หมอดูยอดอัจฉริยะ 736-741
ตอนที่ 736 ต่างคนต่างมีความลับ
“ท่านผู้อาวุโสวานรขาวที่อยู่เสินหนงเจี้ย มีความเมตตากับผู้น้อยมากครับ” เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะอย่างฝืด ๆเล็กน้อย นักพรตที่อยู่ตรงหน้าเรียกวานรขาวว่าลิง เขาจึงไม่สะดวกเรียกชื่อออกมาต่อหน้า
“เจ้าลิงปากร้ายก็สอนคนให้เป็นเซียนได้เรอะ?”
สีหน้าของติงหงยิ่งแปลกใจมากขึ้น ตอนนั้นเขาเดินทางไปตลาดเสินหนงเจี้ยเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ แต่เนื่องจากความซุกซนของเจ้าลิงนั่น จึงเคยถูกเขาใช้แส้ตีมันด้วย
ติงหงจำได้ว่าตอนนั้นหลังจากที่ลูกศิษย์ของสำนักเขาเข้าไปในดินแดนแห่งทวยเทพแล้ว ก็ไม่ได้นำเจ้าลิงนั่นออก มา เผลอแป๊บเดียวผ่านไปหนึ่งร้อยปีกว่า ไม่คิดว่ามันจะสามารถฝึกวรยุทธจนสำเร็จ
“วรยุทธของเจ้าไม่เลว ไม่ทราบว่าสำนักของเจ้ายังมีใครอีกไหม? สามารถพาข้าไปพบได้หรือไม่?”
ทันใดนั้นติงหงจึงนึกถึงเรื่องของศิษย์น้อง แล้วหรี่ตาไม่หยุด เท่าที่เขารู้ คนที่อยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพจะกลับมาที่โลกมนุษย์น้อยมาก นอกจากนี้คนที่รู้จักกับศิษย์น้องก็มีมาก คนที่สามารถลงมือได้อย่างเหี้ยมโหด คาดว่าจะต้องไม่รู้จักศิษย์น้องเก๋อแน่นอน
ติงหงไม่ได้สงสัยในตัวเยี่ยเทียน เพราะวรยุทธของเขากับเก๋อข่ายนั้นต่างกันถึงหนึ่งระดับ เป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์น้องจะตายด้วยน้ำมือของเขา
ทว่าเยี่ยเทียนอายุน้อยแค่นี้ก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ไม่แน่อาจารย์คนนั้นที่เขาเพิ่งจะพูดถึง อาจจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าศิษย์น้องก็ได้
หลังจากได้ยินคำพูดของติงหง หัวใจเยี่ยเทียนจึงสั่นสะท้าน แล้วจึงพูดพลางยิ้มเจื่อน “ท่านติงครับ อาจารย์ของผมละสังขารไปเมื่อสองสามปีก่อนแล้ว ผมยังมีศิษย์พี่อีกสองคน แต่ก็ยังไม่บรรลุระดับเซียนเทียน ทำให้ต้องขายหน้าท่านผู้อาวุโสแล้วครับ”
“อ้อ? อย่างนี้นี่เอง ถือว่าเจ้าโชคดีไม่น้อยนะ!”
ติงหงได้ยินจึงตกตะลึง ความสงสัยที่มีต่อเยี่ยเทียนพลันลดลงไปมาก ทว่าเขาก็ยังไม่ตายใจ จึงจ้องเขม็งไปที่เยี่ยเทียน แล้วแสร้งทำเป็นยิ้มถาม “เมื่อสองสามเดือนก่อน เจ้าเคยเจอศิษย์น้องของข้าในเมืองหลวงไหม?”
“บ้าเอ้ย ที่แท้นักพรตคนนั้นก็เป็นหนึ่งในสำนักนี้จริงๆ”
เมื่อสัมผัสถึงสายตาที่กวาดมองมาราวกับใบมีด ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงมีสีหน้าแปลกใจออกมา “ศิษย์น้องของท่านติงมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไรครับ? สองสามเดือนก่อนผมกำลังเข้าฌานเพื่อบรรลุระดับเซียนเทียนพอดี จึงไม่เห็นผู้อาวุโสท่านนั้นครับ!”
ด้วยวรยุทธของติงหง เขาจึงดูออกว่าเยี่ยเทียนเพิ่งจะบรรลุขั้นได้ไม่นาน และพลังโฮ่วเทียนเมื่อเข้าสู่เซียนเทียนแล้ว การเปลี่ยนจากพลังปราณชีวิตให้เป็นปราณแท้ก็มีขั้นตอนของมัน ต้องใช้ระยะเวลาครึ่งปีกว่า จากการวินิจฉัยนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่มีทางได้พบกับศิษย์น้องของตัวเองจริงๆ
“ช่างเถอะ มานั่งคุยกัน”
ถึงแม้ทั้งสองคนจะใช้พลังจิตสื่อสารกัน แต่ก็ยืนอยู่แถวหน้าสุดของงาน จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน โดย เฉพาะตอนนี้งานประมูลใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าหากไม่มีพี่น้องตระกูลอวิ๋นยืนอยู่ข้างๆ พนักงานคงเดินเข้าไปเร่งให้พวกเขานั่งลงแล้ว
“พ่อครับ พ่อกับอาเขยไปนั่งแถวหลังนะครับ!”
เยี่ยเทียนส่งกระแสพลังจิตส่วนหนึ่งไปที่สมองของเยี่ยตงผิง จากนั้นจึงยิ้มพูดว่า “เชิญท่านติงนั่งตรงนี้ครับ ผู้น้อยมีเรื่องเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธอยากจะขอคำชี้แนะบางส่วนครับ”
เมื่อเห็นติงหงไม่รู้ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของศิษย์น้องของเขา เยี่ยเทียนจึงสงบใจมากขึ้น และเขาก็ได้พูดด้วยน้ำใสใจจริง อยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธให้มากขึ้น
“พวกเจ้าไปนั่งแถวหลังเถอะ!”
เมื่อเห็นท่าทางเคารพนอบน้อมของเยี่ยเทียน ติงหงจึงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วจึงโบกมือให้พี่น้องตระกูลอวิ๋นที่ อยู่ไม่ไกล พลางพูดว่า “ข้ากับพ่อหนุ่มนั่งตรงนี้ก็พอแล้ว”
“ครับ หากท่านนักพรตต้องการอะไร เรียกผมได้ตลอดเวลานะครับ!”
อวิ๋นหวาจวินมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่ติงหงมาที่บ้านของพวกเขา ก็ไม่เคยยิ้มแย้มกับใคร แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะยิ้มให้กับเด็กหนุ่มคนนี้
เมื่อกลับไปที่นั่งแถวหลังแล้ว อวิ๋นหวาจวินจึงกระซิบพูดกับอวิ๋นหวาถง “น้องรอง ไปสืบประวัติของเด็กหนุ่มคนนั้นหน่อย”
พี่น้องตระกูลอวิ๋นมีความสงสัยในตัวเยี่ยเทียน แต่คนที่อยู่ในงานกลับสงสัยประวัติความเป็นมาของติงหงมาก กว่า
ถึงแม้คนในงานจะไม่ค่อยรู้จักอวิ๋นหวาจวิน แต่อวิ๋นหวาถงก็มีชื่อเสียงมากในแวดวงธุรกิจมาก โดยเฉพาะฐานะของตระกูลอวิ๋น ทำให้เพิ่มความลึกลับในตัวเขามากขึ้น
คนที่สามารถทำให้พี่น้องตระกูลอวิ๋นเคารพนบนอบได้ขนาดนี้ นักพรตคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ทันใดนั้นคนที่นั่งอยู่ทั้งด้านข้างและด้านหลังของเยี่ยเทียน ต่างก็ทำหูตั้งอยากจะฟังการสนทนาของพวกเขา
ถึงแม้จะเห็นปากของพวกเขาขยับ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ตอนที่นักประมูลของงานประมูลเดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว จึงหันเหความสนใจของทุกคนไปพอสมควร
“ท่านนักพรตฝีมือเยี่ยมยอดจริงๆ แบบนี้ผมทำไม่ได้ครับ!”
เมื่อเห็นติงหงปล่อยพลังปราณชีวิตออกมาเพียงเล็กน้อย ก็สามารถปิดกั้นสิ่งที่อยู่รอบกายของพวกเขาได้ เยี่ยเทียนจึงอดมีสีหน้าอิจฉาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขายังไม่สามารถควบคุมการใช้วิชาพลังปราณชีวิตแบบนี้ได้
“ฝีมือต่ำต้อยเท่านั้น ไม่เก่งอะไรหรอก”
ติงหงทำสีหน้าเรียบเฉยพลางส่ายหน้า “พ่อหนุ่มมางานในวันนี้ ก็เพื่อพลอยวิเศษธาตุไฟนั่นใช่ไหม? เจ้าสิ่งนี้มีประโยชน์กับสำนักหอประดิษฐ์วิเศษมาก หวังว่าพ่อหนุ่มจะยอมหลีกทางให้ แล้วข้าจะตอบแทนน้ำใจเจ้าแน่นอน!”
ถึงแม้ปากจะพูดอย่างเกรงใจ แต่สีหน้าของติงหงก็แสดงออกอย่างชัดเจน ถ้าหากเยี่ยเทียนดึงดันจะแย่ง เขาก็ไม่ถือสาที่จะแย่งอยู่ดี ถึงอย่างไรพลอยวิเศษนี้จะต้องอยู่ในมือของเขาให้ได้
ถึงแม้จะอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพ แต่พลอยวิเศษก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งที่มีน้อยนิด และยังแบ่ง เป็นสามเกรดสูง กลาง ต่ำอีกด้วย ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกวิชาเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ติงหงจะเป็นเจ้าสำนักหอประดิษฐ์วิเศษคนปัจจุบัน แต่สำนักนั้นก็หมดความรุ่งเรืองไปนานแล้ว หลังจากที่เสียศิษย์น้องไป ก็เหลือลูกศิษย์ของเขาเพียงคนเดียว แค่อาศัยเพียงพวกเขาสามคน จึงไม่สามารถแย่งชิงสายแร่ของพลอยวิเศษที่อยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพได้
นอกจากนี้เมื่อสามร้อยปีก่อนเขาก็เข้าฌานตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง หลังจากเสินโจวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เข้าสู่ยุคธรรมตอนปลาย วิชาขั้นสูงของหอประดิษฐ์วิเศษก็หายสาบสูญ ติงหงจึงใช้วิชาประดิษฐ์อาวุธพื้นฐานบางส่วนมาขายเท่านั้น ของที่ทำออกมาก็ขายไม่ได้กำไรเท่าไหร่
ดังนั้นแม้ว่าในมือของติงหงจะมีพลอยวิเศษเกรดต่ำอยู่สองสามชิ้น แต่ตอนที่ฝึกวรยุทธก็ยังเสียดายที่จะเอามาใช้ ตอนนี้ได้เห็นมันอยู่ในโลกมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมให้หลุดมือไปแน่นอน
“พลอยวิเศษธาตุไฟ? มันคืออะไรครับ?”
เยี่ยเทียนมีสีหน้าตกตะลึงออกมาแล้วพูดว่า “ที่บ้านผมเปิดร้านขายของเก่า จึงใช้โอกาสนี้นำหยกสมัยราชวงศ์ฮั่นมาประมูลสักสองสามชิ้น ไม่ได้มาเพื่อพลอยวิเศษธาตุไฟอะไรนั่นหรอกครับ!”
เมื่อเห็นติงหงที่มีวรยุทธล้ำลึกยากจะคาดเดา ให้ความสำคัญกับพลอยวิเศษที่จะประมูลเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร ดังนั้นจึงไม่ยอมแสดงเจตจำนงว่าตัวเองก็อยากซื้อพลอยวิเศษนั่นเช่นกัน
“เจ้าไม่รู้จักว่าพลอยวิเศษคืออะไร?”
ใบหน้าของติงหงมีสีหน้าประหลาดใจออกมา “ถ้างั้นเจ้าบรรลุระดับเซียนเทียนได้ยังไง? ไม่มีพลอยวิเศษในการล้างไขกระดูก เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุระดับเซียนเทียน?”
“บ้าเอ้ย เราโกหกมากเกินไปหน่อย”
พอได้ยินคำพูดของติงหง หัวใจเยี่ยเทียนจึงหนักอึ้ง พร้อมกับมีสีหน้าลังเลพลางพูดว่า “ผมเคยได้รับหินสีดำที่เย็นสุดขั้วยามที่สัมผัสกับมือมาหนึ่งชิ้น หลังจากดูดซับปราณวิเศษในนั้นแล้ว ถึงได้บรรลุระดับเซียนเทียนครับ หรือว่าพลอยวิเศษที่ท่านนักพรตพูดถึงจะเป็นหินนั่นครับ?”
“โดนมือจะเย็นสุดขั้ว? ยัง…ยังมีหินแบบนี้อยู่หรือ?”
ลมหายใจของติงหงกระชั้นถี่ขึ้นมาทันที ถึงแม้เขาจะเป็นคนของสำนักหอประดิษฐ์วิเศษ แต่ร่างกายกลับค่อนข้างเย็น พลอยวิเศษธาตุน้ำจึงมีประโยชน์มากสำหรับเขา
ถ้าหากสามารถมีพลอยวิเศษธาตุน้ำสักชิ้น ความหวังในการบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน เพียงแต่พลอยวิเศษเกรดดีนั้นมีน้อยมาก ติงหงค้นหามาหลายปี ก็หาพลอยวิเศษธาตุน้ำที่เป็นเกรดกลางได้เพียงสองชิ้นเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้จะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนได้รับพลอยวิเศษเกรดใด แต่ติงหงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา กระทั่งกวาดสายตามองเยี่ยเทียนโดยไม่เกรงใจใดๆ
“โธ่เว้ย เก่งสู้เขาไม่ได้ก็ต้องทนอึดอัดจริงโว้ย!”
ตอนที่ติงหงใช้พลังจิตกวาดมองมาที่ตัวของเขา เยี่ยเทียนจึงอดสบถด่าในใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็แอบดีใจที่ตัวเองซ่อนพลอยวิเศษกับเชือกรัดมังกรไว้ที่บ้าน
ดูเหมือนจะไม่ได้รับพลังจิตที่มีเจตนาร้ายของติงหง เยี่ยเทียนจึงพูดอย่างงุนงงว่า “หลังจากที่ผมฝึกวรยุทธแล้ว หินก้อนนั้นก็สลายกลายเป็นผงละเอียด ไม่เหลืออะไรเลยครับ”
“แล้วเจ้าได้หินนั่นมาจากที่ไหน?”
ติงหงรู้สึกผิดหวังในใจอยู่บ้าง เยี่ยเทียนน่าจะได้หินวิเศษเกรดต่ำมาหนึ่งชิ้น มิฉะนั้นการฝึกวรยุทธครั้งเดียวคงจะไม่เพียงพอให้ปราณวิเศษที่อยู่ในหินวิเศษนั่นสลายหายไป
“ปีที่แล้วผมไปต่างประเทศมาครั้งหนึ่ง และได้รับมาจากมือของพ่อค้าพลอยคนหนึ่ง แต่ก็แปลกของสิ่งนั้นพวกเราสามารถดูดซับปราณวิเศษจากภายในได้ แต่คนธรรมดากลับไม่มีการตอบสนองใดๆ
ขณะที่เยี่ยเทียนพูดนั้นยังคงทำสีหน้าเช่นเดิม กระทั่งหัวใจก็ไม่ได้เต้นเร็วขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็ไปประเทศอเมริกาจริงๆ ถ้าหากติงหงมีความสามารถที่มหัศจรรย์ ก็ลองหาตัวพ่อค้าพลอยคนนั้นออกมาให้ได้สิ!
“เป็นอย่างนี้นี่เอง? พ่อหนุ่มโชคดีมากจริงๆ”
ติงหงมองเยี่ยเทียนอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมาไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่เขาก็จนปัญญา เพราะคงจะมัวแต่สงสัยเยี่ยเทียนแล้วซักถามต่อไปก็ไม่ได้?
นอกจากนี้สำนักที่เยี่ยเทียนสืบทอดมานั้น ก็มีความแข็งแกร่งมากในพื้นที่ของเขา แถมยังเชี่ยวชาญด้านการทำ นาย จึงยากที่เขาจะผิดใจได้จริงๆ
“ท่านนักพรต กรุณาช่วยบอกผมทีว่า ท่านอาวุโสของพวกเราไปอยู่ที่ไหนแล้วครับ? หลายร้อยปีที่ผ่านมา ทำไมถึงไม่มีผู้บำเพ็ญตบะอยู่ในโลกมนุษย์เลยครับ?”
ติงหงไม่ซักถามต่อแล้ว แต่เยี่ยเทียนกลับไม่หยุด ถึงแม้คนที่อยู่ที่ตรงหน้าจะไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรูของตัวเอง แต่ก็เป็นผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่เยี่ยเทียนพูดคุยได้ ดังนั้นความสงสัยคลางแคลงต่างๆ จึงต้องการคำตอบจากเขา
“อะแฮ่ม พ่อหนุ่มถึงแม้จะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตน แต่สถานที่นั่นของพวกเราก็มีกฎที่เคร่งครัดมาก ไม่อนุญาตให้คนทางโลกเข้าออก ดังนั้นต้องขอโทษที่ข้าไม่สามารถบอกอะไรได้”
ติงหงวางท่าอย่างผู้ทรงคุณธรรม แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “วันหลังหากคนในสำนักของพ่อหนุ่มต้องการเข้าไปข้างใน ก็จะต้องพาเจ้าเข้าไปด้วยอยู่แล้ว หรือจะรอให้ข้ากลับไปก่อน แล้วส่งข่าวไปแจ้งอาจารย์ของเจ้าก็ได้!”
ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่มีสำนัก ไม่แน่ติงหงคงจะรู้สึกรักและเมตตา พาเขาเข้าไปในเขตแดนทวยเทพและรับไว้เป็นศิษย์เพื่อสืบทอดระบบเต๋าต่อไป
แต่เยี่ยเทียนได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากสำนักฟ้าดิน หากพาเขาเข้าไปก็ไม่ใช่คนของสำนักหอประดิษฐ์วิเศษของเขา ติงหงเป็นคนจิตใจแคบ ดังนั้นจึงไม่ยอมทำอะไรฟรีๆ ให้คนอื่นอยู่แล้ว
“บัดซบเอ้ย จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์!”
หลังจากได้ยินคำพูดของติงหงแล้ว เยี่ยเทียนแทบจะเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ตาแก่นี่หลอกถามตัวเองมาตั้งนาน สุดท้ายกลับไม่พูดเรื่องของเขาออกมาสักคำ ฉลาดเป็นกรดเกินไปแล้ว
ตอนที่ 737 พลอยชั้นดี
“อย่างนั้นต้องขอบคุณท่านนักพรตมากนะครับ!”
เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา ทำให้มุมปากของติงหงกระตุกเล็กน้อย พลางคิดว่าความคิดความอ่านของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่น่าจะง่ายดายเกินไปกระมัง?
“ไม่เป็นไร แค่ช่วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น…”
ติงหงโบกมือ และขณะที่กำลังจะพูด ดวงตาของเขาพลันจ้องมองไปที่รถเข็นที่เพิ่งเข็นขึ้นไปบนเวทีประมูลทันที แล้วลุกขึ้นพรวด ทำให้เยี่ยเทียนตกใจมาก
“พลอยวิเศษธาตุไฟเกรดสูง บนโลกมนุษย์ไม่มีปราณวิเศษ จะมีพลอยวิเศษน้ำดีเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
สายตาที่น่าตกใจส่งออกมาจากดวงตาของติงหง ในใจเกิดคลื่นโหมซัดสาดขึ้นมาทันที เดิมทีเขาคิดว่าพลอยวิเศษที่ปรากฏอยู่ที่นี่จะเป็นเพียงพลอยเกรดต่ำเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่า จะเป็นพลอยเกรดสูงเช่นนี้
ในพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่ พลอยวิเศษเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยาก ส่วนมากจะถูกเก็บซ่อนไว้ในสำนักใหญ่ๆ ที่สืบทอดต่อกันมายาวนาน ลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไปยากที่จะได้เห็น
ถึงแม้พลอยวิเศษเกรดสูงจะถูกเจียระไนแล้ว แต่ปราณวิเศษก็ไม่ได้หายไป ติงหงเชื่อว่า หลังจากที่เขาได้พลอยวิเศษนี้กลับไป จะสามารถแลกกับพลอยวิเศษธาตุน้ำที่เขาต้องการได้ทั้งหมดแน่นอน
ติงหงแอบดีใจ โชคดีที่ตัวเองลงจากภูเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงจะพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ ทำให้เรื่องการตายของศิษย์น้องที่อยู่ในใจของเขาลดลงไป มัวสนใจแต่พลอยวิเศษเกรดดีชิ้นนี้
แววตาที่ร้อนผะผ่าวที่ส่งออกมา ถ้าหากไม่คำนึงถึงตัวเองที่ละทางโลกแล้ว ติงหงคงเกิดความคิดอยากจะเข้าไปแย่งออกมา
ทว่าติงหงที่ตกอยู่ในความตื่นเต้นดีใจนั้นกลับไม่รู้ว่า หลังจากที่เขาปล่อยพลังปราณชีวิตออกมาปกคุลมนั้น เยี่ยเทียนได้ปล่อยกระแสพลังจิตเพียงเล็กน้อยที่ยากจะตรวจสอบได้ เพื่อบอกให้พ่อห้ามแย่งพลอยวิเศษชิ้นนั้น
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะสามารถสัมผัสได้ ถึงปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในผลึกก้อนนั้น ซึ่งมีพลังมากกว่าพลอยวิเศษที่เขาได้รับมาเสียอีก แต่ของชั้นดีก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตถึงจะได้
เมื่อมองนักพรตที่ปล่อยพลังปราณชีวิตออกมาข้างๆ ตัวเขา เยี่ยเทียนจึงรู้ว่า ถ้าหากตัวเองแสดงความสนใจต่อพลอยวิเศษนี้ ไม่แน่ติงหงอาจจะโกรธแค้น แล้วหาทางกำจัดตัวเองให้พ้นทาง
หลังจากติงหงลุกขึ้นยืน นักประมูลที่อยู่บนเวทีจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คุณผู้ชาย เชิญนั่งครับ อย่ารบกวนขั้นตอนของการประมูล!”
ตอนที่วัตถุสองชิ้นที่ประมูลไปก่อนหน้านั้น ทั้งสองคนพูดคุยกันตลอดเวลา ทำให้นักประมูลรู้สึกว่าตัวเองทำงานล้มเหลว อย่างน้อยก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทั้งหมด
ติงหงถลึงตาจ้องมองพอดี เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน แล้วจ้องมองไปที่นักประมูล เดิมทีนักประมูลที่ท่าทางเฉิดฉาย ตอนนี้กลับรู้สึกหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว จึงไม่กล้าเร่งรัดให้ติงหงนั่งลงอีก
จากนั้นติงหงจึงหันไปมองอวิ๋นหวาจวิน แล้วส่งกระแสจิตไปว่า “ไม่ว่าราคาเท่าไร ต้องซื้อมาให้ได้ แล้วข้าจะช่วยยืดอายุขัยของพวกเจ้าสองพี่น้องอีกยี่สิบปี!”
อวิ๋นหวาจวินที่นั่งอยู่แถวหลังจึงเบิกตาโต รีบหยักหน้าหงึกๆ เนื่องจากสองสามวันที่ผ่านมานักพรตเฒ่าท่านนี้ไม่ยอมหยิบยื่นของดีอะไรออกมาเลย ไม่คิดว่าวันนี้จะยอมพูด
ปีนี้อวิ๋นหวาจวินมีอายุเจ็บสิบห้าปีแล้ว บวกกับการดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ถ้าหากได้เพิ่มอายุขัยอีกยี่สิบปี เขาจะมีอายุเกินหนึ่งร้อยปีแน่นอน ซึ่งมากพอที่จะทำให้ใครตื่นเต้นดีใจไม่หยุด
“น้องรอง ต้องประมูลพลอยวิเศษนี้มาให้ได้ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม! ” เสียงของอวิ๋นหวาจวินสั่นเครือเล็ก น้อย เมื่อเทียบกับเงินทองแล้ว ชีวิตสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
“พี่ใหญ่ พี่วางใจได้ ผมเตรียมเงินมาเต็มที่ ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน!” สองสามวันที่ผ่านมาอวิ๋นหวาถงก็เห็นถึงความอัศจรรย์ของนักพรตท่านนี้แล้ว ดังนั้นจึงเชื่อคำพูดของพี่ชายอย่างไม่ลังเล
…
“พ่อหนุ่มเยี่ย ผลึกนี้มีความสำคัญต่อข้ามาก หวังว่าเจ้าจะไม่แย่งกับข้านะ!” หลังจากที่นั่งลง ติงหงจึงมองเยี่ยเทียนอย่างเรียบเฉย พร้อมกับคำพูดที่แสดงออกถึงการข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้สำนักฟ้าดินจะยิ่งใหญ่ แต่หลังจากที่ได้พลอยวิเศษนี้แล้วนำไปแลกกับพลอยวิเศษธาตุน้ำล่ะก็ ความเป็นไปได้ที่ติงหงจะบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคก็มีสูง ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องเกรงกลัวสำนักฟ้าดินอีกต่อไป
ดังนั้นถ้าหากเยี่ยเทียนยังไม่รู้จักกาลเทศะและอยากจะแย่งกับเขาอยู่ล่ะก็ ติงหงก็จะไม่ถือสาที่จะหาโอกาสให้เขาต้องตายแล้วร่างสลายกลายเป็นเซียน เพราะการฝึกบำเพ็ญตบะก็เป็นเรื่องที่ขัดต่อฟ้าดินอยู่แล้ว ดังนั้นติงหงยังจะสนใจชีวิตของคนอื่นอีกหรือ?
“ท่านติงครับ ผู้น้อยฝึกวรยุทธอยู่ในโลกมนุษย์ ทรัพยากรมีน้อยกระจิ๊ดริด เอ่อ…เอ่อ…”
เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าลังเลออกมา เขาไม่กล้ารับปากทันที ไม่อย่างนั้นตาเฒ่าที่ฉลาดเป็นกรดคนนี้คงจะไม่สงสัยอะไรอย่างแน่นอน
“หืม?”
สายตาของติงหงมีแววความโหดเหี้ยมออกมา แต่ไม่ช้าเขาก็เก็บกลับไป หงายฝ่ามือ แล้วบนฝ่ามือก็ปรากฏพลอยวิเศษสีแดงที่มีขนาดเท่านิ้วก้อยชิ้นหนึ่ง พลางพูดว่า “วรยุทธของเจ้ายังไม่พอ หากใช้พลอยวิเศษนั่นจะเป็นการทำลายข้าวของ ข้ามีพลอยวิเศษชิ้นนี้ ซึ่งมากพอในการใช้ฝึกวรยุทธของเจ้า!”
ระหว่างที่พูดติงหงก็ยัดพลอยวิเศษใส่ไปในมือของเยี่ยเทียน สุดท้ายแล้วเขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด และคงไม่มีผู้อาวุโสที่อยู่บนโลกมนุษย์ หากจะบังคับขู่เข็ญสู้ปลอบใจเขาจะยังดีกว่า ถึงอย่างไรก็ได้ยินมาว่าสำนักฟ้าดินมีคนที่สำเร็จระดับจินตันแล้ว
“อย่างนั้น…อย่างนั้นต้องขอบคุณท่านอาวุโสครับ!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีท่าทีไม่ยินยอม แต่สิ่งที่ขัดกับอารมณ์ก็ไม่รุนแรงมากเท่าไร หลังจากปล่อยพลังจิตไปสัมผัสพลอยวิเศษก้อนนั้น เขาจึงมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาทันที
“ไม่ได้เรื่อง แค่ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ก็ดึงดูดความสนใจได้แล้ว?”
ติงหงรู้สึกสงสัยการวินิจฉัยของตัวเอง ถ้าหากเยี่ยเทียนมีผู้อาวุโสใหญ่หนุนหลังจริง จะมองพลอยวิเศษธาตุไฟเกรดต่ำเป็นของล้ำค่าได้อย่างไร?
แต่เวลานี้การประมูลบนเวทีเริ่มขึ้นแล้ว ติงหงจึงรีบเปลี่ยนความสนใจ แม้ว่าเขาจะฝึกวรยุทธมาสองร้อยกว่าปี แต่เวลานี้จิตใจของเขาก็ยังมีความหวั่นไหวเล็กน้อย
“พลอยวิเศษเม็ดงามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซระเบิดออกมา มันถูกสร้างเป็นผลงานชั้นประ ณีตจากนักอัญมณี มีราคาแปดล้านหยวน และจะเพิ่มราคาทุกหนึ่งหมื่นหยวน ขอเชิญทุกท่านเสนอราคาได้เลยครับ!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกติงหงจ้องมองหรือเปล่า ท่าทางของนักประมูลในเวลานี้ดูไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด หลังจากแนะ นำสินค้าเล็กน้อย ก็เริ่มประกาศการประมูลเลย
“ของดีถูกทำลายไปแล้ว!”
พอสิ้นเสียงของนักประมูล ติงหงกับเยี่ยเทียนจึงสบตากันอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสองคนยิ้มเจื่อนๆ ออกมาพร้อมกัน ถ้าหากพลอยวิเศษนี้ไม่ได้ถูกเจียระไน เกรงว่าคงจะมีประโยชน์กับพวกเขามากกว่านี้
“เจ้าหนุ่มคนนี้รู้จักของดีเหมือนกัน”
หลังจากมอบพลอยวิเศษเกรดต่ำไปแล้ว ติงหงจึงไม่กังวลว่าเยี่ยเทียนจะทำอะไรมีพิรุธ มิเช่นนั้นแม้ว่าต้องพบกับคนของสำนักเยี่ยเทียน เขาก็กล้าที่จะพูดชี้แจงข้อเท็จจริง
“ผมเสนอเก้าล้านหยวน!”
ตอนที่นักประมูลแจ้งราคาการแข่งขันประมูลนั้น อวิ๋นหวาถงจึงชูป้ายที่อยู่ในมือ แล้วเพิ่มราคาให้สูงอีกหนึ่งล้าน เขากำลังแสดงให้เห็นว่าตัวเองตัดสินใจจะต้องได้มันมาครอบครองให้ได้
บางครั้งการประมูลก็เป็นเช่นนี้ เวลามหาเศรษฐีที่มีกำลังทรัพย์มากพอเกิดความสนใจต่อสิ่งของบางอย่าง ผู้คนมากมายก็จะหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ และในสถานการณ์บางอย่างจึงกลายเป็นกฎระเบียบที่แฝงอยู่ในนั้น
ทว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ในประเทศจีน โดยเฉพาะอวิ๋นหวาถง กิจการที่ลงทุนทั้งหมดในประเทศจีนนั้นโดยพื้นฐานแล้วกระทำการอย่างลับๆ ส่วนจำนวนครั้งในการร่วมกันประมูลถือว่าน้อยเกินไป และไม่รู้ว่าต่างประเทศมีคนที่จัดการ “คนมีเงิน” แบบนี้โดยเฉพาะหรือไม่
“คุณผู้ชายท่านนี้เสนอราคาเก้าล้านหยวน มีท่านอื่นอยากเสนอราคาเพิ่มอีกไหมครับ พลอยชิ้นนี้ผ่านการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว เป็นพลอยชนิดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏบนโลกนี้มาก่อน จึงควรค่าแก่การเก็บสะสมมากที่สุดครับ!”
หลังจากได้ยินการเสนอราคาของอวิ๋นหวาถงแล้ว ดวงตาของนักประมูลก็เป็นประกายขึ้นมา แล้วจึงพูดอย่างคล่องแคล่วมากขึ้น จากนั้นก็แนะนำข้อมูลที่ตัวเองยังไม่ได้อธิบายนำมาพูดอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน นิ้วก้อยมือขวาของนักประมูลก็แอบเคาะอยู่บนโต๊ะประมูลสองสามทีเบาๆ มีบางคนที่อยู่ด้านล่างเวทีสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ได้รับสัญญาณนั้น
นักสะสมที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในปักกิ่งชูป้ายขึ้นมา แล้วยิ้มพูดว่า “สิบล้านหยวน ประธานอวิ๋นผมไม่ได้จะประลองกับคุณนะครับ คุณก็รู้ ผมก็เป็นนักสะสมพลอยชนิดนี้!”
“สิบห้าล้านหยวน ของสิ่งนี้ ผมชอบ!” อวิ๋นหวาถงชูป้ายขึ้นที่อยู่ในมืออีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ เห็นถึงความเผด็จการขณะที่พูดได้ชัดเจน
ระหว่างที่การประมูลดำเนินไปนั้น นักประมูลจะชอบผู้ร่วมแข่งประมูลประเภทนี้ จึงแอบส่งสัญญาณออกไปอีกครั้ง
“ยี่สิบล้านหยวน ประธานอวิ๋น ของแบบนี้ควรจะอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่านะครับ!”
นักสะสมคนนี้ก็ไม่กลัวอวิ๋นหวาถงเลย อาณาจักรที่เขาทำธุรกิจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับอวิ๋นหวาถง จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขา
และที่สำคัญคือ ในฐานะของหน้าม้ามืออาชีพ เขาสามารถได้รับค่าคอมมิชชั่นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ จากการเพิ่มราคาซื้อขายครั้งนี้ เมื่อเรียกราคาถึงยี่สิบล้าน เขาก็จะมีเงินเข้าบัญชีหนึ่งล้าน
“ถือว่าเป็นคนโง่พูดมากจริงๆ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นหน้าม้า”
เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดเบ้ปาก หลังจากที่เคยผ่านการประมูลที่ฮ่องกงมาก่อน เขาจึงรู้แผนการของนักประ มูลพวกนี้เป็นอย่างดี
แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเยี่ยเทียนร่วมแข่งประมูล อย่าว่าแต่ยี่สิบล้านเลย ต่อให้เป็นสี่สิบล้านเขาก็ยอมเสนออย่างเต็มใจ ถึงอย่างไรเจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่เงินที่สามารถวัดมูลค่าได้
“สี่สิบล้าน!”
อวิ๋นหวาถงชูป้ายที่อยู่ในมืออีกครั้ง เมื่อครู่พี่ชายได้กระซิบข้างหูเขาถึงเงื่อนไขของติงหง เวลานี้ความคิดของเขากับเยี่ยเทียนจึงคล้ายกัน ต่อให้จ่ายเงินมากกว่านี้ ก็ต้องเอาพลอยวิเศษนี้มาให้ได้
“เถ้าแก่อวิ๋นบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ก้อนหินนี้มีมูลค่าถึงสี่สิบล้าน?”
“ใช่แล้ว อย่าเพิ่งพูดถึงพลอยที่ไม่มีที่มาเลย ต่อให้เป็นเพชรก็ไม่ได้แพงถึงขนาดนี้!”
“ต่อให้ต้องใช้เงินทองมากมายเขาก็ยอมซื้อ และประธานอวิ๋นเป็นใคร? นี่เขากำลังอารมณ์เสียอยู่”
หลังจากที่อวิ๋นหวาถงเสนอราคาออกไป ภายในงานก็เกิดความคึกคักขึ้นมาทันที ในสายตาของนักสะสมตัวยงนั้น พลอยก้อนนี้น่าจะเป็นทับทิม ราคาประมูลอยู่ที่แปดล้านก็ยังพอรับได้ แต่เสนอราคาถึงสี่สิบล้านแบบนี้มันบ้าเกินไปแล้ว
ครั้งนี้แม้แต่หน้าม้าคนนั้นก็ไม่กล้าเสนอราคาอีก เพราะราคานี้เกินจากที่เขาคาดคิดไว้ในใจแล้ว ถ้าหากตัวเองเสนอราคาให้สูงอีกแล้วอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย อย่างนั้นเขาจะหาที่ร้องไห้ก็คงหาไม่ได้
ไม่เพียงแต่นักสะสมคนนั้น แม้แต่นักประมูลที่อยู่บนเวทีก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นหวาถงจะเสนอราคาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า สุภาษิตว่าเจอของดีให้เก็บ ครั้งนี้เขาไม่ได้ส่งสัญญาณอีก และหลังจากที่ถามราคาสามครั้งแล้ว จึงใช้ค้อนประมูลทุบลงอย่างแรง
“ยินดีกับท่านนักพรตด้วยนะครับ!”
หลังจากอวิ๋นหวาถงได้หินพลอยมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงมีสีหน้าอิจฉาและพูดแสดงความยินดีต่อติงหง จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านนักพรตพักอยู่ที่ไหนครับ ผู้น้อยอยากจะไปนั่งคุยด้วยครับ!”
ตอนที่ 738 สายแร่ของพลอยวิเศษ
เมื่อสิบปีก่อนได้ติดตามหลี่ซั่นหยวนออกไปท่องยุทธภพ ถือว่ามีความสำคัญต่อการฝึกความฉลาดของเยี่ยเทียนจริงๆ เขารู้ว่าตัวเองควรจะแสดงท่าทางอย่างไรในสถานการณ์แบบไหน
และผู้ฝึกตนที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในทางโลกอย่างเขา จึงเข้าใจโลกของการฝึกวรยุทธทั้งหมดต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว ถ้าหากตอนนี้ปล่อยให้ติงหงจากไป ตรงกันข้ามจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยได้
“พ่อหนุ่มเยี่ย พรุ่งนี้ข้าจะออกจากเมืองหลวงแล้ว หากพวกเรามีวาสนาต่อกันคงจะได้พบกันอีก!”
เมื่อได้พลอยวิเศษเกรดสูงธาตุไฟมาแล้ว เวลานี้ติงหงจึงอารมณ์ดีพอสมควร ถ้าไม่ใช่เพราะเขายังมีธุระอย่างอื่นต้องทำ ตอนนี้เขาคงอยากจะหาคนรีบเอามันไปแลกกับพลอยวิเศษธาตุน้ำทันที ไหนเลยจะมีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระกับเยี่ยเทียน?
“ท่านผู้อาวุโส เอ่อ…ท่านช่วยชี้แนะผมหน่อยเถอะนะครับ”
ถึงแม้เยี่ยเทียนอยากจะให้ตาเฒ่าตายยากคนนี้ไสหัวไปไกลๆ แต่เขาก็ยังแสดงสีหน้าอ้อนวอนขอร้องออกมา เพราะแสดงละครแล้วก็ต้องแสดงให้ถึงที่สุด
“คือว่า…”
ติงหงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ถ้าหากวันหลังเจ้ามีเวลา ก็ไปที่ภูเขาคุนหลุนสักครั้ง ถ้าหากมีวาสนาต่อกัน ก็จะเข้าไปในนั้นได้ ตอนนี้ข้าไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมาก!”
เมื่อคิดว่าวันหลังหากเยี่ยเทียนถูกสำนักฟ้าดินรับเข้าไป ก็ยังพอได้เจอหน้ากันบ้าง นอกจากนี้เจ้าหนุ่มคนนี้ก็รู้งาน ติงหงจึงพูดแนะนำไปหนึ่งประโยค
“บ้าเอ้ย ข้ารู้จักภูเขาคุนหลุนมานานแล้ว!”
เยี่ยเทียนแอบสบถด่าอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจ แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ชี้แนะ วันหลังหากผมฝึกสำเร็จแล้ว จะไม่ลืมพระคุณของท่านผู้อาวุโสแน่นอนครับ!”
“อืม หวังว่าเจ้ากับข้าจะมีวาสนาได้เจอกันอีก”
ติงหงปล่อยเสียงขึ้นจมูกออกมา ตอนที่เขาปล่อยพลังจิตออกไปจึงพบว่าอวิ๋นหวาถงได้ทำการซื้อขายพลอยชิ้นนั้นที่ด้านหลังเวทีเรียบร้อยแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า “ข้ายังมีธุระต่อ งั้นก็ขอตัวก่อนนะ!”
สำหรับติงหงแล้ว พลอยวิเศษนี้คือความหวังที่จะทำให้เขาบรรลุระดับจินตันสำเร็จมหามรรคได้ และมีค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับของล้ำค่าใดๆ ที่อยู่บนโลกมนุษย์ เขาจึงจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
มองดูติงหงเดินออกไปจากงานแล้ว เยี่ยเทียนจึงนั่งบนเก้าอี้นานห้านาทีเต็ม
หลังจากที่เขาใช้พลังจิตสัมผัสได้ว่าอวิ๋นหวาถงสองพี่น้องได้ออกไปแล้ว เดิมทีเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ดีๆ ตอนนี้ทั้งตัวของเขาเหมือนไร้กระดูกก็ไม่ปาน เหมือนจะเลื่อนลงไปกองบนพื้นแล้ว
เมื่อครู่ที่นั่งกับนักพรตคนนั้นใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกว่ายาวนานมากที่สุด ขณะที่พูดคุยกันนั้น ประสาทของเขารู้สึกเกร็งมากถึงมากที่สุดตลอดเวลา
ตอนนี้ติงหงกลับไปแล้วเยี่ยเทียนจึงผ่อนคลายขึ้นมา หลังจากที่เขาบรรลุระดับเซียนเทียนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงหัวใจที่ไร้พลัง
ตอนที่จิตแห่งหยางขั้นต้นยังไม่เป็นรูปร่าง เยี่ยเทียนได้สังเกตการต่อสู้ครั้งใหญ่ของเก๋อข่ายกับมังกรดำ และยังไม่รู้สึกหวาดกลัวผู้ที่ฝึกบำเพ็ญตนเป็นพิเศษ เขารู้สึกว่าตัวเองมีพลังในการต่อสู้ที่สูงมาก
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับติงหงจริงๆ เยี่ยเทียนเพิ่งรู้ว่า อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ตัวเองสามารถต่อต้านได้ เพียงแค่การปล่อยพลังปราณชีวิตออกมา ก็สามารถกดทับเขาให้ตายได้
และอย่าพูดถึงตอนนี้เยี่ยเทียนไม่ได้พกของขลังติดตัว ต่อให้เขาพกกระดิ่งซานชิงมาด้วย เสียงกระดิ่งดูดวิญ ญาณนั้นเกรงว่าจะทำอะไรติงหงไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียน ก็ยังไม่สามารถดึงพลานุภาพที่แท้จริงของกระดิ่งซานชิงออกมาได้
หลังจากนั่งบนเก้าอี้พักผ่อนอีกสองสามนาที เยี่ยเทียนถึงได้รู้สึกว่าพลังฟื้นฟูกลับมาแล้ว จะว่าไปติงหงกับศิษย์น้องของเขาก็จิตใจคดเหมือนกัน เมื่อครู่หากตัวเองเกิดประมาทขึ้นมาเพียงนิดเดียว เกรงว่าจะถูกจับได้
เมื่อลุกขึ้นยืน เยี่ยเทียนจึงเดินตรงออกไปข้างนอก ขณะเดียวกันก็ส่งกระแสจิตส่วนหนึ่งไปที่สมองของพ่อ
“เยี่ยเทียน เกิดเรื่องอะไรขึ้น? นักพรตคนนั้นเป็นเพื่อนของแกเหรอ?”
หลังจากมาถึงลานจอดรถใต้ดิน เยี่ยตงผิงจึงพบว่าลูกชายดูแปลกไป หน้านิ่วคิ้วขมวด แถมยังหน้าซีดเล็กน้อย
“ค่อยไปคุยกันบนรถครับ!” เยี่ยเทียนแย่งกุญแจรถในมือพ่อ เปิดประตูรถเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ
“เฮ้อ ฉันบอกแกแล้วให้ขับช้าๆ หน่อย ขับเร็วทำไมเนี่ย?”
ตอนที่เยี่ยเทียนขับรถพุ่งออกมาจากลานจอดรถ ทำเอาเยี่ยตงผิงแทบหัวใจวาย ถึงแม้รถจะมีคุณภาพดีจริง แต่ก็ไม่ควรเพิ่มความเร็วถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรในเวลาสองสามวินาที และที่นี่ยังเป็นย่านธุรกิจในเมืองอีกด้วย
เยี่ยเทียนไม่ตอบ ถึงแม้เขาจะเหยียบความเร็วเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้กลับบ้าน กลับขับรถไปยังถนนหวนเฉิง
“พ่อครับ พ่อรีบโทรไปจองตั๋วเครื่องบิน จองเที่ยวบินที่เร็วที่สุด รวมทั้งพี่ป้าน้าอาด้วย ทุกคนจะไปอยู่ที่ฮ่องกงพักหนึ่ง ถ้าผมไม่บอกให้ทุกคนกลับมาก็อย่ากลับมานะครับ!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า นักพรตคนนั้นไม่ได้เชื่อที่ตัวเองพูดทั้งหมด ถ้าหากอีกฝ่ายเกิดสงสัยขึ้นมา ไม่แน่อีกไม่นานเขาจะมาหาถึงบ้าน เยี่ยเทียนไม่เชื่อว่าพี่น้องตระกูลอวิ๋นจะสืบประวัติของตัวเองไม่ได้
และในขณะเดียวกันพลอยวิเศษกับเชือกรัดมังกรที่เก็บซ่อนไว้ในบ้าน ก็ไม่อาจหลุดพ้นการตรวจสอบพลังจิตของติงหงได้ และนั่นจะนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตระกูลเยี่ย
“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ป้าใหญ่ของแกคราวที่แล้วพวกเขาไปฮ่องกง แต่อยู่ไม่ชินนะสิ” เยี่ยตงผิงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ถึงทำให้ลูกชายตึงเครียดมากขนาดนี้?
“พ่อครับ อย่าเพิ่งถามมาก รีบโทรศัพท์ไปจองตั๋วก่อน แล้วบอกแม่กับทุกคนให้ไปสนามบินเลย!”
เยี่ยเทียนจับพวงมาลัยหมุน แล้วขับตรงไปยังสนามบิน ถึงแม้เขาจะคาดเดาอยู่ในใจ แต่เยี่ยเทียนไม่กล้าพนัน เพราะถ้าแพ้พนันล่ะก็ นั่นคือชีวิตของทุกคนในครอบครัวซึ่งน่าเป็นห่วงมาก
ตอนนี้ในตระกูลเยี่ย ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่กล้าพูดว่าคำพูดตัวเองมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก แต่เมื่อเขาจริงจังขึ้นมาเมื่อไร เยี่ยตงผิงและคนอื่นๆ ต่างก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย จึงไม่ถามให้มากความ กดโทรศัพท์ออกไป
เมื่อรอให้เยี่ยเทียนมาถึงสนามบิน ผู้หญิงของครอบครัวตระกูลเยี่ยทุกคนรวมทั้งอวี๋ชิงหย่า ต่างก็ยืนรอด้วยสีหน้าที่งุนงงอยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะอวี๋ชิงหย่า ที่ถูกเยี่ยเทียนเรียกออกมาจากที่ทำงานโดยตรง
“ที่เมืองหลวงเกิดเรื่องนิดหน่อย ทุกคนไปอยู่ที่ฮ่องกงสักพักหนึ่ง ไม่ต้องเป็นห่วงผม เพราะผมก็จะไปด้วยเหมือน กัน!” เยี่ยเทียนไม่ให้โอกาสสาวๆ พวกนี้ได้ถามไถ่ หลังจากพูดกำชับเรียบร้อยแล้ว จึงขับรถออกไป
“บ้าเอ้ย ตกใจหมดเลย!”
หลังจากกลับมาที่เรือนสี่ประสานแล้ว เยี่ยเทียนก็ปล่อยพลังจิตออกมาห่อหุ้มบ้านทั้งหลังเอาไว้ ตอนที่เขาพบว่ากระดิ่งซานชิงกับเชือกรัดมังกรรวมทั้งพลอยวิเศษนั่นไม่ได้ถูกใครแตะต้อง เขาจึงถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก
จากนั้นก็ไม่คิดอะไรมาก เยี่ยเทียนกลับเข้าไปในเรือนด้านหลัง หยิบของขลังทุกอย่างของเขาออกมา ใช้กระดิ่งซานชิงเป็นตาค่ายกล สร้างค่ายกลตบตาสวรรค์ ปกคลุมอากาศที่อยู่ในห้องหนังสือขึ้นมา
เมื่อสร้างค่ายกลเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงใช้พลังจิตตรวจสอบอีกรอบ พบว่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถตรวจสอบวัตถุเหล่านั้นได้ หัวใจที่เต้นตื่นเต้นจนจุกมาถึงลำคอก็สบายใจลงเสียที
คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเยี่ยเทียนจึงล็อคประตูอย่างดี แล้วรีบขับรถไปหาซ่งเฮ่าเทียน เพราะการปรากฏตัวของติงหงนั้น จำเป็นต้องแจ้งให้คุณตารู้เสียหน่อย
…
“ครั้งนี้พวกเจ้าทำดีมาก ยาอายุวัฒนะสามเม็ดนี้พวกเจ้าเก็บไว้ ดื่มน้ำตามก็ได้แล้ว อ้อใช่ อายุแม่ของพวกเจ้ามากเกินไปแล้ว ให้กินแค่ครึ่งเม็ดก็พอ!”
ภายในเรือนสี่ประสานของตระกูลอวิ๋น ติงหงกำลังเล่นกับพลอยวิเศษชั้นดี เมื่อสัมผัสกับปราณวิเศษที่เต็มเปี่ยมอยู่ในนั้น จึงอารมณ์ดีมาก จากนั้นจึงโยนขวดกระเบื้องเคลือบหนึ่งขวดออกมา
เมื่อได้พลอยวิเศษมาอย่างราบรื่น ติงหงจึงใจกว้างไม่น้อย ให้ยาอายุวัฒนะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเม็ดจากที่เขาเคยพูดไว้
แน่นอนว่า ติงหงก็ไม่ได้ใจกว้างอย่างไม่มีสาเหตุ เขาพบว่าโลกมนุษย์ที่ถูกโลกของผู้ฝึกตนมองข้ามมาก่อน ก็ยังสามารถหาของชั้นดีได้อยู่บ้าง
เพียงแค่พลอยวิเศษเนื้อดีที่อยู่ในมือของเขา เมื่ออยู่ในพื้นที่ของเขาก็ถือว่าเป็นสิ่งของที่พบเจอได้น้อยมาก และผลเก็บเกี่ยวจากการเดินทางครั้งนี้ของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สองสามวันก่อนอวิ๋นหวาจวินได้มอบโลหะขนาดเท่าเล็บมือให้กับเขา ซึ่งถือว่าเป็นวัตถุดิบของการประดิษฐ์อาวุธที่ขาดแคลนเป็นอย่างมาก
โลหะลักษณะนี้เมื่ออยู่ในโลกของการฝึกตนเรียกว่าทองสีน้ำเงิน ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทองคำ เมื่อผสมทองสีน้ำเงินลงไปบางส่วนในมีดบินและอาวุธโจมตีอื่นๆ จะทำให้เกิดความแหลมคมเป็นพิเศษ และคุณภาพของของขลังก็เพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากนี้แม้ว่าทองสีน้ำเงินจะมีน้อยมากในโลกของการฝึกตน เพราะว่ามันจำเป็นต้องเติบโตไปตามสายแร่ของธาตุทองคำ ซึ่งหมายความว่า สถานที่ที่พบทองสีน้ำเงินนี้ เป็นไปได้ที่จะมีสายแร่ของพลอยวิเศษอยู่
และข่าวนี้ สำหรับติงหงแล้ว ยังสำคัญมากกว่าการได้พลอยวิเศษเกรดสูงชิ้นนี้เสียอีก เพราะว่าในเขตทวยเทพของเขาไม่สามารถมีสายแร่ของพลอยวิเศษได้
ถ้าหากไม่ได้หอบความหวังในการเสี่ยงโชคมาดูคุณภาพของพลอยชิ้นนี้ว่าเป็นอย่างไรล่ะก็ ติงหงคงรีบไปรัสเซียนานแล้ว และนี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่เขาไม่ได้สืบประวัติของเยี่ยเทียนต่อ
แน่นอน ตอนนี้สิ่งที่ติงหงเรียกว่าเรื่องมงคลมาหาถึงบ้านนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลอยวิเศษน้ำดีหรือสายแร่ของทองสีน้ำเงินก็ตาม ก็มากพอที่ทำให้หอประดิษฐ์วิเศษของเขายึดพื้นที่ส่วนหนึ่งในโลกของการฝึกตนได้
ดังนั้นการให้ยาเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดนั้น ติงหงอยากให้พี่น้องตระกูลอวิ๋นช่วยเขาตามหาของพวกนี้ต่อไป ถึงอย่างไรผลเก็บเกี่ยวที่ออกมาในครั้งนี้ ก็ไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
“ขอบคุณท่านนักพรตครับ ท่านวางใจได้ ที่รัสเซียผมได้จัดการเรียบร้อยแล้ว น้องรองจะไปกับท่าน ถึงตอนนั้นจะต้องซื้อเหมืองแร่ทองคำนั่นมาได้แน่นอน!”
ขณะที่ถือขวดกระเบื้องเคลือบอยู่ในมือ มือของอวิ๋นหวาจวินได้สั่นเทิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขาอายุมากถึงเจ็บสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของติงหง แต่แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า ขอเพียงสามารถทำให้เขาอายุยืนยาว ต่อให้ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว อวิ๋นหวาจวินก็ยินยอม
หลังจากได้ยินคำพูดของอวิ๋นหวาจวินแล้ว ติงหงจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าบอกตำแหน่งมา ข้าไม่มีบัตรประจำ ตัวประชาชน จึงไม่อาจนั่งเครื่องบินอะไรได้!”
ติงหงเกิดในรัชสมัยเฉียนหลง ถือว่าเป็นคนโบราณที่มีอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว เช่นนั้นเขาจะไปเอาบัตรประจำตัวประชาชนมาจากไหน? แม้ว่าอวิ๋นหวาถงจะทำให้ได้ แต่เขาก็รอไม่ไหวแล้ว
“ครับ แผนที่อันนี้ระบุตำแหน่งไว้ชัดเจนหมดแล้ว หลังจากท่านติงถึงแล้ว ก็ใช้โทรศัพท์นี้โทรหาอวิ๋นหวาถงได้เลยครับ!”
อวิ๋นหวาจวินก็นึกถึงจุดนี้ จากนั้นจึงหยิบแผนที่กับโทรศัพท์ออกมามอบให้ติงหง แล้วจึงหันไปมองอวิ๋นหวาถงพลางพูดว่า “ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ต้องซื้อเหมืองแร่ทองคำนั่นมาให้ท่านติงให้ได้!”
เมื่อเผชิญหน้ากับเสน่ห์ดึงดูดของการมีอายุยืนยาว ต่อให้เป็นบุคคลสูงส่งอย่างอวิ๋นหวาถง ก็ยากที่จะต่อต้านได้ แน่นอน คนที่อยู่ตำแหน่งสูงก็ยิ่งรักชีวิตมาก นี่คือเรื่องที่มีมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“พาข้าไปถึงที่นั่นก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องยุ่งยากแล้ว!”
ติงหงไม่ค่อยสนใจกับคำพูดแสดงน้ำใจของอวิ๋นหวาจวินเท่าไร เขาไม่ได้สนใจทองคำในโลกมนุษย์เลยสักนิด ถ้าหากมันคือสายแร่ของพลอยวิเศษจริงๆ เขาแค่ต้องการทองสีน้ำเงินกับพลอยวิเศษที่อยู่ในนั้นก็พอ
ตอนที่ 739 คุณสมบัติ
หลังจากออกมาจากบ้านของซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เยี่ยเทียนได้ถูกคุณตาตำหนิต่อว่าไปยกหนึ่ง ตำหนิเขาที่ส่งคนทั้งครอบครัวไปฮ่องกง แบบนี้ก็เหมือนกับบอกว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง(หมายถึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาหรือไม่มีเขาอยู่ด้วย) ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เยี่ยเทียนก็เข้าใจหลักการนี้ดี แต่เขาไม่กล้าพนันจริงๆ เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั้งตระกูลของเขา
เห็นได้ชัดว่าติงหงคนนี้ เป็นผู้ฝึกตนที่อยู่เหนือการควบคุมของกฎหมาย ถ้าหากถูกเขาจับได้ว่าการตายของศิษย์น้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองล่ะก็ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าเขาจะสร้างความเดือดร้อนมาถึงที่บ้านหรือเปล่า
แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงก็คือ วันที่สองที่ซ่งเวยหลันบินไปถึงฮ่องกงนั้น โก่วซินเจียและศิษย์พี่คนอื่นต่างก็ออกมาจากฮ่องกง พวกเขารู้ว่า เรื่องที่สามารถทำให้เยี่ยเทียนตึงเครียดได้ขนาดนี้ จะต้องเป็นเรื่องที่แผนร้ายถูกเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน
ด้วยมิตรภาพของศิษย์พี่สองสามคนนั้น เยี่ยเทียนจึงซาบซึ้งใจมาก แต่พวกเขาอยู่ด้วยก็ไม่มีประโยชน์ สุด ท้ายเยี่ยเทียนก็ต้องใช้อำนาจของเจ้าสำนัก สั่งให้โก่วซินเจียและคนอื่นๆ รีบกลับฮ่องกงไปวันนั้นเลย
เยี่ยเทียนใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนผ่านมาสองวัน จึงพบว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้มาหาที่บ้านหรือแอบมาสืบเรื่องของตัวเอง แล้วตอนบ่ายของวันที่สอง เยี่ยเทียนก็ได้รับสายของซ่งเฮ่าเทียน
ตอนโทรศัพท์ซ่งเฮ่าเทียนได้บอกเยี่ยเทียนว่า ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร น้องสองของตระกูลอวิ๋นได้บินไปรัสเซียเมื่อวานแล้ว และจากเบาะแสที่เขามีอยู่ในมือ น่าจะไปแถบไซบีเรีย
พอรับสายแล้ว เยี่ยเทียนจึงเข้าใจทันที สงสัยนักพรตคนนั้นน่าจะไปกับอวิ๋นหวาถง อย่างน้อยวิกฤตของเขาตอนนี้ถือว่าถูกกำจัดออกไปแล้ว
เมื่อนึกถึงเหมืองแร่ทองคำที่รัสเซีย เยี่ยเทียนจึงรีบติดต่อเฉินสี่ฉวนทันที ให้เขาหยุดดำเนินการขุดเหมืองทองคำ พาทุกคนไปเที่ยวที่มอสโคว และจะกลับมาขุดเหมืองต่ออีกเมื่อไรนั้น ก็ให้รอการแจ้งของตัวเอง
หลังจากเสร็จเรื่องยุ่งพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงโทรไปที่ฮ่องกง บอกให้แม่กับทุกคนกลับบ้านได้ นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็ได้ห่อพลอยวิเศษกับของขลังพวกนั้น แล้วนั่งเครื่องบินส่วนตัวที่ถังเหวินหย่วนมารับเขา
หากทิ้งของพวกนี้ไว้ที่บ้าน ก็เหมือนกับระเบิดเวลาก็ไม่ปาน เยี่ยเทียนไม่มั่นใจว่าค่ายกลที่ตัวเองสร้างขึ้นจะสามารถปิดบังการตรวจสอบจากพลังจิตของติงหงได้
จนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์ที่ฮ่องกง เยี่ยเทียนถึงได้โล่งอก เห็นได้ชัดว่าเขาดูไร้เรี่ยวแรงไม่มีชีวิตชีวามาก จากนั้นเขาจึงนอนหลับตลอดช่วงบ่าย หลังจากยามค่ำคืนมาถึง เขาถึงได้เล่าที่มาของเรื่องให้กับศิษย์พี่ทั้งหลายฟัง
“เยี่ยเทียน ที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริงเรอะ?”
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ให้โก่วซินเจียและคนอื่นอย่างชัดเจน จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา ทำให้ศิษย์พี่สองสามคนนิ่งเหม่อไม่ได้สติอยู่นาน
เรื่องที่เจอวานรขาวที่เสินหนงเจี้ยเมื่อคราวก่อน ก็ทำให้โก่วซินจียและคนอื่นรู้สึกตกตะลึงไม่หยุด และจากที่เยี่ยเทียนพูดมานั้น เมื่อไม่นานนี้ได้มีผู้ที่ฝึกตนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ตัวเองอดสงสัยขึ้นมาในใจไม่ได้
โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นมีอายุราวแปดเก้าสิบปีแล้ว แต่สิ่งที่เรียกว่ามีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางนั้น เหตุการณ์ที่ทั้งชีวิตของพวกเขาไม่เคยได้พบเจอเลย ไฉนถึงให้เยี่ยเทียนได้พบเจอ?
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมจะโกหกพี่ทำไมล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนรู้ว่าแค่อาศัยปากตัวเอง ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อได้ จึงเคลื่อนพลังจิตจากนั้นควันกลุ่มหนึ่งก็ลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า ห่อหุ้มโก่วซินเจียที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุดขึ้นมา
“ขึ้น!”
ตามการก้าวเท้าของเยี่ยเทียน ฝ่าเท้าของโก่วซินเจียดูเหมือนจะเหยียบวัตถุที่เสมือนของจริงก็ไม่ปาน จากนั้นตัวเขาก็ลอยขึ้นจากพื้น แรงโน้มถ่วงของโลกดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับเขาเลย
หลังจากลอยขึ้นไปสูงสิบเมตรเห็นจะได้ ร่างของเยี่ยเทียนก็นิ่งลง ถึงแม้เวลานี้เขาจะเป็นระดับเซียนเทียนขั้นต้นก็ตาม เขาก็สามารถใช้ปราณแท้ให้ลอยขึ้นจากพื้นดินได้ แต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้ในเวลาที่ยาวนานติดต่อกัน
บวกกับการลอยสูงขึ้นไป ทำให้การเคลื่อนไหวของพลังปราณชีวิตกลางอากาศนั้นยิ่งวุ่นวายและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากเยี่ยเทียนคนเดียวอาจจะสามารถลอยได้สูงกว่าสิบเมตร แต่เขาพาโก่วซินเจียมาด้วย ตอนนี้จึงถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
ถึงแม้โก่วซินเจียจะอายุเก้าสิบกว่าปีแล้ว ผ่านประสบการณ์และมรสุมในชีวิตมานับไม่ถ้วน ทว่าสีหน้าของเขาในเวลานี้ ก็ไม่ต่างกับเห็นผี จากนั้นเขาจึงมองพื้นดินที่มีแสงสว่างไปทั่วด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
“เยี่ยเทียน เธอ…เธอเป็นเซียนแล้ว?”
ตอนที่เยี่ยเทียนพาศิษย์พี่ใหญ่กลับลงมาที่บ้านนั้น หนานไหวจิ่นชิงเดินเข้ามาก่อน แล้วจับเยี่ยเทียนแน่น เพราะสถานการณ์เมื่อครู่เหมือนกับตอนที่เขาเจอนักพรตที่ภูเขาชิงเฉิงไม่ผิดเพี้ยน เหมือนเปี๊ยบเลยจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่นแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะอย่างฝืน ๆ “ศิษย์พี่หนานครับ เซียนก็มาจากคนนะครับ อย่างผมยังไม่เรียกว่าเซียน ในสายตาของติงหงแล้วถือว่าเป็นตัวเล็กตัวน้อยไม่มีค่าอะไรหรอกครับ”
หลังจากเยี่ยเทียนออกมาจากการเข้าฌานที่ภูเขาฉางไป๋ซานแล้ว เขาก็อยู่ในเมืองตลอด เดิมทีเขายังคิดไม่ตกว่าควรจะบอกเรื่องที่ตัวเองบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นต้นให้ศิษย์พี่สองสามคนทราบดีไหม แต่เมื่อผ่านเรื่องราวพวกนี้มาแล้ว เขาจึงต้องบอกให้พวกเขารู้
“พี่หยวนหยาง สงสัยทั้งชีวิตนี้ของพวกเรา คงจะเสียแรงเปล่าแล้ว!”
หนานไหวจิ่นกับโก่วซินเจียสบตากัน สายตาของทั้งสองคนมีแววตาที่ขมขื่น พวกเขาทนลำบากฝึกวรยุทธมาเกือบทั้งชีวิตก็ยังฝึกไม่ถึงระดับเซียนเทียน ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนที่เพิ่งจะถึงวัยหนุ่มกลับทำได้แล้ว
“ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกพี่อย่าเพิ่งดูถูกตัวเอง ผมฟังความหมายของติงหงแล้ว ในยุคปัจจุบันนี้ดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างระหว่างโลกกับสวรรค์ ทำให้สภาพแวดล้อมในตอนนี้ไม่เหมาะแก่การฝึกฝน จึงไม่ใช่สาเหตุจากตัวของพวกพี่หรอกครับ!”
เยี่ยเทียนคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงปล่อยพลังจิตออกไป เขาห่อหุ้มบริเวณรอบๆ บ้านที่อยู่ในระยะหนึ่งพันลี้เอาไว้
พลังจิตของทุกคนนั้น ต่างมีพลังปราณที่พิเศษเฉพาะตัวเป็นของตัวเอง เยี่ยเทียนเชื่อว่า ต่อให้ผู้ฝึกตนใช้พลังปราณชีวิตตรวจสอบ เกรงว่าคงไม่มีทางหลบการรับรู้ของตัวเองได้เช่นกัน
หลังจากปล่อยพลังจิตออกไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงเหยียดฝ่ามือสองข้างของตัวเองออกมา พร้อมกับวัตถุที่อยู่บนฝ่ามือแต่ละข้าง
บนฝ่ามือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียน มีพลอยสีดำกับพลอยสีแดงสีสันสวยงามวางแยกคนละข้าง ซึ่งเป็นพลอยวิ เศษสองชนิดที่ได้มาจากบึงน้ำมังกรดำกับบ่อน้ำร้อนก้นภูเขาไฟ
“เยี่ยเทียน ของสิ่งนี้ก็คือพลอยชนิดนั้นที่เธอตามหาครั้งที่แล้วรึ?” โก่วซินเจียไม่ค่อยเข้าใจ เยี่ยเทียนหยิบของพวกนี้ออกมาทำอะไร?
“ใช่ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าดูถูกของสิ่งนี้นะครับ พวกมันมีปราณวิเศษแฝงอยู่ แถมยังมีมากกว่าค่ายกลรวมพลังเสียอีก!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ผมสงสัยว่าที่พวกเราไม่สามารถเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ อย่างแรกเป็นเพราะปราณวิเศษในโลกมนุษย์ไม่เพียงพอ อย่างที่สองเป็นเพราะปราณชีวิตแท้ที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเรายังไม่บริสุทธิ์พอ จึงไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นปราณแท้ได้ บางทีพลอยชิ้นนี้จะสามารถช่วยพวกเราได้ครับ!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะบรรลุระดับเซียนเทียนอย่างงงๆ ในขณะที่ตัวเองยังสลบอยู่ แต่หลังจากที่ได้ครอบครองปราณแท้อีกครั้ง เขาก็สามารถรู้สึกได้ว่าปราณแท้ในตอนนี้ไม่เหมือนกับพลังปราณชีวิตเมื่อคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง ทั้งคุณสมบัติและปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในพลอยวิเศษนั้นมีมากถึงแปดเก้าส่วน
แต่เพราะกายเนื้อมีข้อจำกัดในการรองรับปราณวิเศษแห่งฟ้าดิน หากอาศัยเพียงการฝึกฝน จึงไม่มีความเป็นไปได้ที่พลังปราณชีวิตจะแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงมีบทวิเคราะห์เช่นนี้
“อ้อ? ที่แท้พลอยนี้ก็มีความอัศจรรย์แบบนี้เองหรือ?”
หนานไหวจิ่นได้ยินจึงตกตะลึง ไม่รอให้เยี่ยเทียนพูดเตือนอะไรก่อน ยื่นมือไปจับพลอยวิเศษธาตุน้ำที่อยู่กลางฝ่าฝ่ามือของเยี่ยเทียน ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้
“หนาวจริงๆ! นี่…นี่มันหนาวจนถึงกระดูกเลยนะ!”
วรยุทธของหนานไหวจิ่นแข็งแกร่งมากกว่าหูหงเต๋อตอนแรกนิดหน่อย แม้ว่าตอนนั้นเยี่ยเทียนยังไม่มีปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายที่หนาแน่นเช่นนี้ และถึงแม้จะเป็นความเย็นเยียบที่ผิดปกติของกลุ่มปราณวิเศษนั่น แต่เขาก็ยังพอทนได้
“เอ๊ะ นี่คือปราณวิเศษฟ้าดินนี่นา สามารถหลอมรวมเข้ากับปราณชีวิตแท้ของฉันได้?”
ขณะที่กำลังโคจรลมปราณเพื่อต้านกลุ่มพลังปราณชีวิตที่หนาวเย็นนั่น หนานไหวจิ่นพลันรู้สึกว่า ปราณชีวิตแท้ของตัวเองหลังจากสัมผัสกับปราณอันหนาวเย็น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งมากจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขารู้จริงเกี่ยวกับปราณชีวิตแท้ของตัวเอง เขาคงไม่มีทางสังเกตได้
“ศิษย์น้องเยี่ย พี่หยวนหยาง ผมต้องการฝึกวรยุทธสักครู่!”
ตอนนั้นหนานไหวจิ่นถูกนักพรตที่อยู่บนภูเขาชิงเฉิงต้องตา เป็นเพราะเขามีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม ตอนนี้เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงไม่สนใจอะไรมาก รีบนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น
“หรือศิษย์พี่หนานจะเหมาะกับการฝึกวรยุทธของพลอยวิเศษธาตุน้ำ?”
เยี่ยเทียนปล่อยพลังจิตออกมากลุ่มหนึ่ง จึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ขณะที่หนานไหวจิ่นกำลังต้านทานพลังปราณที่เย็นเยียบนั้น ก็มีปราณวิเศษจำนวนหนึ่ง กำลังเปลี่ยนคุณสมบัติของปราณชีวิตแท้ที่อยู่ภายในร่างกายของเขา
“แปลกจริง จิตแห่งหยางยังไม่ก่อรูป แล้วจะเปลี่ยนปราณชีวิตแท้ให้เป็นเซียนได้ยังไง?” เยี่ยเทียนไม่ค่อยเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในตัวของหนานไหวจิ่น
แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า การฝึกฝนพลังจิตนั้น มีความยากกว่าการเปลี่ยนแปลงปราณชีวิตแท้เป็นอย่างมาก ไม่ใช่ช่วงเวลาแค่ข้ามคืนก็สามารถทำสำเร็จได้
ดังนั้นตอนที่บรรลุระดับเซียนเทียน คนส่วนใหญ่ในเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องเปลี่ยนพลังปราณชีวิตให้กลายเป็นปราณแท้เสียก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกพลังจิตออกมา มีเพียงเขาที่เป็นคนประหลาดคนนี้ถึงทำตรงข้ามกับคนอื่นได้
เยี่ยเทียนยื่นพลอยวิเศษธาตุไฟที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งให้โก่วซินเจีย แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พลอยชิ้นนี้มีปราณวิเศษธาตุไฟแฝงอยู่ พี่ลองดูว่าสามารถใช้ฝึกได้ไหม?”
โก่วซินเจียพยักหน้า เมื่อเห็นบทเรียนของหนานไหวจิ่นเมื่อครู่ ตอนที่เขารับพลอยวิเศษธาตุไฟมานั้น แล้วปล่อยปราณชีวิตแท้ไปที่มือขวา
“ทำไมถึงร้อนขนาดนี้?”
ตอนที่โก่วซินเจียจับพลอยวิเศษนั่น จึงอดที่จะร้องเสียงหลงออกมาไม่ได้ เพราะว่าเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับถ่านไม้ที่คุโชนท่อนหนึ่ง ทำให้รู้สึกร้อนระอุจนยากที่จะทนได้จริงๆ
เยี่ยเทียนได้ยินจึงขมวดคิ้ว พลางยื่นมือไปสะกิดข้อศอกของโก่วซินเจีย จากนั้นพลอยวิเศษก็กระเด็นลอยออกจากมือ แล้วถูกเยี่ยเทียนจับเอาไว้
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ สงสัยพี่จะไม่เหมาะกับการใช้พลอยวิเศษพวกนี้ในการฝึกฝน”
สรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ สามารถใช้คุณสมบัติของห้าธาตุมาอธิบายได้
ตอนแรกหูหงเต๋อก็เกือบถูกแช่เข็งตายเพราะพลอยวิเศษธาตุน้ำเหมือนกัน แต่ตอนที่เขาสัมผัสกับพลอยวิเศษธาตุไฟนั้น กลับรู้สึกมีพลังปราณชีวิตที่อบอุ่นบางอย่างเข้าไปในร่างกาย โดยไม่มีการตอบสนองที่รุนแรงมากเหมือนโก่วซินเจีย
“เยียเทียน ให้ศิษย์พี่ลองหน่อยสิ?” จั่วเจียจวิ้นที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยพูด เพราะเขาอยากจะลองนานแล้ว
“ได้ครับ ศิษย์พี่รอง แต่อย่าฝืนนะครับ ถ้าหากรู้สึกทนไม่ไหว ก็รีบวางทันที!” เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจึงหยิบพลอยวิเศษชิ้นนั้นมาวางอยู่กลางฝ่ามือของจั่วเจียจวิ้น
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียต้องตกตะลึงตาค้างก็คือ หลังจกาที่จั่วเจียจวิ้รสัมผัสพลอยวิเศษนั่นแล้ว รู้สึกตกตะลึงบนใบหน้าก่อนเป็นอย่างแรก แล้วก็เหมือนกับหนานไหวจิ่น รีบนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อฝึกวรยุทธ
เมื่อเห็นใบหน้าของโก่วซินเจียมีสีหน้าหมดหวังออกมา เยี่ยเทียนจึงรีบพูดทันที “ศิษย์พี่ใหญ่ คุณสมบัติไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งร้อนใจ ผมยังมีพลอยวิเศษธาตุน้ำอีกหนึ่งชิ้นครับ!”
ตอนที่ 740 ภารกิจล้มเหลว
การเดินทางไปภูเขาฉางไป๋ซานครั้งนี้ มังกรดำได้มอบพลอยวิเศษธาตุน้ำให้เยี่ยเทียนสามชิ้น ชิ้นใหญ่สุดมีคุณภาพที่ดีที่สุด มีคุณสมบัติของพลอยวิเศษเกรดกลาง แต่กลับถูกเยี่ยเทียนใช้อย่างสิ้นเปลืองจนหมดสิ้น
จึงเหลือเพียงพลอยวิเศษเกรดต่ำสองชิ้นนี้ เยี่ยเทียนจึงรีบกลับไปที่ห้อง แล้วหยิบส่วนที่เหลือออกมา จากนั้นก็มอบให้กับโก่วซินเจีย
“ไม่ได้ เย็นเข้ากระดูก!”
เมื่อพลอยวิเศษถึงมือ โก่วซินเจียก็รู้สึกหนาวสะท้าน ตามหลักแล้ววรยุทธของเขานั้นแข็งแกร่งมากกว่าหนานไหวจิ่น แต่กลับไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นที่อยู่ในพลอยวิเศษนี้ได้
เยี่ยเทียนส่ายหน้า รับพลอยวิเศษที่อยู่ในมือของโก่วซินเจียมา แล้วพูดอย่างจนใจ “แปลกจัง ตอนที่ผมดูดซับพลอยวิเศษที่มีธาตุทั้งสองลักษณะนี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนะครับ?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดออกไป จู่ๆ เขาจึงนึกถึงเรื่องตอนนั้นที่ความร้อนกับความเย็นของตัวเองปะทะกัน แล้วเขาจึงอดสั่นไปทั้งตัวไปอย่างช่วยไม่ได้ ที่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นสลบไปแต่ตัวเองกลับไม่รู้เท่านั้นเอง
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนขมวดคิ้วแน่น ถึงแม้โก่วซินเจียจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังพูดปลอบใจออกมา “ศิษย์น้องเล็ก ชีวิตและความตายถูกกำหนดโดยโชคชะตา เธอไม่ต้องเครียดมาก และคงได้แต่พูดว่าพี่คงไม่วาสนากับการเป็นเซียนเท่านั้นเอง!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ไม่รู้อะไร พลอยสองอย่างที่มีสีไม่เหมือนกัน คุณสมบัติของปราณวิเศษที่อยู่ในนั้นก็ยิ่งไม่เหมือน กัน ผมรู้สึกว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับธาตุทั้งห้า
ในเมื่อมีพลอยวิเศษธาตุไฟและธาตุน้ำ อย่างนั้นก็ต้องมีธาตุทอง ธาตุไม้ และธาตุดินแน่นอน ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เหมาะกับธาตุสองชนิดนี้เท่านั้นเอง จึงไม่ได้หมายความว่าจะฝึกไม่ได้นะครับ!”
เยี่ยเทียนยังไม่เคยเห็นพลอยวิเศษสองชนิดที่มีคุณสมบัติของธาตุทองกับธาตุดิน แต่พลอยวิเศษธาตุไม้นั้นเขากลับได้รับประโยชน์มาไม่น้อย ถ้าหากไม่ใช่หินหยกสีเขียวอมเทานั่น เกรงว่าเขาน่าจะตายไปนานแล้วจากการโจมตีของธาตุน้ำและธาตุไฟ
“อ้อ? มีวิธีแบบนี้ด้วยหรือ?”
ดวงตาของโก่วซินเจียเป็นประกาย หลังจากที่เขาละความวุ่นวายทางโลก ตั้งใจฝึกบำเพ็ญเพียร เพราะเขาอยากฝึกถึงระดับสูงที่ตอนนั้นอาจารย์ของเขาฝึกไม่สำเร็จ
แต่เบื้องหน้าเห็นเพื่อนรักกับศิษย์น้องกำลังดูดซับปราณวิเศษจากพลอยวิเศษนั่น หากจะพูดว่าไม่รู้สึกผิดหวังก็คงจะโกหก แต่คำพูดของเยี่ยเทียน กลับทำให้เขามองเห็นความหวังรำไรอยู่บ้าง
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่วางใจได้ วันหลังผมจะต้องตามหาพลอยวิเศษที่มีคุณสมบัติสองอย่างนี้ได้แน่นอน!”
ถึงแม้ปากจะพูดอย่างมาดมั่น แต่ในใจของเยี่ยเทียนกลับไม่มั่นใจเท่าไร
พลอยวิเศษธาตุไม้ได้มาจากตัวของศิษย์น้องติงหง ทว่าพลอยวิเศษธาตุทองกับธาตุดิน เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ และไม่รู้ว่าพื้นที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่นี้ จะมีพลอยวิเศษสองชนิดนี้อยู่หรือปล่า?
“มหัศจรรย์ มหัศจรรย์จนพูดไม่ถูก!”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังปลอบใจโก่วซินเจียอยู่ หนานไหวจิ่นที่นั่งขัดสมาธิก็พลันส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขออกมา จากนั้นจึงลุกขึ้น
“ศิษย์น้องไหวจิ่น รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” โก่วซินเจียรีบถาม
“พี่หยวนหยาง ปราณวิเศษของหินพลอยนี้ ช่วยให้พลังปราณเดิมของผมแปรเปลี่ยนกลายเป็นปราณแท้ได้ หากไม่มีเจ้าสิ่งนี้ และอาศัยเพียงพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดิน เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของพวกเราคงยากที่จะบรรลุระดับเซียนเทียน!”
ถึงแม้จะเป็นการนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมงกว่า แต่หนานไหวจิ่นก็สัมผัสถึงข้อดีของการฝึกฝนโดยใช้พลอยวิเศษได้แล้ว เขาสามารถสัมผัสได้ ว่าพลังปราณเดิมของตัวเองกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในขั้นละเอียดและลึกซึ้ง
“แล้วทำไมถึงไม่ฝึกอีกสักพักเล่า?” เมื่อเห็นเพื่อนรักมีความหวังในการบรรลุขั้น โก่วซินเจียจึงอิจฉาอยู่บ้าง แต่ก็ดีใจกับเขาด้วยเช่นกัน
“พี่หยวนหยาง ผมก็อยากเหมือนกัน แต่ปราณวิเศษของพลอยนั่น ผมไม่สามารถดูดซับได้ในตอนนี้!” หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจียแล้ว หนานไหวจิ่นจึงฝืนหัวเราะขึ้นมา
ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นโฮ่วเทียนขั้นปลาย เพียงแค่ใช้ปราณวิเศษของพลอยวิเศษนี้เพื่อฝึกปราณ แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนพลังปราณเดิมของตัวเองอย่างช้าๆ แต่กลับไม่เหมือนเยี่ยเทียน ที่สามารถดูดซับปราณวิเศษเข้าไปที่จุดตันเถียนในร่างกายได้โดยตรง
และเนื่องจากสาเหตุระดับของปราณชีวิตแท้ค่อนข้างมีระดับต่ำ หลังจากฝึกพลังอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่า หนานไหวจิ่นจึงรู้สึกว่าสูญเสียพลังภายในร่างกายมากเกินไป จึงหมดเรี่ยวแรงแล้ว ถ้าหากฝืนฝึกต่อไปล่ะก็ เกรงว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บจากพลังปราณที่หนาวเย็น
“แต่ขอเวลาเพียงห้าปี ฉันจะสามารถเปลี่ยนพลังปราณเดิมให้เป็นปราณแท้ได้แน่นอน ถึงตอนนั้นการฝึกจิตแห่ง หยาง บรรลุเซียนเทียน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”
เวลานี้ความสิ้นหวังก่อนหน้านี้ของหนานไหวจิ่นได้หมดไป กลายเป็นความสดชื่นมีพลังขึ้นมา แล้วจึงพูดกับโก่วซินเจียว่า “วรยุทธของพี่หยวนหยางสูงกว่าของผมอีก เกรงว่าใช้เวลาแค่สามปีก็บรรลุขั้นเซียนเทียนได้แล้ว!”
“สามปี? ดูถูกศิษย์น้องเล็กเกินไปแล้ว”
โก่วซินเจียได้ยินจึงยิ้มเจื่อน แล้วจึงพูดเรื่องที่ตัวเองไม่สามารถเข้ากับคุณสมบัติของพลอยวิเศษทั้งสองชนิดนี้ได้อีกรอบ ถ้าหากเยี่ยเทียนหาพลอยวิเศษที่เหมาะสมในการฝึกฝนของเขาไม่ได้ ต่อให้สามปี เขาคงไม่มีทางที่จะผ่านด่านนี้ไปได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ธาตุทั้งห้ามีผลกระทบต่อกันและกัน และยังช่วยส่งเสริมกันอีกด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลอยวิเศษสองคุณสมบัตินี้เท่านั้น พี่วางใจเถอะครับ ไม่ดีแล้ว ศิษย์พี่รองรีบฝึกจนเกินไป!”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางพูดปลอบใจโก่วซินเจีย ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วจึงขยับตัวพรึบไปอยู่ข้างกายจั่วเจียจวิ้นด้วยความเร็วปานลูกศร ใช้มือขวาตบไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที
จั่วเจียจวิ้นในเวลานี้ ผิวหน้าแดงเหมือนเลือด หางตามีเลือดไหลซึมออกมา ร่างกายที่นั่งสมาธิอยู่ยิ่งร้อนเหมือนต้มน้ำจนเดือดปุดๆ
หลังจากที่ฝ่ามือของเยี่ยเทียนตบไปที่ไหล่ของจั่วเจียจวิ้นแล้ว เขาจึงสั่นไปทั้งตัว แล้วผิวหนังที่แดงก่ำก็ค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมกับลืมตาขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวอยู่เลือนราง
เมื่อเห็นจั่วเจียจวิ้นฟื้นฟูกลับมาดังเดิม เยี่ยเทียนจึงโล่งอก จากนั้นจึงหยิบพลอยวิเศษธาตุไฟที่อยู่กลางฝ่ามือของจั่วเจียจวิ้นออกมา แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่รอง เรื่องทุกอย่างต้องให้เป็นไปตามวิถีของมัน ต่อไปถ้าพี่จะฝึกวรยุทธอีก ห้ามฝึกเกินยี่สิบนาทีนะครับ!”
จั่วเจียจวิ้นเข้าสู่การหลอมปราณสู่จิตได้ไม่นาน ความหนาแน่นของปราณชีวิตแท้จึงไม่อาจเทียบกับหนานไหวจิ่นและโก่วซินเจียได้
และเขาก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพลังยุทธของขั้นนี้ถึงระดับที่ลึกซึ้งมาก หลังจากที่รู้สึกถึงพลังปราณที่ร้อนระอุสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เขาจึงเริ่มการหลอมลมปราณขึ้นมาโดยไม่สนใจสิ่งใด จนเกือบทำให้ตัวเองต้องตายไม่ฟื้นกลับมาอีก
“ศิษย์น้องเล็ก ขอบใจมากนะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงเช็ดคราบเหงื่อที่หน้าผากด้วยความตกใจ เมื่อครู่เขารู้สึกว่าอวัยวะภายในเกือบจะถูกเผาไหม้ขึ้นมาแล้ว ถ้าหากเยี่ยเทียนมาช่วยไม่ทัน แม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็อาจเกือบเป็นอัมพาตไปครึ่งหนึ่ง
เยี่ยเทียนกลัวว่าจั่วเจียจวิ้นจะประมาทเกินไป จึงกำชับอีกครั้ง “ศิษย์พี่จั่ว ต่อไปอย่าใจร้อน ถ้ารู้สึกว่ารับพลังไม่ไหวก็วางหินพลอยลง เพราะผมไม่ได้อยู่กับพี่ตลอดเวลานะครับ!”
“ศิษย์น้องเล็ก เธอวางใจเถอะ มีบทเรียนครั้งนี้ก็พอแล้ว!” จั่วเจียจวิ้นได้ยินจึงยิ้มเจื่อน ความรู้สึกเหมือนควันไฟจะพ่นออกมาจากรูจมูกนั้น มันไม่ได้สบายเท่าไรนัก
“พวกพี่เชิญฝึกวรยุทธต่อไปนะครับ ผมขอกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน”
หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ปราณวิเศษของค่ายกลชุมนุมพลังไม่ว่าจะเป็นความบริสุทธิ์หรือปริมาณ ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของเยี่ยเทียนแล้ว
ถ้าหากเขาฝึกวรยุทธที่นี่ เกรงว่าแค่เพียงการเดินลมปราณของจิตแห่งหยาง ก็สามารถดูดซับปราณวิเศษที่อยู่ในบ้านหลังนี้จนเกือบหมดเกลี้ยงไม่เหลือให้พวกศิษย์พี่เลย
ในเมื่อไม่สามารถแย่งปราณวิเศษเหล่านี้กับศิษย์พี่ได้ เยี่ยเทียนจึงกลับไปนอนที่ห้องดีกว่า และอีกสักพักก็จะถึงเวลานัดโทรศัพท์ของเขากับอวี๋ชิงหย่าแล้ว
พอกลับเข้าไปในห้อง เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงก็ดังขั้น
“ชิงหย่า ฉันบอกแล้วว่าเดี๋ยวฉันจะโทรไปไม่ใช่เหรอ?” เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“บอสส์ ผมเอง มาราไกย์!” เสียงที่ดังมาตามสายทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึง ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
พอได้ยินเสียงที่ค่อนข่างเร่งรีบของมาราไกย์ เยี่ยเทียนจึงพูดช้าลง แล้วพูดเบาๆ ว่า “เหล่าหม่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ พูด”
เนื่องจากการปรากฏตัวของติงหง ได้นำความรู้สึกอันตรายอย่างมหันต์มาสู่เยี่ยเทียน ช่วงนี้เขาวิ่งเต้นวุ่นวายไปหมด จึงไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องการไปช่วยเหลือต่งต้าจ้วงของมาราไกย์
“บอสส์ ภารกิจล้มเหลวครับ จอร์จบาดเจ็บหนัก พวกเราได้ออกมาจากไซบีเรียแล้ว ตอนนี้กำลังหยุดพักผ่อนอยู่ที่มอสโควครับ…”
น้ำเสียงของมาราไกย์ดูเศร้าใจเมื่อสิบวันก่อนหน้านี้เขาพูดในโทรศัพท์ด้วยความมั่นใจมาก แต่หลังจากที่มาถึง ไซบีเรียแล้ว เขาพบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขาคาดการณ์ไว้
ความคืบหน้าของเหตุการณ์เดิมทีก็ราบรื่นอยู่ แต่มาราไกย์ไม่ได้ไปหาอันเดรวิชตามที่เยี่ยเทียนแนะนำ แต่ผ่านทางกองกำลังทหารหน่วยเล็กทีมหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่บ่อยๆ อยู่แถบไซบีเรีย จึงได้รู้เรื่องการต่อสู้รุนแรงของแก๊งค์มาเฟียที่มอสโคว
เมื่อผ่านนายหน้าที่แอบขายข่าวเกี่ยวกับแก๊งค์มาเฟีย มาราไกย์จึงสืบเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อนได้อย่างง่ายดาย มีข่าวว่าคนจีนคนหนึ่งถูกจับตัวไป และตอนนี้สถานที่ซ่อนตัว ก็คือเขตแถบไซบีเรียที่เยี่ยเทียนเป็นคนระบุนั่นเอง
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้มาราไกย์รู้สึกแปลกใจก็คือ ดูเหมือนคนพวกนั้นตั้งใจปล่อยข่าวออกมา กระทั่งสถานที่ซ่อนตัวของคนจีนคนนั้น ก็ยังสืบหาได้อย่างง่ายดาย
ตอนนั้นมาราไกย์ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากวางแผนการเข้าไปช่วยชีวิตเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงลอบโจมตีที่นั่นเมื่อคืนก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้มาราไกย์คาดไม่ถึงก็คือ ที่นั่นกลับเป็นกับดัก และแรงกระสุนของอีกฝ่ายก็รุนแรงมาก ดูเหมือนจะไม่ใช่พฤติกรรมของพวกแก๊งค์มาเฟีย
ดังนั้นภารกิจครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือต่งต้าจ้วงออกมาไม่ได้แล้ว จอร์จที่เป็นมือยิงคุ้มกันการลอบโจมตีก็ยังถูกยิงสามนัด แม้ว่าจะใส่เกราะกันกระสุนแล้วก็ตาม แต่กระดูกซี่โครงก็ยังหักสองสามส่วน
“บอสส์ อีกฝ่ายไม่ใช่แก๊งค์มาฟียแน่นอน แต่คุณวางใจได้ ผมติดต่อหน่วยทหารรับจ้างจากในประเทศมาแล้วสามหน่วย พวกเขาจะรีบมาที่รัสเซียในไม่ช้าครับ!”
มาราไกย์ที่พูดสายรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เขาเคยต่อสู้กับคนที่เจ้าเล่ห์ที่สุดในแถบแอฟริกากลางกับสามเหลี่ยมทองคำ มาแล้ว แต่ก็ไม่เคยเสียเปรียบแบบนี้มาก่อน
แต่หากอาศัยพลังกระสุนของพวกเขาสองสามคน เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำให้ภารกิจสำเร็จได้ ตอนที่มาราไกย์ถอยทัพนั้น ก็ได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยทหารรับจ้างแล้ว
“เหล่าหม่า อย่าให้คนพวกนั้นไปที่รัสเซีย!” เยี่ยเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปากพูด “บอกที่อยู่ที่ชัดเจนของพวกคุณมาให้ผม พรุ่งนี้เช้าผมจะบินไปรัสเซีย!”
พูดตามจริง หลังจากที่รู้ว่าอวิ๋นหวาถงไปที่รัสเซียแล้ว เยี่ยเทียนไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นๆ พวกนี้ และนักพรตที่ชื่อติงหงนั่นก็ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเขาจริงๆ
เพียงแต่เยี่ยเทียนรับปากต่งเซิงไห่แล้ว ว่าจะช่วยหลานชายของเขาออกมาให้ได้ และฟรุสก็ดูเหมือนจะเตรียมการป้องกันไว้นานแล้ว หากตัวเองไม่ไปล่ะก็ ความปลอดภัยของต่งต้าจ้วงก็น่าเป็นห่วง
ตอนที่ 741 มอสโคว
หลังจากยืนยันความสัมพันธ์ของตระกูลอวิ๋นกับติงหงแล้ว เยี่ยเทียนจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ
เหมืองแร่ทองคำที่ไซบีเรียมีอะไรกันแน่? ถึงทำให้ติงหงรีบแจ้นไปทันทีหลังจากที่จบงานประมูล ถ้าหากไปเพื่อทองคำ เหตุผลดูจะขัดๆ กันนิดหน่อย
“บอสส์ คุณจะมาเหรอครับ? งั้นก็ดีเลย ตอนนี้พวกเราอยู่ที่…”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดว่าจะรีบมาที่รัสเซีย มาราไกย์ที่ถือสายอยู่ก็ดีใจขึ้นมาทันที แล้วจึงบอกที่อยู่ของตัวเองไป ในใจของมาราไกย์ เยี่ยเทียนเปรียบเสมือนพระเจ้าที่มีความสามารถสารพัดอย่าง
“ผมรู้แล้ว จะไปพรุ่งนี้เช้านะ”
เยี่ยเทียนจดที่อยู่เสร็จแล้ว จึงวางสาย ขณะที่เขากำลังจะลงไปข้างล่างหาถังเหวินหย่วน เพื่อให้ช่วยจัดตารางการเดินทางให้กับเขานั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เยี่ยเทียน เมื่อครู่นายติดสายเหรอ?”
เสียงของอวี๋ชิงหย่าดังมาตามสาย เดิมทีเธอไม่ชอบกับการคอยตามเช็คแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้พฤติกรรมของเยี่ยเทียนผิดปกติเกินไป ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะเกิดเรื่องเหมือนที่นิวยอร์กอีกครั้ง
“ใช่ ฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่รัสเซีย…”
เยี่ยเทียนแอบถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ชิงหย่า พรุ่งนี้ฉันจะบินไปที่รัสเซียสักหน่อย ไม่รู้ว่าที่นั่นจะโทรศัพท์สะดวกไหม ถ้าหากไม่ได้โทรหาเธอ เธอก็ไม่ต้องร้อนใจนะ!”
ซ่งเวยหลันกับเยี่ยตงผิงต่างก็มีอายุประมาณห้าสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นให้เยี่ยเทียนต้องเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า เขาอยู่ข้างนอกจึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพียงแต่กับอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนกลับรู้สึกผิดและละอายมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
ตั้งแต่แต่งงานมาจนถึงตอนนี้ นอกจากช่วงเวลาที่เขาบาดเจ็บพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านแล้ว ก็ไม่เคยอยู่กับอวี๋ชิงหย่าถึงเดือนเต็มสักครั้ง ในฐานะของสามี เยี่ยเทียนไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสามีที่ดีคนหนึ่ง
“นายจะไปต่างประเทศ?” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เสียงของอวี๋ชิงหย่าจึงดูตึงเครียดขึ้นมาบ้าง “ไปทำอะไรที่รัสเซีย? อันตรายหรือเปล่า?”
ในใจของอวี๋ชิงหย่า ดูเหมือนเยี่ยเทียนจะไม่เคยทำเรื่องปกติเลย ถ้าไม่วิ่งไปหาทองคำที่พม่า ก็วิ่งไปเสินหนงเจี้ยหาคนป่า ตอนนี้จะไปต่างประเทศอีกแล้ว
“ไม่เป็นไร เรื่องธุรกิจน่ะ ไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับแล้ว!”
เรื่องที่ซ่งเวยหลันลงทุนเหมืองแร่ทองคำ มีเพียงเธอกับเยี่ยเทียนสองคนเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่ต้อง อธิบายอะไรให้ละเอียด จึงปลอบใจอวี๋ชิงหย่าพักหนึ่ง หลังจากสองสามนาทีผ่านไป จึงวางสาย
เยี่ยเทียนไปหาถังเหวินหย่วนที่ห้องด้านล่างของตึก ซึ่งเขาได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เกือบครึ่งปีแล้ว
เนื่องจากลักษณะพิเศษของบ้านหลังนี้ ถังเหวินหย่วนจึงทำอาหารทานเองทุกวัน ไม่มีการสังสรรค์ข้างนอกบ่อยๆ กับการหล่อเลี้ยงของปราณวิเศษฟ้าดินที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ทำให้เขารู้สึกหนุ่มลงไปยี่สิบปี ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็จางลงมาก
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดว่าจะไปรัสเซีย ถังเหวินหย่วนจึงรับปากทันที ตอนนี้เครื่องบินส่วนตัวของเขาเหมือนจะเก็บให้เยี่ยเทียนใช้โดยเฉพาะไปแล้ว และเขาก็ยังอยากให้เยี่ยเทียนหาเรื่องรบกวนเขาบ่อยๆ อีกด้วย
…
“คุณเยี่ย เรียกผมว่าอาหวาก็ได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณจะไปที่ไหนครับ?”
เวลาประมาณเที่ยงของวันที่สอง เยี่ยเทียนเพิ่งลงจากเครื่องบิน รถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนท้องถิ่นของมอสโควคันหนึ่งก็ขับเข้ามา นี่คือการจัดการของถังเหวินหย่วน เพราะที่รัสเซียเขาก็มีบริษัทสาขาของตัวเองเช่นกัน
หลังจากเข้าไปนั่งที่เบาะหลังแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดว่า “ไปแถวๆ จตุรัสแดงครับ!”
คนขับรถเชื้อสายจีนคนนั้นไม่ได้พูดอะไรมาก สตาร์ทรถแล้วขับออกไปจากสนามบิน จากนั้นเยี่ยเทียนจึงหลับตา และกำลังคิดถึงการเดินทางมารัสเซียในครั้งนี้
เนื่องจากตอนนี้ติงหงอาจจะอยู่ที่ไซบีเรีย ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงพกกระดิ่งซานชิงติดตัวมาอย่างเดียว ส่วนมีดบินกับเชือกรัดมังกรที่ได้มาจากเก๋อข่าย เขาได้ซ่อนไว้ในบ้านที่ฮ่องกงแล้ว
ตอนนี้ในใจของเยี่ยเทียนเกิดความขัดแย้งกัน เพราะเขาอยากไปที่เหมืองแร่ทองคำเพื่อดูว่ามีอะไรแตกต่างกันกันแน่ แต่ก็กลัวจะเจอกับติงหง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตก
ส่วนเรื่องของต่งต้าจ้วง เยี่ยเทียนกลับมองเป็นเรื่องรอง เพราะก่อนจะมาเขาได้ทำนายแล้ว ตอนนี้ต่งต้าจ้วงไม่ได้ถูกทำร้ายอะไร ถือว่าน่าจะยังราบรื่นอยู่
“คุณเยี่ย นี่คือจตุรัสแดงครับ มันคือสถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์ของมอสโควเชียวนะ!” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังหลับตาครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของคนขับรถก็ดังขึ้นมา
“อ้อ? มีชื่อเสียงมากกว่าจตุรัสเทียนอันเหมินอีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงลืมตามองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วสถาปัตยกรรมสีแดงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า นั่นคือกำแพงป้อมปราการสีแดงของพระราชวังเครมลิน และรอบๆ ของมันก็คือสุสานเลนินกับหอคอยสูงสามแห่ง
“ก็งั้นๆ แหละ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย ผลงานคลาสสิคมากมายของต่างประเทศความจริงแล้วต้องมาเห็นด้วยตาตัวเอง และถึงแม้จตุรัสแดงจะมีชื่อเสียงมาก แต่ก็ครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่าจตุรัสเทียนอันเหมินเสียอีก
“อ้อใช่ อาหวา” พอดึงสายตากลับมา เยี่ยเทียนมองไปที่อาหวาคนขับรถแล้วถามว่า “คนเชื้อสายจีนที่อยู่ในมอสโควเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ดี ไม่ดีเอามากๆ เลยครับ!”
อาหวาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนที่ถึงยุคการสลายตัวของอดีตสหภาพโซเวียต คนจีนจำนวนมากต่างแห่เข้ามาทำการค้า ในหมู่พวกเขามีทั้งที่ทำตามกฎและไม่ยึดตามกฎ จนกระทั่งตอนนี้ คนรัสเซียต่างก็ต่อต้านคนจีนอย่างรุนแรง…”
เรื่องที่อาหวาพูด เยี่ยเทียนก็พอรู้บ้าง เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เรื่องพวกนั้นยังคงมีผล กระทบมากถึงขนาดนี้
ตอนนั้นเกิดการสลายตัวของอดีตสหภาพโซเวียต คนที่พอมีหัวคิด ต่างก็กรูกันเข้ามาที่รัสเซียอย่างล้นหลาม เหมือนอย่างเฉินสี่ฉวนกับเว่ยหงจวินก็เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นเช่นกัน
ตอนนั้นรัสเซียที่เพิ่งสถาปนาประเทศมีทรัพยากรน้อยมาก ขอเพียงคุณนำของจากประเทศจีนไปขาย ไม่ว่าอะไรก็ขายหมด
แม้แต่เหล้าเอ้อร์กัวโถวก็ยังแลกกับเสื้อโค้ทตัวใหญ่ได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก กระทั่งมีตำนานว่าพวกเจ้าสัวที่สามารถประดิษฐ์ของใช้ในชีวิตประจำวันก็ยังแลกของกับเครื่องบินได้เลย แสดงถึงความวุ่นวายของอดีตโซเวียตในตอนนั้นอย่างเห็นได้ชัด
ความไม่มั่นคงทางสังคม ทำให้แก๊งค์มาเฟียของรัสเซียเหิมเกริม หนำซ้ำอิทธิพลของพวกแก๊งค์มาเฟียอย่างประเทศตุรกีที่อยู่รอบๆ ก็ยังเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
ตอนแรก คนที่ทำธุรกิจในประเทศถูกแย่งไปเป็นจำนวนมาก แต่คนที่กล้าใช้เงินหนีไปต่างประเทศ จะมีสักกี่คนเชียว? หลังจากความวุ่นวายโกลาหลในช่วงแรก จึงมีการรวมกำลังพลเพื่อต่อสู้กลับทันที
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ถนนของมอสโควยังเคยเห็นภาพการขับรถไล่ยิงต่อสู้กัน เป็นเหตุทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องต้องบาด เจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก และแก๊งค์มาเฟียที่มาจากประเทศจีนก็ทำให้ตำรวจรัสเซียปวดหัวไม่หยุดหย่อน
บวกกับตอนหลังพวกพ่อค้าที่ทำธุรกิจก็ชอบหลอกลวงกันเยอะ ทำให้เดิมทีคนรัสเซียมากมายที่รู้สึกถึงความเหนือกว่า ก็ยิ่งต่อต้านคนจีนมากขึ้น ปรากฏการณ์แบบนี้รุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ
หลังจากฟังอาหวาเล่าเรื่องแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดสายหน้าไม่ได้ แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อาหวา แล้วคุณรู้จักสมาคมหงเหมินหรือเปล่า?”
“หงเหมิน?”
พอได้ยินชื่อนี้ มือที่จับพวงมาลัยของอาหวาสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาจึงมองกระจกหลัง แล้วพูดเบาๆ ว่า “คุณเยี่ยครับ คุณรู้จักสมาคมหงเหมินได้ยังไงครับ?”
“อาหวา ให้ผมโทรไปหาถังเหวินหย่วนดีไหมล่ะ?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะ เขามองออกว่าอาหวาจะต้องรู้เรื่องของสมาคมหงเหมินมากแน่นอน ไม่แน่เขาก็คือคนของสมาคมหงเหมินด้วย
แต่เยี่ยเทียนขี้เกียจคุยเรื่องมาเฟียอะไรพวกนี้ จึงเอาชื่อของถังเหวินหย่วนออกมาอ้างดีกว่า
และแล้ว หลังจากที่ได้ยินชื่อของถังเหวินหย่วน สีหน้าของอาหวาก็เปลี่ยนไปจริงๆ จากนั้นเขาจึงหัวเราะอย่างขมขื่น “คุณเยี่ย ขอพูดตามตรง ผมก็คือคนของสมาคมหงเหมินครับ ช่วงนี้ สมาคมหงเหมินในมอสโควถือว่ามีแต่ชื่อแต่ตัวตายไปแล้วครับ…”
ที่แท้ เมื่อสองสามเดือนก่อน สาขาของสมาคมหงเหมินที่ดูแลมวยใต้ดินของมอสโคว จู่ๆ ก็ถูกพวกแก๊งค์มาเฟียที่มาจากญี่ปุ่น มอสโคว และตุรกีร่วมมือกันลอบโจมตี
เนื่องจากต่งเซิงไห่ไม่อยู่ สมาคมหงเหมินจึงไม่ทันได้ตอบโต้ ทำให้บาดเจ็บล้มตายเพียงชั่วข้ามคืน และต้องหนีออกมาจากมอสโควอย่างช่วยไม่ได้ จึงทำให้ตำแหน่งของคนเชื้อสายจีนในมอสโควลดต่ำลง
“ตอนนั้นคุณไม่ได้รับผลกระทบเหรอ?” เยี่ยเทียนมองอาหวาด้วยความประหลาดใจ
อาหวาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คุณเยี่ย ถึงแม้ผมจะเป็นคนของสมาคมหงเหมิน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสังกัดของสาขามอสโควครับ”
แม้ปากจะพูดว่าเป็นสมาชิกของสมาคมหงเหมิน แต่ความจริงแล้วสมาคมหงเหมินก็ยึดตามการแบ่งแยกเขตแดน หัวหน้าของแต่ละพื้นที่มีชื่ออยู่ในสมาคมหลักเป็นเพียงในนามเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วต่างก็เป็นเสือเจ้าถิ่น การควบคุมของสมาคมหลักจึงไม่มีผลอะไรมาก
เหมือนอย่างอาหวาที่เป็นคนของสมาคมหงเหมินก็จริง แต่เขาก็เป็นคนของถังเหวินหย่วน เมื่อมามอสโควก็แค่มาทำความเคารพต่งเซิงไห่ ไม่จำเป็นต้องบอกรายละเอียดว่าตัวเองมาที่นี่ทำไมก็พอ เพราะการคบค้ากับสมาคมกับหงเหมินในมอสโควนั้นมีไม่มาก
แต่ตอนนี้อาหวาก็ใช้ชีวิตไม่ราบรื่นเช่นกัน นอกจากบริษัทกับที่พักแล้ว เขาก็ออกไปข้างนอกน้อยมาก เพราะว่าแก๊งค์มาเฟียท้องถิ่นของมอสโควพวกนั้น กำลังตามหาลูกน้องของต่งเซิงไห่ที่หนีรอดไปได้
“ผมเข้าใจแล้ว”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แอบคิดว่าแต่ก่อนต่งเซิงไห่เล่นกินผลประโยชน์คนเดียวเกินไปในตลาดมวยใต้ดินสองแห่งในตุรกีกับมอสโควที่เขาดูแลอยู่ ปกติก็ไม่ค่อยไว้หน้าสมาคมหงเหมินหลักอยู่แล้ว
ครั้งนี้หลังจากต่งเซิงไห่เกิดเรื่อง ตู้เฟยที่เพิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าคนใหม่ก็เคยเรียกหัวหน้าจากทุกพื้นที่มาปรึกษาหารือเรื่องนี้แล้ว แต่หัวหน้าส่วนใหญ่ก็คัดค้านที่จะเปิดสงครามกับแก๊งค์มาเฟียของต่างประเทศ เพราะมันไม่ค่อยเหมาะกับผลประโยชน์ของพวกเขา
ตู้เฟยรู้ว่าเยี่ยเทียนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับต่งเซิงไห่ เขาจึงโทรไปพูดเรื่องนี้กับเยี่ยเทียนเมื่อสองสามวันก่อน แต่เขาเพิ่งจะนั่งตำแหน่งหัวหน้าได้ไม่นาน ถึงอยากช่วยแต่ก็ไม่มีอำนาจ
“แย่งดินแดนก็ไม่ค่อยเท่าไร ทำไมถึงต้องฆ่าแกงกันด้วย?”
เยี่ยเทียนมีแววตาที่เย็นชาออกมา ถึงแม้เขาจะไม่ได้ซึ้งต่อการรักชาติมากเท่าใร แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนของสมาคมหงเหมินนัก แต่เมื่อเห็นพรรคพวกถูกคนเลวต่อยตีจนแพ้ย่อยยับ ในใจพลันเกิดความอาฆาตขึ้นมา
“โอเค ถึงแล้ว จอดที่หน้าประตูโรงแรมก็พอครับ!”
เมื่อเห็นป้ายโรงแรมอยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงตบไหล่อาหวาเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณช่วยไปสืบหน่อย ดูว่าแก๊งค์มาเฟียไหนที่มาสู้กับสมาคมหงเหมิน ขอข้อมูลละเอียดหน่อยนะ ทางที่ดีที่สุดขอที่อยู่ของพวกมันด้วย”
ถึงแม้อาหวาจะไม่ใช่คนของสาขาสมาคมหงเหมินในมอสโคว แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า เขากับคนของสมาคมหงเหมินที่หลบซ่อนตัวอยู่จะต้องติดต่อกันแน่นอน
“คุณเยี่ย วางใจได้ครับ ตอนบ่ายผมจะเอาข้อมูลมาให้คุณครับ!”
ถึงแม้อาหวาจะสงสัยมากว่าเยี่ยเทียนจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปทำอะไร แต่ถังเหวินหย่วนก็ได้กำชับไว้แล้ว ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามประสงค์ของเยี่ยเทียน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น