ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 737-743
ตอนที่ 737 ฟื้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครึ่งเดือนต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงอ้อมเส้นทางและปลอมตัวอยู่หลายครั้ง จนมั่นใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ในที่สุดก็กลับถึงถ้ำที่พักอย่างราบรื่น
พอเหยียบเข้าไปในถ้ำ เขาก็เดินตรงไปในห้องปรุงโอสถทันที
หลังจากวางชั้นจำกัดไว้ทั้งด้านในและด้านนอกห้องปรุงโอสถแล้ว ก็ทำการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณอย่างตั้งใจ
เวลาหลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลิ่วหมิงออกจากห้องปรุงโอสถนั้น ของเหลวห้าแสงในมือก็ถูกใช้จนหมดสิ้น
และถูกแทนที่ด้วยโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงสิบกว่าเม็ด ซึ่งมีโอสถธรรมดาจำนวนมาก
ในนั้นมีโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาจำนวนห้าเม็ดที่ปรุงขึ้นมาจากน้ำผึ้งของราชินีผึ้งห้าแสง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ส่วนปรากฏการณ์ที่เกิดจากการปรุงโอสถพสุธา ส่วนมากก็ถูกชั้นจำกัดแต่ละชั้นที่เขาวางไว้ต้านทานไว้ได้ ถึงแม้จะมีปราณจิตวิญญาณเล็ดลอดออกไปจำนวนหนึ่ง แต่ก็เป็นเพราะถ้ำตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล มีคนมาถึงน้อยมาก จึงไม่ได้สร้างจุดสนใจให้ผู้อื่นแต่อย่างใด
ช่วงเวลาในหลายวันนี้ เขาก็ทานโอสถแฝงจิตวิญญาณและทำการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งเดือนต่อมา ขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับนั้น ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวก็สั่นสะเทือนในฉับพลัน ขณะเดียวกัน เสียงอ่อนนุ่มของเด็กผู้หญิงก็ดังออกมา
“นายท่าน รีบปล่อยข้าออกไป ทรมาณจังเลย!”
“เจ้าฟื้นแล้ว?” หลิ่วหมิงเบิกตาทั้งคู่กล่าวด้วยความดีใจ พอปล่อยจิตออกไปดู ก็ค้นพบว่าแมงป่องกระดูกในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณกำลังขยับก้ามยักษ์ทั้งคู่ และดิ้นรนเพื่อจะออกมา
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าเหตุใดแมงป่องกระดูกถึงทำเช่นนี้ทันทีที่ฟื้นขึ้นมา แต่เขาก็ตบถุงบนเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอหมอกดำม้วนตัวออกมา แสงสีเงินก็เปล่งประกายบนพื้น เผยให้เห็นแมงป่องกระดูกขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ
พอแมงป่องกระดูกปรากฏตัว แสงสีเงินก็เปล่งประกายออกมา และมุดลงไปใต้ดินทันที
หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบยันต์ดำดินมาแปะไว้บนตัวผืนหนึ่ง จากนั้นก็มุดพื้นตามแมงป่องกระดูกไป
หลังจากแมงป่องกระดูกมุดลงพื้นได้ไม่นาน ยอดเขาทั้งลูกก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ก้อนหินและดินโคลนบนภูเขาก็เหมือนกับถูกดึงด้วยพลังมหาศาล และค่อยๆ ไปรวมตัวกันที่ใต้ดิน
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงที่อยู่ใต้ดินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แต่พอพุ่งไปอยู่ห่างจากแมงป่องกระดูกไม่ไกล เขาก็ต้องพบเจอกับฉากอันน่าตกใจ
แมงป่องกระดูกที่อยู่ลึกลงไป ได้กลายเป็นหินสีเทากลมๆ ขนาดหลายฉื่อ มันหมุนวนอย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นระลอกคลื่น และดึงดูดเศษหิน ก้อนดิน ให้รวมตัวกันที่ลูกหินกลมๆ อย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงลองเชื่อมจิตกับแมงป่องกระดูกในทันที เพื่ออยากรู้เส้นสนกลในบางอย่าง
แต่ทว่าแมงป่องกระดูกกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ภายใต้การดูดเศษหินก้อนดินจากรอบด้าน หินกลมๆ ที่ห่อหุ้มแมงป่องกระดูกไว้ก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงด้วย
ขณะที่หินกลมๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นไอของแมงป่องกระดูกก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น
ขณะนั้นเอง เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!”
ลูกหินสีเทาเริ่มกลิ้งไปมาใต้พื้นดินอย่างรวดเร็ว และกลิ้งอุตลุดไปยังส่วนลึกของของภูเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมกระตุ้นแสงหลบหลีกตามไปทันที
ลูกหินกลมๆ ที่แมงป่องกระดูกสร้างขึ้น มุดไปมุดมาท่ามกลางก้อนดินและก้อนหินภายในยอดเขาอยู่ไม่หยุด บริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่าน เศษหินที่มีปราณจิตวิญญาณแฝงอยู่ค่อนข้างมาก ก็จะถูกลูกหินกลมๆ ดูดเข้ามารวมตัวกันอย่างแน่นหนา
ภายใต้สถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง หรือว่าหลังจากดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์ไปแล้ว แมงป่องกระดูกจะมีพลังวิเศษอะไรเพิ่มขึ้นมาอีก
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องนานครึ่งชั่วยาม ลูกหินสีเทากลิ้งไปกลิ้งมาภายในยอดเขาทั้งลูก จนเกือบดูดเศษหินบริเวณนั้นมาไว้บนตัวจนหมด ขณะเดียวกัน ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาหลายจั้ง
หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น ลูกหินกลมๆ ก็ค่อยๆ หยุดลง และทั่วทั้งยอดเขาก็กลับมาสงบดังเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ลองเชื่อมจิตกับแมงป่องกระดูกอีกครั้ง แต่กลับไม่สามารถเชื่อมต่อได้เลยแม้แต่น้อย
ก้อนหินขนาดใหญ่กลับนอนนิ่งอยู่ภายในยอดเขา
หลิ่วหมิงรออยู่บริเวณนั้นครึ่งวัน หลังจากเห็นว่าลูกหินกลมๆ ไม่มีการเปลี่ยนใดๆ แล้ว เขาจึงกระตุ้นแสงหลบหลีกทันที ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็กลับถึงถ้ำที่พัก
เขามองดูสิ่งของระเนระนาดในถ้ำ และส่ายหน้าไปมา หลังจากกลับเข้ามาในห้องลับแล้ว ก็ตั้งใจฝึกฝนต่อ
ช่วงเวลาหลังจากนี้ หลิ่วหมิงมักจะมุดลงไปในยอดเขาทุกๆ สามถึงห้าวัน เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของแมงป่องกระดูก แต่กลับพบว่าก้อนหินกลมๆ ขนาดใหญ่ยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องนานถึงครึ่งปี
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังอาศัยดวงตามายาเพื่อทำการต่อสู้กับผู้อาวุโสจินหมานในแดนมายาอยู่ แต่สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปในทันที เขาปล่อยให้คู่ต่อสู้สังหารตนเองจนตาย และหลุดออกไปจากแดนมายา จากนั้นก็แตะมือข้างหนึ่งลงบนศิลาหุนเทียน พอหลับตาทั้งคู่ลง ก็มีเสียงดังหวึ่งข้างหู จากนั้นก็ออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับ และกลับเข้ามาในห้องลับภายในถ้ำอีกครั้ง
พริบตาที่เขาลืมตาขึ้นมา ก็ตรวจสอบดูสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในถุงหนังทันที
ที่แท้หัวบินก็ฟื้นขึ้นมาด้วย มันกำลังอ้าปากพ่นหมอกโลหิตสีแดงอยู่ไม่หยุด จนปกคลุมเต็มถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
“นายท่าน ข้าจะบรรลุขั้นแล้ว รีบปล่อยข้าออกไปเถอะ” เสียงเด็กผู้ชายดังกระชั้นถี่ข้างหูหลิ่วหมิง
หลังเกิดเหตุการณ์ของแมงป่องกระดูกในก่อนหน้า หลิ่วหมิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว หมอกโลหิตก็พวยพุ่งออกมา และกลายเป็นศีรษะมนุษย์สีเขียวใบหนึ่ง
พอหัวบินปรากฏตัว หมอกโลหิตที่พ่นอยู่ในปากก็ประสานกันไปมา จนกลายเป็นรังไหมโลหิตกลมๆ ที่มีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ และห้อหุ้มตัวเองไว้อย่างแน่นหนา
รังไหมโลหิตเพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ กลิ่นไอของหัวบินก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเหมือนกับแมงป่องกระดูก
ภายใต้การเพ่งมองของหลิ่วหมิง กลับค้นพบว่าไหมโลหิตที่ปกคลุมแน่นขนัดบนผิวรังไหม มีแสงโลหิตเปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ หดขยายอยู่ไม่หยุด ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังเลื้อยขยุกขยิกอยู่ภายใน
เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดกับหัวบินเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะสำเร็จในเร็วๆ นี้แล้ว
จะว่าไปแล้ว การบรรลุระดับของแมงป่องกระดูกกับหัวบินในครั้งนี้ ต่างก็เกี่ยวข้องกับโลหิตปีศาจสวรรค์ อีกทั้งโลหิตปีศาจสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลงกับอสูรเลี้ยงมากกว่าเขาเสียอีก
หลังจากหลิ่วหมิงมองดูหัวบินทีหนึ่งแล้ว ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และนั่งขัดสมาธิเข้าฌานทำการฝึกฝนต่อทันที
เวลาเที่ยงในอีกเจ็ดวันต่อมา อากาศที่ปลอดโปร่งเป็นหมื่นลี้ กลับมีเมฆดำปกคลุมในฉับพลัน เหนือเทือกเขาที่เป็นถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง มีพายุบ้าระห่ำแผดเสียงดังก้อง พายุประหลาดสีเทาสลัวๆ กำลังพวยพุ่งเข้ามาเต็มฟ้า บริเวณที่มันพัดผ่านจะมีเศษหินดินทราย และเศษต้นไม้ กิ่งไม้ปลิวว่อน
ขณะเดียวกัน รังไหมโลหิตที่หัวบินสร้างขึ้นมา ยังคงหดขยายอย่างต่อเนื่อง แต่ไหมโลหิตบนผิวกลับมีขนาดใหญ่กว่าเจ็ดวันก่อนไม่น้อย แลดูคล้ายอสรพิษน้อยจำนวนมาก ขณะที่รังไหมโลหิตหดขยายอยู่ไม่หยุดนั้น หมอกโลหิตสีแดงก็แผ่ออกมาจากรังไหมโลหิตอย่างต่อเนื่อง
หลิ่วหมิงค้นพบถึงความผิดปกติเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาทันที และจ้องมองการเปลี่ยนแปลงของรังไหมโลหิตตาไม่กะพริบ
ขณะที่หมอกโลหิตมีมากขึ้นเรื่อยๆ รังไหมโลหิตก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งที่มีความหนาแน่นเป็นอย่างมาก
และหมอกโลหิตกลุ่มนี้ก็พวยพุ่งขึ้นด้านบนห้องลับราวกับถูกพลังฟ้าดินดึงดูด พอสัมผัสกับเพดานหินบนถ้ำ ก็ค่อยๆ จมเข้าไปอย่างน่าประหลาดใจ
หลิ่วหมิงปล่อยจิตออกไปโดยจับตำแหน่งของหมอกโลหิตโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และค้นพบว่ามันพุ่งไปทางส่วนบนของยอดเขาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็รวมตัวกันเป็นรังไหมโลหิตที่หดขยายอยู่ไม่หยุด
ขณะเดียวกัน ก็เกิดเสียงดังโครมครามภายในภูเขา ทั่วทั้งห้องลับสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าหินกลมๆ ที่แมงป่องกระดูกสร้างขึ้น จะถูกพลังฟ้าดินอันแข็งแกร่งนี้ดึงขึ้นมา ภายใต้แสงสีเงินที่เป็นประกาย ในที่สุดมันก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นด้านบน
“ตู๊ม!”
ผ่านไปสักพัก ลูกหินสีเทากลมๆ ก็พุ่งออกจากบนยอดเขา หลังจากหมุนตัววนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็ร่วงลงมาด้านล่าง ตำแหน่งที่ร่วงลงมาก็คือด้านข้างรังไหมโลหิตนั่นเอง
ท่ามกลางอากาศเหนือยอดเขาในขณะนี้ เมฆดำทั้งหมดก็ก่อตัวเป็นคลื่นระลอกคลื่นสีดำที่มีขนาดหลายสิบจั้ง พายุบ้าระห่ำที่มืดครึ้มและเย็นยะเยือกยังคงหมุนวนจากรอบด้านเข้าสู่ในนั้น และมีเสียงดังโครมครามดังออกมาตลอดเวลา
“ฟิ้ว!” แสงสีทองวาดตัวผ่านบนท้องฟ้า และมาปรากฏตัวด้านข้างของทั้งสอง
พอแสงสีทองดับลง เผยให้เห็นชายชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ตั้งแต่เขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินบนเทือกเขา ก็ขี่กระบี่บินตามออกมาจากถ้ำที่พักโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ภายในรังไหมขณะนี้ กลิ่นไอของหัวบินก็ชัดเจนขึ้นมา และแมงป่องกระดูกที่อยู่ภายในลูกหินสีเทาก็ค่อยๆ แผ่กลิ่นไอออกมา กลิ่นไอของทั้งสองประเดี๋ยวก็ประสานกัน ประเดี๋ยวก็แยกออกจากกัน และยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจเล็กน้อยแล้ว
คิดไม่ถึงว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองจะบรรลุระดับพร้อมกัน!
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็นำธงค่ายกลหกทิศที่เปล่งแสงสีทองออกมา หลังจากร่ายคาถาแล้ว ก็โยนมันไปยังอากาศรอบด้าน
จากนั้นมือทั้งสองของเขาก็ปล่อยพลังออกไปอย่างรวดเร็ว ธงค่ายกลหกทิศเปล่งแสงสีทองประกาย และค่อยๆ ร่วงลงรอบด้าน
ม่านแสงสีทองจางๆ หนึ่งชั้นปรากฏออกมา และปกคลุมทั้งสองไว้ด้านใน
ขณะนี้ สายฟ้าสีเขียวขนาดเท่าปากถ้วยกำลังพุ่งลงมาจากระลอกคลื่น และปะทะลงบนม่านแสงสีทองอย่างรุนแรง
สายฟ้าสีเขียวฟันผ่านอากาศไป ทำให้ม่านแสงสีทองสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง และมีรอยเว้าปรากฏออกมาหนึ่งแห่ง จากนั้นก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังปล่อยพลังใส่ธงค่ายกลที่อยู่รอบด้าน เพื่อฟื้นฟูม่านแสงนั้น สายฟ้าสีเขียวก็ผ่าลงมาจำนวนมาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วกระตุ้นพลังสายฟ้าสวรรค์ในร่างทันที สายฟ้าสีเงินก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือ และพุ่งออกไปรับมือกับสายฟ้าสวรรค์สีเขียว
“เปรี้ยงๆ!” สายฟ้าสีเขียวกับสีเงินกลางอากาศกระจายออกไปทั่วทิศ
หลังจากแสงสายฟ้าดับลง สายฟ้าสวรรค์สีเขียวนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงฟันลงมาจากระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่ 738 ทะลวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดีที่วิชาสายฟ้าสวรรค์ของหลิ่วหมิงบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ทันใดนั้น เขาก็ทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ด แต่ยังไม่ทันได้กลั่นเอาพลังจากโอสถ ก็โหมพลังปล่อยสายฟ้าสีเงินออกไปรับมือกับสายฟ้าสวรรค์สีเขียวที่พุ่งมาถึงตรงหน้า
ขณะนั้นเอง ผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในร่างหลิ่วหมิงก็สั่นสะท้านเบาๆ พื้นผิวของเม็ดผลึกเต็มไปด้วยไอดำที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา และไอดำก็พวยพุ่งออกไป กระแสอุ่นๆ ที่ไม่อาจควบคุมได้เริ่มพุ่งไปตามส่วนต่างๆ ของเส้นลมปราณ
ขณะเดียวกัน หมึกแปดขาที่แนบติดบนหน้าอกของเขา ก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแปลกประหลาด กลิ่นไอของมันก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมา
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที
ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ของอสูรจิตวิญญาณทั้งสอง โลหิตปีศาจสวรรค์ในร่างของเขากับอสูรสมุทรแปดขา ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาจนถึงขีดสุด ส่งผลให้พลังเวทในร่างเพิ่มขึ้นเป็นทวี จนทะลวงระดับการฝึกฝนของตนเองแล้ว
เดิมทีเขาคิดที่จะให้อสูรเลี้ยงทั้งสองบรรลุระดับแล้วคอยคุ้มกัน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่อาจละทิ้งโอกาสอันดีในการทะลวงระดับผลึกขั้นปลายไปได้
ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะโบกมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นโล่เล็กสีเหลืองสลัวๆ ก็พุ่งออกมา
พอร่ายคาถา โล่เล็กสีเหลืองก็เปล่งประกาย จากนั้นก็กลายเป็นโล่ยักษ์สีเหลืองที่กว้างสิบกว่าจั้ง และกั้นเขากับรังไหมโลหิตและลูกหินบนอากาศไว้
มันคือต้นแบบอาวุธเวท ‘โล่พสุธา’ ที่เขาซื้อมาในวันนั้น!
พอสายฟ้าสีเขียวที่ร่วงลงมาจากระลอกคลื่นสีดำกลางอากาศสัมผัสกับโล่สีเหลือง แสงสีเหลืองก็หมุนวนบนผิวโล่ ทำให้อานุภาพของมันถูกดูดซับไปส่วนหนึ่ง จากนั้นส่วนที่เหลือก็กระเด็นออกไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สงบจิตเล็กน้อย และนำโอสถแฝงจิตวิญญาณออกจากแหวนย่อส่วนมาทานลงไป จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิบนพื้น เขาใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังกระตุ้นพลังเวททั่วร่างให้ทะลวงคอขวด เพื่อที่จะทะลวงระดับการฝึกฝนให้ได้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเวทใส่โล่พสุธาที่อยู่ด้านบนตลอดเวลา เพื่อต้านทานการโจมตีของสายฟ้าสวรรค์ที่โจมตีเป็นระยะๆ
ส่วนปีศาจสมุทรแปดขาที่แนบติดอยู่บนตัวเขา ก็มีกลิ่นไอแข็งแกร่งและอ่อนแอสลับกันไป ความผันผวนรุนแรงมาก
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะสร้างถ้ำในสถานที่ห่างไกลผู้คน แต่การเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้อข้าว ก็เริ่มมีแสงหลบหลีกพุ่งเข้ามาถึง และกะพริบลงบนยอดเขาบริเวณนั้น
ตอนแรกยังคงมีแค่บางตา ไม่นานก็พุ่งเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยอดเขาแต่ละแห่งที่น้อยคนจะมาถึง เต็มไปด้วยเงาร่างจำนวนไม่น้อย ในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามชั่วยาม ก็มีคนมารวมกันมากถึงหลายร้อยคน
คนเหล่านี้มีทั้งมนุษย์ และเผ่าปีศาจ แต่เนื่องจากชีพจรจิตวิญญาณของเขตพื้นที่แห่งนี้ธรรมดา จึงไม่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไปอาศัยอยู่บริเวณนี้ ผู้ที่มาดูมีการฝึกฝนแค่ระดับผลึกเท่านั้น แม้กระทั่งยังมีผู้น้อยที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวจำนวนหนึ่งด้วย ดูท่าเพียงแค่จะมาดูจากที่ไกลๆ เท่านั้น
แต่ว่าภายในถ้ำที่อยู่ห่างจากถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงไปหลายสิบลี้ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกสี่คนที่สวมชุดแตกต่างกันไป กำลังทำการกระซิบกระซาบกันอยู่
“สหายทั้งสอง ข้ากับผู้เฒ่าอู๋ได้ไปสืบมารอบหนึ่งแล้ว ต้นตอที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินเช่นนี้ คือยอดเขาที่อยู่ห่างจากพวกเราไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสิบกว่าลี้ มีมนุษย์ผู้ฝึกฝนคนหนึ่งกำลังทะลวงคอขวดอยู่ แต่ว่าปรากฏการณ์ด่านเคราะห์สายฟ้าสวรรค์แปลกประหลาดนั้น คงเกิดจากการบรรลุระดับของอสูรเลี้ยงทั้งสองของเขา ข้าใช้จิตสำรวจดูแล้ว คนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ส่วนอสูรเลี้ยงทั้งสอง ตอนนี้ยังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบ ดูเหมือนใกล้จะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว” ชายเผ่าหมานวัยกลางคนที่เปลือยท่อนบน และมีหนังเสือพันอยู่บนเอวกล่าวออกมา
“อสูรเลี้ยงระดับผลึก? ดูท่าโอกาสอันดีของพวกเราจะมาถึงแล้ว” ชายเผ่าหมานร่างกายบึกบึนที่มีตาข้างเดียวได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา
“แต่ว่าผู้ฝึกฝนที่มีอสูรเลี้ยงระดับผลึกถึงสองตัว คิดว่าคงไม่ธรรมดา หากพวกเราลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะก็ อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามโมโหขึ้นมาได้ ซึ่งนอกจากจะไม่ได้รับผลประโยชน์แล้ว ยังต้องหงายหลังกลับมาด้วย อีกอย่างดูเหมือนว่ายอดเขารอบด้านก็มีคนมารวมตัวกันไม่น้อยแล้ว” ผู้อาวุโสผอมแห้ง อายุราวๆ หกสิบถึงเจ็ดสิบปีที่อยู่ด้านข้างชายเผ่าหมานวัยกลางคนพูดเตือนขึ้นมา
“ผู้เฒ่าอู๋กังวลเกินไปแล้ว พวกเราทั้งสี่ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก ท่านก็เข้าสู่ขั้นปลายแล้ว เมื่อครู่ข้าใช้จิตรับรู้กวาดดูผู้ฝึกฝนบริเวณนั้น พบว่าล้วนเป็นผู้ที่ผ่านทางมาเท่านั้น พูดถึงพลังไม่อาจสู้พวกเราทั้งสี่ได้ และอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองก็กำลังบรรลุระดับ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ หรือว่าพวกเราทั้งสี่จะจัดการผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางคนเดียวไม่ได้เชียวหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ากับข้าก็มองเห็นแล้ว ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นกำลังทะลวงคอขวดอยู่ ยังต้องแบ่งจิตไปควบคุมอาวุธต้านทานสายฟ้าอันน่าสะพรึงบนฟ้าด้วย ไม่มีเวลาสนใจพวกเราเลยแม้แต่น้อย พวกเราก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ และลอบโจมตีเขาอย่างเงียบๆ จะต้องสังหารเขาได้ในคราเดียวอย่างแน่นอน แย่ที่สุดก็แค่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจนหนีไปเท่านั้น!” ชายเผ่าหมานวัยกลางคนหัวเราะ และกล่าวอย่างมีแผนในใจ
“แต่ว่าอสูรเลี้ยงสองตัว พวกเราสี่คนจะแบ่งกันอย่างไร?” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหน้าเหยี่ยวที่เงียบมาโดยตลอดถามขึ้นในฉับพลัน
“พี่ต้าเผิง ในเมื่อคนผู้นี้มีอสูรเลี้ยงไม่ธรรมดาถึงสองตัว คิดว่าอาวุธจิตวิญญาณ และหินจิตวิญญาณบนตัวคงมีไม่น้อย พวกเราทั้งสี่ร่วมมือกันสังหารเขาก่อน พอถึงเวลานั้นค่อยทำการแบ่งกัน ด้วยความสัมพันธ์นับร้อยปีของพวกเรา ยังต้องกลัวว่าจะเสียเปรียบอยู่หรือ?” ชายตาเดียวกล่าวอย่างไม่ถือว่าจะเป็นเช่นนั้น
คนอื่นๆ ก็มองหน้ากันทีหนึ่ง และพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
ทั้งสี่หารือกันอีกสองสามประโยค และแยกย้ายออกจากถ้ำที่พัก จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีต่างๆ พุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่ง ปราณจิตวิญญาณรอบด้านที่มีอย่างเบาบาง กำลังค่อยๆ มารวมตัวกันที่ยอดเขา และด้านล่างก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นพลังจิตวิญญาณ
ใจกลางระลอกคลื่นมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่ และกำลังทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อควบคุมโล่พสุธาให้ต้านทานสายฟ้าจากด่านเคราะห์สวรรค์ เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ขณะที่พลังของโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาค่อยๆ ถูกกลั่นออกมานั้น เขาก็ฝืนรับความเจ็บปวดที่คนทั่วไปยากจะแบกรับไว้ได้
ขณะนี้ ท่ามกลางกระดูกและเส้นลมปราณทั่วร่าง ล้วนเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างถึงขีดสุด ซึ่งเกิดขึ้นจากโอสถแฝงจิตวิญญาณนั่นเอง
ขณะเดียวกัน พลังจิตวิญญาณฟ้าดินที่พวยพุ่งมาจากรอบด้าน ก็ทะลักเข้าไปในร่างของเขาอยู่ไม่หยุด ทำให้รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงหัวใจอยู่ตลอดเวลา
ดีที่ว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก มิเช่นนั้นอาจจะเส้นเอ็นแตกกระจายจนร่างระเบิดออกมาได้
ในขณะเดียวกัน เขายังต้องพยายามนำพลังเวทเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ ให้ผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดดูดซับด้วยความกระหายอย่างบ้าคลั่ง
เพราะเขาค้นพบว่า ผลึกหินสีม่วงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ดในทะเลจิตวิญญาณ ดูเหมือนจะมีอาการกระหายพลังเวทแบบแปลกๆ หากไม่ใช่ว่าเขาตัดสินใจทานโอสถแฝงจิตวิญญาณไปสองเม็ด เกรงว่าลำพังแค่ปราณจิตวิญญาณอันเบาบางในเมื่อครู่ ก็ทำให้เขาทะลวงคอขวดล้มเหลวตั้งแต่แรกแล้ว
สำหรับกลิ่นไอไม่คุ้นเคยที่ปรากฏบริเวณยอดเขาที่อยู่รอบๆ นั้น เขาไม่คิดที่จะสนใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกกับระดับของเหลวจำนวนหนึ่ง ไหนเลยจะอยู่ในสายตาของเขา
แต่หากมีคนจะรนหาที่ตายให้ได้ เขาย่อมช่วยสงเคราะห์อย่างไม่บ่ายเบี่ยง!
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นระลอกคลื่นสีดำบนอากาศถึงค่อยๆ หายไป และถูกแทนที่ด้วยเมฆดำขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง
ขณะที่เกิดเสียงดังโครมคราม แสงสายฟ้าก็พุ่งออกจากเมฆดำอย่างต่อเนื่อง แต่ว่าสีของมันได้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเงินแล้ว
“ตู๊ม!”
ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินขนาดใหญ่เท่าแขนก็ฟันลงบนโล่พสุธาอย่างรุนแรง
แต่ทว่าพอสายฟ้าร่วงลงบนโล่ ก็ไม่ได้กระเด็นออกไปแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นไหมสายฟ้าสีเงินรัดพันพื้นผิวของโล่สีเหลืองไว้
ขณะนั้นเอง ลูกหินขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างก็สั่นสะท้าน และส่งเสียงดังแปลกประหลาด!
พื้นผิวของลูกหินเกิดรอยแยกเป็นเส้นๆ จากนั้นก้อนหินสีเทาขนาดต่างๆ ก็ค่อยๆ หลุดออกมา เผยให้เห็นร่างที่แวววาวราวกับหยกของแมงป่องกระดูกที่อยู่ด้านใน
และรังไหมที่หัวบินสร้างขึ้นมาก็เลื้อยขยุกขยิกอยู่ไม่หยุด หมอกโลหิตไหลวนอยู่บนพื้นผิว ไหมโลหิตเป็นเส้นๆ พุ่งออกจากรังไหมอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าอีกไม่นาน สิ่งที่อยู่ข้างในจะแตกออกจากรังไหมแล้ว
“นายท่าน ท่านตั้งใจทะลวงคอขวดเถอะ ด่านเคราะห์สายฟ้าต่อไป พวกเราคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว!” พลันมีเสียงแมงป่องกระดูกกับหัวบินดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
สำหรับเรื่องการเผชิญกับด่านเคราะห์สายฟ้าในขณะบรรลุระดับของอสูรเลี้ยงนั้น หลิ่วหมิงคุ้นเคยตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นเพราะสายฟ้าสวรรค์ในก่อนหน้าม้วนตัวเขาเข้าไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงช่วยต้านทานได้เพียงเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทั้งสองจะบรรลุระดับอย่างแท้จริง จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับด่านเคราะห์สวรรค์ด้วยตนเองแล้ว
เพราะมีแต่วิธีที่ให้พวกมันฝึกฝนผ่านด่านเคราะห์สายฟ้า ถึงจะสามารถเข้าถึงการทะลวงคอขวด และเข้าสู่ระดับผลึกในขั้นสุดท้ายได้
ด้วยเหตุนี้ หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย แล้วก็พยักหน้าทันที เขาเอามือข้างหนึ่งชี้ไปบนอากาศ หลังจากลวดลายจิตวิญญาณบนโล่ยักษ์เปล่งแสงสีเหลืองสลัวๆ มันก็กลายเป็นเมฆสีเหลืองที่มีขนาดเท่ากำปั้น และพุ่งกลับเข้าไปในร่าง
จากนั้นก็ปล่อยพลังใส่ธงค่ายกลที่อยู่รอบด้าน พอมีคลื่นสั่นสะเทือนบนม่านแสงสีทอง มันก็หายไปทันที
พอสูญเสียการคุ้มกันของโล่พสุธา สายฟ้าสวรรค์สีเงินก็พวยพุ่งเข้ามาติดต่อกัน เป้าหมายคือแมงป่องกระดูกที่โผล่ออกมาครึ่งตัวและรังไหมโลหิตที่เลื้อยขยุกขยิกอยู่
“ฟู่!” “ฟู่!”
เศษหินบริเวณที่แมงป่องกระดูกอยู่ พากันพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่เป็นประกาย และต้านทานการโจมตีทั้งหมดของสายฟ้าไว้
และหลังจากรังไหมโลหิตหมุนติ้วๆ ไปหนึ่งรอบ ปราณโลหิตบนตัวก็หนาแน่นขึ้นมา ทำให้สายฟ้าสีเงินที่ปะทะเข้ามาค่อยๆ สลายไป โดยที่ไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็กระตุ้นพลังเวทต่อ เพื่อใช้พลังทั้งหมดทะลวงคอขวด
แต่ครู่ต่อมา หมอกควันสีเทาที่ผสมคละเคล้ากับกลิ่นเหม็นก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขา และแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
“มีคนคิดจะถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์จริงๆ ด้วย!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ทันใดนั้น เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบผงจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่สามารถแก้พิษได้นับร้อยชนิดออกมาทาน
ด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเขาในขณะนี้ พิษโดยทั่วไปไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด เขายังคงกลั้นหายใจไว้ชั่วขณะ และปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปตรวจดูความเคลื่อนไหวในยอดเขาบริเวณนี้อย่างเยือกเย็น
ผ่านไปสักพัก พอเกิดเสียงดังก้องฟ้า แสงหลบหลีกที่มีสีสันแตกต่างกันก็พุ่งขึ้นมาจากยอดเขาบริเวณนี้ หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวบนอากาศรอบๆ ตัวหลิ่วหมิง และปิดล้อมเขาไว้
และด้านหลังของหลิ่วหมิงก็มีคลื่นสั่นสะเทือนขึ้นมา ชายชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขากำลังถือขวดหยกสีเทาอยู่ และหมอกควันสีเทาก็ค่อยๆ พุ่งออกมาจากในนั้น
ตอนที่ 739 บดสังหารระดับผลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงไม่ขยับตัวแต่อย่างใด ยังคงมองดูคนเหล่านี้ด้วยแววตาเยือกเย็น
ชายชุดคลุมสีเทาเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลาย คนอื่นๆ อีกเจ็ดแปดคน ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง และขั้นปลายเท่านั้น
แต่ว่านอกจากชายชุดคลุมสีเทาที่ไม่รู้สึกยี่หระอะไรแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนอื่นๆ กลับเห็นได้ชัดว่าไม่มีความกล้าพอ สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงก็หลบอยู่ตลอดเวลา
“ฮึ! พวกเจ้าไม่ต้องกลัวเขา แม้เขาจะมีการฝึกฝนระดับผลึก แต่ขณะนี้กำลังใช้พลังเวทไปกับการทะลวงคอขวดจนเหลืออยู่ไม่มากแล้ว อีกอย่างเมื่อครู่เขาเพิ่งสูดดมพิษกัดกร่อนหัวใจเข้าไป เกรงว่าคงไม่มีแม้แต่แรงที่จะใช้ในการป้องกันตัวแล้ว” ชายชุดคลุมสีเทาเป็นเช่นนี้ ก็กล่าวกับคนที่อยู่ด้านหน้าด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
แต่ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบ กระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งก็พุ่งออกจากร่างหลิ่วหมิง หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ มันก็กลายเป็นสายรุ้งที่ยาวสิบกว่าจั้ง และม้วนตัวเข้าหาเงาร่างสีเทาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เงาร่างสีเทามีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขานำยันต์หลายผืนออกมาขยี้จนแตกกระจายอย่างไม่ลังเล เกราะป้องกันหลากสีปรากฏออกมาจากตัว จากนั้นก็หมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งสีเทาพุ่งหนีไปทันที
เขาฝึกฝนจนถึงระดับผลึกขั้นปลายได้ ย่อมไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแต่อย่างใด หลังจากมองเห็นแสงกระบี่สีทองอันน่าตกใจ ก็ละทิ้งการเสี่ยงอันตรายในครั้งนี้อย่างไม่ลังเล
ผู้ที่สามารถควบคุมแสงกระบี่ระดับนี้ได้ จะต้องไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ว่าชายชุดคลุมสีเทายังคงดูเบาอานุภาพของกระบี่บินว่างเปล่าไปหน่อย เพียงแค่ได้ยินเสียงดัง “ฟิ้ว!” สายรุ้งยาวสีทองก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาหลายเท่า พริบตาเดียวก็ตามแสงหลบหลีกสีเทาทัน และแทงทะลุทันที
“เต๊ง!” “เต๊ง!” เกิดเสียงดังขึ้นอย่างไม่ขาดหู
แสงกระบี่สีทองโจมตีทะลุเกราะคุ้มกัน และแทงทะลุศีรษะของชายชุดคลุมสีเทาโดยตรง รวมถึงวิญญาณของเขาก็ถูกสังหารจนดับไปในทีเดียว ทำให้เขาไม่ทันแม้แต่จะนำอาวุธออกมาป้องกันตัว และศพของเขาก็ร่วงลงมาจากบนอากาศ
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงละสายตามามองดูผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนอื่นๆ
“ผู้อาวุโส เข้าใจผิดแล้ว!”
“พวกข้าถูกบีบให้ทำเช่นนี้…”
“ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย!”
พอคนที่เหลือเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พอเห็นว่าหลิ่วหมิงมองมา พวกเขาต่างก็พากันร้องขอชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น มีคนสองคนฉีกยันต์สีเงิน และกลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งหนีไปทันที ส่วนอีกคนก็พร่ามัวหายไปหลังจากเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!”
หลิ่วหมิงเผยแววตาเฉียบขาดออกมา เพียงแค่โบกมือข้างหนึ่งไปบนอากาศ
“ฟิ้ว!” สายรุ้งสีทองที่อยู่ไกลๆ ก็ม้วนตัวกลับมา และกลายเป็นเงากระบี่สีทองจำนวนมากปกคลุมเต็มฟ้า
เกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนา!
ศีรษะมนุษย์เจ็ดแปดใบร่วงลงมา เสาโลหิตเจ็ดแปดสายพวยพุ่งออกจากร่างไร้ศีรษะ ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยกลิ่นคาวที่ทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนที่แอบหลบหนี หรือว่าผู้ที่ร้องขอชีวิตอยู่กับที่ ล้วนถูกเงากระบี่สังหารจนหมดสิ้น
ครู่ต่อมา พอหลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง เงากระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และกลายเป็นกระบี่บินพุ่งกลับมาอีกครั้ง หลังจากเกิดเสียงดังกังวาน มันก็จมหายไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่คนเหล่านี้เข้ามาใกล้ จนถึงตอนที่หลิ่วหมิงปล่อยกระบี่ออกมาสังหาร ใช้เวลาทั้งหมดแค่สองสามอึดใจเท่านั้น!
ในนั้นยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายอยู่คนหนึ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในบรรดาผู้ที่แอบดูอยู่บริเวณรอบๆ
บรรดาผู้ฝึกฝนที่อยู่บนยอดเขาบริเวณรอบๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็ร่นถอยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก บางคนหวาดกลัวจนหมุนตัวพุ่งหนีไปทันที
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาบางแห่งที่อยู่ในบริเวณนี้ ก็มีแสงหลบหลีกสี่ลำพุ่งเข้ามาอย่างเงียบๆ และเห็นฉากที่หลิ่วหมิงสังหารคนเหล่านี้พอดี
“ผู้เฒ่าอู๋ ที่คนผู้นี้นำออกมาในเมื่อครู่ มันคือกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสินะ อานุภาพของมันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายได้อย่างง่ายดาย ข้าว่าพวกเราอย่าไปหาเรื่องจะดีกว่า” หลังจากที่ชายตาเดียวเห็นการลงมือของหลิ่วหมิงแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ไม่หยุด และกระซิบบอกคนอื่นเบาๆ
“สหายตู้ พวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ใยต้องพูดคำพูดท้อแท้ใจเช่นนี้ด้วยเล่า! การโจมตีด้วยอานุภาพอันรุนแรงในเมื่อครู่ ดูเหมือนจะน่าตกใจ แต่เห็นได้ชัดว่าใช้ท่าไม้ตายเพื่อรักษาชีวิตไว้ ตอนนี้พลังเวทคงเหลืออยู่ไม่มาก เป็นแค่การสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาเท่านั้น ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีในการลงมือของพวกเราแล้ว” ชายเผ่าหมานวัยกลางคนมองดูหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“ผู้เฒ่าอู๋ เจ้าคิดว่าลงมือเลยหรือรอไปก่อนดี?” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหน้าเหยี่ยวได้ยินเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ถามกับผู้อาวุโส
พวกเขาทั้งสามต่างก็มองไปยังใบหน้าแห้งเหี่ยวของผู้อาวุโสแซ่อู๋อยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าให้เขาเป็นหัวหน้าในการตัดสินใจ
“คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ ย่อมเหนือความคาดหมายเล็กน้อย แต่พวกเราทั้งสี่ก็ไม่ใช่ผู้อ่อนแอ หากจะให้หันหน้าหนีไปเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ พวกเราสามารถซ่อนกลิ่นไอไว้ และเข้าไปดูเส้นสนกลในใกล้กว่านี้หน่อย พอสบโอกาสแล้วค่อยลองหยั่งเชิงดู หากไม่ไหวพวกเราค่อยถอยพร้อมกัน คิดว่าเขาคงไม่กล้าตามล่าสังหารอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสแซ่อู๋มองดูคนทั้งสามทีหนึ่ง และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
คนอื่นๆ ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี จึงพยักหน้าตกลงตามนั้น
หลังจากทั้งสี่หารือกันเล็กน้อยแล้ว ก็พากันเก็บซ่อนกลิ่นไอไว้ และเหาะไปยังยอดเขาที่หลิ่วหมิงอยู่ทันที
ขณะที่ทั้งสี่มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากด้านหลังของหลิ่วหมิงไปไม่ไกลนั้น ผู้ฝึกฝนนับร้อยที่อยู่บริเวณรอบๆ ได้หนีไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ขณะนี้ หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล หลังจากผลึกสีม่วงในทะเลจิตวิญญาณดูดซับพลังจิตวิญญาณไปไม่น้อยแล้ว มันก็ดูโปร่งใสแวววาวมากขึ้นกว่าเดิม แต่กลับดูดซับพลังจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
แต่ทว่าที่เขาใช้กระบี่บินว่างเปล่าในเมื่อครู่ สังหารผู้คนจำนวนมากที่ฉกฉวยประโยชน์ในช่วงวิกฤต ทำให้สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย ซึ่งทำลายสมดุลของการเกาะผลึกพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณ ทำให้เส้นลมปราณทั่วร่างเกิดอาการกระตุกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย ครู่ต่อมาก็มีเหงื่อผุดเต็มศีรษะ เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองกลิ้งลงมาอยู่ไม่หยุด
เขารีบทานโอสถโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับธรรมดาไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็กลั่นเอาพลังของโอสถ และหลับตาทั้งคู่ทะลวงคอขวดต่อ
ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของผู้ฝึกฝนทั้งสี่ที่ซ่อนกลิ่นไอเข้ามาอย่างเงียบๆ
พวกเขาสบตากันด้วยความดีใจในทันที ภายใต้การนำของผู้อาวุโสระดับผลึกขั้นปลาย พวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้หลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ
แต่ทว่าขณะที่ทั้งสี่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงสามสิบจั้งนั้น หลิ่วหมิงก็พูดออกมาอย่างราบเรียบโดยไม่ลืมตาขึ้นมา
“สหายทั้งสี่ ในเมื่อมาแล้วก็อย่าได้หลบๆ ซ่อนๆ กันอีกเลย”
น้ำเสียงไม่ดังมาก แต่พอเข้าไปในหูของทั้งสี่ กลับทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
ผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
คนอื่นๆ ก็พากันปรากฏตัวออกมาโดยไม่ปิดบังกลิ่นไออีก หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาปรากฏตัวรอบๆ หลิ่วหมิง
“เฮ่อๆ! สหายเข้าใจผิดแล้ว พวกข้าเห็นสหายกำลังทะลวงระดับอยู่ เลยมาช่วยคุ้มกันให้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น” ผู้อาวุโสยิ้มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และประสานมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
“อ๋อ? ถ้าอย่างนั้นข้าผู้แซ่หลิ่วต้องขอบคุณทุกท่านหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ลืมตาขึ้นมา หลังจากกวาดสายตาดูคนทั้งสี่แล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ผู้เฒ่าอู๋ มาถึงเวลานี้แล้วใยต้องพูดจาไร้สาระกับเขาด้วย พวกเราตั้งสี่คนยังต้องกลัวผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางคนหนึ่งหรือ รีบลงมือให้เสร็จเรื่องโดยเร็วจะดีกว่า ยิ่งนานเรื่องมันก็จะยิ่งยืดเยื้อ !” ชายเผ่าหมานที่เปลือยกายท่อนบนกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง จะเห็นว่าเขาตบถุงหนังตุงๆ บนเอวใบหนึ่ง
“ฟู่!”
พอปากถุงเปิดออก แสงสีเทาก็พุ่งออกมา พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นหมาป่ายักษ์สีเทาที่มีขนาดหลายจั้งตัวหนึ่ง
พอหมาป่ายักษ์ปรากฏตัว มันก็แหงนหน้าส่งเสียงหอนออกมา และแผ่กลิ่นไออันแข็งแกร่งของระดับผลึกขั้นต้นออกมาทันที ดวงตาสีเขียวทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าจะพุ่งเข้ามาขย้ำในไม่ช้า
ชายตาเดียวทีอยู่อีกด้านเห็นเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาทีหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีกระบองยาวสีดำปรากฏอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ พอสะบัดหนึ่งที มันก็ขยายใหญ่สิบกว่าจั้ง หลังจากสั่นไหวไปหนึ่งที เงากระบองสีดำจำนวนมากก็ก่อตัวเป็นภูเขากระบองสีดำลูกหนึ่ง
ชายหน้าเหยี่ยวที่อยู่อีกด้านก็ส่งเสียงหัวเราะ “หึๆ!” หลังจากแหงนหน้าส่งเสียงคำรามเบาๆ แล้ว ควันดำก็พวยพุ่งออกจากตัว พอควันดำสลายไป ก็เผยให้เห็นร่างของเหยี่ยวหัวดำอยู่ด้านในตัวหนึ่ง
ดวงตาทั้งคู่ของเหยี่ยวหัวดำตัวนี้ดูราวกับสายฟ้า จะงอยเหมือนกับตะขอ หน้าผากมีก้อนเนื้อสีแดงเข้มราวกับโลหิต ทำให้รู้สึกถึงความโหดเหี้ยมและอำมหิต
พอมันปรากฏตัวก็กระพือปีกทั้งสองทันที พายุหมุนสีดำหลายลูกก่อตัวขึ้นมาปกป้องร่างของมันไว้ กรงเล็บแหลมคมทั้งคู่ยื่นออกมา
ผู้เฒ่าอู๋เห็นว่าสหายได้ลงมือแล้ว เขาก็ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ กระจกโบราณสีเหลืองสลัวๆ ก็พุ่งออกมา
กระจกโบราณสีเหลืองใบนี้มีลักษณะเรียบง่ายมาก ผิวกระจกเรียบและสะอาด มันแผ่แสงสีดำวาวออกมา ด้านหลังมีลวดลายสีเขียวที่ดูลึกลับสลักอยู่
ผู้อาวุโสทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งในทันที ปากของเขาร่ายคาถาออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ภายใต้การหมุนตัวติ้วๆ ของกระจกโบราณตรงหน้า มันกลับหายไปในพริบตา ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวบนอากาศตรงหน้าหลิ่วหมิง
ขณะเดียวกัน ลวดลายสีเขียวที่อยู่ด้านหลังกระจกก็เปล่งประกายออกมาราวกับมีชีวิต พริบตาเดียวก็ปล่อยไหมสีเขียวแต่ละเส้นออกมาประสานกันไปมา และถักทอเป็นตาข่ายขนาดสิบกว่าจั้งก่อนคลุมลงบนศีรษะของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า ร่างของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย เกิดความรู้สึกหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้ จนไม่อาจลุกขึ้นมาได้ชั่วขณะ
เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอกระตุ้นพลังเวท ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว และหมุนตัวเป็นระลอกคลื่นอย่างรุนแรง
ขณะที่เกิดเสียงมังกรคำรามดังก้องฟ้านั้น ภายในร่างหลิ่วหมิงก็เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว ขณะเดียวกัน มังกรหมอกดำสี่ตัวก็ก่อตัวขึ้นมาจากไอดำอย่างรวดเร็ว และหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวเขา
พอไหมแสงสีเขียวเหล่านี้สัมผัสกับมังกรหมอกดำเพียงเล็กน้อย ก็พากันสลายตัวเป็นควันสีเขียวโดนไม่อาจร่วงลงมาได้อีก
ขณะนี้ พอแขนข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงพร่ามัว นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ดีดใส่กระจกโบราณสีเหลืองที่หมุนวนอยู่เหนือศีรษะไม่หยุด!
“เพล้ง!” เกิดเสียงแตกหักดังขึ้นมา!
ปราณกระบี่รูปเกลียวทะลุผ่านควันสีเขียวไปในพริบตา และโจมตีลงบนกระจกโดยตรง ทำให้ผิวกระจกแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
สิ่งนี้ทำให้ผู้เฒ่าอู๋มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง ชายเผ่าหมานก็ส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา
พายุก่อตัวบนเท้าทั้งสองของหมาป่ายักษ์สีเทา จากนั้นก็กลายร่างเป็นเงาสีเทากระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
เหยี่ยวหัวดำคว้ากรงเล็บมาทางหลิ่วหมิวทันที
ชายตาเดียวก็ส่งเสียงคำรามออกมา พอขยับแขนทั้งคู่ ภูเขากระบองเหนือศีรษะก็พุ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงดังโครมคราม
คิดไม่ถึงว่าทั้งสามจะร่วมมือโจมตีหลิ่วหมิงพร้อมกัน
ตอนที่ 740 ศัตรูตัวกาจปรากฏขึ้นอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง ในใจรู้ดีว่าทั้งสี่คนจะต้องสมคบกันทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน หากเมื่อครู่เขาถูกไหมแสงสีเขียวที่กระจกโบราณปล่อยออกมารัดพันโดยไม่ทันระวัง แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของทั้งสามอีกล่ะก็ เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปคงต้องเสียชีวิตจริงๆ แล้ว
แต่สำหรับเขาที่เคยสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาแล้ว กลับไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การพูดถึงแต่อย่างใด
หากไม่ใช่ว่าตอนนี้เขากำลังทะลวงคอขวดระดับผลึกขั้นปลายอยู่ล่ะก็ คงสังหารคนทั้งสี่จนหมดสิ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาโผล่หน้าออกมาแล้ว
แต่ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ เขาต้องรีบเผด็จศึกให้ไวที่สุด
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอเปลี่ยนท่ามือ มังกรหมอกดำสี่ตัวก็ส่งเสียงคำรามออกมา และพุ่งออกจากร่างของเขา
พอมังกรหมอกดำตัวหนึ่งส่งเสียงคำราม เงากรงเล็บที่เหยี่ยวหัวดำปล่อยออกมา ก็ถูกโจมตีจนแตกกระจาย และมันก็พุ่งตรงไปด้านหน้าเหยี่ยวหัวดำ หลังจากหมุนวนรอบตัวเหยี่ยวดำหนึ่งรอบ พายุหมุนที่คุ้มกันอยู่ก็แตกกระจายทันที และมันก็อ้าปากงับปีกของเหยี่ยวหัวดำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมุนวนรัดตัวของเหยี่ยวดำไว้ จนเหยี่ยวตัวนี้ไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย
มังกรหมอกดำอีกตัว เพียงแค่สะบัดหางขนาดใหญ่ตรงหน้าอย่างรุนแรง ก็ก่อเกิดคลื่นสีดำอันพวยพุ่ง และโจมตีเงากระบองที่ปกคลุมเต็มฟ้าจนแตกกระจาย จากนั้นก็พุ่งใส่หมาป่ายักษ์สีเทาที่อยู่ด้านล่างจนกระเด็นออกไป และทำการต่อสู้กันอย่างอุตลุด
มังกรหมอกอีกสองตัวก็พร่ามัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พุ่งมาถึงด้านหน้าชายตาเดียวกับชายเผ่าหมานวัยกลางคน
ชายตาเดียวกับชายเผ่าหมานวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นโล่สีเขียวก็ถูกโยนออกไป หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว มันก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายจั้ง และต้านทานอยู่ตรงหน้า ส่วนอีกคนก็อ้าปากพ่นพายุหมุนสีเทาสลัวๆ ม้วนตัวเข้าใส่มังกรหมอกตรงหน้า
ขณะนี้หลิ่วหมิงกลับตะโกนออกมา “ระเบิด!”
มังกรหมอกทั้งสี่ตัวระเบิดออกมาทันที ไม่เพียงแต่จะโจมตีจนหมาป่ายักษ์สีเทากับเหยี่ยวหัวดำจนโซซัดโซเซร่นถอยออกไปเท่านั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำอันพวยพุ่งปกคลุมผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสามกับหมาป่ายักษ์ไว้ในนั้น
เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา!
สายฟ้าสีเงินสีเส้นพุ่งยิงออกจากมือหลิ่วหมิง หลังจากพร่ามัวไปหนึ่งที ก็กลายเป็นหอกสายฟ้าสีเงินแวววาว และวาดตัวผ่านอากาศไปโดยที่ไม่ได้จมอยู่ในแสงสีดำ
หลังจากเกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนา คนทั้งสี่ที่ถูกขังอยู่ก็ถูกหอกสายฟ้าแทงทะลุจุดสำคัญไป ภายใต้พลังสายฟ้าอันน่าหวาดกลัว ทำให้ปรานแกร่งคุ้มกันตัวกับอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ไม่ทันได้แสดงอานุภาพออกมา ก็ต้องดับสลายไปพร้อมกับเจ้าของ แม้แต่วิญญาณส่วนหนึ่งก็ไม่สามารถหนีรอดไปได้
ตั้งแต่ตอนที่คนเหล่านี้ลงมือ จนถึงตอนที่ถูกหลิ่วหมิงสังหาร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในชั่วเวลาเพียงสองสามอึดใจเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ผู้เฒ่าอู๋มีสีหน้าซีดขาวอย่างหาที่เปรียบมิได้
“สหายผู้นี้ พวกเราแค่…” ขณะที่พูดไปด้วย ผู้อาวุโสก็ร่นถอยไปสองสามเก้า ทันใดนั้น แขนเสื้อทั้งสองข้างก็กระตุกขึ้นมา แสงแวววาวหลากสีเจ็ดแปดลำพุ่งไปทางหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็แปะยันต์สีเหลืองลงบนตัวสองผืน และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองพุ่งออกไป
แต่ทว่าพอพุ่งออกไปได้ไม่นาน ก็รู้สึกเย็นที่คอ ภาพทิวทัศน์รอบด้านร่นถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ขณะที่จะก้มหน้าลงไปดูนั้น กลับค้นพบว่าตนเองร่วงลงไปด้านล่าง ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจอย่างถึงขีดสุดก็คือ ไม่อาจควบคุมการหมุนกลิ้งของศีรษะได้เลยแม้แต่น้อย!
ขณะที่เขารู้สึกใจเย็นสะท้านนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายตรงหน้า หลังจากรู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก ก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีก
พอหลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินสีทองก็ฟันศีรษะของผู้อาวุโสและวิญญาณที่อยู่ในนั้นพร้อมกัน จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งกลับมา และกะพริบสองสามทีก่อนหายเข้าไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิ่วหมิงยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน และเคลื่อนไหวมือเพียงข้างเดียว ก็สังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสี่จนเกลี้ยง
ส่วนอาวุธจิตวิญญาณบนตัวของทั้งสี่ ก็ถูกเขาม้วนเข้าไปในแขนเสื้อ
ตอนแรกที่หลิ่วหมิงสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกหนึ่งคน กับระดับของเหลวเจ็ดแปดคนได้ภายในพริบตา ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งที่ยังรออยู่บริเวณนั้น เผื่อจะโชคดีจะได้อสูรเลี้ยงไปนั้น ก็มองดูจนปากอ้าตาค้าง ตอนนี้หลังจากเห็นเขาสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกไปอีกสี่คน ก็รู้ว่าพลังของหลิ่วหมิงน่ากลัวระดับใดแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ชั่วขณะนั้น มีเสียงดังขึ้นติดต่อกันจากยอดเขาบริเวณรอบๆ แสงหลบหลีกสีต่างๆ เปล่งประกายขึ้นมา และค่อยๆ พุ่งไปคนละทิศละทาง
ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ผู้ฝึกฝนกว่าครึ่งหนึ่งก็ทยอยกันพุ่งออกไป
แต่ยังมีผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนยังไม่ยินยอมจะจากไป เพียงแค่เหาะไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลอีกสักหน่อย จากนั้นก็เก็บซ่อนกลิ่นไอไว้ และรอคอยต่อไป
เป้าหมายของคนเหล่านี้คือ พอหลิ่วหมิงทะลวงระดับล้มเหลว จะเป็นโอกาสอันดีในการฉกฉวยประโยชน์ในขณะที่เกิดความวุ่นวาย
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจผู้ฝึกฝนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หยิบโอสถแฝงจิตวิญญาณมาทานลงไปหนึ่งเม็ด ขณะเดียวกันก็เหลือบตาดูแมงป่องกระดูกกับหัวบินที่ยังคงหมกหมุ่นอยู่กับการรับมือด่านเคราะห์สายฟ้า
จะว่าไปแล้ว ด่านเคราะห์สายฟ้านี้ก็แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านั้นก็ทิ้งระเบิดลงมาติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งถ้วยชาถึงจะผ่าลงมาสองสามครั้ง เพียงแต่อานุภาพกลับเหนือกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย แต่ว่าภายใต้การปกป้องของลูกหินกับรังไหมโลหิต ยังคงดูราบรื่นเป็นอย่างมาก
แต่ดูจากจุดนี้ การบรรลุระดับของทั้งสองคงไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวันแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงสงบจิตสงบใจแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลงอีกครั้ง และทำการทะลวงคอขวดต่อ
เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานานสามวัน
ในระยะเวลาสามวันนี้ แมงป่องกระดูกกับหัวบินยังคงทนต่อการทดสอบของสายฟ้าอันน่าตกใจในแต่ละระลอก แม้ว่าจะยังไม่บรรลุระดับ แต่กลิ่นไอที่ทะลุออกจากลูกหินกับรังไหมโลหิต นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างจากระดับผลึกเพียงแค่เส้นด้ายกั้นแล้ว
และขณะนี้ หลิ่วหมิงก็มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ไอดำพวยพุ่งรอบตัว เหงื่อออกเต็มตัว รูปร่างมีขนาดใหญ่กว่าตอนแรกไม่น้อย ประจักษ์ชัดว่าได้ทะลวงคอขวดมาถึงจุดสำคัญแล้ว
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลก็ม้วนตัวเข้ามาจากที่ไกลๆ
ครู่ต่อมา เรือเหาะกระดูกขาวลำหนึ่งก็พุ่งมาถึงบนยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
เรือเหาะนี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาจากโครงกระดูกของอสูรยักษ์ชนิดหนึ่งในดินแดนทางตอนใต้ มันเปล่งประกายสีขาวทั้งลำ เห็นได้ชัดว่าดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
ขณะที่เรือกระดูกเหาะมาถึงยอดเขาบางแห่งนั้น มันก็หยุดลงทันที ชายหนุ่มสวมชุดสีขาวที่มีกระดูกโหนกแก้มค่อนข้างสูงกระโดดลงมาจากบนนั้น
พอชายหนุ่มลงถึงด้านล่าง ก็โบกมือข้างหนึ่งเรียกเก็บเรือกระดูก ขณะเดียวกันก็ปล่อยจิตออกไปกวาดดูอย่างกำเริบเสิบสาน
ผู้ฝึกฝนที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และพากันหนีไปโดยไม่พูดอะไรออกมา
ผ่านไปครู่เดียว ผู้ฝึกฝนที่อยู่บริเวณนี้ก็พากันจากไป แต่ยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายที่เชื่อมั่นในการฝึกฝนของตนเองอยู่ จึงยังไม่จากไปไหน และถอยไปอยู่บนยอดเขาที่ไกลกว่าเดิม
คนเหล่านี้เห็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาถึง ก็ไม่คิดจะโลภอีก แต่กลับพากันถอยไปรวมตัวเข้าด้วยกันโดยมิได้นัดหมาย และสังเกตดูอย่างเงียบๆ
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มชุดขาวก็พยักหน้าด้วยความพอใจ สายตาของเขามองไปยังยอดเขาที่เกิดปรากฏการณ์ จากนั้นก็มองผ่านหลิ่วหมิงไปยังอสูรเลี้ยงสองตัวที่กำลังรับด่านเคราะห์อยู่
“ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้น!”
หลิ่วหมิงย่อมมองเห็นชายหนุ่มชุดขาวแล้ว พอกวาดจิตดูแล้วก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
แม้จะบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นผู้นี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามมาปรากฏตัวเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่อาจไล่ไปได้ง่ายดายเหมือนคนอื่นๆ ในก่อนหน้า
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองแผนการอยู่นั้น ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นผู้นั้นก็ยังคงไม่ลงมือ แต่กลับยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่เดิม สีหน้าดูลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ผ่านไปสักพัก แสงหลบหลีกสองลำก็พุ่งมาจากยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มันพุ่งมาทางชายหนุ่มชุดขาวอย่างรวดเร็ว และร่อนลงตรงหน้าไม่ไกล
พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกสองคนที่สวมชุดสีขาวเช่นกัน ขณะนี้กำลังยืนโค้งตัวอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม และประสานมือกล่าวกับชายหนุ่มชุดขาวพร้อมกัน
“คารวะผู้อาวุโสอวี๋ว์!”
“ไม่ต้องมากพิธี ครั้งนี้ข่าวของพวกเจ้ามีประโยชน์กับข้ามาก คิดไม่ถึงว่าสถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ จะมีอสูรเลี้ยงสองตัวที่กำลังจะเข้าสู่ระดับผลึก พวกเจ้าวางใจเถอะ กลับถึงเผ่าแล้ว ข้าจะมอบผลประโยชน์ดีๆ ให้อย่างแน่นอน!” ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” ผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็รีบโค้งตัวคารวะทันที
“เอาล่ะ! จากการตรวจสอบของข้า กว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองจะบรรลุระดับสำเร็จยังต้องใช้เวลาจำนวนหนึ่ง พวกเจ้าทั้งสองกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะรอจนพวกมันทั้งสองบรรลุระดับแล้วค่อยลงมือสยบมัน และนำกลับไปที่เผ่า” ชายหนุ่มชุดขาวพูดจบ ก็โบกมือและบอกให้ทั้งสองจากไป
“ผู้อาวุโสอวี๋ว์ ด้านข้างอสูรเลี้ยงทั้งสองยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยู่ คงจะเป็นเจ้าของของมัน พอถึงเวลาต้องให้พวกเราช่วยตรึงกำลังเขาไว้หรือไม่?” ชายหนุ่มที่มีหน้าตาสวยสดงดงามถามอย่างระมัดระวัง
“ฮึ! ตอนนี้ข้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว กะอีแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางคนเดียว ไหนเลยจะอยู่ในสายตาข้า แต่เจ้าอสูรเลี้ยงทั้งสองนี้ ดูจากสถานการณ์บรรลุระดับของมันแล้ว คงจะเกิดการกลายพันธุ์มาแล้วหนึ่งรอบ หากสามารถสยบมันมาใช้งานได้ล่ะก็ ข้าก็จะเหมือนพยัคฆ์ติดปีก แต่เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการบรรลุระดับของพวกมัน ก็ให้เจ้าเด็กมนุษย์นี้มีชีวิตอยู่สักระยะเถอะ!” ชายชุดคลุมสีขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่ดูเร่าร้อนขึ้นมา เขาทำเหมือนกับว่าอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่สามารถสยบอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณสำเร็จ พวกศิษย์ต้องกลับไปที่เผ่าก่อนแล้ว” ชายหนุ่มสองคนได้ยินก็สบตากันทีหนึ่ง หลังจากประสานมือคารวะแล้ว ก็หมุนตัวกลายเป็นแสงหลบหลีกสีขาวสองลำพุ่งออกไปไกลๆ ไม่นานก็หายไปจากกลุ่มเขาเหล่านี้
ชายหนุ่มชุดขาวกวาดสายตาดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินยักษ์สีดำ และรอคอยคนเดียวอย่างเงียบๆ
ขณะที่หลิ่วหมิงรับรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ผู้นี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ย่อมรู้สึกดีใจที่เป็นเช่นนี้ ทันใดนั้นเขาจึงทำเป็นไม่สนใจ และทำการทะลวงคอขวดต่อ
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน เมฆดำบนหัวของอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองก็ค่อยๆ กลายเป็นทะเลหมอกสีดำเขียวขนาดใหญ่
เกิดเสียงฟ้าร้องดัง “โครมคราม!” เปลวไฟสายฟ้าสีทองเป็นจุดๆ เปล่งประกายออกจากทะเลหมอกสีดำเขียว และรวมตัวกันตรงกลาง ครู่เดียว เสาสายฟ้าสองเส้นที่มีขนาดใหญ่ราวกับถังไม้สองใบ ก็มีไหมสายฟ้าเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิวไม่หยุด
พอเสาสายฟ้าก่อตัวขึ้น มันก็ระเบิดลงมาพร้อมกับเปลวไฟสายฟ้าสีทองที่พวยพุ่ง และผ่าลงบนลูกหินกลมๆ ของแมงป่องกระดูกและรังไหมโลหิตที่หัวบินสร้างขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!”
ยอดเขาสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง ฝุ่นควันแพร่กระจายตามลม เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ!
หลิ่วหมิงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ของอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองได้อย่างชัดเจน และมองเห็นแค่หลุมขนาดใหญ่สองหลุมบนยอดเขาเท่านั้น
บริเวณใจกลางหลุม บนผิวลูกหินที่มีสภาพไม่สมบูรณ์และรังไหมโลหิต ก็มีไหมสายฟ้าสีทองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
ตอนที่ 741 อสูรเลี้ยงระดับผลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่สายฟ้าสีทองอันน่าตกใจสองเส้นร่วงมา เมฆสีดำเขียวกลางอากาศก็เริ่มสลายไปในที่สุด และค่อยๆ กลับมาเป็นภาพท้องฟ้าสีครามกับก้อนเมฆสีขาวเช่นเดิม
หลิ่วหมิงที่อยู่ใกล้กับอสูรเลี้ยงทั้งสองที่สุด สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ทั้งสองอยู่ในสถานะวิกฤตระดับหนึ่งแล้ว กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็ราวกับภูเขาไฟสองลูกที่สามารถระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา
หลังจากเวลาผ่านไปอีกครึ่งถ้วยชา ไหมสายฟ้าสีทองบนพื้นผิวของลูกหินกับรังไหมโลหิตก็เริ่มสลายไปจนหมดสิ้น หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น ลำแสงขนาดใหญ่สองลำที่มีสีแตกต่างกัน ก็พุ่งออกลูกหินและรังไหมโลหิต
ลำแสงที่พุ่งออกจากลูกหิน สามารถมองเห็นเม็ดผลึกสีม่วงขนาดเท่าเม็ดถั่วจำนวนเจ็ดสิบสองเม็ดลอยอยู่อย่างหนาแน่น
และลำแสงที่รังไหมโลหิตพุ่งออกมา ก็มีเม็ดผลึกสีม่วงสามสิบหกเม็ดหมุนติ้วๆ อยู่ไม่หยุด
บนเม็ดผลึกเหล่านี้มีลวดลายจิตวิญญาณขนาดเล็กเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และแผ่กลิ่นไออันบริสุทธิ์ออกมาจากในนั้น!
เม็ดผลึกเหล่านี้เปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง ขณะที่ลำแสงทั้งสองหายไป มันก็ค่อยๆ จมลงไปในลูกหินกับรังไหมโลหิต
ขณะเดียวกัน มีเสียงราวกับประทัดระเบิดดังออกมาจากทั้งสอง จากนั้นกลิ่นไอสองสายที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้น ก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง
แมงป่องกระดูกกับหัวบินเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้นพร้อมกัน
หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ฉากต่อมากลับทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที และรู้สึกตกใจขึ้นมามาก
หลังจากแมงป่องกระดูกกับหัวบินทะลวงระดับผลึกขั้นต้นได้แล้ว กลิ่นไอก็ยังไม่มั่นคง แต่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พอหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ก็มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ที่ประเมินพลังของโลหิตปีศาจสวรรค์ต่ออสูรเลี้ยงทั้งสองต่ำไป
ชายหนุ่มชุดขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลเห็นเช่นนี้ ก็มองมายังอสูรเลี้ยงทั้งสองด้วยดวงตาที่เป็นประกายแวววาว
ด้วยการฝึกฝนระดับแก่นแท้ของเขา ย่อมค้นพบความผิดปกติในขณะที่อสูรเลี้ยงทั้งสองบรรลุระดับ เขาจึงพยายามอดกลั้นรอคอยด้วยความดีใจ
สุดท้าย เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้อข้าว กลิ่นไอที่แผ่ออกจากลูกหินสีเทากับรังไหมโลหิต ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้ว และพุ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย จนเมื่ออยู่ห่างจากระดับแก่นเสมือนเพียงขั้นเดียว ถึงหยุดชะงักลงในฉับพลัน
ขณะที่หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลงนั้น ก็มีเสียงดัง “เพล้ง!”
ลูกหินสีเทาระเบิดออกมาก่อน และกลุ่มไอดำก็ม้วนตัวออกมาจากในนั้น มองเห็นแมงป่องกระดูกแวววาวที่มีขนาดหลายชุ่นอยู่รำไร
“นายท่าน……”
พลันมีเสียงเย็นยะเยือกของหญิงสาวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
จากนั้นแมงป่องแวววาวก็ระเบิดตัวกลายเป็นไอดำอันพวยพุ่ง และดูพร่ามัว
หลังจากไอดำสลายไปจนหมด ก็มีหญิงสาวสง่างามในชุดคลุมสีดำ และมีไอดำรายล้อมรอบตัวปรากฏออกมา
หญิงสาวนางนี้ดูเหมือนจะมีอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ผมสีเงินพัดสยายและย้อยลงมา เห็นได้ชัดว่างดงามเพริศพริ้งเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าระหว่างคิ้วจะมีส่วนคล้ายคลึงกับเย่เทียนเหมยเล็กน้อย
“เจ้า…?” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที และกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
หญิงสาวยิ้มหวาน และบิดเอวมุดหายลงไปใต้ดิน
ครู่ต่อมา เงาร่างสีดำก็เปล่งประกายบนพื้นด้านหน้าหลิ่วหมิง หญิงสาวมุดขึ้นมา หลังจากขยับแขนแล้ว ก็จับชายเสื้อของหลิ่วหมิงไว้ และเอาหน้าแนบกับหน้าอกอย่างสนิทสนม
การกระทำเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในท้อง และเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา เขาได้แต่ลูบหัวของหญิงสาวหนึ่งที ทำให้นางเอาหน้าออกจากตัวหลิ่วหมิงด้วยความเสียดาย
ขณะนั้นเอง รังไหมโลหิตที่อยู่ไม่ไกลก็ระเบิดออกมาในพริบตา ไอสีเขียวพวยพุ่งม้วนตัวกลางอากาศ เด็กชายอายุราวๆ แปดเก้าขวบปรากฏตัวออกมา
เด็กชายสูงไม่ถึงสามฉื่อ ดูอวบๆ ขาวๆ แลดูน่ารักเป็นพิเศษ สวมเสื้อคลุมสั้นสีเขียว ใจกลางศีรษะมีหางเปียสีเขียวอยู่จุกหนึ่ง บนคอกลับห้อยมุกแวววาวแปดเม็ดที่ดูไม่เหมาะกับร่างของเขา บนผิวมุกมีใบหน้าเด็กชายที่เหมือนกันประทับอยู่
หลังจากเด็กชายปรากฏตัวออกมา ตอนแรกก็มีสีหน้าเบลอๆ แต่หลังจากยื่นแขนทั้งสองออกมาดูแล้ว ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ส่งเสียงเรียก “นายท่าน” และกางเท้าสีขาวทั้งสองก่อนวิ่งไปหาหลิ่วหมิง
“โครม!”
เห็นได้ชัดว่ามือเท้าของเด็กชายชุดเขียวยังไม่ค่อยประสานกัน แค่สะดุดก้อนหินเล็กๆ ก็เซไปชนหลิ่วหมิงแล้ว
พอหลิ่วหมิงขยับแขน นิ้วทั้งห้าก็จับไหล่ของเด็กชายที่ดูบอบบางไว้ ทำให้เขาหยุดอยู่กับที่ภายในพริบตา แต่ร่างของเขาก็สั่นสะท้านเล็กน้อย พลังเวทภายในร่างพวยพุ่งขึ้นมาทันที
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ทันทีที่เขารีบกระตุ้นพลัง พลังเวทภายในร่างก็ถูกระงับไว้ แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและดีใจ
หลังจากหัวบินระดับผลึกกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ดูเหมือนว่าพลังของกายเนื้อจะแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก
แต่พอเด็กชายเห็นว่าตนเองถูกหลิ่วหมิงช่วยไว้ ก็ยิ้มซื่อๆ ออกมา เขาคิดที่จะยืนตัวตรงและไปถูกับหลิ่วหมิง
หญิงสาวชุดดำเห็นเช่นนี้ ปากเล็กๆ สีแดงก็ยื่นออกมาทันที ทันใดนั้นนางก็อุ้มเด็กชายชุดเขียวไว้ และกะพริบออกไปสิบกว่าจั้ง
“ไม่เห็นว่านายท่านกำลังทะลวงคอขวดอยู่หรือ? อย่าทำเสียเรื่อง ช่วยคุ้มกันนายท่านดีๆ” หญิงชุดดำวางเด็กชายไว้บนพื้น และกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เจ้าก็วิ่งเข้าหาแล้วนี่ ข้าเพิ่งกลายร่าง จึงไม่ค่อยคุ้นชินกับการใช้เท้า ไหนเลยจะเหมือนกับเจ้าที่มุดไปมุดมาในดินทั้งวัน สกปรกโสมมที่สุด” เด็กชายชุดเขียวกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ และทำหน้ามุ่ยออกมา
“เจ้า เจ้า…ไม่นึกว่าเจ้าจะหาว่าข้าสกปรก ดูสิว่าข้าสั่งสอนเจ้าอย่างไร!” หญิงสาวชุดดำเบิกตา และยกแขนขึ้นเบาๆ นางทำท่าจะตีเด็กชายชุดเขียว
หลังจากเด็กชายชุดเขียวทำหน้าผีใส่หญิงสาวชุดดำแล้ว ก็กลายเป็นเศษเงาจำนวนมากหมุนวนรอบตัวหญิงสาว จากนั้นก็พุ่งไปทางหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หญิงสาวชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็พร่ามัวมุดลงไปใต้ดิน พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง และขวางทางเด็กชายไว้
พริบตาเดียว ทั้งสองก็กระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างสนุกสนาน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย ขณะที่คิดจะพูดอะไรออกมานั้น ก็มีเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้นแสงสีขาวก็เปล่งประกายบนยอดเขาบางแห่ง สายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามา ขณะเดียวกันแรงกดดันจิตวิญญาณอันมหาศาลก็พุ่งเข้ามา
“เอ๊ะ? ใครกันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้!” เด็กชายชุดเขียวแหงนหน้ามองสายรุ้งสีขาวบนท้องฟ้า และรีบหยุดฝีเท้าในทันที จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวไฟโลหิตใส่แสงหลบหลีกสีขาวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ตู๊ม!”
บริเวณที่เปลวไฟโลหิตพุ่งผ่าน จะถูกเปลวไฟลุกไหม้ในทันที และแสงหลบหลีกสีขาวก็เปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน จนหลบเปลวไฟโลหิตไปได้อย่างรวดเร็ว
“ตู๊ม!” ต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้าที่อยู่ไม่ไกลถูกเปลวไฟโลหิตห่อหุ้มไว้ ผ่านไปแค่อึดใจเดียว ก็ถูกเปลวไฟอันร้อนแรงเผาไหม้จนกลายเป็นถ่าน
พอแสงไฟดับลง หินผาบริเวณที่ต้นไม้โบราณอยู่ ก็ละลายในฉับพลันจนกลายเป็นสีแดงเพลิง
“ดีมาก! ไม่ใช่อสูรเลี้ยงทั่วไปจริงๆ ด้วย เปลวไฟโลหิตนี้มีอานุภาพไม่น้อย สามารถข่มขู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนทั่วไปได้แล้ว แต่ว่าพวกเจ้าติดตามผู้ฝึกฝนที่มีพลังแค่ระดับผลึกคนหนึ่ง ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ไม่สู้ลองคิดพิจารณามาสวามิภักดิ์ข้าดีหรือไม่? พอแสงสีขาวดับลง ก็เผยใช้เห็นร่างของชายหนุ่มโหนกสูงผู้หนึ่ง หลังจากเขาส่งเสียงหัวเราะออกมาสองสามทีแล้ว ก็มองดูเด็กชายชุดเขียวกับหญิงสาวชุดดำด้วยแววตาละโมบ
เขาคือชายหนุ่มระดับแก่นแท้ขั้นต้น ที่รอฉกฉวยโอกาสในก่อนหน้า พอเขาเห็นว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองไม่เพียงแต่จะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายเท่านั้น แม้กระทั่งยังกลายร่างเป็นมนุษย์ด้วย ภายใต้สถานการณ์ที่เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้ามา
“เจ้าคือสวะที่มาจากที่ใด คิดจะให้พวกเราติดตามเจ้า? ช่างน่าขันสิ้นดี!” หญิงสาวชุดดำก็ไม่ต่อปากกับเด็กชายอีก หลังจากเงยหน้ามองชายชุดคลุมสีขาวทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“นั่นน่ะสิ! นั่นน่ะสิ! คิดว่าตัวเองคู่ควรหรอกหรือ….. แกว๊ก! แกว๊ก!” เด็กชายชุดเขียวกระโดดอยู่กับที่แล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! ไม่รู้จักเวล่ำเวลา!”
เดิมทีชายหนุ่มชุดขาวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พอได้ยินอสูรเลี้ยงทั้งสองตอบกลับเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง หมอกขาวกลุ่มหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นบนร่างของเขา จากนั้นก็กลายเป็นเงาฝ่ามือยักษ์สีขาวสลัวๆ ที่มีขนาดสิบกว่าจั้งคว้าไปทางหญิงสาวชุดดำ
หญิงสาวชุดดำเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น นางโค้งตัวเอามือทั้งสองแตะพื้นในทันที ทันใดนั้นเศษหินและก้อนดินที่อยู่ด้านข้าง ก็ม้วนตัวขึ้นมา และก่อตัวเป็นกำแพงหินสามด้านที่มีความหนาสองถึงสามฉื่อ ทั้งยังมีแสงสีเหลืองเปล่งประกาย
“โครมคราม!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน!
ภายใต้การสั่นสะเทือนของฝ่ามือยักษ์สีขาว กำแพงหินทั้งสามก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็กลายเป็นเศษหินกองอยู่บนพื้น
ขณะที่กำแพงหินด้านสุดท้ายพังทลายลงนั้น เงาฝ่ามือยักษ์สีขาวกลับสลายไปพร้อมกัน ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่พักหนึ่ง
ขณะนั้นเอง เปลวไฟสีเทาที่มีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง ก็พุ่งออกจากฝุ่นที่คละคลุ้ง และพุ่งเข้าใส่ชายชุดขาว
มันเกิดจากการที่เด็กชายชุดเขียวอ้าปากพ่นลูกเปลวไฟสีเทาออกมาในฉับพลัน
เปลวไฟนี้ขยายใหญ่ตามแรงลม พริบตาเดียวก็กลายเป็นกลุ่มเปลวไฟขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่าๆ
พอชายหนุ่มชุดขาวเขม้นตามอง ก็รู้สึกแค่ว่ามีกลิ่นคาวแปลกประหลาดที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยปะทะเข้ามา อีกทั้งบริเวณที่เปลวไฟสีเทาพุ่งผ่าน ก็ดูพร่ามัวขึ้นมาทันที ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พอเขาคว้ามือข้างหนึ่งออกไป ธงกระดูกที่มีขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือ หลังจากโบกสะบัดหนึ่งที ก็ขยายยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ และถูกโยนออกไป
ชายหนุ่มชุดขาวเปลี่ยนท่ามือทั้งสองในทันที ธงกระดูกสีเขียวหมุนวนกลางอากาศ ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำสีเขียวก็พุ่งขึ้นจากพื้น และพุ่งไปรับมือกับเปลวไฟสีเทา
“ฟู่ๆ!”
เปลวไฟสีเทาถูกพัดดับไปจนหมดสิ้น
ขณะนั้นเอง แสงสีเหลืองแวววาวก็เปล่งประกายในดวงตาของหญิงสาวชุดดำ มือทั้งสองก็ทำท่ามือไว้บริเวณหน้าอกอย่างรวดเร็ว
“โครมคราม!”
นอกจากบริเวณที่หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่แล้ว พื้นบริเวณอื่นๆ ล้วนระเบิดออกมาภายในพริบตา ก้อนหินขนาดต่างๆ กระเด็นออกมาจากนั้นในนั้น ก้อนที่ใหญ่สุดก็มีขนาดหลายจั้ง เล็กสุดก็มีขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า และยังลอยสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย
“ไป!”
พอหญิงสาวชุดดำส่งเสียงตะคอกออกมา ก้อนหินขนาดต่างๆ เหล่านี้ ก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มชุดขาวเป็นจำนวนมาก
ตอนที่ 742 บรรลุขั้นปลาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายหนุ่มชุดขาวมองดูหินที่ปกคลุมเต็มฟ้าโดยไม่มีสีหน้าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย จะเห็นว่าร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างไม่รีบร้อน จนหลบก้อนหินที่ร่วงลงมาได้สบายๆ
แต่ทว่าผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มชุดขาวก็ไม่อาจรักษาอาการสงบบนใบหน้าได้อีก
ก้อนหินที่พุ่งมาจากบนยอดเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ และหนาแน่นจนเกือบถึงระดับที่พายุฝนไม่อาจทะลุผ่านไปได้
ชายหนุ่มใช้มือแตะธงกระดูกตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำก็ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง คมวายุสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกมา
พริบตานั้น เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
หลังจากคมวายุสีเขียวกะพริบผ่านไป ก้อนหินจำนวนมากก็ถูกฟันจนแตกกระจาย
ขณะนั้นเอง ฉากที่ทำให้คนรู้สึกคาดไม่ถึงก็ได้ปรากฏขึ้น!
เศษหินที่ถูกคมวายุโจมตีจนแตกกระจายเหล่านั้น ไม่ได้ร่วงลงพื้นโดยตรง แต่ขณะที่หญิงสาวชุดดำส่งเสียงคำราม และชี้มือข้างหนึ่งออกไป มันก็หมุนวนหนึ่งรอบท่ามกลางเสียงดังโครมคราม และพุ่งหาชายชุดขาวอีกครั้ง
เกิดเสียงดังปังๆ!
แสงสีขาวหมุนวนรอบตัวชายชุดขาวอยู่พักหนึ่ง ก็ต้านทานเศษหินเหล่านี้ไว้ได้ทั้งหมด โดยที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย และทำให้สายตาของเขาเยือกเย็นขึ้นมาทันที พอมือทั้งสองกระตุ้นพลัง พายุระห่ำก็หมุนวนขึ้นมาจากธงกระดูกสีเขียว
“ฟู่!” พายุสีเขียวที่สูงร้อยกว่าจั้งพุ่งออกจากธงกระดูก และพุ่งออกไปทั่วทิศ ทำให้ก้อนหินบริเวณนี้ถูกม้วนขึ้นมาทั้งหมด และถูกปั่นจนกลายเป็นผงปกคลุมเต็มฟ้า
หลังจากพายุบ้าระห่ำหยุดลง ธงกระดูกในมือชายหนุ่มชุดขาวก็เปล่งประกายอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งลงด้านล่างอย่างดุร้าย
“พวกเจ้ามีความสามารถอะไร ก็รีบนำออกมาให้หมดเถอะ มิเช่นนั้นตอนที่ข้าลงมือ พวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว”
หญิงสาวชุดดำมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และกำลังจะลงมืออีกครั้ง
“เจ้าลงมือไปแล้ว ให้ข้าลองดูเถอะ ที่สำคัญตอนนี้ก็คือ ช่วยยื้อเวลาให้นายท่าน” เด็กชายเสื้อเขียวดึงหญิงสาวไว้ และส่งเสียงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หญิงสาวชุดดำได้ยิน ก็รีบหันไปมองด้วยความตกใจ
จะเห็นว่าหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลมีสีหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท กลิ่นไอบนตัวก็ขาดๆ หายๆ ร่างของเขามีหมอกดำจางๆ ปกคลุมอยู่ เห็นได้ชัดว่าได้ทะลวงเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญแล้ว
มิน่าล่ะ! เมื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่มชุดขาว หลิ่วหมิงกลับไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา
และในขณะนี้ เด็กชายเสื้อเขียวก็ดึงมุกกลมๆ ที่ห้อยอยู่บนคอลงมา และโยนขึ้นบนอากาศ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
ขณะที่อักขระสีเทาแต่ละตัวพุ่งออกจากปาก มันก็ค่อยๆ จมเข้าไปในมุกจิตวิญญาณทั้งแปด
มุกจิตวิญญาณทั้งแปดเปล่งประกายขึ้นมาทันที และขยายตัวกลางอากาศ ครู่เดียวก็กลายเป็นเด็กผู้ชายแปดคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเขาไม่มีผิด
จากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็ขยับตัว และพาเด็กชายอีกแปดคนพุ่งขึ้นไปหาชายหนุ่มชุดขาวบนอากาศ
เงามนุษย์พร่ามัวอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง เด็กชายเก้าคนที่มีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิดกะพริบไปมารอบด้าน หลังจากสบตากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ก็พากันพ่นลูกเปลวไฟสีเทาที่เหมือนกับก่อนหน้านั้นออกมา
ลูกไฟเหล่านี้หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็ขยายใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ก่อเกิดเป็นอากาศสีเทาที่บิดเบี้ยว และม้วนตัวไปหาชายหนุ่มชุดขาว
ชายชุดขาวหรี่ตาทั้งคู่ลง ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยเห็นความแปลกประหลาดของเปลวสีเทาเหล่านี้แล้ว ตอนนี้ย่อมไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด เพียงแค่สะบัดธงกระดูกในมือ กลุ่มแสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา คมวายุขนาดหลายฉื่อจำนวนมากพุ่งยิงออกไปทั่วทิศ
เกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” อยู่พักหนึ่ง จากนั้นคมวายุสีเขียวจำนวนมาก ก็พัดผ่านเปลวไฟสีเทาไป และฟันไปทางเด็กชายเสื้อเขียวที่อยู่ด้านหลังเปลวไฟ
เด็กชายเสื้อเขียวทั้งเก้าคนส่งเสียงร้องดังแปลกประหลาดออกมาพร้อมกัน พอเคลื่อนตัว ก็สามารถหลบคมวายุได้อย่างรวดเร็ว หลังจากพร่ามัวไปหนึ่งครั้งแล้ว ก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากด้านข้างของชายชุดขาวสองสามจั้ง
ดวงตาของชายชุดขาวเปล่งแสงเย็นสะท้าน ธงกระดูกในมือส่งเสียงดัง “เพล้ง!” จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงสีเขียวจางๆ มาปรากฏอยู่ด้านข้างของเขา
ขณะนี้ มีแสงสีเลือดเปล่งประกายแวววาวในดวงตาของเด็กชายเสื้อเขียว เปลวไฟสีเทาถูกพ่นออกจากปากอีกครั้ง กลิ่นเหม็นคาวแผ่กระจายออกไปในทันที
พอเปลวไฟสีเทาตกลงบนม่านแสงสีเขียว ก็เกิดระลอกคลื่นบนม่านแสงเป็นชั้นๆ
หลังจากเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” อยู่พักหนึ่ง หมอกควันสีขาวจางๆ ก็พุ่งขึ้นฟ้า ม่านแสงสีเขียวมืดลงในพริบตา ทั้งยังมีรูเล็กๆ จำนวนมากปรากฏอยู่บนนั้น ราวกับว่าถูกกัดกร่อนมาก่อน
“นี่คือบ้าอะไรกัน…”
ชายหนุ่มชุดขาวสูดหมอกขาวไปส่วนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้น ก็รู้สึกหน้ามืดตาลายอยู่ครู่หนึ่ง และใจสั่นสะท้าน พอเก็บม่านแสงสีเขียว มันก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า พอพุ่งขึ้นสูงร้อยกว่าจั้ง ลำแสงก็ดับลง เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มชุดขาว
ธงกระดูกสีเขียวในมือมีรูเล็กๆ ปรากฏอยู่หลายรู พลังจิตวิญญาณของมันได้รับความเสียหายไม่น้อย ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังโครมครามด้านล่าง เงาหินจำนวนแน่นขนัดพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเกิดจากการที่หญิงสาวชุดดำกระตุ้นหินชนิดต่างๆ มาทำการโจมตีนั่นเอง
“ไสหัวไป!”
ชายหนุ่มชุดขาวส่งเสียงตะคอกด้วยความโมโห และตบฝ่ามือผ่านกลุ่มหินไป
ทันใดนั้น เงาฝ่ามือยักษ์สีขาวที่มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ก็ปรากฏออกมา พอคว้าลงด้านล่าง ก้อนหินทั้งหมดก็กลายเป็นผุยผงในพริบตา และยังฟาดไปทางหญิงชุดดำ โดยที่อานุภาพไม่ได้ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พอบิดตัว ก็มุดหายลงไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นอยู่ครู่หนึ่ง!
รอยฝ่ามือยักษ์ปรากฏบนบริเวณที่นางเคยยืนทันที
มาจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มชุดขาวเพิ่งจะแสดงพลังแท้จริงของระดับแก่นแท้ออกมา
ขณะนั้นเอง เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ด้านล่าง เด็กชายทั้งเก้าปรากฏตัวอีกครั้งและเดินโซเซไปรอบ ๆ ชายในชุดคลุมสีขาว ขณะเดียวกันก็สะบัดหัว และปอยผมสีเขียวก็ยืดยาวออกมาเป็นไหมสีเขียวอันแน่นขนัด ก่อนพุ่งยิงเข้ามา
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ไหมสีเขียวที่พุ่งออกไปทั้งหมด มีเปลวไฟสีเทาลุกไหม้ขึ้นมา
และหญิงสาวชุดดำก็มุดขึ้นมาจากบริเวณขอบยอดเขา พอแหงนหน้าขึ้น ดวงตาของนางก็เป็นประกายแวววาว ทันใดนั้น นิ้วทั้งสิบก็ดีดใส่ชายหนุ่มชุดขาวติดต่อกัน
เกิดเสียงดังก้องฟ้า แสงสีดำสิบลำกะพริบออกมา พริบตาเดียวก็มาถึงบริเวณตรงหน้าชายหนุ่มชุดขาวอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะหึๆ พอสะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง แขนเสื้อก็กลายเป็นดาบแสงสีขาวม้วนตัวผ่านตรงหน้าไป ซึ่งไม่เพียงแต่จะตัดไหมสีเขียวเป็นชิ้นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนเท่านั้น แม้แต่เด็กชายที่อยู่บริเวณนั้นก็ค่อยๆ ถูกบีบจนร่นถอยออกไป ยิ่งไปกว่านั้นยังดีดแสงสีดำสิบกว่าลำที่พุ่งยิงเข้ามาจนกระเด็นออกไปด้วย
การโจมตีอันน่าตกใจเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เด็กชายทั้งเก้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกันเท่านั้น หญิงสาวที่อยู่ด้านล่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“เอาล่ะ! ความสามารถของพวกเจ้าข้าก็เห็นไม่น้อยแล้ว ให้ข้าจัดการนายเก่าของพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยสยบพวกเจ้าก็แล้วกัน” หลังจากชายชุดขาวโจมตีอสูรเลี้ยงทั้งสองจนล่าถอยออกไปแล้ว ก็หัวเราะด้วยความพอใจ จากนั้นก็กวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงที่อยู่บนยอดเขา พอเอามือข้างหนึ่งตบลงบนหน้าอก หัวขวานสีเหลืองสลัวๆ ก็พุ่งยิงออกไป
พอเปลี่ยนท่ามือ ขวานเล็กๆ ก็ขยายใหญ่แล้วพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็กลายเป็นขวานยักษ์สีทองที่มีขนาดสามสี่จั้ง มีลายพยัคฆ์สีทองที่ดูราวกับมีชีวิตสลักอยู่บนพื้นผิว
ชายชุดขาวจับขวานไว้แน่น พอฟันลงไปอย่างรุนแรง แสงสีเหลืองที่มีขนาดใหญ่เจ็ดแปดจั้งก็เปล่งประกายออกมา และกลายเป็นเงาพยัคฆ์สีทองในระหว่างทาง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยลักษณะอันดุดัน
“แย่แล้ว!”
หญิงสาวชุดดำมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก พอมีเงาดำเคลื่อนไหวตรงด้านหลัง หางตะขอสีดำม่วงก็ปรากฏออกมา มันกะพริบแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นเงาดำกะพริบผ่านไปท่ามกลางเสียงระเบิด พริบตาเดียวก็ฟาดใส่ร่างพยัคฆ์สีทองที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง จนกลายเป็นรู
พยัคฆ์ตัวนี้ทำราวกับมองไม่เห็นรูบนตัว หลังจากร่างของมันพร่ามัวแล้ว ก็พุ่งไปยังศีรษะหลิ่วหมิง กรงเล็บยักษ์ทั้งสองกับปากขนาดใหญ่โจมตีผ่านอากาศไปโดยฉับพลัน
หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในทันที และปล่อยกำปั้นโจมตีออกไป
“ตู๊ม!”
เงากำปั้นสีดำพุ่งออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาหัวพยัคฆ์ขนาดใหญ่ และส่งเสียงคำรามดังก้องฟ้า
ชั่วขณะนั้น เงาร่างพยัคฆ์สีทองถูกพลังมหาศาลที่แฝงอยู่ในหัวพยัคฆ์สีดำโจมตีจนแตกกระจาย พอเงาดำกะพริบผ่านไป หัวพยัคฆ์ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าชายชุดขาว
ชายชุดขาวรู้สึกตกใจมาก เห็นได้ชัดว่าไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาคิดที่จะหลบหลีกก็สายไปเสียแล้ว ทำได้แค่นำขวานสีทองมาตั้งขวางไว้ตรงหน้า และใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา
“โครมคราม!”
หัวพยัคฆ์ระเบิดตัวตรงหน้าชายชุดขาว และมีคลื่นสีดำม้วนตัวออกไปเป็นวงๆ
ชายชุดขาวรู้สึกชาที่แขน พลังมหาศาลทะลักเข้ามา ทำให้เขาต้องร่นถอยไปสิบกว่าก้าว ขณะเดียวกันก็รู้สึกหวานที่ลำคอจนเกือบกระอักเลือดออกมา
“เป็นไปไม่ได้”
หลังจากชายชุดขาวตั้งหลักได้อีกครั้ง ก็ต้องหยุดปากร้องออกมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ขณะนั้นเอง กลิ่นไอของหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นก็เพิ่มขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมา ไอดำพวยพุ่งม้วนตัวขึ้นจากด้านหลัง และกลายเป็นมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละห้าตัว
หลิ่วหมิงหัวเราะทีหนึ่ง และลุกขึ้นจากพื้นทันที
“ยินดีด้วยนายท่านที่สามารถบรรลุระดับผลึกขั้นปลายได้อย่างราบเรียบ!” หญิงชุดดำเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยความดีใจ
“นายท่าน ยิ่งใหญ่!”
เด็กชายเก้าคนที่อยู่กลางอากาศก็พุ่งลงไปทันที หลังจากมีเงาร่างมนุษย์เคลื่อนไหว เด็กชายคนหนึ่งที่ถือสร้อยมุกกลมๆ ก็มาปรากฏตัวบริเวณที่หลิ่วหมิงอยู่ ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลำบากพวกเจ้าทั้งสองแล้ว คนผู้นี้มอบให้ข้าจัดการก็พอแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวกับหญิงสาวและเด็กชายด้วยรอยยิ้ม
“ก็แค่ผู้น้อยระดับผลึกคนหนึ่ง บังอาจพูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ถึงความน่ากลัวของระดับแก่นแท้” ชายชุดขาวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
กำปั้นในเมื่อครู่ ทำให้เขารู้ว่าพลังของหลิ่วหมิงไม่ธรรมดา แต่ด้วยสถานะผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ย่อมไม่หวาดกลัวผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ชายชุดขาวโยนขวานสีทองในมือขึ้นฟ้าทันที และอ้าปากออกมา พอมีเสียงดัง “ฟู่!” มันก็กลายเป็นหมอกโลหิตมุดเข้าไปในนั้น และเขาก็ชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง
ลวดลายสีทองเปล่งประกายบนขวานยักษ์ เกิดเสียงดังกังวานเป็นพักๆ อักขระสีเลือดจำนวนมากพวยพุ่งออกมา จากนั้นก็ฟันไปทางหลิ่วหมิง
ตอนที่ 743 เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฟู่!”
แสงโลหิตรูปพระจันทร์เสี้ยวที่เกือบจะบดบังท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง ม้วนตัวออกจากขวานยักษ์ หลังจากกะพริบผ่านไปแล้ว ก็ฟันลงบนตัวหลิ่วหมิงที่อยู่บนยอดเขาจนกลายเป็นสองซีก
มันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ!
และหลิ่วหมิงก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เขาไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แต่ครู่ต่อมา ร่างทั้งสองซีกของเขากลับพร่ามัวและสลายไป ที่แท้ก็เป็นแค่เงาร่างเท่านั้น
“ตู๊ม!”
หลังจากยอดเขาทั้งลูกสั่นสะเทือน ก็เกิดร่องลึกๆ บนพื้น คิดไม่ถึงว่ายอดเขาทั้งลูกจะแยกเป็นสองซีก
ขณะที่ชายชุดขาวยังไม่หายตกใจจากที่เป้าหมายของเขาเป็นแค่เงาร่างนั้น กลับมีเสียงหัวเราะเยือกเย็นดังมาจากด้านหลัง
ชายหนุ่มชุดขาวรีบหันกลับมาด้วยความตกใจ และพุ่งถอยไปในพริบตา
ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งยังมีกระบี่ยาวสีทองอร่ามที่ยาวสองฉื่อลอยอยู่ตรงหน้า กลิ่นไอกระบี่ที่แผ่ออกมาก็ดุเดือดรุนแรงมาก
“เจ้า…”
ชายหนุ่มชุดขาวพูดด้วยความตกใจ แต่ขวานยักษ์ที่อยู่บนอากาศกลับกลายเป็นลำแสงม้วนตัวลงมา และฟันหลิ่วหมิงตรงหน้าออกเป็นสองซีกอีกครั้ง
แต่ว่าหลังจากแสงเย็นสะท้านม้วนตัวผ่านไป กลับไม่มีฉากกระเด็นของเลือดเนื้อเกิดขึ้น มีแค่เงาแสงจางๆ ที่ค่อยๆ สลายไปเท่านั้น ที่แท้สิ่งที่ขวานสีทองผ่าออกมาก็เป็นแค่เงาร่าง
ครู่ต่อมา เงาร่างที่มีไอดำรายล้อมก็มาปรากฏตัวด้านหลังของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีดำก็ม้วนตัวออกไปปกคลุมชายหนุ่มชุดขาวไว้ กระบี่ยาวสีทองในมืออีกข้างกะพริบผ่านไป และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งทะลุเข้าไปในแสงสีดำ
ชายชุดขาวรู้สึกว่าภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ จากนั้นม่านแสงที่ปกคลุมอยู่ก็ส่งเสียงดัง “เพล๊ง!” พอรู้สึกเย็นที่ลำคอ ศีรษะก็กลิ้งลงมาจากบ่า
แต่ว่าศีรษะที่ร่วงลงไปกลับส่งเสียงร้องแหลม พริบตาเดียวก็ระเบิดออกมา เลือดเนื้อกระเด็นไปทั่วทิศ ทำให้แสงสีดำรอบด้านเกิดเป็นรูขนาดใหญ่
“ฟู่!”
ไอสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากร่างไร้ศีรษะของชายหนุ่มชุดขาว หลังจากม้วนตัวหนึ่งทีแล้ว ก็พุ่งออกไปด้านนอกแสงสีดำ และก่อตัวเป็นเงามนุษย์ขนาดเล็ก ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว คือชายหนุ่มชุดขาวในก่อนหน้านั้น
เงาร่างมนุษย์จิ๋วมีสีหน้าหวาดกลัวมาก พอกระโดดออกมาได้ ร่างของเขาก็พุ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่ต้องไปแล้ว!”
เกิดคลื่นสั่นสะเทือนตรงหน้าเงามนุษย์จิ๋ว เด็กชายชุดเขียวปรากฏออกมา หลังจากแสดงสีหน้าดุร้ายออกมาแล้ว ก็อ้าปากพ่นเปลวไฟออกมา
“อ๊าก!” เกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนา!
เงาร่างมนุษย์จิ๋วที่กลายร่างมาจากวิญญาณของชายหนุ่มชุดขาว ถูกเปลวไฟสีเทาห่อหุ้มทันที ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็หายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์
พอเห็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ถูกสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกหลายคนที่ดูบนยอดเขาไกลๆ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้น จะถูกสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้…”
“หรือว่าคนผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ไม่ถูกต้อง! เห็นชัดๆ ว่าเมื่อครู่คนผู้นี้กำลังทะลวงคอขวดระดับผลึกขั้นปลายอยู่!”
ผู้ฝึกฝนเหล่านี้ต่างก็มองหน้ากันไปมา ร่องรอยแห่งโชคสุดท้ายหายไปอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นก็พากันขี่อาวุธจิตวิญญาณไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างไม่รอรี เพราะกลัวว่าผู้ฝึกฝนหนุ่มคนนั้นอาจจะเปิดฉากสังหารก็ได้ที่ตนเองถูกรบกวนอยู่หลายครั้ง
“นับว่ารู้จักเอาตัวรอด!”
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูแสงหลบหลีกที่อยู่ไกลๆ และเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม และไม่คิดที่จะตามไป แต่กลับเก็บกระบี่บินกลับมา และดีดนิ้วออกไป
“ฟู่!”
ลูกเปลวไฟลูกหนึ่งร่วงลงบนศพของผู้ฝึกฝนชุดขาว และเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า พอม้วนแขนเสื้อ กำไลเก็บของวงหนึ่งก็มาปรากฏอยู่บนมือ
หลังจากเขาทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็โบกมือไปทางหญิงสวมชุดดำกับเด็กชาย จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งลงไปยังถ้ำที่พักที่อยู่ด้านล่าง
แสงหลบหลีกของหญิงสาวกับเด็กชายก็พุ่งตามลงไป
พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พักก็นั่งขัดสมาธิลง หญิงสาวชุดดำกับเด็กชายเสื้อเขียวกระโดดเข้าหาด้วยความเคยชิน และดึงชายเสื้อหลิ่วหมิงอย่างรักใคร่
“หลิ่วหมิงไอแห้งๆ สองที หัวบินยังพอว่า แต่แมงป่องกระดูกในตอนนี้กลายเป็นหญิงสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปี รูปร่างยังคล้ายเย่เทียนเหมยเล็กน้อย ทั้งยังกอดร่างเขาอย่างรักใคร่เช่นนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากจะเลี่ยงได้
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินการพึ่งพาของอสูรจิตวิญญาณสองตัวที่มีต่อเขาต่ำเกินไป หลังจากพูดจาชักแม่น้ำทั้งห้าแล้ว ถึงให้พวกมันยืนอยู่ตรงหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
นี่ก็แปลก หัวบินกับแมงป่องกระดูกต่างก็เข้าสู่โลกของการฝึกฝนไม่นาน ก็อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด ในใจจึงนับถือเขาเป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าทั้งสองจะกลายร่างเป็นมนุษย์ในตอนที่อยู่ระดับผลึก อย่างที่รู้ว่าปีศาจอสูรระดับแก่นแท้หลายตัวไม่สามารถแปลงร่างได้โดยสมบูรณ์” หลิ่วหมิงสังเกตดูอสูรเลี้ยงทั้งสอง และอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เรียนนายท่าน เดิมทีการฝึกฝนของพวกเราก็ไม่อาจแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เป็นเพราะได้ผสานกับโลหิตปีศาจสวรรค์ ร่างกายถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด” หญิงสาวชุดดำที่กลายร่างมาจากแมงป่องกระดูกกล่าวออกมาเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“แก่กๆ! ใช่แล้วนายท่าน ข้าเองก็มีร่างแล้ว!” เด็กชายเสื้อเขียวส่ายหน้ากล่าว น้ำเสียงยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่ ซึ่งแตกต่างจากหัวบินที่ดูดุร้ายมาก
“อืม! แม้ว่าพวกเจ้าทั้งสองจะไม่ใช่เผ่าปีศาจโดยบริสุทธิ์ แต่มีโชคเช่นนี้ได้มันก็เหนือความคาดหมายของข้ามากแล้ว แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หลังจากพวกเจ้าทั้งสองกลายร่างเป็นมนุษย์ ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วยได้ อีกอย่างโอสถแฝงจิตวิญญาณก็สามารถทานในปริมาณที่เหมาะสมได้ เพราะหากอาศัยร่างมนุษย์กลั่นพลังของโอสถล่ะก็ ถึงจะแสดงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดออกมาได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ทราบ! นายท่าน” หญิงสาวกับเด็กชายตอบรับพร้อมกัน
“ใช่สิ! สถานการณ์ในตอนนี้ ข้าควรจะตั้งชื่อให้พวกเจ้าทั้งสองได้แล้ว หัวบินชื่อเฟยเอ๋อร์ แมงป่องกระดูกชื่อเซียเอ๋อร์ก็แล้วกัน” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวออกมา
“ขอบคุณนายท่านที่ตั้งชื่อให้” หญิงสาวกับเด็กชายต่างก็กล่าวด้วยความดีใจ
“เซียเอ๋อร์ เซียเอ๋อร์…” หญิงสาวชุดดำพูดชื่อใหม่ของตัวเองเบาๆ ดูเหมือนนางจะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“เสียเอ๋อร์ ฮ่าๆ! ไหนเลยจะไพเราะเท่า ‘เฟยเอ๋อร์’ ของข้า!” เด็กชายเสื้อเขียวกลับตั้งใจพูดชื่อของหญิงสาวผิด และส่ายหน้าไปมา
“เจ้า…นายท่าน ดูเขาสิ!” เซียเอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา แต่เด็กชายกลับแอบหลบไปอยู่ด้านหลังหลิ่วหมิงแล้ว ทั้งยังทำหน้าผีใส่นางด้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างขมขื่นและท้ายสุดก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ดูท่าอสูรจิตวิญญาณทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นสมบัติคู่ที่มีชีวิตจริงๆ ตอนแรกที่ยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ยังไม่เท่าไหร่ พอเจอหน้ากันในตอนนี้ก็เถียงกันไม่หยุด ทำให้เขารู้สึกหมดคำพูดขึ้นมา
“ตอนนี้ได้เข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว เพียงแค่ทำระดับให้มั่นคงเล็กน้อย ก็เริ่มไปรวบรวมวิญญาณปีศาจชนิดต่างๆ ได้แล้ว” หลังจากหลิ่วหมิงนั่งเงียบอยู่ในห้องลับครู่หนึ่ง ก็พูดพึมพำออกมา
หนึ่งปีต่อมา ภายในถ้ำเปียกชื้นที่อยู่ห่างจากเทือกเขาจูหลงไปหลายพันลี้ กลุ่มแสงสีเขียวห้าหกกลุ่มที่มีขนาดเท่าแผ่นโม่ กำลังล้อมโจมตีเงาร่างมนุษย์สีดำอยู่ไม่หยุด
ภายในแสงสีเขียวแต่ละกลุ่ม จะมีผึ้งพิษขนาดหลายฉื่อที่แผ่กลิ่นไอระดับผลึกอยู่
ผึ้งพิษมีสีเขียวทั้งตัว มีลวดลายสีเหลืองเป็นวงๆ ปรากฏอยู่รอบตัว ลำตัวส่วนหน้าดูคล้ายกับแมงมุม ส่วนหลังของลำตัวดูป่องเล็กน้อย แลดูดุร้ายเป็นอย่างมาก ตรงก้นของมันยังมีเหล็กไนพิษสีดำอยู่อันหนึ่ง พอสะบัดหนึ่งที เหล็กไนพิษสีดำก็พุ่งออกมาจำนวนมาก
หากคนหนานฮวงอยู่ที่นี่ด้วย จะต้องจำได้ในทันทีว่า ผึ้งพิษเหล่านี้คือผึ้งแมงมุมหยินที่รับมือได้ยากกว่าผึ้งห้าแสงมาก!
ส่วนเงาร่างสีดำย่อมเป็นหลิ่วหมิงนั่นเอง
ตอนนี้ไอดำปกคลุมทั่วร่างของเขา ด้านนอกไอดำยังมีโล่กลมๆ สีเหลืองอยู่อันหนึ่ง มันกำลังหมุนวนรอบตัวเขาไม่หยุด และแผ่คลื่นแสงออกมาเป็นวงๆ
เหล็กไนพิษสีดำอันแหลมคมแทงลงบนคลื่นแสงสีดำ ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปด้านนอก โดยที่ไม่สามารถสัมผัสกับผิวโล่ได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเอง พอหลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้น นิ้วทั้งห้าก็ค่อยๆ กางออก ไอดำสายหนึ่งม้วนตัวออกมา ปีศาจผึ้งเหล่านี้ถูกกระแสอากาศสีดำล้อมรอบทันที และพากันพุ่งชนใส่หน้าผาโดยที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
ครู่ต่อมา ไอดำก็เกาะตัวเป็นโซ่สีดำรัดพันปีศาจผึ้งเหล่านี้ไว้
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ รับมือกับปีศาจอสูรระดับผลึกขั้นต้นไม่กี่ตัว ย่อมสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
ปีศาจผึ้งพยายามดิ้นรนในขณะที่ร่วงลงพื้น พอหลิ่วหมิงชี้นิ้วออกไป แสงกระบี่สีทองหลายลำก็พุ่งออกไปฟันผึ้งพิษเหล่านี้ออกเป็นชิ้นๆ
กลุ่มแสงสีเขียวพุ่งออกจากศพของผึ้งพิษเหล่านี้ในทันที
พอแสงเปล่งประกายตรงหน้าหลิ่วหมิง เงาหัวโคก็พุ่งออกมาพร้อมเสียงคำราม และอ้าปากก็กลืนวิญญาณของปีศาจผึ้งทั้งหมดลงไป
ทุกครั้งที่กลืนกินวิญญาณของปีศาจผึ้งแต่ละตัว เงาหัวโคนี้ก็จะชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาพอใจออกมา
ครึ่งเดือนต่อมา ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่งในหนานฮวงที่ไม่ค่อยมีคนมาถึง ขณะที่มีเสียงร้องยาวดังเข้ามาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ปีศาจวิหคสีดำตัวหนึ่งก็พุ่งออกจากหุบเขา และกระพือปีกทั้งสองบินออกไปไกลๆ
ปีกทั้งคู่ของปีศาจวิหคสีดำเมื่อกางออกจะมีความยาวหลายจั้ง ขนวิหคเป็นสีดำราวกับเหล็ก จะงอยปากสีเทาเต็มไปด้วยฟันเลื่อยอันแหลมคม
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็คือ หงอนสีเลือดที่อยู่บนหัวของวิหคตัวนี้ มันเป็นสีแดงเข้มราวกับเลือด แลดูสวยสดงดงามเป็นพิเศษ
แต่ในขณะนั้นเอง สถานะของปีศาจวิหคก็ดูไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่จะหายใจกระชั้นชิด ทั้งยังหันไปมองด้านหลังอยู่บ่อยๆ และดูหวาดระแวงเล็กน้อย
พอสังเกตดูอย่างละเอียด ยังสามารถมองออกว่าการบินของมันไม่ค่อยมั่นคง ขนบนปีกซ้ายของมันดูเละเทะ และมองเห็นคราบเลือดที่ยังไม่แห้งอยู่จำนวนหนึ่ง
หุบเขาในขณะนี้ ผู้ฝึกฝนเผ่าหมานสามคนกำลังผ่านมาพอดี และมองเห็นปีศาจวิหคสีเทาที่พุ่งผ่านไป
“ระวัง มันเป็นวิหคตาข่ายเทา รีบปิดบังกลิ่นไอ อย่าให้มันค้นพบได้” ชายฉกรรจ์สวมชุดผ้าป่านที่เป็นหัวหน้าสั่งอีกสองคนที่อยู่ด้านข้าง
วิหคตาข่ายเทาเป็นวิหคอสูรที่พบเจอในเทือกเขาจูหลงได้น้อยมาก มันมีความเร็วมี่รวดเร็วมาก นิสัยโหดร้าย เป็นฝันร้ายของผู้ฝึกฝนระดับต่ำ
แต่หงอนที่อยู่บนหัวกลับเป็นวัสดุล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง หากผู้ฝึกฝนระดับแก่นแขั้นต้นทั่วไปคิดจะรับมือคนเดียว ยังคงเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายไม่น้อย
“ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่ามันจะได้รับบาดเจ็บสาหัส” หญิงชุดแดงที่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านกล่าวด้วยความดีใจ
คนอื่นๆ อีกสองคนรู้สึกอึ้งไปทันที พอมองดูอย่างละเอียด ต่างก็ต้องเผยสีหน้าละโมบออกมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น