แต่น้อย


และเวินเจิงก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ดึงม้วนคัมภีร์โบราณสีดำที่มีขนาดเท่าแขนออกมา พอคลี่มันออก จะเห็นว่าบนม้วนคัมภีร์มีอักขระโบราณเรียบง่ายจำนวนมากประทับอยู่ และตำแหน่งกลางสุดจะมีภาพวาดอีกายักษ์อยู่หนึ่งตัว


นิ้วทั้งสิบของเวินเจิงดีดออกไปอย่างรวดเร็ว พลังสีเทาเก้าสายพุ่งใส่ม้วนคัมภีร์ติดต่อกัน แสงสีเทาสว่างขึ้นมาทันที อักขระจำนวนมากพุ่งออกมาจากไอดำราวกับมีชีวิต


“ฟู่!” เขาพ่นโลหิตบริสุทธิ์ลงบนม้วนคัมภีร์ ทำให้แสงสีเทาสว่างไสวมากกว่าเดิมหลายเท่า เกิดเปลวไฟลุกไหม้ภาพอีกาที่อยู่ในนั้นทันที


มีเสียงอีกาดังทะลุผ่านทองคำหยก เงาร่างอีกาขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ พุ่งออกมาจากเปลวไฟ มันแลดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก ร่างกายอ้วนฉุ ลูกตาสีแดงทั้งคู่แผ่แสงเย็นสะท้านออกมา


เงาร่างอีกาหมุนวนอยู่กลางอากาศ เวินเจิงร่ายคาถาเสียงสูงต่ำออกมา


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที พอส่งเสียงตะโกนออกมา ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว ขณะเดียวกันปีศาจสมุทรแปดขาก็ปรากฏออกมา และกลายร่างเป็นชุดเกราะสีเงินจางๆ มือทั้งสองถูกปกคลุมไปด้วยถุงมือสีเงินที่มีหนามอันแหลมคม


พอเงากำปั้นเปล่งประกาย หนามอัปลักษณ์ที่ปกคลุมอยู่เต็มกำปั้นก็โจมตีลงบนค่ายกลคำสาปพิบัติอย่างบ้าคลั่ง


ท่ามกลางเสียงดังอันน่าตกใจ อีกาพิบัติหลายตัวในนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นไอดำสีเทาหลายกลุ่ม ทันใดนั้น เกราะป้องกันสีเทาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่ยังคงไม่สามารถโจมตีทะลุได้


เวินเจิงที่อยู่ในนั้น ดวงตาแดงก่ำของเขาเผยแววประหลาดใจออกมา เสียงร่ายคาถาหยุดลง และค่อยๆ ตะโกนออกมาทีละคำ


“คำสาป-ทำลาย-ล้าง!”


พอคำว่า ‘คำสาป’ ออกมาจากปาก เงาร่างอีกายักษ์ที่หมุนวนอยู่บนศีรษะของเขา ก็แหงนคอส่งเสียงร้องแหลมออกมา


อีกาพิบัติสีดำเทาสามสิบกว่าตัวที่อยู่ด้านล่าง ก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน


พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกว่ามีเสียงดัง “หวึ่ง!’ ในทะเลจิตรับรู้ ราวกับว่าถูกคนใช้ค้อนทุบอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงก็ประดังเข้ามา จิตรับรู้ตกอยู่ในภวังค์อย่างช่วยไม่ได้


เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขากระตุ้นอยู่ ก็หยุดลงในฉับพลัน ไอดำที่ปกคลุมรอบตัวสลายไปทันที ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมพลังเวทไปชั่วขณะหนึ่ง


“อีกาพิบัติสามสิบกว่าตัว พลังคำสาปอันน่ากลัว!”


“เวินเจิงสมกับเป็นผู้ที่มีฉายาว่า ‘สิบคาถาทำลายล้าง’ จริงๆ คาดกว่าครั้งหนี้หลิ่วหมิงคงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว”


ศิษย์ที่ดูการประลองอยู่บริเวณนั้นเห็นฉากเช่นนี้ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันที สายตาที่มองไปทางเวินเจิงล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจและหวาดกลัว


“ร้ายกาจมาก! นี่ก็คือวิชาคำสาปพิบัติ พลังแห่งคำสาปสินะ!”


แม้ว่าในสมองของหลิ่วหมิงจะรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว พลังจิตมหาศาลก็หมุนวนออกมากดทับความรู้สึกวุ่นวายใจไว้ ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะค่อยๆ หายไป พอยกมือ โล่เล็กสีเหลืองก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นม่านแสงสีเหลืองแวววาวปกคลุมรอบตัวเขาไว้


มันคือโล่พสุธานั่นเอง!


“คำสาปทำลายล้าง มีสิบพลังการสังหาร ดูสิว่าเจ้าจะต้านทานได้กี่ครั้ง!”


ท่ามกลางค่ายกลคำสาปพิบัติ เวินเจิงเผยแววตาโหดเหี้ยมออกมา เขาแหงนหน้าพ่นโลหิตใส่อีกายักษ์ และร่ายคาถาออกมาอีกครั้ง


พออีกาพิบัติทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของอีกายักษ์ มันก็ส่งเสียงร้องออกมาเป็นระยะๆ พลังแห่งความมืดที่แข็งแกร่งม้วนตัวออกจากร่างของเวินเจิง


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดัง “ตู๊ม!” ในจิตรับรู้อีกครั้ง ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ ร่างกายซวนเซทีหนึ่ง ดูเหมือนจะอาเจียนออกมา ไม่เพียงแต่เท่านี้ ในใจก็ยังมีความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ เป็นลางสังหรณ์ของจิตปีศาจที่มากขึ้น


หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ดูเหมือนว่าวิชาคำสาปพิบัตินี้ร้ายกาจกว่าที่เล่าลือเล็กน้อย


แต่เขาก็กัดปลายลิ้นอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง พอตบโซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่แขวนไว้บนเอว ความรู้สึกเย็นสบายก็แผ่ไปทั่วร่างภายในพริบตา และขับไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง


“คิดไม่ถึงว่าจะสามารถรับมือกับคำสาปทำลายล้างได้!”


พอเวินเจิงเห็นหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ทรงตัวได้แล้ว สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทันที


อย่างที่รู้ว่า เขาเคยใช้วิชาคำสาปทำลายล้างรับมือกับยอดฝีมือระดับผลึกขั้นปลายของนิกายอื่นมาแล้ว เพิ่งจะแสดงคาถาที่สอง พลังจิตของฝ่ายตรงข้ามก็พังทลาย และกลิ่นไอทั้งตัวก็สะท้อนกลับ จนร่างระเบิดกลายเป็นกองเลือด


แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลิ่วหมิงถูกคาถาคำสาปของเขาแล้ว แต่กลับฟื้นฟูมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ ทั้งยังดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย


จะว่าไปแล้ว แม้จะบอกว่าคำสาปทำลายล้างนี้ มีทั้งหมดสิบคาถา แต่ละคาถาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยระดับการฝึกฝนของเวินเจิง ก็ฝืนแสดงออกมาได้แค่คาถาที่สี่เท่านั้น


ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำสาปทำลายล้างที่เขาแสดงออกมา จะทำให้สูญเสียพลังเวทเป็นอย่างมาก และเนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่อวิถีแห่งฟ้า จึงมีผลกระทบต่ออายุขัยของตัวเองไม่น้อย พูดได้ว่าเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยทำร้ายตัวเองก่อน


หลังจากเวินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้งแล้ว ก็กัดฟันในฉับพลัน เขาอ้าปากพ่นโลหิตใส่อีกายักษ์เหนือศีรษะอีกครั้ง จากนั้นมือทั้งสองก็ทำท่ามือแปลกประหลาด ดูเหมือนว่าจะกระตุ้นพลังชีวิตลึกลับบางอย่างที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน


“คำสาป-ทำลาย-ล้าง-ที่สาม!”


เงาอีกายักษ์เหนือศีรษะของเวินเจิงหยุดตัวลงในทันที ดวงตาสีแดงทั้งคู่ยิงแสงสีแดงออกมาสองลำ พริบตาเดียวก็ตกอยู่บนตัวของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว จนเขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้


“แย่แล้ว!”


แม้ว่าในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงจะยังคงรู้สึกเลอะเลือนอยู่บ้าง แต่ว่าในใจของเขายังคงมีสติอย่างชัดแจ้ง ท่ามกลางความมืด พลันมีพลังแห่งคำสาปอันแข็งแกร่งร่วงลงมาใส่ตัว และโจมตีลงในทะเลจิตรับรู้ของเขาโดยตรง


หลิ่วหมิงรู้สึกร้อนไปทั้งตัว เลือดลมปราณไหลย้อนกลับ และพุ่งขึ้นไปบนสมอง พออ้าปาก ก็กระอักเลือดออกมาอย่างบ้าคลั่ง!


ไม่เพียงแต่เท่านี้ ทวารทั้งหกบนใบหน้าของเขา ต่างก็เริ่มมีโลหิตซึมออกมา ผิวหนังทั่วร่างกลายเป็นสีแดงม่วง!


เจียหลานอยู่ในค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุ พลังพุทธะก็คือดาวมฤตยูของพลังแห่งคำสาป จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากคำสาปนี้ แต่ขณะที่เห็นสถานการณ์ของหลิ่วหมิงนั้น สีหน้าของนางก็ดูถอดสีอย่างช่วยไม่ได้ และรู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ตัวเองก็ไม่อาจดิ้นรนได้เลยแม้แต่น้อย


เวินอันที่อยู่ตรงหน้า กลับเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความดีใจ ดวงตาไร้ยางอายกวาดไปทั่วร่างของเจียหลานอย่างกำเริบเสิบสาน


ตอนนี้เขาเห็นว่าเจียหลานเป็นสิ่งของในถุงของเขาแล้ว


“อ๊าก!”


หลิ่วหมิงแหงนหน้าส่งเสียงออกมาอย่างบ้าคลั่ง และก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีพลังจิตอันบริสุทธิ์เกิดขึ้นมาใหม่ และพุ่งไปยังหน้าอกอย่างต่อเนื่อง มันกรอกเข้าไปในร่างอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าไปด้านใน คิดไม่ถึงว่าพลังแห่งคำสาปจะถูกสะกดไว้ชั่วคราว ความรู้สึกเลือดลมปราณพลุ่งพล่านก็ลดลงไปทันที


ในช่วงเวลาสำคัญ หนอนพลังจิตบนตัวกลับช่วยเขาไว้อีกแรง โดยดึงจิตที่เกือบจะพังทลายกลับมา


หลิ่วหมิงได้รับช่วงเวลาที่สงบเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็กลับมากระจ่างใสทันที มือข้างหนึ่งพลิกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โซ่เงินขนาดเท่าไข่ไก่ปรากฏบนมือ ภายใต้การใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง มันก็กลายเป็นแสงสีเงินกะพริบเข้าไประหว่างคิ้ว


มันคือโซ่ตรวนสะกดวิญญาณนั่นเอง!


โซ่เล็กสีเงินที่ลอยอยู่เหนือทะเลจิตรับรู้อย่างเงียบๆ ได้แผ่คลื่นสีเงินจางๆ ออกมาทันที ไอหมอกสีเทาสลัวๆ มาปรากฏออกมาจำนวนหนึ่ง พอสัมผัสกับคลื่นสีเงินเล็กน้อย มันก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว


เวินเจิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมีสีหน้าที่ดูได้เป็นอย่างมาก นิ้วทั้งสิบดีดออกไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นฝูงอีกาตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง


ขณะนั้นเอง “ตู๊ม!” กลิ่นไอกระบี่จำนวนมหาศาลที่ไม่อาจพูดออกมาได้ ก็ม้วนตัวออกจากร่างของหลิ่วหมิง คิดไม่ถึงว่าพลังคำสาปที่ยังคงรัดพันอยู่บนร่าง จะถูกสลัดออกไปจนหมดสิ้น


“เป็นไปไม่ได้!”


เวินเจิงที่อยู่ไม่ไกลเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีสีหน้าซีดขาวอย่างหาที่เปรียบมิได้ แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลย


ดวงตาแดงก่ำของเขาทั้งคู่ เริ่มมีน้ำตาโลหิตไหลออกมาเป็นสองทาง คำสาปทำลายล้างที่สามไม่เพียงแต่จะควักพลังเวทในร่างไปกว่าครึ่งหนึ่งเท่านั้น กายเนื้อกับอายุขัยก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย หลังจากหลิ่วหมิงทำลายคาถาคำสาปของเขาแล้ว ยังทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายของพลังสะท้อนกลับด้วย


“ฮึ!”


หลิ่วหมิงรู้สึกร่างเบาขึ้นมา การโคจรพลังเวทภายในร่างได้ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว ดวงตาของนางเป็นประกายแวววาว พอชี้ไปกลางอากาศ กระบี่เล็กสีทองก็พุ่งออกจากระหว่างคิ้ว พอมันขยายใหญ่ตามแรงลม ก็กลายเป็นกระบี่บินที่ยาวสองฉื่อกว่าๆ


“ไป!”


หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา พริบตาเดียวพลังเวททั้งหมดก็ถูกกรอกข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่า


“ฟู่!” พอแสงกระบี่ม้วนตัว มันก็ขยายใหญ่ขึ้นมาหลายสิบเท่า และกลายเป็นสายรุ้งยาวสีทองพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


“เปรี๊ยะๆ!”


ค่ายกลคำสาปพิบัติที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งจนหาที่เปรียบมิได้ ถูกแทงทะลุราวกับกระดาษ อีกาพิบัติกลายเป็นไอสีเทาท่ามกลางแสงกระบี่ และกระจายออกไปทั่วทิศ


หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือทันที กระบี่ยาวสีทองม้วนตัวขึ้นด้านบน


“แย่แล้ว! ราชาอีกาพิบัติ!”


เวินเจิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี มือทั้งสองโบกอย่างรวดเร็ว และปล่อยพลังใส่เงาอีกายักษ์ที่อยู่ด้านบน


เงาอีกายักษ์ส่งเสียงร้องกาๆ สองที จากนั้นก็อ้าปากพ่นลำแสงสีเทาขนาดเท่าถังน้ำไปรับมือกับสายรุ้งกระบี่สีทอง ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็พร่ามัว ปีกทั้งคู่บินพุ่งไปบนที่สูง


เกิดเสียงดัง “ฟู่!” ด้านล่าง สายรุ้งยาวสีทองฟันลำแสงจนดับลง และกะพริบผ่านเงาร่างอีกายักษ์ไป


แต่จะเห็นว่าเงาร่างของอีกายักษ์ยังคงอ้าปากค้างอยู่ ครู่ต่อมาก็กลายป็นไอสีเทาปกคลุมเต็มฟ้า  เศษม้วนคัมภีร์ขาดๆ ร่วงใสจากอากาศ


ขณะที่อีกายักษ์สลายไปนั้น เวินเจิงก็กระอักเลือดออกมาจำนวนมาก พริบตาเดียวร่างของเขาก็อ่อนระโหยโรยแรงอย่างถึงขีดสุด


แต่ขณะนั้นเอง พอแสงสีทองเปล่งประกาย สายรุ้งยาวสีทองก็ม้วนตัวลงไป เงากระบี่เต็มฟ้าปกคลุมร่างของเวินเจิงไว้ในพริบตา


“ช้าก่อน! ข้ายอมแพ้แล้ว” เวินเจิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างขมขื่น และตะโกนออกมาทันที


ตอนที่ 766 ตกตะลึงทั้งสี่ด้าน

โดย

Ink Stone_Fantasy

น้ำเสียงยังไม่สิ้นสุดลง เงากระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็ดับลง กระบี่สีทองที่ยาวหลายจั้งเหยียดตรงอยู่ห่างจากศีรษะของเขาหนึ่งจั้งกว่าๆ


แม้เวินเจิงจะดูเหมือนไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูแข็งทื่อขึ้นมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็โบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากกระบี่บินว่างเปล่าสั่นสะท้าน มันก็กลายเป็นแสงสีทองกะพริบกลับมา และจมหายไปในระหว่างคิ้วของเขาอย่างไร้ร่องรอย


ฉากตรงหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้เจียหลานที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก และเวินอันก็ไม่ยิ้มออกมาเลยแม้แต่น้อย


และในขณะที่ผู้คนยังไม่หายจากอาการตกตะลึง หลิ่วหมิงกลับพร่ามัวมาปรากฏตัวที่เดิมแล้ว


ครู่ต่อมา เงาร่างสีดำกะพริบมาปรากฏตรงหน้าม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมเจียหลานกับเวินอันอยู่


เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!


จะเห็นว่าขณะนี้มีไอดำรายล้อมรอบตัวของเขา พริบตาเดียวมังกรหมอกดำห้าตัวกับเงาพยัคฆ์หมอกดำห้าตัวก็ปรากฏออกมา!


เกิดเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังไปทั่วฟ้า ทันใดนั้นศิษย์ที่ชมการประลองอยู่ถึงได้สติกลับมา!


จะเห็นว่ากำปั้นคู่ที่มีถุงมือสีเงินปกคลุมอยู่โจมตีออกไปในทันที


กำปั้นวายุสีดำและสีเงินนับไม่ถ้วน พากันร่วงลงบนม่านแสงสีขาวอย่างไร้สุ้มเสียง!


เรื่องที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้านได้เกิดขึ้นแล้ว!


ตอนแรกม่านแสงสีขาวยังคงมีอักขระเปล่งประกายออกมา จนทำให้เงากำปั้นสลายไปจำนวนมาก!


แต่หลังผ่านไปแค่เจ็ดแปดอึดใจ พื้นผิวม่านแสงสีขาวก็มืดลง และเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ อักขระที่เปล่งประกายออกมาก็น้อยลงเรื่อยๆ จนใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว


“ยั้ง…ยั้งมือ ข้า…ยอมแพ้!” เวินอันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาก ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากตะโกนออกมาโดยไม่สนใจภาพพจน์ตัวเองอีก


จะว่าไปแล้ว แม้ค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยนี้ จะมีอานุภาพมาก แต่ว่าก็ใช้พลังในการกระตุ้นไม่น้อย เวินอันผู้นี้ปรับแต่งมันด้วยการฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง สามารถแสดงอานุภาพออกมาได้ห้าส่วน ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว ในขณะที่หลิ่วหมิงอาศัยพลังมังกรพยัคฆ์ทมิฬในการแสดงวิชาเกราะอสูร โจมตีติดต่อกันหลายครั้ง มันย่อมไม่อาจยืนหยัดได้นาน


และเวินอันเองก็ไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้เป็นเวลานาน ได้แต่หวังว่าการกระตุ้นวิชาคำสาปพิบัติ จะสามารถโจมตีหลิ่วหมิงจนพ่ายแพ้ได้ จากนั้นก็จะเหลือเจียหลายเพียงคนเดียว แพ้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป


“ผู้อาวุโส การประลองในครั้งนี้สามารถประกาศผลได้หรือยัง?”


พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงขอความเมตตาจากฝ่ายตรงข้าม ก็เลิกคิ้วขึ้นมา เงากำปั้นหยุดการโจมตี จากนั้นถึงแหงนหน้ามองผู้อาวุโสชุดขาว และถามด้วยสีหน้าสงบ


ตอนนี้พลังเวทภายในร่างของเขาก็เหลือไม่มาก ร่างกายและจิตใจถูกทรมานจนรู้สึกอ่อนกำลังลงมาก หากไม่ใช่ว่ามีหนอนพลังจิตอยู่กับตัว และมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งล่ะก็ ตอนนี้อาจจะหน้ามืดหมดสติไปแล้วก็ได้ๆ


“ได้…การประลองนี้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าขอประกาศให้หลิ่วหมิงกับเจียหลานชนะ!” ผู้อาวุโสชุดขาวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ก็เพิ่งได้สติขึ้นมาจากอาการตกตะลึง หลังจากมองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่งแล้ว ก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดัง


พอคำพูดนี้ดังออกมา ฝูงชนด้านนอกม่านแสงที่ถูกฉากการประลองในตอนท้ายทำให้รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ถึงได้สติกลับมา และเกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที


หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ เกราะหนังสีเงินบนตัวหายไปในพริบตา หลังจากนำโอสถจินหยวนออกมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ถึงนั่งขัดสมาธิลงบนลานประลอง และหลับตาทำการกลั่นเอาพลังของโอสถ


แม้ว่าศึกในก่อนหน้าจะใช้เวลาแค่สั้นๆ แต่ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังจิตโดยตรง ซึ่งยากที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้


และพอพลังของโอสถถูกกลั่นออกมา พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณที่เกือบเหือดแห้ง ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ ตอนนี้สีหน้าของหลิ่วหมิงถึงดูดีขึ้นมาหน่อย


ขณะนี้ ม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมเจียหลานและเวินอันอยู่ ก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็พังทลายลงมา เผยให้เห็นเวินอันที่มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


หลังจากเจียหลานหลุดออกจากชั้นจำกัดแล้ว ก็รีบเก็บโซ่เงินทันที และก็กะพริบมายืนเฝ้าอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ


แต่ว่าในขณะนี้ ดวงตางดงามของนางไม่ยอมละไปจากหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย


ในมุมบางแห่งท่ามกลางฝูงชน ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่มีใบหน้าแคบยาว กำลังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด


เขาก็คือซาทงเทียนที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


ในขณะที่หลิ่วหมิงเอาชนะได้นั้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกยกภูเขาออกจากอก แต่ว่าไม่นาน ท่าทีของเจียหลานก็ทำให้เขารู้สึกอึ้งไปอีกครั้ง ในใจรู้สึกซับซ้อนเป็นอย่างมาก


……


“สายตาของเจ้าแม่นยำจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กหลิ่วหมิงจะอาศัยพลังของกายเนื้อ ต้านทานคาถาคำสาปพิบัติติดต่อกันได้ถึงสามครั้ง ต่อให้จะนับรวมศิษย์เก่าไปด้วย พลังของเขาก็สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้แล้ว มีเขาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ ดูท่านิกายเราคงมีโอกาสชนะมากขึ้น ต้องชมที่เจ้ามองเห็นเจ้าเด็กนี่ มันช่วยข้าได้มากเลย” ในมิติลึกลับ เทียนเกอเจินเหรินมองดูจินเทียนชื่อด้วยสายตาที่ลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ต้องบอกว่าท่านช่วยข้าถึงจะถูก” จินเทียนชื่อมองดูเทียนเกอเจินเหรินทีหนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“หืม! คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” เทียนเกอเจินเหรินถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


จินเทียนชื่อหัวเราะฮ่าๆ และไม่ตอบอะไรกลับไป ทันใดนั้น พอเขาสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง แสงเรืองรองจางๆ ก็ม้วนตัวออกมาห่อหุ้มร่างของเขาไว้ จากนั้นก็กลายเป็นแสงดาวพร่างพราวหายไป


……


ภายในห้องโถงของพระราชวังที่มีไอสีเทาปกคลุมเป็นชั้นๆ


“ฮึ! มีอย่างที่ไหนกัน!” ผู้อาวุโสชุดดำยกมือข้างหนึ่งด้วยสีหน้าโมโห ไอดำม้วนตัวเข้าใส่จานจิตวิญญาณที่ลอยอยู่ตรงหน้า


“เพล้ง!”


จานจิตวิญญาณสั่นสะท้าน และแตกกระจายออกมาทันที เศษที่แตกกระจายออกมาหลายชิ้นได้พุ่งกระเด็นไปทั่วทิศ


มีสองสามชิ้นร่วงลงบนตัวของเขา แต่พอแสงสีดำจางๆ เปล่งประกาย มันก็กลายเป็นผุยผงและร่วงลงมา


ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านล่างกลับไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่หลบเลี่ยงไม่ทัน จึงถูกเศษจานจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งโจมตีลงบนหน้าอก จากนั้นร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับกระสอบ และชนเข้าใส่ผนังหินในส่วนลึกของห้องโถง “โครม!” จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดดำก่อนหมดสติไป


……


ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงกับผู้อาวุโสอวี๋ก็มองดูผลลัพธ์ของการประลองบนยอดเขาเลื่อนลอยผ่านป้ายหยกชิ้นหนึ่งที่เปล่งประกายแสงสีเขียว


“คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะชนะแล้ว!” ผู้อาวุโสอวี๋กล่าวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้น


พลังของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งเช่นนี้ จะต้องเป็นที่โดดเด่นในงานประตูสวรรค์อย่างแน่นอน หากช่วยนิกายยอดบริสุทธิ์ชิงความโชคดีมาได้ ยอดเขาลั่วโยวเองก็จะได้รางวัลไม่น้อย


อินจิ่วหลิ่งกลับมีสายตาลึกซึ้งยากจะคาดเดาได้ หลังจากกลับมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนทันที ร่างของเขาพร่ามัวกลายเป็นวายุดำอันครั่นคร้าม และม้วนตัวออกไปนอกวิหารใหญ่


……


ขณะนี้ ลานกว้างบนไหล่ยอดเขาเลื่อนลอย ฝูงชนต่างก็ทำการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา


“คิดไม่ถึงว่าเวินเจิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังจะพ่ายแพ้ให้กับหลิ่วหมิง!”


“หลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่งโยว คนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งมาก ข้าว่าในบรรดาศิษย์สายในก็มีไม่กี่คนที่เหมาะสมเป็นคู่ต่อกรของเขา”


“เมื่อครู่เขายังใช้กำปั้นโจมตีค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยจนแตกกระจายได้ พลังของกายเนื้อนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”


ฝูงชนพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ซึ่งล้วนตกใจกับความแข็งแกร่งของพลังหลิ่วหมิงมาก จนลืมอีกสามคนที่อยู่ในลานกว้างไปชั่วขณะหนึ่ง


บนอัฒจันทร์ที่อยู่ห่างจากลานกว้างไปไม่ไกล ตอนที่หลัวหยวนได้ยินเสียงบอกว่ายอมแพ้ของเวินเจิง เขาก็มีสีหน้าเขียวปัดขึ้นมา หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ แล้ว จึงลุกขึ้นมากล่าวกับเทียนอินซ่างเหรินด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“ศิษย์พี่เทียนอิน ในเมื่อศิษย์น้องแพ้แล้ว เรื่องการสู่ขอก็สิ้นสุดแค่นี้ ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนแล้ว สิ่งของเดิมพันเหล่านั้น รอผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ข้าจะให้คนนำมาส่งให้เอง”


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาไม่รอให้เทียนอินซ่างเหรินพูดอะไรออกมาอีก เขาหายวับมาปรากฏตัวบนอากาศใจกลางลาน ชายเสื้อโบกสะบัดตามลมอย่างรุนแรง พอโบกแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ แสงสีเหลืองลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นเมฆสีเหลืองยกร่างของเวินอันและเวินเจิงที่อยู่ด้านล้างขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งออกไปไกลๆ ทันที


ฉากนี้ทำให้ศิษย์นับพันคนที่ดูอยู่ ทำการซุบซิบกันอยู่ครู่หนึ่ง


เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกว่าสีหน้าดีมากขึ้นแล้ว ถึงรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมที่โชยมาจากด้านข้าง พอลืมตาดูกลับพบว่าเจียหลานกำลังยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ และจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา


พี่หลิ่ว ครั้งนี้นับว่าศิษย์น้องติดค้างน้ำใจของท่านเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าภายหน้าจะตอบแทนเช่นไรแล้ว” พอเจียหลานเห็นหลิ่วหมิงลืมตา  นางก็เผยรอยยิ้มออกมา ทำให้นางดูสวยหยาดเยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย


ด้วยอาการสงบระดับหลิ่วหมิง ต่อหน้าเจียหลานที่งดงามราวกับบุปผานับร้อยที่บานสะพรั่ง เขายังคงรู้สึกเผลอตัวไปชั่วขณะ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมานั้น ก็รู้สึกว่ามีแสงแวววาวเปล่งประกายตรงหน้า มันคือแสงหลบหลีกสองลำที่พุ่งมาจากคนละทิศ หลังจากกะพริบไม่กี่ที ก็ร่วงลงตรงด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกล


พอลำแสงดับลง ก็มีเงาร่างปรากฏออกมาสองเงา กลับเป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีดำกับหญิงงดงามผู้หนึ่ง


“ศิษย์คารวะอาจารย์!” หลิ่วหมิงรีบก้าวออกไปคารวะทันที ชายชุดดำก็คืออินจิ่วหลิง ที่เป็นอาจารย์ของหลิ่วหมิงนั่นเอง


เจียหลานที่อยู่ด้านข้างก็คารวะอย่างงดงาม และพูดออกมาเบาๆ


“เจียหลานคารวะอาจารย์”


“ที่นี่ไม่ใช่ยอดเขาลั่วโยว ไม่ต้องมากพิธี!” อินจิ่วหลิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา จากนั้นก็พยักหน้าให้กับผู้อาวุโสชุดขาวที่อยู่กลางอากาศเล็กน้อย


“ที่แท้ก็เป็นผู้ควบคุมอินที่มาเยือน ไม่ได้ต้อนรับต้องขออภัยด้วย” ขณะที่มีน้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นมา เทียนอินซ่างเหรินก็เหาะมาจากอัฒจันทร์


พอศิษย์สายในและสายนอกที่ชมการประลองอยู่รอบด้าน เห็นว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้มาปรากฏตัวพร้อมกันถึงสามคน ก็พากันซุบซิบเบาๆ


“ศิษย์พี่อิน ที่นี่ไม่เหมาะสมกับการพูดจา ขอเชิญท่านไปพูดคุยกันที่วิหารใหญ่เถิด” เทียนอินซ่างเหรินกวาดสายตามองดูรอบด้าน และกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน


“ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าผู้แซ่อินต้องรบกวนแล้ว” อินจิ่วหลิงหัวเราะๆ และตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ


หลังจากเทียนอินซ่างเหรินพูดคำว่า “เชิญ!” ออกมาแล้ว ก็เหาะนำไปยังวิหารหลักของยอดเขาเลื่อนลอย  อินจิ่วหลิงพยักหน้าให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย เพื่อบ่งบอกว่าให้เขาตามไป จากนั้นตัวเองก็กลายเป็นวายุดำพุ่งตามไป


อวี้อินจื่อก็ก้าวไปกระซิบกับเจียหลานเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นก็หันไปมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และพาเจียหลานเหาะไปยังส่วนบนของยอดเขาลั่วโยว


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับการปรากฏตัวของอินจิ่วหลิง แต่ว่าคำสั่งของอาจารย์ไม่อาจขัดขืนได้ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว เมฆดำก็ก่อตัวขึ้นใต้เท้า และพาเขาพุ่งขึ้นฟ้า


ท่ามกลางฝูงชน ซาทงเทียนมองดูหลิ่วหมิง เจียหลาน และคนอื่นๆ จากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ถึงรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมปล่อยไปตามนั้นแล้ว


เขาถอนหายใจเล็กน้อย หลังจากส่ายหน้าแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งจากไป


และศิษย์ที่ชมการประลองอยู่เห็นว่างานประลองสิ้นสุดแล้ว และผู้ประลองก็หายไปจนหมดเกลี้ยงภายในพริบตา พวกเขาถึงกลายเป็นแสงหลบหลีกสีต่างๆ พุ่งออกไปทั่วทิศ


ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ลานกว้างบนไหล่เขาของยอดเขาเลื่อนลอยที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ก็ดูโหรงเหรงขึ้นมาทันที


ตอนที่ 767 การหมั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางวิหารใหญ่บนยอดเขาเลื่อนลอย


เทียนอินซ่างเหรินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก และอินจิ่วหลิงกับอวี้อินจื่อก็นั่งอยู่ทั้งสองด้าน


ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีที่นั่งให้กับหลิ่วหมิง และเจียหลาน พวกเขาทั้งสองต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังอินจิ่วหลิงกับอวี้อินจื่อ


หลังจากอินจิ่วหลิงนั่งลงแล้ว ก็ส่งเสียงพูดคุยอะไรบางอย่างกับอวี้อินจื่อ และเทียนอินซ่างเหรินอยู่ตลอด แต่สายตากลับสังเกตดูเจียหลานอยู่ไม่หยุด แสงสีแดงเปล่งประกายบนใบหน้าซีกที่อ่อนเยาว์ราวกับทารก ทำให้ใบหน้าอีกซีกที่แห้งเหี่ยวดูเหมือนจะเต่งตึงขึ้นมาไม่น้อย


“ผู้ควบคุมอิน ท่านว่าศิษย์ของข้าคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของอวี้อินจื่อ แต่นางกลับไม่ได้แสดงสีหน้าตำหนิแต่อย่างใด แต่ผ่านไปสักพักถึงถามด้วยรอยยิ้ม


“ฮ่าๆ! ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมหรือว่าคุณสมบัติการฝึกฝน ศิษย์หลานเจียหลานล้วนเลิศล้ำไปหมด ช่างวิเศษเสียจริง!” อินจิ่วหลิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


หลิ่งหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ราวกับว่าจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ลางๆ


แต่เจียหลานกลับก้มหน้าเล็กน้อย ทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของนาง


“เอาล่ะ! หลิ่วหมิง เจียหลาน พวกเจ้าสองคนมายืนด้านหน้าเถอะ!” เทียนอินซ่างเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เจียหลานได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นใบหน้างดงามที่แดงเล็กน้อย จากนั้นถึงรู้ตัวว่าตนเองเสียมารยาท จึงรีบตอบรับแล้วเดินออกมาทันที


หลังจากหลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อยแล้ว ภายใต้การมองของอินจิ่วหลิง เขาก็ค่อยๆ เดินออกมา


“ผ่านเรื่องวุ่นวายในการประลองครั้งนี้มาแล้ว คิดว่าอีกไม่นาน เรื่องของพวกเจ้าทั้งสองก็คงถูกเล่าลือไปทั่วนิกาย เมื่อครู่ผู้ควบคุมอินกับศิษย์น้องอวี้อินจื่อได้แอบหารือกันแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองมีใจให้กันตั้งแต่แรก วันนี้ข้าจะรับผิดชอบต่อหน้าอาจารย์ของพวกเจ้าทั้งสอง ให้พวกเจ้าทั้งสองหมั้นหมายกัน”


เทียนอินซ่างเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย


แม้ว่าหลิ่วหมิงพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรก แต่พอได้ยินคำพูดนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะอึ้งไปทันที


เจียหลานได้ยินก็แก้มแดงมากกว่าเดิม นางก้มหน้าลงเล็กน้อย และไม่พูดอะไรออกมาราวกับว่ายอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย


“เช่นนี้ก็ดี!” อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกพอใจมาก


อวี้อินจื่อมองดูเจียหลานและหลิ่วหมิงตรงหน้าด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงสงบจิตได้อย่างรวดเร็ว พอหันไปเห็นท่าทีเช่นนี้ของเจียหลาน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากคิดใคร่ครวญไปหนึ่งรอบแล้ว ก็แอบหัวเราะอย่างขมขื่น สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


ขณะนั้นเอง สายตาอ่อนโอนของอวี้อินจื่อก็มองไปทางหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมา


“ศิษย์หลานหลิ่วอายุน้อยเช่นนี้ ก็ฝึกฝนบรรลุระดับผลึกขั้นปลายแล้ว คิดว่าการสลายผลึกเกาะผนึกแก่นแท้ คงเป็นเรื่องที่นับวันรอได้แล้ว”


“ศิษย์เพิ่งฝึกฝนถึงขั้นปลาย ยังไม่ได้เข้าสู่ระดับแก่นเสมือน หากคิดจะสลายผลึกเกาะตัวแก่นแท้ล่ะก็ เกรงว่ายังต้องฝึกฝนอย่างหนักสักระยะหนึ่ง” หลิ่วหมิงระงับความฟุ้งซ่านในใจไว้ และตอบกลับไปอย่างนอบน้อม


“ดีมาก! ศิษย์หลานหลิ่วไม่เพียงแต่มีการฝึกฝนอันน่าตกใจเท่านั้น แม้แต่อุปนิสัยก็ดูเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ ดูท่าข้าฝากฝังศิษย์ของข้าคนนี้ไว้กับเจ้า คงไม่ผิดคนอย่างแน่นอน ใช่สิ! งานประตูสวรรค์ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว คาดว่าเจ้าก็คงเตรียมการแล้วไม่น้อย เรื่องงานแต่งของเจ้ากับเจียหลาน จะกำหนดไว้เช่นนี้ก่อน รอหนึ่งในพวกเจ้าทั้งสองบรรลุสู่ระดับแก่นแท้แล้ว ค่อยจัดพิธีคู่รักฝึกฝนให้พวกเจ้าทั้งสองเป็นคู่รักฝึกฝนอย่างเป็นทางการเถอะ” ดูเหมือนว่าอวี้อินจื่อจะพอใจกับคำตอบของหลิ่วหมิงมาก ทันใดนั้นนางจึงเสนอแนะกับอินจิ่วหลิ่งเช่นนี้


“สหายอวี้อินพิจารณาได้รอบคอบมาก จัดการตามนี้เถอะ!” อินจิ่วหลิงตัดสินใจออกมา


และเทียนอินซ่างเหรินก็ไม่มีท่าทีคัดค้านใดๆ เลยแม้แต่น้อย


แต่หลิ่วหมิงกลับรู้สึกหมดคำพูดอยู่ในใจพักหนึ่ง ในสมองของเขารู้สึกสับสนเล็กน้อย


…..


ไม่นาน เรื่องการประลองบนยอดเขาเลื่อนลอยก็แพร่กระจายไปทั่วนิกาย


กระบี่เดียวของหลิ่วหมิงที่ทำลายค่ายกลของเวินเจิง วีรกรรมอันอาจหาญที่ใช้กำปั้นเดียวโจมตีค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยจนแตกกระจาย  ภายใต้การใส่เนื้อใส่ไข่แล้วเล่าลือต่อๆ กันไป มันจึงถูกเล่าออกมาในหลากหลายรูปแบบ โด่งดังไปทั่วทั้งในบรรดาศิษย์สายในและสายนอก


ชื่อเสียงของเขาย่อมโด่งดังขึ้นมามากกว่าเดิม จนเท่าเทียมกับหลิ่วเทียนเฉิงแล้ว


และในวันนั้น หลังจากอินจิ่วหลิงไปจากยอดเขาเลื่อนลอยแล้ว หลิ่วหมิงก็กราบลาอาจารย์กลับไปยังถ้ำที่พัก และทำการฝึกฝนกับอสูรเลี้ยงทั้งสอง ยกระดับพลังขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนงานประตูสวรรค์จะเริ่มขึ้น


ตั้งแต่เขาได้เห็นความร้ายกาจของหลัวเทียนเฉิง เวินเจิง และคนอื่นๆ แล้ว ก็เลิกดูเบาผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันไปเลย


เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า แผ่นดินจงเทียนอันอุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ไพศาล นิกายน้อยใหญ่นับหมื่น ไม่ใช่เขาแค่คนเดียวที่มีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน


แม้ว่าเรื่องการหมั้นจะไม่ใช่เจตนาเดิมของเขา แต่ในเมื่อผู้ควบคุมยอดเขาทั้งสองพูดตกลงกันได้เช่นนี้ ตอนแรกเจียหลานเองก็ใช้เหตุผลนี้ในการปฏิเสธเวินอัน และคนอื่นๆ ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธหรืออธิบายอะไรมากได้


ดีที่ว่างานแต่งต้องรอให้ทั้งสองบรรลุระดับแก่นแท้ก่อน เขาจึงได้แต่รอให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด เพราะหากเขาไม่อาจบรรลุระดับแก่นแท้ได้ ไม่แน่ว่าการดูดซับพลังเวทของฟองอากาศภายในร่างในอีกสองครั้งให้หลัง เขาอาจจะยืนหยัดไม่ไหวก็ได้ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่อาจพูดถึงได้


แน่นอนว่ามูลเหตุสำคัญที่สุดยังเป็นเพราะว่าในส่วนลึกของใจหลิ่วหมิง ยังมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้สำหรับเจียหลานผู้นี้


แต่ว่าหลังจากการต่อสู้กับเวินเจิง เจียหลานก็ไม่เคยมาหา แม้แต่ส่งข่าวสื่อสารกันก็ไม่เคยเลย


เช่นนี้แล้ว ในช่วงเวลานี้หลิ่วหมิงก็สามารถฝึกฝนได้โดยไม่ต้องวอกแวกแล้ว


หนึ่งปีผ่านไป ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่ง เขากำลังสั่งให้อสูรเลี้ยงทั้งสองทำการประลองกันอยู่


“แกว๊กๆ! ทายสิคนไหนถึงเป็นร่างแท้จริงของข้า!


จะเห็นว่ามีเด็กชายชุดเขียวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเก้าคน กำลังกระโดดอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้องด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และพ่นเปลวไฟโลหิตออกมาพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา


หญิงสาวชุดดำกลับแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา มีเสียงฮึดฮัดดังออกจากจมูกโด่งของนาง พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ลมเย็นสีเหลืองอ่อนๆ ก็ม้วนตัวขึ้นมาจากใต้เท้า ขณะเดียวกัน เศษบนพื้นจำนวนมากก็สั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นพายุทรายสีเหลืองขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ ม้วนตัวขึ้นมา ท่ามกลางพายุทราย เศษหินต่างก็เสียดสีกันจนเกิดเสียงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง


“ไป!”


หญิงสาวชุดดำชี้นิ้วไปกลางอากาศเบาๆ พายุทรายส่งเสียงดัง “ฟิ้ว!” และกลายเป็นพายุทรายเก้าลูกพุ่งเข้าใส่เด็กชายชุดเขียว


“เจ้าสบประมาทข้าเกินไปแล้ว!”


เด็กชายชุดเขียวทั้งเก้าคนส่ายหน้า และตอบกลับออกมาพร้อมกัน ขณะเดียวกันดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย ใบหน้าสีขาวมีลายเส้นจิตวิญญาณแปลกประหลาดปรากฏออกมาจำนวนมาก เผยให้เย็นสีหน้าอันดุร้าย พออ้าปากก็พ่นเปลวไฟสกปรกสีเทาออกมาเป็นกลุ่มๆ


เกิดเสียงดังติดต่อกัน พายุทรายแต่ละลูกถูกเปลวไฟสกปรกห่อหุ้มไว้ และค่อยๆ สูญเสียพลังจิตวิญญาณก่อนสลายไป ทันใดนั้น ฝุ่นสีเหลืองสลัวๆ ก็ปกคลุมเต็มห้องลับ เศษหินจำนวนมากพุ่งออกไปทั่วทิศ


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ปีศาจสมุทรแปดขาที่แนบอยู่บริเวณหน้าอกส่งเสียงดัง “ฟี้ๆ!” จากนั้นก็กลายเป็นชุดเกราะสีเงิน มันแผ่ม่านแสงสีเงินจางๆ ออกมาต้านทานเศษหินที่ปกคลุมเต็มฟ้าไว้


เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ฝุ่นทรายสีเหลืองค่อยๆ สลายไป แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของหญิงสาวชุดดำแล้ว


ขณะนั้นเอง มีเงาร่างสีดำเปล่งประกายด้านหลังเด็กชายชุดเขียวคนหนึ่ง และพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน นางก็คือเซียเอ๋อร์ที่กลายร่างเป็นหญิงสาวชุดดำนั่นเอง


จะเห็นว่ามือข้างหนึ่งของนางยื่นออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และคว้าไหล่ของเด็กชายชุดเขียวไว้


เด็กชายชุดเขียวเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และหันมาปล่อยกำปั้นใส่หญิงสาวจากนั้นชุดดำเปลวไฟสีเขียวจางๆ ก็ม้วนตัวออกไป


พอหญิงสาวชุดดำบิดเอว เท้าข้างหนึ่งก็แตะพื้นเบาๆ และพุ่งออกไปสองสามจั้ง จากนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง


เกิดเสียงดังเพล้ง เปลวไฟสีเขียวปะทะกับผนังห้องลับ ทำให้ม่านแสงสีฟ้าบนกำแพง แสงสีฟ้าสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็กลับมามีสภาพปกติ


“เจ้าแพ้แล้ว ข้าหาตำแหน่งร่างจริงของเจ้าได้แล้ว” ใบหน้างดงามของหญิงสาวชุดดำดูโมโหขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม


“จริงหรือ?” เด็กชายชุดเขียวส่งเสียงร้องแกว๊กๆ พร้อมกัน จากนั้นหมอกควันสีเขียวก็ห่อหุ้มเขาไว้


หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที หมอกเขียวแปดกลุ่มก็หายไป และมุมหนึ่งของถ้ำกลับมีเด็กชายชุดเขียวคนหนึ่ง เขากำลังหัวเราะใส่หญิงสาวชุดดำด้วยความพอใจ ตรงคอของเขามีมุกสีเขียวสลัวๆ ห้อยอยู่แปดเม็ด


“นี่…” หญิงสาวชุดดำอึ้งไปทันที พอมองดูเด็กชายชุดเขียวที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องแล้ว นางก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


เขามองดูการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าร่างจริงของหัวบินก็คือร่างที่แมงป่องกระดูกคว้าไว้ได้ในก่อนหน้านั้น แต่กลับกลายเป็นเด็กชายเสื้อเขียวอีกคนที่อยู่อีกมุมของห้อง หรือว่าร่างแบ่งที่หัวบินสร้างขึ้นจะแตกต่างกับเขา!


“พวกเราเอาใหม่อีกรอบ!” หญิงสาวชุดดำกล่าวด้วยความไม่พอใจ


“ก็เอาสิ!” เด็กชายชุดเขียวก็เบะปากกล่าวอย่างไม่ยอมน้อยหน้า


ขณะนั้นเอง ป้ายประจำตัวที่อยู่บนเอวของหลิ่วหมิงกลับสั่นสะท้านเบาๆ และมีน้ำเสียงทุ้มต่ำดังออกมา


“ศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ให้มารวมตัวกันบนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ในอีกสามวันให้หลัง”


หลิ่วหมิงได้ยินก็มีหน้าเย็นสะท้าน


“นายท่าน ใกล้จะต้องไปเข้าร่วมงานประตูสวรรค์แล้วหรือ?” หญิงสาวชุดดำเบิกตากล่าว


“แกว๊กๆ! งานประตูสวรรค์ งานประตูสวรรค์!” เด็กชายชุดเขียวได้ยิน ก็มีสีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


“นับๆ ดูแล้ว ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง เหตุใดถึงเรียกรวมตัวกันไวเช่นนี้ หรือว่าสถานที่สถานที่จัดงานจะอยู่ไกลมาก?”


หลิ่วหมิงพูดพึมพำหนึ่งประโยค พอตบเอว แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็กลายเป็นไอหมอกสีเขียวและสีขาวมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทันที


เขาเก็บกวาดห้องรกอย่างง่ายๆ จากนั้นถึงออกไปจากถ้ำที่พัก และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งไปทางตลาดในนิกาย


ครึ่งวันต่อมา ขณะที่เขากลับมาในถ้ำที่พักอีกครั้ง ภายในแหวนย่อส่วนก็มียันต์ปึกหนาๆ กับโอสถรักบาดแผลจำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา


แม้เขาจะไม่ขาดแคลนอาวุธจิตวิญญาณและโอสถ วิธีการต่างๆ ก็เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย แต่ว่าแดนลึกลับในงานประตูสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ง่ายๆ ยังคงเตรียมพร้อมไว้ก่อนจะดีกว่า


อีกสามวันให้หลัง เขาเพียงแค่นั่งสมาธิอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นคืนในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด


เช้าตรู่วันที่สาม หลังจากหลิ่วหมิงเปิดชั้นจำกัดภายในถ้ำที่พักแล้ว ก็ขี่เมฆดำพุ่งไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ลูกนั้น


ตอนที่ 768 ส่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงมาถึงยอดเขาหลักนั้น บนลานหินสีดำก็มีคนมารวมตัวกันร้อยกว่าคนแล้ว


คนเหล่านี้ส่วนมากจะสวมชุดของศิษย์ยอดเขาต่างๆ และระดับการฝึกฝนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับผลึก ขณะนี้กำลังจับกลุ่มสองสามคนทำการพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่ นอกจากนี้ยังมีไม่กี่คนที่สวมชุดแตกต่างกันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากลิ่นไอเหนือกว่าศิษย์เหล่านี้มาก คงเป็นผู้ควบคุมยอดเขากับผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขา


และหน้าวิหารใหญ่ของยอดเขาหลัก เทียนเกอเจินเหรินที่สวมชุดคลุมสีเหลืองกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเทาที่มีท่าทีเหมือนบัณฑิตเล็กน้อย


ภายใต้การใช้จิตกวาดดูของหลิ่วหมิง ดูเหมือนว่าชายชุดคลุมสีเทาผู้นั้น ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เช่นกัน อีกทั้งพลังก็ล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งรู้ได้ จะต้องไม่ใช่สิ่งที่ระดับดาราพยากรณ์ทั่วไปสามารถเทียบเทียมได้ คงจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายยอดบริสุทธิ์


หลังจากเขามองไปรอบๆ อีกครั้ง ก็ไม่ค้นพบร่องรอยของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวคนอื่นๆ เลย ศิษย์ในสถานที่แห่งนี้ นอกจากหลงเหยียนเฟย และหลัวเทียนเฉิงแล้ว คนอื่นๆ เขาไม่รู้จักเลยสักคน


นึกถึงเขาเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาหลายสิบปี นอกจากเก็บตัวฝึกฝนอย่างยากลำบากแล้ว ก็ออกไปนอกนิกายอยู่บ่อยๆ แม้จะนับว่ามีชื่อเสียงเล็กๆ ในนิกายอยู่บ้าง แต่คนที่เขารู้จักยังคงมีอยู่น้อยมาก


หลังจากหลิ่วหมิงถอนหายใจออกมาแล้ว ก็ร่อนเมฆลงไปยังสถานที่ที่มีคนไม่ค่อยมาก


ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม เทียนเกอเจินเหรินก็ล่องลอยมาถึงแท่นสูงตรงหน้าลานกว้าง หลังจากทำเสียงกระแอมไอเล็กน้อย ก็พูดเสียงดังออกมา


“ศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์มากันครบแล้ว ออกเดินทางได้แล้ว คนอื่นๆ ที่อยากไปเปิดประสบการณ์ ก็สามารถไปด้วยกันได้ คนที่ยังมาไม่ถึงพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องรอแล้ว”


กล่าวจบเขาก็ยกแขนขึ้นมา แสงแวววาวพุ่งออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว รถเหาะยักษ์สีเขียวสลัวๆ ก็ร่วงลงบนพื้นที่ราบเรียบด้านหน้าวิหารอย่างมั่นคง


รถเหาะลำนี้ยาวเกือบหนึ่งร้อยจั้ง สูงห้าหกจั้ง หัวรถเป็นรูปสามเหลี่ยม อักขระสีเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนพื้นผิว อักขระสีเขียวขนาดใหญ่สองตัว ‘ยอดบริสุทธิ์’ แลดูมีพลังน่าตกใจเป็นอย่างมาก


เทียบกับเรือเหาะที่เทียนเกอเจินเหรินปล่อยออกมานี้ ต้นแบบวุธเวทเหินเวหาที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมาทั้งหมด ย่อมไม่มีค่าควรจะกล่าวถึง


เทียนเกอเจินเหรินกับชายชุดเทาเหาะขึ้นไปบนรถเหาะก่อน และศิษย์คนอื่นๆ เกือบหนึ่งร้อยคนเห็นเช่นนี้ ก็พากันขี่อาวุธเวทเหินเวหาของตนเองขึ้นไปบนนั้น


ขณะที่หลิ่วกำลังจะกระโดดขึ้นไปบนรถเหาะนั้น แสงหลบหลีกสีฟ้าก็พุ่งมาจากที่ไกลๆ หลังจากกะพริบไม่กี่ที ก็ร่วงลงตรงหน้าเขา


พอแสงดับลง หญิงสาวรูปร่างอรชร ใบหน้างดงามผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา นางก็คือเจียหลานนั่นเอง


หลังสิ้นสุดการประลอง และทำการหมั้นหมายมาเป็นเวลาหนึ่งปี พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยติดต่อกันเลย วันนี้อยู่ๆ ก็มาเจอกันในสถานที่แห่งนี้ ทำให้หลิ่งหมิงรู้สึกเคอะเขินไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี


แม้ว่าเจียหลานจะเป็นคนมาหาก่อน แต่ก็หน้าแดงไปทั้งแถบ นางก้มหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนไม่ค่อยกล้ามองชายที่อยู่ตรงหน้า


“อ่ะแฮ่ม…ศิษย์น้องเจียหลาน…” หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ หลิ่วหมิงถึงกระแอมไอออกมา และคิดที่จะเอ่ยปากพูดคุยเพื่อทำลายบรรยากาศเคอะเขินนี้


แต่ในขณะนั้นเอง สาวงามตรงหน้ากลับเงยหน้าขึ้นแล้วก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว นางกอดหลิ่วหมิงพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆ และกระซิบเบาๆ ข้างหูหลิ่วหมิง


“พี่หลิ่ว ถนอมตัวด้วย!”


ครั้งนี้ พอหลิ่วหมิงรู้สึกว่าในอ้อมกอดเต็มไปด้วยความหอมอบอุ่น เขาก็หายใจถี่ๆ ทันที ไม่รู้ว่าควรมีท่าทีอย่างไรดี


แต่ผ่านไปไม่นาน นางก็คลายอ้อมกอดออกมา หลังจากยิ้มพรายแล้ว ก็หมุนตัวขี่เมฆล่องลอยจากไป


“หลิ่วหมิง ยังไม่รีบขึ้นมาอีก!”


ขณะที่หลิ่วหมิวยังยืนอึ้งมองดูหญิงสาวที่จากไปนั้น เทียนเกอเจินเหรินกลับส่งเสียงมาเร่งเขา


หลังจากเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ว ก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งขึ้นไปบนรถเหาะยักษ์


แต่แม้ว่าเขาจะเหาะขึ้นไปบนรถเหาะแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองดูแสงหลบหลีกของเจียหลานที่จากไปไกลๆ ทีหนึ่ง ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็ดูซับซ้อนขึ้นมา


พอเทียนเกอเจินเหรินเห็นว่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างขึ้นไปบนรถเหาะกันหมดแล้ว เขาก็พลิกฝ่ามือนำแผ่นค่ายกลสีเงินที่มีขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ ออกมา


เขาใช้นิ้ววาดลงบนนั้นสองสามที จะเห็นว่าแสงสีเขียวเปล่งประกายทั้งสองด้านของรถเหาะ พายุหมุนม้วนตัวออกไปอยู่พักหนึ่ง และยกรถเหาะขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปทางด้านทิศตะวันตก


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทิวทัศน์ทั้งสองด้านดูพร่ามัวไม่ชัดเจน และพุ่งถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นรถเหาะก็ออกห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไป ความเร็วของรถเหาะทำให้ศิษย์ที่อยู่บนนั้นชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง


ขณะนี้เขาถึงสังเกตดูสภาพบนรถเหาะยักษ์ จะเห็นว่าด้านหลังของรถเหาะมีทางเดินบันไดอยู่เส้นหนึ่ง มันพาดลงไปสู่ชั้นล่าง ซึ่งมีศิษย์ทยอยกันเดินลงไป และศิษย์คนอื่นๆ ก็มีบางส่วนชมภาพทิวทัศน์อยู่บนนี้


หลังจากหลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เดินลงบันไดไป


ตอนนี้เขาถึงค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ทั้งสองด้านของทางเดินจะเป็นห้องลับแต่ละห้อง ประตูห้องลับบางห้องมีอักขระสีแดงสะท้อนออกมาว่า ‘เต็ม’ และส่วนมากจะสะท้อนอักขระสีเขียวว่า ‘ว่าง’


เขาเดินไปจนสุดทางเดิน และผลักประตูห้องลับที่ว่างห้องหนึ่ง พริบตาที่เขาปิดประตูลงนั้น แสงสีเขียวบนประตูก็กลายเป็นสีแดงทันที ‘เต็ม’


นี่เป็นห้องที่เรียบง่ายห้องหนึ่ง มีพื้นที่แค่ห้าหกจั้ง นอกจากจะมีเตียงเรียบง่ายวางอยู่หนึ่งเตียงแล้ว ก็ไม่มีของสิ่งอื่นอีก ผนังรอบห้องมีอักขระโบราณสีดำแปลกประหลาดประทับอยู่หลายตัว มันคงจะเป็นชั้นจำกัดปิดกั้นบางอย่าง


เขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงทันที หลังจากนำโอสถแฝงจิตวิญญาณมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็ฝึกฝนอย่างสบายใจ


ในตลอดการเดินทาง นอกจากอาศัยค่ายกลส่งตัวไม่กี่ครั้งที่จำเป็นต้องเก็บรถเหาะแล้ว เขาก็ดูเหมือนจะเก็บตัวอยู่ในห้องลับทำการฝึกฝนอย่างตั้งใจ


 หลังจากเดินทางไปทางทิศตะวันตกราวๆ สามเดือน รถเหาะก็มาปรากฏตัวตรงตีนเขาหิมะขนาดมหึมาที่เป็นสีขาวไปทั้งแถบ


“ลงรถได้แล้ว จุดหมายการเดินทางในครั้งนี้ได้มาถึงแล้ว” วันนี้ เสียงของเทียนเกอเจินเหรินดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง ในขณะที่เขากำลังนั่งเข้าฌานอยู่


เขาเก็บพลังในทันที และเดินออกไปจากห้องลับ


พอหลิ่วหมิงไปจากชั้นล่างของรถเหาะ และเหยียบลงบนดาดฟ้าเรือ ไอเย็นสะท้านเสียดกระดูกก็ปะทะใส่หน้า แม้แต่ผู้ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างเขา ยังคงรู้สึกเย็นยะเยือกจนต้องกระตุ้นพลังดึงกระแสไออุ่นไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่าง


ขณะนี้เขาถึงสังเกตดูสภาพการณ์รอบๆ ด้าน


จะเห็นว่าด้านหลังของเขา เป็นภูเขาหิมะที่ทอดยาวติดต่อกันพันกว่าลี้ นอกจากภาพหิมะสีขาวกับกองก้อนหินยักษ์จำนวนหนึ่งที่ถูกหิมะปกคลุมแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก


พื้นที่ราบเรียบใต้ตีนเขาหิมะ มีกระโจมกางอยู่เป็นจำนวนมาก ดูเหมือนจะล้อมรอบภูเขาหิมะทั้งลูกไว้ ดูท่าคงจะเป็นกลุ่มอิทธิพลของนิกายต่างๆ กับตระกูลใหญ่จำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามาดูความสนุกหรือมาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์กันแน่


และบริเวณที่ไกลออกไป ก็มีหอจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบแตกต่างกันออกไปตั้งตระหง่านอยู่


 สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีความสูงสิบกว่าจั้ง แต่ละหลังมีระยะห่างหลายลี้ บนนั้นมีธง ป้าย และสิ่งของอื่นๆ ของนิกายเทียนกง นิกายปีศาจลี้ลับ ตระกูลโอวหยาง แขวนอยู่ แต่ละอันดูเตะตาเป็นอย่างยิ่ง


สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นที่พักของสี่ยอดนิกายใหญ่ แปดตระกูลใหญ่ และกลุ่มอิทธิพลที่มีชื่อเสียงอื่นๆ


ห่างจากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไปราวๆ สิบกว่าลี้ บนยอดเขาหิมะที่มีไม่ค่อยสูงมากลูกหนึ่ง มีสิ่งก่อสร้างสูงสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งหลัง ภายนอกของมันมีลักษณะคล้ายกับหัววัว แลดูเตะตาเป็นยิ่งนัก


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง พอมองดูอย่างละเอียด ด้านนอกสิ่งก่อสร้างนี้ มีธงสีเขียวขนาดใหญ่กำลังโบกสะบัดตามลม บนธงมีอักขระสีทองขนาดใหญ่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนว่า ‘หุบเขาปีศาจสวรรค์’


“คนของหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็มาด้วย” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ตามศิษย์คนอื่นๆ กระโดดลงจากรถเหาะยักษ์


“ศิษย์พี่เฉียน นอกจากสี่ยอดนิกายใหญ่และแปดตระกูลใหญ่แล้ว กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ มีที่ไปที่มาอย่างไร?” ศิษย์ยอดเขาดับสูญผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง ถามคำถามนี้กับศิษย์อีกคนที่มีมิตรไมตรีดีต่อกัน


“งานประตูสวรรค์เป็นงานใหญ่ที่พันปีมีครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกนิกายในแผ่นดินจงเทียนที่มีสิทธิ์เข้าร่วม แต่ยังมีนิกายและตระกูลเล็กๆ จำนวนหนึ่งมาดูงานนี้ด้วยตาตนเอง” ชายผอมสูงอีกคนตอบกลับไปอย่างราบเรียบ


ขณะที่ผู้คนกำลังทำการกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น ร่างของชายชุดเทาที่ยืนเคียงบ่าเทียนเกอเจินเหริน ก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


ครู่ต่อมา ร่างของชายชุดคลุมสีเทาก็ปรากฏตัวบนพื้นว่างเปล่าบริเวณที่รถเหาะยักษ์ลงจอด ทันทีที่เขายกมือขึ้นมา แสงสีทองเจิดจ้าก็เปล่งประกาย เงาหอหลังเล็กๆ พุ่งยิงออกมา หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นหอขนาดใหญ่ที่สูงสิบกว่าจั้ง มันปกคลุมพื้นที่หลายสิบจั้ง และค่อยๆ ร่วงลงบนพื้นอย่างมั่นคง


 จากนั้นชายชุดเทาก็โบกมือข้างหนึ่ง ก้อนหินยักษ์บนหิมะที่สูงสองจั้งพุ่งยิงออกมา และร่วงลงด้านหน้าหอ


 ชายชุดเทาดีดนิ้วทั้งสิบติดต่อกันอีกครั้ง ปราณกระบี่ไร้รูปแต่ละสายถูกปล่อยออกไป พริบตาเดียวบนก้อนหินยักษ์ก็มีอักขระทรงพลังสลักไว้ว่า ‘นิกายยอดบริสุทธิ์’


หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ชายชุดคลุมสีเทาก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวด้านข้างเทียนเกอเจินเหรินอีกครั้ง


ทุกขั้นตอนการกระทำสำเร็จในคราเดียวราวกับสายน้ำไหล ไม่เพียงแต่ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ มองดูจนอึ้งเล็กน้อยเท่านั้น ยังทำให้ศิษย์ของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่อยู่ในกระโจมบริเวณนั้น พากันมองมาทางนี้ และกระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง


แต่หลังจากศิษย์เหล่านี้เห็นคำว่านิกายยอดบริสุทธิ์บนก้อนหินยักษ์ กลับต้องสูดหายใจเข้าด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน บ้างก็ส่งเสียงพูดเบาลง บ้างก็รีบหมุนตัวกลับไปรายงานผู้อาวุโส


“เวลาหลังจากนี้ ข้ากับผู้อาวุโสเจ้าจะไปเยี่ยมเยียนคนรู้จักจำนวนหนึ่ง หอหลังนี้ให้พวกเจ้าทำการพักผ่อนและฝึกฝน สถานที่แห่งนี้มีงูมังกรปะปนกันสะเปะสะปะ เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่มีคนเจตนาไม่ดี พวกเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก”


เทียนเกอเจินเหรินทำราวกับไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับหันมากำชับผู้คนทั้งหมด จากนั้นก็ทะยานฟ้าไปกับชายชุดเทา และพุ่งไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลายแห่งที่อยู่ใกล้กัน


หลังจากทั้งสองไปไกลแล้ว ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งก็ไม่ได้เดินตรงเข้าไปในหอ แต่กลับจับกลุ่มสองสามคนพุ่งออกไป ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาไปทำอะไรกัน


หลิ่วหมิงก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร เขาเดินเข้าไปในหอ และเลือกห้องที่อยู่ไกลที่สุด เขานำป้ายประจำตัวมาโบกบนประตู พอมันส่งเสียงดัง “แคล่ก!” แล้วเปิดออกมา เขาก็ก้าวเข้าไปด้านใน


ตอนที่ 769 ไปงานแลกเปลี่ยน

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิ่วหมิงยกมือขึ้นมา ธงค่ายกลสีฟ้าสามสี่อันก็พุ่งออกไปปักอยู่บนประตู ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็เปล่งแสงระยิบระยับอยู่พักหนึ่ง มันคือค่ายกลปิดกั้นขนาดเล็กที่เขาวางขึ้นมา


 หลังจากมั่นใจว่าเปิดชั้นจำกัดแล้ว เขาถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็นั่งลงทำการฝึกฝน


สามวันต่อมา


ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายอันลึกซึ้งของเคล็ดวิชาเกราะอสูรอยู่


ขณะนี้ปีศาจสมุทรแปดขาตัวโตเต็มวัยแล้ว คงจะสามารถแปลงร่างได้มากขึ้นกว่าเดิม อีกอย่างคัมภีร์ปีศาจที่ชิงมาจากมือของปีศาจหยินหยางก็มีแค่ครึ่งเล่มเท่านั้น นอกจากการแนะนำเกี่ยวกับเคล็ดเกราะอสูรที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้ว เคล็ดวิชาอีกสองอย่างที่เขียนเกี่ยวกับการควบคุมอสูรนักรบ ก็เขียนแค่ช่วงต้นๆ แล้วก็หยุดชะงักลง ดูจากอานุภาพของเคล็ดเกราะอสูรแล้ว อานุภาพของอีกสองเคล็ดวิชาที่อยู่ด้านหลัง ก็มีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดเกราะอสูรอย่างแน่นอน


หลังจากเขาพลิกดูคัมภีร์ขาดๆ เล่มนี้เสร็จแล้ว ก็เก็บมันเข้าไป พอหลับตาทั้งคู่ลง ก็ใช้จิตกวาดไปยังศิลาหุนเทียนภายในร่าง และคิดที่จะเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาสักรอบ


แต่ขณะนั้นเอง กลับมีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก


“ศิษย์น้องหลิ่วอยู่ด้านในหรือไม่?”


เสียงนี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก ซึ่งก็คือหลงเหยียนเฟยที่มาเยี่ยมเยียนแบบกะทันหันนั่นเอง


หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ยังคงลุกขึ้นไปเก็บธงที่อยู่รอบด้าน และเปิดประตูออกมา


จะเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นหญิงสาวสวมชุดสีขาวที่มีรูปร่างดี นางก็คือหลงเหยียนเฟยนั่นเอง และนางกำลังมองมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม


“อ้อ! ศิษย์พี่หลง เชิญเข้ามาเถอะ! ใช่สิ! ศิษย์พี่รู้ได้อย่างไรว่าข้าพักอยู่ในห้องนี้?” หลิ่วหมิงเบี่ยงตัวหลบให้นางเข้ามา ขณะเดียวกันก็ถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย


“เอ๊ะ! หรือศิษย์น้องหลิ่วไม่ทราบว่านอกห้องมีชั้นจำกัดอยู่ บนนั้นจะบันทึกข้อมูลของผู้ที่พักอยู่ด้านใน แต่ว่ามีแค่คนที่มีป้ายนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะตรวจสอบดูได้” หลงเหยียนเฟยกะพริบตาปริบๆ นางอธิบายไปด้วย และเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตรงหน้าตั่งน้ำชา


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาเข้ามาในห้องนี้แล้วยังไม่ได้ออกไปเลย จึงยังไม่ค่อยเข้าใจความลี้ลับของหอแห่งนี้


“ศิษย์พี่หลงมาในครั้งนี้ คิดว่าคงไม่ได้มาเยี่ยมเยียนธรรมดาใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงนั่งลงไป และลองสอบถามดูเล็กน้อย


จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ไปถึงบนยอดเขาหลักจนมาถึงที่หมายในตอนนี้ นางไม่ได้มาหาเขาเลย แต่ขณะนี้กลับมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่ามีจะต้องมีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน


“ศิษย์น้องหลิ่ว ดูคำพูดของเจ้าสิ คิดๆ ดูเจ้าก็กลับนิกายมาได้สองปีแล้ว ตอนแรกก็ถูกท่านประมุขเลือกให้เป็นศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ต่อมาก็ต่อสู้กับหลัวเทียนเฉิงตรงหน้าวิหารไท่เจินจนเป็นที่เลื่องลือ และยังเอาชนะเวินเจิงในการประลองบนยอดเขาเลื่อนลอยได้ ตอนนี้ยังหมั้นหมายกับศิษย์น้องเจียหลานของข้าด้วย เรื่องราวมากมายเช่นนี้ ข้าเป็นถึงศิษย์พี่ยังไม่ทันได้มาแสดงความยินดีด้วยเลย” หลงเหยียนเฟยกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มหวาน


“ศิษย์พี่หลง ช่วงที่ข้าออกไปนอกนิกาย ก็แค่บังเอิญพบเจอกับความโชคดีนิดหน่อย เรื่องที่เอาชนะเวินเจิงได้ก็เป็นเรื่องบังเอิญโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงส่ายหน้ากล่าว


“ศิษย์น้องหลิ่วถ่อมตัวเกินไปแล้ว ครั้งนี้สามารถเป็นตัวแทนเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ได้ ก็หมายความว่าท่านประมุขค่อนข้างให้ความสำคัญกับเจ้ามาก” หลงเหยียนเฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“เหตุใดศิษย์พี่หลงถึงยังพูดคำพูดที่ดูถ่อมตนเช่นนี้ ท่านก็ได้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น


“อิๆ! เอาล่ะ ศิษย์พี่จะไม่พูดคำพูดเหล่านี้อีกแล้ว ศิษย์น้องหลิ่ว ความจริงแล้วที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็เพราะอยากเชิญเจ้าเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัว ท่านประมุขแจ้งว่าทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่าได้เคลื่อนไหวเพียงลำพัง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่ต้องการ และงานแลกเปลี่ยนนี้ ก็มีงูมังกรปะปนเต็มไปหมด ข้าเลยคิดถึงศิษย์น้องขึ้นมา” หลงเหยียนเฟยหุบรอยยิ้มลง และกล่าวอย่างระมัดระวัง


“งานแลกเปลี่ยน? ก่อนงานประตูสวรรค์จะเริ่มขึ้น ข้าเตรียมทำความเข้าใจเคล็ดวิชาหนึ่ง จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ ศิษย์พี่ลองไปหาคนอื่นดูเถิด!” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล


สถานที่แห่งนี้มีนิกายใหญ่ต่างๆ มารวมตัวกัน เกรงว่าคงจะมีสถานการณ์มากมายในงานแลกเปลี่ยนนี้ เขาเองก็ไม่มีสิ่งของมากมายที่จะไปแลก และไม่ยากเสียเวลาไปกับเรื่องเหล่านี้


“ศิษย์น้องหลิ่วอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธเร็วเกินไป ฟังข้าอธิบายให้เสร็จก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย เกรงว่างานแลกเปลี่ยนนี้ ศิษย์สี่ยอดนิกายใหญ่และแปดตระกูลใหญ่ต่างก็เข้าร่วมด้วย แม้แต่คนหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็ไปด้วย ได้ยินมาว่าอาจจะมีวัสดุปีศาจอสูรหายากของหุบเขาปีศาจสวรรค์ที่ไม่นำออกมาง่ายๆ ปรากฏด้วย ศิษย์น้องหลิ่วไม่ไปล่ะก็ อาจจะเสียใจในภายหลังได้นะ” หลงเหยียนเฟยเกลี้ยกล่อมอย่างไม่รีบร้อน


“วัสดุปีศาจอสูร!”


พอหลิ่วหมิงได้ยินว่ามีคนหุบเขาปีศาจสวรรค์เข้าร่วมด้วย ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


หุบเขาปีศาจสวรรค์ไม่เพียงแต่เป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่อันดับหนึ่งของเผ่าปีศาจในแผ่นดินจงเทียนเท่านั้น ในหุบเขาก็เลี้ยงปีศาจอสูรที่พบเจอได้ยากในโลกภายนอกด้วย วัสดุปีศาจอสูรชนิดต่างๆ ที่สะสมอยู่ก็น่าตกใจเป็นยิ่งนัก


หากงานแลกเปลี่ยนมีคนของหุบเขาปีศาจเข้าร่วมด้วย ไม่แน่อาจจะมีวัสดุปีศาจอสูรว่างเปล่าปรากฏออกมาจริงๆ ก็ได้


แม้ว่าเขาจะมีนัดหมายกับผู้อาวุโสอวี้เถียนแล้ว แต่ว่ามีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากเกินไป หากได้วัสดุอสูรว่างเปล่ามาอย่างง่ายดาย ย่อมเป็นเรื่องดีที่หาอย่างไรก็หาไม่ได้แล้ว


หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเสร็จแล้ว ก็กระแอมไอเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


“อ๋อ? มีศิษย์นิกายต่างๆ เข้าร่วมมากมายเช่นนี้ ดูท่างานแลกเปลี่ยนนี้คงจะไม่ใช่งานเล็กๆ แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนศิษย์พี่หลงสักครา ดูสิว่าในงานแลกเปลี่ยนนี้จะมีของล้ำค่าอะไรบ้าง?”


“ดีมาก! มีศิษย์น้องหลิ่วไปเป็นเพื่อน ศิษย์พี่ก็รู้สึกวางใจมากแล้ว หากศิษย์น้องหลิ่วอยากจะแลกสิ่งของที่ไช้ประโยชน์อันใด จำไว้ว่าต้องเตรียมของล้ำค่าจำนวนหนึ่ง ได้ยินมาว่าในงานแลกเปลี่ยนนี้ มีคนรับหินจิตวิญญาณน้อยมาก” หลงเหยียนเฟยเห็นหลิ่วหมิงเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันเช่นนี้ ก็ยิ้มและกล่าวเตือนไปหนึ่งประโยค


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน ไม่ทราบว่างานแลกเปลี่ยนนี้จัดขึ้นเมื่อใด ข้าจะได้เตรียมการล่วงหน้าเล็กน้อย” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วถามออกไปหนึ่งประโยค


“งานแลกเปลี่ยนกำหนดไว้บ่ายวันพรุ่งนี้ พอถึงเวลานั้นข้าจะมาหาศิษย์น้องให้ไปพร้อมกัน พวกเราเจอกันทางด้านตะวันออกของหอในตอนเที่ยงเถอะ จำไว้ให้ดี จะต้องปิดบังใบหน้าที่แท้จริงไว้ ทางที่ดีจะอย่าให้คนอื่นจำได้ ในเมื่อเรื่องนี้ได้คุยกันเสร็จแล้ว ข้าก็จะไม่รบกวนเวลาฝึกฝนของศิษย์น้องอีก” ขณะที่หลงเหยียนเฟยพูดไปด้วย นางก็ลุกขึ้นมากล่าวคำอำลา


หลิ่วหมิงเดินมาส่งนางเสร็จแล้ว ก็ปิดประตูลง จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องอีกครั้ง และอาศัยพลังของหนอนพลังจิตเข้าไปฝึกฝนในแดนมายา


ตอนเที่ยงวันที่สอง ทางด้านตะวันออกของหอใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ตรงตีนเขาหิมะ หญิงสาวที่สวมชุดสีขาวผู้หนึ่งร่อนลงมากลางกองหินระเกะระกะ


ขณะนี้หลิ่วหมิงมารออยู่ที่นี่นานแล้ว และใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูก ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มชุดเขียว ใบหน้าอัปลักษณ์ รูปร่างอ้วนเตี้ยผู้หนึ่งที่สูงแค่ห้าฉื่อกว่าๆ เท่านั้น ซึ่งหลงเหยียนเฟยก็รู้สึกตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง


“เจ้าคือ…ศิษย์น้องหลิ่ว?” หลงเหยียนเฟยเผยสีหน้าสงสัยออกมา และถามอย่างไม่แน่ใจ


“ศิษย์พี่หลง เป็นข้าเอง” ชายอ้วนเตี้ยเงยหน้าขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องหลิ่วยังเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉมด้วย จนเกือบจะหลอกข้าได้แล้ว แต่ว่าสภาพนี้น่ะหรือ จุ๊ๆ!” หลงเหยียนเฟยรู้สึกทั้งโมโหและตลกในเวลาเดียวกัน นางจึงพูดติดตลกเล็กน้อย


“ศิษย์พี่เองก็แปลงโฉมเป็นหญิงสาวที่ไม่งดงามมิใช่หรือ อีกอย่างไฝแดงบนใบหน้าของท่านเม็ดนี้…” ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยตอบด้วยรอยยิ้ม


“ทำให้ศิษย์น้องรู้สึกขบขันแล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว วิชาแปลงโฉมของศิษย์น้องเหนือกว่าข้าอย่างเห็นได้ชัด เอาล่ะ! การปลอมตัวเช่นนี้คิดว่าคงไม่มีใครจำพวกเราทั้งสองได้ พวกเราไปกันเถอะ งานแลกเปลี่ยนอยู่ห่างจากที่นี่สักระยะหนึ่ง” หลงเหยียนเฟยส่ายหน้ากล่าว จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีฟ้าพุ่งขึ้นไป


หลิ่วหมิงใช้จิตรับรู้กวาดดูภายในแหวนย่อส่วนอีกครั้ง จากนั้นก็ทำท่ามือขี่เมฆดำตามติดแสงสีฟ้าไป


ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าลี้ สถานที่แห่งนี้เหมือนกับสถานที่อื่นๆ ที่มีหิมะสีขาวปกคลุม ดูเหมือนว่าจะมีคนมาถึงน้อยมาก


หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปสำรวจดูรอบด้านทันที เขาค้นพบว่าห่างจากหุบเขาไปไม่ไกล มีร่องรอยของคลื่นพลังจิตวิญญาณสั่นสะเทือนเบาๆ ตรงบริเวณก้อนหินน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ขณะที่จิตรับรู้กวาดผ่านไปนั้น เขารู้สึกแค่ความว่างเปล่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่อาจจับตำแหน่งของหินน้ำแข็งได้อย่างแม่นยำ


ขณะนี้ หลงเหยียนเฟยที่อยู่ด้านข้าง ได้โบกมือปล่อยพลังออกไป แสงสีเขียวกะพริบไปยังหินน้ำแข็งสีขาว


จะเห็นแค่แรงกระเพื่อมกลางอากาศ “ฟู่!” แสงแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้าบริเวณที่หินน้ำแข็งอยู่ จากนั้นประตูหิมะสีขาวแวววาวก็ก่อตัวขึ้นมา ชายหนุ่มชุดขาวที่หน้าตาหล่อเหลากำลังยืนอยู่นอกประตู และมองดูทั้งสองด้วยรอยยิ้ม


“ทั้งสองก็เป็นสหายที่มาเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนสินะ เชิญตามข้ามา” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็ก็ร่อนลงมาจากอากาศพร้อมกัน และตามชายหนุ่มชุดขาวเข้าไปในประตูถ้ำอย่างไม่รีบร้อน


ขณะนี้หลงเหยียนเฟยถึงส่งเสียงมาอธิบายกับหลิ่วหมิง “งานแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ คนของวังสวรรค์ในตำนานเป็นคนจัดขึ้น ชายชุดขาวผู้นี้คงจะเป็นศิษย์ของวังสวรรค์”


หลังจากเข้าไปในถ้ำแล้ว ก็เป็นอุโมงค์สายหนึ่ง ทุกๆ ระยะห่างช่วงหนึ่งจะมีหินแสงจันทราขนาดเท่ากำปั้นเลี่ยมฝังอยู่ ทำให้อุโมงค์ดูสว่างขึ้นมา


และอุโมงค์ทั้งสายก็ยาวราวๆ หนึ่งร้อยกว่าจั้ง ตรงปลายสุดของอุโมงค์เป็นค่ายกลส่งตัวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ มันกำลังเปล่งแสงแวววาวอยู่


“ท่านทั้งสอง ค่ายกลส่งตัวนี้จะนำไปสู่สถานที่จัดการหลัก” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


หลิ่วหมิงทั้งสองก็เดินเข้าไปในค่ายกลโดยไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากแสงสีขาวลำหนึ่งม้วนตัวผ่านไป ทั้งสองก็หายไปจากที่เดิมทันที


เมื่อเขามองเห็นสภาพทุกอย่างชัดเจนอีกครั้งนั้น ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวกลางห้องโถงที่กว้างสิบกว่าหมู่ และรอบด้านก็เป็นผู้คนที่แต่งตัวรูปแบบต่างๆ


ส่วนมากจะใช้เสื้อผ้าปิดบังใบหน้าไว้ บ้างก็สวมหมวกคลุม มีไม่กี่คนที่ไม่ปิดบังใบหน้าเหมือนกับหลิ่วหมิง รูปร่างแปลกประหลาดเช่นนี้ ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมแค่มอง ก็รู้ว่าใช้วิชาแปลงโฉมมา


หลิ่วหมิงมองดูรอบๆ ก็ค้นพบว่าหลงเหยียนเฟยหายไปแล้ว ดูจากสถานการณ์ นางคงถูกส่งไปยังมุมอื่นๆ ของห้องโถง”


“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินไปยังสถานที่ที่มีผู้คนขวักไขว่


พอเดินออกไปไม่กี่จั้ง เขาก็ได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนดังออกมาจากฝูงชนที่เบียดเสียดกันอยู่


“ในมือข้ามีแก่นหยกระดับสูงอยู่หนึ่งชิ้น ซึ่งได้มาโดยบังเอิญ ประโยชน์ของวัตถุนี้ คิดว่าไม่ต้องบอกทุกคนก็ย่อมรู้ดี ของสิ่งนี้จะแลกอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ขาย ไม่ทราบว่าสหายท่านใดมีสิ่งของระดับเดียวกันมาแลกบ้าง?”


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็เคลื่อนไหวเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนเพื่อดูของสิ่งนั้น


ตอนที่ 770 พบกับเซียนหงส์ดำอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

อย่างที่รู้ว่า แก่นหยกนับเป็นหนึ่งในวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งของที่มีมูลค่าแต่หาไม่ได้ในตลาด!


หลิ่วหมิงเคยอ่านเจอในคัมภีร์สมบัติฟ้าดินสมัยบรรพกาล ในนั้นบอกว่าหากของสิ่งนี้ผสมเข้าไปในอาวุธเวทอาวุธจิตวิญญาณ ใดๆ ก็ตาม ไม่เพียงแต่จะทำให้อาวุธเวทอาวุธจิตวิญญาณแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งยังเกือบจะไม่สามารถทำลายได้ หากสร้างเป็นอาวุธจิตวิญญาณบางอย่างโดยเฉพาะล่ะก็ จะมีโอกาสในการปรับแต่งเป็นต้นแบบอาวุธเวทไม่น้อย และแก่นหยกระดับสูงยิ่งมีความพิเศษมากขึ้น มันสามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณฟ้าดินมาเก็บไว้ และค่อยๆ บ่มเพาะอย่างช้าๆ และยังเป็นวัสดุชั้นยอดในการสร้างเตาหลอมโอสถด้วย


และคนที่ถือแก่นหยกชิ้นนี้อยู่นั้น ก็มีรูปร่างพอๆ กับหลิ่วหมิงในตอนนี้ ซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาแปลกประหลาดเช่นกัน


ทันใดนั้น เกิดเสียงกระซิบกระซาบกันท่ามกลางฝูงชนที่มุงดูอยู่ คนส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งของที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการ จึงพากันส่ายหน้าไปมา ไม่นานก็มีคนหมุนตัวเดินจากไป


และมีคนส่วนหนึ่งขยับปากเบาๆ ดูเหมือนกำลังส่งเสียงสนทนากับชายรูปร่างอ้วนเตี้ยอยู่


ในมือหลิ่วหมิงนอกจากจะมีโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาสองเม็ดกับระดับธรรมดาจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดที่มีมูลค่าพอสามารถแลกได้อีก และเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ยอมแลกของสิ่งนี้กับหินจิตวิญญาณ


แต่แม้จะบอกของสิ่งนี้ประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับเขาในตอนนี้ มันไม่ใช่ของที่ขาดแคลนแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มบางๆ แล้วออกไปจากฝูงชนกลุ่มนี้


ขณะนั้นเอง ชายอ้วนเตี้ยก็หัวเราะฮ่าๆ และประกาศด้วยความดีใจ


“ข้าได้ตัดสินใจทำการแลกเปลี่ยนกับสหายผู้นี้แล้ว ต้องขอโทษคนอื่นๆ ที่อยากจะแลกด้วย”


พอพูดจบ ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยผู้นี้กับชายหนุ่มชุดเทาอีกคนก็เดินออกจากฝูงชน และเดินไปยังห้องหินขนาดเล็กสูงสองสามจั้งที่อยู่ด้านข้างห้องโถง


“ที่นั่นคงเป็นห้องลับของงานแลกเปลี่ยนแล้ว” หลิ่วหมิงมองดูอย่างไม่ใส่ใจทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปยังฝูงชนที่คึกคักต่อ เป้าหมายครั้งนี้ของเขาคือวัสดุปีศาจอสูรว่างเปล่า ตอนนี้จำเป็นต้องหาคนของหุบเขาปีศาจสวรรค์ก่อนถึงจะได้


“เซียนหงส์ดำ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วย”


ขณะนั้นเอง ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา


“เซียนหงส์ดำ?”


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขารีบเดินไปยังมุมหนึ่งที่เป็นที่มาของเสียง จะเห็นว่าทางด้านนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อมเป็นวงกลมอยู่


และใจกลางฝูงชนเหล่านั้น ชายหนุ่มที่สวมชุดค่อนข้างเรียบง่ายกำลังยืนคุมเชิงกับชายหญิงที่สวมชุดสีดำอยู่


ชายชุดดำผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลา ลักษณะท่าทางดูเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้วิชาแปลงโฉมแต่อย่างใด และหญิงชุดดำที่อยู่ข้างเขา ก็มีผ้าสีดำบางๆ ปิดอยู่ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หลิ่วหมิงมองดูเล็กน้อย ก็มั่นใจว่านางคือเซียนหงส์ดำอย่างไม่ต้องสงสัย


เขาเคยแลกมือกับนางมาก่อน จึงคุ้นเคยกับกลิ่นไอแปลกประหลาดที่แผ่ออกจากร่างของนางมาก คิดไม่ถึงว่านางจะเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วย


อีกทั้งยังไม่ได้เจอกันเป็นเวลายี่สิบกว่าปี การฝึกฝนของนางไม่เพียงแค่บรรลุระดับผลึก แต่ยังบรรลุถึงระดับผลึกขั้นกลางด้วย


และชายหนุ่มที่แต่งตัวเรียบง่ายผู้นั้น ทำให้หลิ่วหมิงอดนึกถึงเผิงเยวี่ยจากนิกายเทียนกงไม่ได้ แม้เขาจะไม่รู้จักคนตรงหน้า แต่ดูจากรูปแบบของเสื้อผ้าแล้ว น่าจะเป็นศิษย์ของนิกายเทียนกง


“ท่านจำคนผิดแล้ว ข้าเป็นพี่ของนาง น้องสาวข้าไม่ใช่เซียนหงส์ดำอะไรนั่น พวกเราเป็นคนของตระกูลมู่หรง หากสหายยังพูดจาปากไม่มีหูรูดเช่นนี้ อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน อีกอย่างวารีเซียนสวรรค์นี้ข้าจะต้องได้มาให้ได้ สหายถอนตัวไปเสียดีกว่า” ชายชุดดำที่หน้าตาหล่อเหลาก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว และเอ่ยปากออกมาทันที


“ตระกูลมู่หรง?”


ฝูงชนที่รายล้อมอยู่เกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที ในงานแลกเปลี่ยนนี้ คนส่วนใหญ่จะพยายามปกปิดตัวตนที่แท้จริง และคนผู้นี้กลับคุยโวตระกูลตนเองถึงเพียงนี้ และมีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ คิดว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนจะต้องไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ประการใด


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


ตอนที่เซียนหงส์ดำยังไม่ได้เข้าสู่ระดับผลึกในปีนั้น นางเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่ออันดับสองในหอความเป็นความตายของนิกายยอดบริสุทธิ์ วันนี้ได้ยินว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนของตระกูลมู่หรงที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในแปดตระกูลใหญ่ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


และวารีเซียนสวรรค์ที่คนผู้นั้นกล่าวถึง ยิ่งทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา และให้ความสำคัญกับงานแลกเปลี่ยนในครั้งนี้มากขึ้นกว่าเดิม


สิ่งนี้เป็นสิ่งของจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อยกว่าแก่นหยกชิ้นนั้น เขาเคยมีโอกาสได้เห็นของสิ่งนี้ในงานประมูลใหญ่ครั้งหนึ่งของตลาดเหมียวจง


ตอนนั้นผู้ที่ประกาศประมูลบอกว่า ของสิ่งนี้มีผลในการช่วยทะลวงระดับแก่นแท้ และเกาะตัวแก่นแท้ ทำให้ผู้ที่มีคุณสมบัติไม่ดีจำนวนหนึ่งที่อยากจะอาศัยพลังภายนอกมาช่วยในการเกาะตัวของแก่นแท้ ทำการเสาะแสวงหาแต่ก็หามาไม่ได้ ถือได้ว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง


ตอนนั้นผู้ฝึกฝนคนหนึ่งใช้วัสดุจำนวนมากกับสิบล้านหินจิตวิญญาณถึงประมูลมาได้


“ฮึ! ที่แท้เซียนหงส์ดำที่มีชื่อเสียงก็เป็นคนของตระกูลมู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างมันเถอะ แต่ว่าวารีเซียนสวรรค์นี้ข้าได้หารือแลกเปลี่ยนกับสหายผู้นั้นแล้ว จะไม่ยอมถอยอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มที่สวมชุดเรียบง่ายฟังจบ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“เฮ่อๆ! งั้นหรือ! สหายผู้นี้ ท่านได้หารือแลกเปลี่ยนกับคนอื่นแล้ว และไม่มอบให้ข้าแล้วหรือ?” ชายชุดดำได้ยินกลับหัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปมองอีกด้านพร้อมกับปล่อยกลิ่นไอแข็งแกร่งอันน่ากลัวอย่างถึงขีดสุดออกมา


หลิ่วหมิงเพิ่งค้นพบว่า บริเวณที่ทั้งสามอยู่ยังมีชายวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาที่สวมชุดคลุมสีขาวอยู่หนึ่งคน แม้ว่าจะมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ชายชุดดำปล่อยออกมา กลับต้องร่นถอยออกไปสองก้าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พริบตาเดียวสีหน้าของเขาก็ซีดขาวไร้ซึ่งโลหิต


“ข้า…ข้า…” เมื่อชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวเผชิญหน้ากับคำถามที่คุกคามของชายหนุ่มชุดดำ ก็ต้องอ้ำๆ อึ้งๆ ไปชั่วขณะหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


“เพียงแค่ยังไม่ได้เข้าไปในห้องแลกเปลี่ยน ก็ไม่นับว่าการค้าในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าย่อมมีสิทธิ์ในการทำการแลกเปลี่ยนวารีเซียนสวรรค์” ชายชุดดำหันมากล่าวกับชายหนุ่มชุดราบเรียบด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น


“ท่านกล่าวเช่นนี้ หรือว่าต้องการจะเถียงเอาดื้อๆ?” ชายหนุ่มชุดราบเรียบกล่าวด้วยความโมโห


“เถียงเอาดื้อๆ? หากเจ้าคิดเช่นนี้ล่ะก็ ก็ไม่เป็นไร!” ชายชุดดำได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะเป็นการใหญ่ ดูเหมือนเขาจะยกมือขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เสียงหมาป่าหอนดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง ขณะเดียวกัน เงากรงเล็บยักษ์สีดำสลัวๆ ข้างหนึ่งที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง ก็เปล่งประกายออกมา และคว้าไปด้านหน้า


ชายหนุ่มชุดราบเรียบเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจในทันที มือข้างหนึ่งกำหมัดอย่างไม่ลังเล ร่างกายขยายใหญ่มา เส้นเอ็นพันรอบแขน หลังจากขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าแล้ว ก็ชกไปด้านหน้าอย่างรุนแรง


เกิดเสียงดังก้อง กลุ่มหมัดสีเหลืองที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าเงากรงเล็บโจมตีออกไป บริเวณที่มันพุ่งผ่านมีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นมา อานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง


ฝูงชนที่มุงดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็พากันหลบถอยไปสามฉื่อ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แอบถอนหายใจออกมา เดิมทีคิดว่าคนของนิกายเทียนกง เชี่ยวชาญในเรื่องวิชาหุ่น คิดไม่ถึงว่าในนิกายก็มีร่างฝึกที่แข็งแกร่งเหมือนกัน


ส่วนวิธีการที่ชายชุดดำผู้นั้นใช้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเคล็ดวิชาที่อาศัยพลังของปีศาจหมาป่าบางอย่าง แต่ก่อนที่เซียนหงส์ดำต่อสู้กับเขา ก็เคยใช้วิธีการที่คล้ายคลึงเช่นกัน


เพียงแต่ว่าพริบตาที่ชายชุดดำผู้นี้แสดงออกมา ดูเหนือกว่าที่เซียนหงส์ดำแสดงออกมาในตอนนั้นมาก


“โครม!”


เงากรงเล็บสีดำกับเงาหมัดสีเหลืองปะทะเข้าด้วยกัน คลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งถูกส่งออกมา ลำแสงสีเหลืองกับสีดำพุ่งขึ้นฟ้า ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงสั่นสะเทือนเบาๆ


แต่ดูเหมือนว่าผ่านไปพริบตาเดียว เงาหมัดสีเหลืองก็ถูกเงากรงเล็บสีดำขยี้จนแตกกระจายกลายเป็นจุดแสงสีเหลืองจมหายไปในอากาศ และเงากรงเล็บสีดำก็คว้าเข้าใส่ชายหนุ่มชุดราบเรียบโดยที่พลังของมันไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย และในระหว่างนั้น นิ้วทั้งห้าก็กางออกกลายเป็นกรงเล็บแสงห้าแฉก


ชายหนุ่มชุดราบเรียบเอาแขนทั้งสองมาตั้งไขว้ไว้ตรงหน้าด้วยความตกใจ


“ปัง!” “ปัง!” เสียงเสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน


ภายใต้สถานการณ์ที่แสงสีเหลืองหมุนวนบนแขนทั้งสองของชายหนุ่มชุดราบเรียบ ทำให้สามารถรับมือกับกรงเล็บแสงทั้งสามได้โดยที่ไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายอีกสองลำยังคงโจมตีเกราะคุ้มกันสีเหลืองบนตัวเขาจนแตกกระจาย และโจมลงบนแขนทั้งสองโดยตรง


ภายใต้การสะท้อนกลับของพลังมหาศาล ทำให้ชายหนุ่มกระเด็นออกไปไกลสิบกว่าจั้ง และกระแทกใส่ผนังหินด้านหนึ่งจนเกิดเป็นหลุมลึก และหล่นลงบนพื้น จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา


ขณะเดียวกัน แสงแววาวสีเขียวจางๆ ก็เปล่งประกายบนผนังหิน และหลุมลึกก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ


หากไม่ใช่ว่าคนผู้นี้มีกายเนื้อที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และบนผนังหินถูกคนวางชั้นจำกัดไว้ ซึ่งช่วยต้านทานความเสียหายบางอย่างในช่วงเวลาสำคัญล่ะก็ เกรงว่าหลังจากการปะทะ เขาคงไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก


ชายชุดดำยังคงไม่ยอมรามือแค่นี้ ใบหน้าของเขาฉายแววสังหารออกมา ร่างกายพร่ามัวมาปรากฏอยู่ห่างจากชายหนุ่มชุดราบเรียบหลายจั้ง พอยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา กรงเล็บยักษ์สีดำข้างหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป


ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ชายหนุ่มชุดราบเรียบสะบัดแขนเสื้อนำยันต์สีทองสลัวๆ ออกมาผืนหนึ่ง และขยี้จนแตกกระจายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ม่านแสงที่มีแสงสีทองไหลวน มาปรากฏอยู่ห่างจากด้านหน้าไปหนึ่งจั้งกว่าๆ


“ท่านพี่ระวัง เป็นยันต์ย้อนกลับ” เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และรีบเอ่ยปากเตือนไปหนึ่งประโยค


พอเงากรงเล็บสีดำสัมผัสกับม่านแสงสีทอง มันก็หายไปราวกับดินเหนียวที่จมลงทะเล ครู่ต่อมา กรงเล็บยักษ์สีดำข้างหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิด ก็ปรากฏตัวในม่านแสงสีทองอย่างน่าประหลาดใจ และพุ่งเข้าใส่ชายชุดดำ


ขณะเดียวกัน ม่านแสงสีทองก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนสลายไป


ชายหนุ่มชุดราบเรียบเห็นเช่นนี้ ก็ถือโอกาสลุกขึ้นมา และนำยันต์สีเหลืองผืนหนึ่งมาแปะไว้บนตัว จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองพุ่งไปยังมุมห้องโถง และพุ่งไปทางค่ายกลส่งตัว


ชายชุดดำทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง ไอดำบนตัวพวยพุ่งขึ้นมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวหลบไปอย่างง่ายดาย ปล่อยให้เงากรงเล็บยักษ์พุ่งเข้าใส่ฝูงชนที่อยู่ด้านหลัง


ฝูงชนเห็นเช่นนี้ก็พากันหลบด้วยความตกใจ ทันใดนั้นก็เผยให้เห็นหญิงชุดม่วงผู้หนึ่งกับหญิงชุดเขียวที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันเล็กน้อย


ทั้งสองมีสีหน้าสงบเป็นอย่างมาก ไม่คิดที่จะหลบหลีกแต่อย่างใด ทันใดนั้น พวกนางต่างก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเบาๆ แสงสีเขียวกับสีม่วงม้วนตัวออกมาพร้อมกัน และม้วนตัวไปหาเงากรงเล็บยักษ์สีดำราวกับคลื่นที่ซัดสาด


พอเงากรงเล็บยักษ์สัมผัสกับแสงทั้งสองลำ ก็ถูกอานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ม้วนตัวเข้าไป หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่ๆ!” มันก็กลายเป็นไอดำหายไปในนั้น


ตอนที่ 771 จำผิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เอ๋? ทั้งสองท่านคงเป็นสหายจากตระกูลโอวหยางสินะ! ได้ยินมานานแล้วว่าตระกูลโอวหยางมีวิชาลับสำหรับใช้ประสานกันวิชาหนึ่ง พลังไร้ขีดจำกัด วันนี้ได้เห็นแล้วสมคำร่ำลือจริงๆ” บุรุษชุดดำเห็นฉากนี้แรกสุดแค่นเสียงหยัน จากนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเผยรอยยิ้มประสานมือเอ่ยกับสตรีทั้งสองในทันใด


หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาสังเกตว่าสตรีชุดม่วงคนนั้นคล้ายกับโอวหยางเชี่ยนที่พบในวังมายานภาหยกเมื่อตอนนั้นอยู่บ้าง ตอนนี้ได้ยินคำพูดของบุรุษชุดดำอีก คิดว่าในสิบมีแปดเก้าส่วนไม่ผิดแล้ว


“คุณชายมู่หรง ที่นี่คืองานแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ตระกูลมู่หรงของท่าน เมื่อครู่สหายผู้นั้นถูกท่านทำร้ายเจ็บหนัก วารีเซียนสวรรค์นี้คิดว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าแย่งชิงกับท่านอีกแล้ว ไยต้องบีบคั้นบังคับคน จะต้องเอาชีวิตเขาให้ได้จนถึงขั้นเกือบทำร้ายคนบริสุทธิ์เลยหรือ” สตรีชุดม่วงไม่ได้ตอบรับเรื่องฐานะของตน กลับแค่นเสียงเหอะแล้วเอ่ยเช่นนี้


“เซียนโอวหยางพูดถูกต้องที่สุด เมื่อครู่ข้าลงมือบุ่มบ่ามอยู่บ้างจริงๆ สหายท่านนี้ ตอนนี้มอบของชิ้นนี้ออกมาตามเงื่อนไขที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม?” บุรุษชุดดำหัวเราะ จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปยังชายวัยกลางคนชุดขาวที่สีหน้ายังคงซีดเผือดอยู่ผู้นั้นอีกหน


“ถ้าเช่นนั้น…ถ้าเช่นนั้นก็แลกตามที่สหายบอกก่อนหน้านี้” หลังได้เห็นพลังของบุรุษชุดดำแล้ว ชายวัยกลางคนชุดขาวไหนเลยยังกล้าพูดอีก เขาเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย


“ตรงดี ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงเช่นนี้ เซียนทั้งสองขอตัวตรงนี้ หวังว่าในงานประตูสวรรค์ยังจะได้รับการสั่งสอนจากท่านทั้งสองอีก” บุรุษชุดดำหาวทีหนึ่งจากนั้นก็พาเซียนเฮยเฟิงรวมถึงชายวัยกลางคนชุดขาวผู้นั้นเดินไปทางห้องศิลาขนาดเล็กใกล้ๆ ห้องหนึ่ง


เวลานี้ชายหนุ่มธรรมดาผู้นั้นเคลื่อนย้ายจากไปพร้อมกับแสงวูบหนึ่งตรงค่ายกลนานแล้ว คนอื่นที่ล้อมมุงดูอยู่ใกล้ๆ เห็นความขัดแย้งจบลงแล้วก็แยกย้ายกันไปทันที


ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นคนของวังสวรรค์ออกหน้าเลย


หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์นี้ ตอนนี้ถึงเข้าใจอยู่บ้างว่าทำไมหลงเหยียนเฟยจะต้องลากตนมาที่นี่ให้ได้ ที่นี่แตกต่างจากงานแลกเปลี่ยนธรรมดาและโกลาหลเกินไปอยู่บ้างจริงๆ เกรงว่าเรื่องบังคับซื้อบังคับขายคงเกิดขึ้นไม่น้อยแน่นอน


ขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดพิจารณาอยู่ที่เดิมนั้น สตรีชุดเขียวไม่ไกลออกไปก็ดึงชายเสื้อของสตรีชุดม่วงพลางบ่นเสียงเบา


“เพราะพี่จะลงมือให้ได้ ตอนนี้ฐานะเลยเปิดเผย”


“ไม่เป็นไร พวกเราเองก็ไปกันเถอะ” หลังสตรีชุดม่วงเอ่ยราบเรียบประโยคหนึ่งแล้วก็หมุนตัวหายวับไปท่ามกลางฝูงชนพร้อมกับสตรีชุดเขียว


……


ในเวลาเดียวกับที่งานแลกเปลี่ยนดำเนินไป บนท้องฟ้าเหนือหุบเขาที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหุบเขาชันของเขาหิมะ ลำแสงสีเงินเส้นหนึ่งกับลำแสงสีฟ้าเส้นหนึ่งกำลังเหาะไล่ตามกันไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


ในเวลานี้เองเงาดำสิบกว่าร่างฉับพลันก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตั้งท่าล้อมเป็นครึ่งวงกลม พวกมันยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ปล่อยไอปีศาจสีดำสายแล้วสายเล่าออกมา หลังไอหมอกหมุนวนเร็วรี่แล้วก็หยุดนิ่งกลางอากาศเชื่อมต่อกันกลายเป็นกำแพงหมอกสีดำสูงเจ็ดแปดจั้งผืนหนึ่ง ขวางลำแสงสีเงินเอาไว้อย่างนั้น


คนในลำแสงสีเงินปฏิกิริยาไวอย่างที่สุด ลำแสงหยุดชะงักแล้วดับหายไป เผยคนชุดสีเงินผู้หนึ่งข้างในออกมา หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง!


ลำแสงสีฟ้าที่ตามติดอยู่ด้านหลังเขามาถึงก็หยุดลงเช่นกัน เผยชายหนุ่มชุดฟ้าผู้หนึ่งออกมา


“ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใด ไยขวางทางพวกเราสองคน?” สายตาของหลัวเทียนเฉิงกวาดผ่านฝั่งตรงข้าม พบว่าคนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนสวมชุดดำปิดบังใบหน้า ทั้งยังแผ่กลิ่นอายระดับผลึกขั้นปลาย เขาสีหน้าเคร่งขรึมตวาดถาม


ชายหนุ่มชุดฟ้าด้านข้างมาถึงข้างกายเขาก็มองไปยังคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงเช่นกัน


“เจ้า คือหลิ่วหมิงใช่ไหม?” บุรุษปิดหน้าที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าผู้อื่นเล็กน้อยคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้า สองตากวาดมองพิจารณาหลัวเทียนเฉิงตั้งแต่หัวจรดล่างแล้วเอ่ยปากถามอย่างรวดเร็ว


“ศิษย์พี่ ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าคนผู้นี้สังหารเสือดาวหิมะตัวหนึ่งในทุ่งหิมะไม่นานก่อนหน้านี้ สิ่งที่ใช้ก็คือวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั่น ไม่ผิดแน่นอน ไยต้องเปลืองคำพูดกับเขา สังหารเขาแก้แค้นให้นายน้อยเสียเลย มอบศีรษะของเขาให้ผู้อาวุโส ถ้าผู้อาวุโสใหญ่พอใจอาจจะมอบรางวัลอะไรให้บ้าง” ในกำแพงหมอกหลังร่างเขา เสียงแหบสากเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น


“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ลงมือเถอะ”


บุรุษปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าได้ยินพลันพยักหน้า ในดวงตาเปล่งประกายจากนั้นยกมือทำสัญลักษณ์มือ บุรุษชุดดำที่ปิดหน้าสิบกว่าคนก็ยกมือขึ้นพร้อมกัน ฝ่ามือยักษ์สีดำที่แปลงมาจากไอปีศาจสายแล้วสายเล่าก่อร่างผุดออกมาจากในกำแพงหมอกสีดำสนิท กดทับไปหาหลัวเทียนเฉิงประหนึ่งเม็ดฝน


บุรุษที่เป็นหัวหน้ายิ่งไม่ลังเลสักนิดพลิกมือข้างหนึ่ง คว้าธงกระดูกสีดำขนาดใหญ่หนึ่งฉื่อกว่าๆ คันหนึ่งโยนออกไปกลางอากาศ หลังธงกระดูกหมุนคว้างรอบหนึ่ง ผีหน้าตาดุร้ายขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากข้างใน ปากพ่นเพลิงปราณสีเทาพุ่งเข้าใส่หลัวเทียนเฉิง


“คนของนิกายปีศาจลี้ลับไม่ประมาณกำลังตนจริงๆ ศิษย์น้อง เจ้ารออยู่ด้านข้าง ข้าคนเดียวก็จัดการได้แล้ว” หลัวเทียนเฉิงเห็นสถานการณ์นี้พลันโกรธจัด กระทั่งคำพูดอธิบายยังคร้านจะพูดมาก เขาส่งกระแสจิตหาชายหนุ่มชุดฟ้าด้านหลังอย่างรวดเร็ว หลังแขนสองข้างสะบัดทีหนึ่ง รอบกายปราณสีเงินพลันพลุ่งพล่านออกมา


ชายหนุ่มชุดฟ้าได้ยินร่างกายก็พุ่งถอยหลังหลบออกไปไกลๆ


ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของหลัวเทียนเฉิงพร่าเลือนกลายเป็นเงาสีเงินสายหนึ่ง ไม่ถอยกลับมุ่งรุกไปข้างหน้า หลังหลบหลีกอย่างพิสดารสองสามหนก็หลบฝ่ามือยักษ์สีดำระลอกแรกที่ประจันหน้ามาถึงได้


ครู่ต่อมาเสียงมังกรคำรามก้องฟ้าสายหนึ่งก็ดังขึ้น มังกรหมอกสีเงินยาวสามสิบจั้งสี่ตัวพุ่งเร็วรี่ออกมาจากหลังร่างเขา ชั่วพริบตาระหว่างที่คำรามก็โจมตีฝ่ามือยักษ์สีดำที่เหลืออยู่จนสลาย ทั้งยังประจันหน้าเข้าใส่เพลิงปราณสีเทาที่พ่นออกมาจากใบหน้าผีสีดำ


เสียง “ตู๊ม” ดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!


มังกรหมอกสี่ตัวถูกปราณสีเทาม้วนหุ้มมันไว้ข้างใน ทว่ามันกลับระเบิดแหวกออกมาจากด้านในอย่างไม่มีเค้าลางสักนิด หลังไอหมอกสีเงินม้วนตัวหมุนเร็วรี่แล้วหยุดลงก็กลายเป็นหอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งโฉบหายไป มันตัดผ่านปราณสีเทาอย่างไม่สะทกสะท้าน พุ่งทะลุใบหน้าผีด้านหลังในเวลาเดียวกัน


หลังเสียงคำรามโหยหวนทีหนึ่ง เสียงดังกังวานสายหนึ่งก็ดังขึ้นตามมาติดๆ ธงกระดูกสีดำแหลกยับดูไม่ได้คันหนึ่งลอยละล่องลงมาจากท้องฟ้าในทันใด


ส่วนหลัวเทียนเฉิงหลังร่างกายพร่าเลือนหายไปก็ปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณด้านหลังบุรุษปิดหน้าซึ่งเป็นหัวหน้าผู้นั้นดั่งภูตผี เสียงพยัคฆ์คำรามหนึ่งดังออกมา ฝ่ามือสีเงินข้างหนึ่งโจมตีทำลายปราณสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าจมลงในแผ่นหลังของเขาประหนึ่งสายฟ้าแลบ หลังดึงออกมาอีกครั้ง ระหว่างนิ้วทั้งห้าก็ปรากฏหัวใจที่ยังคงเต้นตุบๆ ของบุรุษผู้นั้น


บุรุษปิดหน้าหันศีรษะกลับมาช้าๆ ปากของเขาอ้าออก เขากระอักเลือดหลายคำออกมา สองตาเต็มไปด้วยแววตายากจะเชื่อ ทว่าแววตาก็มืดหม่นลงอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างกายอ่อนยวบหล่นร่วงลงไปเบื้องล่าง พร้อมกันนั้นวิญญาณดวงหนึ่งก็ลอยออกมาจากในศีรษะ


“ยังคิดหนีอีก” หลังหลัวเทียนเฉิงเอ่ยเย็นเยียบประโยคหนึ่งแล้ว มืออีกข้างหนึ่งก็สะบัด ปราณสีเงินสายหนึ่งล้อมวิญญาณดวงนั้นไว้ เสียงกรีดร้องแผ่วเบาทีหนึ่งดังขึ้น จากนั้นวิญญาณดวงนี้ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


ภาพที่น่าตะลึงเช่นนี้ ชั่วขณะทำให้คนปิดหน้าที่เหลือต่างพากันตกตะลึง ชั่วขณะหนึ่งถึงกับไม่มีใครกล้าลงมืออีก


ในเวลาเดียวกันหลัวเทียนเฉิงพลันหัวเราะบ้าคลั่ง หลังขยี้หัวใจในจนมือแหลกละเอียด มือข้างหนึ่งก็ทำมืออีกครั้ง ทันใดนั้นบนแผ่นหลังพลันมีมังกรหมอกสีเงินสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกสี่ตัวปรากฏออกมาอีก แยกย้ายโจมตีลงไปในกำแพงหมอกสีดำใกล้ๆ อย่างทรงพลัง หมอกสีดำปั่นป่วน จากนั้นก็มีแสงสีเงินควบคู่กับเสียงกรีดร้องดังขึ้นเลือนรางอย่างต่อเนื่อง


เสียง “ตู๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


กำแพงหมอกสีดำพริบตาพังทลายลงสลายกลายเป็นไอปีศาจเต็มท้องฟ้า ภายในปราณสีดำปรากฏร่างไร้ชีวิตที่ขาดแหว่งจนดูไม่ได้เจ็ดแปดร่างร่วงหล่นต่อๆ กันบนพื้นหิมะ


“ไม่เสียทีเป็นศิษย์พี่หลัว ศิษย์ชั่วนิกายปีศาจลี้ลับเหล่านี้สู้ไม่ได้สักนิด” หลังร่างหลัวเทียนเฉิง ชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นั้นไม่รู้เหาะย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นสภาพนี้เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดียิ่ง


เวลานี้ภายในไอหมอกสีดำยังเหลือบุรุษชุดดำอยู่สองคน พวกเขาเห็นหัวหน้ารวมถึงศิษย์เจ็ดแปดคนถูกหลัวเทียนเฉิงสังหารชั่วพริบตาอย่างสบายๆ ก็พากันหน้าถอดสี รีบร้อนกระตุ้นเคล็ดวิชาแทบไม่ทัน กลายเป็นลำแสงสีดำสองสายพุ่งหนีจากไปไกล


หลัวเทียนเฉิงเห็นภาพนี้ก็หยุดเคล็ดวิชาบนสองมืออย่างไม่เกรงใจสักนิด เก็บมังกรหมอกสีเงินสี่ตัวกลับเข้ามาโอบร่าง จากนั้นคิดจะกลายเป็นลำแสงเหาะไล่ตามไป แต่ถูกชายหนุ่มชุดฟ้าด้านหลังยื่นมือขวางเอาไว้


“ศิษย์พี่หลัว คนเหล่านั้นดูท่าคงจะกลับไปนิกายปีศาจลี้ลับ ท่านกับข้าสองคนยังไม่ต้องไล่ตามไปหรอก ป้องกันไม่ให้ติดกับดักของผู้อื่น นอกจากนี้ก็ใกล้เวลานัดของศิษย์พี่จ้าวแล้ว พวกเราอย่างไรก็เร่งเดินทางต่อเถิด” ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยเตือนดังนี้


“ศิษย์น้องพูดมีเหตุผล เพียงแต่คนเหล่านี้เห็นชัดว่ามุ่งมาหาเจ้าหนูหลิ่วหมิงคนนั้น แต่ดันให้ข้ามารับเคราะห์แทนเขา นี่ทำให้คนไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง” หลังหลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงหยันทีหนึ่งหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยขึ้น


หลังจากนั้นชายหนุ่มชุดฟ้าเอ่ยกล่อมนิดหน่อยอีกสองสามประโยคแล้ว ทั้งสองคนก็เดินทางต่อไปยังทิศทางเดิม


……


ครึ่งชั่วยามให้หลัง ณ ตีนเขาหิมะ บนยอดสุดของสิ่งก่อสร้างชั่วคราวที่นิกายปีศาจลี้ลับสร้างขึ้นนอกประตูห้องลับสีดำสนิทห้องหนึ่ง เงาดำสองร่างพริบตาก็ปรากฏตัวขึ้นทั้งยังพากันคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าประตูใหญ่ของห้องลับ


“รายงานผู้อาวุโส การดักซุ่มหลิ่วหมิงของพวกเราล้มเหลว เด็กนั่น…”


ยังไม่ทันเอ่ยจบ แรงกดดันอันแข็งแกร่งระลอกหนึ่งพลันซัดออกมาจากในห้องลับ ร่างกายของบุรุษชุดดำสองคนฉับพลันขยายขึ้น จากนั้นร่างก็ระเบิดพากันตายตกไปพร้อมกับเสียง “เปรี้ยง” “เปรี้ยง” กลายเป็นฝนเลือดเต็มฟ้า


“พวกเจ้ามันพวกตัวไร้ประโยชน์ หลิ่วหมิงคนนั้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ตอนยังอยู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณก็มีพลังของระดับผลึก เวลานี้หลายปีผ่านไปคิดว่าพลังคงเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย อาศัยพวกตัวไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าฝูงนี้ดักซุ่มหมายสังหารคนผู้นี้ คิดง่ายดายเกินไปแล้วจริงๆ ตัวโง่เง่าเช่นนี้ ข้าเก็บไว้มีประโยชน์อันใด” ในห้องลับเสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น


“แต่พวกเขาหยั่งเชิงสักหน่อยก็ดี ดูท่ายามงานประตูสวรรค์เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ คงต้องให้หลงเซียนจัดการกับหลิ่วหมิงด้วยตัวเองถึงจะแก้แค้นให้หลานชายของข้าได้”


หลังเสียงหัวเราะชั่วร้ายสายหนึ่งผ่านไป ในห้องลับก็ไม่มีเสียงดังออกมาอีก


…….


หลังคนมาคนไปหลายชั่วยามก่อนหน้านี้ ช่วงครึกครื้นที่สุดของงานแลกเปลี่ยนก็ผ่านพ้นไป จำนวนคนเหลือไม่ถึงหนึ่งในสามของตอนแรกแล้ว ศิษย์แต่ละนิกายที่เหลืออยู่กำลังฉวยช่วงเวลาสุดท้าย แลกเปลี่ยนของที่แต่ละคนต้องการ


อย่างไรการชุมนุมครั้งนี้ก็รวมศิษย์ชั้นยอดจากนิกายใหญ่แทบจะทั้งหมดของแผ่นดินจงเทียนรวมทั้งตระกูลที่มีหน้ามีตาเอาไว้ ทรัพยากรมากมายเหนือกว่าตลาดบางแห่งในโลกข้างนอกกับงานประมูลหรืองานแลกเปลี่ยนที่กลุ่มอำนาจจัดขึ้นอย่างเทียบกันไม่ติด


ทว่าเวลานี้หลิ่วหมิงกลับกำลังอยู่ในห้องเล็กๆ มืดสลัวแห่งหนึ่ง ในมือเล่นขวดใบน้อยสีเขียวหยกสามขวด


บนขวดใบน้อย ยันต์สีทองแผ่นแล้วแผ่นเล่าส่องแสงจิตวิญญาณกะพริบเลือนราง ในขวดทุกขวดล้วนมีเงาสัตว์ตัวน้อยขนาดย่อส่วนตัวหนึ่งบรรจุอยู่


เมื่อพินิจให้ละเอียดจึงเห็นว่าเป็นม้าน้ำขนาดเล็กสีฟ้าครามตัวหนึ่ง กระต่ายสีขาวพิสุทธิ์สว่างทั้งร่างตัวหนึ่งรวมถึงอสรพิษน้อยสีแดงฉานทั้งร่างตัวหนึ่ง


เบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่ศีรษะเป็นพยัคฆ์ท่อนบนเปลือยเปล่าคนหนึ่งกำลังนั่งตัวตรงสง่า จับจ้องโอสถสีขาวเม็ดหนึ่งที่หนีบอยู่ระหว่างสองนิ้วเขม็ง


ตอนที่ 772 สังเวย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ดี! เป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงทั้งหมดจริงๆ ครั้งนี้จะเลื่อนระดับเป็นระดับผลึกขั้นปลายมีหวังแล้ว! วิญญาณปีศาจอสูรระดับแก่นแท้เหล่านี้เป็นของเจ้าแล้ว!” หลังชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้มีหัวเป็นพยัคฆ์กวาดสายตามองโอสถสีขาวเจ็ดเม็ดที่เหลือในกล่องหยกกล่องหนึ่งบนโต๊ะแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจ


แม้โอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงแปดเม็ดนี้หากนำไปประมูลขาย แต่ละเม็ดอย่างน้อยก็มีค่าสองล้านหินจิตวิญญาณหรืออาจมากกว่านั้น ส่วนวิญญาณระดับแก่นแท้นี้ถึงอยู่ในงานประมูลก็แค่สี่ห้าล้านเท่านั้น ทว่าวิญญาณปีศาจระดับสูงเช่นนี้หายากอย่างที่สุด วันนี้พริบตาเดียวหลิ่วหมิงก็แลกมาได้สามชนิดจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง


คราวนี้เขาก็สามารถใช้วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้สังเวยให้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนร่างอีกหนก่อนงานประตูสวรรค์จัดขึ้นได้แล้ว


หลังหลิ่วหมิงคิดมาถึงตรงนี้ก็พยักหน้า จากนั้นเก็บขวดใบน้อยสามใบในมือเข้าไปในแหวนย่อส่วนทันที ส่วนชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้นก็มือไวตาไวปิดกล่องหยกเก็บลงไป ท่าทางประหนึ่งกลัวว่าหลิ่วหมิงจะกลับคำ


“ในเมื่อทั้งสองท่านตกลงกันแล้ว เช่นนั้นก็ลงนามบนสัญญาแลกเปลี่ยนฉบับนี้ จากนั้นต่างฝ่ายต่างจ่ายหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณก็เป็นอันเรียบร้อย” ข้างกายคนทั้งสอง บุรุษรูปร่างผอมแห้งที่สวมชุดขาวทั้งตัวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งเอากระดาษที่ส่องแสงสีน้ำเงินเรืองรองแผ่นหนึ่งออกมา


“ข้ามาเป็นครั้งแรก หารู้ไม่ว่างานแลกเปลี่ยนประตูสวรรค์นี้มีค่าใช้จ่าย ข้าไม่ได้นำหินจิตวิญญาณมาด้วย” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจได้ยินก็ตะลึง เขาลูบศีรษะพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่บ้าง


“ค่าใช้จ่ายที่สหายท่านนี้ต้องจ่าย ข้าจ่ายแทนเขาก็แล้วกัน” หลังหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์ดังนี้ก็ยิ้มจางๆ จากนั้นนำหินจิตวิญญาณถุงหนึ่งในแหวนย่อส่วนออกมาโยนลงบนโต๊ะ


เขาได้วัตถุดิบวิญญาณสามขวดนี้มาอยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่อยากให้เกิดการยกเลิกสัญญาแลกเปลี่ยนเพียงเพราะหินจิตวิญญาณอันน้อยนิดเท่านั้น


“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณสหายท่านนี้มาก! วันหน้าหากพบพานอีกหนจะต้องคืนหินจิตวิญญาณเหล่านี้ให้เท่าทวีแน่นอน” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจลุกขึ้นยืนประสานมือเอ่ยกับหลิ่วหมิงทันที


หลิ่วหมิงเพียงโบกมือตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ


บุรุษชุดขาวหยิบหินจิตวิญญาณขึ้นมาใช้จิตสัมผัสกวาดทีหนึ่งก็เก็บไป หลังจากนั้นส่งสัญญาให้กับมือคนทั้งสอง


หลิ่วหมิงยกนิ้วมือข้างหนึ่งขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เค้นเอาเลือดหยดหนึ่งออกมาหยดลงบนสัญญา หลังจากที่แสงสีเลือดจางๆ สว่างวูบหนึ่งแล้ว ตรงมุมของสัญญาสีน้ำเงินพลันมีใบหน้าเลือนรางขนาดเท่ากำปั้นดวงหนึ่งประทับอยู่ ซึ่งคล้ายกับใบหน้าแท้จริงของหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง


สัญญาของงานประตูสวรรค์นี้มหัศจรรย์ปานนี้เชียว ดีที่แม้เป็นหน้าตาดั้งเดิม ชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นี้ก็คงไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นผู้ใด


ชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้นสะบัดมือข้างหนึ่งบ้าง แสงสีม่วงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง บนนิ้วชี้ของมืออีกข้างพลันปรากฏรอยแผลขนาดเล็ก จากนั้นเขาก็เค้นเลือดหยดหนึ่งออกมาจากปากแผล แสงสีแดงสว่างวูบหนึ่งก็ผสานเข้าไปในสัญญาสีน้ำเงินเรืองรอง ใบหน้าเลือนรางไม่ชัดอีกดวงหนึ่งปรากฏออกมาอย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน


ทั้งสองคนฉับพลันรู้กันอยู่ในใจ เพียงมองหน้ากันแล้วยิ้ม


“เอาล่ะ สัญญานี้มีผลแล้ว ระหว่างงานไม่อาจกลับคำการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ได้ มิเช่นนั้นผลที่ตามมาจงรับรู้ด้วยตัวเอง ด้านนั้นมีค่ายกลเคลื่อนย้ายสองอัน ค่ายกลสีเขียวเคลื่อนย้ายออกไปด้านนอกของงานแลกเปลี่ยน ส่วนค่ายกลสีฟ้าสุ่มเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในห้องโถงของงานแลกเปลี่ยน” หลังบุรุษชุดขาวรับสัญญามาเก็บเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“สหายท่านนี้ ข้าขอตัวตรงนี้ หากมีวาสนาคงได้พบกันในงานประตูสวรรค์อีก ส่วนเรื่องวัตถุดิบของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าที่สหายถามก่อนหน้านี้ หลังข้ากลับไปในหุบเขาจะช่วยสืบข่าวคราวให้” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่ศีรษะดูคล้ายพยัคฆ์ตนนี้ประสานมือคำนับหลิ่วหมิง


“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว” หลิ่วหมิงก็ประสานมือเอ่ยอย่างเกรงใจเช่นกัน


จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินไปยังค่ายกลสีเขียวอันนั้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หลังแสงสีเขียวแสบตาสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ทั้งสองคนก็หายวับไปพร้อมกัน


หลังจากนั้นไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงจุดเคลื่อนย้ายจุดนั้นตอนตนเข้ามา ชายหนุ่มชุดขาวหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้นั้นที่เคยพบก่อนหน้านี้กำลังยืนอยู่ด้านข้างค่ายกล เขาเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวปุบก็เดินเข้ามาหาทันที จากนั้นเอ่ยปากถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา


“สหายผู้นี้ เซียนผู้นั้นที่มาพร้อมกันกับเจ้าก่อนหน้านี้เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนได้จากไปแล้ว นางให้ข้ามาบอกเจ้าว่านางมีธุระต้องล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง”


“ขอบคุณมาก!”


หลิ่วหมิงคำนับเขาหนึ่งครั้งก่อนจะตรงไปยังช่องทางออก เขาขี่เมฆสีดำก้อนหนึ่งแหวกฟ้ามุ่งไปยังสถานที่ซึ่งหอของนิกายยอดบริสุทธิ์ตั้งอยู่


แม้งานแลกเปลี่ยนครั้งนี้เขาไม่ได้วัตถุดิบของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ามาจากมือของศิษย์หุบเขาปีศาจสวรรค์ แต่ใช้โอสถแลกวัตถุดิบวิญญาณระดับแก่นแท้หลายชนิดมาได้ก็ทำให้เขาค่อนข้างพอใจ


อีกทั้งสมบัติประหลาดล้ำค่านานาชนิดที่ปรากฏขึ้นในงานแลกเปลี่ยนยิ่งทำให้เขาเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่


หลังหนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงผู้สวมชุดดำทั้งร่างก็ปรากฏตัวหน้าหอของนิกายยอดบริสุทธิ์ เขาในเวลานี้คืนสภาพหน้าตาเดิมนานแล้ว


ทว่าเขาเพิ่งเหยียบเข้าหอยังไม่ทันได้ขึ้นไปชั้นบน ชายหนุ่มชุดสีเงินผู้หนึ่งกับชายหนุ่มชุดสีฟ้าผู้หนึ่งก็บังเอิญกลับมาจากข้างนอกเข้ามาในหอพอดีเช่นกัน


ชายหนุ่มชุดเงินก็คือหลัวเทียนเฉิงนั่นเอง


“หลิ่วหมิง!” หลัวเทียนเฉิงสองตาหรี่ลง ฉับพลันอ้าปากเรียกหลิ่วหมิงไว้


“อ้อ? ศิษย์น้องหลัวนี่เอง” หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ


“เหอะ เจ้าผูกแค้นใหญ่หลวงกับคนนิกายปีศาจลี้ลับไว้ใช่หรือไม่?” หลังหลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเหอะทีหนึ่งก็เอ่ยถามอย่างเฉยเมย


“หืม ศิษย์น้องหลัวไยถามเช่นนี้?” หลิ่วหมิงได้ยินก็แปลกใจไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เขากวาดมองหลัวเทียนเฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วจึงย้อนถามกลับไปเรียบๆ


“เหอะ เจ้าจัดการตัวเองให้ดีๆ เถอะ” หลังหลัวเทียนเฉิงทิ้งประโยคหนึ่งไว้อย่างเย็นชาแล้วก็ขึ้นชั้นบนไป


“ศิษย์น้องคนนี้ ข้าเห็นเจ้ากับศิษย์น้องหลัวกลับมาด้วยกัน ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยก่อน จากนั้นสายตาจึงกวาดมองชายหนุ่มชุดฟ้าด้านข้างแล้วเอ่ยปากถาม


“ศิษย์พี่หลิ่ว ระหว่างทางที่ข้ากับศิษย์พี่หลัวกลับมาพบศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสิบกว่าคนดักซุ่มอยู่ พวกเขาเห็นศิษย์พี่หลัวใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเหมือนกันจึงมั่นใจทันทีว่าเขาคือท่าน แล้วลงมือใหญ่โตกับพวกเรา บอกว่าเพื่อแก้แค้นอะไรสักอย่าง ศิษย์พี่หลัวแสดงพลังขนานใหญ่ เฮือกเดียวโจมตีพวกเขาตายค่อนครึ่งถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ชายหนุ่มชุดฟ้าเผชิญหน้ากับหลิ่วหมิงก็ไม่กล้าชักช้า และไม่ปิดบังเล่าเรื่องราวให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณศิษย์น้องมากที่บอกให้กระจ่าง!” หลังหลิ่วหมิงฟังคำพูดนี้จบ ความคิดก็แล่นอย่างรวดเร็วจนเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ จึงประสานมือเอ่ยขึ้นในทันใด


“คนเหล่านี้อาจยังมาอีก วันหน้าศิษย์พี่อยู่ด้านนอกสถานที่แห่งนี้ต้องระวังให้มาก” ชายหนุ่มชุดฟ้าเอ่ยเตือนอีกประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงยกเท้าก้าวขึ้นชั้นบนไป


หลังหลิ่วหมิงกลับมาถึงห้องลับของตนก็เปิดชั้นจำกัดออก เขานั่งขัดสมาธิบนแท่นนอน ครุ่นคิดสองคิ้วขมวดเข้าหากันล็กน้อย


ทว่าชั่วครู่ให้หลัง ในดวงตาของเขาพลันมีประกายเข้าใจจางๆ สายหนึ่งแล่นผ่าน นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นที่ตนเองอยู่ใกล้กับตลาดฉางหยางเคยสังหารปีศาจหยินหยางตนหนึ่งเข้า


ตอนนั้นวิชาที่ปีศาจตนนั้นใช้ก็คือวิชามารอันร้ายกาจ บุรุษระดับผลึกข้างกายเขาก็เรียกเขาว่านายน้อย เคล็ดวิชาเกราะอสูรที่หลิ่วหมิงฝึกก็มาจากคัมภีร์มารครึ่งเล่มนั้นที่มาจากในคลังอาวุธของเขา


ต่อมาหลังผู้ดำเนินการแห่งหอความเป็นความตายรับศีรษะไปจากเขาก็เคยลอบเตือนเขาไว้ พูดทำนองว่าต้องระวังนิกายปีศาจลี้ลับให้มาก


ดูท่าปีศาจหยินหยางตนนี้จะมีความเป็นมาใหญ่โตจริงๆ หาใช่ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับฐานะธรรมดาคนหนึ่ง เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตสักคนในนิกายปีศาจลี้ลับ


แต่ในเมื่อผูกแค้นใหญ่หลวงเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่อาจไปคิดอะไรมากได้ วันหน้าอยู่ในแดนลึกลับของงานประตูสวรรค์ก็ได้แต่ระวังคนของนิกายปีศาจลี้ลับเพิ่มไว้สักหน่อยเท่านั้น


หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้แล้วจึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปจากสมองชั่วคราว เขาหยิบวิญญาณปีศาจอสูรระดับแก่นแท้สามขวดนั้นออกมาจากในแหวนย่อส่วน จากนั้นวางไว้ด้านข้าง


จะว่าไปแล้วช่วงสุดท้ายที่เขาฝึกอยู่ที่แดนรกร้างทางใต้ก็ได้วิญญาณปีศาจอสูรมาให้เชอฮ่วนไม่น้อย วันนี้นอกจากเชอฮ่วนจะช่วยตนปกปิดกลิ่นอายได้เป็นเวลานานแล้วยังมีประโยชน์ยอดเยี่ยมอย่างอื่นอีกจำนวนหนึ่งด้วย


“ไม่รู้ว่าวิญญาณสามขวดนี้ที่แลกมาวันนี้จะได้ผลอย่างไร” หลังเขาเอ่ยพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งก็ตบตรงภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนที่หัวไหล่ จากนั้นกรอกพลังเวทเข้าไปช้าๆ


ฉับพลันความอบอุ่นสายหนึ่งก็ไหลมาบนหัวไหล่ ด้วยการชักนำของเขาพลังเวทไหลไปตามภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนทั้งหมดห้ารอบ เสียง “ฟู่” แผ่วเบาทีหนึ่งดังขึ้นตามมาติดๆ หลังจากนั้นภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนก็กะพริบนิดๆ สองสามครั้งแล้วลอยออกจากร่างกลายเป็นเงาวัวสีน้ำเงินดุจดั่งมีชีวิตตัวหนึ่ง มันหมุนตัวทีหนึ่งแล้วเบิกสองตาโตมองหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเห็นสภาพนี้ก็ไม่พูดพร่ำอีก เขาฉีกยันต์สีทองบนขวดใบน้อยใบหนึ่งข้างตัวออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นโยนขึ้นไปบนอากาศเบาๆ แล้วดีดนิ้ว


ขวดใบน้อยฉับพลันระเบิดออกกลางอากาศ ม้าน้ำขนาดย่อส่วนสีฟ้าตัวหนึ่งคล้ายจะเห็นโอกาสรอด ร่างกายบิดดิ้นนิดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน พุ่งเร็วรี่ไปทางหน้าต่างห้อง


เชอฮ่วนเห็นดังนั้น ดวงตาทั้งคู่พลันเปล่งประกายวูบหนึ่ง มันโถมเข้าไปประหนึ่งค้นพบเหยื่อ พร้อมกันนั้นก็อ้าปากของมันออกกว้าง กระแสลมหมุนสายหนึ่งฉับพลันก่อตัวขึ้นภายในห้อง


“โฮก!”


ได้ยินเพียงเสียงคำรามทีหนึ่ง วิญญาณของอสูรสมุทรสีฟ้าดวงนี้ก็ถูกกระแสลมหอบเข้าไป กลายเป็นอาหารในท้องของเชอฮ่วน


เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังจ้องร่างกายของเชอฮ่วนเขม็ง เขาเห็นเพียงกระแสปราณสีฟ้าจางๆ สายหนึ่งแหวกว่ายเร็วรี่ไม่หยุดนิ่งอยู่ในเงาของมัน อยากหนีออกมาจากปากของมันเป็นระยะ แต่เชอฮ่วนสะบัดกรงเล็บสี่ข้างไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะปราบมันไม่ให้หนีไป


หลังสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ กระแสปราณสีฟ้าสายนั้นถึงค่อยๆ เบาบางลงและแผ่วเบาขึ้นทุกที ในท้ายที่สุดก็ถูกเชอฮ่วนดูดกลืนไป


ส่วนเงาเชอฮ่วนเวลานี้เทียบกับก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นอีกหลายส่วน


ต่อมาเขาก็ทยอยปล่อยวิญญาณปีศาจอสูรสองขวดที่เหลือออกมาใช้สังเวยแก่ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนอีกเช่นเดียวกัน


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นหลิ่วหมิงไม่ออกจากหอของนิกายยอดบริสุทธิ์เลยสักก้าว เขาเพียงจดจ่อซุ่มฝึกฝนอยู่ในห้องของตนเอง รอคอยการมาถึงของงานประตูสวรรค์อย่างเงียบๆ


ช่วงเวลาต่อมาเรื่องทำนองเดียวกับที่หลัวเทียนเฉิงถูกดักโจมตีเกิดก็ขึ้นไม่หยุดหย่อน กลุ่มอำนาจแต่ละกลุ่มล้วนส่งศิษย์ในนิกายออกมาสอดแนมพลังของศิษย์ที่เข้าร่วมงานของกลุ่มอำนาจฝั่งศัตรูบ่อยครั้ง เรื่องอย่างการต่อสู้ประลองเกิดขึ้นบ่อยๆ


แน่นอนท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ย่อมไม่ขาดเรื่องเช่นการลอบโจมตีอย่างโหดเหี้ยมในที่ลับหรือลงมือเหี้ยมเกรียมสังหารคนปล้นสมบัติ


ทว่าสิ่งที่กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งคล้ายจะนัดกันมาเรียบร้อยก่อนหน้าก็คือการต่อสู้ลอบโจมตีเช่นนี้เกิดขึ้นตรงนอกที่พักของกลุ่มอำนาจแต่ละแห่งเท่านั้น นอกจากนี้จำกัดอยู่แค่ระหว่างศิษย์ ผู้ที่ระดับสูงกว่าระดับแก่นแท้ของนิกายและกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งล้วนเข้าร่วมไม่ได้เป็นอันขาด


ในช่วงเวลานี้นิกายใหญ่เช่นสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่ล้วนปรามศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ของกลุ่มอำนาจตนให้ออกไปข้างนอกน้อยที่สุด ศิษย์ที่เก่งกาจจำนวนหนึ่งยิ่งถูกจับตาและเอ่ยเตือน พยายามซ่อนคมให้ได้มากที่สุด


หลัวเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงก็ถูกเทียนเกอเจินเหรินมาเตือนถึงห้องเป็นพิเศษ


หนึ่งเดือนให้หลัง ศิษย์ของกลุ่มอำนาจและนิกายทั้งหมดก็ออกจากที่พัก พวกเขามารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงที่ตีนเขาหิมะ งานประตูสวรรค์ในที่สุดก็จะเปิดม่านแล้ว


ตอนที่ 773 ประตูสวรรค์ปรากฏ

โดย

Ink Stone_Fantasy

วันนี้อยู่ดีๆ ท้องฟ้าเหนือยอดเขาหิมะก็ส่องแสงสีขาวระยิบระยับแถบแล้วแถบเล่า ตามติดมาด้วยเสียง “ครืน” ดังสนั่นทีหนึ่ง กลางท้องฟ้าสีขาวโพลนฉับพลันถูกแหวกออกเป็นช่องว่างยาวร้อยกว่าจั้งเส้นหนึ่ง ปราณจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในแล้วโถมเข้าหาอย่างเกรี้ยวกราด


ครู่ต่อมาท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ตีนเขา เกาะสีทองอร่ามทั้งเกาะแห่งหนึ่งก็ลอยออกมาจากรอยแหวกกลางอากาศ ขยับหมุนท่ามกลางแสงสีทองที่ห้อมล้อมไม่หยุด


สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง มองเกาะแห่งนี้จนทะลุปรุโปร่งแปดเก้าในสิบส่วน


เกาะกลางฟ้าเกาะนี้มีขนาดใหญ่ถึงหลายสิบหมู่[1] แทบจะครอบทับเขาหิมะทั้งลูก ทอดมองไกลออกไป ท่ามกลางเมฆหมอกที่ลอยวนล้อมรอบเกาะเผยให้เห็นผืนดินเขียวขจีที่มีสีสันประดับประดาอยู่เลือนราง สกุณาขับขานบุปผาส่งกลิ่นหอม อสูรจิตวิญญาณและวิหคเซียนนานาชนิดนับไม่ถ้วน ตำหนักหออาคารสูงต่ำเรียงรายเป็นระเบียบประหนึ่งสวรรค์บนโลกมนุษย์


ศิษย์ทั้งหมดซึ่งเข้าร่วมงานประตูสวรรค์เป็นครั้งแรกและมองดูอยู่นั้น เวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึง เห็นชัดว่าถูกเกาะที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแห่งนี้ทำให้ตกตะลึงอย่างยิ่ง


เบื้องหน้าฝูงชนเทียนเกอเจินเหรินกับบุรุษชุดเทาตรวจสอบจำนวนคน หลังแน่ใจว่าทุกคนมารวมตัวกันพร้อมแล้วจึงออกคำสั่ง พาหลิ่วหมิงกับศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์คนอื่นๆ กลายเป็นลำแสงแถบหนึ่งเหาะขึ้นไปยังยอดเขาหิมะ


เมื่อทุกคนมาถึงยอดเขาก็พบว่าที่ปรัมพิธี บนยอดเขามีคนของสองนิกายมาถึงก่อนแล้ว จากเครื่องแต่งกายบอกได้ว่าเป็นคนของนิกายปีศาจลี้ลับกับหุบเขาปีศาจสวรรค์


ความสัมพันธ์ระหว่างสองนิกายใหญ่นี้กับนิกายยอดบริสุทธิ์พูดได้ว่าไม่ดีนัก เทียนเกอเจินเหรินไม่ได้เข้าไปทักทายกับประมุขนิกายของอีกฝ่าย แต่พาทุกคนหยุดอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล


หลังเวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วย พร้อมกับที่ลำแสงหลากสีสันทยอยมา คนของสำนักและนิกายใหญ่ต่างๆ ก็มาถึงยอดเขาอย่างต่อเนื่อง รวมตัวกันแน่นขนัดเกือบพันคน ดูแล้วครึกครื้นยิ่งนัก


ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดที่สะดุดตาที่สุดย่อมเป็นสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่ และกลุ่มอำนาจใหญ่ระดับสุดยอดเช่นหุบเขาปีศาจสวรรค์


สำนักกับนิกายขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนหนึ่งที่เหลือ ได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังไกลๆ แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน


ศิษย์สิบคนที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์เช่นหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงเวลานี้เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนิกายยอดบริสุทธิ์เหมือนๆ กัน พวกเขารอคอยอย่างนิ่งสงบไม่ส่งเสียง


เมื่อได้เห็นเกาะสีทองอร่ามแห่งนี้ในระยะใกล้แล้ว ทุกอย่างยิ่งชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ความตื่นตะลึงยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


หลิ่วหมิงมองอยู่ครู่หนึ่งจึงละสายตากลับมา


จะว่าไปแล้วเขามาถึงเขาหิมะนานขนาดนี้ เวลาส่วนใหญ่ล้วนฝึกฝนอยู่ในห้องลับในที่พัก ยังไม่ทันได้ดูคู่ต่อสู้ในการแข่งขันของงานครั้งนี้ดีๆ เลย


คนของสำนักเฮ่าหรานส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดบัณฑิต ดูแล้วสง่างามทรงคุณธรรม ซึ่งแตกต่างกับคนของนิกายปีศาจลี้ลับอย่างสิ้นเชิง


ผู้คนของนิกายเทียนกงส่วนใหญ่สวมเสื้อสีเหลืองเปลือยแขนข้างหนึ่ง ดูแล้วธรรมดาไม่หรูหรา แต่ที่เอวของพวกเขาส่วนใหญ่มีถุงบวมป่อง เห็นชัดว่าพกถุงหนังที่เก็บหุ่นมากมายไว้ ทำให้ดูแล้วไม่เข้าพรรคเข้าพวกอยู่บ้าง


ส่วนแปดตระกูลใหญ่และหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็ล้วนสวมเครื่องแต่งกายต่างกันไป อาจเพื่อแบ่งแยกได้ชัดเจน เครื่องแต่งกายของนิกายและสำนักทั้งหมดจึงล้วนมีเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่เหมือนชุดของคนอื่น


หลิ่วหมิงมองรอบด้านประเมินคนที่ค่อนข้างสะดุดตาในหมู่ศิษย์ที่แต่ละสำนักนิกายส่งมา อย่างไรเสียศิษย์ที่เข้าร่วมงานได้นั้นล้วนย่อมเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่เด็กรุ่นเยาว์ของแต่ละสำนักนิกาย ระวังตัวไว้ถึงจะอายุยืน


ศึกใหญ่ครั้งนั้นกับเวินเจิง จนกระทั่งวันนี้เขาก็ยังจดจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น การเดินทางไปแดนลึกลับครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่แค่คนสองคน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะพบผู้ฝึกฝนที่พลังสูงกว่าระดับเดียวกันกลุ่มใหญ่ เขาจำต้องระมัดระวังให้มากขึ้น


ฉับพลันสายตาของเขาก็เพ่งมองไปยังร่างสตรีชุดม่วงคนหนึ่งของตระกูลโอวหยาง


โอวหยางเชี่ยนนั่นเอง


เทียบกับในงานแลกเปลี่ยน เวลานี้สตรีผู้นี้ฟื้นคืนหน้าตาแท้จริงแล้ว ดูไม่แตกต่างจากครั้งนั้นที่วังมายานัก


ทว่าพลังของสตรีผู้นี้ก้าวหน้าเร็วอย่างน่าอัศจรรย์จนแทบจะไม่เป็นรองเขา ผนวกกับพลังที่ได้เห็นตอนลงมือเมื่อหลายวันก่อนที่งานแลกเปลี่ยน เขาคงต้องรับมืออย่างระมัดระวัง


โอวหยางเชี่ยนคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของหลิ่วหมิง นางหันศีรษะมองมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว


เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ก็ตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะสัมผัสเฉียบคมเช่นนี้ ท่ามกลางคนเกือบพันคนกลับรู้สึกได้ถึงสายตาของตน


สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน หลิ่วหมิงพยักหน้าให้จากที่ไกลๆ  และละสายตาออกอย่างรวดเร็ว


หลังโอวหยางเชี่ยนเห็นหลิ่วหมิง สายตาเป็นประกายเล็กน้อยชั่วครู่ มุมปากยกยิ้มขึ้นบาง


ส่วนศิษย์ของนิกายและสำนักอื่น เผิงเยวี่ยแห่งนิกายเทียนกง เซวียผานแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์ที่เคยมีวาสนาพบหน้ากับหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งก็ล้วนอยู่ในกลุ่มที่โดดเด่นด้วย


ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดกับตนเองอยู่นั้น บนเกาะก็มีเงาคนเคลื่อนไหว และทันใดนั้นลำแสงสองสายก็เหาะมา ชั่วพริบตาเดียวร่อนลงเบื้องหน้านิกาย สำนักและกลุ่มอำนาจทั้งหลาย


เมื่อรัศมีแสงดับลงก็เผยหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่อยู่ด้านใน ทั้งคู่ล้วนสวมชุดสีทองทั้งร่าง เสื้อผ้าปลิวไปตามสายลมประหนึ่งเทพเซียนในหมู่มนุษย์ ทว่าบนหน้าของคนทั้งสองล้วนสวมหน้ากากสำริดอันหนึ่งไว้จึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด


เมื่อคนของสำนักนิกายใหญ่แต่ละแห่งเห็นคนทั้งคู่มาถึง ก็กวาดตาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งจากนั้นถึงรวมตัวกันเข้ามา


“สหายทุกท่านมาเยือนที่แห่งนี้ได้ ข้าขอขอบคุณแทนวังสวรรค์ด้วย” บุรุษชุดสีทองหนึ่งในสองคนก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วประสานมือน้อยๆ ท่ามกลางการจับจ้องของผู้คนมากมาย สายตาของเขาคล้ายกวาดมองรอบด้านอย่างสบายๆ รอบหนึ่ง


หลิ่วหมิงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สายตาของบุรุษชุดสีทองเพียงกวาดผ่านไปชั่วครู่ไม่ได้สนใจเขาเป็นพิเศษ ทว่าเขากลับยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ บนผิวหน้า


“ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์สองคน…” หลิ่วหมิงหัวใจหวาดหวั่นชั่ววูบ คนจากวังสวรรค์สองคนนี้แม้ไม่ได้ตั้งใจใช้วิชา กลิ่นอายบนร่างก็ยังคงมหาศาลอย่างที่สุด ไม่เป็นรองประมุขนิกายของนิกายใหญ่อย่างเทียนเกอเจินเหรินเลย


นอกจากนี้ตอนที่กวาดสายตาผ่านเมื่อครู่นั้น หลิ่วหมิงพบว่าในดวงตาของบุรุษชุดทองทอประกายสีทองเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอาจฝึกฝนวิชาลับบางอย่างที่คล้ายกับ ‘เนตรสวรรค์มองทะลุ’ ไม่เช่นนั้นแม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่มีทางกวาดตาทีเดียวทำให้ผู้อื่นรู้สึกประหลาดเช่นนี้ได้


“งานประตูสวรรค์ครั้งนี้ พวกเราสองคนเป็นผู้ดำเนินการ แม้สหายทุกท่านที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์น่าจะรู้กฎของงานอยู่แล้ว แต่ตามระเบียบข้าก็เลี่ยงไม่ได้ต้องพร่ำพูดที่นี่สักสองสามประโยค บอกกล่าวซ้ำอีกหน”


เสียงนิ่งสงบของบุรุษชุดทองดังออกมาจากด้านหลังของหน้ากาก น้ำเสียงเรียบๆ นั้นทำให้คนรู้สึกตัวแข็งอยู่บ้าง


ทว่าศิษย์ทั้งหลายบนยอดเขาหิมะกลับเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดสักคนโพล่งปากส่งเสียงออกมารบกวนคำพูดของบุรุษชุดทอง


“ศิษย์ที่เข้าสู่แดนลึกลับประตูสวรรค์ทั้งหมด ก่อนเข้าไปจะได้รับโซ่แห่งโชคชะตาเส้นหนึ่ง งานแต่ละครั้งในอดีตล้วนเป็นการแย่งชิงโชคชะตาในแดนลึกลับ ไม่ว่าใช้วิธีอันใด ขอเพียงโจมตีทำลายโซ่แห่งโชคชะตาของผู้อื่นได้หรือได้รับสมบัติบางอย่างในแดนลึกลับมาก็จะมีโชคชะตาในจำนวนที่สอดรับกันถูกโซ่แห่งโชคชะตาดูดเข้าไป สุดท้ายสามอันดับแรกที่แย่งชิงโชคชะตามาได้มากที่สุด วังสวรรค์จะทำความปรารถนาในขอบเขตที่กำหนดข้อหนึ่งของคนผู้นั้นให้เป็นจริง”


ได้ฟังถึงตรงนี้ ศิษย์ที่เข้าร่วมงานทั้งหลายฉับพลันวุ่นวายพักหนึ่ง ดวงตาต่างเปล่งประกายตื่นเต้น


หลิ่วหมิงหลุบสายตาลง สีหน้าบนใบหน้ากลับมองไม่ออกว่าแปลกไปอย่างใด


“เงียบ!”คนระดับสูงของแต่ละสำนักนิกายใหญ่สายตาประหนึ่งอัสนีบาต เอี้ยวศีรษะไปกวาดตามองอย่างเย็นชา ศิษย์อายุน้อยทั้งหลายเหล่านี้ถึงเงียบลง


“ยังมีจุดที่ควรระวังอยู่บ้างต้องเตือนทุกท่าน ขอเพียงโซ่แห่งโชคชะตาของศิษย์คนใดถูกทำลาย แม้หลังจากนั้นไม่นานจะสร้างออกมาใหม่ได้ แต่โชคชะตาที่พวกเขาได้มาก่อนหน้าจะถูกแย่งชิงไปครึ่งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งจะแย่งชิงโชคชะตาจากตัวคนผู้หนึ่งได้มากที่สุดสามครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นแม้ทำซ้ำอีกกี่หนก็ไม่สามารถทำได้ทั้งสิ้น หากโซ่แห่งโชคชะตาของคนผู้หนึ่งถูกทำลายมากกว่าสิบครั้ง โซ่แห่งโชคชะตาจะไม่อาจคืนสภาพได้อีก เขาจะสูญเสียสิทธิในการอยู่ในแดนลึกลับประตูสวรรค์และถูกเคลื่อนย้ายออกมาทันที แน่นอนหากพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จะบีบโซ่แห่งโชคชะตาให้แหลกและเคลื่อนย้ายออกจากแดนลึกลับเองก็ได้ แต่จะสูญเสียสิทธิในการแย่งชิงโชคชะตาต่อเช่นเดียวกัน” บุรุษชุดทองรอบรรยากาศสงบลงหน่อยจึงเอ่ยปากพูดต่อ


หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ในที่สุดก็เข้าใจแดนลึกลับของงานประตูสวรรค์นี่ละเอียดกว่าเดิมแล้ว การประลองฝีมือครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะบอกว่าใช้วิธีที่ค่อนข้างอ่อนโยนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศิษย์ของสำนักนิกายต่างๆ เข่นฆ่ากันข้างใน แต่ความเป็นจริงกลับเห็นชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง


“เอาล่ะ ไม่พูดมากแล้ว ข้าจะเปิดทางเข้าแดนลึกลับเดี๋ยวนี้” หลังบุรุษชุดทองพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง เรียกอาวุธจิตวิญญาณซึ่งมีรูปร่างเป็นแผ่นกลมๆ ชิ้นหนึ่งออกมา ด้านบนสลักลวดลายจิตวิญญาณวงแล้ววงเล่ามากมาย เขาถือมันด้วยมือเดียวแล้วหมุนตัวยิงเสาแสงสีขาวโพลนเป็นประกายเส้นหนึ่งไปยังตัวเกาะ


ส่วนสตรีชุดสีทองที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจามาตลอดด้านข้าง ในมือก็มีอาวุธจิตวิญญาณที่เป็นแผ่นกลมเหมือนกันทุกประการชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เช่นกัน แต่สิ่งที่ยิงออกมากลับเป็นเสาแสงสีดำสนิทประหนึ่งหมึกเส้นหนึ่ง


เสาแสงดำขาวสองเส้นเกี่ยวกระหวัดกันกลางอากาศกลายเป็นเสาแสงสีดำขาวสองสีหมุนวนสลับกันและกลายเป็นวงแสงมหึมาสีดำขาวสอดสลับวงหนึ่งอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเกาะยักษ์ ทั้งยังหมุนวนกลางอากาศเรื่อยๆ ไม่หยุด


เวลานี้เอง มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ของทั้งสองคนฉับพลันก็ขยับใช้เคล็ดวิชาพร้อมกัน ยิงอักขระยันต์สีทองตัวแล้วตัวเล่าใส่วงกลมแสง


เป็นเช่นนี้จนผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป วงกลมแสงขนาดยักษ์ฉับพลันส่องแสงรัศมีเจิดจ้า เสียงตู๊มดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นวงกลมแสงก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นประตูแสงมหึมาห้าสีบานหนึ่ง


ในดวงตาของบุรุษหน้ากากสำริดเผยแววตาระมัดระวัง ทันใดนั้นเขาก็พลิกมือเรียกยันต์ที่ส่องแสงรัศมีห้าสีแผ่นหนึ่งขึ้นมา หลังท่องมนตร์เสียงเบาหลายประโยคก็สะบัดมือโยน ยันต์กลายเป็นแสงจิตวิญญาณสายหนึ่งแปะอยู่บนประตูแสงดังป้าบ


เสียงครืนดังสนั่นออกมา!


ในที่สุดบานประตูขนาดมหึมาสองบานก็เปิดจากข้างในออกมาข้างนอกช้าๆ แสงสว่างแสบตาห้าสีสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากด้านในทำให้คนหลายพันคนที่นั่นไม่อาจลืมตาได้เลย


แสงสว่างดับลงอย่างรวดเร็วเผยโลกที่ส่องประกายไร้ขอบเขตด้านในประตูแสง


ทุกคนเห็นภาพนี้ต่างก็รีบทยอยกันปล่อยพลังจิตออกมาเพราะต้องการสำรวจให้รู้ชัด ผลสุดท้ายกลับพบว่าพลังจิตแตะถูกประตูบานใหญ่ปุบก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งวัวโคลนตกลงไปในมหาสมุทร


เมื่อหลิ่วหมิงเห็นว่าพลังจิตไร้ผลจึงใช้พลังสายตาอย่างถึงขีดสุดในทันที ทว่าเพ่งมองอยู่พักหนึ่งก็มองไม่เห็นสิ่งใด ตอนนี้ถึงได้แต่ยอมแพ้


ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขา บนหน้าก็ทยอยเผยผิดหวังออกมาเช่นกัน คาดว่าก็คงทำสิ่งเดียวกันกับเขาด้วย


บุรุษชุดสีทองผ่อนลมหายใจออกแล้วเก็บแผ่นวงกลมในมือไป จากนั้นเขาจึงหมุนตัวมากำลังจะเอ่ยวาจา ทว่าทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาสายหนึ่งก็ดังขึ้น


ขอบฟ้าไกลออกไปฉับพลันปรากฏแสงรัศมีระยิบระยับประหนึ่งดวงดาราหลายดวงมุ่งมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว


[1] หมู่ (亩) หน่วยวัดพื้นที่ของจีน เท่ากับประมาณ 667 ตารางเมตร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)