หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 748-753
บทที่ 748 กำเนิดเทพอสูร!
หากคำนวณระยะทางจากดาวเคราะห์และดารานิรันดร์ ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้ากำลังเดินทางไปนั้นเป็นดาวเคราะห์อันดับสาม มีขนาดพอๆ กับโลกมนุษย์ และเห็นได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิต มองเห็นเศษซากพืชสีเขียวที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นผิวของดาวเคราะห์นั้น
แต่…มันก็เป็นเพียงผิวหน้าเท่านั้น บนพื้นผิวของดาวเคราะห์มีหลุมอยู่นับหมื่นนับแสนหลุม หลุมขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางร่วมสามสิบกิโลเมตร ในขณะที่หลุมขนาดใหญ่นั้นมหึมาพอๆ กับเมืองทั้งเมือง
หลุมเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นร่องรอยของดาวหาง แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้าก็ค้นพบว่า…ในหลุมเหล่านี้มีแอ่งเลือดและเนื้ออยู่นับไม่ถ้วน!
เลือดและเนื้อเหล่านี้ดูเหมือนศพจำนวนมาก แม้ว่าบางส่วนตอนนี้จะกลายเป็นเนื้อยุ่ยๆ ทำให้ดูเหมือนโคลนสีเลือดเสียมากกว่า จากแขนขาที่ลอยอยู่ทำให้บอกได้ว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตที่ละม้ายคล้ายมนุษย์อาศัยอยู่ บางส่วนก็เป็นอสูรดุร้าย และก็มีบางส่วนที่ดูคล้ายว่ามาจากอารยธรรมอื่น บางครั้งก็มีศีรษะลอยขึ้นมา ใบหน้านั้นมีความเศร้าโศก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ผ่านเหตุการณ์ที่เป็นดั่งฝันร้ายเมื่อครั้งยังมีชีวิต
หากเพียงเท่านั้น จากประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับที่ห้า พวกเขาคงไม่ตื่นตกใจเท่าใดนัก ทว่า…ท่ามกลางของเหลวที่อยู่ในหลุม ยังมีเส้นเลือดใหญ่หนาสีม่วงปูดปนอยู่ด้วย!
เส้นเลือดเหล่านี้ดูคล้ายกับว่ากำลังซึมซับสารอาหารจากของเหลวในหลุม เส้นเลือดแพร่กระจายออกไป และเชื่อมต่อทุกหลุมบนดาวเคราะห์นี้เข้าด้วยกันจนดูราวกับเป็นเครือข่ายสีม่วงขนาดมโหฬาร ในเครือข่ายที่สร้างขึ้นมาจากเส้นเลือดสีม่วงเหล่านี้ มีจุดที่มีติ่งเนื้อบวมเป่งเติบโตออกมาอยู่นับล้านๆ จุด!
ติ่งเนื้อเหล่านี้บ้างก็กำลังสั่นไหว บ้างก็ดูเหมือนกำลังหลับใหล บ้างก็ระเบิดขึ้นมาเมื่อหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้ามองไปเห็น และสิ่งที่คลานออกมาก็คือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์แต่มีหลายขา!
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีกายสีดำและดูคล้ายตะขาบ พวกมันส่งเสียงร้องแหลมสูงพร้อมทั้งคลานไปยังหลุมที่ใกล้ที่สุด เมื่อพวกมันเข้าไปถึงระยะก็ขุดดินลงไปในหลุมทันที ก่อนจะเปิดปากและเริ่มดื่มกิน ขณะที่พวกมันดื่มกินอยู่นั้น พลังชีวิตก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ภาพนั้นทำเอาหนังศีรษะของศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อชาดิก ผู้อาวุโสลำดับห้าหรี่ตาลงก่อนจะกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ
“นี่ไม่ใช่อารยธรรมพื้นเมืองกลายพันธุ์แล้ว…มันเป็นอารยธรรมต่างดาวกลายพันธุ์ชัดๆ!”
“สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ต่างดาวหรือ” หวังเป่าเล่อเพ่งมองไปยังเครือข่ายสีม่วงบนพื้นผิวของดาวเคราะห์ ก่อนจะหรี่ตาแล้วถาม
“หากดาวเคราะห์ถูกอารยธรรมต่างดาวกลายพันธุ์จู่โจม ก็จะนับเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง เมื่อศัตรูปรากฏกาย ระบบดาวเคราะห์ใกล้เคียงก็จะได้รับการเตือนทันที หากการรุกรานสามารถระงับได้ พวกเขาก็จะต่อสู้เต็มที่เพื่อกำจัดศัตรู หากทำเองไม่ไหว ก็จะร่วมมือกับระบบดาวเคราะห์อื่นๆ เพื่อช่วยกันกำราบศัตรู”
วิธีการรุกรานแตกต่างกันตามระดับความชาญฉลาดของอารยธรรมนั้น หากเป็นอารยธรรมที่ฉลาด พวกเขาก็จะออกไปหาอาหารด้วยตนเอง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะเอาตัวอ่อนไปซ่อนไว้ในดาวหาง หรือกลายมาเป็นปรสิตที่ซ่อนอยู่ในกายของอารยธรรมอื่น และใช้วิธีนี้ในการเดินทางไปยังระบบดาวเคราะห์อื่นๆ
โดยปกติพวกเขาจะเดินทางกันเป็นกลุ่ม เมื่อดาวหางพุ่งชนอารยธรรมหนึ่ง พวกเขาก็จะกลายเป็นปรสิตไปดูดกินสารอาหารจากดาวเคราะห์ดวงนั้น แล้วจึงค่อยสังหารทุกชีวิตในอารยธรรมเพื่อนำมาใช้ในการเจริญเติบโตและพัฒนา
ขณะที่รับฟังไป นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ผู้อาวุโสลำดับห้าที่อยู่ข้างๆ ขณะนี้กำลังเพ่งสมาธิไปยังดาวเคราะห์และไม่ทันเห็นประกายในดวงตาของหวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้เห็นว่ารัศมีเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์คล้ายตะขาบนั้นไม่ได้แกร่งกล้านัก แม้จะแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วก็ตาม เขาก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ได้
“อารยธรรมของระบบดาวเคราะห์นี้คงถูกดาวหางที่มีตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์พุ่งชนหลายครั้ง ทำให้สิ่งมีชีวิตบนนี้สูญพันธุ์กันไปหมด แต่ถึงกระนั้น นี่ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับเรา!”
“รัศมีเริ่มต้นของพวกมันอยู่เพียงแค่ระดับปราณเข้มข้น ตามตำราโบราณ สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับนี้ไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่าระดับดาวพระเคราะห์ได้ ขณะเดียวกัน ตอนเกิดระดับปัญญาวิญญาณของพวกมันก็ช่างต่ำต้อยนัก หลงหนานจื่อ พวกเราโชคดีเสียแล้วในคราวนี้!” ขณะพูด ผู้อาวุโสลำดับห้าก็เริ่มหัวเราะออกมา เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปยังดาวเคราะห์ตรงเท้าพลางจ้องหวังเป่าเล่อไปด้วย
“ปัญญาวิญญาณต่ำ กินเพียงเลือดเนื้อเป็นอาหาร สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดนี้ต้องการเพียงเลือดและเนื้อเท่านั้น แปลว่าพวกมันไม่ใส่ใจกับศิลาวิญญาณหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น ระบบดาวเคราะห์นี้ก็คือขุมทรัพย์ดีๆ สำหรับพวกเรานั่นเอง!”
“พอไปถึงพื้นผิวแล้วพวกเราแยกตัวกันเถิด แค่ระมัดระวังอย่าไปขัดขวางการหาอาหารของพวกมันก็พอ ในเมื่อเป้าหมายต่างกัน ก็ไม่ควรมีความขัดแย้งหากเราระมัดระวังตัว ข้าขอเสนอให้พวกเราจับตัวอ่อนของอารยธรรมสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นี้กลับมาด้วย เราสามารถนำมันไปปล่อยยังอารยธรรมที่อ่อนแอได้ในอนาคต และมันก็น่าจะทรงพลังพอๆ กับอาวุธเทพเลยทีเดียว!” ผู้อาวุโสลำดับห้ากล่าว ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารเงาวับออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ และหัวเราะออกมาหลังจากที่บีบมัน
“ผู้อาวุโสสูงสุดส่งข้อความเสียงมา เขาไม่ได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดไปอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย เขาร้ายกาจทีเดียว! หลงหนานจื่อ ข้าจะลงไปก่อน แล้วพบกันในอีกครึ่งเดือน!” เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสลำดับห้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะรวบรวมศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่ติดตามมาและพุ่งตัวลงไปยังดาวเคราะห์เบื้องล่าง
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองผู้อาวุโสจากไปแล้วจึงหันไปมองหลุมบนดาวเคราะห์อย่างตั้งใจ แสงประหลาดสว่างวาบขึ้นบนดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มหรี่ตาลง หลังจากนั้น เขาจึงหยิบแผ่นหยกสื่อสารของหลงหนานจื่อออกมา และส่งจิตสัมผัสเข้าไป หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดดังขึ้นในศีรษะทันที
“ผู้อาวุโสทุกคนจงฟัง ขณะที่พวกเจ้าเก็บทรัพยากร จงจับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านี้มาด้วย จำไว้ว่าอย่าจับมามากเกินไปเล่า หนึ่งคนไม่ควรมีตัวอ่อนเกินหนึ่งร้อยตัว ยิ่งไปกว่านั้น เราจะไม่ประกาศสงครามกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านี้ และเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับ ข้าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่นี่เพื่อเป็นการช่วยหาตำแหน่งในอนาคต เมื่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์กินอารยธรรมนี้จนสูญสิ้นเมื่อใด พวกมันจะต้องเคลื่อนย้ายไปยังอารยธรรมอื่นแน่นอน จากนี้ไป นี่จะเป็นถนนสู่ความมั่งคั่งของพวกเรา!”
“ไม่ประกาศสงครามกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหัวเราะเบาๆ ก่อนที่แสงประหลาดในแววตาของเขาจะฉายกล้าขึ้น หลังจากการสังหารหมู่ครั้งแล้วครั้งเล่าในสงครามระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาล วิชาดวงเนตรปีศาจของเขาก็เขยิบเข้ามาถึงขั้นสุดท้าย อาจกล่าวได้ว่า…หากเขาบรรลุขั้นสุดท้ายนี้ ชายหนุ่มก็จะสามารถบรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณได้ด้วย!
เพราะพลังอำนาจในการต่อสู้ หวังเป่าเล่อจึงเลือกฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ หากเขาต้องการบรรลุขั้น ชายหนุ่มต้องสังหารคนตามอำเภอใจเป็นจำนวนมาก แต่การหย่าศึกระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลทำให้เขาไม่มีใครให้สังหาร หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็จากมาพร้อมศิษย์พี่ ดังนั้นแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายได้ แต่ระดับพลังปราณของเขาก็ยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เพียงเท่านั้น
“การสังหารหมู่อย่างนั้นหรือ…” รัศมีชั่วร้ายแผ่ออกมาจากกายของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ทำให้สีหน้าของบรรดาศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่ตามหลังเขามาเปลี่ยนไป พวกเขาต่างก็ล่าถอยก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยความหวาดกลัว
หวังเป่าเล่อเมินผู้คนด้านหลังเขาไปเสียสิ้น รัศมีชั่วร้ายไม่ได้จางหายไป แต่กลับทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อชายหนุ่มตัดสินใจได้ รัศมีชั่วร้ายระเบิดออกมาในชั่วระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจจนกลายเป็นจิตสังหารอันแรงกล้า
เมื่อจิตสังหารนี้แผ่ออกไปก็เกิดคลื่นรบกวนขึ้นในจักรวาล ส่งผลให้จักรวาลเริ่มบิดเบี้ยว ศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เบื้องหลังตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นเป็นอย่างยิ่ง ในสายตาพวกเขา หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นกระบี่คมกริบที่เพิ่งถูกปลดออกจากฝัก
หวังเป่าเล่อไม่รอช้า รีบพุ่งตรงออกไปด้วยการบิดร่างกายเพียงครั้งเดียว
ชายหนุ่มดูเหมือนดาวหางที่พุ่งทะลุชั้นบรรยากาศบางเบาของดาวเคราะห์ มุ่งหน้าตรงไปยังหลุมแห่งหนึ่งบนพื้นผิว รัศมีในกายของเขาระเบิดออกมา และด้วยการขยับมือขวาเพียงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งของเกราะจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นก่อนจะกลายเป็นอาวุธเทพ หวังเป่าเล่อฟาดอาวุธเทพลงไปยังหลุมขนาดเท่าครึ่งเมืองที่กำลังมุ่งหน้าไปหา
พื้นโลกสั่นสะเทือน ท้องฟ้าแปรผัน ประกายกระบี่จากอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อก่อตัวเป็นพลังงานมหาศาล ทันใดนั้นเอง เลือดเนื้อภายในหลุมเบื้องล่างก็สั่นไหว ก่อนที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตะขาบต่างขนาดนับไม่ถ้วนจะวิ่งตามกันออกมาเป็นพรวน บ้างก็ยังอยู่ในหลุม บ้างก็ไต่ขึ้นมาบนขอบ พวกมันทุกตัวล้วนมองขึ้นไปบนฟ้าก่อนส่งเสียงร้องหวีดแหลม
เมื่อเสียงร้องหวีดสะท้อนก้องออกไป ประกายกระบี่อาวุธเทพของหวังเป่าเล่อก็ตกลงมาถึงพื้นผิว ส่งผลให้แผ่นดินสั่นไหว พลังการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและอาวุธเทพ บวกกับพลังเสริมของดาวเคราะห์และเกราะจักรพรรดิ ทำให้ประกายกระบี่นั้นสว่างจ้าราวกับเป็นดวงตะวันที่เผาทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าจนมอดไหม้เป็นจุณ
เสียงครั่นครืนสะท้อนก้องไปทั่วดวงดาว ก่อนที่แรงสั่นสะเทือนจะกระจายตามออกไปและทำลายหลุมนั้นจนแหลก เหลือเพียงหวังเป่าเล่อที่ยืนค้างอยู่กลางอากาศ ผมปลิวไสวไปพร้อมกับสายลม เขาดูราวกับเป็นปีศาจเมื่อเชิดศีรษะขึ้นสูดลมหายใจ
เบื้องหลังเขา ดวงตาปีศาจลืมตาตื่นพร้อมความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันปลดปล่อยความกระหายเลือดและเสียงหัวเราะบ้าคลั่งอยู่ภายในจิตใจของหวังเป่าเล่อ
แต่ภายใต้ฉากหน้าของวิชาสารัตถะของหวังเป่าเล่อ ไม่มีคนนอกคนใดมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้เลย!
บทที่ 749 ทางลัดสู่ระดับเชื่อมวิญญาณ!
ความรู้สึกนี้… หวังเป่าเล่อลอยค้างอยู่กลางอากาศ ผมของเขาปลิวไสว ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง พลังชีวิตที่ดูเหมือนไร้ขีดจำกัดจากบรรยากาศโดยรอบไหลเข้ามารวมในร่าง ก่อให้เกิดกระแสพลังเป็นริ้วๆ ที่ผลักขั้นปราณของเขาให้เข้าใกล้จุดบรรลุขึ้นเรื่อยๆ
ยังไม่พอ! ชายหนุ่มสูดหายใจเข้า ดวงตาเป็นประกายลึกล้ำ เขามองลงไปที่หลุมเบื้องล่าง ก่อนขยับตัวเคลื่อนไหวกลายเป็นเส้นสายรุ้งมุ่งหน้าสู่หลุมถัดมา
ความเร็วของชายหนุ่มแสดงให้เห็นว่าเขาปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดที่ตนเองมี จนมาปรากฏอยู่เหนืออีกหลุมหนึ่งภายในเสี้ยววินาทีไม่ต่างจากฟ้าแลบ หลุมที่สองมีขนาดเท่าหลุมแรก เบื้องล่างเต็มไปด้วยเศษเลือดเนื้อเละๆ บรรยากาศแห่งความตายที่เข้ามาใกล้ตัว ทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หน้าตาเหมือนตะขาบพากันเงยหน้าขึ้นมอง และกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงออกมาพร้อมกัน
ทันทีที่เสียงกรีดร้องดังก้องในอากาศ เหล่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ก็ถูกแขนอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อกำจัดทันที ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือน หลุมอาบเคลือบด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจากกระบวนเวทและอาวุธเทพของชายหนุ่ม วินาทีต่อมา หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าสู่หลุมต่อไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ทุกสิ่งในหลุมถูกกำจัดเสียหมดสิ้นจนราบเป็นหน้ากลอง
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สิ้นชีพและกลายเป็นดวงตาปีศาจที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ พวกมันลอยตามตัวเขาไป ดูเหมือนจะปกคลุมได้ทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ขณะที่ชายหนุ่มมุ่งหน้าสู่เป้าหมายใหม่
หวังเป่าเล่อลงมือสังหารไปนับครั้งไม่ถ้วนภายในเวลาสองชั่วโมง เสียงระเบิดสะเทือนไปในอากาศ ไม่ว่าเขาจะเหาะไปแห่งหนใด หลุมก็พลันล่มสลายลง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดถูกทำลายสิ้น ไม่ว่าจะมีปราณในขั้นกำเนิดแก่นในหรือจุติวิญญาณ ก็ล้วนไม่มีใครหลบหนีการโจมตีของชายหนุ่มไปได้
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามานั่งสนใจเสาะหาทรัพยากรที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องการ สิ่งที่ชายหนุ่มกระหายในตอนนี้ไม่ใช่ทรัพยากร หากแต่เป็น…การพัฒนาระดับพลังปราณของตนเอง!
ในความคิดของหวังเป่าเล่อ ระบบดาวเคราะห์นี้เป็นที่ที่ดีที่สุดในการฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ เนื่องจากไม่มีผลกระทบตามมาหลังจากที่เขาสังหารผู้คน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงกระหายปราณขั้นเชื่อมวิญญาณและพัฒนาการของพลังปราณโดยรวม รวมถึงพลังชีวิตที่ไหลบ่าเข้าร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก
ข้าจะต้องบรรลุปราณ…ขั้นเชื่อมวิญญาณให้ได้ ที่นี่ ตอนนี้!
หวังเป่าเล่อหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้นมีความหวัง เขากำลังจะเดินหน้าสังหารสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ต่อ แต่ก็ก้มลงมองกระเป๋าคลังเก็บและหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาเสียก่อน เสียงโกรธเกรี้ยวกระวนกระวายของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักดังลอดออกจากแผ่นหยกนั้น
“ไอ้หลงหนานจื่อ หยุดสังหารเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ประกายเย็นเยียบก็วาบเข้ามาในดวงตาแดงก่ำของหวังเป่าเล่อ เขากำลังจะพูดตอบ แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ดูเหมือนจะรู้สึกตัวก่อนว่าตนเองพูดจาไม่ค่อยดีกับเขา จึงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนพูดอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ อารยธรรมกลายพันธุ์นี้เหมาะสมเป็นอย่างมากกับการพัฒนาสำนักของเราในอนาคต ข้ารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าและคนอื่นๆ ในสำนักไม่พอใจ แต่ในเมื่อเรามาเจอที่แห่งนี้เข้าแล้ว อีกไม่นานข้าจะออกคำสั่งให้เดินทางกลับบ้าน พวกเราจะกลับไปด้วยกันทั้งหมด!
“และถึงแม้ข้าจะดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ทั้งหมดที่ทำ ข้าทำไปเพื่ออนาคตของสำนักเราเพียงเท่านั้น!”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อได้ยิน แม้เขาจะอยากบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณในตอนนี้ แต่คำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดทำให้เขาเรียกสติตนเองกลับมาได้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าความคิดของตนถูกความกระหายเลือดครอบงำ และก่อนหน้านี้เขาก็หย่อนยานเกินไปจึงทำให้จิตของดวงตาปีศาจเข้ามาครอบงำได้
“เจ้ากลัวสิ่งใดกัน แค่ทำลายร่างของหลงหนานจื่อนี่ ทำลายพวกมันให้หมดทุกคน จากนั้นก็ทำลายระบบดาวเคราะห์นี้ให้มันสิ้นซากไปเสีย แล้วเจ้าจะบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแน่นอน!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เสียงของจิตแห่งดวงตาปีศาจดังกังวานในหัว ดูเหมือนมันจะต้องการครอบงำจิตใจของเขาต่อไป
ไร้สาระ! ชายหนุ่มคิด แม้ว่าจิตของดวงตาปีศาจจะมีอิทธิพลต่อจิตใจเขา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ต่อให้เขาฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าภายใต้อิทธิพลของดวงจิตนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรถ้าไม่ได้ทำเรื่องที่เกินกว่าเหตุ
แต่เนื่องจากตัวเขาต้องอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกสักพัก และหากเปลี่ยนตัวตนบ่อยเกินไปจะเสี่ยงถูกจับได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลดจำนวนการฆ่าลงในอนาคต และสำแดงพลังปราณของตนให้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเท่านั้น
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่ก็เริ่มสะสมความไม่พอใจในตัวหวังเป่าเล่อขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเวลาที่ทุกคนในสำนักนัดกันไว้ก็มาถึง ทุกคนทะยานออกจากดาวที่ตนเองอยู่เข้าสู่ห้วงอวกาศ พร้อมทรัพยากรจำนวนมากที่เก็บเกี่ยวมาได้
เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ความกลัวหวังเป่าเล่อในดวงตาของผู้อาวุโสลำดับห้านั้นชัดเจน จิตสังหารของหวังเป่าเล่อ ประกอบกับพลังปราณที่แข็งกล้าจากร่างกายของชายหนุ่มก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้อาวุโสผู้นั้นรู้ได้ว่าแม้หลงหนานจื่อจะดูเหมือนคนที่สงบนิ่งรักสันติ แต่แท้จริงแล้วแอบซ่อนความโหดเหี้ยมกระหายเลือดเอาไว้ภายใน
เห็นทีข้าจะต้องอยู่ห่างจากหมอนี่เอาไว้เสียแล้ว!
ขณะที่ทุกคนเข้ามารวมตัวกัน และขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นเริ่มจัดสรรทรัพยากรที่ตนเองหามาได้นั้น ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงขั้นปราณที่เปลี่ยนไปของหวังเป่าเล่อผู้มีสีหน้าเรียบเฉย สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงความอำมหิตที่ฉายออกจากร่างของชายหนุ่ม
ประกายแสงวาบเข้ามาในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุด เขากดความไม่พอใจในตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ชั่วคราว ก่อนเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ
“ของที่ปล้นมาในคราวนี้มากพอที่จะช่วยให้เราไถ่สำนักกลับคืนมาได้ตอนที่กลับไป นอกจากนี้ยังมีเหลือเกินให้ใช้อีกด้วย แต่หากจะกลับไปเช่นนี้คงเรียกได้ว่าเสียเที่ยว ข้าขอเสนอให้พวกเรามุ่งหน้าต่อไป!”
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหน้า แม้จะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ทุกคนคงทำได้แค่จำใจยอมทำตามเนื่องจากแรงกดดันที่มาจากผู้อาวุโสสูงสุด แต่หลังจากที่ช่วงชิงทรัพยากรมาได้ไม่น้อยในคราวนี้ พวกเขาก็รีบรับคำอย่างกระตือรือร้น เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ทิ้งหมู่ดาวอารยธรรมกลายพันธุ์ไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น
หลังจากที่ออกมาได้ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็ถอดจิตออกจากร่างอวตาร ชายหนุ่มขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็หายตัวออกจากเรือบินรบในทันที กระบวนเวทสารัตถะทำให้หวังเป่าเล่อออกจากเรือบินรบมาได้โดยไม่มีใครรู้ตัว
แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังตรวจจับไม่ได้ ว่าหวังเป่าเล่อกลายร่างเป็นหมอกสีดำที่พวยพุ่งออกจากเรือบินรบไปในห้วงอวกาศด้วยความเร็วสูง เพื่อกลับไปยัง…อารยธรรมกลายพันธุ์แล้ว!
เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อย หมอกมืดหวังเป่าเล่อก็รวมร่างกลายเป็นกายเนื้อ ประกายประหลาดวาบเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่มที่กำลังโบกมือกวาดลงข้างล่างอย่างรุนแรง ทันใดนั้น ดวงตาปีศาจมากมายก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา แม้ดวงตาเหล่านั้นจะยังไม่ลืมตาตื่น แต่จำนวนที่มหาศาลของพวกมันก็ทำให้ดูน่าเกรงขามเป็นอันมาก เกราะจักรพรรดิปรากฏขึ้นบนกายของชายหนุ่มพร้อมแขนอาวุธเทพที่แขนขวา พลังปราณของเขาระเบิดออกมาไร้ขีดจำกัด
เมื่อรวมเข้ากับพลังจากดาวเคราะห์ของวิญญาณจุติดวงดาราแล้ว พลังของชายหนุ่มก็กระจายไปทั่วห้วงอวกาศจนทำให้บริเวณโดยรอบบิดเบี้ยว
เอาละ…ได้เวลาครอบครองปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว! หวังเป่าเล่อยิ้มกริ่มพร้อมทะยานไปข้างหน้า ตรงไปยังดาวเคราะห์ดวงที่ใกล้ที่สุด!
เมื่อมองจากระยะไกล หวังเป่าเล่อดูเหมือนปีศาจร้ายผู้มาพร้อมเปลวไฟอเวจีที่กัดกินท้องฟ้าก็ไม่ปาน!
เขาเข้าไปยังบริเวณของดาวดวงแรกอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงฟ้าคำรามก้องที่สะท้อนสะเทือนไปทั่ว สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทุกตัวล้มลงแทบเท้า ถูกสังหารเหี้ยนหายไปในทันที!
พลังชีวิตเข้มข้นมหาศาลไหลบ่าเข้าสู่ร่างของหวังเป่าเล่อ ดวงตาปีศาจเบื้องหลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดยักษ์ในอวกาศ เมื่อดวงตานับไม่ถ้วนโผล่ปกคลุมทั่วพื้นผิวของดวงดาว พลังของมันก็ทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทุกชนิดในระบบดาวเคราะห์ตื่นตัว
เสียงกรีดร้องแหลมสูงชวนขนลุกกังวานไปทั่ว แผ่นดินไหวอุบัติขึ้นในดาวดวงที่สาม ตะขาบสายรุ้งยักษ์ลำตัวยาวอย่างน้อยสามร้อยเมตรพุ่งออกจากใต้ดิน พลังปราณที่กระจายไปในอากาศของมันอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น ดวงตาเอ่อล้นด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต ร่างกายปกคลุมด้วยหมอกสีเทา มันหันหน้ามองไปยังดาวที่หวังเป่าเล่ออยู่ ร้องคำรามดังลั่น และกระโจนขึ้นไปในอากาศทันที กลายสภาพเป็นเส้นสายรุ้งพุ่งเข้าหาชายหนุ่ม
นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อีกสามตัวที่ตื่นขึ้นเพราะเขาเช่นกัน ตัวหนึ่งมีปราณอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น อีกตัวอยู่ที่ชั้นกลาง ส่วนตัวสุดท้ายอยู่ที่ชั้นปลาย พวกมันกระโจนออกสู่ห้วงอวกาศพร้อมกัน พุ่งออกจากดาวของตนเองมุ่งหน้ามาหาหวังเป่าเล่อ!
หวังเป่าเล่อลอยอยู่กลางอากาศเหนือดาวของเขา ทุกสิ่งเบื้องล่างถูกสังหารราบคาบ เบื้องหลังอัดแน่นด้วยดวงตาปีศาจที่แทบจะบดบังท้องฟ้าจนมืดมิด!
ในที่สุดก็มีตัวใหญ่ออกมาเสียที! ชายหนุ่มหรี่ตา เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งสี่อยู่ลิบๆ ตรงขอบฟ้า เขาก็ฉีกยิ้มกริ่ม แทนที่จะถอยหนี หวังเป่าเล่อกลับกระโจนขึ้นในอากาศ ปลดปล่อยพละกำลังของตนเองในทันที เขาพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ทั้งสี่ พร้อมด้วยดวงตาปีศาจสีดำสนิทนับไม่ถ้วนเบื้องหลัง และแรงอาฆาตเข้มข้นที่พวยพุ่งหมายกลืนกินทุกสิ่ง!
บทที่ 750 เปลวไฟสีดำสังหารสิ่งมีชีวิต...
ความเร็วของหวังเป่าเล่อเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้า ราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นลูกธนูไฟที่กำลังพุ่งแหวกอากาศ มุ่งทะยานไปยังสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ พวกมันระเบิดรังสีสังหารของตนออกมาทันที แม้ปัญญาวิญญาณจะมีจำกัด แต่สัญชาตญาณความกระหายเลือดก็ทำให้พวกมันรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นเหยื่ออันโอชะ
ทั้งสองฝั่งพุ่งเข้าประสานงากันบนอากาศในทันที สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่อ้าปากกว้างออกพร้อมเพรียงกัน พ่นเปลวไฟสีเขียวซึ่งไม่ใช่เปลวไฟธรรมดาออกมา ความร้อนของเปลวไฟเหล่านั้นรุนแรงมากเสียจนเผาไหม้ได้แม้กระทั่งความว่างเปล่า ถือว่าเป็นอันตรายมากกับดวงวิญญาณทั่วไป
เปลวไฟสีเขียวจากสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ก่อให้เกิดทะเลเพลิงที่ล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ หากมองจากระยะไกล มันดูราวกับเป็นลูกไฟสีเขียวขนาดยักษ์เลยทีเดียว!
ลูกไฟยักษ์นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวอย่างน้อยสามกิโลเมตร พลังงานความร้อนที่แผ่ออกมาสูงเสียจนสามารถทำให้ดาวเคราะห์เหือดแห้งได้ พลังกดดันที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นสะท้านเพราะยากที่จะต้านทานได้ไหว หากพลังกดดันรุนแรงนี้ยังส่งมาอย่างต่อเนื่อง ดาวทั้งดาวอาจล่มสลายก็เป็นได้!
จริงอยู่…ที่พลังการต่อสู้ซึ่งสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ส่งออกมานั้นยิ่งใหญ่รุนแรง ลูกไฟยักษ์ก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณต้องอกสั่นขวัญแขวน นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ยังโหดเหี้ยมอำมหิต พวกมันปล่อยลูกไฟออกมาจัดการศัตรูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ราวกับว่าการเผาหวังเป่าเล่อให้เป็นตอตะโกยังไม่สาแก่ใจ แต่กลับต้องการฉีกเขาเป็นชิ้นๆ และกินเขาเข้าไปทั้งตัว
ตอนนั้นเองร่างเงาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ก็หายไปจากด้านนอกของลูกไฟสีเขียว พวกมันแหวกเข้ามาในลูกไฟ พุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อที่กำลังติดกับและถูกไฟเผาผลาญอยู่!
ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะจบสิ้นแล้วในคราวนี้ เพราะสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ล้วนมีปราณอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ดังนั้นตอนที่ใครคนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของดาวเคราะห์แสนไกลดวงหนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้เข้า เขาจึงคิดไปว่าหวังเป่าเล่อต้องจบชีวิตลงที่นี่อย่างแน่นอน!
หลงหนานจื่อมีความลับซ่อนเอาไว้จริงๆ เสียด้วย ร่างจริงของข้าไม่ได้รู้สึกตอนที่มันออกจากเรือบินรบเพื่อกลับมายังที่แห่งนี้แม้แต่น้อย ด้วยขั้นปราณอันสูงส่ง ร่างนี้จึงสามารถมองเห็นฉากการต่อสู้จากดวงดาวในระยะไกลได้ แม้จะเป็นเพียงร่างอวตารก็ตาม
ร่างของคนผู้นี้ไร้ซึ่งเค้าโครงจนกลมกลืนแนบสนิทไปกับความมืดมิด มันเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ใกล้เคียงกับร่างอวตารเงาที่สร้างขึ้นโดยกระบวนเวทพิเศษ
ดูเหมือนว่าหลงหนานจื่อจะพบความลับของอารยธรรมนี้เข้า แต่ถึงอย่างไรมันก็ไปต่อไม่ได้แล้ว มันประเมินตนเองสูงไป ตัวเองมีปราณอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแท้ๆ แต่กลับกล้าทำตัวอวดดีในอารยธรรมกลายพันธุ์นี้เสียได้ เงานั้นหัวเราะเยาะ ร่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจากเงามืดเบื้องหลัง ใบหน้าที่ปรากฏคือใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าร่างที่อยู่ที่นี่คือร่างอวตารของเขา!
แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ให้มันดึงความสนใจของไอ้พวกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เชื่อมวิญญาณไป ข้าจะได้มีโอกาสไปชิงผลดารานิรันดร์มาเป็นของตัวเอง! ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หัวเราะออกมาเบาๆ เขาหันไปมองดารานิรันดร์ที่กำลังจะแตกสลายของอารยธรรมนี้ด้วยแววตาที่มีเปลวไฟลุกโชติอยู่ภายใน และขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตรียมพุ่งเข้าใส่ดาวดวงนั้นในทันที
แต่ในตอนที่เขากำลังจะขยับตัวนั้นเอง เสียงดังสะท้านสะเทือนพร้อมด้วยเสียงหวีดร้องแหลมสูงสี่เสียงก็ดังมาจากดาวเคราะห์ดวงที่หวังเป่าเล่ออยู่
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ชะงักค้างกลางอากาศ ก่อนหันหลังกลับมามองตามสัญชาตญาณ สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาถึงกับต้องหรี่ตา สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ภาพนั้นทำให้ร่างอวตารตกใจคุมสติไม่อยู่จนต้องอุทานออกมา “เป็นไปไม่ได้!”
ในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ฉายให้เห็นภาพของหวังเป่าเล่อที่ติดกับอยู่ในดาวเคราะห์ เปลวไฟสีเขียวซึ่งห้อมล้อมตัวเขาเอาไว้แปรเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เปลวไฟสีเขียวพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม!
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในวินาทีต่อมา เปลวไฟสีดำภายในลูกไฟก็กลืนกินสีเขียวทั้งหมด จนกลายเป็นสีดำสนิท!
เปลวไฟสีดำของบุตรแห่งความมืดนั่นเอง!
สีของเปลวไฟเปลี่ยนไปในพริบตา เปลวไฟสีดำระเบิดออกมาล้อมเปลวไฟสีเขียว ก่อนกระจายออกสู่ชั้นบรรยากาศภายนอกอย่างรวดเร็ว กระแสพลังนั้นมาพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นที่สะท้อนก้องไปทั่วอวกาศ ภายในเปลวเพลิงนั้น จะเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาเหมือนตะขาบสี่ตัวกำลังหนีหัวซุกหัวซุน พวกมันเองก็ตกใจและหวาดกลัวไม่แพ้กัน ต่างก็กำลังพยายามหนีออกจากใจกลางของทะเลเพลิงนั้น!
แต่สายไปเสียแล้ว!
ที่ใจกลางทะเลเพลิง เงาที่มีรูปร่างคล้ายปีศาจของหวังเป่าเล่อขยับตัวและหายไปในฉับพลัน พลางมาปรากฏอยู่ข้างสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์คล้ายตะขาบตัวหนึ่ง ไม่ว่ามันจะพยายามดิ้นหนีหรือกรีดร้องเพียงใด ก็หนีจากเงื้อมมือมัจจุราชไปไม่ได้ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ขณะคว้าตัวสัตว์ร้ายนั้นด้วยมือขวา!
เสียงดังลั่นปะทุขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูงของสัตว์ร้าย ร่างของมันหดยุบเข้าเป็นก้อน ไหม้สลายเป็นจุณจนมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่และกลายเป็นอาหารให้ดวงตาปีศาจ ดวงวิญญาณของมันพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ…ก่อนก่อกำเนิดเป็นดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม!
เมื่อเทียบกับดวงตาอื่น ดวงตาดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาเห็นเพียงว่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนั้นตายหลังจากที่หวังเป่าเล่อจับตัวเอาไว้ และพลังชีวิตของมันก็ถูกชายหนุ่มดูดกลืนเข้าไป!
แต่ต่อให้รู้เพียงเท่านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังตกใจไม่น้อยอยู่ดี การสังหารยังไม่จบลงเท่านั้น สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่เหลืออีกสามตัวพยายามหลบหนีจากทะเลเพลิง กระนั้นก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่หนีไม่พ้น
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สองตัวหนีหัวซุกหัวซุนตามๆ กันไป ตัวที่สามออกจากทะเลเพลิงไปได้ครึ่งทาง แต่ก็ถูกแรงดูดมวลมหาศาลหยุดไว้เสียก่อน ร่างของมันสั่นอย่างรุนแรงก่อนถูกดึงมาด้านหลัง กลับเข้าสู่เงื้อมมือมัจจุราช พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หวังเป่าเล่อพุ่งออกจากทะเลเพลิงมาคว้าหัวของมันเอาไว้
หนวดของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หน้าตาคล้ายตะขาบสั่นระริก พุ่งเข้าพันเกี่ยวแขนของหวังเป่าเล่อหมายจะฉีกกระชากออก แต่พลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราก็สำแดงฤทธิ์ออกมาในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อบีบหัวมันอย่างแรงด้วยมือขวา ทำลายศีรษะของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่มีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นแหลกคามือ!
ดวงตาปีศาจอีกดวงปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังชายหนุ่ม ร่างโชกเลือดไส้ทะลักของสัตว์ร้ายหายไปทันทีด้วยอำนาจของเปลวไฟสีดำ โดยไม่แปดเปื้อนชายหนุ่มแม้แต่น้อย
ภาพนี้ทำให้หนังศีรษะของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ชาด้านไร้ความรู้สึก แต่เรื่องน่าตกใจยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ในวินาทีต่อมา ทะเลเพลิงสีดำนอกกายหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นปากขนาดใหญ่เท่าท้องฟ้า ปากนั้นมาเปี่ยมไปด้วยพลังอาฆาตรุนแรง ที่พร้อมกลืนกินสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อีกสองตัวที่กำลังพยายามหนี!
ความเร็วของปากยักษ์ทำให้สัตว์ร้ายทั้งสองหนีไปไม่พ้น พวกมันถูกทะเลเพลิงไหลบ่าเข้าท่วมตัวในทันที เสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยความเจ็บปวดสะท้อนไปในอวกาศ พลังของหวังเป่าเล่อระเบิดออกสู่ภายนอกอีกครั้งขณะที่เขาก้าวเดินออกจากทะเลไฟสีดำ!
พลังปราณของชายหนุ่มพุ่งขึ้นสูงโดยไม่อาจควบคุมได้ขณะที่เขากำลังพยายามบรรลุขั้น กระนั้น…รากฐานของชายหนุ่มก็แข็งแกร่งเกินไป พลังทั้งหมดนี้อาจทำให้ผู้ฝึกตนธรรมดาบรรลุได้ไม่ยาก แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ เขายังต้องการพลังมากกว่านี้เพื่อที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้สำเร็จ!
แม้มันจะทำให้ชีวิตเขาลำบากขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นความลำบากที่ดี เพราะมันหมายความว่าเมื่อหวังเป่าเล่อบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ พลังการต่อสู้ของเขาจะแซงหน้าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันไปไกลโข ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้กระวนกระวายใจแต่อย่างใด เขาปล่อยให้ทะเลเพลิงภายนอกกายโหมกระหน่ำ ขณะที่มองไปยังดาวดวงอื่นๆ
“ในเมื่อทั้งหมดนี้ไม่พอให้ข้าบรรลุขั้น ข้าก็จะฆ่ามันให้หมดจนกว่าจะบรรลุขั้นก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง สายตาแหลมคมมองไปยังจุดที่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ ก่อนตัดสินใจเมินเฉยเสีย เขาพุ่งตัวไปที่ดาวดวงต่อไป…และเดินหน้าสังหารทุกอย่างที่ขวางหน้าอีกครั้ง
นอกจากหนังศีรษะของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะชาจนไร้ความรู้สึกใดๆ แล้ว เขายังตกใจจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ ร่างกายสั่นสะท้าน สัญชาตญาณส่วนลึกบอกว่าต้องรีบหนีออกไปจากที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด
ดูดกลืนชีวิตเพื่อนำมาต่อยอดพลังปราณของตนให้สูงขึ้นจนประมาณไม่ได้ หรือว่านี่จะเป็น…พลังพิเศษในตำนานของราชวงศ์ วิชาแห่งเทพ ถึงจะดูไม่ตรงกับคำอธิบายที่ข้าเคยอ่านมา แต่อย่างไรก็ต้องเป็นพลังเวทพิเศษชั้นสูงที่คล้ายคลึงกันอย่างแน่นอน! แม้ร่างอวตารจะสั่นเทา แต่ใจของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์กลับสะกดความต้องการและความโลภของตนเองเอาไว้ไม่อยู่!
“ถ้าข้าได้ครอบครองกระบวนเวทนี้ละก็…” เขาพึมพำกับตนเองโดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำตัวผิดแผกไปจากนิสัยของตนยามปกติมาก!
ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ความต้องการที่จะครอบครองกระบวนเวทนั้นรุนแรงมากเสียจน…เข้าครอบงำเหตุผลในใจไปหมดสิ้น!
บทที่ 751 หรือจะถูกราชวงศ์สิงสู่
ความโลภนี้เข้าครอบงำโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มีเพียงร่างอวตารของตนเองที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ซึ่งอ่อนแอกว่าร่างจริงของเขาเป็นอย่างมาก แม้จะมีพลังบางส่วนที่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณมี แต่ก็ต่อกรได้เพียงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถจัดการหวังเป่าเล่อได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้เขายังเห็นด้วยตาตนเองว่าหวังเป่าเล่อโจมตีคู่ต่อสู้อย่างไร รวมทั้งได้เห็นความตายแสนประหลาดที่ดูเจ็บปวดเหลือทนของเหล่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ด้วย ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะทำให้คนธรรมดาซึ่งยังพอมีสติอยู่บ้างล้มเลิกความคิดที่จะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
แต่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังถูกครอบงำด้วยความโลภที่ควบคุมไม่ได้ ความโลภนี้เหมือนไฟโหมกระหน่ำ ลุกท่วมเผาทำลายเหตุผลในความคิดจิตใจเขาเสียหมดสิ้น
ทว่า…ขณะที่สติของเขากำลังจะเหือดหายไปหมด จนทำให้เขาเกือบจะพุ่งออกไปโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ ล้มเลิกความคิดที่จะเร้นกายและกระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อราวกับตั้งใจปลิดชีพตนเอง เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากดารานิรันดร์ที่กำลังดับสลาย พร้อมๆ กับที่ดาวดวงซึ่งหวังเป่าเล่อไปเยือนอยู่สั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทุกชนิดถูกสังหารหมดสิ้น เสียงนั้นฟังดูเก่าแก่เหนือกาลเวลา พลังที่มาก่อนกาลระเบิดออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ!
พลังที่ระเบิดออกมาทำให้เกิดกระแสปั่นป่วนในห้วงอวกาศของอารยธรรมกลายพันธุ์ หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงเหตุการณ์ผิดปกตินี้ได้ทันที และเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อย ดวงตาปีศาจนับไม่ถ้วนที่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มองไม่เห็น ต่างพากันขยับถอยหลังไปไม่ไกลมาก แม้พวกมันจะยังคงหลับใหลอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่ใกล้ตัว
อาจเพราะการล่าถอยของดวงตาปีศาจ ทำให้ความโลภรุนแรงจนอธิบายไม่ได้ของร่างอวตารเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลกลับมาอีกครั้ง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่มากด้วยประสบการณ์ เมื่อสติสัมปชัญญะของเขากลับมา เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าก่อนหน้านี้ตนเองทำตัวประหลาดจากยามปกติเพียงใด
เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผากทันทีที่รู้สึกตัว สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดพลันเปลี่ยนไป ความตกใจที่เข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เขาไม่อยากอยู่ในที่แห่งนี้อีกต่อไป ขณะที่กำลังคิดจะหนี เสียงสะเทือนก็จากดวงดาวนิรันดร์ที่กำลังจะดับสลายก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง!
อาการสั่นสะเทือนนี้ทำให้กระแสพลังปั่นป่วนเป็นริ้วๆ อีกครั้งในห้วงอวกาศ ความกระหายการต่อสู้ปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าบนดาวที่กำลังจะดับสูญดวงนั้น มี…สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ขั้นสุดยอดอาศัยอยู่!
ถ้าข้าฆ่าไอ้นั่นได้ ข้าต้องบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแน่นอน! เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่คิดเป็นความจริง ดวงตาของชายหนุ่มหรี่เล็ก เขาถีบตัวทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าพร้อมด้วยเสียงดังลั่น ร่างพุ่งทะลวงออกไปเหมือนดาวหางที่ตัดผ่านฟากฟ้ายามค่ำคืน ไม่หยุดยั้งจนกระทั่งพุ่งออกจากบรรยากาศเข้าสู่ห้วงอวกาศไกลโพ้น!
ขณะที่เขากำลังพุ่งไปในท้องฟ้านั้น วิญญาณจุติดวงดารา เกราะจักรพรรดิ อาวุธเทพ และดวงตาปีศาจนับไม่ถ้วนรอบกายก็พร้อมใจกันปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา พลังทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นพลังอำนาจรุนแรงเหมือนกระบี่คมกริบที่ตัดได้กระทั่งดวงจันทร์และดวงดารา หวังเป่าเล่อมุ่งไปข้างหน้าพร้อมอำนาจยิ่งใหญ่นั้น เพื่อไปยัง…ดารานิรันดร์!
ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานไปในอากาศ เสียงคำรามก็ดังติดต่อกันออกมาจากดารานิรันดร์ที่กำลังจะล่มสลาย พื้นผิวของดาวปริแตก เศษหินมากมายนับไม่ถ้วนระเบิดกระจุยลอยคว้างในอวกาศ เทือกเขาหินยักษ์เริ่มก่อตัวอย่างรวดเร็วบนดาวดวงนั้น
เทือกเขานี้ใหญ่โตมโหฬารเหนือจินตนาการ เหนือเทือกเขาเต็มไปด้วยกิ่งไม้มากมายที่แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่มและเชื่อมเทือกเขาเข้าไว้ด้วยกันในพื้นที่หนึ่ง ภาพนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หายใจเร็วรัวอีกครั้ง เพราะเขาสังเกตเห็นแล้ว…ว่าเทือกเขาบนดารานิรันดร์กำลังเคลื่อนไหว!
สิ่งนั้นไม่ใช่เทือกเขา! หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์คล้ายตะขาบขนาดยักษ์ กิ่งไม้ที่เขาเห็นว่าเชื่อม “เทือกเขา” เหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน แท้จริงแล้วเป็นขาและหนวดมากมายนับไม่ถ้วนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์!
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ขยับตัวอย่างรุนแรง ร่างครึ่งบนเหยียดขึ้นเหนือดารานิรันดร์ มันบิดตัวอย่างรวดเร็ว กระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อพร้อมกลิ่นเหม็นเน่า และพลังกดดันรุนแรงน่ากลัวที่ไหลบ่าเข้าท่วมทุกอย่างที่ขวางหน้า ร่างของมันมาพร้อมเสียงคำรามกึกก้องจนเม็ดหินดินทรายสั่นสะเทือน
เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์กลัวลนลานทำอะไรไม่ถูกแล้ว ร่างของเขาสั่นสะท้าน จิตใจพลันว่างเปล่าจากแรงกดดันมหาศาล แต่พลังใจสู้ในตัวหวังเป่าเล่อกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มพุ่งไปข้างหน้าพร้อมเสียงคำรามดังลั่น!
เสียงคำรามของหวังเป่าเล่อดังยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด มันระเบิดออกมาพร้อมเกราะจักรพรรดิที่ปลดปล่อยพลังเต็มขีดจำกัดเช่นเดียวกันกับวิญญาณจุติดวงดารา เมื่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์เข้ามาใกล้ ดวงตาปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนเบื้องหลังเขาก็ลืมตาตื่นในทันที!
ดวงตาปีศาจจำนวนมากเปิดขึ้นพร้อมกัน ปลดปล่อยอำนาจประหลาดที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดวงตาจำนวนมหาศาลก่อให้เกิดพลังมหาศาลตามมาด้วยเช่นกัน วินาทีต่อมา ร่างของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ก็สั่นสะท้านหยุดชะงันอยู่กลางห้วงอวกาศ
แม้อาการนี้จะคงอยู่เพียงเสี้ยววินาที แต่ก็มากเกินพอสำหรับหวังเป่าเล่อ ร่างของเขากลายเป็นกระบี่ที่แหลมคมเสียจนตัดได้กระทั่งห้วงนภา ด้วยอาวุธเทพที่เปรียบเสมือนปลายกระบี่และร่างกายที่เปรียบเสมือนคมกระบี่ ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้าด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนเองมี ขณะที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์กำลังชะงักค้างด้วยอำนาจของวิชาดวงเนตรปีศาจ หวังเป่าเล่อก็พุ่งตรงตัดอวกาศว่างเปล่า ทะลุผ่านทุกสิ่งที่ขวางหน้า เข้าทะลวงร่างของสัตว์ร้ายในที่สุด
เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น เสียงดังลั่นจากแรงปะทะสะท้อนสะเทือนไปในอวกาศ หวังเป่าเล่อไม่สนใจอาวุธเทพที่กำลังสั่นไหว แต่กลับแหวกผ่านชั้นผิวหนังของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์เข้าไปในกายของมันทันที
เมื่อเข้าไปในตัวของสัตว์ร้ายได้ หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยกระบวนเวททั้งสามของตนเอง!
“เมล็ดแห่งการดูดกลืน!”
“เปลวไฟสีดำ!”
“ดวงเนตรปีศาจ!”
กระบวนเวททั้งสามถูกปลดปล่อยในเวลาเดียวกัน พร้อมด้วยอำนาจของดวงตาปีศาจที่สำแดงออกมาเต็มกำลัง พลังที่ผสานกันนั้นก่อให้เกิดหลุมดำที่หมายกลืนกินทุกสิ่ง เมล็ดแห่งการดูดกลืนเสริมความรุนแรงของหลุมดำให้เพิ่มทวียิ่งขึ้นไปอีก ส่งผลให้พลังของดวงตาปีศาจพุ่งสูงขึ้นเกินกว่าที่หวังเป่าเล่อจะควบคุมได้ หลุมดำทะลุผ่านร่างของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เข้าดูดบรรยากาศโดยรอบ!
เปลวไฟสีดำกระจายเข้าล้อมบริเวณโดยรอบทันทีที่ถูกปล่อยออกมา ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นทะเลเพลิงมืดมิด เปลวไฟทำลายล้างพุ่งเข้าครอบงำทุกทัศนวิสัยและความนึกคิด จนทำให้…เปลวไฟเหล่านี้ดูราวกับกำลังจุดห้วงอวกาศให้ส่องสว่าง!
แต่แสงที่ส่องให้อวกาศสว่างไสวนั้นเป็นแสงสีดำ!
แม้จะฟังดูเหลือเชื่อเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน อาจเป็นเพราะกฎแห่งจักรวาลที่แตกต่างไปจากปกติ เปลวไฟสีดำจึงทำให้จักรวาลสว่างไสวขึ้นมาจริงๆ !
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์กรีดร้องเสียงหลง ร่างมันบิดเร่าด้วยความเจ็บปวด ลำตัวเริ่มแห้งเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด ภาพนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ตกใจจนคุมสติไม่อยู่ ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พลันหันหลังกลับและล่าถอยไปในทันที สิ่งเดียวที่เขาคิดในตอนนี้ คือต้องหนีจากที่แห่งนี้ไปให้เร็วที่สุด
สำหรับตัวเขาแล้ว ระดับความอันตรายในห้วงอวกาศไพศาลนี้ มากเกินกว่าที่ตัวเขาจะจัดการได้ด้วยกำลังของตนเองแล้วเมื่อมีหวังเป่าเล่อเพิ่มเข้ามาด้วย ผู้อาวุโสสูงสุดยังก่นด่าความเขลาของตนเองที่ทิ้งร่างอวตารเอาไว้ตรงนั้น หากร่างอวตารของเขาตายไป ร่างจริงก็จะได้รับผลกระทบด้วย
ข้าจะวู่วามไม่ได้ ไอ้หลงหนานจื่อนี่ มันต้องโดนคนจากราชวงศ์สิงสู่เป็นแน่! เมื่อนึกถึงแรงอาฆาตที่เขาเคยรู้สึกต่อชายหนุ่มที่ถูกราชวงศ์สิงสู่ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็รู้สึกผิดมากเสียจนท้องไส้บิดเป็นเกลียวไปหมด
สำหรับตัวเขาแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับราชวงศ์ได้มีเพียงสำนักหลักทั้งสามเท่านั้น หากตัวเขาต้องเข้ามาพัวกันจนทำให้ผิดใจกับราชวงศ์ คงไม่มีวันรอดชีวิตกลับมาอย่างแน่นอน
ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์กำลังเตรียมตัวหนีออกจากดาวเคราะห์ที่ซ่อนตัวอยู่นั้น สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ก็กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจบชีวิตลงบนดวงดารานิรันดร์ที่กำลังจะดับสูญ ร่างของมันกลายเป็นผงธุลีด้วยอำนาจของเปลวไฟสีดำ ก่อนจะกลายเป็นดวงตาปีศาจขนาดยักษ์!
ที่ลูกตาดำของดวงตายักษ์ปรากฏเป็นร่างสูงโปร่งของ…หวังเป่าเล่อ!
ผมของเขาปลิวไสวในสายลม พลังปราณก้าวข้ามขั้นจุติวิญญาณไปเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มปล่อยแรงกดดันของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณออกมาโดยไม่ออมแรง และให้พลังงานจากร่างกายไหลบ่าเข้าท่วมสภาพแวดล้อมโดยรอบ!
พลังปราณนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาสีดำใหญ่ยักษ์ทำเอาวิญญาณของเขาแทบจะออกจากร่าง พลังงานชั่วร้ายบริสุทธิ์ที่ดวงตาแผ่ออกมาดูเหมือนสามารถทำให้ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหวได้ เขาพลันนึกไปถึงกระบวนเวทดวงเนตรหมื่นปีศาจที่ตนเองรู้จัก ทุกอย่างเหมือนกันแทบจะไม่ผิดเพี้ยน เว้นก็แต่ขนาดของดวงตาเท่านั้น
ไอ้หมอนี่ถูกราชวงศ์สิงจริงๆ เสียด้วย!
บทที่ 752 กำราบเต๋อคุนจื่อ!
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เขาย่อมรู้ข่าววงในที่คนอื่นไม่มีวันได้ล่วงรู้ นอกจากนี้เขายังยอมศิโรราบให้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย จึงทำให้รู้ว่าแม้ราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นจะดูเหมือนมีความสัมพันธ์อันดีกับสามสำนักใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วความตึงเครียดระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองจวนเจียนจะเปลี่ยนไปเป็นความขัดแย้งรุนแรงอยู่รอมร่อ
เป็นธรรมดาที่ราชวงศ์จะไม่พอใจหรือยินยอมให้อำนาจการปกครองของตนตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใต้บังคับบัญชา และยิ่งไม่ต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ราวกับเป็นนักโทษที่ถูกจองจำในบ้านพักของตนเอง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ยังรู้ด้วยว่า แม้อำนาจของราชวงศ์จะถดถอยลง แต่รากฐานความแข็งแกร่งอันยืนนาน ยังคงทำให้สามสำนักใหญ่รู้สึกยำเกรงอย่างเสียมิได้
และสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดก็คือ…กระบวนเวทลับสุดยอดของราชวงศ์ วิชาหนึ่งเดียวที่มีเพียงผู้สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะร่ำเรียนได้…วิชาดวงเนตรสวรรค์นั่นเอง!
แต่ในขณะเดียวกันผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังเดาได้ว่า มีรายละเอียดสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของราชวงศ์และสำนักหลักทั้งสามที่เขายังไม่เข้าใจดีนัก
ตัวเขาเองไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนี้แต่อย่างใด ดังนั้นทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังงานรุนแรงที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมา ความต้องการที่จะหนีไปให้พ้นจากที่แห่งนี้ก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก แม้เขาจะไม่เห็นวิชาดวงเนตรสวรรค์จริงๆ ใช้เพียงสัญชาตญาณเบื้องลึกในการตัดสินใจเท่านั้น โดยไม่ได้ตรวจดูอีกรอบให้แน่ใจก่อน
ทว่า…มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
ทันทีที่เขาพุ่งออกจากที่แห่งนั้น เงาของหวังเป่าเล่อซึ่งเดินออกจากลูกตาของดวงตาปีศาจสีดำก็หายตัวไปในฉับพลัน ก่อนมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายในพริบตาเดียวข้างๆ ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์
การปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันของหวังเป่าเล่อทำให้ร่างอวตารสั่นเทา ความกลัววาบเข้ามาในแววตา หัวใจเต้นแรงด้วยความกระวนกระวายที่ซัดโหมเข้ามาในดวงจิต ร่างอวตารนั้นก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ พยายามแสร้งฉีกยิ้ม ก่อนพูดด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“อย่าเข้าใจผิดไป ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าใกล้จะบรรลุขั้นปราณแล้ว ข้าเป็นห่วงจึงตามมาดูเพื่อปกป้องเจ้าจากภัยอันตราย… ฮ่าๆ ยินดีด้วยนะผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ที่ในที่สุดก็บรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ!” ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์แสร้งหัวเราะฝืน ขณะที่เขากำลังหัวเราะอยู่นั้นเอง ก็สังเกตเห็นสีหน้าเย็นชาไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ของหวังเป่าเล่อ และดวงตาตายด้านที่มองเขาอยู่ เสียงหัวเราะฝืดจึงกลายเป็นความกระอักกระอ่วนไปในที่สุด หน้าผากพรายไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ปาดเหงื่อของตนเองทิ้งตามสัญชาตญาณ ต้องการจะพูดบางสิ่งเพื่อทำลายความเงียบงันน่าอึดอัดนี้ เขารู้สึกได้ถึงความอันตรายของสถานการณ์ในตอนนี้ และรู้ว่าหากตนเองไม่ทำอะไรสักอย่างจะต้องสิ้นชีพแน่นอน ด้วยความสามารถในการสังหารของหวังเป่าเล่อและแรงอาฆาต ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะเพิ่มความเร็วของตนให้ไล่ตามเรือบินรบทัน เพื่อพุ่งเข้าไปสังหารร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุด
“ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ข้ายังมีประโยชน์นัก ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ข้า…ข้าเกลียดสำนักหลักทั้งสามมากเหลือ ข้าจงรักภักดีกับราชวงศ์เพียงเท่านั้น สวรรค์และผืนดินเป็นพยานได้!”
หวังเป่าเล่อฟังพร้อมด้วยประกายที่วาบเข้ามาในแววตา สัญชาตญาณของผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้ผิดไปแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่หากเขาไม่เข้าใช้ร่างของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และทิ้งร่างของหลงหนานจื่อ การตายของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณย่อมกลายมาเป็นจุดสนใจของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่ชายผู้นี้รับใช้อยู่อย่างแน่นอน ทว่าชายหนุ่มก็รู้สึกว่าการสังหารผู้อาวุโสสูงสุดและเข้าใช้ร่างอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
ยิ่งเขากระทำการเช่นนี้บ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายที่จะทำสิ่งผิดพลาดขึ้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการทิ้งร่างของหลงหนานจื่อไปเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง เพราะได้ทำความรู้จักและใช้ร่างนี้จนชินมือแล้ว
แม้จะยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีก เช่น กลายร่างเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและเลือกเดินทางแยกไปคนเดียว หรือไม่ก็ปลีกตัวไปถือสันโดษฝึกวิชา แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างเกินจริงไปนิด ทว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายรอดชีวิตกลับไปได้นั้นแย่เสียยิ่งกว่า
ด้วยเหตุนี้…ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังไตร่ตรองข้อดีข้อเสียอยู่นั้น เขาก็ได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดพูดถึงราชวงศ์ จึงยกมือขวาขึ้นคว้าตัวชายตรงหน้าเอาไว้ในทันที!
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ระวังตัวทุกฝีก้าว และพร้อมที่จะหนีไปทันทีที่มีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ความแตกต่างด้านพลังระหว่างคนทั้งสองทำให้เขาไปไหนไม่พ้น แม้ว่าจะพยายามเบี่ยงหลบเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ศีรษะของเขาถูกหวังเป่าเล่อคว้าเอาไว้ได้อย่างฉับพลัน
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ห้วงอวกาศไม่ไกลจากอารยธรรมแห่งนี้นัก ร่างที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ในเรือบินรบก็สั่นสะท้าน ก่อนเปลือกตาจะพลันเปิดขึ้น แม้จะไม่อยากทำ แต่ตอนนี้เขาต้องตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างร่างอวตารกับวิญญาณของตนเองแม้ว่ามันจะทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัสก็ตาม ทว่าวินาทีต่อมาสีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดก็เปลี่ยนไปทันที
ทำไมตัดไม่ได้
ราวกับว่าวิญญาณที่เชื่อมต่อร่างจริงกับร่างอวตารถูกเวทมนต์ทำให้สายสัมพันธ์นั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างกันไม่ได้ ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังตื่นตกใจอยู่นั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่อารยธรรมกลายพันธุ์ก็สว่างโชติช่วงด้วยเปลวไฟสีดำ
“เจ้ากล้าใช้วิชาเวทวิญญาณต่อหน้าสำนักแห่งความมืดกระนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา ประกายความน่าขนลุกในแววตาของเขาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มปล่อยวิชาค้นวิญญาณใส่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในทันที!
หากเป้าหมายของวิชาค้นวิญญาณเป็นร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ หวังเป่าเล่อคงต้องใช้วิชาเพิ่มพลังของตนเองให้มากกว่านี้ แต่สำหรับร่างอวตาร พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณบวกกับวิชาแห่งศาสตร์มืด ทำให้ชายหนุ่มสามารถทำลายปราการป้องกันในจิตใจของผู้อาวุโสสูงสุดได้ในทันที เขาส่งจิตเข้าตรวจค้นความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดผ่านร่างอวตารของอีกฝ่าย!
ผลดารานิรันดร์รึ ใช่แก่นในที่มีความเป็นไปได้ว่าจะปรากฏขึ้นหลังจากที่ดารานิรันดร์ดับสูญหรือเปล่า หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองดารานิรันดร์ที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขาส่วยศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินหน้าสืบค้นความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดต่อ
แม้จะดูความทรงจำย้อนกลับไปไม่ได้มากเนื่องจากเป้าหมายเป็นเพียงร่างอวตาร แต่ก็เพียงพอสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจในที่สุดว่าความเข้าใจผิดของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเกิดมาจากสิ่งใด!
กระบวนเวทลับสุดยอดของราชวงศ์ วิชาดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ผู้อาวุโสสูงสุดเข้าใจว่าดวงตาขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่ม และการเพิ่มขึ้นของพลังปราณของเขาเป็นผลมาจากวิชาดวงเนตรสวรรค์ อีกฝ่ายเข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ คือชายชราสักคนหนึ่งจากบรรดาราชวงศ์ที่เข้าสิงสู่ร่างของหลงหนานจื่อ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าวิชาที่เขาใช้นั้นไม่ใช่วิชาดวงเนตรสวรรค์ แต่เป็นวิชาดวงเนตรปีศาจต่างหาก!
หากวิชาดวงเนตรสวรรค์เป็นกระบวนเวทพื้นฐานของวิชานี้แล้วละก็ วิชาดวงเนตรปีศาจก็คือวิชาดวงเนตรสวรรค์ที่ถูกสำนักแห่งความมืดนำมาดัดแปลง โดยใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นเครื่องมือ!
ส่วนวิชาใดจะแข็งแกร่งกว่ากันนั้น ตอบได้ยากยิ่ง!
ความเข้าใจผิดเช่นนี้…ก็ไม่ได้แย่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาอีกครั้ง ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารผู้อาวุโสสูงสุดในทันที เขายกมือขวาขึ้นทำสัญญาณมือ จากนั้นลูกไฟสีดำก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขาทันที เขาคว้าดวงตาสีดำลูกเล็กจากในดวงตาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังมาไว้ในมือ หลอมมันเข้ากับเปลวไฟสีดำ ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และตบลูกไฟลงบนหน้าผากของร่างอวตาร
ผนึกหลอมรวมเข้าไปในหน้าผากของร่างจำแลงทันที ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างเป็นดวงตา ผนึกนี้ไม่ได้ประทับอยู่บนผิวหนังหรือกระดูกเท่านั้น แต่ยังอยู่บนวิญญาณด้วย จากนั้นหวังเป่าเล่อก็สร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็วด้วยมือข้างเดียว เปลวไฟสีดำในร่างกระจายออกไป แสงมืดเรืองออกจากดวงตาปีศาจใหญ่ยักษ์เบื้องหลัง เข้าเสริมพลังให้กับผนึก การประทับตราลงบนร่างอวตารนี้ทำให้ชายหนุ่มสามารถประทับดวงวิญญาณในร่างที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงสุดได้เช่นกัน!
บนเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในห้วงอวกาศที่ไกลออกไป ร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุดสั่นอย่างรุนแรง เขากระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ขณะที่พยายามต่อต้านการควบคุมวิญญาณด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่ผนึกหน้าตาแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วทั้งสองข้างจนได้
มันคือกระบวนเวทต้องห้ามจากวิชาดวงเนตรปีศาจ เป็นกระบวนเวทแขนงหนึ่งที่สำนักแห่งความมืดสร้างขึ้น มีอำนาจใกล้เคียงกับคำสาปแห่งความตาย ทันทีที่ถูกประทับตรา ชีวิตและความตายของเหยื่อจะตกอยู่ในกำมือของหวังเป่าเล่อ เพียงแค่คิดเขาก็สามารถคร่าชีวิตที่ตนเองควบคุมได้ในทันที และเปลี่ยนให้มันกลายเป็นดวงตาปีศาจอีกดวงหนึ่ง!
ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าอ่านยาก ทว่าหลังจากที่ประทับตราแห่งความตายเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นจับมือของร่างอวตาร ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง
“กลับกันเถิด” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนก้าวไปข้างหน้า ส่วนผลดารานิรันดร์ในความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดนั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นเช่นกัน แต่สัมผัสของเขาบอกว่าผลดารานิรันดร์นั้นได้แห้งเหี่ยวและตายไปนานแสนนานพร้อมกับอารยธรรมที่ล่มสลายนี้แล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกได้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงร่องรอยที่ยังเหลืออยู่ที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ปล่อยออกมาเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของผู้อาวุโสสูงสุด อีกฝ่ายต้องสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างจากผนึกที่เขาประทับลงไปอย่างแน่นอน การปะติดปะต่อเรื่องราวและความเข้าใจผิดจะหยั่งรากลึกลงในใจของอีกฝ่ายขึ้นไปอีก และมันก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดที่ยืนอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อมีสีหน้าอ่านยาก เขาถอนหายใจออกมาเงียบๆ ด้วยความโล่งอก แม้จะโล่งที่ตนเองไม่ถูกฆ่าตาย แต่ก็ขมขื่นกับความจริงที่ว่าชีวิตและความตายของตนไม่ได้อยู่ในความควบคุมของตัวเองอีกต่อไป กระนั้นเขาก็ยังรู้ดีว่านี่อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และตราประทับบนดวงวิญญาณของเขาก็ช่วยยืนยันความคิดนี้ได้เป็นอย่างดี
เอาละ ในเมื่อข้าหนีชะตากรรมนี้ไปไม่ได้ ก็คงทำได้เพียงยอมรับมัน…ข้อดีก็คือ อย่างน้อยข้าก็ยอมรับได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ปลอบใจตนเองอยู่ลับๆ ก่อนบังคับให้ตัวตรงขึ้นเพื่อพยายามตามหวังเป่าเล่อให้ทัน ระหว่างที่กำลังตามชายหนุ่มอยู่นั้น เขาก็คิดหาวิธีการที่จะเข้ากับชายหนุ่มตรงหน้าให้ได้ในอนาคตไปด้วย
ดูเหมือนว่าข้าจะต้องงัดเอากระบวนเวทเก่าเก็บที่ไม่เคยทำสำเร็จเสียทีมาใช้เสียแล้ว คราวนี้ข้าจะต้องพยายามเต็มที่เพื่อให้สำเร็จให้ได้! ผู้อาวุโสสูงสุดคิดอยู่คนเดียวในใจ แววตาวาวด้วยความมุ่งมั่นขณะเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ ประกายแสงโชติช่วงขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง ขณะที่เขาพูดด้วยเสียงดังพอให้หวังเป่าเล่อได้ยิน
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของข้า เต๋อคุนจื่อ จะมาเปลี่ยนไปในช่วงเวลานี้…
“ข้าเคยหลงทางอยู่กับการเดินทางตามความต้องการของตนเอง ใช้เวลามัวเมาไปกับกลเม็ดสกปรกมากมาย ข้าเคยนึกอิจฉาผู้อื่นที่มีพื้นเพยิ่งใหญ่มั่งคั่งสุขสบาย แต่ในตอนนี้…ข้าเข้าใจแล้วว่าตัวเองในอดีตนั้นตื้นเขินเพียงใด นั่นเพราะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้ามีนายท่านให้รับใช้แล้ว! ข้าไม่เคยเชื่อเลยว่าในจักรวาลแห่งนี้จะมีนักบุญผู้บริสุทธิ์โดยเนื้อแท้อยู่ แต่ข้าเชื่อแล้วในวันนี้เมื่อได้เจอกับนายท่าน!”
บทที่ 753 เดินให้ถูกทาง!
หวังเป่าเล่อนิ่วหน้า หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาเย็นเยียบ เขาไม่ได้คาดคิดว่าชายคนนี้จะยอมรับชะตากรรมของตนเองได้รวดเร็ว ถึงขนาดเปลี่ยนมาพยายามยกยอปอปั้นเขาในทันที
มนุษย์ต่างดาวนี่ก็ประจบเป็นด้วยหรือ หวังเป่าเล่อฮึดฮัดอยู่ในใจ ในฐานะผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป ชายหนุ่มพบเห็นพวกชอบประจบประแจงมามากมายในชีวิต เขาจะไม่ยอมกลายเป็นคนประเภทที่ชอบฟังคนอื่นพูดยกยอปอปั้นตนเองเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้าเกือบโดนข้าฆ่าตายแล้วมิใช่หรือ!”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเจือด้วยรังสีสังหาร ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้ยิน ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน เขามองหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้นปรีดาอันไม่มีที่สิ้นสุด หากเข้ามามองใกล้ๆ จะเห็นน้ำตาที่ปริ่มสองเบ้าตา
“นายท่าน ท่านช่างเปี่ยมไปด้วยศีลธรรมอันดี อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทุกวันนี้กลายเป็นสถานที่ที่แสนมืดมนภายใต้การนำของสามสำนักใหญ่ ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวและไม่ยินดียินร้ายต่อความรุนแรงและการสังหาร การที่ข้าได้มาเจอนายท่าน ถือเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตข้าเลยก็ว่าได้!”
“พอได้แล้ว! เต๋อคุนจื่อ อย่าพูดอะไรเช่นนี้อีกเชียวนะ ข้าไม่ชอบฟังคนประจบเอาใจ รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียด้วย!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้ารำคาญใจ ยิ่งมองเต๋อคุนจื่อก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขารู้สึกว่าตัวเองพลาดไปเล็กน้อยที่ไม่ฆ่าหมอนี่ทิ้งเสีย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำท่าฮึดฮัดและเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดก็มีสีหน้าเคร่งขรึมและพูดด้วยท่าทีจริงจังขึ้น
“เต๋อคุนจื่อผู้นี้เชื่อฟังนายท่าน คำพูดของนายท่านเปรียบเสมือนสายลมที่พัดหมอกร้ายให้มลายหายสิ้น ทำให้คนอย่างข้ามองเห็นท้องฟ้าได้แจ่มชัดอีกครั้ง ท่านทำให้ข้ามองเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเรา มอบความหวังให้กับหัวใจที่แห้งแล้งของข้า ร่างสูงโปร่งน่าเกรงขามของท่านเปรียบเสมือนเสาค้ำที่พยุงอารยธรรมของเราเอาไว้ ช่างเต็มไปด้วยความกล้าหาญองอาจสมกับที่เป็นวีรบุรุษ ทำให้ข้า…”
เมื่อได้ฟังครึ่งแรกของคำสรรเสริญที่เต๋อคุนจื่อพูดออกมา ความหงุดหงิดรำคาญในใจของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดในทันทีเหมือนดอกไม้ไฟ เขาหันหน้ากลับมามอง อ้าปากจะปรามเต๋อคุนจื่อด้วยสีหน้าเข้มงวด ชายหนุ่มรู้สึกว่าในฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่และน่ายำเกรง เขาไม่ควรมีคนประจบสอพลออย่างเต๋อคุณจื่ออยู่ข้างกาย เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากมันจะเป็นผลร้ายต่อชื่อเสียงของเขา แต่ก่อนที่จะทันได้อ้าปากก่นด่า หวังเป่าเล่อก็ได้ยินท่อนที่สองของคำสรรเสริญเสียก่อน…
ประโยคที่ยกยอรูปร่างสูงโปร่งตั้งตรงของเขาทำให้หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอออกมา เต๋อคุนจื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปได้ทันที ดวงตาของเขาสว่างวาบ ก่อนเริ่มพูดต่ออย่างรวดเร็ว
“นายท่าน ความจริงแล้วสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้สลักสำคัญอันใดเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ บัดนี้ข้าได้ติดตามวีรบุรุษรูปงามที่ทั้งองอาจและกล้าหาญ เป็นเกียรติยศอันสูงสุดในชีวิตข้าที่ได้ติดตามชายที่หล่อเหลาที่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมด”
หวังเป่าเล่อมองหน้าเต๋อคุนจื่ออยู่นานด้วยสายตาลึกล้ำ สีหน้าของชายหนุ่มอ่อนลงเล็กน้อย เขาลอบถอนใจอยู่คนเดียวในอก
ข้าจะโทษหมอนี่ก็ไม่ได้ เป็นความผิดของข้าเองที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ หล่อเหลาที่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อข้าเป็นฝ่ายเข้าใจผิดเอง หมอนี่ไม่ได้พยายามประจบเอาใจข้า เพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขารู้สึกว่าต่อให้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ก็คงไม่โหดร้ายขนาดห้ามปรามประชาชนไม่ให้สรรเสริญคุณงามความดีของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ การจะบังคับจิตใจประชาชนให้พูดเท็จว่าเขาไม่หล่อเหลานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างยิ่ง
ขณะเดินทางกลับไปยังเรือบินรบแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นั้น เต๋อคุนจื่อที่ได้รับอนุญาตจากหวังเป่าเล่อเป็นที่เรียบร้อย จึงใช้กระบวนเวทเก่าเก็บของตนเองได้อย่างเต็มกำลัง ตลอดทางกลับ เขาสรรเสริญรูปลักษณ์ความงามของหวังเป่าเล่อโดยไม่ซ้ำกันแม้แต่คำเดียว หวังเป่าเล่อที่ฟังอยู่ก็ใจอ่อนลงอีกครั้ง และยิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างลังเลเล็กน้อย
เหตุการณ์นี้ดำเนินไปจนกระทั่งทั้งสองเห็นเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่จอดรอการกลับมาของหวังเป่าเล่ออยู่ ร่างจริงของเต๋อคุนจื่อเดินออกมาต้อนรับเขา ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้ดูขัดเขินแม้แต่น้อย ขณะรับช่วงการประจบหวังเป่าเล่อต่อจากร่างอวตารของตนเอง
หวังเป่าเล่อขัดการพูดประกาศความจริงของเต๋อคุนจื่อ และใช้ข้ออ้างเพื่อค้นวิญญาณร่างจริงของเต๋อคุนจื่อต่อ คำสาปแห่งความตายที่ยังประทับอยู่บนวิญญาณของเขาทำให้เต๋อคุนจื่อไม่กล้าขัด ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงตรวจค้นดวงวิญญาณของเต๋อคุนจื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน และเข้าใจเรื่องราวของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์และสำนักใหญ่ทั้งสาม แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งเช่นกันที่ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับปวดหัวตึบ
นั่นคือการพยายามทำตัวเข้ากับราชวงศ์ให้ได้และหาทางฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจต่อไปนั่นเอง นี่คือเรื่องใหญ่สำหรับหวังเป่าเล่อ อย่างไรเสีย หากเขายังต้องการพัฒนาขั้นปราณของตนเองอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เขาก็ต้องหาภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจให้ได้ หวังเป่าเล่อจะเดินหน้าฝึกปราณต่อไปโดยที่ไม่ใช้วิชาภาคต่อก็ย่อมได้ แต่การใช้วิชาของขั้นจุติวิญญาณเพิ่มพลังปราณให้กับขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นยากเย็นแสนเข็ญไม่ต่างจากการใช้ลูกม้าแรกเกิดลากรถม้าขนาดใหญ่
กระนั้นสมาชิกราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ บัดนี้ถูกจองจำอยู่ในที่พักของตนเองภายใต้คำสั่งเฝ้าระวังของสำนักใหญ่ทั้งสาม และถูกตัดการสื่อสารจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แม้จะยังพอมีวิธีติดต่อกับคนภายนอกอยู่บ้าง แต่ก็ต้องกระทำภายใต้การเฝ้าสังเกตการณ์ของสำนักทั้งสามอยู่ดี
ความเป็นไปได้ที่จะติดต่อสมาชิกราชวงศ์เพื่อขอภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจโดยไม่ให้สมาชิกของสำนักใหญ่ทั้งสามจับได้นั้นเป็นไปได้น้อยมาก ต่อให้เขาใช้กระบวนเวทสารัตถะในการจำแลงกาย ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นแต่อย่างใด ความเป็นไปได้เดียวที่มีคือการสังหารผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะและใช้ร่างนั้นแทนเสีย
แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะก็ใช่ว่าจะสังหารได้ง่ายๆ แม้หวังเป่าเล่อจะสามารถสยบผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ได้ในตอนนี้ เขาก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะอยู่ดี ต่อให้เป็นเพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว
หากโยนทางเลือกนี้ทิ้งไป อีกทางที่เหลืออยู่คือการก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำกองทหารสูงสุด โดยจะมีการคัดเลือกทุกสามสิบปีผ่านการแข่งขันที่ฝ่ายปกครองอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จัดขึ้น ผู้นำกองทหารเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ และได้รับกระบวนเวทเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ
เนื่องจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ปกครองโดยสำนักใหญ่ทั้งสาม ผู้นำกองทหารก็ต้องมาจากสามสำนักนี้ด้วยเช่นกัน นี่ถือเป็นการคานอำนาจกันระหว่างราชวงศ์และสำนักทั้งสาม แต่หวังเป่าเล่อเองก็เห็นเจตนาแฝงของราชวงศ์ที่คนอื่นไม่อาจล่วงรู้ด้วยเช่นกัน
หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าใจการเมืองทั้งหมดภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ การสำรวจวิญญาณของผู้อาวุโสสูงสุดทำให้เขารู้เพียงเรื่องผิวเผินเท่านั้น แต่รายละเอียดเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจของเขาแตกต่างไปแต่อย่างใด เขามั่นใจว่าหากทำสำเร็จ ก็มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะได้กระบวนเวทที่ต้องการมาไว้ในครอบครอง แต่ต่อให้ทำพลาด เขาก็จะยังสามารถใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อหาทางต่อยอดให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการอยู่ดี
กระนั้นการจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกองทหารสูงสุดก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจ ความทรงจำของเต๋อคุนจื่อและความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าผู้นำกองทหารสูงสุดจากสำนักใหญ่ทั้งสาม ล้วนมีพลังปราณอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น
ส่วนผู้นำกองทหารพิเศษนั้น แม้จะไม่ได้มีลำดับชั้นสูงเท่า แต่ก็ยังต้องมีปราณอยู่ในระดับเดียวกัน
ทั้งสามสำนักล้วนมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะอยู่ราวหกถึงเจ็ดคน…ข้าต้องหาทางเพิ่มพลังปราณของตนเองให้ได้! นอกจากนี้แล้ว หวังเป่าเล่อยังตัดสินใจที่จะแทรกซึมเข้าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างเต็มที่ เขาจะใช้สำนักย่อยนี้ในการเข้าไปอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ให้จงได้ จากนั้นเขาก็จะเข้าชิงตำแหน่งผู้นำกองทหารสูงสุดและเฝ้ารอโอกาสที่จะได้กระบวนเวทมาครอบครอง
การเพิ่มพูนพลังปราณนั้นใช้เวลาไม่น้อย แต่หากข้าต้องการเพิ่มพลังการต่อสู้ของตนให้เร็วขึ้นก็ยังมีวิธีลัดอยู่ ซึ่งก็คือ…การใช้เรือบินรบเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั่นเอง! หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากที่ตรวจค้นดวงวิญญาณของเต๋อคุนจื่อหมดทุกซอกทุกมุม เขาก็รู้ว่าเหนือเรือบินรบทั่วไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ยังมีเรือบินรบที่แข็งแกร่งกว่า อันมีนามว่าเรือบินรบเวท!
ปกติแล้วจะมีเพียงผู้นำกองทหารสูงสุดเท่านั้นที่มีเรือบินรบเวทอยู่ในครอบครอง และต้องใช้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะในการควบคุมเรือบินรบเหล่านี้ เรือบินรบเวทเปรียบเสมือนอาวุธเทพที่มีระดับความแข็งแกร่งแตกต่างกันไป
หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเรือบินรบเวทเหล่านี้ถูกหลอมและแยกชิ้นส่วนอย่างไร แต่เขาก็เข้าใจว่าหากหลอมเรือบินรบของตนเองต่อไปเรื่อยๆ มันย่อมสามารถเปลี่ยนเป็นเรือบินรบเวทได้ ด้วยเหตุนี้ความต้องการหาวัตถุดิบการหลอมของชายหนุ่มจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก และความคิดนี้ก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจเขา
ดังนั้นในช่วงเวลาหลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อจึงแสดงขั้นปราณของตนให้อยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางค่อนมาทางปลาย และได้รับการแต่งตั้งจากเต๋อคุนจื่อให้ดำรงตำแหน่งรองผู้นำกองทหารแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ โดยตำแหน่งผู้นำกองทหารเป็นของเต๋อคุนจื่อ
แม้คนอื่นจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเนื่องจากเป็นคำสั่งของเต๋อคุนจื่อ นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังสั่งให้เต๋อคุนจื่อเดินตามหมากของเขา ขณะที่ทั้งสำนักกำลังปล้นสะดมในอวกาศอยู่นั้น พวกเขาก็เจอเรือบินรบลำหนึ่งท่ามกลางซากปรักหักพัง
เรือบินรบที่เจอนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือบินรบที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาด้วยตนเอง เขาใช้เล่ห์กลในการวางมันเอาไว้ให้ทุกคนมาเจอ เรือบินรบลำนี้ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทำให้เสียงต่อต้านของผู้อาวุโสคนอื่นลดน้อยลงเช่นกัน
หวังเป่าเล่อเดินหน้าเก็บวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องพร้อมกองทหารของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนเวียนมาบรรจบครบหนึ่งปี
ในหนึ่งปีนี้ พลังปราณของหวังเป่าเล่อค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ทรัพยากรจำนวนมากที่เขาเก็บมาได้นั้นถูกใช้ไปกับการหลอมเรือบินรบให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนพลังปราณที่แท้จริงของเขาก็เสถียรในที่สุด ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณโดยสมบูรณ์ พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ชายหนุ่มคร่าชีวิตไปมากมายระหว่างการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรนี้ จนเขาเริ่มขี้เกียจเก็บซ่อนพลังปราณที่แท้จริงของตนเอง เขาจัดฉากการต่อสู้ด้วยความช่วยเหลือของเต๋อคุนจื่อ เพื่อให้ตนเองชนะและบรรลุขั้นปราณไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณต่อหน้าทุกคน!
เมื่อพลังปราณของเขาพัฒนาไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณท่ามกลางความริษยาของบรรดาศิษย์แห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์คนอื่นๆ ชายหนุ่มก็สั่งเต๋อคุนจื่อให้เลิกท่องอวกาศที่ดำเนินมานานถึงหนึ่งปี และเตรียมตัวกลับ…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในที่สุด!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น