หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 744-747

บทที่ 744 ออกตัว!

 

หวังเป่าเล่อคาดหวังว่าจะมีความโกลาหลครั้งใหญ่ตามมาหลังจากการปล้นเรือบินรบของสำนักใหญ่ แต่ ชายหนุ่มก็ประมาทผลพวงจากการกระทำของเขาเกินไป เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่ใช่คนจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จริงๆ


ดาวเคราะห์ทั้งดวงวุ่นวายไม่หยุดหย่อนตลอดสามวันต่อมา มีการสืบสวนเกิดขึ้นรอบดาวภายใต้การนำของผู้ฝึกขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ผู้ฝึกตนจำนวนมากเข้ารื้อค้นแนวภูเขาที่ห้าถึงแปดอย่างรวดเร็ว สำนักที่มักสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ในอารยธรรมบ้านเกิด แต่จะปลดปล่อยความป่าเถื่อนออกมาเมื่อไปรุกรานอารยธรรมอื่น บรรดาผู้คนมือเปื้อนเลือดทั้งหลายต่างก็ถูกพายุบ้าคลั่งนี้กวาดรื้อจนสิ้น


ไม่สำคัญเลยว่าสำนักนั้นจะดูน่าสงสัยหรือไม่ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำบุกเข้าไปในทุกสำนักและตรวจค้นโดยไม่ขออนุญาตก่อน ทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักผนึกผังดาวหกแฉกก็เห็นด้วยกับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำและต่างกุลีกุจอพากันช่วยสืบสวนด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาสถานะสำนักใหญ่ของพวกเขา และเพื่อป้องกันไม่ให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำพาลมาสงสัยสำนักใหญ่อีกสองแห่งโดยไม่จำเป็น!


ราชวงศ์เองยังออกกฤษฎีกาในวันที่สองและออกแถลงการประนามผู้ก่อการอย่างรุนแรง กฤษฎีกานั้นทำให้เรื่องนี้ไม่จบอยู่แค่ในดาวเอกอีกต่อไป ดาวทุกดวงในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการปล้นด้วยกันทั้งสิ้น!


ทุกสำนักบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ถูกสอบสวนกันทั้งสิ้น แน่นอนว่า สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ไม่อาจจะหลุดรอดไปได้ พวกเขาถูกกลุ่มที่นำโดยผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตรวจค้นอย่างละเอียด สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ยื่นมือเข้าช่วยในการตรวจค้นเช่นกัน


เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ที่แม้จะอยู่ระหว่างการซ่อมแซมและจอดอยู่ภายในเขตหวงห้ามก็ยังถูกรื้อค้นอย่างละเอียด กระเป๋าคลังเก็บทุกใบถูกเปิด และผู้ฝึกตนที่มีระดับปราณต่ำถูกค้นวิญญาณ ผู้อาวุโสเช่นหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสสูงสุดไม่ถูกกระทำเช่นนั้นเพราะสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คอยควบคุมอยู่ แต่พวกเขาก็ยังถูกตรวจสอบด้วยศิลาหยั่งรู้!


การตรวจสอบด้วยศิลาหยั่งรู้นั้นไม่ลึกซึ้งเท่าการถูกค้นวิญญาณ แต่หากระดับพลังปราณของผู้ถูกตรวจสอบไม่ได้สูงกว่าผู้ถือศิลา คำโกหกใดๆ ที่กล่าวออกมาจะถูกจับได้ทั้งสิ้น แม้ว่าระดับปราณของหวังเป่าเล่อจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ แต่วิญญาณจุติดวงดาราของเขาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเขายังมีกระบวนท่าสารัตถะด้วย ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรออกมาระหว่างที่ถูกตรวจสอบ


พวกเขาไม่พบอะไรระหว่างการรื้อค้นกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อเช่นกัน เพราะชายหนุ่มเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้กับร่างจริงของเขา จิตเชื่อมโยงที่ร่างอวตารมีต่อร่างจริงทำให้เขาสามารถส่งของกลับไปกลับมาระหว่างสองร่างได้อย่างอิสระ แน่นอนว่าต่อให้เขาถูกจับค้นวิญญาณ ชายหนุ่มก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ส่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมา หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะผ่านการทดสอบแน่นอน


สามวันผ่านไป การปล้นและการสืบสวนที่ก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั้งอารยธรรมก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกต่างก็ร้อนรนไปด้วยความวิตกกังวล พวกเขาตัดสินใจจะค้นวิญญาณผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณและขั้นเชื่อมวิญญาณ และตอนนั้นเองพวกเขาก็พบอะไรบางอย่าง!


สำนักหลอมวารีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้น!


สำนักพันวิญญาณก็เช่นกัน!


เบาะแสเหล่านั้นเป็นดั่งน้ำเย็นที่หล่อเลี้ยงวันอันร้อนระอุ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกจากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกระโจนเข้าใส่เบาะแสราวกับมันเป็นทุ่นลอยท่ามกลางสายน้ำเชี่ยว พวกเขาบุกเข้าไปในสำนักทั้งสองก่อนจะรื้อค้นอย่างไม่ลดละ ความลับถูกเปิดโปงออกมาสู่โลก สำนักทั้งสองร่วมมือกันและวางแผนการปล้นที่มุ่งเป้าไปยังเรือบินรบของสำนักที่อยู่ในแนวภูเขาที่หก


ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกถึงกับเงียบงันเมื่อค้นพบเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกันระหว่างที่ลอบไปเจรจากันเอง แต่ในวันที่สามและเป็นวันสุดท้ายของเส้นตาย ก็มีข่าวใหญ่แพร่กระจายออกไป ข่าวนั้นเผยว่าสำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังการปล้นต่อเนื่องที่เกิดขึ้น แถมยังกล่าวอีกว่าสำนักทั้งสองเสียสติไปแล้วจึงได้ปล้นเรือบินรบของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ! ข่าวนั้นแพร่ไปไกลราวกับไฟลามทุ่ง


คงไม่มีใครเชื่อข่าวนั้นได้ลง ทุกคนอาจจะเชื่อในส่วนแรก แต่ไม่มีใครเชื่อส่วนที่สองแน่นอน สำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณคงต้องเสียสติไปจริงๆ หากตัดสินใจปล้นสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แต่หลักฐานที่ปล่อยออกมาบ่งชี้ว่าทั้งสองสำนักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา


สำนักทั้งหลายของดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เงียบกริบเมื่อได้ยินข่าวดังกล่าว จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พากันแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างปุบปับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าที่จริงแล้วพวกเขาโกรธจริงหรือแค่เสแสร้งแกล้งทำ แต่ทุกคนก็ต่างพยายามส่งเสียงของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้ยิน


ราชวงศ์ก็ปล่อยกฤษฎีกาออกมาอีกหนึ่งฉบับในวันเดียวกันนั้น ซึ่งเป็นการสนับสนุนข่าวที่เพิ่งจะปล่อยออกมา หลังจากที่เงียบอยู่พักใหญ่ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ออกประกาศผลการสืบสวนของตนเอง ความยุ่งเหยิงที่ทำเอาทั้งอารยธรรมวุ่นวายมาหลายวันก็จบลงในที่สุด!


สำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปกป้องตัวเองได้ พวกเขาถูกกระทำเหมือนเป็นสิ่งของและถูกส่งไปให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเป็นค่าชดเชย ทรัพยากรส่วนมากของทั้งสองสำนักก็ถูกส่งมอบให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเช่นกัน


ทรัพยากรที่เหลือ เช่นสิ่งก่อสร้างของสำนักและพื้นที่ถูกประมูลขายออกไป ผลกำไรที่ได้มานำไปจ่ายชดเชยให้สำนักอื่นๆ ที่ถูกปล้น ถือเป็นจุดจบของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด สุดท้ายแล้ว สถานการณ์การเมืองในแนวภูเขาที่ห้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


แม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างสงบสุข แต่หลายคนก็ยังรู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกๆ เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนรู้ดีว่าสำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณเป็นแพะรับบาป แม้ว่าพวกเขาจะมีส่วนผิดอยู่บ้าง เพราะอย่างไรก็มีส่วนในการปล้นหลายต่อหลายครั้ง


แน่นอนว่า ตัวแปรสำคัญในการตัดสินเรื่องทั้งหมดนี้คือราชวงศ์…


หากปราศจากกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ เรื่องก็คงไม่จบลงง่ายดายเพียงนี้ สิ่งที่ความวุ่นวายในครั้งนี้ขับเน้นให้ชัดเจนขึ้นมาคือการปะทะกันเล็กๆ ระหว่างราชวงศ์กับสำนักใหญ่ทั้งสาม!


แม้จะไม่มีการแทรกแซงจากราชวงศ์เพื่อคลี่คลายเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสามารถขโมยตัวตนของใครอื่นได้ เพียงเท่านั้นปัญหาทั้งหมดของเขาก็จะแก้ได้อย่างง่ายดาย หวังเป่าเล่อได้เลือกเป้าหมายถัดไปเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ และหากสิ่งนั้นไม่ได้ผลเขาก็ยังมีไพ่ตายอยู่ นั่นคือการกลับไปยังโลงศพ โลงศพนั้นทรงพลังเสียจนต่อให้มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกค้นหาเขาก็ไม่หวั่น


อันที่จริงแล้ว แม้การแทรกแซงของราชวงศ์จะดูเหมือนช่วยคลี่คลายปัญหาลงได้ แต่แท้จริงกลับทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้นไปอีก


สำนักใหญ่ทั้งสามปิดเขตแดนอวกาศรอบดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เอาไว้ทั้งหมด เรือบินรบทุกลำที่ผ่านเข้าออกถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนพวกเขายังคงควานหาตัวคนร้ายตัวจริงต่อไป ทั้งยังเป็นการส่งคำเตือนไปให้ราชวงศ์ในคราวเดียวกัน


ช่างน่าปวดหัวเสียจริง…หวังเป่าเล่อถอนใจพลางละสายตาออกจากพระจันทร์สีซีด ชายหนุ่มไม่ได้กังวลเรื่องการหลอมเรือบินรบของตนแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้วัตถุดิบที่ต้องการมีครบหมดแล้ว ขณะนี้เขาแค่ต้องประกอบพวกมันเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ตอนนี้ดาวเคราะห์กำลังตื่นตัวสุดขีด และบรรยากาศก็ยังอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่หลอมเรือบินรบของเขา ขณะนี้ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอย่างหนักถึงวิธีที่จะออกจากดาวเคราะห์นี้ไปให้ได้


การจะออกจากดาวโดยไม่เป็นจุดสนใจต้องยากมากแน่ๆ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจอีกครั้ง การลอบสังเกตของเขาเองและคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต่างก็ชี้ไปในทางเดียวกัน นั่นคือการปิดล้อมดาวเคราะห์ครั้งนี้รัดกุมยิ่ง สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทำกระทั่งส่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะกลับมายังดาวเอกเพื่อการนี้เลยทีเดียว!


ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะยืนเฝ้ายามอยู่ในอวกาศ ตัวตนของเขาช่วยเสริมการปิดกั้นดวงดาวรวมถึงกระตุ้นความกลัวและความยำเกรงของสำนักต่างๆ หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากดาวได้โดยที่ไม่ตกเป็นเป้าของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนนี้


นอกเสียจากว่า…หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน สายตาของหวังเป่าเล่อก็หันไปจับจ้องเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ มันได้รับการซ่อมแซมจนเกือบสำเร็จเรียบร้อย และน่าจะสมบูรณ์ในไม่ช้านี้ ชายหนุ่มนั่งครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นประกายแสงก็สะท้อนวาบขึ้นมาในดวงตาของเขา วันต่อๆ มาหวังเป่าเล่อก็เลิกคิดที่จะหนี ชายหนุ่มหันมามุ่งมั่นตั้งใจช่วยเหลือผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักซ่อมแซมเรือบินรบช่วงสุดท้าย


วันเวลาผ่านไป จนสองเดือนถัดมา…การปิดกั้นดวงดาวยังคงอยู่ แต่เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่ซ่อมแซมมานานปีก็เสร็จสมบูรณ์หลังจากหมดทรัพยากรไปมากมาย!


หลังการซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์หนึ่งวัน ผู้อาวุโสสูงสุดก็เรียกทุกคนมารวมกันเพื่อออกคำสั่ง!


“จงกลับไปเตรียมตัว ในเวลาหนึ่งสัปดาห์…เราจะออกเดินทางไปยังระบบดาวเคราะห์ต่างดาว และออกล่าทรัพยากรกันอีกครั้งหนึ่ง!”


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นพอๆ กัน สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ลำบากกันมาทั้งปี บรรดาศิษย์ทุกคนต้องอยู่กันอย่างอดอยาก ทำได้เพียงเฝ้ามองสำนักใช้ทรัพยากรทั้งหมดไป และคอยเฝ้ารอให้ถึงวันที่จะได้ออกล่าเสียที


คำสั่งนั้นได้รับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นจากหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทั้งสำนักต่างก็เต็มตื้นไปด้วยความตื่นเต้นยินดีเมื่อข่าวดีนี้แพร่กระจายออกไป หวังเป่าเล่อเฝ้ารอโอกาสนี้มานานแล้ว!


ชายหนุ่มวิเคราะห์สถานการณ์เอาไว้เรียบร้อย ตอนนี้ดาวทั้งดวงอยู่ภายใต้การปิดกั้นควบคุมแน่นหนา โดยมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเฝ้ามองการเข้าออกของเรือบินรบตาไม่กะพริบ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะออกจากดาวเคราะห์นี้ได้โดยไม่ถูกพบ หวังเป่าเล่อต้องการเหตุผลที่สมควรและและวิธีการที่จะออกไป ไม่มีเหตุผลอื่นใดเหมาะไปกว่าการที่สำนักจะเดินทางไปปล้นสะดมตามปกติแล้ว


เขาไม่ได้เลือกจะย้ายไปสวามิพักตร์สำนักอื่นเช่นกัน หลังจากที่วิเคราะห์สถานการณ์แล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าตอนนี้การอยู่เฉยๆ นั้นดีกว่าการเคลื่อนที่ไปมา นอกจากนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มคุ้นเคยกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์แล้ว การใช้สำนักเป็นข้ออ้างในการออกจากดาวเคราะห์น่าจะเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด


หลังจากที่หลุดออกจากขอบเขตสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ ข้าก็จะแยกตัวออกไปทันที ข้าจะไปหาที่หลอมเรือบินรบ จากนั้น…ก็มุ่งหน้ากลับสหพันธรัฐ เพื่อขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐเสียที!


เจ็ดวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็ก้าวขึ้นเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์พร้อมฝูงศิษย์ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ รวมถึงผู้อาวุโสสูงสุด ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวเมื่อเรือบินรบปล่อยพลังออกมา เมื่อยืนอยู่บนเรือบินรบและเพ่งมองออกไปยังโลกภายนอกผ่านหน้าต่าง หวังเป่าเล่อก็เต็มตื้นไปด้วยความกังวลและความตื่นเต้น!


ข้าจะได้กลับบ้านสักที!


…………………………..

 

 

 


บทที่ 745 ดวงเนตรสวรรค์! ดวงเนตรปีศาจ!

 

หวังเป่าเล่อเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่า กลุ่มที่เข้าร่วมการปล้นร้อยละเจ็ดสิบเป็นศิษย์ที่หวังจะเก็บทรัพยากรมาเพื่อใช้เป็นการส่วนตัว!


ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ได้ทำประโยชน์ให้สำนักสักเท่าใด ไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนฝีมือดาษๆ ทั่วไป พวกเขาเป็นพวกที่สำนักไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเอาไว้ การที่คนเหล่านี้ขึ้นมาอยู่ที่นี่ด้วยทำให้หวังเป่าเล่อค่อนข้างประหลาดใจ


แต่ชายหนุ่มก็กำลังจะออกจากที่นี่ในไม่ช้า เขาจึงไม่ใคร่ใส่ใจนัก ความสนใจของหวังเป่าเล่อทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่การเตรียมตัวเมื่อจะต้องเร้นกายออกไป ชายหนุ่มต้องการหลีกเลี่ยงการถูกพบให้ได้มากที่สุด


เรือบินรบสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ออกเดินทางด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง เสียงของเครื่องยนต์ดังครั่นครืนอยู่ในอากาศขณะที่ตัวเรือบินพุ่งทะยานออกไปสู่ชั้นบรรยากาศ เรือบินรบลอยละล่องผ่านแนวอากาศออกไปราวกับมีเสียงอสูรน่าสะพรึงกลัวร้องคำรนตามหลังมาด้วย ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ผ่านทะลุชั้นบรรยากาศอันหนาทึบขึ้นมาอยู่ในอวกาศ!


ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเล็กน้อย ชายหนุ่มเห็นดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ลอยคว้างอยู่ในอวกาศ มีเรือบินรบนับร้อยลำของสำนักใหญ่ทั้งสามลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ แต่ละลำปล่อยรัศมีรุนแรงออกมา เรือบินรบเหล่านี้คือเรือบินที่ปิดกั้นทางเข้าออกของดวงดาวเอาไว้ ด้านหลังแนวเรือบินรบมี…ดาวหางขนาดมหึมาล่องลอยอยู่!


หากจะพูดให้ชัด สิ่งนั้นคือป้อมปราการที่หลอมขึ้นมาจากดาวหาง!


ป้อมปราการนั้นไม่ได้ลอยอยู่เองในอวกาศ หากแต่กำลังถูกแมงกะพรุนสีรุ้งขนาดยักษ์ลาก!


แมงกะพรุนส่องแสงเรืองรองและแผ่รัศมีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ คลื่นพลังกระเพื่อมออกมาครอบคลุมบริเวณโดยรอบแมงกะพรุนเอาไว้สิ้น หากจ้องมองดูดีๆ ก็จะเห็นร่างร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในตัวแมงกะพรุนนั้น ร่างนั้นไม่มีพลังวิญญาณแผ่ออกมา แม้กระนั้น ร่างของเขาก็ยังส่งความสะพรึงกลัวเข้าไปจับจิตใจของใครๆ ที่ได้เห็น


เขาก็คือ…ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะนั่นเอง!


เรือบินรบที่ผ่านเข้าออกดวงดาวถูกแบ่งออกเป็นสองแนว พวกมันเหาะผ่านแมงกะพรุนสีรุ้งไปอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่เรือบินรบเหาะผ่านไป แมงกะพรุนจะส่องลำแสงออกมากวาดผ่านเรือบินรบเหล่านั้น หากการตรวจสอบนั้นไม่พบสิ่งแปลกปลอม เรือบินรบก็จะผ่านไปได้ตามปกติ


ความวิตกกังวลของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นทันทีที่ได้เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจ้องมองภาพนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง


“ไม่เป็นไรหรอก!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ก่อนจะลอบมองไปยังคนอื่นๆ รอบกาย แล้วจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่กังวล ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ดูไม่ต่างกัน ขนาดผู้อาวุโสสูงสุดยังเงียบขรึมเป็นพิเศษ


กริยาของคนเหล่านี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกผิด หากแต่เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ เป็นความกลัวและความเคารพยำเกรงต่อพลังอันมหาศาลที่ออกมาจากร่างของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ


ความเงียบเข้าปกคลุมเรือบินรบสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ขณะที่มันต่อแถวเพื่อรอออกจากดวงดาว พวกเขาต้องเฝ้ารอถึงสองชั่วโมงกว่าที่จะได้รับการตรวจสอบ เรือบินรบเหาะเข้าไปใกล้แมงกะพรุนอย่างช้าๆ ขณะที่แสงสีรุ้งวาบผ่านเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของวิญญาณอันทรงพลังที่เข้าล้อมรอบกายเขาเอาไว้


ราวกับว่าการป้องกันทั้งหมดทั้งในความคิดและกระเป๋าคลังเก็บของชายหนุ่มถูกปลดทิ้ง ทุกๆ ความคิดและสิ่งของทุกชิ้นต่างถูกเผยให้ตัวตนวิญญาณได้รับรู้


ตอนนั้นเอง กระบวนท่าสารัตถะของหวังเป่าเล่อก็เริ่มทำงานขึ้นมาอย่างน่าฉงน กระบวนท่านี้เป็นของขวัญจากศิษย์พี่ บุรุษผู้นี้เป็นราชันสวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ที่ตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นคนสังหารจักพรรดิสวรรค์ กระบวนท่าสารัตถะสร้างร่างมายาที่สามารถหลอกตาตัวตนวิญญาณนั้นได้ ทำให้มันมองเห็นเพียงสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการให้เห็นเท่านั้น


หวังเป่าเล่อเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง แต่ก็ยังไม่บรรลุถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ การล่อหลอกนี้ได้ผลเพียงเพราะผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะผู้นี้ตรวจสอบเพียงคร่าวๆ เท่านั้น หากการตรวจสอบละเอียดกว่านี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาจะผ่านมาได้โดยไร้ปัญหา


การตรวจสอบใช้เวลาทั้งสิ้นราวๆ สิบกว่าวินาทีเท่านั้น จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสัญญาณว่าให้ผ่านไปได้ เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังออกมาพร้อมๆ กัน ผู้อาวุโสสูงสุดขยับเรือบินรบออกห่างจากแมงกะพรุนอย่างช้าๆ เรือบินรบค่อยๆ เคลื่อนที่เร็วขึ้น และไม่นานนักมันก็เริ่มมุ่งหน้าออกสู่ห้วงอวกาศ!


ข้าต้องอดทนเอาไว้ เรายังอยู่ในระยะสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ ยังมีภยันตรายซุกซ่อนอยู่ภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ คงจะเป็นการดีที่สุดหากข้าลงมือเมื่อเราออกพ้นระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ไปแล้ว…หวังเป่าเล่อมีท่าทีเหมือนดังเคย แต่ในศีรษะขณะนี้กำลังหมุนวนกับการหาทางหนีทีไล่ ชายหนุ่มตัดสินใจปลอดภัยไว้ก่อน เขาจะรอให้เรือบินรบออกนอกระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์จึงค่อยหาทางหลบหนี


ประสาทอันเขม็งเกลียวของหวังเป่าเล่อค่อยผ่อนคลายลงเมื่อพวกเขาทิ้งดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ไว้เบื้องหลัง ชายหนุ่มคิดไปถึงสีหน้าของอาจารย์ปู่และต้วนมู่ฉีเมื่อเขาเดินทางกลับไปถึงสหพันธรัฐ ความคิดนั้นทำเอาเขาตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น


ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะหยุดยั้งข้าจากการขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐได้! หวังเป่าเล่อคิดอย่างตื่นเต้นก่อนที่อะไรบางอย่างจะหันเหความสนใจของเขาไป เส้นทางที่เรือบินรบกำลังมุ่งหน้าไปนั้นผิดปกติ ตำแหน่งของดวงดาวผิดเพี้ยนไปจากที่ชายหนุ่มจำได้จากบนแผนที่ดวงดาว


เรือบินรบไม่ได้กำลังมุ่งหน้าออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ หากแต่กำลังเหาะตรงไปยัง…ดวงดาวที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของระบบดาวเคราะห์!


การค้นพบนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อตะลึง และเขาก็ไม่ใช่คนเดียว ความตื่นตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสและผู้ฝึกตนแทบทุกคนที่อยู่บนเรือบินรบ พวกเขาหันหน้าไปหาผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังกุมบังเหียนเรือบินรบอยู่ในขณะนี้


ผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังจะเปิดปากถามเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดยกนิ้วมือประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือ ก่อนจะซัดลงไปบนแผงควบคุมอย่างรุนแรง พลังปราณของเขาปะทุขึ้นมาจากร่าง ส่งให้เรือบินรบพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด เสียงสนั่นครั่นครืนดังสะท้านขึ้นทั่วอวกาศเมื่อเรือบินรบพุ่งเข้าหาดารานิรันดร์ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง!


เรือบินรบตรงไปยังดารานิรันดร์อย่างรวดเร็ว!


เรือบินรบขณะนี้ดูราวกับว่ากำลังเดินทางด้วยความเร็วแสง มันทำให้แสงบิดเบี้ยวและหักเหขณะที่พุ่งทะยานผ่านอวกาศไป!


สีหน้าของหวังเป่าเล่อตื่นตระหนกถึงขีดสุด ประกายมืดดำปรากฏวาบขึ้นในดวงตา ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาหรี่ตาลง เตรียมตัวที่จะต้องต่อสู้ฝ่าหนีออกไปจากเรือบินรบ ขณะที่มันเข้าใกล้ดารานิรันดร์ด้วยความเร็วสูง ทว่าในตอนนั้นเอง…นัยน์ตาของชายหนุ่มก็เบิกโพลง


วิชาดวงเนตรปีศาจที่หลับใหลอยู่ในกายเขา…ได้ตื่นขึ้นมาเองในวินาทีนั้น มันหมุนวนอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงราวกับเป็นอสูรที่ดุร้าย ก่อนจะแผ่รัศมีแห่งความคลุ้มคลั่ง…และหิวโหยออกมา!


อากาศด้านหลังหวังเป่าเล่อเริ่มบิดเบี้ยว ดวงตาปีศาจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา หวังเป่าเล่อไม่ทันได้ตั้งตัว ชายหนุ่มรีบปิดผนึกดวงตาปีศาจเอาไว้ก่อนที่มันจะได้โผล่ออกมา แต่วิชาดวงเนตรปีศาจก็ยังหมุนวนอยู่ภายใน


เกิดอะไรขึ้นกับ ข้าถูกจับได้เช่นนั้นหรือ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อขาดห้วงเพราะความตื่นตระหนกภายในใจ


เขาสัมผัสได้ถึงความหิวโหยของวิชาดวงเนตรปีศาจที่ทวีความรุนแรงขึ้นขณะที่เรือบินรบเข้าใกล้ดารานิรันดร์ ความหิวโหยนั้นเริ่มเข้าเกาะกุมหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในดารานิรันดร์…ที่กำลังเพรียกหาเขา


มันราวกับเป็นน้ำเสียงของมารดาที่เรียกหาบุตร เด็กน้อยที่หลงทางทุกคนย่อมต้องยอมโอนอ่อนต่อเสียงเรียกและกลับคืนสู่อ้อมอกของมารดา!


ข้าไม่ได้ถูกจับได้ นี่มันสิ่งอื่น…หวังเป่าเล่อคิดแล้วตัวสั่น ความคิดอันพิลึกพิลั่นก่อตัวขึ้นในใจ ในวินาทีเดียวกันนั้น…ดารานิรันดร์ขนาดใหญ่ยักษ์เกินบรรยายซึ่งอยู่ตรงหน้าเรือบินรบที่กำลังมุ่งตรงเข้าหาก็ส่งคลื่นเพลิงและพลังงานออกมาระลอกหนึ่ง!


มีรอยแยกร้าวเล็กปรากฏขึ้นบนดารานิรันดร์ ก่อนจะค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นและลึกขึ้น ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที รอยแยกนั้นก็ลามไปจนถึงอีกฟากของดารานิรันดร์ จากนั้น…รอยแยกนั้นก็เปิดขึ้นราวกับเป็นเปลือกตา!


จักรวาลสั่นสะท้านเลื่อนลั่น ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงอื้ออึงในหัว พวกเขาจ้องมองไปยังดวงตาขนาดเท่าดารานิรันดร์…ด้วยความมึนงง!


รูม่านตาของดวงตาเป็นสีเทาไร้ดูเยือกเย็นซึ่งอารมณ์ขณะเปล่งรัศมีอันทรงพลังออกมา ราวกับเป็นเทพยดาที่มองลงมายังเหล่ามนุษย์ปุถุชน ดวงตานั้นมองลงมายังเรือบินรบที่เคลื่อนเข้าไปหา ซึ่งดูเล็กจ้อยราวกับเป็นมดปลวกเมื่อเทียบกัน


ทุกคนบนเรือบินรบต่างก็ตื่นตะลึงไปตามๆ กัน ไม่มีใครสังเกตเห็นร่างที่สั่นเทิ้มของหวังเป่าเล่อหรือดวงตาปีศาจที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ภายในกายชายหนุ่ม วิชาดวงเนตรปีศาจขณะนี้ตื่นเต็มที่แล้วและกำลังดิ้นเร่าๆ อย่างรุนแรง แม้กระทั่งสิ่งนี้ก็ยังไม่เทียบเท่าความตกตะลึงที่หวังเป่าเล่อกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้!


ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะเย็นใจอยู่ได้ ดวงตาที่แปรสภาพมาจากดารานิรันดร์นั้น…ดูไปแล้วก็แทบจะเหมือนกับ…ดวงตาปีศาจซึ่งปรากฏขึ้นทุกคราที่เขาเรียกใช้วิชาดวงเนตรปีศาจเลยทีเดียว!


อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…และวิชาดวงเนตรปีศาจ…หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นโครมครามอยู่ในอก ในอึดใจต่อมา เรือบินรบก็ถูกแรงดึงดูดของดารานิรันดร์ดึงให้เข้าไปหาอย่างรุนแรง มันเริ่มเบนหัวและเคลื่อนไปยังดารานิรันดร์อย่างรวดเร็ว!

 

 

 


บทที่ 746 ราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์!

 

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ดารานิรันดร์ที่แปรสภาพเป็นดวงตาส่งแรงดึงดูดมายังเรือบินรบ ลากให้มันเข้าไปใกล้ ขณะที่เรือบินรบกำลังมุ่งตรงไปหาดารานิรันดร์นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หายจากอาการตื่นตะลึง ชายหนุ่มตัดสินใจล้มเลิกแผนการเดิมและกดเก็บความต้องการจะหนีเอาไว้ก่อน


เขาจำได้ว่า วิชาดวงเนตรปีศาจที่เลือกฝึกเป็นวิชาที่ใช้สังหาร เป็นหนึ่งในบรรดาเคล็ดวิชาการฝึกตนที่หวังเป่าเล่อพบในสำนักแห่งความมืดตอนที่เขาอยู่ในนิมิตมืด


เคล็ดวิชาฝึกตนนี้ไม่สมบูรณ์แถมยังบรรลุสูงสุดได้เพียงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น สำนักแห่งความมืดคงไม่ได้ให้ค่าพลังเทพเช่นนี้เท่าใดนัก เพราะอย่างไรเสีย สำนักก็มีเคล็ดวิชาฝึกปราณจำนวนมาก แต่ความลึกลับและชั่วร้ายของวิชาดวงเนตรปีศาจก็ทำให้มันแตกต่างจากวิชาอื่นๆ สุดท้ายแล้วสำนักแห่งความมืดจึงต้องหันมาปรับปรุงวิชาดวงเนตรปีศาจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพิเศษและความทรงพลังของวิชาดวงเนตรปีศาจได้อย่างชัดเจน!


หวังเป่าเล่อจำได้ว่าเคยอ่านเชิงอรรถซึ่งผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่ทรงพลังคนหนึ่งเขียนไว้ในบันทึกของวิชาดวงเนตรปีศาจ เขาคร่ำครวญถึงการที่จารึกนั้นสิ้นสุดลงตรงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น!


อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และวิชาดวงเนตรปีศาจจะต้องมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งแน่นอน บางที…ข้าอาจจะพบบันทึกของเคล็ดวิชาฝึกปราณที่หายไป ณ ที่แห่งนี้ก็เป็นได้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนแรงกล้า เรือบินรบพุ่งเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ขึ้นทุกขณะ และอุณหภูมิก็เริ่มพุ่งสูง มีพลังปราณสีเทาเบาบางพวยพุ่งออกมาจากดวงตาที่เคยเป็นดารานิรันดร์มาก่อนและเข้าห้อมล้อมเรือบินรบเอาไว้ มันทะลุผ่านตัวเรือบินเข้ามาล้อมรอบผู้ฝึกตนทุกคน


ศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มวิงเวียน ชายหนุ่มไม่มีเวลาพินิจพิเคราะห์ปราณสีเทาที่กำลังห้อมล้อมกายเขาอยู่ วินาทีต่อมา เรือบินรบก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จนกระทั่งเข้าไปยังดารานิรันดร์ ก่อนจะ…อันตรธานไป!


ทั้งเรือบินรบและผู้ฝึกตนทุกคนหายวับไปในอากาศ!


เวลาผ่านไป อาจจะชั่วกัปชั่วกัลป์ หรืออาจจะเพียงเสี้ยววินาที หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นเพราะคลื่นความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ไหลบ่าไปทั่วกาย สายตาของเขาพร่ามัวไปด้วยเลือด ลมหายใจหนักหน่วงและขาดช่วง


ชายหนุ่มไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ ทุกคนบนเรือบินรบ รวมทั้งผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ตัวสั่นเทา หลายคนถึงกับล้มฟาดลงไปบนพื้นเพราะความเจ็บปวดสุดจะทานทนที่พวกเขากำลังรู้สึกอยู่ มีผู้ฝึกตนนับสิบคนที่ดูเหมือนจะทนกับสิ่งนี้ไม่ไหว ร่างกายของพวกเขาระเบิด เลือดและเนื้อปลิวกระจายเปรอะทั่วผนังและพื้นของเรือบินรบ!


ผู้อาวุโสสูงสุดเหมือนจะทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอกในวินาทีนั้น น้ำเสียงอันแหบพร่าของเขาดังเข้ากระทบโสตประสาทของทุกคนในบริเวณ!


“ผู้ฝึกตนทั้งหลายเอย โปรดอย่าโทษข้าเลย สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้มาถึงจุดที่ต้องเดิมพันทุกสิ่งกับสิ่งเดียว ข้าได้จำนองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของสำนักเพื่อแลกกับโอกาสในการได้ใช้หนึ่งในสองกระบวนเวทของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์…วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ!”


ความสับสนและคาใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคนเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูด ผู้ฝึกตนที่มีขั้นปราณต่ำลงมามีสีหน้าซีดเซียว ความหวาดกลัวบนใบหน้าปรากฏให้เห็นชัดเจน สีหน้าของผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณก็หม่นหมองเช่นกัน พวกเขาจ้องมองออกไปยังโลกนอกเรือบินรบด้วยแววตาขึงขัง จากนั้นจึงหันหน้าจ้องมองกันอยู่ไปมา สุดท้ายผู้อาวุโสที่อยู่กับสำนักมานานที่สุดก็เอ่ยปากพูด


“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ท่านควรบอกพวกเราก่อนที่จะตัดสินใจทำเช่นนี้…”


หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะที่กำลังพยายามควบคุมลมหายใจ ชายหนุ่มก็ยกศีรษะขึ้นจ้องออกไปยังห้วงจักรวาลผ่านหน้าต่างของเรือบินรบ เขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่ผู้อาวุโสสูงสุดเลือกจำนองสำนักและทรัพย์สินทั้งหมด มีสามสิ่งที่รบกวนจิตใจชายหนุ่ม สิ่งแรกคือราชวงศ์ อย่างที่สองคือกระบวนเวทที่แข็งแกร่งทั้งสอง และสิ่งที่สามก็คือ…วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ!


ราชวงศ์อย่างนั้นหรือ…หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะที่จ้องมองจักรวาลอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครา ชายหนุ่มไม่อาจมองเห็นอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และดารานิรันดร์ได้อีกแล้ว สิ่งที่เขาเห็นอาจจะเป็นดารานิรันดร์เช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก มันส่องแสงเลือนรางออกมาราวกับว่ากำลังจะแตกดับ!


ที่นี่…ไม่ใช่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!


การเคลื่อนย้ายข้ามระบบดาวเคราะห์อย่างนั้นหรือ จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดหมายถึงเมื่อชายชรากล่าวถึงการเปิดใช้วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ มันคือการเคลื่อนย้ายขั้นสูงนั่นเอง!


หวังเป่าเล่อยังคงครุ่นคิดต่อไป ชายหนุ่มถอนสายตาออกมาและมองไปยังหมอกสีเทาที่รายล้อมกายเขาอยู่แทน หมอกนั้นไม่ได้หายไปหลังจากการเคลื่อนย้าย มันยังคงรายล้อมทุกคนบนเรือบินรบอยู่เช่นเดิม แต่ก็เจือจางเสียจนหากไม่เพ่งมองก็คงจะมองไม่เห็น


หวังเป่าเล่อมองเห็นหมอกนั้น เพราะวิชาดวงเนตรปีศาจในกายนั้นตื่นขึ้นและส่งคลื่นความหิวโหยที่อยากจะกลืนกินหมอกสีเทาออกมาเป็นระลอก


บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาอยู่ห่างจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาไกล แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถข่มความหิวโหยของดวงเนตรปีศาจเอาไว้ได้ ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงดารานิรันดร์ที่แปรสภาพกลายเป็นดวงตาขนาดใหญ่อย่างเป็นปริศนาที่ เขานึกไม่ออกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ทำให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ชายหนุ่มหันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังถูกบรรดาผู้อาวุโสตั้งคำถาม


ผู้อาวุโสสูงสุดสูดลมหายใจเข้าลึก มีประกายแสงกล้าส่องสว่างอยู่ภายในนัยน์ตาทั้งคู่


“การบอกพวกเจ้าตอนนี้ ถือว่าสายไปแล้วอย่างนั้นหรือ”


ผู้อาวุโสที่มีอายุงานในสำนักนานที่สุดนิ่งงันไป ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็นิ่งเงียบไปกันหมดรวมทั้งหวังเป่าเล่อด้วย


ผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าขึงขังขณะที่กวาดตามองผู้อาวุโสทุกคนและหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ และจริงจัง


“ไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องอธิบายสถานะของสำนักอย่างละเอียดให้พวกเจ้าฟัง พวกเจ้าควรรู้ดีกว่าใคร การปล้นชิงข้ามดวงดาวไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าดาวเคราะห์ที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ในระยะที่ใกล้กับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกปล้นจนหมดแล้ว แปลว่าแทบไม่มีอะไรเหลือให้เรา สิ่งนี้อาจไม่ใช่ปัญหาเท่าใดนักในอดีต แต่ตอนนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ของเรากำลังเข้าตาจน เพื่อจะพลิกชะตากรรมของเรา เราจำเป็นต้องหาเงินก้อนใหญ่…แทนที่จะพยายามทำเพื่อแค่รอดชีวิต ทำไมเราจึงไม่ยอมเสี่ยงเล่า!


“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าจำนองสำนักของเราเพื่อแลกกับการเปิดใช้งานดวงเนตรหมื่นปีศาจ พวกเราได้สิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายไปกลับ และสามารถเคลื่อนย้ายไปยังส่วนของจักรวาลที่ไม่มีใครรู้จักได้ ไปยังที่ที่ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!


“ข้าจะพูดกับพวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ข้าไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า และข้าจะเอาเรือบินรบไปด้วย สำหรับพวกเจ้าที่เหลือ พวกเจ้าต้องเก็บหอมรอมริบทรัพยากรให้เพียงพอที่จะใช้ดวงเนตรหมื่นปีศาจเคลื่อนย้ายกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!


“ข้าพูดจบแล้ว ได้โปรด…ไตร่ตรองเอาให้ดีเถิด”


ผู้อาวุโสสูงสุดจ้องมองหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วยสายตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมายอยู่นานหลังจากที่พูดจบ จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปยังห้องฝึกวิชา เขารู้ดีว่าสิ่งที่เพิ่งประกาศไปนั้นจะสร้างความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง แต่เขาก็ไม่สนใจ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและความรุนแรงที่ไม่จำเป็น ผู้อาวุโสสูงสุดรู้ดีว่าต้องให้เวลาคนอื่นๆ ได้ย่อยสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปและยอมรับกับความเป็นจริงในปัจจุบัน


เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดจากไป ทุกคนเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างเร่าร้อน ผู้อาวุโสบางคนดวงตาแดงก่ำด้วยความขึ้งโกรธ แต่พวกเขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ พลังในการเปิดการเคลื่อนย้ายที่จะส่งพวกเขากลับไปได้อยู่ในมือของผู้ที่ซื้อสิทธิ์นั้นมาเท่านั้น พวกเขาต้องเลือกระหว่างออกไปหาทรัพยากรมาให้มากพอเพื่อซื้อสิทธิ์เคลื่อนย้ายกลับบ้าน หรือสังหารผู้อาวุโสสูงสุดและชิงสิทธิ์ในการเปิดการเคลื่อนย้ายมา ไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่พวกเขาจะกลับดาวบ้านเกิดได้


แน่นอนว่าแม้คำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดจะไร้เยื่อใย แต่ทั้งหมดก็เป็นความจริง หากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้กลับไปพร้อมทรัพย์ก้อนใหญ่เพื่อเจือจุนคลัง สำนักก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เป็นเหตุให้…อาจเป็นการดีกว่าที่จะทุ่มเททุกอย่างและลองเดิมพันดูสักครั้ง!


ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นค่อนข้างจะไร้ความปราณี ชายหนุ่มนึกถึงหมอกสีเทาเบาบางที่เขาเห็นล้อมรอบตัวเองและคนอื่นๆ เอาไว้และสรุปได้ว่ามันคืออะไร สิ่งนั้นจะต้องเป็นผนึกของดวงเนตรหมื่นปีศาจที่จะใช้พาพวกเขากลับบ้านแน่ๆ


ดูเหมือนว่าดวงเนตรหมื่นปีศาจจะสามารถเคลื่อนย้ายคนได้ในระยะที่ไกลมากๆ แถมผนึกของมันยังเคลื่อนย้ายคนกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้โดยตรงอีกด้วย สิ่งนี้จะใช่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแบบสองทางหรือไม่นะ หวังเป่าเล่อรู้สึกฉงนเล็กน้อย สิ่งนี้แตกต่างจากดวงเนตรปีศาจที่ชายหนุ่มกำลังฝึกอย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่ได้วิตกกังวล หวังเป่าเล่อเริ่มพูดคุยกับผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ชายหนุ่มจะต้องรู้เรื่องของราชวงศ์และดวงเนตรหมื่นปีศาจมากกว่านี้เสียก่อน


ทุกคนกำลังประสบกับความรู้สึกมากมายจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งที่หวังเป่าเล่อถามก็ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด พวกเขาพากันสงสัยในความซื่อของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสเมื่อไม่นานนี้ เหล่าผู้อาวุโสที่ขณะนี้กำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคำถามของหวังเป่าเล่อมากนัก จึงตอบออกมาทั้งหมดในเวลาไม่นาน


ราชวงศ์และสำนักใหญ่ทั้งสามแม้จะดูดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองกลุ่มนั้นล้ำลึกนัก!


ราชวงศ์ไม่ต้องการนิ่งเฉยและรอให้สำนักใหญ่ทั้งสามเติบโตขึ้นมาแทนที่ แต่พวกเขาก็ไม่อาจยึดอำนาจที่ได้แบ่งให้สำนักทั้งสามกลับคืน และไม่มีอำนาจที่จะตอบโต้ ราชวงศ์กำลังล้มลุกคลุกคลานจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด สำนักใหญ่ทั้งสามต้องการล้มล้างราชวงศ์ แต่เพราะเหตุผลบางประการที่คนอื่นๆ ไม่รู้ พวกเขาจึงทำไม่ได้


เครื่องมือที่ราชวงศ์ใช้ในการอยู่รอดมาจนทุกวันนี้ คือสิ่งเดียวกับที่ทำให้สำนักทั้งสามไม่อาจล้มล้างราชวงศ์ได้ มันคือ…กระบวนเวทอันยิ่งใหญ่ทั้งสองที่เป็นสมบัติของราชวงศ์!


บรรดาผู้อาวุโสไม่รู้ว่ากระบวนเวทแรกคืออะไร พวกเขาเคยได้ยินเพียงตำนานความแข็งแกร่งและความน่าสะพรึงกลัวที่กระบวนเวทนี้สามารถก่อขึ้นในจิตใจของศัตรู แม้อีกฝ่ายจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก็ตามที กระบวนเวทนี้มีเพียงเหล่าสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่ฝึกได้ คนภายนอกจึงไม่อาจขโมยกระบวนเวทนี้มาเป็นของตนได้โดยง่าย


กระบวนเวทที่สองคือวิชาดวงตาหมื่นปีศาจ ราชวงศ์เป็นเจ้าของกระบวนเวทนี้ และมีเหตุบางประการที่ทำให้ความเป็นเจ้าของไม่อาจถูกถ่ายโอนออกไปจากตระกูลได้ มันดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับการมีสายเลือดราชวงศ์ แต่สิทธิ์ในการใช้งานนั้นเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง บรรยากาศทางการเมืองปัจจุบันภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทำให้ราชวงศ์ไม่อาจถือครองสิทธิ์ในการใช้งานกระบวนเวทลำพังได้ สำนักทั้งสามเองก็มีสิทธิ์ในการใช้กระบวนเวทนี้ได้เช่นกัน!


น่าสนใจดีนี่ แสงแปลกแปร่งปรากฏวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาได้ข้อมูลที่ต้องการ ชายหนุ่มคิดถึงการที่วิชาดวงเนตรปีศาจช่วยเพิ่มพูนพลังปราณของเขาเสียจนน่ากลัว และความคิดเรื่องการครอบครองกระบวนเวทของราชวงศ์ก็ผุดขึ้นมาในใจ


ข้าไม่จำเป็นต้องรีบออกจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แต่อย่างใด มีโอกาสไม่น้อยที่ราชวงศ์จะมี…วิชาดวงเนตรปีศาจขั้นต่อไปอยู่ในมือ!

 

 

 


บทที่ 747 อารยธรรมกลายพันธุ์!

 

ขณะที่หวังเป่าเล่อชั่งน้ำหนักสถานการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อาวุโสคนอื่นอยู่เนืองๆ ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็บรรลุข้อตกลงกันอย่างรวดเร็ว


เมื่อไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขาจึงตัดสินใจจะใช้โอกาสนี้ขโมยของให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หากพวกเขาขโมยของได้มากพอ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อาจสามารถพลิกสถานการณ์วิกฤตทางการเงินได้


ขณะเดียวกัน หากสิ่งของที่พวกเขาขโมยมาไม่เพียงพอ พวกเขาก็ยังต้องหาสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายกลับบ้านจากผู้อาวุโสสูงสุดอยู่นั่นเอง ส่วนความคิดเห็นของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ นั้นไม่มีความหมายแต่อย่างใด


ทันทีที่ทั้งเจ็ดบรรลุข้อตกลงกันได้ ก็ต่างพากันไปคารวะผู้อาวุโสสูงสุดอย่างนอบน้อมและบอกกล่าวการตัดสินใจให้ได้รับรู้ ผู้อาวุโสสูงสุดระเบิดเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะเมินบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเช่นกัน แล้วจึงปล่อยให้หวังเป่าเล่อและบรรดาผู้อาวุโสช่วยขับเรือบินรบไปด้วยกัน เรือบินรบพวยพุ่งออกไปในอวกาศด้วยความเร็วเต็มพิกัด


เมื่อเทียบกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว ห้วงอวกาศที่นี่มืดมิดกว่ามาก แต่ความรู้สึกแปลกแปร่งที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ รู้สึกไม่ได้ต่างกันมากนัก


กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เองก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เขาจำนองสำนักแลกสิทธิ์ในการเปิดดวงเนตรหมื่นปีศาจมา แต่ก็ต้องเลือกระยะทางการเคลื่อนย้ายอย่างคร่าวๆ เพราะไม่มีพิกัดที่แน่นอน


เพราะเหตุนี้ผู้อาวุโสสูงสุดจึงรู้เพียงว่าไม่เคยมีใครจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาเหยียบระบบดาวเคราะห์นี้มาก่อน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะพบเจออารยธรรมที่มีทรัพยากรให้แย่งชิงหรือไม่


ในความไม่แน่นอนนี้ หากจะจินตนาการว่าห้วงอวกาศเป็นดั่งมหาสมุทรมืดดำ เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็เป็นดั่งเรือเดียวดายที่ลอยเท้งเต้งอยู่ภายใน เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ก่อนที่สามเดือนจะพ้นไปในชั่วพริบตา


ตลอดสามเดือนนี้ ผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้แต่ก้มหน้ายอมรับโชคชะตาอย่างเงียบงัน แต่ประกายดุร้ายในดวงตาของพวกเขาก็ยังปรากฏขึ้นอยู่บางครั้งราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่หิวโหย แทบจะจินตนาการได้เลยว่าความไม่มีที่ไปนี้จะทำให้พวกเขาปลดปล่อยความดุร้ายออกมาทันทีที่พบเหยื่อ


ฝ่ายหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้อาวุโสดูผ่อนคลายกว่าผู้ฝึกตนที่เหลือมาก แต่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าความอึมครึมที่ลอยอยู่รอบๆ ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ เริ่มรุนแรงขึ้น แม้กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนความรู้สึกเอาไว้ อาการของเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาของหวังเป่าเล่อไปได้เช่นกัน ชายหนุ่มเห็นว่าผู้อาวุโสสูงสุดเริ่มกังวลขึ้นเรื่อยๆ


มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ไม่กระวนกระวาย ในแง่หนึ่ง หากเขาต้องการจะหนี เขาก็สามารถหนีได้ทุกเมื่อ อีกแง่หนึ่ง ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์การใช้งานผนึกดวงเนตรหมื่นปีศาจเพื่อกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในกำมือ แม้จะสามารถชิงมาได้อย่างง่ายดายก็ตาม


ดังนั้นสำหรับชายหนุ่มแล้ว เขาไม่เพียงไร้ซึ่งความวิตกกังวล แต่ยังได้รู้เรื่องราวของราชวงศ์ สำนักใหญ่ทั้งสาม และประวัติศาสตร์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้นจากการพูดคุยกับบรรดาผู้อาวุโสในช่วงนี้อีกด้วย


หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสักพัก ข้าคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องลงมือ หวังเป่าเล่อหรี่ตา สายตาของเขากวาดไปยังผู้คนรอบข้าง ชายหนุ่มลอบมองไปทางผู้อาวุโสสูงสุดที่มีสีหน้าอึมครึมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปยังอวกาศสีดำสนิทอย่างผ่อนคลาย แต่ขณะที่จ้องมองออกไปนั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ถึงกับกระตุก


แทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเกร็งกระตุก เรือบินรบที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ทุ่มเทกายใจไปในการซ่อมแซมก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมในอวกาศที่ห่างออกไป ก่อนจะเปิดสัญญาณเตือนภัยขึ้น


ทันทีที่เสียงสัญญาณเตือนภัยดังก้องสะท้อนไปทั่ว ผู้ฝึกตนทุกคนบนเรือบินรบก็ตัวสั่นเทา ลมหายใจเริ่มกระชั้นถี่เร็ว โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดและบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคน พวกเขาต่างจ้องออกไป มีประกายแสงฉายวาบขึ้นมาในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดขณะที่เขาสะบัดข้อมือหยิบเข็มทิศผลึกออกมา


เข็มทิศผลึกนี้มีขนาดเล็กจ้อย มันปล่อยคลื่นแสงเรืองเรื่อออกมาขณะที่ลอยอยู่ในฝ่ามือของผู้อาวุโส เมื่อเขาสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือซ้ายและชี้ออกไป แสงนั้นก็เริ่มสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงอื้ออึงดังก้องไปทั่ว ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นเริ่มใช้ปากกาขีดวาดแผนที่ดวงดาวขึ้นในอากาศ


เมื่อแผนที่ดวงดาวปรากฏขึ้น สายตาทุกคู่ในเรือบินรบก็เบนไปจับจ้องทันที


ดาวดวงแรกที่ปรากฏขึ้นคือดารานิรันดร์ที่ดูใกล้แตกดับเต็มที จากนั้นก็มีดาวเคราะห์ขนาดแตกต่างกันอีกหกดวงปรากฏขึ้นรายล้อมดารานิรันดร์เอาไว้…


ดารานิรันดร์ที่ใกล้จะดับสูญนั้นซีดจาง ขณะที่ดาวเคราะห์สองในหกดวงมีสีดำสนิท อีกสามดวงมีสีออกเขียวอมเหลืองที่หนักไปทางเขียวมากกว่า


ส่วนดวงที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้เป็นสีเขียว หากแต่กำลังเปล่งแสงสีเหลืองเรื่อเรืองออกมา!


ขณะที่แผนที่ดวงดาวและสีของดาวเคราะห์เริ่มปรากฏให้เห็น ลมหายใจของผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำบนเรือบินรบก็เริ่มถี่เร็ว ผู้อาวุโสข้างๆ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าขึงขัง ก่อนที่ใครสักคนจะตะโกนขึ้นมาอย่างเร่งรีบ


“ไม่มีสีเหลืองบริสุทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไม่มีสีส้มที่แสดงถึงระดับดาวพระเคราะห์ และไม่มีสีแดงที่แสดงถึงผู้ที่แข็งแกร่งระดับดารานิรันดร์เช่นกัน!”


“ดาวเคราะห์หกดวง มีสองดวงเป็นสีดำ แสดงถึงการไร้ซึ่งความผันแปรของปราณวิญญาณ พวกเราลืมดาวเหล่านั้นไปได้เลย อีกสามดวงเป็นสีเขียวกึ่งเหลือง แปลว่าพลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวสามดวงนั้นอยู่ในขั้นจุติวิญญาณหรือเชื่อมวิญญาณเท่านั้น”


“ดาวเคราะห์ดวงสุดท้ายเปล่งรัศมีสีเหลือง จากประสบการณ์ในอดีต พลังยุทธ์บนดาวดวงนี้เทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย!”


“อารยธรรมนี้ดูเป็นภัยพอสมควร แต่ก็ประหลาดอยู่พอประมาณ ดารานิรันดร์ของพวกเขากำลังจะแตกดับแท้ๆ ทำไมพวกเขายังไม่รีบหนีไปอีก”


หวังเป่าเล่อฟังคำพูดของบรรดาผู้อาวุโสข้างกาย ก่อนจะหรี่ตาลงและพูดขึ้นมาอย่างปุบปับ


“หากอารยธรรมนี้มีผู้นำที่แข็งแกร่งในขั้นเชื่อมวิญญาณ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีดาวเคราะห์ที่ว่างเปล่า แต่กระนั้น ที่นี่กลับมีดาวเคราะห์เปล่าอยู่ถึงสองดวง” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุด


ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มองไปยังแผนที่ดวงดาวและจ้องดาวเคราะห์สีดำทั้งสองดวงอย่างใกล้ชิด จากนั้นเขาก็พินิจมองดาวเคราะห์ที่ส่องแสงสีเหลือง ตามหลักการปฏิบัติพื้นฐานของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เมื่อพวกเขาพบอารยธรรมที่อ่อนแอกว่า พวกเขาจะเข้าไปใช้กำลังกำจัด และชิงทุกสิ่งมาจนหมด


แต่เมื่อต้องเผชิญกับอารยธรรมที่อาจจะเป็นภัย พวกเขาจะลอบเข้าไปใกล้ กระจายตัวออก และออกปล้นเป็นรายคน พวกเขาจะจดพิกัดของอารยธรรมนี้เอาไว้และมารวมตัวเพื่อหลบหนีในเวลาที่ตกลงกัน จากนั้นจึงเข้าไปปรึกษาบรรดาผู้นำของสำนักและตัดสินใจว่าจะเดินทางไกลมาบุกอารยธรรมนี้ดีหรือไม่


“ในเมื่อเราได้พบอารยธรรมใหม่ ขอให้เข้าไปตรวจดูว่ามันมีมั่งคั่งเพียงใด หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล เราจะออกจากที่นั่นทันที เรายังสามารถใช้พิกัดที่มีไปขอรางวัลจากสำนักใหญ่ได้!” ประกายแสงสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ขณะที่กำลังพูดด้วยความมุ่งมั่น


ในฐานะผู้นำแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จึงไม่กล้าพูดขัด เรือบินรบจึงเร่งความเร็วขึ้น วัตถุเวทที่ใช้พรางตัวจากการตรวจจับด้วยประสาทสัมผัสถูกเปิดใช้งาน ทำให้เรือบินรบทั้งลำพรางตัวเข้ากับจักรวาล ดูราวกับเป็นวิญญาณเร่ร่อนสีดำสนิทที่เคลื่อนที่เข้าใกล้ระบบดาวเคราะห์ของอารยธรรมแปลกหน้าเข้าไปทุกขณะ


ไม่กี่วันต่อมา เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในรูปแบบพรางตัวก็เข้าใกล้อารยธรรมแปลกหน้าได้สำเร็จ พวกเขาเดินทางเข้ามาสู่ระบบดาวเคราะห์โดยไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อย ผู้อาวุโสสูงสุดบนเรือบินรบสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่แผนที่ดวงดาวสามมิติซึ่งชัดเจนกว่าอันที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้จะปรากฏขึ้นภายในเรือบินรบ


แผนที่ดวงดาวอันใหม่นี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง และเพราะเป็นสามมิติ มันจึงแสดงผลดาวเคราะห์ทั้งหกได้เกือบสามร้อยหกสิบองศา เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นพื้นผิวของดาวเคราะห์เหล่านั้นได้รางๆ เลยทีเดียว


เมื่อทุกคนมองเห็นดาวเคราะห์เหล่านี้ ผู้ฝึกตนพลังปราณต่ำต่างก็ตื่นตะลึง หวังเป่าเล่อหรี่เองก็ตาลงเช่นกัน ขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ และผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป


เป็นเพราะ…ภายใต้การแสดงผลสามร้อยหกสิบองศา พวกเขาจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดาวเคราะห์สีดำทั้งสองดวงนั้นร่วงโรยไปอย่างสมบูรณ์ไม่ต่างจากส้มเหี่ยวแห้งสองลูก สัญญาณชีวิตหายสาบสูญไปจากดวงดาวทั้งสองโดยสิ้นเชิง!


ส่วนดาวเคราะห์อีกสี่ดวงที่เหลือ แม้ว่าจะยังมีสัญญาณชีวิตอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังร่วงโรยเช่นกัน มองเห็นหลุมบ่อจำนวนมากได้อย่างชัดเจนและยังเห็นเหมือนมีสิ่งโบกไหวอยู่ไปมา ภาพเหล่านี้ให้ความรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย!


เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้เห็นอารยธรรมที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะจ้องมองต่อไปอีกสักพัก เขาสัมผัสได้ถึงพลังความตายอันแรงกล้าในระบบดาวเคราะห์นี้ผ่านวิชาแห่งศาสตร์มืด


ในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดพึมพำ


“อารยธรรมพื้นเมืองกลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสสูงสุดขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจ


“ทุกคน จับกลุ่มแล้วแยกย้ายกันออกสำรวจ ติดต่อกันไว้ตลอดเวลา กลับมาพบกันที่เรือบินรบอีกครั้งในเวลาครึ่งเดือน!” เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวหนึ่งครั้ง เรียกผู้อาวุโสสองคนพร้อมผู้ฝึกตนระดับต่ำอีกกลุ่มหนึ่งให้ติดตามไป ก่อนจะพากันขึ้นกระสวยมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่ส่องแสงสีเหลือเรื่อเรืองอยู่บนแผนที่ดวงดาว


บรรดาผู้อาวุโสที่เหลือบนเรือบินรบรวมทั้งหวังเป่าเล่อเริ่มพูดคุยกัน ก่อนจะตัดสินใจและแยกย้ายกันไป หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่คนเดียว ผู้อาวุโสลำดับห้าของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเดินทางไปกับเขาด้วย ทั้งคู่พาผู้ฝึกตนระดับต่ำกลุ่มหนึ่งขึ้นกระสวยมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์เป้าหมายทันที


เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้าต่างก็มองเห็นหลุมบนพื้นผิวของดวงดาวได้ชัดเจนขึ้น และเมื่อได้เห็น แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ยังดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตะลึง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)