ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 734-749
ตอนที่ 734 สู้ตัวต่อตัว
สยงมู่มู่ที่สติเริ่มฟื้นกลับมาดีแล้ว ได้ยินคำของเซียวเซ่อชัดเต็มสองหู จึงเกิดอารมณ์เดือดพล่านไฟโทสะในตัวพุ่งสูงปรี๊ด ลุกพรวดจากพื้นพุ่งตัวมาตรงหน้าเซียวเซ่อ
“เธอร้ายกาจจริงๆ ฉันก็แค่พูดความจริงประโยคเดียว เธอถึงกับให้สัตว์เลี้ยงพวกนี้ของเธอมารุมทำร้ายฉัน? ถ้าเธอแน่จริงก็มาสู้กับฉันตัวต่อตัวสิ!”
สยงมู่มู่ที่โกรธจัดพอหลุดปากพูดก็ออกเป็นสำเนียงปักกิ่งต้นตำรับ เวลาด่าคนรู้สึกได้อารมณ์มาก เหมยเหมยกับอู่เชากลับฟังจนมึน สำเนียงปักกิ่งพูดช้าๆ ยังไหวเพราะไม่ต่างจากภาษากลางเท่าไร แต่พอพูดใส่ระรัวเข้าก็คือภาษาถิ่นของจริง ฟังไม่ออกว่ากำลังพูดอะไรอยู่
เซียวเซ่อปรับสีหน้าเย็นชาลงผุดตัวลุกขึ้นยืนตาม พลันพบว่าส่วนสูงพอๆ กับสยงมู่มู่ เธอยืนกอดอกมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังโกรธจัดอย่างดูถูก ยื่นนิ้วเล็กชี้ไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“กับไก่อ่อนอย่างนาย ฉันยังต้องหาผู้ช่วยด้วยเหรอ? เหอะ นิ้วเดียวก็พอแล้ว!”
สยงมู่มู่เคยโดนเหยียดหยามแบบนี้เสียที่ไหนกัน สลัดคราบสุภาพบุรุษทิ้งแล้วคำรามใส่ “อย่าโม้ให้มากเลย เห็นแก่ว่าเธอเป็นผู้หญิง ฉันจะยอมให้เธอนำก่อนเลย พี่เป็นคนมีน้ำใจ ต่อให้เธอไม่เหมือนผู้หญิง พี่ก็จะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงแล้วกัน!”
เดิมทีเหมยเหมยคิดจะเข้าไปห้ามทัพ แต่พอได้ฟังคำพูดนี้ของสยงมู่มู่ก็โกรธจนปิดปากเงียบ สยงมู่มู่เป็นคนปากคอเราะร้าย ชาติก่อนหลังจากเขามีชื่อเสียงแต่เพราะความปากจัดของเขาถึงได้มีศัตรูเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ดังนั้นหลังจากเกิดข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงถาโถมเข้ามา จึงไม่มีใครสักคนที่ออกมาเรียกร้องช่วยพูดแก้ต่างแทนเขา เหมยเหมยมักคิดเสมอว่าหากชาตินี้ในเวลานั้นมีใครสักคนออกมาช่วยพูดแก้ต่างสยงมู่มู่บ้าง หรืออยู่เป็นกำลังใจเคียงข้างเขา บางทีเขาอาจไม่เลือกวิธีสุดโต่งในการจากโลกนี้ไปก็ได้
แต่นิสัยที่ติดตัวมาแต่เกิดเหมือนสุนัขที่แก้นิสัยชอบกินอุจจาระไม่ได้ ต่อให้เหมยเหมยคิดหาวิธีมากมายเพื่อช่วยแก้นิสัยแย่ๆ ของสยงมู่มู่ มันก็เปล่าประโยชน์
อีกทั้งภายหลังเหมยเหมยเคยได้ยินคุณหญิงย่ากับเหยียนซินหย่าเอ่ยถึงสยงมู่มู่ เลยรู้ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงเข้าหายาก และเข้าใจว่าครั้งแรกที่เธอไปบ้านครอบครัวสยง สองสามีภรรยาจ้าวอิงหนานถึงได้แสดงอาการดีใจขนาดนั้น
เพราะถึงสยงมู่มู่เป็นอัจฉริยะ แต่เขากลับเป็นโรคออทิสติกตั้งแต่เด็ก วัยเด็กมักจะตีตัวออกห่างจากทุกคน ไม่ยอมเข้าหาใครแม้กระทั่งคุณปู่กับคุณย่า ชอบกักขังตัวเองนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องคนเดียว
เดิมตระกูลจ้าวคิดว่าเด็กคนนี้สมองใช้งานได้ไม่ปกติ กลับเป็นภรรยาของจ้าวอิงหย่งอย่างอันหย่าฟางต่างหากที่สังเกตถึงความผิดปกติในฐานะคุณหมอ พาสยงมู่มู่ในวัยเด็กไปตรวจสภาพร่างกายที่โรงพยาบาลถึงรู้ว่าสยงมู่มู่นั้นไอคิวสูงมาก แต่กลับไม่ยอมเดินออกจากโลกที่ตัวเองปิดกั้นไว้ ซึ่งที่เรียกกันว่าอาการของเด็กออทิสติก
ดีที่อาการออทิสติกของสยงมู่มู่ไม่หนักหนาสาหัส ภายใต้การดูแลอย่างเอาใสใส่ของคนตระกูลจ้าว สยงมู่มู่จึงค่อยๆ ยอมพูด หลังจากนั้นเหยียนซินหย่าก็พากลับไปรักษาอาการป่วยที่บ้าน สยงมู่มู่ชอบตัวติดเธอตลอดยี่สิบชั่วโมง เหยียนซินหย่าเองก็ชอบเด็กหน้าตาน่ารักคนนี้จึงสอนเขาวาดรูป ร้องเพลง เล่นเปียโน และสยงมู่มู่ก็กลับสู่สภาวะปกติอย่างช้าๆ
นอกจากชอบคิดเล็กคิดน้อยและนิสัยพิลึกอยู่บ้าง นอกนั้นสยงมู่มู่ก็ไม่ได้ต่างจากเด็กปกติทั่วไปมากนัก!
แม้รู้ว่าเด็กผู้ชายมีนิสัยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแต่คนตระกูลจ้าวกลับพึงพอใจมากแล้ว ไม่ฝืนเปลี่ยนแปลงสยงมู่มู่ ขอแค่เขามีความสุขก็พอ
แต่เหมยเหมยกลับคิดต่างกันออกไปเพราะเธอเคยผ่านชาติที่แล้วมา จึงรู้ว่าสยงมู่มู่เสียเปรียบเพราะนิสัยแบบนี้มากเกินไป แถมยังมีจุดจบไม่ดีเลยสักนิด
เธอไม่อยากให้สยงมู่มู่ในชาตินี้ซ้ำรอยชาติที่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องแก้นิสัยร้ายๆ ของหมอนี่เสีย!
…………………
ตอนที่ 735 กลิ้งเกลือกเป็นก้อนเดียวกัน
คนตระกูลจ้าวต่างรักและปกป้องสยงมู่มู่และมักเสียสละให้เขา เนื่องจากเขาเป็นศิษย์รักของคุณครูในโรงเรียนอีกทั้งยังมีพื้นหลังครอบครัวอย่างตระกูลจ้าว ใครจะตาบอดกล้าไปรังแกสยงมู่มู่ล่ะ?
ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้จึงทำให้นิสัยของสยงมู่มู่ยิ่งโตยิ่งเอาแต่ใจ ชอบคิดเล็กคิดน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ และมักพูดอะไรไม่คิด ไม่รู้จักกาลเทศะ หากไม่ใช่เพราะมีหน้าตาเปลือกนอกที่ดูดี มันก็น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย
เหมยเหมยคิดว่าเจ้าหมอนี่ชีวิตราบรื่นเกินไปต่างหาก ทุกคนต่างเสียสละให้เขา ยกยอปอปั้นเขา ก่อให้เกิดนิสัยที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ต้องให้เจ้าหมอนี่โดนดีสักครั้งถึงจะถูก!
ให้เซียวเซ่อสั่งสอนหมอนี่สักทีก็ดี ให้เขารู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า คราวหลังพูดจาต้องรู้จักระวังปาก!
อู่เชาเริ่มกังวล พูดอย่างชั่งใจว่า “หรือว่าเรียกมู่มู่กลับมาดี? รังแกเด็กผู้หญิงไม่ดีนะ”
“สบายใจได้ ใครรังแกใครยังไม่รู้เลย!”
เหมยเหมยคว้าคุกกี้หนึ่งกำมือยัดปากเจ้าอ้วนน้อยให้เขาดูเรื่องสนุกๆ อย่างสบายใจ แล้วอุ้มฉิวฉิวที่อยู่บนหัวฮ่องเต้ลงมาก่อนจะป้อนแอปเปิ้ลให้ฮ่องเต้อีกลูก พลางตบตัวเขาไปมา
ในบรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเซียวเซ่อฮ่องเต้มีนิสัยอ่อนโยนที่สุด อาจเป็นเพราะมันเป็นสัตว์กินหญ้ากระมัง เห็นตัวโตเช่นนั้น แต่แม้กระทั่งคนสวยอย่างกิ้งก่าที่ตัวเล็กที่สุดขี้บนหัวมันยังไม่โกรธเลยสักนิด เป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่เชื่องที่สุดแล้ว
เจ้าอ้วนน้อยเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่ด้านซ้ายมีงูเหลือมทอง ส่วนด้านขวามีอีกัวนาแล้ว เริ่มรู้สึกใจกล้ามากขึ้นจึงยืนดูเรื่องสนุกๆ พร้อมกับเหมยเหมย
กลับพบว่า–
ปากของสยงมู่มู่บอกว่าจะยอมต่อให้เด็กผู้หญิงนี่ก่อน แต่เซียวเซ่อเพิ่งนับถึงเลขสองเจ้าหมอนี่กลับย่อตัวลงกอดขาเซียวเซ่อไว้ เพียงชั่วครู่ก็พลิกตัวแม่นางเซียวลงบนพื้นแล้วนั่งควบอยู่บนตัวเซียวเซ่ออย่างคล่องแคล้วด้วยสีหน้าได้ใจ
เชอะ อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ว่าเซียวเซ่อเคยเรียนกังฟูมาตั้งแต่เด็ก แม่ของเขาเคยพูดให้ฟังอยู่ที่บ้านตั้งนานแล้ว ทั้งยังส่งตัวเขาไปเรียนยูยิตสูด้วยเช่นกัน ทว่าไม่ถึงหนึ่งเดือนเขาก็ร้องไห้โฮ้กลับบ้านมาเสียก่อน
ช่วยไม่ได้ กระดูกแข็งเกินไป จึงอ่อนให้ไม่ได้!
เขาเป็นนักเรียนผู้มีร่างกายอ่อนแอพละกำลังไม่มาก การต่อสู้กับผู้มีทักษะกังฟูขั้นสูงจะมัวแต่สนใจความสุภาพบุรุษและหลักคุณธรรมเหตุผลอะไรได้อีก ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนแค่สู้ชนะก็พอ
เซียวเซ่อที่ไม่ทันตั้งตัวเปิดช่องโหว่ให้สยงมู่มู่นั่งควบอยู่บนตัว โกรธจนอ้าปากสบถด่า “สยงมู่มู่ไอ้เลว ไม่เคารพกฎ!”
“เธอให้สัตว์เลี้ยงของเธอมารังแกฉันคือการเคารพกฎเหรอ? หึ เธอทำหนึ่งครั้ง ฉันทำเอาคืนสิบห้าครั้ง ให้เธอรู้ว่าพี่เก่งแค่ไหน!”
เห็นเซียวเซ่อที่ถูกนั่งทับอยู่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงสยงมู่มู่ก็ได้ใจยิ่งกว่าเดิม ถือว่าได้เอาคืนสักที เขานั่งควบไม่พอยังยกก้นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะนั่งทับลงไปแรงๆ อีกที ช่างใจแคบเสียจริง
เหมยเหมยไม่กังวลเลยสักนิดว่าเซียวเซ่อจะแพ้ นั่งจิบน้ำชาพลางมองอยู่นิ่งๆ รอดูเพื่อนสนิทเอาคืน
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่นานเซียวเซ่อที่ใจเย็นลงก็กระทุ้งศอกใส่ท้องสยงมู่มู่แล้วพลิกตัวขึ้นมานั่งคร่อมสยงมู่มู่ไว้แทน มองอีกฝ่ายจากตำแหน่งที่เหนือกว่า
“ยายบ้าเซียวเซ่อ รีบกลิ้งลงไปซะ!”
“กลิ้งไม่เป็น ไม่งั้นนายลองกลิ้งให้ฉันดูทีสิ!”
“คนสกุลเซียว อย่ารอให้ฉันมีน้ำโหนะ ระวังฉันต่อยเธอจนพ่อแม่ลืมหน้าไปเลย!”
“ต่อยสิ ไม่ต่อยนายก็เป็นไอ้ลูกหมา!”
……
ทั้งคู่ปะทะฝีปากกันไปมาแต่มือก็ไม่ปล่อยให้ว่าง ฟัดกันจนตัวกลม สยงมู่มู่แปรเปลี่ยนความโกรธเป็นพลังพลางกอดเซียวเซ่อไว้แน่นให้เธอไม่สามารถใช้ท่ากังฟูได้ จำต้องใช้วิธีเดิมกับสยงมู่มู่
เธอกอดฉัน ฉันกอดเธอ กลิ้งเกลือกเป็นก้อนเดียวกัน!
………………..
ตอนที่ 736 บทจะพลิกก็พลิก
เหมยเหมยเริ่มสนุกขึ้นมา อดปรบมือเสียงดังร้องเชียร์ไม่ได้ “เซ่อเซ่อสู้ๆ!”
เจ้าอ้วนน้อยย่อมลืมเพื่อนไม่ได้อยู่แล้ว ปลีกเวลามาส่งเสียงเชียร์ไม่กี่คำก็ถือว่าได้ให้กำลังใจสยงมู่มู่แล้ว เวลาที่เหลือเอาไปกินขนมที่แสนจะสำคัญกว่า
ลุงที่พายเรือยิ้มตาหยีดูเรื่องสนุกๆ ตามไปด้วย คุณหนูของตนออกจะเย็นชาไปหน่อย วันนี้เผยท่าทีความเป็นเด็กบ้างก็ดี แต่ว่า–
ด้วยความที่สยงมู่มู่กับเซียวเซ่อรุนแรงมากขึ้น เรือลำเล็กก็เริ่มสั่นคลอน แถมสั่นคลอนหนักขึ้นกว่าเดิมจนลุงพายเรือเปลี่ยนสีหน้ารีบบอกให้พวกเซียวเซ่อหยุด
พวกเหมยเหมยเองก็ช่วยเรียก แต่อารมณ์เดือดดาลของพวกเขามันพุ่งปรี๊ด คิดว่าพวกเขายังจะรับฟังเสียงเกลี้ยกล่อมของคนรอบข้างอีกหรือ ต่างกอดอีกฝ่ายแน่นอย่างเคยไม่มีใครยอมปล่อยมือใครก่อนทั้งนั้น
เรือสั่นคลอนหนักมากขึ้นจนเหมยเหมยนั่งไม่นิ่ง ลุงพายเรือใช้ฝีพายยันไว้ก็ไร้ประโยชน์ เรือลำเล็กโคลงเคลงไปมาเหมือนชิงช้า
“เหมยเหมย ฉันเวียนหัว!”
“กอดไทเฮาไว้ให้แน่น!” เหมยเหมยตะโกนบอกและกระโดดไปนั่งอยู่บนตัวไทเฮาก่อนใคร
แต่ไม่รอให้เจ้าอ้วนได้ไหวตัวทัน เรือลำเล็กก็พลิกคว่ำลง คนบนเรือทั้งหมดรวมถึงข้าวของก็ตกน้ำกันอย่างพร้อมเพรียง ตัวเหมยเหมยเปียกไปเล็กน้อยเพราะไทเฮาปฏิกิริยาโต้ตอบเร็ว ดันตัวเธอไว้อยู่จุดสูงสุดเพื่อไม่ให้น้ำกระเด็นโดนตัว
เจ้าอ้วนกลับโชคดีไม่ดีเช่นนั้น หมอนี่เป็นเป็ดที่ว่ายน้ำไม่เป็น พอตกน้ำก็ตกใจใช้แรงตะเกียกตะกายน้ำ ยิ่งตะเกียกตะกายมากเท่าไรก็ยิ่งจมมากขึ้นเท่านั้น สำลักน้ำไปตั้งหลายอึก
ดีที่ลุงพายเรือไหวตัวทัน ไม่นานก็ว่ายไปช่วยเจ้าอ้วนน้อยไว้ก่อนจะลากเขาขึ้นฝั่ง
ส่วนตัวต้นเหตุอย่างเซียวเซ่อกับสยงมู่มู่สองคนต่อให้ตกน้ำก็ไม่หยุด กอดรัดฟัดเหวี่ยงไปมา ไม่มีใครยอมปล่อยมือก่อน ต้องรอให้อีกฝ่ายปล่อยมือถึงจะยอม
เหมยเหมยให้ไทเฮาพาตนไปส่งเข้าริมฝั่งแล้วไปดูอาการเจ้าอ้วนน้อย ลุงพายเรือกดท้องเขาไปหลายทีให้คายน้ำที่สำลักเข้าไปออกมา คงไม่เป็นอะไรมากแล้วเพียงแต่ดวงตาที่เหม่อลอย ดูท่าจะขวัญเสียไม่น้อยถึงตั้งสติไม่ได้อยู่พักหนึ่ง
หันไปมองสองตัวในสระน้ำอีกทีเหมยเหมยก็นึกปวดหัว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเซียวเซ่อจะไม่ถูกกับสยงมู่มู่ขนาดนี้ เพิ่งเจอกันกลับกลายเป็นคู่กัดกันไปเสียแล้ว คู่เวรคู่กรรมกันจริงๆ!
“เซ่อเซ่อ สยงมู่มู่ พวกเธอรีบกลับมานะ อย่าหนาวจนตัวแข็งไปก่อนล่ะ!”
เหมยเหมยตะโกนไปทางสระบัว แต่สองคนนั้นกลับไม่สนใจเธอสักนิด ทำเอาเธอโกรธแล้วให้ฉาฉาสื่อสารกับไทเฮา ไทเฮาว่ายลงน้ำอย่างเชื่อฟังแล้วกวาดร่างสองคนที่ทะเลาะต่อยตีกันเข้าหาตัวได้อย่างง่ายดาย
ไก่ชนสองตัวเปียกชุ่มไปทั้งร่างแต่ยังไม่วายเลิกรากันง่าย ๆ เหมยเหมยจับทั้งคู่แยกอย่างปวดหัว ให้ลุงพายเรือเรียกพ่อบ้านสตีเฟนมาก่อนจะให้พาพวกเขาไปเปลี่ยนชุดโดยด่วน
แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน เธอเป็นห่วงจริงๆ ว่าสยงมู่มู่จะเป็นหวัด!
สตีเฟนอายุราวห้าสิบปี มีผมสีทอง ตาสีฟ้า แต่ขนาดร่างกลับผอมบางไม่เหมือนภรรยาของเขาที่ร่างอวบอั๋นแข็งแรง แต่พ่อบ้านสตีเฟนชาวต่างชาติคนนี้ดีต่อเซียวเซ่อจากใจจริงเพราะพวกเขาทั้งคู่ไม่มีลูก จึงรักเซียวเซ่อเสมือนลูกสาวแท้ ๆ ของตน
เวลานี้สตีเฟนเห็นสภาพดูไม่จืดของเซียวเซ่อ นอกจากจะไม่เป็นห่วงสักนิดกลับรู้สึกดีใจมากกว่า ถึงขั้นพูดเชิงล้อเล่นหลายประโยค คุณลุงสตีเฟนมาอยู่ประเทศจีนได้แปดปีจึงพอจะพูดภาษาจีนได้คล่องปร๋อแล้ว ทั้งยังเป็นสำเนียงปักกิ่งของแท้เสียด้วย
“ผมว่าเซ่อเซ่อของเราน่าจะชอบพ่อหนุ่มชาวจีนหน้าสวยคนนั้นไม่น้อย เธอปฏิบัติต่อเด็กผู้ชายคนนี้ต่างจากคนอื่น”
คุณพ่อบ้านกระซิบกระซาบกับภรรยาคุณป้าซูซืออย่างปลื้มอกปลื้มใจ
………………..
ตอนที่ 737 กระโดดข้ามสามชั้น
คุณป้าซูซือรู้สึกเช่นเดียวกับสามี คิดว่าคุณหนูตนต้องรู้สึกพิเศษกับสยงมู่มู่แน่นอน ต่อให้พระเจ้าประทับลงมาคุณหนูของเธอก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบใดทั้งสิ้น แต่ทำไมพอเห็นเด็กหนุ่มชาวจีนหล่อเหลาคนนี้เข้าถึงได้ดีใจกอดกันตัวกลมขนาดนี้!
คุณป้าซูซือเป็นลูกครึ่งผิวสีกับผิวขาว ที่มีรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาใจดีเป็นกันเอง ฝีมือทำอาหารรสเลิศ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีพรสวรรค์ล้นเหลือ ตามที่พ่อบ้านสตีเฟนเล่าให้ฟังว่าหลังจากตนเองได้ลิ้มรสขนมรสเลิศที่คุณป้าซูซือทำ ก็เกิดตกหลุมรักหญิงสาวสีผิวที่ต่างจากตนตั้งแต่แรกพบ ยืนกรานจะแต่งงานกับคุณป้าซูซือโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของพ่อแม่ และครองรักกันมาจนถึงปัจจุบัน
เหมยเหมยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอยากให้คุณป้าซูซือต้มน้ำขิงใส่น้ำตาลแดงเสียหน่อย แต่เห็นป้าแม่ครัวผู้น่ารักกลับยกหม้อน้ำขิงใส่น้ำตาลมาแล้ว
คุณพ่อบ้านให้คนรับใช้คนอื่นเอาเสื้อผ้าสะอาดมาให้พวกเซียวเซ่อเปลี่ยนโดยเร็ว สยงมู่มู่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จก็จามติดต่อกันหลายครั้ง
“รีบดื่มน้ำขิง ไม่งั้นเดี๋ยวเป็นหวัดต้องทรมานไปอีกหนึ่งเดือนหรอก”
เหมยเหมยเป็นห่วงเป็นใยรีบตักน้ำขิงใส่น้ำตาลให้สยงมู่มู่ดื่ม เจ้าหมอนี่กลับทำหน้ายู่ จะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมดื่ม
“ไม่ดื่ม ฉันไม่เป็นหวัดหรอก ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น เธอเอาน้ำขิงออกไปห่างๆ หน่อย กลิ่นฉุนจนปวดหัว” สยงมู่มู่ใช้มือปิดจมูกไว้ ทำท่ารังเกียจน้ำขิงต้มน้ำตาลอย่างมาก
คนที่ตั้งท่ารังเกียจน้ำขิงใส่น้ำตาลเหมือนกับเขายังมีแม่หญิงเซียวอีกคน ตอนนี้ดันมีท่าทางคล้ายเด็กผู้หญิงขึ้นมาหน่อยแล้ว อ้อนคุณป้าซูซือเพราะไม่อยากดื่มน้ำขิงเช่นกัน
“ไม่ดื่ม หนูไม่ใช่ไก่อ่อนอย่างเขาสักหน่อยที่โดนลมนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด ต่อให้หนูแช่น้ำเย็นตอนหน้าหนาวก็ไม่เป็นไร” เซียวเซ่อไม่ลืมที่จะกระแนะกระแหนสยงมู่มู่ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่ชอบใจหมอนี่เอาเสียเลย
สยงมู่มู่สวนกลับคอเป็นเอ็น “คิดว่าเธอจะเก่งสักแค่ไหนเชียว เมื่อกี้เราเสมอกันนะ เธอไม่อายบ้างหรือไงกัน!”
“นั่นเป็นเพราะนายไม่เคารพกฎกติกา!”
“โถ่ ตอนตีกันใครจะเคารพกติกาให้เธอล่ะ เธอโง่หรือเปล่า?”
“นายสิโง่ ฉันกระโดดข้ามไปสามชั้น ตอนนี้เรียนม.สี่แล้ว!” เซียวเซ่อทำหน้าดูถูก เธอเป็นอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงถึงสองร้อยเชียวนะ กล้าบอกว่าเธอโง่?
สยงมู่มู่ชะงักทันที แอบบ่นแม่ของเขาจ้าวอิงหนานในใจไปสามวินาที ข่าวของแม่ไม่ทันสมัยเลย ทำไมไม่เคยบอกเขาว่าคนสกุลเซียวนี่กระโดดข้ามไปเรียนม.สี่แล้ว?
ที่แท้แม้สยงมู่มู่ไม่เคยเจอเซียวเซ่อมาก่อน แต่ชื่อของเซียวเซ่อกลับเติบโตมาพร้อมกับเขา จ้าวอิงหนานมักพูดถึงเซียวเซ่อให้เขาฟังเสมอว่าฉลาดและเก่งขนาดไหน
ดังนั้นการที่สยงมู่มู่ไม่ถูกชะตากับเซียวเซ่อก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสมอไป ลอบคิดในใจมาตลอดว่าจะต้องเอาชนะ ‘ลูกบ้านอื่น’ ที่มาจากปากแม่ของเขาให้ได้!
“มอสี่มีอะไรให้น่าภูมิใจ ถ้าพี่จะกระโดดข้ามชั้นก็ไปมอห้าแล้ว!” สยงมู่มู่เถียงกลับคอเป็นเอ็น ตัดสินใจกลับไปจะยื่นขอกระโดดข้ามชั้นบ้าง ต้องสูงกว่าเซียวเซ่อหนึ่งชั้นให้ได้
“รอนายข้ามได้ค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ตะโกนไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร!”
เซียวเซ่อแค่นหัวเราะที เธอได้ยินมาจากคุณหนูใหญ่เฝิงมาว่าสยงมู่มู่เรียนม.สามต่างหากถึงได้เลื่อนขึ้นไปม.สี่
ที่แท้เอาชนะซึ่งๆ หน้าสะใจยิ่งกว่าที่คิดแหะ!
เห็นสองคนตรงหน้าจะเริ่มทะเลาะกันรอบใหม่ เหมยเหมยรีบแทรกยืนระหว่างพวกเขาด้วยความโกรธ ยัดน้ำขิงใส่น้ำตาลใส่มือคนละถ้วย ตะคอกเสียงดัง “ดื่มลงไปให้หมด ห้ามเหลือแม้แต่หยดเดียว!”
ภายใต้ความน่าเกรงขามของเหมยเหมยเซียวเซ่อกับสยงมู่มู่จำต้องซดน้ำขิงใส่น้ำตาลอย่างเชื่อฟังและทำหน้ายู่ราวกับผิวมะระกันทั้งคู่
เห็นท้องฟ้าเริ่มมืดลงเหมยเหมยจึงบอกลาเซียวเซ่อ พร้อมทั้งนัดเธอว่าพรุ่งนี้จะไปเดินซื้อของด้วยกัน ก่อนจะพาสยงมู่มู่และอู่เชากลับบ้าน สตีเฟนจึงให้คนขับรถไปส่งพวกเขาที่บ้านตระกูลจ้าว
……………………….
ตอนที่ 738 ป่วยทีก็เหมือนภูเขาทรุด
วันที่สองเหมยเหมยไม่ได้ไปเดินซื้อของกับเซียวเซ่อตามที่นัดไว้ เพราะสยงมู่มู่เป็นหวัด หลังกลับจากบ้านตระกูลเซียวยังปกติดีทุกอย่าง ทานข้าวเย็นไปชามโต แทะเนื้อซี่โครงไปสามชิ้นใหญ่ ดึกดื่นกลับไข้ขึ้นเสียได้ เจ้าอ้วนน้อยที่นอนห้องเดียวกับเขาสังเกตถึงความผิดปกติถึงไปปลุกเหมยเหมยมา
เจ้าสยงมู่มู่พอป่วยทีก็ทำเอาตกใจกันแทบตาย ไข้ขึ้นสูงสามสิบเก้าองศาครึ่ง คออักเสบจนพูดไม่ได้และใบหน้าแดงก่ำเหมือนถูกต้มมาจนสุก
เหมยเหมยแอบรู้สึกผิดลึกๆ เมื่อนั้นเธอควรรีบห้ามทัพให้เร็วกว่านี้ ไม่ควรปล่อยให้สยงมู่มู่ทะเลาะกับเซียวเซ่อ แต่เธอคิดไม่ถึงว่าร่างกายหมอนี่จะใช้ไม่ได้ขนาดนี้นี่นา!
คุณหมอประจำของท่านปู่จ้าวมาฉีดยาให้สยงมู่มู่แต่เช้า ไข้ลดแล้ว แต่มีอาการไอตามมาไม่หยุดราวกับกล่องสูบลม ทำเอาทุกคนที่ได้ยินรู้สึกแย่ไปตามๆ กัน
เหมยเหมยโทรหาเซียวเซ่อเลื่อนนัดวันนี้ออกไป เธอต้องอยู่ดูแลสยงมู่มู่ที่บ้าน คุณหญิงย่าอายุมากแล้วจะให้ท่านเหนื่อยไม่ได้
“สยงมู่มู่รีบลุกมากินโจ๊กเร็ว!”
โจ๊กเป็นเพียงโจ๊กขาวใส่เครื่องปรุง น่าจะมีส่วนช่วยให้สยงมู่มู่หายเร็วขึ้น เพียงแต่โรคปอดชื้นติดตามเขามาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทำได้แค่ค่อยๆ ปรับกันไป หวังว่าอนาคตโตขึ้นจะหายเป็นปกติ
“ไม่อยากกิน ฉันจะนอน”
สยงมู่มู่ปวดหัวแทบแย่ รู้สึกขมไปทั้งปาก แล้วจะมีความอยากอาหารเสียที่ไหนกัน แค่อยากนอนเท่านั้น
“นอนอะไรเล่า พี่สี่กับเสี่ยวเชาจับตัวเขาไว้ พี่ห้าจับเขาอ้าปาก!”
เหมยเหมยไม่มีทางใจอ่อนปรานีเหมือนคนตระกูลจ้าว เมื่อก่อนพอสยงมู่มู่ป่วยก็เรื่องมากไม่กินอันนั้นไม่กินอันนี้ คนตระกูลจ้าวรักเขาเลยปล่อยเลยตามเลย จากอาการป่วยที่ไม่หนักหนาเท่าไหร่ก็ลามจนใหญ่โต
เธอไม่ได้เป็นคนคุยยาก ไม่ทานข้าวจะเอาแรงที่ไหนมาสู้กับเชื้อไวรัส ตรงกันข้ามมีแต่จะทำให้ร่างกายย่ำแย่ เธอให้จ้าวเสวียไห่และทั้งสามคนกดตัวสยงมู่มู่ไว้แล้วตักโจ๊กอุ่นๆ ป้อนไปทีละช้อนๆ เสมือนคนขายเป็ดที่กำลังกรอกทรายใส่ปากเป็ด
ไม่นานโจ๊กก็หมดถ้วย สยงมู่มู่เองก็โดนทรมานจนเหงื่อซึมทั่วตัวและดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นไม่น้อย
“จ้าวเหมยเธอรอดูเถอะ รอดูว่าฉันหายแล้วจะสั่งสอนยายบ้าอย่างเธอยังไง!” สยงมู่มู่โกรธจนตะเบ็งเสียงแหบด่ากราด
เหมยเหมยแค่นเสียงในลำคอ มีแรงด่าคนได้บ่งบอกว่าคงไม่ได้ป่วยหนักแล้ว ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอีก!
เธอใส่ยานอนหลับในโจ๊กด้วย สยงมู่มู่โวยวายอยู่ไม่กี่ประโยคก็สลบเหมือดไปในเวลาไม่นาน ใบหน้าโทรมจากอาการป่วยทำเอาคนที่เห็นเกิดรู้สึกสงสารขึ้นมา
ตอนบ่ายเซียวเซ่อเอาผลไม้มาเยี่ยมเจ้าเด็กสยง อากาศร้อนขนาดนี้อยู่บ้านเล่นกับสัตว์เลี้ยงดีเยกว่า ทำไมต้องวิ่งมาเยี่ยมไอ้คนน่ารำคาญนั่นด้วย ต่อให้เธอไม่อยากแค่ไหนแต่คุณลุงสตีเฟนกับคุณป้าซูซือก็คะยั้นคะยอให้เธอมา ทั้งยังบอกว่าสยงมู่มู่ป่วยเพราะเธอ ไม่มาก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย
ดังนั้นช่วงบ่ายแม่หญิงเซียวถึงปรากฏตัวที่ห้องนั่งเล่นบ้านตระกูลจ้าว แทะแตงโมที่เป็นบรรณาการพิเศษอย่างพึงพอใจ ลืมผู้ป่วยในห้องไปโดยสิ้นเชิง
ไอ้คนน่ารำคาญนั่นยังนอนอยู่ ที่เธอไม่เข้าไปก็เพราะมีมารยาท คุณลุงสตีเฟนหาจุดตำหนิไม่ได้หรอก ทานแตงโมเป็นเรื่องสำคัญกว่า!
“นี่เซ่อเซ่อ พรุ่งนี้พ่อของเธอจัดนิทรรศการศิลปะใช่มั้ย เราไปดูกันเถอะ?”
เหมยเหมยสายตาแหลมคม เพียงแวบเดียวก็เห็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนโต๊ะทรงเตี้ย เซียวจิ่งหมิงสามตัวอักษรใหญ่เด่นหราอยู่บนกระดาษ พอหยิบมาอ่านอย่างละเอียดก็เป็นข่าวที่คุณเซียวจิ่งหมิงจะจัดนิทรรศการศิลปะครั้งที่สามขึ้น จึงอดไม่ได้ที่เกิดความคิดอยากไปเยี่ยมชมเพื่อการเรียนรู้
เซียวเซ่อแค่นเสียงหัวเราะทำหน้าไม่แยแส “มีอะไรให้น่าดู ขยะทั้งนั้น!”
…………………..
ตอนที่ 739 ขยะทั้งนั้น
ถึงรู้มานานแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซียวเซ่อกับพ่อแม่ไม่ดีเท่าไรนัก แต่ดูจากตอนนี้ไม่ใช่แค่ไม่ดี คงถึงขั้นเลวร้ายเลยต่างหาก
เซียวจิ่งหมิงเป็นถึงนักศิลปินชื่อดังระดับโลก แม้สาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากอาจารย์และสถานะในตระกูลชั้นสูงของเขา แต่ฝีมือการวาดของเขาก็ดีมากจริงๆ หากเป็นแค่คนไร้ความสามารถที่ผงาดขึ้นไม่ได้ ต่อให้เธอเป็นเจ้าชายก็ไม่มีวันผงาดขึ้น
แต่ตอนนี้เจ้าเด็กเซียวเซ่อกลับดูแคลนภาพวาดพ่อของตนอย่างไร้ค่า เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นเซียวจิ่งหมิงอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ!
เซียวเซ่อแทะแตงโมหมดสองสามคำก็หมดไปหนึ่งชิ้น พลางหยิบชิ้นใหม่มาแทะต่อ แล้วยังเหยียบซ้ำอีกที “ถ้าเธออยากเรียนรู้ก็ไปดูรูปวาดของคุณปู่ฉันสิ รูปของท่านดีกว่าที่เซียวจิ่งหมิงวาดร้อยเท่า”
ภาพวาดของอาจารย์เซียวเหยี่ยนดีอยู่แล้ว แต่รูปของเขาเป็นสไตล์จีนโบราณนี่นา แตกต่างจากสไตล์การวาดของเซียวจิ่งหมิงที่เป็นสไตล์ตะวันตก ไม่มีส่วนไหนเทียบกันได้เลย!
“เซ่อเซ่อ เธอทะเลาะกับพ่อเธออีกแล้วใช่มั้ย?”
เหมยเหมยเดาสาเหตุได้ทันที เมื่อก่อนต่อให้เซียวเซ่อจะไม่ชอบพ่อตัวเองมากขนาดไหน แต่ตอนอยู่ข้างนอกไม่เคยพูดถึงเซียวจิ่งหมิงในทางที่ไม่ดีเลย วันนี้กลับผิดปกติแบบนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
เซียวเซ่อชะงักมือที่ถือแตงโมชั่วขณะ ตอบกลับทั้งที่ยังไม่เงยหน้า “เปล่า ไม่มีเวลาว่างมาทะเลาะกับเขาหรอก”
เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยไม่พูดอะไรอีก ความจริงเธอเคยเจอเซียวจิ่งหมิงที่บ้านเซียวเซ่อหลายครั้ง สมกับคำที่ล่ำลือว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามดั่งหยก มิน่าตอนนั้นคุณหนูใหญ่เฝิงถึงหลงรักเขาหังปักหัวปลำ กระทั่งตอนนี้ยังพัวพันไม่เลิกตัดกันไม่ขาด
จากมุมของเธอความจริงเซียวจิ่งหมิงรักลูกสาวมาก เพียงแต่ระหว่างนี้ไม่รู้ว่าเกิดความเข้าใจผิดอะไรขึ้นถึงทำให้เซียวเซ่อมีปมใหญ่ในใจต่อพ่อแม่ เจอหน้ากันทีไรต้องทะเลาะกันทุกที
แต่เธอรู้สึกได้ว่าเซียวเซ่อไม่ได้เกลียดพ่อแม่หรอก ตรงกันข้ามเด็กผู้หญิงคนนี้สนใจพ่อแม่ไม่น้อยทีเดียว แค่วิธีแสดงออกผิดไปสักหน่อย ทำให้ระยะห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าไม่ถูกกันดั่งน้ำกับไฟอย่างตอนนี้
เซียวเซ่อได้ยินเสียงถอนหายใจของเหมยเหมยเลยเข้าใจผิดว่าเพื่อนเสียใจที่อดไปงานนิทรรศการศิลปะของพ่อเธอ จนอดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ กัดฟันกรอด ก่อนจะกล่าวว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปงานนิทรรศการเป็นเพื่อนเธอ แต่บอกไว้ก่อนนะ ดูแค่ชั่วโมงเดียว”
วันต่อมางานนิทรรศการศิลปะเริ่มตั้งแต่แปดโมงเช้าและสิ้นสุดที่บ่ายสามโมง ล้วนเป็นภาพวาดโดยฝีมือเซียวจิ่งหมิงเพียงคนเดียว เป็นงานนิทรรศการของเขาโดยเฉพาะ นับได้ว่าเป็นการปฏิบัติถึงระดับกิตติมาศักดิ์เลยทีเดียว
เหมยเหมยไม่ให้เซียวเซ่อนั่งรถไปแต่ปั่นจักรยานไปเอง แม่หญิงเซียวเซ่อดีทุกอย่างเว้นเสียแต่จุดหนึ่งที่ทำให้เหมยเหมยไม่ชอบใจอย่างมากคือออกจากบ้านต้องนั่งรถ ไม่ยอมปั่นจักรยานหรือนั่งรถเมล์เด็ดขาด ดูก็รู้ว่าเป็นการกระทำของคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง
เหมยเหมยกลับตรงกันข้าม ชอบปั่นจักรยานเป็นเองที่สุด อยากไปไหนก็ไป ทั้งยังเป็นการรักษ์โลกและอิสระ เซียวเซ่อเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียวเพราะได้รับผลกระทบจากเธอ เรียนรู้ที่จะปั่นจักรยานเวลาออกนอกบ้านกับเหมยเหมย
พวกเธอปั่นกันคนละคัน เหมยเหมยอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ ดูสวยหวานสดใส ส่วนเซียวเซ่อใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ เสื้อผ้าของเธอแทบทั้งหมดเป็นสีดำล้วน ฤดูร้อนจะแต่งแนวนี้เสียส่วนมาก อีกทั้งเป็นเสื้อยี่ห้อเดียวกันทั้งหมด คนไม่รู้คงคิดว่าเธอไม่เปลี่ยนเสื้อเลยตลอดฤดูร้อน!
“เซ่อเซ่อ ปั่นจักรยานสบายกว่านั่งรถใช่มั้ยล่ะ? อิสระจะตายไป!” เหมยเหมยพูดเสียงดัง
เซียวเซ่อขมวดคิ้วแน่นและดึงหมวกกันแดดลงต่ำ แสงแดดบ้าบอทำเธอเวียนหัว เหมยเหมยคุยโม้จนไม่ลืมหูลืมตา นั่งรถมีแอร์แล้วยังทานไอศกรีมได้อีก สบายกว่าปั่นจักรยานตั้งหลายร้อยเท่า
ก่อนที่เซียวเซ่อจะเป็นลมเพราะแสงแดดไป ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งหนึ่ง เซียวเซ่อวิ่งไปซื้อน้ำอัดลมแช่เย็นกรอกปากสามขวดรวดถึงจะกลับมามีแรงเหมือนเดิม
…………………….
ตอนที่ 740 วาดตัวอะไรกัน
เหมยเหมยไม่ได้ดื่มน้ำอัดลมแช่เย็นเพราะปีที่แล้วประจำเดือนของเธอเริ่มมา ยังคงปวดท้องเหมือนชาติที่แล้ว เหยียนซินหย่าพาเธอไปพบหมอกู้มาแล้ว จะว่าไปหมอกู้เองแม้จะมีนิสัยแปลกประหลาดแต่เขาไม่เคยปฏิเสธที่จะรับตรวจไข้ของเหยียนซินหย่าสักครั้ง เพียงแต่ทุกครั้งก็ยังทำท่าสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง
แต่หมอกู้มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์สูง หลังตรวจชีพจรให้เหมยเหมยก็รู้เลยว่าเธอได้รับความเย็นเข้าตัวตั้งแต่เด็ก อีกทั้งขาดแคลนสารอาหารจึงทำให้มดลูกเกิดการหดตัวและปวดท้องในที่สุด โชคดีเหมือนกันที่อายุยังน้อย ไว้ค่อยๆ ปรับกันไปก็หายได้ ไม่ต้องคอยปวดท้องเหมือนจะเป็นจะตายอย่างชาติที่แล้ว
หลังเหยียนซินหย่าได้ฟังคำของคุณหมอกู้ก็ยิ่งเกลียดชังอู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นเข้ากระดูก นึกเสียใจที่จ้าวอิงหัวลงโทษพวกเขาไม่แรงพอ เบาไปสำหรับพวกเขา
ทานยาที่คุณหมอกู้ให้มาไม่ถึงหนึ่งปีอาการปวดท้องประจำเดือนของเหมยเหมยก็ดีขึ้นมาก แต่หมอกู้เองก็บอกแล้วว่าให้เธอพยายามลดเครื่องดื่มเย็นจัดให้น้อยลงก่อนบรรลุนิติภาวะ ต่อให้ฤดูร้อนก็ดื่มมากไม่ได้ เลยทำให้เธอไม่ดื่มเครื่องดื่มแช่เย็นต่อให้ร้อนขนาดไหนก็ตาม หากทนไม่ไหวจริงๆ ค่อยดื่มสักนิด แต่ก็แค่พอจิบเท่านั้น
“เซ่อเซ่อ ดื่มให้น้อยๆ หน่อย ผู้หญิงอย่างเราดื่มของเย็นมากไปไม่ดีต่อสุขภาพ”
เซียวเซ่อที่ดื่มของเย็นไปสามขวดยังไม่พอใจซื้อไอศกรีมมาอีกสองแท่ง แน่นอนว่าไม่ได้ให้เหมยเหมยเพราะเธอรู้ว่าเพื่อนไม่ทานของเย็น ไอศกรีมสองแท่งเป็นของเธอทั้งคู่ ทานสองแท่งทีเดียวถึงจะสะใจไงล่ะ!
“ไม่เป็นไร ห้าธาตุของฉันขาดน้ำแข็ง ทานของเย็นแค่ไหนก็ไม่เป็นไร”
เซียวเซ่อกัดคำหนึ่งอย่างไม่สนใจจนไอศกรีมหายไปครึ่งแท่ง
เหมยเหมยเห็นแล้วรู้สึกเสียวไปทั้งฟัน แต่เด็กผู้หญิงคนนี้กลับทำหน้าเรียบเฉย เคี้ยวน้ำแข็งเหมือนเคี้ยวถั่วลิสง กรุบๆ ไม่กี่คำก็กลืนลงท้องไปแล้ว แล้วสวาปามที่เหลือจนหมดแท่ง
เซียวเซ่อโยนไม้ไอศกรีมลงถังขยะ แล้วค่อย ๆ เลียไอศกรีมที่เหลืออีกแท่ง รอบๆ มุมปากเปื้อนไปด้วยไอศกรีม ปรับภาพลักษณ์เย็นชาแข็งกระด้างของเธอให้ดูจางลง
เหมยเหมยส่ายศีรษะถอนหายใจ วิธีทานแบบนี้เหลือเกินจริงๆ ไม่ปวดประจำเดือนสิแปลก!
อย่าคิดว่าเธอจะไม่รู้ว่าเซียวเซ่อเองก็มีอาการปวดท้องประจำเดือนเหมือนกัน แต่เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่คิดใส่ใจสุขภาพตัวเองเลยสักนิด ประสาทสัมผัสเองก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ช้านัก หากไม่ใช่ว่าครั้งหนึ่งเธอพบเข้าโดยบังเอิญคงไม่มีทางรู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มีอาการปวดท้องประจำเดือน
ทั้งคู่เดินขนาบข้างกันเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ มีคนมาไม่น้อยแล้ว รวมถึงสื่อโทรทัศน์และนักข่าวตามสำนักข่าวต่างๆ ผนังกำแพงห้องโถงใหญ่ล้วนแขวนเต็มไปด้วยภาพวาด มีหลายคนยืนคุยกันอยู่ตรงหน้าผลงานภาพวาด ต่างเอ่ยปากชื่นชมไม่ขาดสาย
ศิลปะเป็นสิ่งที่เข้าใจตรงกันได้ แต่เหมยเหมยกลับไม่เข้าใจว่าภาพวาดของคุณเซียวดีตรงไหน?
เธอดูแล้วทำหน้ามึน!
นี่ภาพวาดบ้าอะไรกันเนี่ย!
คนไม่เหมือนคน สัตว์ไม่เหมือนสัตว์ สิ่งก่อสร้างไม่เหมือนสิ่งก่อสร้าง ไม่ดูคล้ายอะไรเลย!
เธอรู้อยู่แล้วว่าภาพวาดสไตล์ตะวันตกนี้มีชื่อเรียกดูดีอลังการว่า—ศิลปะนามธรรม อีกทั้งยังมีศิลปินคนสำคัญที่โด่งดังไปทั่วโลกด้วยฝีมือการวาดสไตล์ศิลปะนามธรรม
แต่คำถามคือคุณเซียวไม่ได้มีแนวทางการวาดสไตล์นี้นี่นา เหมยเหมยเคยดูภาพวาดเก่าๆ ของเขามาก่อน ภาพคน ภาพสิ่งของ หรือภาพตามธรรมชาติ ต่างเป็นผลงานภาพวาดที่สมจริงและวาดได้มีความงามเฉพาะตัว
“ช่วงนี้พ่อเธอมีเรื่องสะเทือนใจอะไรมาหรือเปล่า?”
เหมยเหมยกับเซียวเซ่อยืนจ้องตากันอยู่หน้าภาพวาดหลากสีสันภาพหนึ่ง คิดเสียว่าเป็นภาพวาดก่อนแล้วกันแต่เหมยเหมยกลับคิดว่าภาพวาดนี้ต้องเป็นภาพที่เขาเผลอทำถังสีหกใส่ผ้าตอนอารมณ์เสียหลังคุณเซียวทะเลาะกับคุณหนูใหญ่เฝิงแน่ๆ หลังจากนั้นคุณเซียวก็เอาออกมาจัดงานแสดง
คนรวยเอาแต่ใจจริงแหะ!
……………………….
ตอนที่ 741 ก็คือขยะ
เซียวเซ่อยักไหล่ “วันๆ เขาเอาแต่เป็นบ้า เคยเป็นปกติที่ไหนล่ะ!”
เหมยเหมยพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย เมื่อก่อนเซียวเซ่อเอาแต่บอกว่าพ่อของตนสมองไม่ปกติเธอยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ตอนนี้พอเห็นของประหลาดเต็มห้องก็พอเชื่อบ้างแล้ว
เกรงว่าสมองของคุณเซียวคนนี้น่าจะไม่ปกติเท่าไรจริงๆ!
ยุคนี้ของประเทศจีนจะรู้จักศิลปะนามธรรมที่ไหนกัน อีกอย่างศิลปินส่วนใหญ่ในประเทศยังไม่ยอมรับศิลปะจากต่างชาติย่อมไม่สนใจศิลปะนามธรรมอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเซียวจิ่งหมิงต้องการทำอะไรถึงได้จัดงานนิทรรศการนี้ขึ้นมา
“ไม่ต้องดูแล้ว ฉันบอกแล้วว่าเป็นขยะ มีอะไรให้น่าดูกัน ไป ไปกินทาร์ตไข่ที่บ้านฉัน ป้าซูซือเพิ่งอบเสร็จหมาดๆ”
เซียวเซ่อมองภาพวาดของพ่อตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ กระชากเหมยเหมยหมายจะกลับบ้าน เหมยเหมยที่นึกผิดหวังในใจก็ไม่รั้นจะดูรูปต่อ ดูไม่เข้าใจแล้วจะดูต่อทำไม!
“เซ่อเซ่อเธออย่าพูดแบบนั้นสิ เราแค่ไม่เข้าใจเอง จะบอกว่าคุณเซียววาดไม่ดีไม่ได้นะ”
เหมยเหมยไม่อยากให้ความสัมพันธ์เพื่อนกับพ่อแท้ๆ แย่ไปกว่านี้อีกแล้วเลยเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น
เซียวเซ่อทำหน้าระอา “ก็คือขยะ ต่อหน้าเขาฉันยังพูดได้เลยว่าวาดอะไร คนที่ซื้อภาพวาดของเขาตาบอดกันไปหมดแล้ว”
“นักเรียนคนนี้แววตาใช้ได้ แวบเดียวก็ดูออกเลยว่าเป็นภาพขยะ อนาคตก้าวไกลแน่นอน!”
จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะระลอกใหญ่ดังขึ้นจากด้านหลังแล้วตามด้วยเสียงฝีเท้า
เหมยเหมยกับเซียวเซ่อหันหลังเห็นนักข่าวกลุ่มหนึ่งล้อมเข้าหา คนอีกนับสิบที่ดูไม่เหมือนนักข่าว ส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัย โดยคนนำคือคนสูงวัยรูปร่างซูบผอมหน้ามีเครา ดูท่าทางไม่ใช่คนดี
สองคนในนั้นเป็นคนคุ้นเคยของเหมยเหมย เจิ้งซื่อหลินกับหร่วนหวาไฉ่ ไม่ได้เจอกันสองปีสองคนนี้ยังมีสภาพเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
คนที่พูดคือผู้สูงวัยร่างซูบผอมที่เดินนำหน้า ตอนนี้เขามองพวกเหมยเหมยด้วยใบหน้ายิ้มร่า ดูท่าทางคนสูงวัยท่านนี้น่าจะเป็นผู้นำคนกลุ่มนี้
เซียวเซ่อหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยรีบใช้มือบังหน้าไว้พลางตะโกนพูดอย่างไม่พอใจ “ใครให้พวกคุณถ่ายฉัน? หยุดถ่ายเดี๋ยวนี้!”
เหมยเหมยเองก็ไม่ชอบให้คนมารุมถ่ายรูป แต่เธอรู้ว่าพูดไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ไว้กลับไปหาผู้ใหญ่ก็ได้ เพราะไม่ว่าจะคนตระกูลจ้าวหรือคุณหนูใหญ่เฝิงแค่โทรหาสถานีโทรทัศน์กับสำนักพิมพ์เสียหน่อย สื่อเหล่านี้ก็ไม่กล้าปล่อยรูปซี้ซั้ว
คุณตาร่างซูบผอมชะงักราวกับคิดไม่ถึงว่าพวกเหมยเหมยจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ เด็กทั่วไปถูกนักข่าวสัมภาษณ์ควรมีท่าทีเขินอายหรือภาคภูมิใจไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงปฏิเสธแบบนี้?
“คุณลุงคุณป้าพวกนี้คือนักข่าว พวกเขาแค่อยากถามคำถามพวกหนูนิดหน่อย อย่าไปกลัว!” คุณตาร่างซูบผอมพยายามฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร
เหมยเหมยไม่สนใจเขาฉุดแขนเซียวเซ่อเตรียมกลับ แต่ไม่รู้ว่าเริ่มมีคนมารายล้อมตั้งแต่เมื่อไร แออัดจนไม่อาจแทรกตัวออกไปได้
“เราไม่อยากตอบคำถามอะไร หยุดถ่ายได้เลย ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้องความผิดฐานละเมิดสิทธิส่วนบุคคล!”
เหมยเหมยตีหน้านิ่งกล่าวด้วยเสียงดุดัน
ทุกคนตกใจจนชะงักนิ่งไปเพราะปฏิกิริยาของพวกเหมยเหมยที่แตกต่างจากคนทั่วไป ยุคนี้ใครเล่าจะสนใจสิทธิส่วนบุคคล มีแต่จะอยากให้สถานีโทรทัศน์มาสัมภาษณ์พวกเขาด้วยซ้ำ!
เจิ้งซื่อหลินกับหร่วนหวาไฉ่จำเหมยเหมยได้แล้วก็มุ่นคิ้วน้อยๆ กระซิบพูดข้างหูคุณตาร่างผอมไม่กี่ประโยค คนตาร่างซูบผอมเองก็ขมวดคิ้วตาม
มิน่าอายุไม่มากแต่กล้าพูดจาเหิมเกริม ที่แท้คือเจ้าหญิงตัวน้อยประจำตระกูลจ้าวนั่นเอง!
คุณตาร่างซูบผอมเปลี่ยนใจเพราะมีความคิดที่ดีกว่านั้น มองไปทางเหมยเหมยด้วยสายตามั่นใจ
เจ้าหญิงตัวน้อยคนนี้ไม่ใช่คนนิสัยดีอะไร เรื่องสองปีก่อนเขาไม่เคยลืม วันนี้ให้เจ้าหญิงตัวน้อยคนนี้เป็นมือปืนสักครั้งแล้วกัน!
………………..
ตอนที่ 742 ดูไม่เข้าใจก็ถูกต้องแล้ว
ที่แท้ชายอาวุโสร่างซูบผอมคนนี้ก็คือตานเหอเจิ้ง ชายโฉดที่ทำให้คุณตาของเหมยเหมยต้องตาย และเป็นอาจารย์ของหร่วนหวาไฉ่กับเจิ้งซื่อหลิน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตานเหอเจิ้งมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แถมยังได้เดินทางไปให้สัมภาษณ์ที่ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ได้ดิบได้ดียิ่งกว่าคุณปู่ของเซียวเซ่ออย่างอาจารย์เซียวเหยี่ยน นับว่าเป็นผู้นำด้านศิลปะที่กำลังได้รับความนิยม
วันนี้เขาเชิญนักข่าวมาร่วมชมนิทรรศการศิลปะของเซียวจิ่งหมิง แต่ไม่ใช่มาเพื่อให้กำลังใจ แต่มีเป้าหมายหลักเพื่อมาก่อกวน
ซึ่งสาเหตุนั้นมีสองข้อ
ข้อแรก เพราะเซียวจิ่งหมิงเป็นลูกชายของอาจารย์เซียวเหยี่ยน อาจารย์เซียวเหยี่ยนเคยลงบทความในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเหยียนตานชิง ซึ่งเป็นบทความวิพากษ์วิจารณ์ความชั่วร้ายของอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสามคน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางสำหรับตานเหอเจิ้ง
ข้อสอง เพราะหลายปีมานี้เซียวจิ่งหมิงเริ่มมีชื่อเสียงในประเทศ ออร่าของเขาเริ่มปกคลุมกลุ่มของพวกตานเหอเจิ้ง อีกทั้งเซียวจิ่งหมิงยังเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศ ต้องบอกว่าเขาโด่งดังในระดับโลกมากกว่าแค่ในประเทศอีก
ด้วยนิสัยใจคอที่คับแคบของตานเหอเจิ้ง จะยอมให้มีคนเกินหน้าเกินตาเขาได้อย่างไร?
ย่อมต้องหาทางจัดการเซียวจิ่งหมิงอยู่แล้ว!
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเซียวเซ่อบอกว่าภาพวาดของเซียวจิ่งหมิงเป็นขยะ อย่าให้พูดเลยว่าเขารู้สึกดีใจขนาดไหน และแน่นอนว่าเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเซียวเซ่อคือใคร กลับหลงคิดว่าเป็นแฟนหนุ่มของเจ้าหญิงตัวน้อยแห่งตระกูลจ้าวเสียอีก
“เมื่อกี้เธอเพิ่งบอกว่ารูปพวกนี้คือขยะไม่ใช่เหรอ? ฉันก็คิดเช่นเดียวกับเธอ วาดอะไรไม่เข้าใจถึงอารมณ์เลยสักนิด พ่อหนุ่มว่างั้นมั้ย?”
ตานเหอเจิ้งจงใจลากเข้าประเด็นเมื่อครู่เพื่อหลอกล่อเซียวเซ่อให้พูดต่อ แต่เขากลับคิดไม่ถึงสถานะที่แท้จริงของเซียวเซ่อ
เซียวเซ่อถลึงตาจ้องตานเหอเจิ้งอย่างดุดัน พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครบอกว่าภาพวาดพวกนี้คือขยะ? คุณแก่แล้วตาพร่ามัวไปแล้วหรือเปล่า? ถ้าภาพวาดพวกนี้คือขยะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะจะนำมาจัดงานนิทรรศการได้ยังไง? คุณกำลังจะบอกว่าเจ้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะตาบอดงั้นเหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของตานเหอเจิ้งชะงักลงไปทันตา ทำไมถึงพูดไม่เหมือนเมื่อกี้ล่ะ?
ทั้งที่เมื่อสักครู่พ่อหนุ่มคนนี้บอกว่าภาพวาดเหล่านี้คือขยะ แม้เขาอายุมากแต่หูยังใช้งานได้ดี จะฟังผิดได้อย่างไร?
“พ่อหนุ่มอย่ากลัวไปเลย เธอแค่บอกความจริงมาก็พอ ไม่มีใครกล้าตำหนิเธอหรอก”
ตานเหอเจิ้งหลอกล่ออีกครั้ง เขาคิดว่าที่เซียวเซ่อไม่ยอมพูดความจริงเพราะคงกังวลบางอย่าง
เซียวเซ่อถลึงตาใส่เขาไปอีกที “สมองคุณมีปัญหาหรือไง? ฉันกำลังพูดความจริงอยู่นี่ไง ภาพวาดของคุณเซียวจิ่งหมิงได้รับความนิยมทั้งในและนอกประเทศ แม้แต่ราชวงศ์ยุโรปยังชื่นชอบภาพวาดของเขามาก แล้วภาพวาดของเขาจะเป็นขยะได้ยังไง? คุณดูไม่เข้าใจเองมันบ่งบอกได้แค่ว่าคุณไม่มีความรู้ด้านนี้ ไม่รู้แม้แต่ความหมายที่แท้จริงของศิลปะนามธรรม”
เหมยเหมยแสร้งถาม “เซ่อเซ่อ ความหมายที่แท้จริงของศิลปะนามธรรมคืออะไรเหรอ?”
เซียวเซ่อเหลือบมองตานเหอเจิ้งอย่างดูถูกพลางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ก็คือดูไม่เข้าใจไง ถ้าเข้าใจก็ไม่ใช่ศิลปะนามธรรม”
กลุ่มคนที่ยืนดูอยู่รอบตัวต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ใช่ พ่อหนุ่มพูดไม่ผิด ภาพวาดบ้าบอของอาจารย์ปิกัสโซก็ดูแล้วไม่เข้าใจความหมายเหมือนกัน แต่ก็กลายเป็นตำนานระดับโลกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
เหมยเหมยเกร็งปากพยายามกลั้นเสียงหัวเราะไว้ เซียวเซ่อสรุปได้ดีจริงๆ ก็ใช่ไง ภาพที่ดูเข้าใจคือภาพวาดเสมือนจริง ส่วนศิลปะนามธรรมก็คือศิลปะที่ไม่ได้สร้างให้เข้าใจความหมายของมัน!
ด้านตานเหอเจิ้งสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเป็นถึงศิลปินระดับโลกแต่วันนี้กลับโดนเด็กหนุ่มที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตำหนิหาว่าเขาตาบอด เขาจะยอมทนได้อย่างไร?
ในตอนนั้นเองก็มีนักข่าวขี้สงสัยถามขึ้น “อาจารย์ตาน ทำไมท่านถึงคิดว่าภาพวาดของคุณเซียวเป็นขยะหละ?”
เหมยเหมยสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที อาจารย์ตาน?
แล้วยังอยู่กับหร่วนหวาไฉ่ หรือว่าจะเป็นตาแก่ตานเหอเจิ้ง?
…………………
ตอนที่ 743 ผู้ชายผู้หญิงยังแยกไม่ถูก ตาไม่บอดแล้วเป็นอะไร
ตานเหอเจิ้งกระแอมไอแสร้งว่าพูดหยอก หมอนี่เป็นถึงศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยจะต้องพูดได้ดีอยู่แล้ว เขาชี้จุดบกพร่องในภาพวาดของเซียวจิ่งหมิงออกมาทีละข้อๆ ไหนจะเรียกร้องให้ทุกคนรู้สึกรักในประเทศชาติ อย่าไปชื่นชมบูชาโลกตะวันตกมากหรือให้ความสนใจกับศิลปะตะวันตกจนออกนอกหน้าเกินไป
สิ้นคำพูดของเขาผู้คนที่ยืนล้อมอยู่ความคิดก็เริ่มสั่นคลอน ในเมื่อหมอนี่ยืนอยู่จุดสูงสุดของศีลธรรม แล้วยังโยงไปถึงเรื่องรักชาติด้วยอีก พวกพ้องที่รักชาติจะต้องมีความรู้สึกร่วมไปด้วยแน่นอน
ไอเย็นแผ่ออกมารอบตัวเซียวเซ่อมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ เช่นกัน ต่อให้เธอจะบอกว่าภาพวาดของพ่อตัวเองเป็นขยะ แต่ในใจของเธอนั้นกลับยกย่องพ่อตัวเองเป็นอย่างมาก พอได้ยินตานเหอเจิ้งพูดจาใส่ร้ายพ่อของเธอต่อหน้า มีหรอเซียวเซ่อที่นิสัยขี้โมโหจะทนไหว!
เหมยเหมยดึงเซียวเซ่อไว้เบาๆ ส่ายศีรษะเล็กน้อยไม่ให้เธอระเบิดอารมณ์ออกมา
ตานเหอเจิ้งพูดยาวเหยียดอย่างชอบใจ แสร้งถามเหมยเหมย “แม่หนู คิดว่าฉันพูดเป็นยังไงบ้าง?”
เหมยเหมยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ไม่ยังไง”
ต่อให้เธอรู้สึกว่าภาพวาดของเซียวจิ่งหมิงไม่ได้มีความหมายเท่าไร แต่ ณ เวลานี้เธอไม่มีทางช่วยคนนอกเหยียบย่ำพ่อของเพื่อนเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่เป็นศัตรูของเธอเหล่านั้น
เหมยเหมยถามอีก “คุณสกุลตาน? หรือว่าชื่อตานเหอเจิ้ง?”
ตานเหอเจิ้งรู้สึกลำพองใจ คิดไปว่าเหมยเหมยคงเคยได้ยินชื่อของเขามาเลยรีบพยักหน้าตอบรับ “ใช่ ฉันเอง แม่หนูเคยได้ยินชื่อของฉันมาก่อนเหรอ?”
เหมยเหมยพยักหน้าเบาๆ “ตานเหอเจิ้งคนดังฉันต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว ฉันไม่ใช่คนหูหนวกหรือตาบอด แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆ จากสถานะของคุณตานจำเป็นต้องมาหาเรื่องถึงหน้าบ้านคนอื่นด้วยหรือ แถมยังโยงไปถึงเรื่องรักชาติ แล้วการชื่นชอบศิลปะตะวันตกมันไม่รักชาติตรงไหน? คำนิยามแบบนี้ออกจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า!”
เธอพูดต่อ “ถ้าอ้างอิงคำพูดของคุณตาน งั้นคนในประเทศเราก็คงต้องห้ามเล่นเปียโนแล้วหละ เพราะเปียโนก็เป็นเครื่องดนตรีของตะวันตกนี่นา ไหนจะกีตาร์ ไวโอลิน เชลโล ก็เอาของพวกนี้ออกไปจากประเทศเสีย ใครที่เรียนเครื่องดนตรีพวกนี้ก็เท่ากับเป็นกบฏของชาติ คุณตาน ที่คุณพูดหมายความว่าอย่างนี้ใช่มั้ย?”
ผู้คนต่างพากันหัวเราะออกมาอีกครั้ง หลายคนที่ความคิดคล้อยตามตานเหอเจิ้ง ก็โดนคำอธิบายของเหมยเหมยกระชากกลับมาอีกหน
หมายความว่าแบบนี้ไม่ใช่หรือไง ชอบศิลปะตะวันตกเกี่ยวอะไรกับเรื่องรักชาติ!
ตานเหอเจิ้งหัวใจดิ่งวูบลอบสบถคำหยาบในใจ เจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวช่างแสบราวกับพริกขี้หนูจริงๆ อ้าปากพ่นคำพูดได้แสบสันเสียเหลือเกิน!
“เหอเหอ แม่หนูเข้าใจความหมายของฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่เคยพูดแบบนั้นนะ” ตานเหอเจิ้งยิ้มฉาบทั่วใบหน้า
เหมยเหมยอมยิ้มน้อยๆ พูดประชดกลับ “คุณไม่เคยพูดแบบนั้นอยู่แล้ว ฉันเป็นคนพูดเอง แต่ฉันอธิบายโดยอ้างอิงจากคำพูดก่อนหน้าของคุณทั้งนั้น หรือว่าที่คุณพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น? หรือว่าเมื่อกี้คุณกำลังชมภาพวาดของคุณเซียวเหรอ?”
เซียวเซ่อกระแอมส่งเสียงขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “เขากำลังหมายถึงภาพวาดของเซียวจิ่งหมิงคือขยะชัดๆ ตัวเองวาดได้ไม่ดีก็เลยตาร้อนอิจฉาผลงานของคนอื่น ตั้งใจวิ่งแจ้นมาพ่นวาจาว่าร้ายถึงที่นี่ คิดว่าคนอื่นตาบอดเหมือนคุณหรือไง?”
เมื่อโดนเด็กหาว่าตาบอดติดๆกัน ต่อให้ตานเหอเจิ้งจะเก็บอารมณ์เก่งขนาดไหนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าถมึงทึงออกมา
“พ่อหนุ่มนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ อายุของฉันน่าจะเป็นผู้อาวุโสของเธออยู่แล้วนะ หรือว่าผู้ใหญ่ที่บ้านของเธอไม่เคยสอนให้เธอเคารพคนแก่ให้เกียรติคนอายุน้อยกว่าเหรอ?” ตานเหอเจิ้งกล่าวเสียงตำหนิ
เซียวเซ่อปรายตามองอย่างไม่ยี่หระต่อเขาอยู่แวบหนึ่ง แค่นเสียงหัวเราะแล้วพูดออกไปว่า “คุณยังแยกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่ได้ตาบอดแล้วจะเรียกว่าอะไร?”
……………………
ตอนที่ 744 ปลอมเปลือก
ตานเหอเจิ้งนิ่งไปพักใหญ่ถึงสังเกตว่าน้ำเสียงของเซียวเซ่อนุ่มนวลอ่อนโยน ชัดเจนว่าเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง แต่ทำไมหน้าตาและการแต่งกายมันคือเด็กผู้ชายชัดๆ นี่นา!
“เธอเป็นผู้หญิงเหรอ?” ตานเหอเจิ้งถามอย่างไม่มั่นใจ
เซียวเซ่อแกล้งเลิกชายเสื้อขึ้นแล้วถามอย่างจงใจ “คุณจะค้นตัวฉันใช่มั้ย?”
เหมยเหมยกอดแขนเซียวเซ่ออย่างสนิทสนม จงใจพูดขึ้นว่า “สายตาคุณใช้ไม่ค่อยได้เลยนะคะ เซ่อเซ่อเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ทั้งที่เป็นคนสวยคนหนึ่งแท้ๆ คุณกลับมองว่าเป็นผู้ชายไปได้ ไม่แปลกใจเลยที่คุณจะบอกว่าภาพวาดของคุณเซียวเป็นขยะ!”
เซียวเซ่อยังไม่หายแค้นใจเลยพูดเสริมอีกประโยคว่า “ภาพที่ขายได้ราคาสูงสุดของเซียวจิ่งหมิงอยู่ที่หนึ่งล้านห้าแสนดอลลาร์สหรัฐ ภาพวาดของคุณขายได้เท่าไหร่? ได้สักครึ่งหนึ่งของเขามั้ย?”
หนึ่งล้านห้าแสนดอลลาร์สหรัฐสำหรับศิลปินที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นนับว่าเป็นตัวเลขจำนวนมหาศาล แล้วค่าตัวของเซียวจิ่งหมิงต่อให้อยู่ต่างประเทศก็นับว่าอยู่จุดสูงสุดของพีระมิด
แม้ตานเหอเจิ้งจะมีชื่อเสียงในประเทศมากแต่ในระดับนานาชาติกลับไม่เป็นที่รู้จักนัก ถึงแม้ว่ายุคนี้ภาพวาดสไตล์โบราณของประเทศจีนจะมีตลาดไว้สำหรับประมูลที่ต่างประเทศเช่นกัน แต่เงื่อนไขคือต้องเป็นภาพวาดของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว
ศิลปินที่มีสไตล์การวาดรูปโบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เป็นเหยียนตานชิงตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ทำไม่ได้ แต่หลังจากเขาเสียชีวิตไปตลาดต่างประเทศถึงเริ่มประมูลภาพวาดของเขา มูลค่าก็เริ่มปรับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ไหนจะอาจารย์เซียวเหยี่ยนอีกคน ภาพวาดของเขาก็มีชื่อเสียงไม่น้อยในวงการต่างประเทศ แต่ยังเทียบลูกชายของเขาอย่างเซียวจิ่งหมิงไม่ได้
อย่าให้พูดถึงตานเหอเจิ้งเลย นอกจากว่าเขาก้าวออกจากประตูแล้วโดนรถชนดับก็อาจจะยังพอมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าอาจจะเพิ่มสูงขึ้นบ้าง แต่ตราบใดที่ยังเขามีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้เพิ่มเลย
เหตุผลอีกข้อที่ตานเหอจิ้งมีชื่อเสียงส่วนใหญ่ก็เพราะว่าเขาเข้าหาคนเก่ง หลอกล่อคนเก่ง หากพูดถึงความสามารถในด้านการวาดรูป ให้พูดตามจริงแล้วในประเทศยังมีอีกหลายคนที่เก่งกว่าเขา นักสะสมที่แท้จริงจะไม่มีทางสะสมภาพวาดของคนอย่างตานเหอเจิ้งแน่นอน
คำพูดของเซียวเซ่อแทงใจดำตานเหอเจิ้งเข้าอย่างจังทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันที สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง หากไม่ใช่ว่าอยู่ในที่สาธารณะ เขาคงระเบิดอารมณ์ออกไปตั้งนานแล้ว
“การวาดรูปคือศิลปะขั้นสูงแขนงหนึ่ง แล้วจะเอาไปเกี่ยวโยงกับเรื่องเงินได้ยังไง? แม่หนูพูดแบบนี้เท่ากับกำลังดูถูกศิลปะแขนงนี้อยู่!”
ตานเหอเจิ้งวางมาดใหญ่ใช้น้ำเสียงตำหนิสั่งสอนอย่างเต็มปากเต็มคำ คนที่อยู่ในวงการเดียวกันท่านอื่นๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย
เซียวเซ่อแค่นเสียงหัวเราะเสียงเย็นออกมา สิ่งที่ขัดตาเธอที่สุดก็คือความจอมปลอมของคนพวกนี้ ปากก็ว่าเงินทองเป็นสิ่งนอกกายที่ตายก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ลับหลังกลับเปิดเผยมุมหน้าเลือด สู้พ่อของเธอที่ตั้งราคาไว้เป็นที่ประจักษ์เลยเสียจะยังดีกว่า
“น่าขำ ในเมื่อพวกคุณหัวสูงกันขนาดนี้ ไม่เห็นต้องมาขายภาพเลย? พวกคุณมีใครไม่เคยขายภาพบ้าง? ผลงานภาพวาดของตัวเองขายไม่ได้ราคาสูงก็เที่ยวอิจฉาริษยาคนอื่น เที่ยวหาว่าผลงานคนอื่นคือขยะ ถุย นิสัยใจคออย่างพวกคุณจะวาดภาพได้ดีสักแค่ไหนกันเชียว?”
ถึงปกติเซียวเซ่อจะไม่ชอบพูดแต่ใช่ว่าเธอจะด่าคนไม่เป็น ตรงกันข้ามเด็กผู้หญิงคนนี้ปากกรรไกรยิ่งกว่าอะไร แม้แต่เหมยเหมยยังสู้เธอไม่ได้เลย!
เหมยเหมยรีบพูดคล้อยตาม “วาดรูปเป็นศิลปะขั้นสูงอยู่แล้ว แต่ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ต้องกินต้องใช้มั้ยล่ะ? ไม่มีเงินจะกินจะดื่มอะไรจะนอนที่ไหน? หรือว่าจะให้ศิลปินทุกคนทนหิววาดรูปต่อไป? นาฬิกาตรงข้อมือของคุณตานคือโรเล็กซ์หรือเปล่า? ในเมื่อคุณไม่สนใจของพวกนี้ แล้วทำไมต้องใส่โรเล็กซ์? นาฬิกาที่ผลิตในประเทศเราก็ใช้ได้เหมือนกันนี่!”
ตานเหอเจิ้งชักมือกลับโดยอัตโนมัติ แต่คนตาดีย่อมเห็นนาฬิกาสีทองบนข้อมือเขา พอผนวกเข้ากับถ้อยคำก่อนหน้านี้ของเขาก็ต่างเผยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา
………………….
ตอนที่ 745 วิธีต่ำช้า
ตานเหอเจิ้งถูกเด็กผู้หญิงทั้งสองคนสลับกันโจมตีจนเขาหมดคำที่จะโต้เถียงกลับแถมยังเสียหน้าไปจนหมดสิ้น
เจิ้งซื่อหลินกับหร่วนหวาไฉ่ก็ไม่ได้ออกมาช่วยเขาเถียงเลยสักคำ และไม่ได้เตือนตานเหอเจิ้งว่าเซียวเซ่อคือลูกสาวของเซียวจิ่งหมิงด้วยซ้ำ
รูปลักษณ์หน้าตาของเซียวเซ่อมีเอกลักษณ์ที่เด่นชัดต่อให้จะผ่านไปสองปี เจิ้งซื่อหลินกับหร่วนหวาไฉ่ก็สามารถจำได้ตั้งแต่แวบแรก แต่ถึงอย่างนั้นก็เก็บไว้ไม่ยอมปริปากพูด อาจารย์ลูกศิษย์สามคนนี้ภายนอกดูเข้ากันดีแต่ภายในใจกลับไม่ใช่เช่นนั้น ตอนนี้ยังหวังให้พวกเหมยเหมยเอาคืนให้โหดกว่านี้เสียด้วยซ้ำ!
ตานเหอเจิ้งฝืนยิ้มแล้วแสร้งพูดว่า “เหอเหอ เด็กสมัยนี้เก่งจังเลยนะ เก่งกว่าตอนสมัยเรามากเลยล่ะ!”
คนอื่นๆ ต่างช่วยกู้สถานการณ์ พยายามให้บรรยากาศที่แสนอึดอัดใจผ่อนคลายลงกว่านี้ เหมยเหมยชำเลืองมองด้วยแววตาเย็นชาก่อนที่จู่ๆ จะพูดขึ้นอีก “คุณธรรมคนเราสื่อผ่านงานศิลปะ คนที่ไม่มีคุณธรรมไม่มีทางวาดผลงานที่ดีออกมาได้ คุณตานคิดว่าฉันพูดแบบนี้ถูกต้องมั้ย?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของตานเหอเจิ้งหายไปในพริบตา สิ่งที่เขารำคาญที่สุดก็คือการที่มีคนพูดถึงคุณธรรมต่อหน้าเขา!
คุณธรรมมีประโยชน์อะไร?
กินแทนข้าวได้หรือใช้แทนเงินได้?
คนที่ไม่รู้จักช่วยตัวเองฟ้าดินก็ช่วยไม่ได้ เวลาที่ต้องแก่งแย่งผลประโยชน์คุณธรรมก็คือของไร้ค่า เวลาที่ต้องแทงมีดลับหลังก็ควรลงมือทำโดยห้ามใจอ่อนเด็ดขาด!
เขาตานเหอเจิ้งไต่เต้ามาถึงตำแหน่งในวันนี้ได้ก็เพราะสัจธรรมข้อนี้!
“แน่นอนว่าแม่หนูพูดถูก อยากเรียนวาดรูปควรเริ่มเรียนรู้จากการเป็นคน นี่ก็เป็นคำพูดที่ฉันใช้สอนนักเรียนอยู่เสมอ ถ้ายังเป็นคนที่ดีไม่ได้ แล้วจะวาดรูปได้ดีได้ยังไง?”
ไม่นานตานเหอเจิ้งก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม สมแล้วที่เป็นสุนัขจิ้งจอกแก่แสนเจ้าเล่ห์
เหมยเหมยหันไปมองเจิ้งซื่อหลินกับหร่วนหวาไฉ่แวบหนึ่งพลางยิ้มอย่างเย้ยหยัน จงใจกล่าว “สมแล้วที่คุณตานเป็นถึงอาจารย์ที่มีคุณธรรมสูงส่ง เห็นทีงานภาพวาดของคุณตานน่าจะดีมากเลยล่ะ!”
เซียวเซ่อกลับไม่พอใจต่อคำพูดของเพื่อนเป็นอย่างมาก รีบแย้งคำของเหมยเหมยให้ถูกต้องโดยพูดเสียงดังว่า “เหมยเหมยเธอเข้าใจผิดแล้ว คนสกุลตานคนนี้ฝีมือวาดรูปไม่เท่าไหร่ ที่ไม่มีใครซื้อผลงานเขาก็ต้องเพราะเขาวาดได้ไม่ดี ซึ่งนั่นก็บ่งบอกว่าคุณธรรมเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ คนที่คุณธรรมดีจะวิ่งโร่มาป่วนงานพ่อฉันได้ยังไงกัน”
ตานเหอเจิ้งแทบกระอักเลือด ถึงแม้จะสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าไม่อาจฝืนต่อไปได้อีก
เหล่านักข่าวเริ่มตื่นเต้น รีบยื่นไมค์มาถามเซียวเซ่อ “คุณคือลูกสาวของคุณเซียวจิ่งหมิงเหรอ?”
เซียวเซ่อพ่นลมทางจมูกอย่างเท่ไปทีแล้วตอบรับสั้นๆ ว่า ‘ใช่’ แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนที่ยืนสง่าอยู่ท่ามกลางผู้คนผู้นั้นกำลังอมยิ้มอย่างปลื้มปริ่ม มองเธอด้วยสายตาเปื้อนยิ้ม
แต่เป็นเหมยเหมยที่ดันเห็นเข้ากำลังจะทักทายแต่เซียวจิ่งหมิงยื่นมือแตะปากเป็นเชิงให้เหมยเหมยรีบหุบปาก ลอบบ่นในใจว่าสองพ่อลูกนี่จริงๆ เลย ทั้งที่ให้ความสนใจกันและกันมากขนาดนี้ดันชอบทำเหมือนเป็นศัตรูคู่แค้นอยู่ได้!
ขณะนั้นเองมีนักข่าวถามเซียวเซ่อว่า “คุณเซียวเซ่อคิดว่าผลงานของคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง?”
เซียวเซ่อเกาหัวแกรกๆ พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดเมื่อกี้เหรอ? ถ้าไม่ดีฉันจะมาดูเหรอ? ถ้าเป็นงานนิทรรศการที่คุณคนนี้จัด ให้เงินฉันฟรีร้อยหนึ่งฉันก็ไม่มีทางไปดู!”
ตานเหอเจิ้งหน้าถมึงทึง เขาชักเสียใจแล้วที่เลือกมาป่วนงานในวันนี้ ! คนคำนวณไม่สู้ฟ้ากำหนด จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวของเซียวจิ่งหมิงจะเล่นไม้นี้กับเขาที่นี่ หน็อยแน่เซียวจิ่งหมิง!
เซียวเซ่อที่ตอบคำถามนักข่าวอย่างไม่สบอารมณ์เพียงไม่กี่ประโยคก็หมายจะลากเหมยเหมยกลับไป เหล่านักข่าวเองก็รู้ว่าคงถามอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วเลยไม่คิดจะตามตื๊อพวกเธอสองคนต่อ หันไปสัมภาษณ์คนอื่นแทน
…………………..
ตอนที่ 746 ปากสีแดงร้อนแรง
เซียวจิ่งหมิงเดินหลบพวกนักข่าวด้วยใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มอันน่าหลงใหล เดินมาหาพวกเหมยเหมยพร้อมมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าลายตาราง
“เซ่อเซ่อ เป็นเด็กผู้หญิงกินของเย็นให้น้อยหน่อย ระวังปวดท้อง”
เซียวจิ่งหมิงอยากเช็ดมือที่เปียกของเซียวเซ่อแต่กลับโดนเซียวเซ่อชักหนี แค่นเสียงใส่อย่างหงุดหงิดพลางยืนเชิดหน้าอย่างเล่นตัว เหลือบตามองไปทางอื่นพลางทำหน้าไม่สบอารมณ์
เซียวจิ่งหมิงกลับไม่ได้ใส่ใจ ท่าทีแบบนี้ของลูกสาวนับว่าเป็นมิตรอย่างมากแล้ว อีกทั้งท่าทางที่เมื่อกี้เซ่อเซ่อช่วยเอาคืนแทนเขามันน่ารักจะตายไป
รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจของเขาเช่นกัน!
จะว่าไปเขาต้องขอบคุณตานเหอเจิ้งด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเขามาป่วนงานในวันนี้เขาจะได้เห็นมุมที่น่ารักของเซ่อเซ่อได้อย่างไร?
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเซ่อเซ่อที่ปกติมักบอกว่าภาพของเขาคือขยะ แต่กลับพูดชมลับหลังโดยไม่ให้ใครพูดแย้งสักคำ?
เซียวจิ่งหมิงยังยิ้มตาหยีเหมือนเดิม และไม่เก็บผ้าเช็ดหน้าคืนแต่ยื่นให้เหมยเหมยแทน เหมยเหมยรู้ความหมายของเขาดีเลยรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือให้เซียวเซ่อ ครั้งนี้เซียวเซ่อไม่ได้ปฏิเสธยอมให้เหมยเหมยเช็ดแต่โดยดี แค่ยังคงสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นเดิม ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กเอาแต่ใจที่หาเรื่องทะเลาะกับผู้ใหญ่ที่ขัดใจก็เท่านั้น
“ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว เหมยเหมยเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ลุงเลี้ยงข้าวพวกเธอดีมั้ย?” เซียวจิ่งหมิงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูครู่หนึ่ง พลางพูดอมยิ้ม
เหมยเหมยปากกระตุก ทั้งที่เพิ่งเลยเก้าโมงมานิดเดียวแต่กลับพูดจาเหลวไหลหน้าตาใสซื่อ แต่เธอเองก็รู้ว่าเซียวจิ่งหมิงแค่อยากอยู่ด้วยกันกับลูกสาวนานกว่านี้อีกหน่อยเลยพยักหน้าให้ความร่วมมือไปเต็มที่ ไหนจะแกล้งทำท่าราวกับว่ากำลังหิวมากเหลือเกิน
“ดีค่ะ หนูหิวพอดีเลย ขอบคุณลุงเซียวนะคะ”
เซียวเซ่อมองบนใส่เพื่อนที่แสดงละครได้เสแสร้งมากไปหนึ่งที เธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่พูดเสียงด้วยเสียงโหด “กินข้าวอะไร? ไม่จัดงานนิทรรศการแล้วเหรอ?”
ยิ่งโตยิ่งไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองเหมือนที่คุณปู่ด่าไว้ไม่มีผิด ในชีวิตนี้ไม่เคยมีช่วงไหนที่จริงจังสักที งานนิทรรศการที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ระดับนี้ เจ้าตัวไม่อยู่เฝ้าที่นี่ดันหนีไปทานข้าว ดูเข้าท่าเสียที่ไหน?
เซียวจิ่งหมิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ อ้าปากพูดคำหวานใส่ “กินข้าวกับเซ่อเซ่อสำคัญกว่างานนิทรรศการร้อยเท่า ไปกันเถอะ พ่อจะพาพวกเธอไปกินของอร่อยๆ”
เหมยเหมยลูบแขนที่ขนลุกเกรียวไปหนึ่งที เซียวจิ่งหมิงคนนี้พูดจาหลอกล่อคนเก่งยิ่งกว่าพ่อเธอเสียอีก โอ๋ลูกสาวเก่งเหมือนโอ๋แฟนสาว มีพ่อที่หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้แถมยังโอ๋คนเก่ง จึงหันไปดูท่าทางที่ดูจะคล้อยตามของเซียวเซ่อจึงสรุปได้ว่าคำพูดหวานหยดของพ่อเธอค่อนข้างใช้ได้ผลกับเธอไม่น้อย
แล้วทำไมความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ถึงมาอยู่ในจุดที่เหมือนน้ำกับไฟแบบนี้ล่ะ?
แม้ว่าเซียวเซ่อจะทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เซียวจิ่งหมิงจึงถือว่าลูกสาวตกลงเลยพาพวกเหมยเหมยไปทานอาหารมื้อใหญ่อย่างดีอกดีใจ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด
“คุณเซียว มีคุณผู้ชายสองคนถูกใจผลงาน ‘ภาพลวงตา’ ของคุณเข้า คุณจะให้ทำยังไงดีคะ?”
หญิงสาวปากสีแดงร้อนแรงสุดเซ็กซี่คนหนึ่งเดินสับเท้ามาทางนี้ ส่งเสียงเล็กเสียงน้อยจนเหล่าชายหนุ่มในห้องโถงตัวสะท้านพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย หันสายตามาทางหญิงสาวเสน่ห์ล้นเหลือคนนี้พร้อมเพรียงกัน
โอ้โห สุดยอดในบรรดาผู้หญิง!
ถ้าได้ใช้ค่ำคืนกับหญิงระดับนี้ ต่อให้ตายก็คุ้มแล้ว!
เซียวจิ่งหมิงกลับนิ่งเฉยต่อท่าทางโปรยเสน่ห์ของหญิงสาว หนำซ้ำยังทำท่าไม่สบอารมณ์อีกด้วย “เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องมาถามผมอีกเหรอ? ใครให้ราคาสูงก็ขายให้คนนั้นสิ!”
“แต่ว่า…”
หญิงสาวกำลังจะบอกว่าคนที่ให้ราคาต่ำกว่าคือลูกค้าประจำของเซียวจิ่งหมิง ถ้าว่ากันตามปกติแล้วควรให้หน้ากันสักหน่อยถึงจะถูก ทันใดนั้นเองก็มีเสียงน่ารักอีกเสียงดังขึ้นมา
……………………
ตอนที่ 747 ไม่ว่าใครก็อย่ามาหาฉัน
หญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงยาวสีขาว ปล่อยผมยาวสลวยและแต่งหน้าอ่อนๆ ราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งเดินเข้ามาหา เสียงกลับแตกต่างจากภาพลักษณ์อันใสซื่อของเธออย่างสิ้นเชิงทำให้เหล่าชายหนุ่มได้ยินแล้วเสียวซ่านเข้ากระดูก
“คุณเซียว คุณหลี่จากฮ่องกงถูกใจผลงาน ‘กาแล็กซี่’ ของคุณ อยากให้คุณเห็นแก่เพื่อนเก่าช่วยลดราคาให้หน่อย”
หญิงสาวหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ชิงพูดก่อนหญิงสาวหน้าตาเซ็กซี่ แค่นเสียงใส่อีกคนเหมือนจะโชว์เหนือกว่า
เซียวจิ่งหมิงในเวลานี้จะไปมีกะจิตกะใจวุ่นวายกับเหล่าผู้ช่วยหญิงเสียที่ไหน นึกท้อในใจว่าผู้หญิงพวกนี้วิ่งแจ้นออกมาโดยไม่รู้จักประเมินสถานการณ์เอาเสียเลย
เหอะ โบนัสเดือนนี้จะหักเสียครึ่งหนึ่ง ไม่ฉลาดเลยสักนิด!
“ลดราคาอะไร? ภาพของผมเคยลดราคาตั้งแต่เมื่อไหร่? พอแล้ว หลังจากนี้เรื่องเล็กๆ แบบนี้อย่ามาหาผมอีก เขียนราคาไว้แล้วยังต้องมาถามอีกเหรอ?”
เซียวจิ่งหมิงกลับโบกมือปัดอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าดูเย็นชาเล็กน้อย มีหรือที่ผู้ช่วยหญิงสองคนยังจะกล้าแย่งกันเรียกร้องความสนใจ รีบตอบรับกันทันที
สีหน้าเซียวเซ่อแย่ลงตั้งแต่หญิงงามคนแรกปรากฏตัวแล้ว ท่าทางราวกับพายุกำลังจะมา เมื่อหญิงหน้าตาใสซื่อคนที่สองมาปรากฏตัวต่ออีก ใบหน้าของแม่หนูเซียวก็ถมึงทึงเต็มที่ แผ่รังสีออกมาตั้งแต่หัวจรดเท้าว่า–
ไม่พอใจมาก แล้วตอนนี้เดือดมากเช่นกัน!
“เซ่อเซ่อ เหมยเหมยรอนานแล้วสินะ ไป เราไปทานข้าวกัน” เซียวจิ่งหมิงยิ้มร่าคุยกับพวกเหมยเหมย แต่ว่า–
“ทำไมพวกเธอยังอยู่? พ่อโกหกฉัน?” เซียวเซ่อชี้ไปที่ผู้ช่วยหญิงทั้งสองแล้วตะคอกเสียงขุ่น
เซียวจิ่งหมิงใจหล่นวูบแต่กลับตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็จะจัดงานนิทรรศการไง คนช่วยพ่อไม่พอเลยให้พวกเธออยู่ช่วยงานต่อ รองานนิทรรศการจบ พ่อจะให้พวกเธอลาออกแน่ๆ”
พูดถึงเรื่องนี่เซียวจิ่งหมิงก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา ก็ผู้ช่วยข้างกายเขาล้วนเป็นผู้หญิงชั้นยอดที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน เขาเสียแรงถึงสองปีเต็มถึงจะหาได้จนครบ มันทำใจไล่ออกไม่ลงจริงๆ!
เซียวเซ่อที่พอใจต่อคำอธิบายของพ่อตัวเองอยู่บ้างเลยมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ใดๆ ในโลกนี้ทุกอย่างมักไม่เป็นไปตามที่คิด หญิงงามที่ร้อนแรงดั่งไฟแผดเผาอีกคนปรากฏตัวขึ้น
หญิงงามคนนี้ดูอายุไม่น้อยแล้วเพราะเริ่มมีรอยตีนกาจางๆ ตรงหางตา แต่นั่นไม่ทำให้ความงามเธอลดน้อยลงสักนิด หนำซ้ำยังให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ
เหมยเหมยรู้จักหญิงงามผู้มีนิสัยโผงผางคนนี้อยู่แล้ว นั่นคือคุณหนูใหญ่เฝิงผู้ที่พัวพันกับเซียวจิ่งหมิงมาครึ่งชีวิต เพราะความรักและความชังซึ่งก็คือแม่แท้ๆ ของเซียวเซ่อ
“เซ่อเซ่อเองก็มาเหรอ เดี๋ยวแม่พาลูกกับเหมยเหมยไปทานข้าวนะ!”
คุณหนูใหญ่เฝิงเห็นดวงตาของลูกสาวฉายแววตะลึงชั่ววูบ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะคิกคัก เหมือนอดีตสามีเธอไม่มีผิดที่อ้าปากก็ชวนไปทานข้าว เหมยเหมยปากกระตุกอีกครั้ง ช่างใจตรงกันเสียจริงๆ!
เซียวจิ่งหมิงหุบยิ้มที่น่าหลงใหลนั่นพลันน้ำเสียงก็เย็นชาลง ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความลำพองใจไปว่า “คุณมาช้าไป เซ่อเซ่อตกลงไปทานมื้อเที่ยงกับผมแล้ว”
คุณหนูใหญ่เฝิงแค่นเสียงใส่และไม่ได้พูดเรื่องทานข้าวอีก เธอเห็นหญิงงามสองคนที่ยืนข้างกายเซียวจิ่งหมิงสีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาในทันที กระดิกนิ้วไปทางด้านหลังก่อนที่ชายหนุ่มที่กลิ่นฮอร์โมนเพศชายแผ่ออกมาจากตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าจะเดินเข้ามายืนประกบข้างคุณหนูใหญ่เฝิง
“ขอแนะนำหน่อย ผู้ช่วยคนใหม่ของฉัน คุณเซียวคิดว่าเป็นไง? เห็นพวกเขาแล้วมีความรู้สึกเหมือนแก่ลงเลยใช่มั้ย?”
เสียงของคุณหนูใหญ่เฝิงไม่ได้ด้อยไปกว่าหญิงงามสองคนก่อนหน้าเลยสักนิด แต่ถ้อยคำที่ออกมาจากปากกลับไม่ถนอมน้ำใจแม้แต่น้อย แต่ละคำเหมือนดั่งมีดเล่มเล็กๆ ที่ทิ่มแทงใจ
เซียวจิ่งหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยกำลังจะโต้กลับ แต่เป็นลูกสาวของพวกเขาที่ระเบิดอารมณ์ออกมาก่อน
“พ่อแม่สนุกกันมากใช่มั้ย? งั้นพ่อแม่เล่นต่อกันได้เลย หลังจากนี้ไม่ว่าใครก็อย่ามาหาฉัน!”
……………………
ตอนที่ 748 ไม่ต้องเจอกันอีก
เซียวเซ่อกดอารมณ์หัวเสียของตัวเองตั้งแต่เห็นผู้ช่วยหญิงของเซียวจิ่งหมิง แต่เมื่อเห็นผู้ช่วยชายสองคนของคุณหนูใหญ่เฝิงอารมณ์ที่มีก็ปะทุขึ้นมาในทันที
เธอกระชากเหมยเหมยพุ่งตัวออกไปข้างนอกไม่แม้แต่คิดที่จะมองพ่อแม่ตัวของเอง
เหมยเหมยจะไปสู้แรงแม่หนูเซียวที่ฝึกวิชาป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็กได้อย่างไร กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปอย่างทุลักทุเล หันกลับมาพูดกับเซียวจิ่งหมิงและคุณหนูใหญ่เฝิงอย่างรู้สึกผิด “ลุงเซียว น้าเฝิง หนูกับเซ่อเซ่อกลับบ้านก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่ค่ะ!”
“เจอกันใหม่อะไร? ไม่ต้องมาเจอกันอีกตลอดไป!”
เซียวเซ่อตะคอกอย่างเดือดดาลและเร่งฝีเท้าไวกว่าเดิม เหมยเหมยกล้ากระตุกหนวดเสือเสียที่ไหน อยู่เงียบๆ ไม่ปริปากเลยสักนิดพลางเดินตามเซียวเซ่อออกไปอย่างเชื่อฟัง
เสียงเอะอะทางนี้ดึงดูดเหล่านักข่าวที่จมูกไว พอพวกเขาเห็นว่าเป็นเซียวจิ่งหมิงกับคุณหนูใหญ่เฝิงก็หูผึ่ง แห่กันมาราวกับฝูงผึ้ง
อดีตสามีภรรยาที่เตรียมตามออกไปเพื่ออธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ จำต้องฉาบรอยยิ้มจอมปลอมแล้วรับมือกับเหล่านักข่าวพวกนี้
เซียวเซ่อวิ่งไปถึงร้านชำเล็กๆ ที่อยู่ข้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะ กระดกน้ำอัดลมทีเดียวสามขวดสีหน้าถึงจะดูผ่อนคลายลงมาบ้าง
“กลับบ้านกัน!”
เซียวเซ่อเรอทีหนึ่ง เดินกัดฟันเข็นจักรยานไป โดยมีเหมยเหมยคอยเดิมตามอยู่ด้านหลังโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเซียวเซ่อถึงได้มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับพ่อแม่ของเธอขนาดนี้!
สามีภรรยาคู่นี้ก็นะ…
ในขณะที่เหมยเหมยนึกเห็นใจต่อเซียวเซ่อก็แอบโล่งใจที่อย่างน้อยพ่อแม่ของเธอเองก็ยังพึ่งพาได้มากกว่า แม้บางครั้งอาจจะน่าขนลุกจนทนไม่ไหวสักหน่อยแต่ถ้าไม่มีตัวอย่างให้เปรียบเทียบก็คงไม่รู้ข้อดีข้อเสีย เทียบกับพ่อแม่ที่ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันของเซียวเซ่อแล้ว พ่อแม่ของเธอยังนับว่าดีกว่าเยอะ!
เดิมทีเธอคิดว่าจะปลอบใจดวงน้อยๆ ที่เจ็บปวดของเพื่อน แต่พอเซียวเซ่อกลับบ้านก็ดูปกติ ทานทาร์ตไข่ฝีมือคุณป้าซูซือ ดื่มชาแดงหอมกรุ่นแล้วหยอกล้อกับพวกสัตว์เลี้ยง อย่าให้พูดเลยว่าดูสบายใจขนาดไหน
ต่างกับคนที่เพิ่งระเบิดอารมณ์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะมาเมื่อสักครู่ราวกับเป็นคนละคนกัน!
เหมยเหมยเห็นว่าเธอไม่ได้ฝืนยิ้มแต่อย่างใดแค่ไม่สนใจจริงๆ ถึงกลับบ้านไปอย่างสบายใจ
สยงมู่มู่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอก็หายดีไม่น้อยแล้ว แม้อาการป่วยครั้งนี้จะรุนแรงและกะทันหัน แต่ก็ไม่ได้รักษาให้หายยากเหมือนเดิม แค่สองวันก็ลงจากเตียงได้แล้วเหลือแค่อาการไอเท่านั้นที่ยังไม่เห็นท่าว่าจะดีขึ้น
ด้านพวกจ้าวเสวียเอ๋อร์กลับยุ่งจนหัวหมุนเป็นเกลียว ต้องตกแต่งภายใน ต้องรับสมัครพนักงานโดยทุกอย่างต้องเสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือน เวลาเป็นเงินเป็นทอง เปิดร้านช้าหนึ่งวันพวกเขาก็ต้องเสียหายไปหนึ่งวัน จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร!
เหมยเหมยเองก็ช่วยวางแผนไว้ดิบดี แม้เธอไม่รู้วิธีการบริหารเท่าไรนัก แต่ชาติก่อนเธอเป็นลูกค้าประจำของเคเอฟซี มีรายละเอียดไม่น้อยที่พวกจ้าวเสวียเอ๋อร์มองข้ามไปก็ถูกเธอพูดชี้แนะออกมาให้เห็นได้ทีละข้อๆ
เหล่าพี่น้องตระกูลจ้าวชื่นชมเหมยเหมยอย่างยอมจำนนและนึกอายที่สู้ไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าน้องสาวคนนี้สมแล้วที่หาเงินเก่งที่สุดในตระกูล สายตาที่ใช้มองปัญหาคู่นั้นคนปกติคงทัดเทียมไม่ได้!
เหมยเหมยที่รับฟังคำชมของเหล่าพี่ชายก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ หลายครั้งที่ปฏิเสธไปแต่นั่นดันทำให้พวกจ้าวเสวียเอ๋อร์ชมหนักกว่าเดิม เธอจึงจำทนรับคำชมไว้หน้าด้านๆ และแกล้งบอกไปว่าเหยียนหมิงซุ่นสอนมา ยิ่งทำให้พวกจ้าวเสวียเอ๋อร์สงสัยในตัวชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแต่อนาคตอาจเป็นถึงน้องเขยคนนี้
บนรถไฟที่แบ่งเป็นห้องๆ กำลังเดินทางจากเมืองจินไปยังเมืองหลวงนั้นเหยียนหมิงซุ่นลากกล่องใส่โทรทัศน์สีขนาดยี่สิบเอ็ดนิ้วออกมาจากใต้เตียง อีกไม่นานก็จะถึงสถานีแล้ว เขาต้องเตรียมสัมภาระไว้ล่วงหน้า
นอกจากโทรทัศน์สี เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เตรียมของอย่างอื่นมาด้วยนอกจากกระเป๋าใบเล็กที่พกพาสะดวก ในนั้นมีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเพียงไม่กี่ชุด นอกนั้นก็คือเงินสดและสมุดบัญชี
…………………..
ตอนที่ 749 ไม่ใช่ภาพลวงตา
เหมยเหมยตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมต้มโจ๊กให้สยงมู่มู่ น้ำที่ใช้ต้มโจ๊กไม่ใช่น้ำธรรมดาแต่เป็นน้ำจากภูเขาที่เหมยเหมยพบเมื่อสองปีก่อน ตอนนี้กลายเป็นน้ำวิเศษที่ให้เฉพาะนายใหญ่กับเหล่าคนใหญ่คนโตที่มีจำนวนจำกัดดื่มเท่านั้น ตระกูลจ้าวได้สองส่วนโดยที่ทุกเช้าจะมีคนเอาน้ำมาส่งให้
ก็ไม่มากเท่าไรแค่หนึ่งโอ่งหนักประมาณครึ่งกิโลกรัมกว่าๆ พอเอามาใช้ต้มโจ๊กหนึ่งหม้อได้
คนแก่ทั้งสองคนรักหลานชายเลยสละน้ำพวกนี้ให้สยงมู่มู่ที่ป่วยอยู่ แบบนี้ก็ดี ครั้งนี้สยงมู่มู่คงหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว คนตระกูลจ้าวต่างคิดว่าเป็นเพราะส่วนช่วยของน้ำเลยรู้สึกเฉยๆ ไม่สงสัยเลยสักนิด
สยงมู่มู่ยังไม่หายขาดดี เหมยเหมยกับเจ้าอ้วนน้อยเองก็ไม่มีอารมณ์ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน ต่างดูโทรทัศน์กันอยู่ที่บ้าน
กลางวันคุณปู่จ้าวจะไม่ดูโทรทัศน์เพราะส่วนมากจะเป็นคุณย่าที่ยึดครองแต่เพียงคนเดียว เอาเข้าจริงแล้วเหมยเหมยก็ไม่ชอบดูโทรทัศน์ขาวดำ ดูได้แค่แป๊บเดียวก็ไม่อยากดูต่อแล้ว
ตอนนี้เธอนึกถึงเหยียนหมิงซุ่นอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเขาส่งโทรทัศน์สีมาหรือยัง?
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เหมยเหมยกดรับสายอย่างเฉื่อยชา “สวัสดีค่ะ ที่นี่บ้านตระกูลจ้าว ไม่ทราบว่าโทรหาใครคะ?”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มมุมปาก เพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็ดูท่าจะโชคดีไม่น้อย!
เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ใช้เสียงเดิมแต่กดเสียงให้ต่ำลงเลยทำให้เสียงที่ออกมาฟังดูทุ้มปนแหบ ทำเอาเหมยเหมยฟังไม่ออกแม้แต่น้อย
“คุณจ้าวเหมยใช่มั้ยครับ?”
“ค่ะ ฉันเอง” เหมยเหมยชักสงสัย
“ผมมาจากไปรษณีย์ คุณมีของส่งมาจากเมืองจิน เดี๋ยวพนักงานเราจะให้คนไปส่งของให้คุณ ประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง รบกวนคุณไปรอรับที่หน้าประตูหน่อยได้มั้ยครับ?”
จ้าวเหมยได้ยินก็รู้ทันทีว่าโทรทัศน์สีมาถึงแล้วเลยตอบตกลงไป “ได้ค่ะ ครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ฉันจะไปรอรับที่หน้าประตูใหญ่นะคะ ลำบากหน่อยนะคะ”
พอวางหูไปเหมยเหมยก็เริ่มเอะใจถึงความผิดปกติ การขนส่งในยุคแปดศูนย์ก้าวหน้าขนาดนี้แล้วหรือ?
อีกอย่างของที่ส่งมาต้องไปรับเองที่ไปรษณีย์ไม่ใช่หรือ?
เปลี่ยนมาส่งให้ถึงหน้าประตูบ้านตั้งแต่เมื่อไรกัน?
แต่เหมยเหมยก็ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากมาย หลงคิดว่าเป็นบริการพิเศษจากไปรษณีย์เมืองหลวงในเมื่อเป็นเมืองที่ผู้ปกครองประเทศอาศัยอยู่ การบริการจะครบครันคงไม่แปลก
“คุณย่า เดี๋ยวเราจะมีทีวีสีดูกันแล้ว ทีวีขาวดำนั่นให้คุณปู่ดูคนเดียวเถอะ เราจะได้ไม่ต้องแย่งกับคุณปู่แล้ว” เหมยเหมยโอบลำคอคุณย่าพลางหัวเราะคิกคัก
“หลานไปซื้อทีวีสีมาจากไหน? เมื่อกี้เป็นสายจากห้างสรรพสินค้าเหรอ? รีบบอกให้พวกเขาไม่ต้องส่งมาแล้ว คืนไปเถอะ เปลืองเงิน!” คุณย่าอดโบกมือปัดไม่ได้ รู้สึกไม่ค่อยพอใจนักที่เหมยเหมยใช้เงินฟุ่มเฟือย
โทรทัศน์หนึ่งเครื่องใช้เงินตั้งหนึ่งพันกว่าหยวน เธอยังทำใจเสียเงินไม่ลงแต่หลานสาวกลับไม่นึกเสียดายสักนิด ไม่รู้จักวางแผนการใช้ชีวิตเลย
แน่นอนว่าคุณย่าเองก็รู้สึกอบอุ่น ที่หลานสาวกำลังแสดงความกตัญญูต่อเธออยู่!
“คืนไปทำไมคะ ไม่ต้องเสียเงินสักหน่อย ไม่ต้องเสียสักหยวนเลย คุณย่าก็ดูให้สบายใจเถอะค่ะ!” เหมยเหมยแสดงท่าทีชอบใจขั้นสุด โยกศีรษะไปมาจนสยงมู่มู่ที่มองอยู่อดกลอกตาใส่ไม่ได้
ได้มาฟรีก็ไม่รู้จักให้คนสกุลเหยียนนั่นส่งมาเพิ่มสักสองเครื่อง ไอ้คนไร้หัวใจ!
คุณย่ากำลังจะถามถึงที่มาที่ไปแต่เหมยเหมยกลับวิ่งออกไปรอรับโทรทัศน์สีเสียก่อน
เหมยเหมยปั่นจักรยานไปเพิ่งจะถึงหน้าประตูใหญ่ก็เห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคย รูปร่างผอมสูงที่แม้ใส่เพียงเสื้อเชิ้ตธรรมดาแต่กลับไม่แพ้ชุดนักรบเต็มพิกัดที่ยืนอยู่ข้างๆ เลยสักนิด
เธอขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตา หลงคิดว่าตาฝาดไปเองเพราะความคิดถึง แต่ขยี้สองสามทีภาพตรงหน้าก็ไม่เปลี่ยน
เหยียนหมิงซุ่นเห็นเด็กสาวทำหน้างงก็อดหัวเราะไม่ได้ ยัยโง่เอ้ย!
……………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น