ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 744-750
ตอนที่ 744 สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในบรรดาทั้งสามคนนี้ ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านมีการฝึกฝนระดับผลึกขึ้นต้น อีกสองคนที่เหลือต่างก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น เดิมทีคิดจะหลบซ่อน แต่ในเมื่อวิหคตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ ก็ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในทันที
ขณะนั้นเอง มีแสงสีทองเปล่งประกายภายในหุบเขา รุ้งกระบี่สีทองที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ พุ่งยิงออกไป ชั่วเวลาเพียงแค่สามอึดใจ ก็พุ่งตามวิหคสีดำจนทัน
ดูเหมือนว่าวิหคตาข่ายเทาจะหวาดกลัวรุ้งกระบี่นี้มาก พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องอย่างลนลาน แสงสีดำเปล่งประกายบนปีกทั้งคู่ ขณะที่กำลังจะเพิ่มความเร็วนั้น ก็ไม่อยากจะกระตุกโดนบาดแผล จึงเอียงตัวทำให้ความเร็วลดลงไปมาก
“ฟิ้ว!”
รุ้งทองคำอาศัยจังหวะนี้พร่ามัวหนึ่งที จากนั้นก็เพิ่มความเร็วไปแทงปีกขวาจนทะลุ
วิหคตาข่ายเทาส่งเสียงร้องอย่างเวทนา รูเลือดบนปีกขวาไหลออกมาอยู่ไม่หยุด ไอปีศาจสีเทาพุ่งออกจากหัวไหล่ของมัน
ไอปีศาจแผ่ขยายออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุหมุนที่สูงหลายสิบจั้ง คมวายุสีดำเทาจำนวนมากพุ่งออกจากพายุหมุน และพุ่งเข้าใส่รุ้งทองคำที่อยู่ตรงหน้า
แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนไร้ผล แสงกระบี่สีทองม้วนตัวหนึ่งที ก็ทำลายพายุหมุนสีเทาได้อย่างอย่างง่ายดาย
หลังจากแสงกระบี่สีทองฟันคมวายุจนแตกกระจายแล้ว ความเร็วของมันก็ดูเหมือนจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย แสงสีทองลำหนึ่งหมุนวนรอบๆ คอวิหคตาข่ายเทาหนึ่งรอบ ครู่ต่อมา โลหิตจำนวนมากก็ทะลักออกมา หัวของปีศาจวิหคกับร่างของมันขาดออกจากกัน และร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ครู่ต่อมา พอแสงกระบี่สีทองดับลง ก็มีเงาร่างสีดำพุ่งออกมา เขามีไอดำจางๆ ปกคลุมอยู่บนตัว และมาปรากฏตัวข้างศพวิหคตาข่ายเทาราวกับปีศาจ
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
หลิ่วหมิงนำขวดเล็กๆ ออกมาดูดวิญญาณของวิหคตาข่ายเทาอย่างไม่รีบร้อน และเริ่มเก็บศพของมัน ชายชุดดำรู้สึกไม่พอใจจึงทะยานขึ้นฟ้าทันที แต่กลับถูกชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านคว้าตัวไว้ และตะคอกด้วยความโมโห
“เจ้าคิดจะทำอะไร รนหาที่ตายหรือ?
จากนั้นชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านก็ส่งสายตาให้หญิงชุดแดงทีหนึ่ง พอโบกแขนเสื้อ เมฆมงคลสามสีก็ปรากฏออกมา และม้วนตัวทั้งสามพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตาดูทั้งสามที่จากไปทีหนึ่ง แต่ยังคงยุ่งกับเรื่องของตนเองด้วยสีหน้าปกติ
ผ่านไปสักพัก แสงสีดำลำหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งไปยังส่วนลึกของเทือกเขา เหลือไว้เพียงเศษซากศพของปีศาจวิหคที่มีสภาพไม่สมบูรณ์เท่านั้น
……
ห่างออกไปหลายสิบลี้ บนเมฆมงคลสามสีก้อนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านหันหน้าไปมองด้านหลังทีหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“พี่ใหญ่ เมื่อครู่ทำไมไม่ให้ข้าลงมือ ใยตรงข้ามมีแค่คนเดียวเท่านั้น มีท่านกับข้าและน้องสามอยู่ พวกเรายังต้องกลัวอะไรอีก?” ชายชุดดำพูดด้วยความไม่เข้าใจ
หญิงชุดแดงที่อยู่ด้านข้างก็แสดงสีหน้าฉงนออกมา และมองไปทางชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่าน
“หึๆ! หากเมื่อครู่เจ้าลงมือจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้คงจะกลายเป็นศพแล้ว ข้ากับน้องสามเองก็คงยากที่จะรอดไปได้” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านมองดูชายชุดดำด้วยสีหน้าเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
ชายชุดดำได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที
“พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าคนเมื่อครู่……” ดูเหมือนหญิงชุดแดงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปทันที
“ไม่ผิด!” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านนำผลึกกลมๆ สีแดงเพลิงออกมา มันมีขนาดแค่กำปั้น และเปล่งแสงสีแดงแวววาวอยู่
“พวกเจ้าเองก็รู้ เคล็ดวิชาแปลงจิตที่ข้าฝึกฝน ทำให้จิตรับรู้เหนือว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ก็ไม่เห็นจะมีที่เหนือกว่าข้าเลย เมื่อครู่ข้าใช้สมบัติที่อาจารย์มอบให้ วัดความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของจิตรับรู้ดูแล้ว จิตรับรู้ของเขาแข็งแกร่งมาก แม้แต่อาจารย์ของเราก็ไม่อาจเทียบได้” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
ชายชุดดำได้ยินย่อมมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง คนผู้นั้นสังหารวิหคตาข่ายเทาได้ภายในเวลาเทียบเท่ากับการชูแขนยกขาเท่านั้น ความแข็งแกร่งของพลังไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถต่อกรได้” หญิงสาวชุดแดงเองก็กล่าวด้วยความตกใจเล็กน้อย
“แต่ว่าชายหนุ่มผู้นั้น ข้ารู้สึกคุ้นหน้ามาก ไม่รู้ว่าเป็นยอดฝีมือจากนิกายใด กลับไปแล้วจะต้องรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์อย่างละเอียด” ขณะที่พูดชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านก็ทำท่ามือไปด้วย ทำให้เมฆมงคลสามสีเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย และพาทั้งสามพุ่งออกไปไกลๆ
……
ผ่านไปเกือบยี่สิบวัน เหนือหุบเขาที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง
แสงหลบหลีกสีดำพุ่งมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ หลังจากหยุดลงเหนือหุบเขาเล็กน้อยแล้ว ก็ร่อนลงไปด้านล่าง
พอแสงสีดำดับลง เผยให้เห็นชายที่สวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
เขาใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณขุดถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งภายในหุบเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเข้าไปอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินภายในถ้ำ และใช้จิตกวาดดูหมึกแปดขาสีฟ้าที่แนบติดกับหน้าอก
หนึ่งปีก่อน หลังจากเขากับอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองบรรลุระดับสำเร็จแล้ว อสูรสมุทรแปดขาตัวนี้ ก็บรรลุสู่ระดับของเหลวขั้นกลางเช่นกัน ไม่เพียงมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนตัวก็ชัดเจนขึ้นมาไม่น้อย กลิ่นไอยังคงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในเวลาหนึ่งปีมานี้ ตอนนี้ได้เข้าใกล้ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว
ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของโลหิตปีศาจสวรรค์ที่มีต่อปีศาจอสูรตัวนี้ จะแข็งแกร่งกว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินเล็กน้อย เพียงแต่ว่ามันไร้ซึ่งสติปัญญาโดยสิ้นเชิง อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณในการดูดซับ ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงจึงเชื่องช้าอย่างหาที่เปรียบมิได้
หลิ่วมิงตัดสินใจไม่รบกวนสหายน้อยผู้นี้ แต่กลับทำความเข้าใจเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิชาสายฟ้าสวรรค์ ในที่สุดเขาก็เริ่มเตรียมการสำหรับเหนี่ยวนำสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว
เพราะผ่านการทำระดับให้มั่นคงมาเป็นเวลานานแล้ว และพลังเวทในร่างเขาก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
แต่ตามที่บรรยายไว้ในคัมภีร์สายฟ้าสวรรค์ ประกอบกับที่หลัวโหวพูดมา การเหนี่ยวนำสายฟ้าสวรรค์เป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก ก่อนอื่นต้องเตรียมการมากมาย และต้องวางค่ายกลใหญ่เพื่อเหนี่ยวนำโดยเฉพาะ
สำหรับเรื่องค่ายกล หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกหน้าแต่อย่างใด ก่อนหน้านั้นก็เคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับจินเทียนชื่อมาจำนวนหนึ่ง รู้ว่าค่ายกลเหนี่ยวนำนี้ง่ายกว่าค่ายกลดารามาก ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมีหินจิตวิญญาณมิติที่เพียงพอ
ผลึกหินที่พบเจอได้น้อยนี้ ล้ำค่าและหาได้ยากกว่าผลึกหินธาตุไฟและธาตุน้ำมาก ด้วยเหตุนี้สิบวันก่อน เขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ปิดบังกลิ่นไอ และปลอมตัวเข้าไปในตลาดบริเวณนั้น เขาจ่ายไปเกือบสิบล้านหินจิตวิญญาณอย่างไม่เสียดาย รวมถึงกวาดซื้อหินมิติจากหลายๆ ร้านไปจนหมด จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่แสดงร่องรอยแม้แต่น้อย
ต่อมา ภายใต้การชี้แนะของหลัวโหว หลิ่วหมิงก็ใช้เวลาสี่ถึงห้าวัน วางค่ายกลใหญ่ไว้ขนยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณนี้สำเร็จ
จากนั้นก็รอพายุฟ้าฝนแล้ว
ดีที่ว่าในช่วงเวลานี้ ในเขตพื้นที่หนานฮวงมีฝนตกค่อนข้างมาก ทำให้ลดความกังวลของเขาไปไม่น้อย
คืนวันหนึ่งหลังจากผ่านไปเจ็ดวัน
พายุบ้าระห่ำส่งเสียงดังอื้ออึง ทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดดูมืดยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้น เมฆครึ้มก็ปกคลุมเต็มท้องฟ้า สายฟ้าขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างราวกับอสรพิษฟาดผ่านตรงขอบฟ้าราวกับคมกระบี่เทพสวรรค์ ครู่เดียวก็ฉีกม่านฟ้าอันมืดมิดออกมา และหยาดฝนก็ตกลงมาเต็มฟ้า
บนพื้นที่ว่างใจกลางยอดเขาบางแห่งในขณะนี้ ค่ายกลยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบสิบจั้งกำลังเปล่งแสงสีดำจางๆ อยู่
หลิ่วหมิงค่อยๆ แยกขาทั้งสองแล้วยืนอยู่บนดวงตาค่ายกล และจ้องมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าสงบ
ด้านนอกค่ายกลขนาดใหญ่ หญิงสาวชุดดำกับเด็กชายชุดเขียวต่างจับจองอยู่ที่มุมหนึ่ง และสังเกตดูความเคลื่อนไหวรอบด้านด้วยสีหน้าสงบ
อย่างที่รู้ว่า การเหนี่ยวนำพลังสายฟ้าเทพนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่อาจถูกรบกวนได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงวางค่ายกลใหญ่เสร็จ ก็วางค่ายกลป้องกันไว้บริเวณนั้นอีกสองสามแห่ง ประกอบกับมีอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองคอยคุ้มกันอยู่ ถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ!
หลังจากเกิดสายฟ้าแลบติดต่อกันแล้ว ก็ตามด้วยเสียงฟ้าร้องอันน่าตกใจ อสรพิษสายฟ้าขนาดใหญ่แต่ละตัวมุดไปมุดบนท้องฟ้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ดวงตาเป็นประกาย มือทั้งสองโบกสะบัดติดต่อกัน พลังเวทเป็นสายๆ ร่วงบนธงค่ายกลที่อยู่รอบด้าน ภายใต้การร่ายคาถา ทำให้ค่ายกลใหญ่เปล่งแสงสีดำออกมา และเริ่มทำการหมุนวนแล้ว
ครู่ต่อมา แสงสีดำก็ปิดบังร่างหลิ่วหมิงไว้ ทั้งยังมีเสียงแผดร้องออกมาอยู่รำไร
เมฆดำบนท้องฟ้าค่อยๆ มารวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือค่ายกลขนาดใหญ่ ราวกับกลุ่มภูเขาที่ถูกเหนี่ยวนำเข้ามา
ภายใต้การรวมตัวของหมอกดำ มันก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ ชี้ไปทางค่ายกลใหญ่ที่อยู่ด้านล่างพอดี
ค่ายกลเหนี่ยวนำที่บันทึกไว้ในวิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ มีอานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ!
หลิ่วหมิงทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยจิตออกไปควบคุมการโคจรของค่ายกลใหญ่ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
โชคดีที่เวลาเป็นเวลากลางคืน มิเช่นนั้นปรากฏการณ์อันน่าตกใจ อาจจะสั่นสะเทือนถึงผู้ฝึกฝนที่อยู่บริเวณนี้ก็ได้
แต่จะเห็นว่ามีสายฟ้าเปล่งประกายในรูขนาดใหญ่ภายในเมฆดำ สายฟ้าแต่ละเส้นพัวพันกันอุตลุด ก่อตัวเป็นเสาสายฟ้าที่มีลวดลายหลากสี
แม้จะอยู่ห่างกันไกล แต่เขายังสามารถรับรู้ได้ว่าเส้นขนบนผิวหนังเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเพ่งตามองทันที!
สายฟ้าห้าสีที่มีขนาดเล็กราวกับเส้นผม พุ่งออกมาจากส่วนลึกของเสียงฟ้าร้อง มันวนไปมาบนอากาศ ซึ่งดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่ว่าสายฟ้าทั้งห้าเส้นจะพุ่งไปที่ใด สายฟ้าแลบทั้งหมดก็พุ่งถอยกลับมา
“คือมันนั่นแหละ”
ตำนานเล่ากันว่า มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของระดับดาราพยากรณ์ และทำความเข้าใจความลึกลับของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ขณะที่ผ่านด่านเคราะห์สวรรค์ ถึงเกิดสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่มีห้าสีนี้ได้
อานุภาพของมันยิ่งใหญ่มาก แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็พูดคุยกันจนหน้าเปลี่ยนสี
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาของเขาดูราวกับบ่อเย็นที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ ร่างกายของเขาไม่ขยับเขยื้อน นิ้วทั้งสิบดีดออกไป แต่ละครั้งที่ดีด ก็จะมีธงขนาดเล็กพุ่งออกไป และร่วงลงบนค่ายกลใหญ่
หลังจากธงเสาสุดท้ายปักลงไปแล้ว ก็เกิดเสียงดังฟู่ๆ! ติดต่อกันมา ลำแสงสีดำขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งยิงออกจากมุมต่างๆ
หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา จะเห็นว่าลำแสงสีดำทั้งหมดพุ่งไปผสานกันอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ รวมตัวเป็นลำแสงสีดำขนาดหลายจั้งก่อนพุ่งไปบนอากาศ
สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในอัสนีบาตรหยุดชะงักเล็กน้อย และค่อยๆ พุ่งลงไปด้านล่าง
พลังเวทของหลิ่วหมิงพุ่งเข้าไปในค่ายกลใหญ่อยู่ไม่หยุด เพื่อควบคุมการโคจรของค่ายกล ลำแสงขนาดใหญ่ยิ่งจางลงเรื่อยๆ
สายฟ้าห้าสีหมุนตัวกลางอากาศรอบแล้วรอบเล่าราวกับสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าค่ายกลเหนี่ยวนำขนาดใหญ่จะปล่อยแรงดึงดูดออกไปมากแค่ไหน มันก็ยังไม่ยอมร่วงลงมา
ตอนที่ 745 ตราประทับสายฟ้าห้าสี
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวเล็กน้อยแล้ว แม้เขาจะมีผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามผลึก และพลังเวทก็หนาแน่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ว่าการควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่คนเดียวเช่นนี้ ยังคงถูกกินแรงไปไม่น้อย
“การฝึกฝนของเจ้าไม่พอ แม้ว่าจะมีค่ายกลเหนี่ยวนำคอยช่วย แต่ดูแล้วก็ยังไม่อาจล่อสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้านี้ได้” น้ำเสียงของหลัวโหวดังขึ้นในสมองของหลิ่วหมิง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ต้องทำอย่างไรดี เกรงว่าพลังเวทของข้าคงไม่อาจยืนหยัดได้นานแล้ว” หลิ่วหมิงถามด้วยความร้อนใจ
“ตอนนี้คงได้แต่หาวิธีการอื่นแล้ว เจ้าเด็กน้อย ใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณของเจ้าล่อสายฟ้าเทพลงมา” หลัวโหวค่อยๆ พูดออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก นี่เป็นถึงสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แม้ว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณของเขาจะเป็นต้นแบบอาวุธเวท แต่หากฟันลงไปโดยตรง จะเกิดความเสียหายหรือไม่
“วางใจเถอะ! กระบี่บินพลังจิตวิญญาณของเจ้าแตกต่างจากกระบี่บินพลังจิตวิญญาณทั่วไป เพียงแค่กระตุ้นพลังดาวแม่เหล็กในนั้น บางทีอาจจะล่อสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาเส้นหนึ่งก็ได้” ดูเหมือนหลัวโหวจะรู้ว่าหลิ่วหมิงรู้สึกกังวลใจอยู่ จึงเอ่ยปากออกมาอย่างราบเรียบ
“ดี! ข้าจะลองดู!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ได้แต่กัดฟันตอบกลับไป
ครู่ต่อมา แสงกระบี่สีทองจางๆ ก็พุ่งออกจากระหว่างคิ้วของเขา มันกะพริบแค่ทีเดียวก็ลอยอยู่เหนือศีรษะ
“เปิด!”
หลิ่วหมิงส่งเสียงตะคอกออกมา มือของเขาทำท่าเคล็ดกระบี่ แสงทรงกลดสีขาวจางๆ ปรากฏออกมารอบๆ กระบี่บิน หลังจากสั่นสะท้านแล้ว ไหมแสงสีขาวจำนวนมากก็พุ่งขึ้นฟ้า
ทันใดนั้น สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าบนอากาศก็ดีดดิ้นราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้ จากนั้นพลันเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ไหมสายฟ้าห้าสีบิดเบี้ยวม้วนหดตัวอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ร่วงลงไป และจมลงไปในแสงสีดำ
“ไม่ต้องสนใจกระบี่บินแล้ว รีบแสดงวิธีปิดผนึกตามที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้าเถอะ!” น้ำเสียงรีบร้อนของหลัวโหวดังเข้ามา
หลิ่วหมิงได้ยิน ก็รีบเก็บจิตบนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และปล่อยให้มันตกลงพื้นเสียงดัง “ตุ๊บ!” ส่วนมือทั้งสองของเขาก็พร่ามัวอยู่พักหนึ่ง และทำท่ามือแปลกประหลาดอย่างรวดเร็ว
ท่ามือเหล่านี้พากันกะพริบผ่านไป ขณะที่ท่ามือสุดท้ายสลายไปนั้น ตราประทับสายฟ้าสวรรค์บนหน้าอกของเขาก็เปล่งแสงออกมา
เขาเพิ่งจะทำทั้งหมดนี้เสร็จ ไหมสายฟ้าห้าสีในลำแสงสีดำก็พร่ามัวกลายเป็นเส้นหลากสีฟันเข้าหาหลิ่วหมิง
“ฮึ่ม!”
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พอส่งเสียงคำราม ก็พลิกฝ่ามือปล่อยสายฟ้าที่มีสีทองกับสีเงินประสานกันไปมา และพุ่งเข้าใส่สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ร่วงลงไป
“ตู๊ม!”
สายฟ้าห้าสีที่ละเอียดเล็กอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ฟันสายฟ้าสีทองเงินจนสลายไป และยังร่วงลงไปด้านล่างด้วยความเร็วที่ไม่ลดน้อยลงแม้แต่เลย
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง แต่มือทั้งคู่พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง ไอดำม้วนออกจากร่างในทันที พริบตาเดียวก็กลายเป็นปราณแกร่งปกคลุมรอบๆ ตัวเขาไว้ ทำให้ร่างของเขาดูคล้ายกับรูปปั้นแกะสลักสีดำ
พอสายฟ้าห้าสีร่วงลงไป ก็โจมตีลงบนม่านแสงสีดำด้านหน้าหลิ่วหมิง
เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ดังติดต่อกันอยู่ไม่หยุด!
หลังจากม่านแสงสีดำสั่นสะท้าน ก็เกิดรูขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งรู
ไหมสายฟ้าห้าสีบิดตัวทีหนึ่ง จากนั้นก็มุดเข้าไปในม่านแสงสีดำ และพุ่งไปยังหน้าอกของหลิ่วหมิงราวกับอสรพิษจิตวิญญาณ
“ฟู่!”
แสงสีทองเปล่งประกายออกจากหน้าอกหลิ่วหมิง มันเกิดจากการที่ตราประทับวิชาสายฟ้าสวรรค์ควบแน่นบนหน้าอกของเขา และไหมสายฟ้าห้าสีก็กะพริบเข้าไป
“อ๊า!”
ความเจ็บปวดราวกับถูกสายฟ้าโจมตีแทรกซึมเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของหลิ่วหมิง แม้เขาจะมีกายเนื้ออันแข็งแกร่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
“รีบสงบจิตลงซะ! โคจรวิชาปิดผนึก เร็ว!” น้ำเสียงของหลัวโหวไม่ดังมาก แต่กลับก้องอยู่ในหูราวกับเสียงฟ้าร้อง
หลิ่วหมิงสงบจิตในทันที มือทั้งสองวาดผ่านกลางอากาศ และทำท่ามือแปลกประหลาดอีกครั้ง ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณก็สั่นสะเทือนขึ้นมาด้วย
หลังจากทะเลจิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน ฟองอากาศแวววาวก็ปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง พอกะพริบหนึ่งที ก็ม้วนไหมสายฟ้าห้าสีที่ดีดดิ้นอยู่ไม่หยุดไว้ และดึงเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็กระตุ้นวิชาปิดผนึกด้วยสีหน้าซีดขาว
ผลลัพธ์คือผลึกพลังเวททั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในร่างสั่นสะเทือนเป็นจังหวะ ไม่นานก็กลายเป็นกรงขังล้อมรอบสายฟ้าห้าสีไว้ และปิดผนึกมันไว้ในนั้น
หลังจากหลิ่วหมิงทำทุกอย่างนี้เสร็จ ถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาที่เพิ่งได้สติกลับมา ถึงรับรู้ถึงความเจ็บใจปวดทั่วร่างกาย เส้นลมปราณตามจุดต่างๆ ภายในร่างกระตุกอยู่ไม่หยุด แม้กระทั้งร่างกายครึ่งหนึ่งก็เกรียมดำโดยไม่รู้ตัว หมดซึ่งความรู้สึก และตราประทับสายฟ้าตรงหน้าอกก็ยังคงอยู่ เพียงแต่กลายเป็นห้าสีเท่านั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น
ดูท่าหากไม่ใช่ว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งพอ และฟองอากาศปรากฏออกมากักขังสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ทันเวลา เขาอาจจะกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วก็ได้
สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับมือได้จริงๆ
หลังจากหลิ่วหมิงพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว ก็พลิกมืออย่างสั่น ๆ หยิบโอสถจินหยวนออกมาเทเข้าไปในปาก
“นายท่าน!”
ขณะนี้ หญิงสาวกับเด็กชายที่อยู่ด้านข้าง ก็พุ่งเข้ามาถึง พอเห็นร่างของหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยบาดแผล ต่างก็หยิบยันต์ชนิดต่างๆ มาแปะลงบนตัวหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง
แสงอันนุ่มนวลเปล่งประกายออกมา ในที่สุดอาการบาดเจ็บของตัวหลิ่วหมิงถึงได้ทรงตัวลง
“ไม่เป็นไร! บาดแผลแค่นี้ข้าไม่ตายหรอก!”
ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา หลังจากพูดปลอบใจทั้งสองไปหนึ่งประโยคแล้ว ถึงนั่งขัดสมาธิลงเงียบๆ ด้านหนึ่งกลั่นเอาพลังของโอสถ อีกด้านก็โคจรเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอย่างเงียบๆ
ขณะที่พลังของโอสถจินหยวนแพร่กระจายออกไปนั้น มันก็กลายเป็นกระแสอุ่นๆ ไหลตามเส้นลมปราณที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ความเจ็บปวดที่แผดเผาเบาลงทันที
และเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ต่างก็คุ้มครองอยู่ข้างกายหลิ่วหมิงอย่างระมัดระวัง และสังเกตดูรอบด้านอย่างถี่ยิบ
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ไปจนฟ้าสาง บาดแผลบนตัวหลิ่วหมิงถึงถูกควบคุมไว้ได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากเก็บค่ายกลบนยอดเขาอย่างรีบร้อนแล้ว หลิ่วหมิงก็พาแมงป่องกระดูกกับหัวบินกลับไปยังถ้ำที่พัก จากนั้นก็เปิดค่ายกลป้องกันภายในถ้ำ ทำให้ทั่วทั้งหุบเขาถูกซ่อนไว้
และเขาก็รีบเดินเข้าไปเก็บตัวในห้องลับทันที
ครั้งนี้หลิ่วหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย หากไม่รักษาอาการให้ดีๆ สักระยะเวลาหนึ่ง เกรงว่าคงทิ้งภัยร้ายไว้ในภายหลังไม่น้อย
ประตูถ้ำปิดเป็นเวลาหลายเดือน
เช้าตรู่วันหนึ่ง หินก้อนใหญ่หน้าถ้ำส่งเสียงดังก้องและแตกเป็นช่องว่าง เงาร่างคนสวมชุดคลุมสีเทากะพริบออกมา และพุ่งขึ้นบนอากาศ เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ช่วงเวลาหลายเดือนมานี้ บาดแผลบนตัวของเขาได้ฟื้นฟูกลับมามีสภาพสมบูรณ์แล้ว เขาดูนิ่งลึกและธรรมดามาก หากไม่ใช้จิตรับรู้กวาดดูอย่างละเอียด อาจจะคิดว่าเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
หลัวโหวกล่าวไว้ไม่มีผิด สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีผลในการควบคุมจิตปีศาจจริงๆ
และเมื่อเขาถูกสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผ่าแล้ว ไม่เพียงแต่กายเนื้อจะยอดเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น แม้แต่การโคจรพลังเวทก็เร็วกว่าก่อนหน้านั้นสองส่วน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ พลังของจิตปีศาจที่เขาสามารถรับรู้ได้ในเมื่อก่อน ก็ดูเหมือนจะถูกสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าควบคุมไว้ได้ชั่วคราว ทำให้เรารู้สึกถึงการหลุดพ้นโดยสมบูรณ์
“ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียสติสัมปชัญญะหลังจากแปลงร่างเป็นปีศาจไปชั่วคราว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค พอขยับแขนขยับขาทีหนึ่งแล้ว ภายในร่างของเขาก็เกิดเสียงดังราวกับเสียงทอดถั่ว ขณะเดียวกันก็แหงนหน้าสังเกตดูบนท้องฟ้า
เขามาหนานฮวงในครั้งนี้ เป้าหมายก็สำเร็จไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว แต่หากจะให้จากไปนั้น มันยังคงเร็วไปหน่อย
ก่อนอื่นเขายังต้องรวบรวมวิญญาณปีศาจจำนวนมากต่อ ประการแรกเพื่อให้ภารกิจนิกายสำเร็จ ประการที่สองจะได้ปรับแต่งภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนเขาสักรอบ
เพราะว่ามีแต่พื้นที่โหดร้ายระดับหนานฮวงเท่านั้น ถึงจะมีปีศาจอสูรที่ดุร้ายเช่นนี้ได้ นี่คือสิ่งที่นิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียนไม่อาจเทียบได้
และด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ก็เริ่มคิดที่จะไปล่าปีศาจอสูรระดับแก่นแท้จำนวนหนึ่งแล้ว เพราะปีศาจอสูรที่ยิ่งแข็งแกร่ง วิญญาณของมันก็จะยิ่งส่งผลดีต่อการปรับแต่งภาพสัญลักษณ์มากเท่านั้น
หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจแล้ว ไอดำก็ม้วนออกจากตัว และพุ่งออกไปบนอากาศ
…….
“โครมคราม!”
ภายในถ้ำธรรมชาติภายใต้ยอดเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนลึกของเทือกเขาบางแห่ง มีหินใหญ่ขนาดร่วงลงมาเป็นก้อนๆ
ไม่นานถ้ำแห่งนี้ก็พังทลายลงมาครั้งหนึ่ง
ขณะนั้นเอง พอมีเงาดำเปล่งประกาย หญิงสาวชุดดำก็มุดขึ้นมาจากพื้น และกลายเป็นแสงสีดำพุ่งออกไปไกลๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
จากนั้น ก้อนหินขนาดใหญ่ที่พังทลายลงมาภายในถ้ำ ก็ถูกพลังมหาศาลสั่นสะเทือนจนกระเด็นออกไป แมงมุมสีแดงขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ พุ่งออกจากถ้ำในทันที
แมงมุมตัวนี้มีสีแดงทั้งตัว ขายาวๆ ทั้งแปดแหลมคมราวกับคมมีด มีเขี้ยวยื่นออกมาราวกับกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยว แลดูน่ากลัวยิ่งนัก
นี่คือแมงมุมจันทราแดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เป็นปีศาจอสูรธาตุหยินที่พบเจอได้น้อยในสถานที่อื่นๆ หลังจากตัวโตเต็มวัยแล้ว ก็จะมีนิสัยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทั้งยังเจ้าเล่ห์อย่างถึงขีดสุด หากผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปคิดจะจับมันล่ะก็ เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้ฝึกฝระดับแก่นแท้ ก็ไม่อาจไปยุแหย่มันได้
ขณะนี้ ดวงตาทั้งสองของมันกลายป็นสีโลหิต ดูเหมือนว่ากำลังโมโหอย่างถึงขีดสุด ขาทั้งแปดขายันอยู่บนพื้น และคิดที่จะพุ่งตามหญิงสาวชุดดำไป
แต่ขณะนั้นเอง พลันเกิดคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลังของมัน จากนั้นเงาร่างสีดำก็ปรากฏออกมา และกำหมัดทุบลงไปด้านล่างโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!
พอจะพูดได้ว่าเขาปรากฏตัวอย่างกะทันมาก โดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อนแม้แต่น้อย
ถามถึงสาเหตุก็คือ หลังจากภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนดูดซับวิญญาณจำนวนมากแล้ว พอทำการกระตุ้น การปิดบังกลิ่นไอก็ยิ่งมหัศจรรย์มากขึ้น จนสามารถหลบพ้นจิตรับรู้ของปีศาจอสูรตัวนี้ไปได้
พอแมงมุมสีแดงรู้ตัว เงากำปั้นสีดำมืดสนิทก็มาถึงเหนือศีรษะของมันแล้ว
แมงมุมสีแดงส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห เท้าทั้งแปดวาดตัวบนพื้นอย่างรุนแรง และหลบออกไปด้านข้าง ขณะเดียวกันก็อ้าปากขนาดพ่นของเหลวที่มีกลิ่นเหม็นคาวลงบนกำปั้นสีดำ
“ตู๊ม!”
ของเหลวสีแดงกับเงากำปั้นสีดำปะทะกันอย่างดุเดือด จนเกิดเสียงระเบิดดังก้อง
จากนั้นเงากำปั้นก็สลายไป แต่ของเหลวอัคคีกลับพุ่งเข้าใส่เงากำปั้น พอหยดลงสู่พื้นก็กลายเป็นหินเต็มพื้น
“ควบแน่นอัคคีเป็นของเหลว สามารถฝึกฝนวิชาอัคคีปีศาจมาถึงขั้นนี้ได้ นับว่าสมกับเป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้แล้ว”
หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็พูดพึมพำออกมา ครู่ต่อมา แสงสีทองก็เปล่งประกายบนระหว่างคิ้วของเขา กระบี่เล็กสีทองเปล่งประกายออกมา มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็ขยายตัวตามแรงลม จนมีความยาวหลายฉื่อ
ตอนที่ 746 เรื่องเล่าลือและเส้นทางขากลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไป!” หลิ่วหมิงตะคอกเบาๆ
กระบี่บินยืดหดตัวและขยายใหญ่ขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งเข้าหาแมงมุมจันทราแดงท่ามกลางแสงแหลมคมที่ปะปนอยู่บนอากาศ
แมงมุมจันทราแดงเห็นเช่นนี้ แสงสีแดงก็เปล่งประกายในแววตา พอได้ยินเสียงร้องดัง แสงสีแดงก็เปล่งประกายบนตัวแมงมุมทันที
พอหน้าผาหินโดยรอบสัมผัสกับแสงสีแดง ก็เกิดการลุกไหม้ขึ้นมาอย่างรุนแรง พริบตาเดียว รอบด้านแมงมุมจันทราแดงก็กลายเป็นทะเลเพลิงไปทั้งแถบ
เปลวเพลิงสีแดงพวยพุ่งอยู่ไม่หยุด และค่อยๆ เผาไหม้เป็นทะเลเพลิงสูงค้ำฟ้า คลื่นอัคคียักษ์ม้วนตัวขึ้นสูงสิบกว่าจั้ง
แมงมุมจันทราแดงไม่ขยับเขยื้อน ร่างของมันจมลงไปในคลื่นอัคคีค้ำฟ้า และถือโอกาสพลอยซ่อนตัวไปด้วย ทำให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณสูญเสียเป้าหมายไปทันที
หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น และร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองเปลี่ยนท่ามือในทันที กระบี่บินพลังจิตวิญญาณหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนจากฟาดฟัน เป็นแสงกระบี่สีทองที่กวาดออกไปพันลี้
พอแสงสีทองเปล่งประกาย คลื่นอัคคีอันคุโชนก็ถูกแสงกระบี่เย็นสะท้านกดดันจนต้องร่นถอยเป็นระยะๆ เผยให้เห็นร่างของแมงมุมจันทราแดงที่ซ่อนอยู่
พออสูรตนนี้เห็นว่าร่างของตนเองถูกค้นพบแล้ว ก็รู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก เท้าทั้งแปดดีดออกไปโดยไม่ต้องคิด และพุ่งหลบไปด้านข้างอีกครั้ง
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา และกระตุ้นเคล็ดกระบี่ทันที
กระบี่บินสีทองพร่ามัวกลายเป็นสายรุ้งอันน่าสะพรึง และม้วนตัวผ่านด้านล่างแมงมุมไป
แมงมุมจันทราแดงส่งเสียงคำรามออกมา ร่างของมันโซเซจนเกือบล้มลงพื้น ขาเล็กๆ ขาหนึ่งถูกแสงกระบี่ปั่นจนแตกละเอียด
แต่ว่าอสูรที่เสียขาไปข้างหนึ่งนี้ กลับถูกกระตุ้นความโหดร้ายออกมาจนถึงขีดสุด ทันทีที่อ้าปากขนาดใหญ่ และแสงสีแดงกะพริบผ่านไป มุกกลมๆ ขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งก็ถูกพ่นออกมา
“แก่นปีศาจ!”
พอหลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง ก็จำของสิ่งนี้ได้ทันที
ดูเหมือนว่าปีศาจอสูรตัวนี้จะถูกหลิ่วหมิงกระตุ้นความโมโหจนถึงขีดสุด และเริ่มที่จะสู้ตายแล้ว
แก่นแท้สีแดงเพลิง หมุนติ้วๆ กลายเป็นลูกเปลวไฟยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่า และพุ่งชนใส่หลิ่วหมิงราวกับฝนดาวตก
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งโดยไม่ต้องคิด ปีกสีเงินคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนหลัง พอกระพือแรงๆ “ฟู่!” ก็หายจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
ลูกเปลวไฟยักษ์ส่งเสียงดัง “ตู๊ม!” และม้วนตัวผ่านจุดเดิมที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่
ครู่ต่อมา เกิดคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลังแมงมุม และเงาร่างพร่ามัวก็ปรากฎออกมา
แต่ขณะนั้นเอง ความบ้าคลั่งในแววตาของแมงมุมจันทราแดงก็หายไปในพริบตา การพ่นแก่นปีศาจออกมาในก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการกระทำโดยเจตนาล่อศัตรูเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ก้นของมันกลับแอ่นขึ้นเล็กน้อย พอแสงสีแดงเปล่งประกาย ใยแมงมุมสีแดงก็ถูกพ่นออกมา และกะพริบไปปกคลุมเงามนุษย์ที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็กลายเป็นรังไหมสีแดงทันที
แมงมุมจันทราแดงส่งเสียงร้องด้วยความลำพองใจ มันพ่นเปลวไฟสีแดงใส่รังไหมสีแดงหนึ่งที จะเห็นว่ารังไหมสีแดงถูกจุดโดยเปลวไฟสีแดงจนเผาไหม้อย่างรุนแรง และกลายเป็นควันสีเขียวในทันที
ขณะนั้นเอง เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
แสงสีทองจางๆ ปรากฏตัวด้านหลังแมงมุมจันทราแดงอย่างไร้สุ้มเสียง มันกะพริบแค่ทีเดียว ก็ฟันใส่หลังแมงมุมที่หลบไม่ทัน
“เพล้ง!”
แสงสีแดงเปล่งประกายบนหลังแมงมุมจันทราแดง ทำให้ผิวของมันแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงไม่สามารถผ่ามันเป็นสองซีกได้ แต่กลับทิ้งรอยบาดแผลลึกๆ ที่ยาวจั้งกว่าๆ ไว้ โลหิตสีแดงเพลิงทะลักออกมา
แมงมุมจันทราแดงได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ร่างของมันก็กลิ้งตัวและกระโดดถอยออกไปหลายจั้ง ดวงตาทั้งคู่มีแสงสีแดงเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนคิดไม่ออกว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงหลุดออกจากใยแมงมุมมาได้
มีความเยาะเย้ยในแววตาของหลิ่วหมิง แม้แมงมุมจันทราแดงตัวนี้จะเจ้าเล่ห์มาก แต่หากพูดถึงประสบการณ์การต่อสู้ ไหนเลยจะเทียบกับเขาได้
สิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในใยแมงมุม เป็นแค่เงาร่างหนึ่งที่เกิดจากการใช้เคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนสร้างขึ้นมาเท่านั้น
เรื่องนี้เขาย่อมไม่ต้องไปอธิบายอะไรให้กับปีศาจอสูรตัวนี้ พอโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินกลางอากาศก็สั่นสะท้าน และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงออกไป
ในที่สุดแมงมุมจันทราแดงก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา ขาทั้งเจ็ดข้างออกแรงพร้อมกัน จากนั้นก็พุ่งออกไปนอกถ้ำ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเยาะ
โครมคราม!
เสาหินแหลมคมสิบกว่าต้นพุ่งออกจากถ้ำบนพื้น และพุ่งใส่ท้องแมงมุมจันทราแดงอย่างรุนแรง แม้ว่าจะไม่อาจแทงทะลุร่างของมันไปได้ แต่ก็ทำให้มันกระเด็นออกไป
ไม่รู้ว่าหญิงสาวชุดดำที่กลายร่างมาจากแมงป่องกระดูกมุดอยู่ในพื้นบริเวณนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และขัดขวางแมงมุมจันทราแดงได้ทันเวลาพอดี
ขณะที่แมงมุมจันทราแดงกลางอากาศยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองนั้น ก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายบนหน้าผาหินบริเวณนั้น เด็กชายเสื้อเขียวมาปรากฏตัวออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง พออ้าปาก ก็พ่นเปลวไฟสีเทาออกมาโจมตีลงบนหัวแมงมุมโดยที่มันไม่ได้ทันได้ระวัง
และเปลวไฟสีเทาของหัวบิน เป็นเปลวไฟเหม็นที่เกิดจากการรวมตัวของไอเหม็นในร่างชนิดหนึ่ง ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากโลหิตปีศาจสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะสามารถปนเปื้อนอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ เท่านั้น ทั้งยังมีความสามารถในการกัดกร่อนอย่างคาดไม่ถึง
ต่อให้ร่างของแมงมุมจะแข็งแกร่งเพียงใด พอถูกเปลวไฟเหม็นนี้โจมตี ก็ต้องร้องอย่างเวทนา และร่วงลงมาโดยตรง
ขณะนั้นเอง สายรุ้งสีทองก็ม้วนตัวเข้ามา และพร่ามัวแยกตัวเป็นสอง แสงแวววาวที่แสงกระบี่สีทองสองลำพุ่งออกมา หมุนวนรอบตัวแมงมุมจันทราแดง และฟันหัวของมันในทันที
“ฉับ!” โลหิตสาดกระเซ็น!
หัวขนาดใหญ่ของแมงมุมหลุดออกจากคอ และร่วงลงพื้น
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป แสงสีดำก็พุ่งขึ้นกลางอากาศ และพุ่งออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว
…….
ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี หลิ่วหมิงพาอสูรเลี้ยงไปสังหารปีศาจอสูรในพื้นที่ต่างๆ ของหนานฮวง เพื่อรวบรวมวิญญาณปีศาจ
สำหรับวิญญาณระดับผลึกขึ้นไป เขาดูดเข้าไปในภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่วนระดับต่ำก็ใส่เข้าไปในขวดเล็กโดยตรง กลับไปนิกายแล้วจะได้นำไปแลกแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่ง
ครั้งนี้เขาวิ่งไปตามสถานที่ต่างๆ ของหนานฮวงอย่างไม่หยุดพัก แต่กลับไม่ได้สังเกตว่าข่าวลือค่อยๆ แพร่กระจายไปตามตลาดต่างๆ แล้ว
ว่ากันว่าในหนานฮวงมีผู้ฝึกฝนชุดเทาที่เก่งกาจผู้หนึ่ง ดูเหมือนว่าเพิ่งบรรลุระดับดาราพยากรณ์ใหม่ๆ มีคนหลายคนเห็นกับตาว่า เขาสังหารปีศาจอสูรระดับแก่นแท้จำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
คำเล่าลือต่างๆ ยิ่งแพร่กระจายก็ยิ่งดูลึกลับมากขึ้น แม้กระทั่งมีคนคาดเดากันว่า คนผู้นี้อาจจะเป็นขุยตี้แห่งหนานฮวงในปีนั้น
คำเล่าลือเหล่านี้ ลือถึงหูผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์จำนวนหนึ่งในหนานฮวงด้วย ทำให้เส้นประสาทที่ตึงและอ่อนไหวแต่เดิมอยู่แล้ว ตึงเครียดขึ้นมามากกว่าเดิม
เพราะการปรากฏตัวของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ที่แปลกหน้าคนหนึ่ง นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในหนานฮวงตอนนี้ กำลังอยู่ในความสมดุลที่ละเอียดอ่อน
ขณะที่คนจำนวนหนึ่งเตรียมพบกับผู้ฝึกฝนชุดเทาผู้นี้นั้น ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้กลับไปจากหนานฮวงแล้ว
…….
ท่ามกลางทะเลหมอกพิษในขอบชายแดนหนานฮวง เรือเหาะที่แวววาวราวกับหยกลำหนึ่ง พุ่งผ่านไอหมอกสีเขียวอย่างรวดเร็ว และพุ่งไปทางส่วนในของแผ่นดินจงเทียน
บนเรือเหาะ หลิ่วหมิงกำลังถือแผ่นค่ายกลสีเงินด้วยสีหน้าลังเลเล็กน้อย
นี่คือแผ่นค่ายกลส่งข่าวที่ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวทุกคนได้รับในตอนเข้ายอดเขา แสงสีเงินบนแผ่นค่ายกลในขณะนี้ มีอักขระเล็กๆ เปล่งประกายอยู่
เมื่อครึ่งเดือนก่อน อินจิ่วหลิง ผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวได้ส่งข่าวหาเขา บอกว่ามีเรื่องสำคัญให้เขารีบกลับนิกายด่วน!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบร้อนออกมา ตามแผนการณ์ที่วางไว้ เขายังต้องอยู่ในหนานฮวงนานปีกว่าๆ ถึงจะคิดพิจารณาเรื่องกลับนิกาย
เพราะพอกลับถึงนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว อยากจะหาปีศาจอสูรจำนวนมากเช่นนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
“ในนิกายมีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” คิ้วของหลิ่วหมิงขมวดขึ้นมาเล็กน้อย
นับเวลาดูแล้ว เขาจากนิกายยอดบริสุทธิ์ไปได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว สำหรับผู้ฝึกฝนแล้ว นับว่าเป็นระยะเวลาที่เทียบเท่ากับการตวัดนิ้วเท่านั้น ในช่วงระหว่างเวลานี้ อาจารย์ในนามผู้นี้ไม่เคยส่งข่าวใดๆ ให้เขามาก่อน
แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน การเรียกรวมตัวของนิกาย เขาเองก็ไม่อาจประมาทเลินเล่อได้ หลังจากตอบกลับไปเล็กน้อยแล้ว ก็รีบออกเดินทางทันที
แต่ว่าหนานฮวงอยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณค่อนข้างมาก ต่อให้เขาจะโดยสารเรือเหาะหยกจันทรา ประกอบกับใช้ค่ายกลส่งตัว แต่ก็ต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปีกว่า ถึงกลับมาถึงเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่เป็นที่ตั้งของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้
หนึ่งปีต่อมา หลิ่วหมิงมองดูหมื่นภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ฉากอันงดงามที่ล้อมรอบไปด้วยเมฆและหมอก ทำให้เขาเผยแววตาคนึงหาออกมาอย่างอดไม่ได้
ขณะที่กำลังขี่เมฆพุ่งไปทางยอดเขาลั่วโยวนั้น ศิษย์สายในสี่ห้าคนกำลังเหาะเข้ามา บนแขนเสื้อของพวกเขาต่างก็มีรูปกระบี่เล็กๆ ปักอยู่
ศิษย์สายในที่พบเจอในเทือกเขาหมื่นวิญญาณส่วนนอก ทำให้เขาเหลือบตามองอย่างอดไม่ได้ แต่กลับต้องรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
“เอ๊ะ! เป็นเจ้า?”
ขณะที่คนเหล่านี้เหาะผ่านด้านข้างของหลิ่วหมิงนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นมา จากนั้นศิษย์เหล่านี้ก็ค่อยๆ หยุดแสงหลบหลีกลง
ครู่ต่อมา ชายชุดผ้าแพรที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยก็เหาะออกมาก่อน
“ที่แท้ก็เป็นพี่ซานั่นเอง ไม่ได้พบกันนานเลย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งกลับมา ก็เจอกับคนรู้จักแล้ว
ชายชุดผ้าแพรตรงหน้าก็คือซาทงเทียนจากยอดเขากระบี่สวรรค์นั่นเอง
ผ่านไปยี่สิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ว่าการฝึกฝนกลับรุดหน้าไปไม่น้อย ซึ่งได้เข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้ว คลื่นไอกระบี่ที่แผ่ออกมาจากตัวก็ดุเดือดรุนแรงกว่าเดิม
อย่างที่รู้ว่าหลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว การยกระดับการฝึกฝนไม่ได้ง่ายเหมือนระดับของเหลว ทุกระดับขั้นล้วนกลายเป็นคอขวดได้ ผู้ฝึกฝนที่ติดชะงักอยู่เป็นเวลาร้อยกว่าปีก็มีไม่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้เป็นปกติ
ส่วนศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์คนอื่นๆ ล้วนดูแปลกหน้า การฝึกฝนก็อยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น แม้กระทั่งยังมีระดับของเหลวอยู่คนหนึ่งด้วย
“ดีมาก! ในที่สุดพี่หลิ่วก็กลับมานิกายแล้ว หลังจากจากกันในครั้งกัน ข้าผู้แซ่ซาก็รอวันที่จะได้พบกับท่านอีก” ซาทงเทียนจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็โปรยยิ้มพราย
ดูท่าศิษย์ระดับสูงของยอดเขากระบี่สวรรค์ผู้นี้ ยังคงนึกถึงเรื่องที่พ่ายแพ้เขาในตอนนั้นอยู่ตลอดเวลา
“เอ๊ะ…!”
พอซาทงเทียนสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียด ก็พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน แต่เขากลับไม่รับรู้ถึงกลิ่นไอของหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย ในใจจึงรู้สึกเย็นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
“อ๋อ! หรือว่าพี่ซามีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถามกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ก่อนหน้านี้เขาสังหารปีศาจอสูรระดับสูงในหนานฮวงไปไม่น้อย และให้ ‘เชอฮ่วน’ ดูดซับวิญญาณปีศาจ ตอนนี้ได้ทำการปรับแต่งจนนับว่าสำเร็จไปขั้นต้นแล้ว สามารถปิดบังกลิ่นไอได้ตลอดเวลา
นอกจากเขายินยอมเท่านั้น มิเช่นนั้นต่อให้จะเป็นระดับดาราพยากรณ์ ก็ยากที่จะมองระดับการฝึกฝนของเขาออกได้
“ไม่บังอาจชี้แนะได้ แต่ว่าตั้งแต่แลกมือกับพี่หลิ่วในครั้งนั้น ข้าได้รับประโยชน์ค่อนข้างมาก ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วจะกล้าประลองฝีมือกับข้าหรือไม่?” ซาทงเทียนละทิ้งความสงสัยไป และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
ตอนที่ 747 อานุภาพหนึ่งกระบี่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซาทงเทียนฝึกฝนสายกระบี่ด้วยความลำบาก ถึงทะลวงคอขวดเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางได้เมื่อสองปีก่อน นับว่าเป็นผู้ที่ฝึกฝนได้รวดเร็วที่สุดในบรรดาผู้ฝึกฝนใหม่ในยอดเขากระบี่สวรรค์ในช่วงระยะเวลาใกล้ๆ นี้ ตอนนั้นก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในนิกายอยู่พักหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ยังได้ระดมทรัพยากรจำนวนมากจากตระกูล ใช้ความตั้งใจจนหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณขึ้นมาได้ พูดได้ว่าพลังแท้จริงก้าวหน้าไปมาก
ตอนนี้แม้ว่าซาทงเทียนจะรู้สึกตกใจที่ไม่อาจรับรู้กลิ่นไอของหลิ่วหมิงได้ แต่ก็ยังเชื่อมั่นในพลังของตัวเองมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงท้าสู้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มาก
“ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อพี่ซาชอบเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะรับคำท้าแล้ว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มาก
ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง และมองดูหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป
เพราะหลิ่วหมิงก็มีชื่อเสียงไม่น้อยในบรรดาศิษย์ใหม่ ตอนนี้ตอบรับคำท้าประลองของซาทงเทียนแล้ว ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ดีมาก! พวกเราก็ไม่ต้องไปไกลเกินไป ไปทำการประลองบนยอดเขาหยวนหมิงที่อยู่บริเวณนี้ก็พอ” พอซาทงเทียนเห็นหลิ่วหมิงตอบรับแล้ว เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา และเอามือลูบถุงกระบี่บนเอว
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อขัดค้านแต่อย่างใด
ดังนั้นพอร่างของซาทงเทียนพร่ามัว ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีขาวบริสุทธิ์พุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งตามไป
หลิ่วหมิงเองก็เผยรอยยิ้มจางๆ พอแสงสีดำม้วนตัวใต้เท้า เขาก็ค่อยๆ ตามพวกเขาไป
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงลานประลองบนยอดเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่พอดี ในลานประลองมีศิษย์สายในที่มาแลกมือกันจำนวนไม่น้อย พอซาทงเทียนและคนอื่นๆ มาถึง ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นมา
ประจักษ์ชัดว่า ซาทงเทียนมีชื่อเสียงในยอดเขานี้ไม่น้อย
ส่วนหลิ่วหมิงเดิมทีก็มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากงานประลองใหญ่ในนิกายปีนั้นแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยปรากฏตัวในนิกาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนจำเขาได้
หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่เดินตามซาทงเทียนเข้าไปรอคอยอยู่ใต้แท่นประลองที่ใหญ่ที่สุดกลางลานประลองอย่างเงียบๆ
ศิษย์ที่เดิมทีกระจัดกระจายอยู่เห็นเช่นนี้ ย่อมเข้าใจอะไรขึ้นมา พวกเขาจึงมารวมตัวกัน ไม่นานแท่นประลองแห่งนี้ก็ถูกล้อมรอบจนแน่นขนัด มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมาเป็นระลอกๆ พวกเขาต่างก็ทำการคาดเดากันอยู่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงในนิกายผู้นี้ กำลังจะลังจะประลองกับผู้ใดกันแน่
ไม่นาน สายรุ้งสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
ฝูงชนยังไม่ทันรู้ตัว สายรุ้งสีขาวก็ร่วงลงตรงหน้าซาทงเทียนและคนอื่นๆ หลังจากแสงสีขาวดับลง ก็เผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวผู้หนึ่ง
เจี๊ยวจ๊าวที่ดังอยู่รอบๆ เงียบลงในฉับพลัน
“ผู้อาวุโสหลง!” ซาทงเทียนและคนอื่นๆ โค้งตัวคารวะทันที ท่าทีของพวกเขาดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเองก็ทำการคารวะไปหนึ่งที
ชายชุดขาวผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ คงเป็นผู้อาวุโสบนยอดเขาหยวนหมิงแห่งนี้ ซึ่งถูกซาทงเทียนและคนอื่นๆ เชิญมาเป็นผู้ตัดสิน
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ในแถวเดียวกับซาทงเทียน มีคนออกไปอธิบายสถานการณ์ให้กับชายชุดขาวเบาๆ พอชายชุดขาวได้ยินก็พยักหน้าให้ซาทงเทียนกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย และกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อศิษย์หลานทั้งสองต้องการประลอง ข้าจะเป็นผู้ดำเนินการเอง แต่ว่าจำไว้ให้ดีว่า การแลกมือระหว่างศิษย์สายในด้วยกัน ให้สิ้นสุดลงในช่วงที่สำคัญ อย่าได้ตั้งใจทำร้ายคู่ต่อสู้เป็นอันขาด” ชายชุดขาวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“ทราบ!”
หลิ่วหมิงและซาทงเทียนตอบรับไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนแท่นประลอง และจ้องมองกันอยู่ไกลๆ
ชายชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนเสื้อเปิดเกราะป้องกันครึ่งวงกลมสีขาวปกคลุมแท่นประลองไว้
ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองเห็นเช่นนี้ ก็ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง และพากันมองดูด้วยความสนใจ
ขณะที่ชายชุดขาวกวาดสายตาลงบนตัวหลิ่วหมิงนั้น แววตาของเขาก็เผยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขาย่อมค้นพบว่ากลิ่นไอบนตัวหลิ่วหมิงขาดๆ หายๆ และไม่อาจสืบดูระดับการฝึกฝนได้ แต่ย่อมไม่คิดว่าหลิ่วหมิงก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างแน่นอน เพียงแต่คิดว่ามีสมบัติวิเศษบางอย่างช่วยปิดบังไว้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“ตั้งแต่ข้าทราบว่าพี่หลิ่วบรรลุระดับผลึกแล้ว ข้าก็รอคอยที่จะได้ประลองกับท่านอย่างสมใจอยากสักครั้ง น่าเสียดายที่ตอนนั้นตระกูลข้ามีเรื่องรัดตัว และพี่หลิ่วก็ออกไปนอกนิกายอย่างเงียบๆ การประลองนี้จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้” ซาทงเทียนที่อยู่บนแท่นประลองกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“อ๋อ! หรือว่าพี่ซายังติดใจเรื่องของศิษย์น้องจินในปีนั้นอยู่?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามกลับไป
“เรื่องของศิษย์น้องจิน ข้าลืมไปหมดแล้ว ศึกกับท่านในครั้งนี้ เพียงแค่อยากวัดฝีมือกับพี่หลิ่วเท่านั้น” ซาทงเทียนกล่าวอย่างราบเรียบ พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง กลิ่นไอกระบี่บนตัวก็พุ่งขึ้นฟ้า
ศิษย์ที่ล้อมดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมาอีกครั้ง
“คำพูดของพี่ซาดูมั่นใจเหลือเกิน หรือว่าอาศัยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเพียงเล่มเดียว ก็คิดว่าจะเอาชนะได้แล้วหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ขณะที่พูด สายตาของเขาก็เหลือบไปมองถุงกระบี่สีขาวบนเอวซาทงเทียนโดยมิได้ตั้งใจ
“ถึงแม้ว่าจะมีถุงกระบี่กั้นอยู่ พี่หลิ่วยังสามารถรับรู้ถึงกระบี่บินพลังจิตวิญญาณของข้าได้ ดูท่าการฝึกฝนสายกระบี่ของท่านคงรุดหน้าไปมาก ถ้าอย่างนั้นก็คุ้มค่าที่จะประลองกันแล้ว” ซาทงเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย และรีบกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
พอเขาตบถุงกระบี่บนเอวอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่สีขาวบริสุทธิ์ลำหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า บงกชสีขาวขนาดใหญ่ดอกหนึ่งเบ่งบาน และแผ่กลิ่นไอที่ทำให้รู้สึกเย็นสะท้านไปถึงวิญญาณ
“พี่หลิ่ว ลงมือเถอะ!” ซาทงเทียนปล่อยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมา ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวี และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
ด้านล่างแท่นประลอง ศิษย์ที่ล้อมดูอยู่ก็ส่งเสียงกู่ร้องให้กำลังใจขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าระดับการฝึกฝนของศิษย์พี่ซาจะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ข้าว่าใกล้เข้าสู่จุดสูงสุดของระดับผลึกขั้นกลางแล้ว”
“ศิษย์พี่ซามีความสามารถในการฝึกฝนเป็นอย่างมาก พวกเราไหนเลยจะเทียบติด!”
“เทียบกับการแลกมือกับศิษย์พี่ลั่วแห่งยอดเขาเมฆาเขียวเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ดูเหมือนว่ากระบี่บินกระจกน้ำแข็งจะมีลวดลายจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมา อานุภาพก็คงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย คิดว่าครั้งนี้พี่ซาจะต้องล้างความอัปยศได้อย่างแน่นอน!”
ด้านนอกแท่นประลอง พอชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวมองเห็นบงกชหิมะกำลังเบ่งบานอยู่รอบตัวซาทงเทียน แววตาของเขาก็ดูชมเชยเล็กน้อย
หลิ่วหมิงกลับส่ายหน้าและหัวเราะเบาๆ บงกชที่กลายร่างมาจากปราณกระบี่นี้ คือวิธีการหนึ่งในการเปลี่ยนรูปร่างของปราณกระบี่ในวิชาขี่กระบี่ และซาทงเทียนก็สามารถทำให้กระบี่บินกลายเป็นมังกรได้นานแล้ว คุณสมบัติของเขาช่างไม่เลวเลยจริงๆ
แต่ว่าการปล่อยปราณกระบี่ออกมาเช่นนี้ เมื่อแสดงความสุดยอดของวิชาขี่กระบี่ออกมาโดยไม่เก็บไว้เลยแม้แต่น้อย ไหนเลยจะสามารถแสดงการจู่โจมของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในทีเผลอได้
หลิ่วหมิงยังไม่รู้ตัวว่า ตอนนี้สายตาและความรอบรู้ของเขาอยู่เหนือกว่าระดับผลึกไปนานแล้ว สำหรับเรื่องความเข้าใจในการฝึกฝน ก็เปลี่ยนจากภายนอกที่เรียบง่ายค่อยๆ เข้าไปถึงแก่นแท้ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกธรรมดาอย่างซาทงเทียน ไหนเลยจะเปรียบได้
หลังจากแอบทอดถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็ทำท่าเคล็ดกระบี่แล้วชี้ไปที่ระหว่างคิ้ว เงากระบี่สีทองเจิดจ้าลำหนึ่งเปล่งประกายออกมา และลอยอยู่ตรงหน้าเขา
ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังโครมคราม!
แสงสีทองเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง แสงกระบี่สีทองพุ่งยิงออกไปราวสายฟ้าแลบ ปราณกระบี่สีทองจำนวนมากกวาดไปทั่วแท่นประลองภายในพริบตา
การโจมตีแบบง่ายสุดของวิชาขี่กระบี่ คือการแทงออกไปตรงๆ ในกระบี่เดียว ไม่มีการพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยการใส่พลังเวทเข้าไปในร่างของกระบี่บินว่างเปล่า และอาศัยพลังเดียวทำลายหมื่นวิธีการ
แสงกระบี่อันเจิดจ้าดูราวกับอสูรโหดร้ายในดินแดนทางตอนใต้ และพุ่งเข้าหาซาทงเทียนโดยตรง
ซาทงเทียนรู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จเหมือนกัน ทั้งยังระเบิดอานุภาพการโจมตีเช่นนี้ด้วย
เมื่อครู่ที่หลิ่วหมิงเพิ่งลงมือ เขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว พอบงกชสีขาวกลางอากาศดับลง กระบี่ที่ดูคล้ายกับอสรพิษจิตวิญญาณก็พุ่งออกมา และกลายเป็นแสงสีขาวเย็นสะท้านพุ่งไปรับมือกับแสงกระบี่สีทอง
เกิดเสียงดังโครมคราม!
แสงกระบี่สีขาวกับสีทองปะทะกันทันที
อากาศบนแท่นประลองเกิดเสียงดังติดต่อกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีทองกับสีขาวประสานกันไปมา จนดูเจิดจ้าแสบตายิ่งนัก!
แต่ทว่าหลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ ปราณกระบี่สีขาวก็ค่อยๆ สลายไป แสงสีทองเจิดจ้าลำหนึ่งพุ่งออกจากปราณกระบี่สีขาวที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากกะพริบแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าซาทงเทียน และหยุดชะงักลงทันที จากนั้นก็กลายเป็นกระบี่บินสีทองที่ยาวสองฉื่อ
จะเห็นว่าแสงเย็นสะท้านบนปลายกระบี่บินว่างเปล่าสั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด แต่อยู่ห่างจากระหว่างคิ้วของซาทงเทียนแค่สามชุ่นเท่านั้น
และซาทงเทียนก็เพียงแค่รู้สึกเย็นระหว่างคิ้ว จากนั้นโลหิตบริสุทธิ์ก็ไหลลงมา แม้ว่ากระบี่บินว่างเปล่าจะไม่ทันได้สัมผัสกับผิวหนังของเขาจริงๆ แต่ปราณกระบี่ไร้รูปยังคงทิ้งบาดแผลลึกหนึ่งชุ่นกว่าๆ ไว้บนระหว่างคิ้วของเขา
“เจ้า…”
ใบหน้าของซาทงเทียนซีดขาวขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขายกแขนขึ้นอย่างสั่นๆ หลังจากชี้ไปทางหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็อ้าปากกระอักเลือดออกมา
“เต๊ง!”
กระบี่สีขาวหิมะเล่มหนึ่งร่วงลงมาจากบนอากาศ และปักเอียงอยู่บนพื้น หลังจากดิ้นราวกับปลายว่ายน้ำไปสองสามทีแล้ว ก็สงบลงในที่สุด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินกลางอากาศก็เปล่งประกาย และกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวกลับไป จากนั้นก็กะพริบเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ด้านล่างแท่นประลองในขณะนี้ ได้เงียบเป็นเป่าสากไปตั้งนานแล้ว ศิษย์ที่ล้อมดูอยู่ต่างก็จ้องมองจนปากอ้าตาค้าง
โดยเฉพาะศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์เหล่านั้น ต่างก็อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้สองสามฟองแล้ว
ก่อนหน้านั้นซาทงเทียนยังมีท่าทีมั่นใจอยู่เลย เหตุใดเพิ่งจะแลกมือกัน ก็พ่ายแพ้อย่างถึงที่สุดแล้ว
“หลิ่วหมิงชนะ!”
ชายชุดขาวที่เป็นผู้ตัดสินก็เผยแววตาประหลาดจนยากจะปิดได้มิด หลังจากประกาศออกมาแล้ว ก็ปล่อยแสงสีขาวลงบนแท่นประลอง และเกราะคุ้มกันรอบๆ ก็ค่อยๆ สลายไป
ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์สองคนรีบเหาะขึ้นไปบนแท่นประลอง และนำโอสถออกมาให้ซาทงเทียนทาน
แม้ว่าซาทงเทียนจะไม่ได้ถูกวิชากระบี่ของหลิ่วหมิงโจมตีโดยตรง แต่จิตของเขาเชื่อมต่อกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ซึ่งก่อนหน้านั้นถูกกระบี่บินว่างเปล่าโจมจีจนหล่นลงไป ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่พลังจิตวิญญาณของกระบี่บินก็ได้รับความเสียหายเล็กน้อยด้วย
เขาย่อมไม่รู้ว่า หลิ่วหมิงได้ตั้งใจยั้งมือให้แล้ว
มิเช่นนั้น ด้วยพลังเวทที่หนาแน่น และความแหลมคมของกระบี่บินว่างเปล่าในตอนนี้ ภายใต้การโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของวิชาขี่กระบี่ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณของเขาหักเป็นสองท่อนได้
ตอนที่ 748 อานุภาพระดับดาราพยากรณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซาทงเทียนในขณะนี้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยขี้เถ้า จิตรับรู้ก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ภายใต้การพยุงของศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ทั้งสอง ถึงฝืนลุกขึ้นมาได้
“ออมมือแล้ว!” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะแล้วกล่าวไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลองแล้วเดินออกไป
คนที่ล้อมดูอยู่ต่างก็รีบพากันหลีกทางให้กับเขา ชายชุดขาวมองดูเงาร่างของหลิ่วหมิงด้วยแววตาครุ่นคิดเล็กน้อย
หนึ่งชั่วยามต่อมา แสงสีดำลำหนึ่งก็ร่วงลงบนยอดเขาลั่วโยว พอแสงสีดำเปล่งประกาย เงาร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา
หน้าวิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยว มีศิษย์ชุดดำที่ดูแปลกหน้าสองคนยืนรักษาการณ์อยู่ พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รีบเดินออกไปรับทันที
“ศิษย์พี่ผู้นี้มาเยือนยอดเขาลั่วโยว มีเรื่องอันใดให้ช่วยเหลือหรอกหรือ?” แม้ว่าทั้งสองจะไม่รู้จักหลิ่วหมิง แต่ว่าแรงกดดันจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงแผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกเลย ทั้งสองจึงรับรู้ได้ทันที และกล่าวอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูกและยิ้มอย่างขมขื่น
เขาเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยว แต่เวลาส่วนมากจะฝึกฝนอยู่ด้านนอก ศิษย์ที่เฝ้าประตูไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“ข้าหลิ่วหมิง เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเช่นกัน วันนี้ตั้งใจมาคารวะและเยี่ยมเยียนอาจารย์ที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขา” หลิ่วหมิงยักไหล่แล้วแสดงออกถึงสถานะของตนเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลิ่ว ได้ยินชื่อเสียงของศิษย์พี่มานานแล้ว เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นเกียรติอย่างยิ่ง! พวกข้าเป็นศิษย์ที่มาผลัดเปลี่ยนเวรบนยอดเขาลั่วโยวเมื่อไม่นานมานี้” ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พวกเขารีบคารวะหลิ่วหมิง และแอบสังเกตดูอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงรับคารวะ จากนั้นก็ถามเรื่องเกี่ยวกับอินจิ่วหลิง
“ศิษย์พี่ช่างไม่บังเอิญเลยเสียจริง! ท่านผู้ควบคุมยอดเขาประกาศเก็บตัวฝึกฝนเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างกะทันหัน ตอนนี้นับดูแล้ว อาจจะต้องรออีกครึ่งค่อนเดือนถึงจะออกจากการเก็บตัว” หนึ่งในศิษย์ที่เฝ้าระตูกล่าวอย่างนอบน้อม
“อ๋อ! เป็นเช่นนี้หรอกหรือ เช่นนั้นอีกครึ่งเดือนให้หลังข้าค่อยมาเยี่ยมเยียนใหม่” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เขากลับมานั้นจะโชคร้ายเล็กน้อย ดังนั้นจึงรีบกล่าวคำอำลา และออกไปจากบนยอดเขา
“เขาก็คือศิษย์พี่หลิ่วที่ร่ำลือกันหรือ ได้ยินมาว่าไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์สายในเพราะผู้อาวุโสท่านใดชอบใจในตัวเขา แต่กลับฝ่าด่านทดสอบของเจดีย์ซวีหลิงเข้ามา”
“ว่ากันว่าศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้มีพลังน่าตกใจมาก เคยช่วยอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาทำงานใหญ่สำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงถูกรับเป็นศิษย์สายตรง หลังจากนั้นไม่นานก็บรรลุเข้าสู่ระดับผลึก แต่ได้ยินมาว่าในช่วงยี่สิบปีมานี้ ล้วนไปฝึกฝนอยู่ภายนอก ไม่รู้ว่าตอนนี้เข้าสู่ระดับใดแล้ว!”
ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองกระซิบกันเบาๆ สองประโยค จากนั้นก็เก็บอาการบนใบหน้า และทำการพิทักษ์วิหารใหญ่ต่อ
เพราะศิษย์สายในที่มีชื่อเสียงระดับหลิ่วหมิง อยู่ห่างจากศิษย์สายนอกที่ยังต้องผลัดเปลี่ยนมาอยู่เวรเพื่อแลกแต้มคุณูปการอย่างพวกเขามาก แม้ว่าในใจจะรู้สึกอิจฉา แต่ก็ไม่อาจมีความคิดอื่นๆ ได้
หลิ่วหมิงไปจากด้านบนยอดเขาลั่วโยวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่นานก็กลับมาถึงถ้ำที่พักของตัวเอง
ประตูหินค่อยๆ เปิดออก ทุกอย่างภายในถ้ำที่พักยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าไม่มีคนอยู่มานานขนาดนี้ บนพื้นและตามสถานที่ต่างๆ จึงเต็มไปด้วยฝุ่น
เขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอตบถุงหนังบนเอว เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ถูกเรียกออกมา หลังจากสั่งให้ทั้งสองทำความสะอาดแล้ว ตนเองก็เข้าไปหลับในห้องนอนเป็นการใหญ่
การเดินทางติดต่อกัน ทั้งยังทำการประลองกับซาทงเทียนไปอีกรอบ ทำให้จิตใจเขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
หนึ่งคืนผ่านไปโดยไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น
เช้าตรู่วันที่สอง พอหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกเต็มไปด้วยพลัง
ตอนนี้นับดูแล้ว อีกครึ่งเดือนอินจิ่วหลิงถึงจะออกจากการเก็บตัว ช่วงเวลาเหล่านี้เขาไม่อาจทำตัวให้ว่างได้
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็เดินเข้าไปในห้องลับ และเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง
ตั้งแต่ช่วยเขาประทับสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว หลัวโหวก็ไม่ปรากฏตัวมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว
สำหรับการปรากฏตัวผลุบๆ โผล่ๆ ของหลัวโหวนั้น หลิ่วหมิงเองก็นับว่าเคยชินแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้าศิลาหุนเทียน พอยื่นมือข้างหนึ่งวางลงบนแท่นศิลา พลังจิตก็ทะลักเข้าไปในนั้นอย่างต่อเนื่อง
บรรยายกาศรอบด้านพร่ามัวทีหนึ่ง จากนั้นหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวท่ามกลางภูเขาที่แห้งแล้งในยามค่ำคืน ด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ เงาร่างที่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายกำลังพุ่งเข้ามา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีทองเจิดจ้าลำหนึ่งม้วนตัวออกไป มันยกร่างของเขาขึ้นมา และพุ่งออกไปไกลๆ
เขากำลังจำลองฉากที่ถูกปีศาจสายฟ้าล่าสังหารในดินแดนทางตอนใต้ แต่ว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นเวลากลางคืนที่มืดสนิท
แต่พอได้ยินเสียงสายฟ้าที่ผสมปนเปกับแสงสีแดงดังขึ้นด้านหลัง ความเร็วของปีศาจสายฟ้าก็เพิ่มขึ้นมามาก
หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทเข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่า ทำให้ความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย แต่ไม่มีเคล็ดวิชาเกราะอสูรที่กลายเป็นปีกสีเงินคอยช่วย แม้ว่าจะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ยังไม่อาจเทียบกับปีศาจสายฟ้าได้
แต่ว่าเขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างมีแผนในใจ พลังเวทบริสุทธิ์เป็นสายๆ พุ่งเข้าไปในสายรุ้งสีทองที่ห่อหุ้มร่างไว้
“ฟิ้ว!”
พอแสงสีทองปรากฏตัวที่ใต้เท้า เงากระบี่ขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา แต่ครู่ต่อมา แสงทรงกลดสีขาวก็แผ่ออกจากเงากระบี่ และกลายเป็นไหมแสงสีขาวจางๆ ก่อนโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
มันคือพลังแม่เหล็กที่แฝงมากับกระบี่บินว่างเปล่านั่นเอง
ครู่ต่อมา ดูเหมือนว่าบนท้องฟ้าสีดำจะมีดวงดาวเปล่งประกายอยู่หลายดวง จากนั้นเงากระบี่ยักษ์รอบด้านก็มีสะเก็ดดาวสีขาวน้ำนมเป็นจุดๆ ค่อยๆ ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้อาศัยพลังแม่เหล็กดารา และดวงดาวที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อสร้างพลังลึกลับบางอย่าง และดึงแสงดาวจำนวนมากลงมา
ดวงดาราบนท้องฟ้ายามค่ำคืนสาดแสงลงมาเรื่อยๆ และค่อยๆ ร่วงลงบริเวณเงากระบี่ยักษ์
เดิมทีแสงดาราก็เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่พอหล่นลงบนแสงแห่งแม่เหล็กดาราที่อยู่รอบๆ กระบี่บิน ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีการขานรับกัน แสงอันรุ่งโรจน์แต่ละลำมารวมตัวกันที่ใต้เท้าของหลิ่วหมิงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงากระบี่ยักษ์สว่างขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว
“ฟิ้ว!”
สายรุ้งสีทองที่หลิ่วหมิงกลายร่างมามีแสงสีขาวเป็นจุดๆ ขณะเดียวกันความเร็วก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่ากว่าๆ ทำให้ปีศาจสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังอยู่ห่างกันด้วยระยะที่ไกลขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าปีศาจสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังจะส่งเสียงคำรามอยู่ไม่หยุด แต่ก็ต้องอยู่ห่างจากสายรุ้งสีทองตรงหน้าไกลขึ้นเรื่อยๆ
“ตู๊ม!”
ผ่านไปไม่นาน ทะเลสาบขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย สายรุ้งสีทองเปลี่ยนแปลงทิศทางในฉับพลัน และทิ่มลงไปในทะเลสาบ
ไม่นาน ปีศาจสายฟ้าก็มาถึงริมทะเลสาบ หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็ขี่สายฟ้ามุดลงไปในทะเลสาบเช่นกัน
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็เก็บวิชากระบี่บินเหินเวหา และใช้พลังเวทในร่างกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูร
เป็นผลให้ปราณจิตวิญญาณขยายตัวด้านหลัง “ฟู่!” ปีกสีเงินครู่หนึ่งยื่นออกมา ไหมและอักขระสีเงินจำนวนมากเปล่งประกายอยู่บนนั้น
พอปีกคู่นี้สัมผัสกับน้ำในทะเลสาบ แสงสีฟ้าก็เปล่งประกาย ชั้นของไอหมอกสีฟ้าค่อยๆ โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ จากนั้นไอหมอกสีฟ้าก็รวมตัวเป็นไหมน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว และปีกวิหคถูกห่อด้วยขนวิหคสีฟ้าแวววาว
ปีกสีเงินกลายเป็นปีกวิหคสีฟ้าคู่หนึ่ง
พอหลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ปีกวิหคสีฟ้าก็กระพือเบาๆ น้ำทะเลสาบบริเวณนี้แยกออกจากกันเป็นสองฝั่งอย่างเงียบๆ โดยไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
พอแสงสีฟ้าเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็กลายเป็นเงาสีฟ้าจางๆ พุ่งออกไปร้อยกว่าจั้ง และยังคงแล่นต่อไปด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์มาก
บนผิวทะเลสาบ ปีศาจสายฟ้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ประจักษ์ชัดว่า เขาคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมีความสามารถในการควบคุมน้ำเช่นนี้ด้วย
เพราะปีกสีเงินกลายร่างมาจากอสูรสมุทรแปดขา และปีศาจสมุทรแปดขาก็เป็นเทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทร เมื่อโตเต็มวัยแล้ว ย่อมสามารถควบคุมน้ำได้โดยธรรมชาติ และหลังจากดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์ไปแล้ว พรสวรรค์ทางด้านนี้ก็เพิ่มขึ้นมาสิบกว่าเท่า
ด้วยเหตุนี้ หลังจากหลิ่วหมิงกระตุ้นเกราะอสูรให้กลายเป็นปีกคู่หนึ่งแล้ว ทำให้เขาจัดการกับพลังปราณวารีได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะไม่แสดงวิชาขี่กระบี่ ความเร็วก็ไม่ด้อยไปกว่าตอนที่ยืมใช้พลังแห่งดาราเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมพลังแม่เหล็กดาราของกระบี่บินว่างเปล่า หรือการควบคุมพลังปราณวารีของเคล็ดเกราะอสูร ล้วนเกิดจากการที่เขาฝึกฝนในแดนมายาอย่างยากลำบากในช่วงหลายปีมานี้ และค่อยๆ ถูกค้นพบขึ้นมา
หากตอนนี้เขาเผชิญกับปีศาจสายฟ้าในตอนนั้น แม้ว่าจะไม่อาจต่อกรได้ แต่หากจะสลัดตัวให้หลุดพ้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
ที่น่าเสียดายเพียงหนึ่งเดียวก็คือ การแสดงผลของทั้งสองมีข้อจำกัดบางประการ
อย่างแรกจำเป็นต้องทำในเวลากลางคืน มีดวงดาวบนท้องฟ้าถึงจะยืมพลังแห่งแสงดารามาได้ อย่างหลังก็จำเป็นต้องทำในบริเวณทะเลสาบ ถึงจะแสดงอานุภาพที่สมบูรณ์ได้
ขณะนั้นเอง ปีศาจสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังก็มีแสงสีเลือดจางๆ ปรากฏในแววตา พออ้าปากก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาทันที
แสงโลหิตลำหนึ่งห่อหุ้มปีศาจสายฟ้าไว้ในนั้น ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมาครึ่งหนึ่ง และพุ่งตามหลิ่วหมิงไปอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา ปีกสีฟ้าบนหลังหดเข้าไปในร่างทันที พอระลอกคลื่นส่งเสียงดัง เขาก็พุ่งออกจากทะเลสาบ และหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศก่อนหมุนตัวกลับมา
ผ่านไปสักพัก เกิดเสียงฟ้าผ่าบนผิวทะเลสาบด้านหลัง แสงโลหิตกลุ่มหนึ่งพุ่งตามมา ซึ่งก็คือปีศาจสายฟ้าที่มีสีหน้าดุร้ายเป็นอย่างมาก
พอเห็นหลิ่วหมิงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ก็หัวเราะขึ้นมาทันที แต่ไม่เห็นว่าเขาจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อย แสงโลหิตบนตัวสลายออกไป แต่กลับถูกแสงสีม่วงห่อหุ้มไว้ ขณะเดียวกัน แรงกดดันระดับดาราพยากรณ์ก็ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ราวกับว่าอากาศรอบด้านแข็งตัวขึ้นมา ท้องฟ้าบนยอดเขาก็เหมือนจะกลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่ และกดดันลงมา
แรงกดดันจิตวิญญาณอันมหาศาลนี้ ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นกลางและขั้นปลายโดยทั่วไป ก็ไม่อาจแบกรับได้ ภายใต้สถานการณ์ที่จิตถูกระงับไว้ เกรงว่าวิชาและพลังวิเศษใดๆ ต่างก็ถูกลดพลังไปมาก
หลิ่วหมิงแบกรับแรงกดดันจิตวิญญาณนี้ซึ่งๆ หน้า ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แต่พลังจิตอันแข็งแกร่งทะลักออกไปในทันที หลังจากร่างกายโงนเงนสองสามทีแล้ว ก็พอที่จะยืนตั้งหลักได้อีกครั้ง
ขณะนี้ กลิ่นไอที่ปีศาจสายฟ้าปล่อยออกมาน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ แสงสายฟ้าสีม่วงพุ่งออกจากร่างของเขา พอเขาขยับแขน มือข้างหนึ่งก็คว้าไปด้านหน้าทันที
“ตู๊ม!”
สายฟ้าประสานกันไปมาเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง ฝ่ามือยักษ์ขนาดหลายหมู่รวมตัวกันออกมาจากแสงสายฟ้า และกดลงด้านล่าง
เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือสายฟ้ายักษ์ที่บดบังท้องฟ้าและดวงตะวันเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่คิดจะหลบหลีกแต่อย่างใด พออ้าปาก ก็พ่นกระบี่บินออกมา หลังจากชี้ไปบนอากาศแล้ว มันก็ขยายตัวตามลมจนมีขนาดใหญ่สิบกว่าจั้ง
“ฟัน!”
หลิ่วหมิงส่งเสียงตะคอกออกมา เขานำพลังเวทในร่างทั้งหมดใส่ลงไปในกระบี่ยักษ์ และฟันใส่มือยักษ์สายฟ้าสีม่วงที่ร่วงลงมาอย่างโหดเหี้ยม
ตอนที่ 749 ประตูทองคำกับน้ำในแม่น้ำมืด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกัน แสงสีดำบนตัวหลิ่วหมิงก็เปล่งประกายขึ้นมา ไอหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และก่อตัวเป็นมังกรหมอกดำห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกดำห้าตัว หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที
“ตู๊ม!”
ภายใต้การเปล่งประกายของกระบี่ยักษ์สีทอง มันก็ฟันลงบนมือยักษ์สีม่วงอย่างแน่นหนา ทันใดนั้นแสงสีทองกับสายฟ้าก็ประสานกันไปมาจนเกิดประกายระยิบระยับ แต่ว่าฟันเข้าไปได้เล็กน้อย ก็ต้องถูกสั่นสะเทือนจนแตกกระจายกลายเป็นแสงสีทองร่วงลงไปราวกับสายฝน
มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกกลับพุ่งชนใส่พร้อมเสียงคำราม ไอดำม้วนตัวพวยพุ่งออกมา มือยักษ์สีม่วงค่อยๆ ถูกยกขึ้น
แต่ครู่ต่อมา ปีศาจสายฟ้ากลับส่งเสียงคำราม และงอนิ้วทั้งห้าลง
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นบนมือยักษ์ทันที สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่เส้นหนึ่งพวยพุ่งออกมา พริบตาเดียวก็สั่นสะเทือนจนมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกแตกกระจาย จากนั้นก็กดลงไปด้านล่างพร้อมเสียงดังโครมคราม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หดรูม่านตาลง พอขยับแขน กำปั้นสองลูกที่มีเกล็ดสีม่วงปกคลุมเต็มไปหมดก็ปรากฏออกมา พอแสงสีเงินเปล่งประกาย ปลอกแขนสีเงินก็ปรากฏออกมาห่อหุ้มกำปั้นทั้งสองไว้ในพริบตา
เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
เงากำปั้นสีเงินแน่นขนัดพุ่งออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ และโจมตีแขนยักษ์สีม่วงจนสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด
แต่ทว่าสายฟ้าขนาดใหญ่ประสานกันไปมาบนมือยักษ์สีม่วงอยู่ครู่หนึ่ง ก็กดดันจนเงากำปั้นด้านล่างสลายไปได้อย่างง่ายดาย และกะพริบแค่ทีเดียว ก็ฉีกทึ้งหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่างจนกลายเป็นสายฝนโลหิต
พอมีแสงเปล่งประกายตรงหน้า หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูซีดขาวเล็กน้อย
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ด้วยพลังในตอนนี้ไม่อาจต่อสู้ซึ่งๆ หน้ากับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ได้…….” เขายกมือทั้งสองขึ้นมาดูทีหนึ่งและพูดพึมพำออกมา
หลายปีมานี้ เขาใช้ดวงตามายาปีศาจจำลองสถานการณ์ตามล่าสังหารของปีศาจสายฟ้าอยู่หลายครั้ง และค่อยๆ ทำความเข้าใจพลังแห่งแม่เหล็กดารากับการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ของเคล็ดเกราะอสูร ซึ่งความแข็งแกร่งในนี้ตอนนี้ ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอเขาหมุนตัวรับมือกับปีศาจสายฟ้าในแดนมายาโดยตรง ก็จะถูกฝ่ามือสังหารในทันที
แต่หลังจากผ่านสถานการณ์จำลองในแดนมายามาหลายครั้ง หลิ่วหมิงก็เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในด้านจิตรับรู้ หลังจากผ่านการฝึกฝนมาหลายครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับกลิ่นไอกดดันอันน่ากลัวของระดับดาราพยากรณ์ เขาก็ไม่ถูกสั่นสะเทือนจนพลังลดลงเหมือนในตอนแรก
แม้กระทั่งยังทำให้พลังจิตของเขาเพิ่มทวีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด พูดได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงมาก่อน
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงในทันที พอปิดตาทั้งคู่ลง สมองของเขาก็เริ่มนึกถึงรายละเอียดการต่อสู้อย่างดุเดือดกับเลี่ยเจิ้นเทียนในแดนลึกลับ และครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการรับมือ
แต่พอชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และลืมตาทั้งคู่ด้วยความตกใจ
จะเห็นว่าศิลาหุนเทียนตรงหน้าสั่นสะท้านโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พอเกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” ลายเส้นสีทองเจิดจ้าก็หมุนวนขึ้นมาจากใต้ศิลาหุนเทียนราวกับเถาวัลย์
บนลายเส้นเหล่านี้มีอักขระจางๆ หมุนวนอยู่ไม่หยุด แลดูน่าทึ่งเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน ลายเส้นสีทองก็ปกคลุมเต็มศิลาหุนเทียน
ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากนั้น แสงสีทองเจิดจ้าแต่ละลำก็เปล่งประกายออกจากลายเส้นจิตวิญญาณ ภายใต้การรวมตัวของแสงสีทองจำนวนมาก ทำให้คำจารึกค่อยๆ ลอยออกมาจากศิลาหุนเทียน
แต่ครู่ต่อมา พอมีเสียงภาษาสันสกฤตดังขึ้น คำจารึกสีทองก็ยังคงทะยานไปมาอยู่ไม่หยุด และเริ่มหมุนรอบแท่นศิลาอย่างรวดเร็ว
ห้องว่างเปล่าลึกลับที่เป็นสีเทาสลัวๆ ถูกแสงสีทองส่องจนสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน ขณะเดียวกัน ปราณจิตวิญญาณอันอบอุ่นก็แผ่ออกมาในอากาศ
ขณะนี้หลิ่วหมิงมองดูคำจารึกสีทองเหล่านี้ตาไม่กะพริบ
คำจารึกลึกลับเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่มีความรู้อย่างเขาไม่อาจวินิจฉัยอะไรออกมาได้เลย
หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ คำจารึกสีทองนับร้อยก็รวมตัวกันตรงหน้าแท่นศิลา พอแสงสีทองเปล่งประกาย มันก็กลายเป็นอักขระสีทองขนาดใหญ่ที่ไม่รู้จัก
อักขระตัวนี้มีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ พื้นผิวของมันเกิดจากคำจารึกเล็กๆ จำนวนมากก่อตัวขึ้นมา และเปล่งประกายเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง
หลิ่วหมิงเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ ก็รีบร่นถอยออกไปสิบกว่าจั้ง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน พลันมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น “ตู๊ม!”
อักขระสีทองขนาดใหญ่ระเบิดออกมาในฉับพลัน หมอกสีทองจางๆ พุ่งขึ้นมา คำจารึกจำนวนมากระเบิดตัวกลายเป็นจุดแสงในทันที และรวมตัวกับหมอกสีทองจนกลายเป็นทะเลแสงสีทอง
ท่ามกลางทะเลสีทอง ประตูยักษ์สีทองที่กว้างสี่จั้ง สูงห้าจั้ง ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากผิวทะเล ลายเส้นจิตวิญญาณหลากสีแต่ละเส้นผสานกันไปมาในแนวนอน จนเกิดเป็นภาพประหลาดๆ ภาพหนึ่ง
หลิ่วหมิงย่อมจ้องมองจนปากอ้าตาค้าง ขณะที่กำลังจะมองดูรูปภาพอย่างละเอียด และทำการจดจำนั้น ภาพตรงหน้าก็มืดลงในทันที ทะเลจิตรับรู้ของเขาเจ็บปวดราวกับระเบิดออกมา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวด “อ๊ากก!” ประตูยักษ์สีทองพังทลายลงมา และกลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนสลายไปในทะเลทองคำอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากหลิ่วหมิงรวบรวมสติ และมองเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจนนั้น กลับค้นพบว่าแสงสีทองบนศิลาหุนเทียนได้มืดลงไปนานแล้ว และกลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว
“ที่แท้ก็ยังไม่ได้หรอกหรือ? ดูท่าข้าคงจะใจร้อนไปหน่อย!” ขณะที่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่นั้น กลับมีน้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เขารีบหันกลับไปมองทันที ชายหนุ่มชุดเขียวอายุราวๆ สิบสามถึงสิบสี่ปีกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ เขาก็คือหลัวโหวนั่นเอง เพียงแต่ว่าใบหน้าของเขาในตอนนี้ดูแปลกๆ ดูเหมือนจะมีความคาดหวัง และความโล่งใจเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสหลัวโหว เมื่อครู่นี้คือ……” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ และถามขึ้นมาทันที
“เรื่องอื่นๆ ข้ายังไม่อาจบอกเจ้าในตอนนี้ได้ บอกได้แค่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิลาหุนเทียน และอาจจะเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของเจ้า และก่อนถึงเวลานั้น เจ้าเพียงแค่พยายามยกระดับการฝึกฝนของตนเองให้สูงขึ้นก็พอ มิเช่นนั้นโอกาสอันดีก็อาจจะกลายเป็นโชคไม่ดีได้” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของหลิ่วหมิง หลัวโหวกลับโบกมือด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และตัดคำพูดที่เหลือของเขาจนหมดสิ้น
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้ถามอะไร แสงสีเขียวก็เปล่งประกายรอบตัวหลัวโหว จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวสลัวๆ ก่อนหายไปจากตรงหน้าหลิ่วหมิง
สำหรับการปรากฏตัวอย่างลึกลับซับซ้อนของหลัวโหวนี้ หลิ่วหมิงคุ้นชินจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว
แต่ว่าคำพูดก่อนไปของเขา กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านเป็นอย่างมาก!
หลิ่วหมิงรู้ว่าหลัวโหวจะไม่พูดออกมาโดยไม่มีเหตุมีผลอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อยด้วย
เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลง และกลับเข้ามาในห้องลับภายในถ้ำ
หลิ่วหมิงหลับตาทั้งคู่ลง และใช้จิตรับรู้สำรวจดูศิลาหุนเทียนภายในร่าง
แท่นศิลานี้ยังคงลอยอยู่ในทะเลจิตรับรู้อย่างเงียบๆ เหมือนเดิม
หลังจากสำรวจดูอย่างเงียบๆ เกือบครึ่งวันแล้ว ก็ยังไม่ค้นพบความผิดปกติแต่อย่างใด ภายใต้สถานการณ์ที่ครุ่นคิดอย่างหนักแต่ยังคงไม่ได้ผลลัพธ์ เขาจึงได้แต่ละทิ้งเรื่องนี้ไปชั่วคราว
ต่อมา พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ แผ่นหยกสีดำชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมาบนฝ่ามือ มันคือเคล็ดวิชากระดูกดำหกขั้นหลังนั่นเอง
เมื่อใช้จิตรับรู้กวาดผ่านอย่างรวดเร็ว เขาก็ต้องเผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
จะว่าไปแล้ว เคล็ดวิชากระดูกดำหกขั้นหลังนี้ หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว หลายปีที่อยู่ในหนานฮวง หลิ่วหมิงก็อ่านดูไม่รู้ตั้งกี่รอบ และก็ทำความเข้าใจไปพอประมาณแล้ว แต่ตามที่บรรยายในนั้น ตอนนี้เขาไม่อาจฝึกฝนได้เลย
เพราะการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำหกขั้นหลัง ต้องอาศัยน้ำจากแม่น้ำมืดมาล้างตัว ถึงจะฝึกฝนสำเร็จ
และแม่น้ำมืดเป็นแม่น้ำที่มีแค่ในแดนปรโลกในตำนาน ซึ่งเขาไม่อาจไปหาได้ในตอนนี้
ตามตำนานที่เล่ามาทั้งหมด น้ำจากแม่น้ำมืดแห่งนี้ไหลผ่านดินแดนปรโลกทั้งเก้า น้ำในแม่น้ำไม่เพียงแต่หนักอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ยังเย็นจนเสียดกระดูก ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวิญญาณที่ลงไปในนั้น ต่างก็จมลงไปในพริบตา และไม่อาจลอยขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ไม่ว่าดินแดนปรโลกจะเป็นอย่างไร หรือต่อให้หลิ่วหมิงจะเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์แล้ว แต่ก็เกรงว่าต้องใช้โอกาสอันดีเล็กน้อย ถึงจะมีความเป็นไปได้ในการเข้าไปได้
ดูท่าข้อตกลงที่ทำกับชิงหลิงในวันนั้น เขาเสียเปรียบไปไม่น้อย แต่เขาทำได้แค่แอบตำหนิอยู่สองสามประโยค และปลอบใจตัวเองแล้ว
เพราะว่าต่อหน้าผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างชิงหลิง ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจทำข้อตกลงกับนาง ก็ไม่มีผลต่อผลลัพธ์ในตอนท้ายเลยแม้แต่น้อย
พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น และเก็บแผ่นหยกเข้าไป จากนั้นก็พลิกฝ่ามือนำบาตรสีเงินออกมาใบหนึ่ง
พอหลิ่วหมิงใช้นิ้วดีดฝาบาตรเบาๆ “เต๊ง!” กลิ่นหอมของโอสถก็แผ่กระจายไปทั่วห้องลับ
แต่จะเห็นว่าภายในบาตรสีเงินมีของเหลวจิตวิญญาณสีม่วงบรรจุอยู่หนึ่งในสามส่วน และภายในของเหลวก็มียันต์สีทองอร่ามแช่อยู่ มันคือยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองนั่นเอง
เขากวาดสายตามองดูยันต์ผืนนี้ จากนั้นก็หยิบคัมภีร์ยันต์ผ้าเหลืองโบราณที่ชิงหลิงมอบให้เขาในวันนั้นมาแปะไว้บนหน้าผาก และอ่านดูอย่างละเอียด
ขณะที่อ่านไปด้วย ก็สังเกตดูสิ่งที่บรรจุอยู่ในบาตรอย่างละเอียด ดูเหมือนว่ากำลังทำการเปรียบเทียบอะไรบางอย่างอยู่
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงถึงค่อยๆ นำคัมภีร์ลงมา และเก็บเข้าไปอีกครั้ง
จะว่าไปแล้ว หลายปีก่อนที่เขาอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ก็ค้นพบว่าในคัมภีร์มีบันทึกเคล็ดวิชายันต์นักรบพลังผ้าเหลืองอยู่จำนวนหนึ่งจริงๆ แต่ว่าวัสดุหลักสำหรับสร้างยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่หาได้โดยทั่วไปในสมัยบรรพกาล กลับมีน้อยมากในปัจจุบันนี้ ต่อให้เขาอยากจะสร้างยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองตัวที่สองขึ้นมา หากไม่มีโอกาสดีเป็นพิเศษ คงไม่อาจทำได้สำเร็จ
และยันต์นักรบของนิกายใหญ่ต่างๆ ในตอนนี้ แตกต่างจากยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองในสมัยบรรพกาลโดยสิ้นเชิง อย่างหลังต้องตั้งอกตั้งใจบ่มเพาะให้มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง และอาจจะมีพลังแฝงขนาดใหญ่ให้ขุดค้น อย่างแรกกลับเป็นแค่หุ่นไร้ชีวิตที่อาศัยจิตควบคุมเท่านั้น
แต่ว่าในสองสามหน้าสุดท้ายของคัมภีร์ กลับบันทึกเคล็ดวิชาพิเศษในการพลิกแพลงใช้นักรบพลังผ้าเหลืองอยู่สองสามรูปแบบ หนึ่งในนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองสามารถแบ่งร่างได้ สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 750 พลังแม่เหล็กดารา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตามที่บันทึกในคัมภีร์ ร่างแบ่งที่เคล็ดวิชานี้สร้างขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะมีสติปัญญาที่แน่นอน พลังของมันยังก็เพิ่มทวีตามระดับการฝึกฝนของผู้ที่ทำการปรับแต่งด้วย และดูจากคุณสมบัติของนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองในตอนทำการปรับแต่ง โดยทั่วไปจะมีพลังแท้จริงของร่างหลักสามถึงเจ็ดส่วน
เพราะหากหลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับแก่นแท้หรือระดับดาราพยากรณ์ในภายหน้า และมีร่างแบ่งที่มีพลังของเขาห้าถึงเจ็ดส่วน พลังของเขาคงแข็งแกร่งจนยากจะจินตนาการได้
ของเหลวในบาตรนี้ ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงทำตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ช่วงสองสามปีสุดท้าย เขาวิ่งไปร้านค้าหลายร้าน และงานประมูลอยู่หลายครั้ง ถึงพอที่จะรวบรวมโอสถจิตวิญญาณชนิดต่างๆ มาผสมได้ สมุนไพรหนึ่งในนั้นที่มีชื่อว่า ‘หญ้าฟื้นวิญญาณ’ เขาต้องใช้หินจิตวิญญาณไปเกือบสองล้าน ถึงซื้อจากตลาดมืดมาได้หนึ่งต้น เพื่อใช้ในการผสมของเหลวจิตวิญญาณโดยเฉพาะ
ตามที่บันทึกในคัมภีร์ ของเหลวนี้ใช้เพื่อเตรียมฟื้นฟูจิตวิญญาณของยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองโดยเฉพาะ เพราะยันต์นี้สร้างขึ้นในสมัยบรรพกาล หลังจากผ่านเวลามานานเช่นนี้ มันก็ได้เสียหายไปบ้างแล้ว
การต่อสู้ของหลิ่วหมิงที่ผ่านมา ยังเคยสั่งให้นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองระเบิดตัวในช่วงเวลาสำคัญอยู่หลายครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงอาจจะทำให้จิตวิญญาณของมันได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก หากตอนนี้จะปรับแต่งให้แบ่งร่างได้ คงต้องให้มันบ่มเพาะอยู่ในของเหลวจิตวิญญาณสักรอบ รอฟื้นฟูจิตวิญญาณมาจำนวนหนึ่งแล้วค่อยว่ากัน
ขณะนี้หลิ่วหมิงยื่นนิ้วสีขาวออกมาสองนิ้ว และนำยันต์ในของเหลวสีม่วงจางๆ ออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำมาสังเกตดูตรงหน้า
ของเหลวจิตวิญญาณนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
จะเห็นว่ายันต์สีเหลืองที่เดิมทีมืดไร้แสง ตอนนี้ราวกับถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ส่วนที่ได้รับความเสียหายรวมถึงรอยขาดขนาดต่างๆ ต่างก็ถูกซ่อมแซมจนสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องใส่พลังจิตวิญญาณเข้าไปอีก บนพื้นผิวของยันต์มีแสงสีทองเปล่งประกายหมุนวนอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ และนำยันต์แช่ลงในบาตรสีเงินอีกครั้ง จากนั้นก็ยกแขนเสื้อปิดฝาบาตร
เขาเตรียมรอหาโอกาสดีๆ แล้วก็จะเริ่มปรับแต่งการแบ่งร่างของยันต์นักรบพลังผ้าเหลือง
ขณะนี้เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เขาจึงออกไปจากห้องลับแล้วเข้าไปในห้องนอน
การต่อสู้กับระดับดาราพยากรณ์อย่างปีศาจสายฟ้าทุกวัน นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังจิตหรือว่าพลังกายล้วนได้รับการกดขี่เป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาต้องการนอนหลับให้อิ่มสักรอบ ทำให้จิตใจอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
เช้าวันที่สอง หลังจากหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาแต่เช้าแล้ว ก็ตรงเข้าไปในห้องลับทันที เขาหลับตาทั้งคู่ลง และทำความเข้าใจเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง
ตอนนี้เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นปลายของระดับผลึกแล้ว เคล็ดวิชาการขี่กระบี่ต่างๆ ในคัมภีร์ปราณแกร่งที่เขาน้ำลายยืดมานาน ในที่สุดก็เริ่มฝึกฝนได้แล้ว
หลังจากทำเช่นนี้ติดต่อกันสามวันสามคืนโดยไม่หยุดพัก เขาก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาและออกมาจากทะเลจิตรับรู้ แววตาของเขาในตอนนี้สว่างวาบขึ้นมา
หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว เขาก็หลับตาทั้งสอง และเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อนำหนอนพลังจิตออกมา
พอเอามือข้างหนึ่งชี้ไปยังดวงตามายาปีศาจบนศิลาหุนเทียน พลังจิตของหนอนพลังจิตก็ค่อยๆ พุ่งเข้าไปในนั้น
ครู่ต่อมา ดวงตามายาปีศาจก็ลืมตาขึ้นมาทันที หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสว่างโจมตีเข้ามา ขณะที่เขาเห็นทุกอย่างชัดเจนนั้น ภาพตรงหน้าก็เป็นเทือกเขาหินโล้นระเกะระกะที่มีขนาดสูงต่ำแตกต่างกัน นอกจากยอดเขาที่มีความสูงต่ำไม่เท่ากันแล้ว ที่เหลือก็เป็นเศษหินขนาดต่างๆ
วิธีการสร้างแดนมายาด้วยตนเองอย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งหลัวโหวเช่นนี้ หลิ่วหมิงเพิ่งทำได้หลังจากที่หลัวโหวยกระดับอำนาจของ ‘กรงขัง’ ให้กับเขาเมื่อหลายปีก่อน
แต่ว่าเขาสร้างได้แค่แดนมายาง่ายๆ เช่นทะเลทราย ทุ่งหญ้า เป็นต้น ยังไม่อาจสร้างแดนซับซ้อนที่มีอสูรจิตวิญญาณ ศัตรูแข็งแกร่ง หรือสายฟ้า และสายฝนกระหน่ำได้
ตามที่หลัวโหวกล่าวไว้ ต้องรอให้เขาถูก ‘กรงขัง’ ดูดซับอีกหลายครั้ง ถึงจะพอฝืนสร้างขึ้นมาได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
เพราะว่าการฝึกฝน และทดสอบความสามารถบางอย่าง ไม่สามารถแสดงได้สะดวกในห้องลับ แต่หลังจากมีแดนมายาแล้ว ก็สามารถลงมือทดสอบได้อย่างเต็มที่
หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูรอบด้าน พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้น กระบี่เล็กสีทองก็ถูกโยนขึ้นไป หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็ลอยอยู่บนนั้นอย่างมั่นคง
ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายแวววาว พอทำท่าเคล็ดกระบี่ แสงสีทองก็เปล่งประกายบนกระบี่เล่มเล็ก พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงกระบี่สีทองที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง
ขณะนั้นเอง มือทั้งคู่ของเขาก็เคลื่อนไหวในทันที และชี้ไปบนกาศอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
หลังจากแสงกระบี่ส่งเสียงดังกังวานผ่านไป มันก็แยกตัวออกมา ทุกครั้งที่ชี้ไปกลางอากาศก็จะมีแสงกระบี่แยกตัวออกมาหนึ่งลำ
ครู่ต่อมา แสงสีทองก็ปรากฏตัวกลางอากาศอีกแปดลำ แต่ละลำต่างก็เหมือนกับต้นแบบไม่มีผิด
“ไป!”
เขาตะโกนออกมา หลังแสงกระบี่เก้าลำสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศหนึ่งที ก็พุ่งยิงออกไปพร้อมกัน ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทองที่ปกคลุมเต็มฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเกือบครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยแสงสีทองเจิดจ้า
“ปังๆ!” เกิดเสียงดังขึ้นติดต่อกัน!
หลังจากแสงสีทองกะพริบผ่านไป และสัมผัสกับยอดเขาหินแต่ละลูก มันก็จะระเบิดออกมาเป็นเศษหินภายในพริบตา
“การแบ่งร่างของแสงกระบี่นี้ช่างมหัศจรรย์จริงๆ!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำออกมา
พอเขาเปลี่ยนท่ามือ สายรุ้งกระบี่สีทองทั้งเก้าที่อยู่ไม่ไกลก็พุ่งกลับมา และรวมตัวกันเป็นกระบี่เล็กสีทองเล่มหนึ่งอีกครั้ง
ครู่ต่อมา ลูกเปลวไฟอันร้อนแรงก็ก่อตัวบนปลายนิ้วของเขา พอเขาร่ายคาถา นิ้วทั้งสิบก็ดีดออกไปเบาๆ และลูกเปลวไฟก็พุ่งใส่กระบี่เล็กสีทอง “ฟู่!”
ฉากน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
ลูกเปลวไฟไม่ได้ปะทะลงบนกระบี่เล็กสีทอง แต่กลับหมุนอยู่ห่างจากตัวกระบี่ราวๆ หนึ่งชุ่นกว่า และกลายเป็นมังกรไฟขนาดเล็กที่มีขนาดเท่านิ้วมือตัวหนึ่ง จากนั้นก็ห่อหุ้มกระบี่เล็กสีทองไว้อย่างแน่นหนา
อากาศรอบด้านกระบี่เล็กสีทองเกิดการบิดเบี้ยวอันเนื่องมาจากการได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิของเปลวไฟ
พอเห็นฉากเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วชี้ไปบนอากาศ
แสงกระบี่สีทองขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ที่ถูกมังกรไฟห่อหุ้มไว้พุ่งยิงออกมา “ฟู่!” และฟันหินขนาดใหญ่หลายจั้งออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดายราวกับใช้มีดตัดเต้าหู
และก้อนหินยักษ์ทั้งสองที่ถูกผ่าออกมา ก็ลุกไหม้อย่างรุนแรง และกลายเป็นขี้เถ้าปลิวตามลมไปในพริบตา
ต่อมา เขาลองเพิ่มน้ำและพลังสายฟ้าเข้าไปในร่าง และค้นพบว่าผลลัพธ์ของมันก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เช่นนี้แล้ว หากคู่ต่อสู้ใช้วิชาบางอย่างทำการโจมตีหรือป้องกันล่ะก็ สามารถเพิ่มธาตุที่ข่มกันบนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ ไม่เพียงแต่จะสามารถแสดงอานุภาพของกระบี่บินออกมาได้เท่านั้น ยังได้ผลคุ้มค่าเป็นอย่างมาก สามารถพิชิตศึกกำลัยชนะได้
วันที่สอง ยังคงเป็นหุบเขาภายในแดนมายาที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง
กระบี่บินสีทองพุ่งไปยังยอดเขาหินลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยกว่าจั้งท่ามกลางเสียงดังก้องฟ้า
แต่ทว่าพอกระบี่บินพุ่งผ่านอากาศบางแห่งนั้น มันกลับหายไปในพริบตาราวกับจมไปในอากาศ
ผ่านไปแค่อึดใจเดียว ก็มีระลอกคลื่นก่อตัวตรงหน้ายอดเขาหินขนาดใหญ่ ภายใต้แสงสีทองที่เป็นประกาย กระบี่เล็กสีทองก็พุ่งออกมาจากในนั้น ทั้งยังพุ่งเข้าใส่ยอดเขาหินโดยที่ความเร็วไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
พอกระบี่เล็กสีทองพุ่งออกไปได้ระยะหนึ่ง กลุ่มแสงทรงกลดสีขาวน้ำนมก็ระเบิดออกจากตัวกระบี่ หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นไหมสีขาวแวววาวเส้นหนึ่ง และโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด
“ฟิ้ว!” กระบี่บินสีทองสั่นสะท้าน และเพิ่มความเร็วขึ้นมาทันที พริบตาเดียวก็ทะลุส่วนที่หนาที่สุดของยอดเขาตรงหน้า!
ครู่ต่อมา ฉากที่ทำให้คนปากอ้าตาค้างก็บังเกิดขึ้น!
ไหมสีขาวแวววาวเป็นเส้นๆ พุ่งทะลุออกจากยอดเขาหิน หลังจากส่งเสียงดังโครมครามแล้ว ยอดเขาทั้งลูกก็พังทลายลงมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกาย หลังจากโบกมือเรียกกระบี่บินกลับมาแล้ว ก็เคลื่อนตัวมาปรากฏเหนือยอดเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง พอชี้แขนเสื้อไปรอบด้าน ธงค่ายกลหลากสีสิบกว่าอันก็พากันพุ่งยิงออกไป และจมหายไปในยอดเขาที่อยู่รอบด้าน
จากนั้นเขาก็ร่ายคาถาออกมา ม่านแสงสีเทาที่ห่อหุ้มยอดเขาเล็กๆ ไว้ทั้งลูกก็ปรากฏออกมา มีอักขระกะพริบอยู่บนนั้นไม่หยุด
หลิ่วหมิงกำมือข้างหนึ่งไว้แน่น และชกออกไปอย่างรุนแรง เหนือกำปั้นมีหัวพยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งไปยังม่านแสงสีเทา
“ตู๊ม!”
หลิ่วหมิงได้รับพลังสะท้อนกลับของกำปั้นนี้ จนต้องร่นถอยออกไปหลายก้าวถึงพอจะทรงตัวไว้ได้
บนม่านแสงสีเทา มีเพียงรอยเว้าเดียวที่ถูกไอดำปกคลุมไว้ หลังจากไอดำสลายไปมันก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
หลังจากหลิ่วหมิงพยักหน้าแล้ว ก็เอาเท้าทั้งคู่กระทืบพื้นทันที จากนั้นก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง และมือทั้งสองก็ทำท่าเคล็ดกระบี่อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกระบี่เล็กสีทองก็พุ่งออกไป
“เพล้ง!”
ครู่ต่อมา กระบี่เล็กสีทองก็แทงลงบนม่านแสง หลังจากสั่นสะท้านเล็กน้อยแล้ว ก็พุ่งทะลุไป ขณะนั้นเองหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนเคล็ดกระบี่ในทันที แสงทรงกลดสีขาวน้ำนมปรากฏตรงปลายของกระบี่ พริบตาเดียวก็กลายเป็นไหมแวววาว และโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
“เปรี๊ยะ!”
ม่านแสงสีเทาถูกโจมตีจนเกิดรอยร้าวยาวๆ กระบี่เล็กสีทองพุ่งออกมา และกลายเป็นแสงสีทองปักอยู่บนหน้าผา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็โบกมือข้างหนึ่งทันที กระบี่เล็กสีทองส่งเสียงดังกังวานเบาๆ มันหมุนตัวอยู่บนหน้าผาอย่างบ้าคลั่ง ปราณกระบี่สีทองเป็นสายๆ ม้วนออกจากม่านแสงสีเทาอย่างบ้าคลั่ง
ครู่ต่อมา ภายใต้การเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งของม่านแสง มันก็แตกสลายลงมา และกลายเป็นจุดแสงสีเทาก่อนสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
ต่อมา หลิ่วหมิงลองเพิ่มค่ายกลชั้นจำกัดป้องกันอีกหลายชั้น และยังลองใช้กระบี่ฟันดู ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนก่อนหน้านั้น เพียงแค่เพิ่มพลังแห่งดาราไว้บนกระบี่บิน ก็สามารถทำลายชั้นจำกัดนี้ได้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เวลาที่เหลือเขาก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการใหม่ๆ ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง และฝึกฝนอยู่ในแดนมายาอย่างต่อเนื่อง
ครึ่งเดือนต่อมา ภายในถ้ำที่พักแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เขากำลังอ่านเคล็ดวิชาบางอย่างที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์กระบี่ปราณแกร่ง และคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ถุงกระบี่…ของสิ่งนี้น่าปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อย” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา แต่กลับถอนใจหายยาวๆ ก่อนกล่าว
จะว่าไปแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับถุงกระบี่ เขาก็เคยได้ยินมานานแล้ว และก็เคยอ่านดูคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องมาจำนวนหนึ่ง รู้มาว่ามันมีอานุภาพในการบ่มเพาะกระบี่บิน มีผลมหัศจรรย์ในการบ่มเพาะ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ของสิ่งนี้จะจำเป็นสำหรับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในการบรรลุระดับไปสู่แก่นกระบี่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น