หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 734-739
บทที่ 734 ดวงใจอันแน่วแน่!
สิ่งที่เขาต้องหามาให้ได้เพื่อที่จะออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์และกลับไประบบสุริยะก็คือ…เรือบินรบดวงเนตรสวรรค์!
หลังจากใช้เวลาศึกษาบันทึกที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้เรื่องอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น การที่อารยธรรมแห่งนี้มีชีวิตอยู่รอดด้วยการปล้นชิงทรัพย์ทำให้พวกเขามีเรือบินรบแบบพิเศษ
ความก้าวหน้าของอารยธรรมนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนออกไปปล้นชิงมากเท่าไหร่ นี่คือวัฒนธรรมของพวกเขา แม้บางทีจะมีแยกออกไปปล้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มักจะมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเหมือนฝูงผึ้งที่ออกล่าและโจมตีเป็นกลุ่มก้อน เป็นเหตุให้เกิดความต้องการเรือบินรบที่สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมระยะทางไกล การศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเรือบินรบจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
ถึงจะเรียกว่าเรือบินรบ แต่จริงๆ แล้วมันคือปราการรบที่แข็งแกร่งกว่าที่ข้าเคยสร้างในระบบสุริยะ อีกทั้งยังเร็วกว่าปราการดวงจันทร์หลายเท่า! หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เขาคิดถึงการเดินทางข้ามอวกาศด้วยเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราด้วยเช่นกัน แต่คงใช้เวลานานเกินไปกว่าจะกลับไปถึงระบบสุริยะได้ จะหยุดพักระหว่างทางก็ไม่ได้ แถมยังมีอุปสรรคที่ไม่คาดคิดรออยู่ตามทางอีก
ปราการที่ทนทานและแข็งแกร่ง มีพลังโจมตีรุนแรงรวมถึงพลังนำทาง คือสิ่งที่เขาต้องการ
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกเมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตาของเขาส่องแสงเป็นประกาย ไม่มีใครในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าใจความแน่วแน่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ แต่ถ้าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มแน่
ความรู้สึกเหล่านี้…คือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลับไปยังระบบสุริยะเพื่อขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ!
หวังเป่าเล่อไตร่ตรองว่าตนได้เดินทางมาไกลเพียงใดแล้วตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐเสียที เขาไม่สามารถควบคุมความรู้สึกที่คุกรุ่นในใจตอนนี้ได้
ก่อนหน้านี้ ข้าขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้เพราะหน้าตาดีเกินไป อีกทั้งยังบังเอิญมีบรรดาศักดิ์ไม่ถึงขั้น!
ข้าลำบากลำบนลดน้ำหนักลงเพื่อซ่อนรูปโฉมอันงดงามตามธรรมชาติเอาไว้ ไต่เต้าขึ้นมาจนมีบรรดาศักดิ์ถึงขั้น ตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่ศิษย์พี่กลับพรากโอกาสนั้นไปจากข้า…ตอนนี้ สิ่งเดียวที่ขวางทางข้าไม่ให้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐคือการที่ข้าไม่มีเรือบินรบ! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจัง เขายกมือขวาขึ้นโบก เรียกถุงขนมออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บและเริ่มเคี้ยวกินเสียงดัง
เหมือนว่าเขากำลังแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่อันแรงกล้าผ่านแรงขบเคี้ยว เขาเคี้ยวขนมเสียงดัง ผสานความตั้งใจอันแรงกล้าและแรงกัดเป็นหนึ่งเดียว!
ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ! หวังเป่าเล่อเคี้ยวขนมพร้อมให้สัญญากับตนเอง
ชายหนุ่มไม่ได้เสียสติขนาดนั้น เขาห้ามใจไม่ให้ตนเองกินขนมจนหมดและเก็บขนมที่เหลืออยู่ครึ่งถุงเข้ากระเป๋าคลังเก็บไป หวังเป่าเล่อเตรียมการไว้พร้อมสรรพสำหรับการเดินทางไกลจากโลก จึงมีขนมมากมายหลายแบบจำนวนเกือบพันถุงอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ แต่ใครจะรู้เล่าว่าเขาต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไร ทำให้ชายหนุ่มระมัดระวังไม่กินขนมเยอะเกินไป
ข้าต้องวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไป… หวังเป่าเล่อลูบคางและเริ่มครุ่นคิด เนื่องจากมีเป้าหมายอยู่แล้วก็ควรมุ่งหน้าทำตามเป้าหมายที่มี เขาคิดว่าตนเองมีทางหาเรือบินรบอยู่บ้าง หากไม่ใช้ของคนอื่นก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง
ถ้าเลือกอย่างแรกก็คงต้องหาซื้อธาราจอมตะกละ ซึ่งคงจะง่ายกว่าเพราะแค่มีเงินพอก็ซื้อได้ อาจจะลำบากในการหาเงิน แต่เขาก็คิดว่าถ้าตั้งใจลงมือก็คงแก้ปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย
หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจว่าเรือบินรบของคนอื่นจะใช้งานได้ดีหรือไม่ เพราะตั้งใจว่าจะออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ไป อาจจะต้องเจออุปสรรคมากมายระหว่างทาง เขาต้องสามารถซ่อมเรือบินรบได้ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา
หลังจากเทียบข้อดีข้อเสียของทางเลือกที่มี ชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้
ข้าจะศึกษาวิธีสร้างเรือบินรบและสร้างเรือบินรบเป็นของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน และซ่อมแซมได้ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา
หนทางนี้อาจจะยากสำหรับคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่กับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทที่สามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดได้ เขาอาจจะยังไม่สามารถหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้สมบูรณ์ แต่ก็สามารถซ่อมได้โดยไม่มีปัญหา พอเริ่มเข้าใจระบบอาวุธเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ ขอแค่รู้วิธีก็พอ
วันคืนผ่านไป หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าศึกษาอย่างหนัก สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้มีศิษย์มากมาย แม้จะมีกันประมาณหกร้อยคนในสำนักตอนนี้ แต่ทุกคนก็รู้จักกันดี ทำให้หวังเป่าเล่อโดนขัดจังหวะอยู่บ่อยๆ
หวังเป่าเล่อไม่สามารถบอกปัดเหล่าผู้มาเยือนได้เพราะพวกเขาคือเพื่อนของหลงหนานจื่อ นอกจากนี้เขายังอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มต้อนรับผู้มาเยือนแต่ละคนอย่างกระตือรือร้น ขณะกำลังถกกันเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตที่แสนไม่แน่นอน หวังเป่าเล่อก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เพิ่มเติมไปด้วย
“สำนักใหญ่จะมาเมื่อไหร่เช่นนั้นหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนกำลังตัดสินใจว่าจะอยู่กับสำนักต่อไปดีหรือไม่…”
“สำนักพันวิญญาณเข้ามาหว่านล้อมศิษย์ของพวกเขา ข้อเสนอฟังดูน่าสนใจ พวกเขาถามเราว่าจะไปร่วมสำนักพวกเขาหรือไม่…”
ข่าวคราวจากเหล่าผู้มาเยี่ยมเยือนเผยให้เห็นถึงความกังวลใจในหมู่สานุศิษย์ ระหว่างการมาเยี่ยมเยือนจากหลายๆ คน มีอยู่สองครั้งที่เพื่อนสนิทของหลงหนานจื่อสงสัยว่าเขามีอะไรแปลกไป หวังเป่าเล่อจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้พลังปราณอันแข็งแกร่งร่ายคาถาเปลี่ยนความคิดพวกเขา ชีวิตของชายหนุ่มดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
ผู้อาวุโสสูงสุดเรียกหวังเป่าเล่อไปหาครั้งหนึ่ง เขาถามข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านการฝึกตน ผู้อาวุโสไม่ได้สนใจหลงหนานจื่อที่ไม่ได้บรรลุขั้นฝึกตนมานานหลายปีเท่าไรนัก ทำให้ไม่ได้ตระหนักว่าหลงหนานจื่อนั้นโดนสับตัวไป หลังจากกล่าวให้กำลังใจเล็กน้อย ผู้อาวุโสก็กล่าวกับหวังเป่าเล่อก่อนจะส่งเข้ากลับไป
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันยากลำบากของสำนัก เราต้องการความร่วมมือจากทุกคน นี่คือทางเดียวที่จะฟื้นฟูสำนักให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนในอดีตและปกป้องศิษย์ทุกคนต่อไปได้”
คำพูดเหล่านี้เบื้องหน้าเหมือนจะไม่มีอะไร ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้เรียกหวังเป่าเล่อไปแค่คนเดียว แต่ยังเรียกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนที่ยังฝึกวิชาต่อแม้สำนักจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากไปพบ ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวให้กำลังใจและกล่าวปิดด้วยคำพูดเดียวกัน ตอนนี้สำนักตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย อาคารต่างๆ ถูกสำนักอื่นรื้อถอนไปเกือบหมด สำนักในตอนนี้ดูว่างเปล่า เป็นภาพอันแสนเศร้าเกินจะทนมองได้
ในฐานะผู้อาวุโส การให้กำลังใจศิษย์และปลอบให้พวกเขาหายกังวลเป็นสิ่งที่สมควรทำ
แต่…หวังเป่าเล่อนั้นได้ศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาไต่เต้าขึ้นมาจนมีตำแหน่งสูงในระบบสุริยะ ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหลังจากกลับออกไป
เป็นคำขู่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหัวเราะ ตัดสินใจเมินเฉย เขาทำใจเย็นตลอดการเข้าพบ ไม่ได้กังวลว่าตัวตนจะถูกเปิดโปง คำขู่ที่แอบแฝงในคำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแตกตื่นแต่อย่างใด ถึงผู้อาวุโสสูงสุดจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของตนจริง ชายหนุ่มก็แค่ปลิดชีพชายวัยกลางคนผู้นั้นและใช้ตัวตนของเขาแทน
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ตระหนักว่าถ้าตนจำแลงกายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดก็จะต้องพบปัญหาชุดใหม่ ทั้งเครือข่ายของผู้อาวุโสสูงสุด การรับมือกับสำนักใหญ่ รวมไปถึงการจัดการภายใน เขาจะค้นดวงวิญญาณผู้อาวุโสสูงสุดหาข้อมูลเพิ่มก็ได้ แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็ไม่ได้ห่างกันมาก ถึงจะทำได้สำเร็จก็คงไม่สามารถได้ข้อมูลมาครบสมบูรณ์ นอกจากนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติในตัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทิ้งความคิดที่จะจำแลงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดไปหลังจากผ่านการไตร่ตรองแล้ว
เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะไว้ชีวิตเขา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ เขากลับไปยังที่พักและศึกษาขั้นตอนการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต่อ
เจ็ดวันผ่านไปในพริบตาเดียว
การมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ในสำนักสร้างประโยชน์ให้หวังเป่าเล่อ ในที่สุดเขาก็แทรกซึมเข้าไปในสำนักได้อย่างสมบูรณ์ ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่แปลกประหลาดสำหรับเขาอีกต่อไป ขณะที่ชายหนุ่มถามคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ก็ทำให้ได้ทราบเหตุผลว่าเหตุใดถึงเกิดหายนะขึ้น และทำไมทางสำนักต้องเปิดประมูลทรัพย์สินของตนเอง
ทุกอย่างเชื่อมโยงไปถึง…เรือบินรบที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ใช้ออกปล้นและพยายามซ่อมแซมอยู่!
เรือบินรบลำนี้คือของล้ำค่าที่สุดในสำนัก ต้องใช้เวลาหลายรุ่นถึงจะสร้างได้สำเร็จ ทรัพยากรจำนวนมากหมดไปกับการสร้างเรือบินรบลำนี้ซึ่งเป็นกุญแจหลักที่ทำให้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สามารถยืนหยัดได้ต่อไป
เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสสูงสุดเปิดประมูลทรัพย์สินของสำนักและกว้านซื้อวัตถุดิบจำนวนมากมา นอกจากนี้ยังรวบรวมผู้ฝึกตนทุกคนในสำนักที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและส่งไปยังเขตหวงห้ามของสำนักเพื่อซ่อมแซมเรือบินรบโดยไม่หยุดพักด้วย
หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจการค้นพบครั้งนี้ การศึกษาที่ผ่านมาทำให้มีความรู้แค่ในทางทฤษฎี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท ชายหนุ่มรู้ดีว่าการได้ลงมือทำนั้นสำคัญเพียงใด นอกจากนี้ หากสามารถเข้าไปร่วมซ่อมแซมเรือบินรบได้ เขาก็จะมีข้อมูลในการหลอมเรือบินรบเป็นของตนเองมากขึ้น
เขาจัดเรียงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ได้เรียนรู้มาให้เป็นระบบ จากนั้นก็ออกจากที่พักและมุ่งหน้าไปยังเขตหวงห้าม ผู้อาวุโสสูงสุดคอยควบคุมงานอยู่ที่นั่น หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจจะไปเสนอตัวขอช่วยเหลือการซ่อมแซมเรือบินรบ
“ผู้อาวุโสสูงสุด ในฐานะสมาชิกสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ข้าไม่สามารถนั่งทนดูสำนักตกระกำลำบากได้ ใจข้าไม่อาจมุ่งสนใจการฝึกวิชาได้แม้แต่น้อย ข้าจึงอยากเข้าร่วมการซ่อมเรือบินรบ อยากทุ่มกายใจเพื่อสำนัก นี่คือของทั้งหมดที่ข้าสะสมมาได้ ข้ายอมมอบทุกอย่างให้ทางสำนักนำไปใช้ ข้ายอมทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ข้าขอสาบานว่าจะร่วมหัวจมท้ายไปกับสำนัก!”
หวังเป่าเล่อรออยู่นานกว่าจะได้เข้าพบผู้อาวุโสสูงสุด พอเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่าย เขาก็รีบหยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาวาง จากนั้นก็กล่าวเสียงดัง ประกาศก้องถึงความภักดีที่มีต่อสำนักให้ทุกคนได้ทราบ ชายหนุ่มทุบอกเสียงดังเพื่อทำให้การกระทำของเขาดูจริงใจมากยิ่งขึ้น
บทที่ 735 โอกาสของสำนักเกลียวคลื่นสวร...
“ทำใจเย็นๆ ไว้หลงหนานจื่อ…” ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หรี่ตาลง เขาพึงใจกับคำพูดของหวังเป่าเล่อ ขณะนี้สำนักกำลังยากลำบาก และตัวเขาเองก็เครียดเป็นอย่างยิ่ง ความภักดีของบรรดาศิษย์ส่วนใหญ่ถูกท้าทาย แม้ว่าเขาจะไปพูดให้กำลังใจเหล่าศิษย์ทีละคน แต่ก็ดูไม่มีผลเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อเป็นคนแรกที่อาสาจะเข้ามาช่วยเหลือและลงทุนลงแรงให้
“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ!” หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้นอย่างปุบปับ มีแสงสีแดงสะท้อนอยู่ในแววตา ชายหนุ่มมีท่าทางเหมือนกำลังเจ็บปวด ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ข้าไม่อาจจะใจเย็นอยู่ได้ ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นเวลาหลายวัน เมื่อข้าตื่น สิ่งเดียวที่ข้าคิดถึงก็คือปัญหาที่กำลังเกาะกินสำนัก เมื่อข้าหลับตา สิ่งเดียวที่ข้าเห็นก็คืออนาคตที่ไม่แน่นอนของสำนัก ข้าบอกตนเองอยู่เสมอว่าผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเราจะต้องนำพาเราเอาชนะความยากลำบากนี้ไปได้แน่นอน แต่…ข้าก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้เมื่อสำนักกำลังประสบภัย!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ ขอให้ข้าได้ร่วมปฏิบัติการซ่อมแซมเรือบินรบด้วยเถิด ข้าเคยหลั่งเลือดเพื่อสำนักมาก่อนในอดีต เสียเหงื่อและเสียแรงเพียงเท่านี้จะเป็นอะไรไป” หวังเป่าเล่อละล่ำละลักออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นประกบและโค้งศีรษะลงต่ำเพื่อคำนับผู้อาวุโสสูงสุดอีกครั้ง
ผู้อาวุโสสูงสุดสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิเคราะห์อยู่เนิ่นนาน แววตาของเขาส่องประกายความชื่นชมและความสบายใจ จากนั้นชายชราจึงพยักหน้า หวังเป่าเล่อเฝ้ามองเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเปิดปากกำลังจะพูดอะไรบางสิ่ง ถ้อยคำที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาเป็นถ้อยคำสุดพิสดารที่ยาวเหยียด เป็นคำสาป!
ห้องโถงทั้งหมดสั่นไหวรุนแรง ก่อนที่แสงแรงกล้าซึ่งสว่างเทียบเท่าดารานิรันดร์จะส่องสว่างออกมาและเข้าล้อมรอบกายหวังเป่าเล่อเอาไว้
หวังเป่าเล่อไม่สะทกสะท้าน ชายหนุ่มใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนจะมาที่นี่ เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นขัดกับตัวตนที่แท้จริงของหลงหนานจื่ออยู่ระดับหนึ่ง การซ่อมแซมเรือบินรบเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับสำนัก เขาจึงคาดการณ์ไว้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะต้องค้นตัวเขาเป็นแน่
ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แม้ว่าจะดูผิดจากตัวจริงไปบ้าง แต่การกระทำของเขาก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ หวังเป่าเล่อเชื่อว่าการกระทำของตนเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดต้องการจะเห็น ไม่มีคำอธิบายอื่นใดที่จะอธิบายคำขู่ลับๆ ก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายได้ดีกว่านี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อก็มั่นใจในกระบวนเวทสารัตถะที่ศิษย์พี่มอบให้ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นตกตะลึง ราวกับว่าไม่ได้เตรียมรับมือกับคำสาปไว้อยู่แล้วกระนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันแล้วสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนที่นัยน์ตาของเขาจะวาวโรจน์ไปด้วยแสงอันล้ำลึกขณะปลดปล่อยกระบวนเวทชนิดหนึ่งออกมาค้นตัวชายหนุ่ม
การตรวจสอบใช้เวลาไม่นาน หลังผ่านไปสิบวินาที ประกายกล้าในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดก็จางไป เขายิ้มออกมา ก่อนจะอนุญาตให้หวังเป่าเล่อเข้าไปสู่เขตหวงห้ามและช่วยเรื่องการซ่อมแซม
หวังเป่าเล่อจากมาอย่างลิงโลดใจ สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความต้องการอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือสำนัก ขณะที่กำลังเดินออกมาจากโถงนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดก็หายวับไป มีแววตาครุ่นคิดเย็นเยียบปรากฏขึ้นแทนที่ เขาคว้ากระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อมาตรวจสอบสิ่งของด้านใน
วัตถุดิบที่หมอนี่ให้มานั้นไม่ได้มีค่ามากมายอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็ฉลาดพอที่จะมาช่วยเหลือโดยที่ข้าไม่ต้องบังคับ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นคนแรกที่มาหาข้า การจะฝึกฝนเขายังเป็นไปได้อยู่ ส่วนคนอื่นๆ พวกเขายังคงฝึกวิชาตามลำพังต่อไป แถมยังไม่มีทีท่าอยากช่วยเหลือสำนัก พวกเขาทำเป็นไม่ได้ยินข้า…
แววตาเย็นเยียบสะท้อนอยู่บนนัยน์ตาของผู้อาวุโสสูงสุด เขาคิดจะรออีกสักสองสามวัน หากคนเหล่านั้นไม่เสนอตัวเข้าช่วย เขาคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขายพวกเขาให้สำนักอื่นที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมหุ่นเชิดรับใช้เพื่อเอาเงินมาซื้อวัตถุดิบซ่อมแซมเรือบินรบ
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจำนวนมากยังคงเลือกที่จะถือสันโดษและฝึกปราณต่อไปในสำนัก ในอดีตหวังเป่าเล่อเองก็อาจจะทำเช่นนั้น แต่ขณะนี้ ชายหนุ่มกำลังเดินดุ่มๆ อย่างร่าเริง ตรงจากที่พักไปยังเขตหวงห้าม
เขตหวงห้ามของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นพื้นที่แยกออกมา กินอาณาเขตหลายร้อยกิโลเมตร ภายในไม่มีผู้ฝึกตนอยู่หนาตานัก มีเพียงสามหรือสี่ร้อยคนเท่านั้น และแม้จะควรมีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่เรือบินรบขนาดยักษ์ก็เบียดบังเอาที่ว่างไปเสียสิ้น
เรือบินรบที่ลอยอยู่ตรงใจกลางของเขตหวงห้ามรายล้อมไปด้วยวงแหวนปราณจำนวนมากที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก วงแหวนปราณเหล่านี้ส่องแสงหลากสีที่ดูเหมือนกำลังเติมปราณวิญญาณให้เรือบินรบอยู่ไม่ขาด
เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นรูปไม้กางเขน กล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยืดยาวร่วมห้าร้อยกิโลเมตรสองกล่องตัดกันตรงกึ่งกลาง เรือบินรบมีสีแดงสดที่ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูเปี่ยมไปด้วยอันตราย
เรือบินรบเสียหายหลายจุด บางจุดโครงสร้างด้านในหายไปหมดเหลือเพียงโครงสร้างด้านนอก ถึงกระนั้นขนาดที่ใหญ่โตของมันก็ทำให้รู้สึกพรั่นพรึง พลังกดดันที่มันปล่อยออกมาทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับอ้าปากค้าง
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นเพียงสำนักขนาดเล็ก แค่คิดว่าเรือบินรบของสำนักขนาดเล็กยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายกล้าเพราะความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน ชายหนุ่มรีบเข้าไปร่วมกลุ่มกับพวกที่กำลังซ่อมแซมเรือบินรบทันที
การมาถึงของหวังเป่าเล่อไม่ได้สะดุดตาใครมากนักในตอนแรก เพราะทุกคนต่างก็ง่วนอยู่กับการซ่อมแซมและมีหน้าที่มากมายต้องจัดการ บ้างก็ต้องปรับสภาพวัตถุดิบให้นำมาใช้ บ้างก็กำลังหลอมส่วนประกอบใหม่ให้เรือบินรบ บ้างก็ถูกขอให้ช่วยประกอบหรือแยกชิ้นส่วน หรือทำความสะอาด หรือช่วยหลอมด้ายพลังเพิ่ม มีบางคนถึงกับถูกไหว้วานให้หลอมวัตถุเวทเพื่อจู่โจมบนเรือบินรบขึ้นมาใหม่ ภาระการงานเหล่านี้ดึงเอาเวลาและความสนใจของทุกคนไปจนหมด
หน้าที่แรกของหวังเป่าเล่อคือการจัดการกับองค์ประกอบภายนอกของเรือบินรบที่รายงานแจ้งว่าเสียหายเกินซ่อมแซม ชายหนุ่มต้องตรวจสอบทุกองค์ประกอบที่อยู่ในขอบเขตของเขา เลือกดูชิ้นส่วนที่เสียหาย และส่งไปยังกลุ่มที่มีหน้าที่แยกชิ้นส่วนองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อหาส่วนที่ยังพอใช้ได้
งานนี้ไม่ยากแต่ก็น่าเบื่อ ชายหนุ่มทำงานหนักราวกับว่าอยู่ในโรงงาน เคลื่อนย้ายชิ้นส่วนไปตรงนั้นตรงนี้ไม่หยุดมือ หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นงานที่หนักหนาอะไร อันที่จริงแล้ว เขาสนุกกับมันอยู่ไม่น้อย การตรวจสอบช่วยย้ำบทเรียนเกี่ยวกับระบบวัตถุเวทในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มให้ความสำคัญกับประสบการณ์การทำงานที่เขาจะได้รับจากการตรวจสอบแต่ละครั้ง จากนั้นจึงส่งชิ้นส่วนต่อไปตามกลุ่มที่รับผิดชอบ เขาพยายามจะทำตัวกระตือรือร้น พยายามทำความรู้จักกับกลุ่มต่างๆ และเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างลับๆ โดยการลอบมองสิ่งที่กลุ่มเหล่านั้นทำ
สองสัปดาห์ผ่านไปเช่นนั้น ถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ชำนิชำนาญในการงานเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ไม่ต้องส่งชิ้นส่วนให้กลุ่มอื่นๆ อีกต่อไป ชายหนุ่มซ่อมแซมมันด้วยตัวเอง ทำให้เขาทำงานได้รวดเร็วขึ้นมาก แถมยังช่วยเสริมความเชี่ยวชาญในการหลอมวัตถุเวทขึ้นไปอีก
หวังเป่าเล่อไม่ได้ปล่อยให้เวลาที่ได้มาเพิ่มจากความชำนาญของตนผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มเริ่มเดินสายช่วยเหลือบรรดาศิษย์ในการซ่อมแซม เขาเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้อย่างดีตั้งแต่ต้น อีกทั้งความจริงที่ว่างานนั้นมีมากมายจนล้นมือ ทำให้ทุกคนชอบใจที่ได้เขามาช่วย ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็ทำงานได้มากเท่ากับคนสองคน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการหลอมวัตถุเวท ประสบการณ์ที่หวังเป่าเล่อได้รับระหว่างการทำงานช่วยให้เขาชำนาญเคล็ดวิชาการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตาสวรรค์อย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพในการหลอมวัตถุเวทก็เพิ่มพูนขึ้นด้วย เห็นได้ชัดจากความเร็วในการซ่อมแซมวัตถุเวทบนเรือบินรบ ยิ่งไปกว่านั้น ประสิทธิภาพของเขาก็ได้รับการส่งเสริมขึ้นไปอีกขั้น ชิ้นส่วนบางอย่างที่ควรส่งไปยังกลุ่มรับผิดชอบก็ถูกซ่อมแซมจนเรียบร้อยที่ฐานของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
ศิษย์คนอื่นๆ ในกลุ่มซ่อมแซมที่เล็กกว่าต่างตื่นตะลึงกับความสามารถของหวังเป่าเล่อ ทุกคนจ้องมองชายหนุ่มอย่างเคารพและชื่นชม เพราะระดับปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์และสถานะที่ค่อนข้างสูงของหวังเป่าเล่อ ไม่นานผู้คนก็เริ่มเห็นเขาเป็นผู้นำของกลุ่มและมีผู้ติดตามเจ็ดถึงแปดคน
ตลอดช่วงเวลานั้น หวังเป่าเล่อก็เข้าใจระบบการทำงานภายในของเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มากขึ้น
เรือบินรบในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามระดับของเกราะ เกราะลำดับหนึ่งอ่อนแอที่สุด และเกราะลำดับหกแข็งแกร่งที่สุด มีตำนานเล่าขานถึงเรือบินรบเกราะลำดับเจ็ดและแปดเช่นกัน…ด้วยเหตุผลบางประการ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จึงได้รับอนุญาตให้ครอบครองเรือบินรบที่มีระดับค่อนข้างสูง เช่นลำนี้ดูเหมือนจะเป็นเกราะลำดับสี่…
เรือบินรบเกราะลำดับสี่ตามปกติแล้วแบ่งออกเป็นสามร้อยส่วน แต่ละส่วนก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป เรือบินรบทั้งลำเป็นเครื่องยนต์ที่ประณีต ทุกๆ ภายในเรือบินรบต้องทำงานได้อย่างดีเพื่อให้เรือบินรบแล่นได้อย่างราบรื่น มีวัตถุเวทชั้นหนึ่งอยู่มากมกว่าหมื่นชิ้นในแต่ละส่วน ยิ่งส่วนใหญ่ๆ ก็อาจจะมีมากกว่านั้นอีก…โครงสร้างอันซับซ้อนนี้ช่วยให้เรือบินรบเดินทางได้ด้วยความเร็วสูง สามารถเดินทางข้ามระบบดาวได้หลายระบบ แถมยังมีพลังทำลายล้างที่สูงจนน่ากลัว!
ขณะที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรือบินรบ ความตื่นเต้นในใจของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
ยังมีส่วนที่เป็นเสมือนหัวใจและสมองของเรือบินรบด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเรือบินรบทั้งลำ!
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังแกนกลางรือบินรบที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในอากาศ ตรงนั้น…ควรจะเป็นแกนกลาง แต่มีคนจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เพียงเจ็ดหรือแปดคนที่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้นได้ คนอื่นๆ แม้แต่จะเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้
หนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น ที่เหลือเป็นผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณอีกหกคนในสำนัก
หากข้าอยากจะเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดของเรือบินรบ คงต้องเข้าไปข้างในนั้นและไปช่วยซ่อมแซมภายใน ข้าจะต้องหาทางเข้าไปในแกนกลางให้ได้…บางทีอาจต้องสังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสักคนหนึ่งแล้วจำแลงกายเป็นเขา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเริ่มชั่งน้ำหนักความคิดนี้อย่างจริงจัง
แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเท่าใดนัก กลุ่มของเขาทำงานซ่อมแซมได้ดีเกินคาด และการที่คนในสำนักกำลังขาด ทำให้การทำงานดีเกินไปไปเตะตาคนอื่นเข้าอย่างจัง รวมไปถึงผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณที่ควบคุมกลุ่มซ่อมแซมส่วนประกอบเรือบินรบด้วย
หลงหนานจื่อหรือ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขามีความสามารถถึงเพียงนี้ คนเก่งช้าคงเป็นเช่นนี้สินะ ผู้อาวุโสไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก คนเก่งช้านั้นค่อนข้างเป็นเรื่องปกติในสายงานการหลอมวัตถุเวท แต่ด้วยระดับพลังปราณที่ค่อนข้างสูงของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะย้ายชายหนุ่มให้เข้าไปทำงานซ่อมแซมภายใน เขาจะได้ไปทำงานกับกลุ่มที่เก่งกว่าเดิม!
หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้รับมอบหมายงาน ชายหนุ่มวางชิ้นส่วนในมือลงและลอบถอนหายใจอยู่ลับๆ
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นี้เป็นที่ที่ไม่เลวทีเดียว ข้าคงรู้สึกแย่มากกับสิ่งที่ต้องทำ…แต่ก็เอาเถิด บางทีการที่ข้ามาปรากฏตัวที่นี่อาจเป็นผลกรรมที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สั่งสมมาเป็นเวลานับพันปีก็เป็นได้!
……………………………………..
บทที่ 736 จะสอนให้ข้ารู้จักเจียมตัวเช...
ข้าอิจฉาสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เสียเหลือเกิน ที่มีโอกาสได้พานพบคนที่ทั้งเฉลียวฉลาดและมหัศจรรย์เช่นตัวข้า! หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ชายหนุ่มจากกลุ่มเดิมที่เขาเคยทำงานด้วยมาด้วยความรู้สึกเหนือกว่าที่ผลิบานอยู่ในใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังด้านในของเรือบินรบตามที่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสั่ง
การซ่อมแซมเรือบินรบแบ่งออกเป็นสองส่วน คือด้านนอกและด้านใน ด้านนอกของเรือบินรบต้องใช้ชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล แต่ระดับความชำนาญไม่จำเป็นต้องสูงเท่าใดนัก การซ่อมแซมส่วนด้านในนั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ความรัดกุมก็สูงกว่ามาก หวังเป่าเล่อต้องเดินผ่านวงแหวนปราณห้าชั้นก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป
หลังจากที่ผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ถูกเคลื่อนย้ายตรงไปยังเรือบินรบทันที หวังเป่าเล่อมองเห็นผู้ฝึกตนคนที่จะมาเป็นผู้นำทางให้เขา
ชายคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น เขาก้าวออกมาข้างหน้าและยกมือขึ้นคารวะทันทีที่มองเห็นหวังเป่าเล่อ
“ยินดีต้อนรับ ศิษย์พี่หลงหนานจื่อ ด้านในของเรือบินรบนั้นเสียหายหลายส่วน การเดินไปมาโดยไม่รู้ว่าส่วนไหนชำรุดเสียหายอาจเป็นอันตรายได้ ข้าจึงได้รับมอบหมายให้มารอที่นี่และพาท่านไปยังกลุ่มที่เจ็ด!”
หลงหนานจื่อเป็นศิษย์ที่มีสถานะค่อนข้างสูงในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้บรรลุขั้นการฝึกปราณมาหลายปี แต่ก็ยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ และแม้จะไม่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมวัตถุเวท เขาก็ยังได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาศิษย์อื่นๆ อยู่ประมาณหนึ่ง
หวังเป่าเล่อตอบความมีมารยาทของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากที่บางของหลงหนานจื่อ ทำให้รอยยิ้มของเขาดูเย็นชาและไม่เป็นมิตร ทำเอาผู้ฝึกตนวัยกลางตรงหน้ารู้สึกอึดอัดขึ้นมา ก่อนจะเดินนำหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวังไปยังจุดหมาย พลางตอบคำถามอยู่ไปมา
คำตอบที่หวังเป่าเล่อได้รับจากผู้ฝึกตนผู้นี้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มที่เจ็ดมากขึ้น มีกลุ่มทั้งสิ้นสี่สิบเอ็ดกลุ่มที่ทำงานอยู่บนเรือบินรบลำนี้ และงานซ่อมแซมก็ถูกแบ่งสรรปันส่วนอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่เพราะกำลังคนที่ไม่เพียงพอ แต่ละกลุ่มจึงต้องทำงานซ่อมแซมที่อาจอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบไปบ้าง
กลุ่มเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกลุ่มเก้ากลุ่ม ซึ่งมีหน้าที่สอดส่องกลุ่มที่อยู่ภายใต้การดูแล และรับมือกับการซ่อมแซมที่ซับซ้อนและสำคัญกว่า กลุ่มที่ชายหนุ่มจะเข้าร่วมคือกลุ่มเจ็ด มีหน้าที่ดูแลระบบป้องกันของเรือบินรบ
หน้าที่ของพวกเขาจำเป็นต้องใช้ความชำนาญระดับสูงในการหลอมวัตถุเวท กลุ่มนี้มีสมาชิกทั้งสิ้นสิบเก้าคน แต่แทนที่จะทำงานร่วมกันเหมือนกลุ่มที่ซ่อมแซมภายนอกของเรือบินรบ ศิษย์ทุกคนในกลุ่มเจ็ดกลับมีโต๊ะทำงานของตนเอง และต่างแยกกันทำงาน
นอกเหนือจากงานรายวันที่ได้รับแล้ว ในเวลาว่างศิษย์เหล่านี้ยังสามารถตรวจสอบรายชื่อของส่วนที่ต้องการการซ่อมแซม และทำการซ่อมแซมหรือหลอมวัตถุเวทตามที่กำหนด
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอิสรภาพ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะมอบแต้มให้ตามงานที่ทำสำเร็จ แต้มเหล่านี้สามารถนำไปแลกเป็นวัตถุดิบเพื่อการฝึกปราณได้ สิ่งนี้เป็นแรงจูงใจชั้นดีในเวลาที่ทรัพยากรแห้งแล้งขาดแคลนเช่นนี้
ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในตัวเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็จดจำรายละเอียดภายในเรือบินรบเอาไว้ ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลมีวัตถุเวทที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างของเรือบินรบ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ผสานตัวรวมอยู่กับผนังของเรือบินรบด้วย
น่าสนใจดีนี่ ตาของหวังเป่าเล่อหรี่เล็ก ตำราที่ชายหนุ่มได้อ่านมาไม่ได้พูดถึงคาถาผสานที่สามารถผสานสิ่งมีชีวิตเข้ากับวัตถุเวทอยู่เลย ประสบการณ์ของเขาบอกได้ทันทีว่าการผสานรวมช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้เรือบินรบอย่างใหญ่หลวง ความสนใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่อระบบวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพิ่มทวีขึ้นทันที
ชายวัยกลางคนเดินนำหวังเป่าเล่อลึกเข้าไปในเรือบินรบ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงส่วนที่กลุ่มเจ็ดประจำอยู่
ส่วนนั้นดูคล้ายรังผึ้ง มีห้องย่อยๆ นับสิบห้องซ้อนทับกันอยู่ ลานจัตุรัสที่ล้อมรอบห้องทั้งหลายอยู่นั้นดารดาษไปด้วยเศษชิ้นส่วนพังๆ และวัตถุดิบ ผู้ฝึกตนวัยเยาว์คนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางลานจัตุรัส กำลังตะโกนออกคำสั่งไปยังผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาต่างพากันจดรายละเอียดของวัตถุดิบที่ตนมีและส่งไปยังห้องอื่นๆ ต่อไป
“ส่งเข็มทิศเกราะระดับสามไปให้ศิษย์พี่เฉินหลัว”
“บอกศิษย์น้องลี่ฟางว่าไข่มุกที่เขาเพิ่งซ่อมมานั้นไม่ได้มาตรฐาน หากเขายังซ่อมไม่ได้อีก ก็ขอให้ออกไปจากกลุ่มเจ็ดเสีย!”
“เหล็กแทงสุญเล่มนี้ยังใช้ได้ ส่งต่อไปให้หลิวมิ่งเฟย เขามีหน้าที่สลักศิลาแทงสุญออกมา ข้าต้องการศิลาที่สลักออกมาอย่างน้อยร้อยละเจ็ดสิบ!”
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย เขาดูเหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเวท แค่จ้องมองไปยังวัตถุดิบหรือวัตถุเวทเพียงปราดเดียว ชายหนุ่มก็สามารถบอกได้ทันทีว่าสิ่งของนั้นมีปัญหาอย่างไร เขาดูเป็นคนพูดจาหยาบกระด้าง น้ำเสียงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรำคาญ
ผู้ฝึกตนหนุ่มขว้างวัตถุเวทชิ้นหนึ่งไปยังผู้ฝึกตนอีกคน พร้อมทั้งตะโกนออกคำสั่งไปว่าให้ทำอะไรกับวัตถุเวทนั้น ตอนนั้นเองที่เขามองเห็นหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มเงยศีรษะขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองมายังหวังเป่าเล่อ
“ข้าน้อยคาระศิษย์พี่หลี่เฉิน!” ทันทีที่สายตาของเด็กหนุ่มมองมายังคนทั้งสอง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้าทันที เขายกมือประสานก้มหัวคารวะต่ำ มารยาทที่เขาแสดงต่อหลี่เฉินแตกต่างจากตอนที่ทักทายหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน
หวังเป่าเล่อนึกออกในที่สุดว่าบุรุษตรงหน้าคือใคร ความทรงจำของหลงหนานจื่อบอกว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นศิษย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสลำดับที่ห้าโดยตรง เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการหลอมวัตถุเวท ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นเด็กมหัศจรรย์ของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เลยทีเดียว วงสังคมของทั้งสองไม่ได้ข้องเกี่ยวกันนัก แต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้เจอหลี่เฉิน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะจำแลงกายเป็นคนผู้นี้
ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะจู่โจมได้ แต่เครื่องจักรกลในสมองของหวังเป่าเล่อก็กำลังทำงานอย่างหนัก ชายหนุ่มตัดสินใจจะวางเรื่องนี้ลงก่อน
ขณะที่หวังเป่าเล่อยุติความคิดที่จะสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้า ตัวเด็กหนุ่มเองที่ไม่รู้เลยว่าเพิ่งจะรอดพ้นจากความตายมาได้หวุดหวิดก็ยกมือขึ้นโบก เขาไม่ได้ชายตามองผู้ฝึกตนวัยกลางคนเสียด้วยซ้ำ แต่กลับจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่สุดจะทานทน ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างมีโทสะว่า “เจ้ามาสายนะ หลงหนานจื่อ! เวลาทุกวินาทีมีค่าเมื่อเราทำงานซ่อมแซมเรือบอนรบอยู่เช่นนี้ อย่าให้เกิดขึ้นอีกเล่า!”
“ข้าจะมอบแร่วิญญาณมายานี้ให้เจ้า ไปหาโต๊ะทำงานที่ยังว่าง เจ้ามีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง จงกลั่นเอาของเหลววิญญาณมายาออกมาจากแร่ อย่าให้เสียของเหลวไปเกินร้อยละยี่สิบเล่า!”
ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะเขวี้ยงก้อนหินใส่หวังเป่าเล่อ หินนั้นก้อนเท่ากำปั้นแถมยังส่องแสงสีม่วงทอประกายออกมา หลังจากนั้นหลี่เฉินก็เมินหวังเป่าเล่อ ก่อนจะไปจัดการกับวัตถุดิบอื่นๆ หลงหนานจื่อแทบไม่มีความสำคัญสำหรับอีกฝ่ายเลย ไม่มีความจำเป็นที่หลี่เฉินจะต้องมาเสียเวลาพูดคุยด้วยมากมาย หากหลงหนานจื่อไม่สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ ก็คงต้องเก็บของและจากไปเท่านั้น
“หืม…” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อรับแร่วิญญาณมายามา มันเป็นแร่ที่มีอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่านั้น ชายหนุ่มเคยอ่านเรื่องของแร่นี้จากในบันทึกมาก่อน แร่นี้สามารถหลอมให้กลายเป็นของเหลววิญญาณที่รู้จักกันในนามของเหลววิญญาณมายาผ่านวิธีการพิเศษได้ ของเหลวนั้นมักจะนำไปใช้เพิ่มอัตราความสำเร็จในการหลอมสิ่งต่างๆ
แต่การสูญเสียของเหลวไปขณะที่หลอมแร่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อัตราการสูญเสียที่ยอมรับได้คือร้อยละห้าสิบลงไป ร้อยละยี่สิบนั้น…ค่อนข้างเป็นตัวเลขที่ท้าทายเลยทีเดียว
เขาจะสอนให้ข้ารู้จักเจียมตัวกระนั้นหรือ หวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังเด็กหนุ่ม ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาไม่ใช่คนที่ยอมคน ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้หวังเป่าเล่ออยู่ในร่างอวตาร ส่วนร่างจริงนั้นนอนหลับใหลอย่างปลอดภัยอยู่ในโลงศพ หากเกิดความผิดพลาด ชายหนุ่มก็สามารถจำแลงกายได้ทันที หวังเป่าเล่อไม่ได้วางแผนที่จะสร้างความวุ่นวายหากไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้เขาก่อน แต่หากมีใครมาลบหลู่เขา ชายหนุ่มก็จะไม่ยอมรามือง่ายๆ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ต่อให้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ตาม
หวังเป่าเล่อพลิกฝ่ามือที่ถือแร่วิญญาณมายาเอาไว้ เปลวไฟสีฟ้าลุกท่วมขึ้นภายในฝ่ามือและเข้าห้อมล้อมแร่เอาไว้ วิธีการหลอมละลายแร่นั้นปรากฏขึ้นเองในศีรษะของหวังเป่าเล่อ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ลงมือทำ แต่พรสวรรค์และรากฐานอันหนักแน่นในวิชาการหลอมวัตถุเวทก็ทำให้เขาสามารถหลอมได้แทบจะในทันที เปลวไฟในฝ่ามือของหวังเป่าเล่อเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว
ภาพการหลอมนั้นเตะตาทุกคน นัยน์ตาของหลี่เฉินแสดงอาการไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะหันมามองด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นตื่นตกใจ
“แร่วิญญาณมายาสามารถหลอมละลายได้โดยการใช้เปลวไฟหลอมวิญญาณ ในแต่ละระยะ เปลวไฟจะผ่านกระบวนการทั้งสิ้น 696 ครั้งและเปลี่ยนสีทั้งสิ้น 233 ครั้ง หากสามารถควบคุมให้อัตราการหลอมละลายเท่ากับลมหายใจของผู้หลอม เราก็สามารถใส่ปราณวิญญาณและแร่ธาตุอื่นๆ เข้าผสานรวมในระหว่างขั้นตอนการหลอม เพื่อช่วยให้การกลั่นเสร็จสมบูรณ์ได้ ในระหว่างนั้น ต้องคอยมองดูอักขระที่อาจดูคล้ายรอยแตกร้าวบนตัวแร่แล้วค่อยๆ ปรับความร้อนตามไปด้วย แม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ แต่ในทางทฤษฎีแล้ว ก็สามารถลดอัตราการสูญเสียให้เกือบเทียบเท่าศูนย์ได้!” หวังเป่าเล่ออธิบายอย่างเยือกเย็นขณะที่มือก็หลอมแร่ไปด้วย
“แน่นอนว่า ฝืมืออันต่ำต้อยของข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ สิ่งที่ข้าทำได้ก็คือ…ลดอัตราการสูญเสียให้เหลือต่ำกว่าร้อยละสิบ!” หวังเป่าเล่อพูดต่อไปอย่างเนิบๆ ทุกคนรอบกาย รวมไปถึงผู้ฝึกตนวัยกลางคน จ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึงขณะที่ชายหนุ่มสะบัดมือขวาแล้วดับไฟ มีลูกของเหลวกลมๆ ที่ส่องแสงเรืองรองสีม่วงลอยอยู่บนฝ่ามือ!
สิ่งนั้นเป็นของเหลวสีม่วงใสที่ส่องแสงเรืองรองราวกับเป็นสมบัติ ทุกคนต่างถูกดึงดูดเข้าไปหามัน สิ่งนี้ก็คือ…ของเหลววิญญาณมายา!
“สวรรค์ นี่มัน…ของเหลววิญญาณมายาขั้นสูง!” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนข้างๆ หวังเป่าเล่อถึงกับสะอึก ความตื่นตะลึงปกคลุมลานจัตุรัสสาธารณะทันที
บทที่ 737 สวัสดี เราพบกันอีกแล้วนะ!
ฝูงชนไม่เพียงตื่นตะลึงที่หวังเป่าเล่อหลอมของเหลววิญญาณมายาขั้นสูงได้ แต่ยังตื่นตะลึงกับระยะเวลาเพียงน้อยนิดที่เขาใช้ไป…การหลอมทั้งหมดใช้เวลาไปทั้งสิ้นไม่เกินสามสิบวินาที!
แค่เรื่องเวลาเพียงอย่างเดียวก็น่าทึ่งพอแล้ว แต่ชายหนุ่มไม่เพียงแค่ใช้เวลาไปไม่กี่อึดใจ เขายังหลอมของเหลววิญญาณมายาระดับยอดเยี่ยมออกมาได้เสียด้วย!
การแสดงฝีมือครั้งนี้ทำให้ทุกคนลืมสิ่งที่พวกเขาเคยรู้เกี่ยวกับการหลอมไปเสียสิ้น พวกเขาต่างพากันส่งเสียงตกใจ ลืมการมีอยู่ของหลี่เฉินไปlobm
หลี่เฉินเองอยู่ในจุดที่กำลังอับอาย แถมเด็กหนุ่มยังตื่นตะลึงไม่แพ้คนอื่น เขาเองก็สามารถหลอมของเหลววิญญาณมายาที่มีอัตราสูญเสียเพียงร้อยละสิบได้เช่นกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาร่วมสามวัน
ทว่าหลงหนานจื่อกลับทำได้สำเร็จภายในไม่กี่วินาที ระดับพื้นฐานของทั้งสองนั้นห่างไกลกันลิบลับ!
ช่างเป็นความจริงอันขมขื่นที่ฝากรอยแผลไว้ให้กับความหยิ่งทนงของหลี่เฉินยิ่งนัก เด็กหนุ่มแทบจะสะกดกลั้นโทสะและความอับอายเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนที่เขาจะได้พูดสิ่งใด หวังเป่าเล่อก็ส่ายศีรษะ
“ข้ายังไม่ชินเท่าใดนัก เพราะเพิ่งเคยหลอมสิ่งนี้เป็นครั้งแรก จึงมีอัตราสูญเสียถึงร้อยละสิบ…” ชายหนุ่มทอดถอนใจ พลางทำหน้าไม่สบอารมณ์กับผลลัพธ์ ก่อนจะโบกมือขวา โยนของเหลววิญญาณมายาไปให้หลี่เฉิน สิ่งที่คนอื่นคิดว่ามีค่ายิ่ง หวังเป่าเล่อกลับคิดว่าเป็นขยะ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินจากไปหาโต๊ะทำงานว่างๆ เมินหลี่เฉินไปโดยสิ้นเชิง
คำพูดของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นพลังเทพที่อัดใส่หลี่เฉินเต็มๆ แถมยังรุนแรงเสียจนกระทบไปถึงรอบข้างด้วย ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วบริเวณในบัดดล
ผู้คนแหวกออกเป็นทางเมื่อหวังเป่าเล่อเดินผ่าน ราวกับว่ากำลังอยู่ต่อหน้าองค์เทพกระนั้น พวกเขาก้าวถอยหลังอย่างยอมจำนนและพากันเปิดทางให้ ทุกคนในที่นั้นต่างมองเห็นงานหลอมและได้ยินที่เขาพูด หวังเป่าเล่อขณะนี้เปล่งรัศมีของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง เป็นบุรุษที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความทรงพลังที่เต็มเปี่ยม
หวังเป่าเล่อหายเข้าไปในห้องแล้ว แต่ลานจัตุรัสยังจมอยู่ในความเงียบ เป็นเวลาหลายอึดใจกว่าจะมีเสียงหายใจครั้งแรกดังมาให้ได้ยิน ฝ่ายหลี่เฉิน…ขณะนี้หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเซียวสลับกับถมึงทึงอยู่ไปมา ในที่สุด ชายหนุ่มก็เงยศีรษะขึ้นก่อนจะตะโกนใส่ทุกคนรอบกาย
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ กลับไปทำงาน!”
“ใครสักคนมาเอาแท่นศิลาลักมายาไปให้…ศิษย์พี่หลงหนานจื่อที!”
“เข็มทิศดาวตกอันนี้ ขนปักษาเพลิงอันนั้น แล้วก็อสูรศิลาดำด้วย…ส่งให้ไปศิษย์พี่หลงหนานจื่อให้หมด!” หลี่เฉินมีสีหน้าเกรี้ยวกราด เขาใช้อำนาจเลือกวัตถุเวทกว่าสามสิบชิ้นที่ยากต่อการซ่อมแซมเป็นอย่างยิ่งก่อนจะส่งไปให้หวังเป่าเล่อทั้งหมด ชายหนุ่มคิดวางแผน เจ้าเก่งนักใช่ไหม ได้ มาดูกันว่าเจ้าจะซ่อมแซมชิ้นส่วนเหล่านี้ได้หมดหรือไม่กัน!
ทุกคนต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำและทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีใครมีปากมีเสียงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในสายตาของพวกเขา นี่เป็นการปะทะกันระหว่างผู้ฝึกตนที่ทรงพลังสองคน และไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องมาข้องเกี่ยวด้วย พวกเขาทำตามคำสั่งและนำวัตถุดิบกับวัตถุเวทที่ต้องการการซ่อมแซมไปยังห้องของหวังเป่าเล่อ
หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาคงจะไม่สบอารมณ์นักเมื่อต้องถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้น การซ่อมแซมของถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน และพวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลเพิ่มเติม เพราะรางวัลเพิ่มเติมจะมอบให้กับคนที่ทำการซ่อมแซมวัสดุที่อยู่ในรายชื่อเท่านั้น ซึ่งคืองานอยู่นอกเหนือขอบเขตงานของตน
แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้ขัดข้องใจแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มนั้นยิ่งกว่าเต็มใจที่จะรับงานเอาไว้ สิ่งเดียวที่เขาขาดคือการฝึกฝน งานซ่อมแซมที่ถูกส่งมาที่เขาทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรหรือวัตถุดิบสำหรับการหลอมที่ขาดแคลน เขาต้อนรับงานซ่อมแซมทุกชิ้นอย่างยินดีและเริ่มทำงานด้วยความเร็วที่ร้ายกาจ
ทว่าสมาธิของหวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ที่การซ่อมแซมแม้แต่น้อย แต่กลับไปอยู่ที่การแยกชิ้นส่วนสิ่งของและศึกษาโครงสร้างภายในของมัน ด้วยความรู้และประสบการณ์อันมากมายด้านการหลอม ชายหนุ่มจึงกลายเป็นฟองน้ำที่รับเอาทุกสิ่งที่เขาได้ศึกษาเข้าไปโดยเร็ว เวลาผ่านไปเช่นนี้หลายวัน แถมหวังเป่าเล่อยังเข้าร่วมกับกลุ่มๆ หนึ่ง ที่ช่วยให้เขาเข้าถึงความรู้ด้านการหลอมวัตถุเวทได้มากขึ้น
การซ่อมบำรุงเรือบินรบเป็นงานเร่งด่วนที่สุดสำหรับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แต่สำนักก็ขาดแคลนกำลังคน เพื่อเป็นการเพิ่มความเร็วในการซ่อมแซม หนังสือเกี่ยวกับการซ่อมแซมวัตถุเวทที่แต่เดิมสงวนไว้สำหรับเลือดเนื้อเชื้อไขของสำนัก กลับถูกนำมาเผยแพร่แก่สมาชิกของกลุ่มทั้งเก้าบางส่วน
เวลาผ่านไปสามเดือน ความก้าวหน้าของหวังเป่าเล่อด้านการหลอมวัตถุเวทในช่วงระยะเวลานี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก การนำสองระบบการหลอมจากสองอารยธรรมมารวมกันก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มากมาย ชายหนุ่มจมดิ่งลงไปในงาน จนกระทั่งลืมความตั้งใจที่เดินทางกลับไปยังระบบสุริยะอยู่เนืองๆ
ความรู้สึกที่ว่าความชำนาญด้านการหลอมวัตถุเวทของเขาเพิ่มมากขึ้นทุกวันทำเอาหวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นที่สุด ความดีใจนั้นเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเมื่อรู้ตัวว่า บัดนี้เขาสามารถหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้แล้ว ชายหนุ่มไม่รู้สึกงุนงงกับการหลอมอาวุธเวทอีกต่อไป การได้รู้เช่นนี้ทำให้กำลังใจของหวังเป่าเล่อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ชายหนุ่มไม่ได้พยายามซ่อนพัฒนาการนี้ของตนแต่อย่างใด แม้ว่าเขาเคยคิดที่จะทำเช่นนั้น แต่ก็คงทำได้ยาก ทุกคนในกลุ่มเจ็ดคุ้นชื่อเขาดี อันที่จริงแล้ว…งานที่เขาผลิตออกมานั้นมีปริมาณเทียบเท่ากับงานของคนที่เหลือในกลุ่มรวมกัน ส่วนหลี่เฉินก็เลิกตอแยเขาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมรับว่าความสามารถของหลงหนานจื่อกับตัวเขาแตกต่างกันเกินไป แถมหลงหนานจื่อยังพัฒนาขึ้นมาก แม้ว่าการกลั่นแกล้งในตอนแรกๆ อาจจะส่งผลให้ความเร็วและความแม่นยำของอีกฝ่ายลดลงเมื่อต้องมาซ่อมชิ้นส่วนเรือบินรบ แต่ผลเหล่านั้นก็คงอยู่ไม่นาน หลี่เฉินต้องขุดคุ้ยสมองหางานที่ยากขึ้นไปอีกมาให้หลงหนานจื่อทำ
งานเหล่านี้ทำให้ชีวิตของหวังเป่าเล่อลำบากอยู่ไม่กี่วัน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หลี่เฉินแทบคลั่งเพราะความรำคาญใจ และไปตามล่าหาสิ่งอื่นมาทำให้ชีวิตของหวังเป่าเล่อยากลำบากขึ้นไปอีก หลี่เฉินถึงกับยอมติดต่อไปยังกลุ่มอื่นโดยใช้ข้ออ้างว่าต้องการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ทุกๆ สิ่งที่เขาโยนใส่หวังเป่าเล่อนั้นกลับได้รับความสนใจจากอีกฝ่ายเป็นเวลาไม่กี่วันเท่านั้น…
ในที่สุด หลี่เฉินก็ต้องประสาทเสียไปเองจากประสบการณ์ที่ได้รับ เขาเลิกมาตอแยหวังเป่าเล่อ แต่ หวังเป่าเล่อกลับไม่ค่อยชอบใจกับเรื่องนี้นัก ยิ่งเวลาผ่านไป ชายหนุ่มก็ยิ่งนึกชอบพอหลี่เฉินขึ้นมา แผนแสบๆ ของหลี่เฉินนั้นเหมือนเป็นการช่วยเหลือมากกว่าทำร้าย เพราะหากไม่ได้ทำงานซ่อมแซมที่ยากๆ จากกลุ่มอื่นๆ หวังเป่าเล่อก็คงไม่เก่งขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้
หวังเป่าเล่อตกใจเมื่อได้รู้ว่าหลี่เฉินล้มเลิกความตั้งใจที่จะรังแกตนแล้ว จึงไปหาหลี่เฉินก่อนจะพูดคุยด้วยตามตรง และดูเหมือนว่าการพูดคุยนั้นจะไปจุดไฟให้กับวิญญาณของหลี่เฉินอีกครั้ง เด็กหนุ่มทั้งช่วยเหลือและขยายวงการค้นหา ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะช่วยหวังเป่าเล่อในการฝึกฝน
แต่ไฟนี้…คงอยู่ได้เพียงสองเดือนก่อนที่หลี่เฉินจะยอมแพ้ไป ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะพูดคุยด้วยอย่างดีเพียงใดก็ไม่เป็นผล หลี่เฉินดูคล้ายจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเข้าไปพบอาจารย์และขอย้ายออกจากกลุ่มเจ็ดไป…
หวังเป่าเล่อรู้สึกเศร้าใจกับการจากไปของหลี่เฉิน เมื่อได้รู้ว่าหลี่เฉินย้ายไปกลุ่มห้า ชายหนุ่มก็รีบรุดไปที่กลุ่มห้าอย่างมีความสุขเพื่อไปหาหลี่เฉินทันที หวังเป่าเล่อเริ่มทำงานที่นั่นแทน และได้รับงานซ่อมแซมยากๆ อีกครั้ง
สองสัปดาห์ต่อมา…หลี่เฉินขอย้ายไปกลุ่มสาม หวังเป่าเล่อก็ตามสหายไปอยู่กลุ่มสามด้วยอย่างมีความสุข
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลี่เฉินย้ายไปกลุ่มหนึ่ง หวังเป่าเล่อผู้ลิงโลดก็ตามมารอยเท้าสหายมาติดๆ หลี่เฉินตื่นตะลึงเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงหน้า
“สวัสดี!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาและโบกมือให้หลี่เฉินอย่างตื่นเต้น
หลี่เฉินจากไปในวันนั้นเอง…ครั้งนี้ชายหนุ่มเลิกทำงานภายในเรือบินรบไปเลย และไปซ่อมแซมภายนอกแทน หวังเป่าเล่อเสียใจที่เห็นสหายจากไป หากไม่ใช่เพราะ ‘มิตรภาพ’ ที่ชายหนุ่มได้พัฒนาขึ้นร่วมกับหลี่เฉินในช่วงเวลานี้ เขาคงสังหารอีกฝ่ายและชิงเอาตัวตนมาเสียแล้ว
พวกเราเป็นสหายกัน ข้าจะทำเช่นนั้นกับสหายไม่ได้ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจขณะที่มองดูหลี่เฉินเดินจากไป จากนั้นชายหนุ่มจึงหันหลังเดินกลับไปยังกลุ่มที่หนึ่ง…ในช่วงเวลาสามเดือนต่อมา หวังเป่าเล่อทำงานต่อไปโดยไม่ได้สังกัดกลุ่มใด ชายหนุ่มเดินจากกลุ่มหนึ่งสู่อีกกลุ่ม ไปทุกที่ที่มีคนต้องการตัว!
ความสามารถในการหลอมอันหาตัวจับยากของหวังเป่าเล่อไปสะดุดตาผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เข้า แต่ผลสรุปจากการสืบสวนหลายครั้งก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ในที่สุด พวกเขาก็ทำได้เพียงสรุปว่าความรุดหน้าอย่างฉับพลันทันด่วนเป็นแค่การออกดอกผลของคนเก่งช้าเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ก็ยังไม่มีใครที่พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดเท่าหวังเป่าเล่อ
น่าเสียดายที่หลงหนานจื่อไม่อาจจะบรรลุขั้นปราณได้ ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่ชายชราสงสัยว่า เขาควรจะลองช่วยเหลือหลงหนานจื่อดีหรือไม่ ยอมเสียสละสักเล็กน้อยเพื่อให้หลงหนานจื่อบรรลุขั้นจุติวิญญาณ
ผู้อาวุโสสูงสุดเริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ตอนนี้หวังเป่าเล่อใช้เวลาไปหกเดือนในการทำงานกับกลุ่มต่างๆ และเริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างภายในของเรือบินรบ ขณะนี้เป้าหมายของชายหนุ่มอยู่ที่…ส่วนแกนกลางของเรือบินรบ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้!
หลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อใช้กระบวนเวทสารัตถะและจัดการให้ตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณ การบรรลุขั้นอันฉับพลันเป็นที่สนใจของทุกคน และข่าวการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของหลงหนานจื่อที่บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณก็แพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็ว!
บทที่ 738 กฎของการปล้นที่ดี!
พลังที่แพร่กระจายออกมาจากการบรรลุขั้นปราณของหวังเป่าเล่อไม่ได้น่าประทับใจเท่าใดนัก แต่ก็ยังมีคลื่นพลังวิญญาณแพร่ออกไปถึงเขตหวงห้าม คลื่นพลังวิญญาณไหลบ่าท่วมบริเวณและกระจายไปยังผู้ฝึกตนทุกคนที่ทำงานอยู่บนเรือบินรบ
ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณทั้งหกของสำนักต่างตกตะลึงเมื่อสัมผัสได้ถึงการบรรลุขั้นอย่างฉับพลันทันด่วน ผู้อาวุโสสูงสุดหายจากอาการตกตะลึงเป็นคนแรก ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวมาปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือกลุ่มเจ็ด ชายชราก้มศีรษะลงมอง ไม่ใส่ใจสมาชิกของกลุ่มเจ็ดที่หนีหายไปหลบอยู่ในห้องทำงานของตนเองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พลางใช้สัมผัสตรวจสอบบริเวณโดยรอบทันที สัมผัสของชายชราไปจับอยู่ที่ห้องซึ่งหวังเป่าเล่ออยู่!
นัยน์ตาของผู้อาวุโสเบิกโพลงหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จ มีความไม่อยากเชื่อฉาบเคลือบอยู่บนดวงตาทั้งสอง
หลงหนานจื่อ เขาบรรลุขั้นแล้วหรือ
ผู้อาวุโสสูงสุดสัมผัสสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องนั้นได้อย่างชัดเจน หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ภายใน พลังปราณของเขาไหลบ่าออกมาขณะที่พลังวิญญาณขั้นจุติวิญญาณเริ่มมารวมตัวกัน ผู้อาวุโสสูงสุดสัมผัสได้ถึงแก่นในทองคำของหวังเป่าเล่อที่กำลังแตกตัวและวิญญาณจุติของเขาที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณทั้งหกของสำนักปรากฏตัวขึ้นคนแล้วคนเล่า พวกเขาต่างก็ประหลาดใจไม่แพ้กันเมื่อเห็นหลงหนานจื่อกำลังบรรลุขั้นปราณ
หลงหนานจื่อมีความสามารถจำกัดมาโดยตลอด แม้ว่าจะได้รับโอกาสในปีต้นๆ แต่เขาก็ยังบรรลุได้เพียงขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น ตามหลักแล้วขั้นจุติวิญญาณก็ไม่ได้ห่างไกลสำหรับเขา แต่โอกาสที่จะบรรลุได้จริงๆ นั้นมีน้อยนิดมาโดยตลอด
แม้ว่าทุกคนจะไม่อยากเชื่อสายตาในตอนแรก แต่จากนั้นพวกเขาก็ได้ความคิดบางอย่าง หลงหนานจื่อเป็นคนเก่งช้าด้านการหลอมวัตถุเวท การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในด้านนั้นอาจจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการบรรลุขั้นปราณก็เป็นได้
ทั้งบรรดาผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุดต่างก็ยอมรับความก้าวหน้าอย่างปุบปับของหลงหนานจื่อในด้านการหลอมวัตถุเวท พวกเขาไม่พบพิรุธใดๆ ในตัวอีกฝ่าย ทั้งในวิญญาณ ในกายเนื้อ หรือรัศมีเองก็ไม่มีสัญญาณว่าถูกสิงหรือถูกแทนที่โดยใครคนอื่น
การบรรลุขั้นปราณของหลงหนานจื่อนั้นเป็นเรื่องเกินคาด แต่ก็ถือเป็นสิ่งดี การมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพิ่มขึ้นในสำนักช่วยเพิ่มพลังและอิทธิพลของสำนักขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของเขาในด้านการหลอมวัตถุเวทก็เป็นที่ประจักษ์ชัด ทักษะ ระยะเวลาที่ได้รับใช้สำนัก และการบรรลุขั้นปราณของเขาจะมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเรือบินรบเป็นอย่างมาก
นัยน์ตาของผู้อาวุโสสูงสุดส่องประกายกล้าขึ้นมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น เขารีบสั่งให้ปิดล้อมบริเวณนั้นเอาไว้ทั้งหมด ทุกๆ คนในกลุ่มเจ็ดถูกสั่งให้ออกจากพื้นที่ จากนั้นบรรดาผู้อาวุโสจึงนั่งลงเฝ้ายามให้หวังเป่าเล่อ
สมาชิกกลุ่มเจ็ดไม่รอช้า ต่างก็พากันส่งข่าวเรื่องการบรรลุขั้นปราณของหลงหนานจื่อออกไป ทุกๆ คนในเขตหวงห้ามจึงรู้ว่าเขานั่นเองที่เป็นต้นเหตุของคลื่นพลังวิญญาณที่บ่งบอกถึงการบรรลุขั้น!
เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงและการทุ่มเถียงอย่างเผ็ดร้อนดังขรมไปทั่วเขตหวงห้าม บางคนก็แสดงความอิจฉา บ้างก็แสดงความริษยา และหลายคนก็ทอดถอนใจด้วยความขมขื่น
และผู้ที่ขมขื่นและเศร้าสร้อยที่สุดย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลี่เฉิน
ดวงเนตรสวรรค์บอดไปแล้วหรืออย่างไรกัน ตาสีตาสาที่ไหนก็บรรลุขั้นได้เช่นนั้นหรือ หลี่เฉินจ้องไปที่เรือบินรบที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยแววตาโกรธเคือง ก่อนจะสบถด่าหวังเป่าเล่อ พร้อมทั้งสวดภาวนาให้การบรรลุขั้นล้มเหลว แต่คำอธิษฐานของเขาก็ไม่สัมฤทธิ์ผล สามวันต่อมา…เมื่อหวังเป่าเล่อก็จบการฝึกปราณและก้าวออกมาจากห้อง ผู้อาวุโสสูงสุดก็ประกาศแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นผู้อาวุโสคนที่เจ็ดของสำนักทันที!
หลังจากการแต่งตั้งหวังเป่าเล่อ ความคิดที่ผู้อาวุโสสูงสุดมีต่อเขาก็เปลี่ยนไป ชายวัยกลางคนจะไม่เข้มงวดกับเขาเท่าศิษย์อื่นๆ อีกแล้ว เขายิ้มให้หวังเป่าเล่อเหมือนที่ยิ้มให้ผู้อาวุโสอีกหกคน
หวังเป่าเล่อคุ้นชินกับการเมืองรูปแบบนี้ดี ตอนที่อยู่ในสหพันธรัฐชายหนุ่มก็ไต่อันดับขึ้นมา จากล่างสุดมาเป็นเจ้าพนักงานระดับสูง เขาจึงเชี่ยวชาญการรับมือกับผู้คนเป็นอย่างดี ชายหนุ่มตอบรับและแสดงความเคารพผู้อาวุโสท่านอื่นๆ
ในวันต่อๆ มา หวังเป่าเล่อก็ผ่านพิธีการหลากหลายที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของสำนัก สิทธิ์การเข้าถึงที่ได้รับก็เพิ่มพูนขึ้นตามกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ชายหนุ่มตั้งตารอมานาน นอกจากจะสามารถเข้าถึงหนังสือลับและเคล็ดวิชาการฝึกปราณของสำนักแล้ว ชายหนุ่มยังสามารถเข้าไถึงแกนกลางของเรือบินรบได้อีกด้วย
หลายวันต่อจากนั้น หวังเป่าเล่อจึงมาจดจ่ออยู่กับแกนกลางของเรือบินรบแทน นอกเหนือจากการศึกษาบันทึกต้องห้ามของสำนักและทักษะการหลอมที่บันทึกอยู่ในนั้น ชายหนุ่มยังได้ทดลองซ่อมแซมวัตถุเวทในบริเวณแกนกลางของเรือบินรบอีกด้วย
ทักษะในการหลอมวัตถุเวทของหวังเป่าเล่อพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง การทดสอบและฝึกฝนซ้ำไปซ้ำทำให้ความเข้าใจเรื่องเรือบินรบและโครงสร้างของมันฝังลึกลงไปในใจของชายหนุ่ม ความมั่นใจในการสร้างเรือบินรบของตัวเองก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
เมื่อมีเวลาว่าง หวังเป่าเล่อก็วาดแผนผังเรือบินรบของเขาเองในศีรษะ การสร้างจะต้องสมเหตุสมผลและเป็นไปตามกฎที่กำกับการใช้วัตถุเวท แผนผังนั้นช่างซับซ้อนยิ่งนัก แม้ว่าจะมีความสามารถในด้านนี้สูงเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะได้แผนผังที่สมบูรณ์ในศีรษะ
ขณะที่ร่างแรกของแผนผังเสร็จสมบูรณ์แล้ว ปัญหาใหม่ก็ตามมา…นั่นคือทรัพยากร!
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ประมูลสิ่งก่อสร้างของสำนักออกไปกว่าครึ่งเพื่อจะหาเงินมาซ่อมแซมเรือบินรบ แต่ฝ่ายหวังเป่าเล่อนั้นกำลังจะสร้างเรือบินรบจากศูนย์ ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการสร้างเรือบินรบขึ้นมานั้นมหาศาลนัก อันที่จริงแล้ว อาจจะมากจนประเมินค่าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
ข้าจะต้องคิดหาทาง…หวังเป่าเล่อศึกษาแผนผังที่เขียนในศีรษะก่อนจะกะประมาณทรัพยากรที่ต้องใช้ออกมาคร่าวๆ ตัวเลขสุดท้ายนั้นหนักอึ้งอยู่ในใจ ชายหนุ่มเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก
หากข้าสามารถใช้ใบหน้าอันหล่อเหลาในการหาเงิน เรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด…ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าควรจะใช้ตัวตนของข้าในการขโมยทรัพยากรหรือไม่ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจอย่างท้อแท้กับปริมาณทรัพยากรมหาศาลที่เขาจะต้องใช้ สมองเริ่มหมุนวนทำงานอย่างหนัก
ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ยอมรับเขาในฐานะผู้อาวุโสคนใหม่ของสำนัก ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าความระแวดระวังที่พวกนั้นมีต่อตัวเขาเริ่มจางหายไป
หลังจากที่เข้าใจธรรมชาติของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และรับรู้ถึงธรรมชาติการอยู่รอดด้วยการปล้นสะดมแล้ว หวังเป่าเล่อก็คิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะดูเป็นมิตร แต่ลักษณะภายนอกที่ดูจริงใจนั้นก็เป็นเพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น คนดีมีน้อยในอารยธรรมนี้ ผู้ที่ต้องการจะพัฒนาระดับปราณต้องออกเดินทางและเป็นโจร การเข่นฆ่ากลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว
หวังเป่าเล่ออาจจะผ่านการตรวจสอบมาแล้วหลายต่อหลายรอบ แต่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเขาก็ยังทำให้ผู้คนสงสัย ในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองเขาอยู่เสมอ ทว่าเขาไม่มีเจตนาจะทำลายสำนักแต่อย่างใด และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่พบพิรุธในตัวเขา
หากหวังเป่าเล่อต้องการ เขาก็สามารถดึงทรัพยากรมาใช้เป็นการส่วนตัวได้ ตำแหน่งของเขาช่วยให้ทางออกนี้สะดวกง่ายดายขึ้น แต่ขณะนี้สำนักก็กำลังยากจนและขาดแคลนทรัพยากรอยู่ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อจึงสรุปได้ว่าเขาควรจะดูดทรัพยากรของสำนักมาให้แห้งและขโมยเรือบินรบออกไป มิเช่นนั้นแผนของเขาก็คงไม่มีวันลุล่วงได้
บุรุษไม่ควรยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย ข้าจะต้องไปให้สุดไม่เช่นนั้นก็ต้องลาลับ ข้าไม่ควรจะมาเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะหรี่ตาลง ประกายแสงกล้าสะท้อนอยู่ในดวงตา
อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีสำนักร่ำรวยๆ อยู่มากมายเต็มไปหมด…หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจได้ เขาจะต้องหลบการถูกจับตามองในช่วงสองสามวันจากนี้ จากนั้นก็เริ่มขายของในกระเป๋าคลังเก็บและซื้อทรัพยากรมาอย่างลับๆ
ชายหนุ่มทำตามที่วางแผนไว้ทุกประการ จากนั้นในคืนเดือนมืด หวังเป่าเล่อก็แอบออกจากที่พักโดยไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะมาปรากฏตัว…อยู่บนท้องฟ้านอกสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์!
แม้จะมีสำนักอยู่มากมายที่แนวภูเขาที่ห้า แต่พวกเขาส่วนมากจะเก็บซ่อนทรัพยากรไว้อย่างดี แม้ว่าจะแทรกซึมเข้าไปในสำนักได้ ข้าจะต้องปลอมตัวเป็นใครสักคนเพื่อเข้าไปสำรวจ จากนั้นก็ต้องพึ่งโชคชะตาเพื่อจะหาของมีค่าให้เจอ ช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย เสียเวลาแล้วก็มีปัญหามากนัก…
วิธีที่ดีที่สุดคือให้สำนักเหล่านั้นจัดทรัพยากรของตนเองให้เป็นระเบียบ ข้าจะได้ทำการสะดวกขึ้นเมื่อออกปล้น
เพราะเหตุนี้…หากข้าต้องการจะปล้น เป้าหมายที่เหมาะสมที่สุด…คือเรือบินรบที่เพิ่งกลับมาจากการปล้นสะดมและเต็มไปด้วยทรัพยากร ไม่เพียงแต่จะรับประกันผลลัพธ์อันคุ้มค่า แต่ข้ายังสามารถแยกชิ้นส่วนเรือบินรบออกและเก็บมาใช้ได้อีกด้วย! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนประกายกล้า ความรู้สึกของการได้เป็นอารยธรรมต่างถิ่นที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้น เขาหายตัวและมุ่งหน้าไปยังดวงดาว
ดาวเอกของระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีสำนักอยู่มากมาย แปลว่าย่อมมีเรือบินรบอยู่มากมายเช่นกัน บางลำก็สามารถเดินทางท่องไปได้ไกล ขณะที่ลำอื่นๆ สามารถเดินทางไปมาได้ในระบบดาวเคราะห์เพียงเท่านั้น เรือบินรบจำนวนมากมาเดินทางเข้ามาและออกจากระบบดาวเคราะห์นี้ แม้จำนวนของเรือบินรบที่ผ่านไปผ่านมาจะไม่ได้มหาศาล แต่ก็ยังถือว่าไม่น้อยนัก
สิ่งนี้คือภาพที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อชายหนุ่มมาปรากฏกายอยู่ด้านนอกชั้นบรรยากาศของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ สายตาของเขากวาดมองเรือบินรบจำนวนมาก ชายหนุ่มยกมือถูคาง ก่อนที่เขาจะจำแลงกายอย่างรวดเร็วจากหลงหนานจื่อเป็น…จั่วอี้เซียน
หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก เจ้าลาที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บถูกปลุกให้ตื่น
“ลูกชายที่รักของข้า ได้เวลาที่เจ้าจะพิสูจน์ตัวเองแล้ว เร็วเข้า บอกบิดาของเจ้า จากประสบการณ์การกินทุกอย่างที่ขวางหน้าของเจ้า เรือบินรบลำใดที่เจ้าคิดว่ามีทรัพยากรซ่อนอยู่มากที่สุดกันเล่า”
บทที่ 739 ทุกคนหยุด!
ชั้นบรรยากาศของดาวเอกดวงเนตรสวรรค์คล้ายคลึงโลกในบางแง่ แต่ก็แตกต่างในหลายๆ ด้าน สภาพแวดล้อมหรือห้วงเหวแห่งความว่างเปล่าที่ขนาบรอบระบบดวงดาวเอาไว้อาจมีส่วนให้เป็นเช่นนี้ ชั้นบรรยากาศของดาวเอกหนาแน่นกว่าโลกมาก หากไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ขอบเขตของประสาทสัมผัสก็จะถูกจำกัดลงอย่างมาก
เป็นเหตุให้บรรดาเรือบินรบที่เทียวไปเทียวมาอยู่บนดวงดาวนี้มีจุดบอดร่วมกันอย่างหนึ่ง คือพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเรือบินรบได้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แม้จะดำรงอยู่ได้ด้วยการปล้นชิง พร้อมด้วยวัฒนธรรมการปล้นและเข่นฆ่าพวกเดียวกันเอง แต่การกระทำเช่นนั้นมักจะเป็นความลับอยู่เสมอ และส่วนมากก็เกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนตัวต่อตัวเท่านั้น การปล้นเรือบินรบนั้นเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่มักตามมาด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและหมายจับมากมาย ส่งผลให้พบเจอได้ไม่บ่อยนัก
หวังเป่าเล่อขณะนี้เร้นกายอยู่ภายในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ เป็นการยากสำหรับชายหนุ่มที่จะคาดคะเนว่าในบรรดาเรือบินรบตรงหน้าลำใดมีมูลค่าสูงสุดกันแน่ เรือบินรบของแต่ละสำนักมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน มีผ้าคลุมปกปิดสิ่งของที่อยู่ภายในเอาไว้ หากไม่ได้แยกชิ้นส่วนออกมาหรือใช้ประสาทสัมผัสสำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเรือบินรบเหล่านั้นขนสิ่งใดมาหรือทำขึ้นมาจากวัสดุประเภทใด
เรื่องนี้ทำให้งานของหวังเป่าเล่อยากขึ้นไปอีก แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นนักสู้มากพรสวรรค์ แต่ประสาทสัมผัสของเขายังไม่เฉียบคมพอที่จะตรวจสอบอาณาบริเวณนี้ทั้งหมดในคราวเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องคอยหลบซ่อนตัวขณะที่ทำการค้นหาอีกด้วย ดูเหมือนว่าความพยายามในการปล้นของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้คงต้องพึ่งโชคชะตาอย่างหนักทีเดียว
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เจ้าลาจะช่วยได้มาก เจ้าอสูรตนนี้กลืนกินมาแล้วทุกสิ่งสรรพและยังมีชีวิตรอดมาได้จนวันนี้ แถมยังกินทรัพยากรมามากมายหลายชนิด ซึ่งน่าจะช่วยให้ประสาทสัมผัสในการเลือกเรือบินรบที่มีของเยอะที่สุดของมันเฉียบคมยิ่งขึ้น
ตามหลักแล้ว โอกาสที่เรือบินรบซึ่งเพิ่งจะกลับมาสู่ดาวจะมีทรัพยากรเต็มลำนั้นสูงมาก แม้ว่าจะต้องพึ่งโชคชะตาอยู่มาก แต่ก็ไม่ควรดูเบาทักษะในการเลือกเป้าหมายของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้
“ทั้งโชคชะตาและทักษะต่างอยู่ข้างเราทั้งสิ้น เจ้าลูกข้า คงต้องหวังพึ่งเจ้าเสียแล้ว เร็วเข้า เลือกเรือบินรบมาลำหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกมือขึ้นลูบเจ้าลาผู้ซึ่งเพิ่งจะออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บและกำลังงุนงง
เจ้าลามีสีหน้าสับสน มันเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะมองไปทางเรือบินรบที่เดินทางเข้าออกชั้นบรรยากาศอยู่ไปมา ในที่สุดมันก็หันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยสีหน้าน่าเวทนา จากนั้นก็อ้าปากพร้อมที่จะส่งเสียงร้อง
“ข้ามีส่วนแบ่งให้เจ้าหากเจ้าหาเรือบินรบมาได้ หากหาไม่ได้…เจ้าก็กลับเข้ากระเป๋าคลังเก็บไปและข้าจะไม่ให้ข้าวกิน!” หวังเป่าเล่อจ้องหน้ามันเขม็ง เจ้าลาสูดลมหายใจอย่างตื่นกลัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นัยน์ตากลมโตของมันรื้นขึ้นด้วยน้ำตา หลังจากนั้นอีกพักหนึ่ง เจ้าลาจึงหันศีรษะกลับ ประกายเจิดจ้าส่องอยู่ในดวงตา มันทำจมูกฟุดฟิดขณะมองไปยังขบวนเรือบินรบตรงหน้า
ราวกับว่าบรรดาเรือบินรบตรงหน้าคืออาหารหลากหลายจาน หน้าที่ของมันคือต้องหาจานที่อร่อยที่สุดให้พบ
“เจ้าได้กลิ่นเรือบินรบแม้ว่าจะอยู่ห่างกันขนาดนี้เชียวหรือ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างตื่นใจ ขณะที่ความสนใจใคร่รู้ของชายหนุ่มพุ่งถึงขีดสุด เจ้าลาก็ส่งเสียงร้องอย่างร้อนใจ
“ลูกข้า ลูกข้า!” มันร้องขณะที่ยกขาหน้าขึ้นชี้ไปยังเรือบินรบลำหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากอวกาศ ดูเหมือนเจ้าลาจะกลัวว่าการกระทำของมันจะชัดเจนไม่พอ มันจึงจามออกมาเป็นควันที่แปรสภาพเป็นรูปทรงเดียวกับเรือบินรบที่เพิ่งชี้ใส่
หวังเป่าเล่อผงกศีรษะอย่างเร่งรีบ ประกายความลังเลใจพลันปรากฏขึ้นในแววตา เรือบินรบที่เจ้าลาชี้ไปดูแสนธรรมดา ไม่มีความโดดเด่นแต่อย่างใด ขนาดก็ไม่ใหญ่เท่าเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แถมยังเล็กกว่าตั้งเท่าตัว
เรือบินรบลำนั้นไม่ได้รวดเร็วแต่อย่างใด มันเคลื่อนที่ช้าๆ ไปข้างๆ เรือบินรบอีกเจ็ดถึงแปดลำโดยไม่มีความพิเศษใดๆ แถมยังมีความเสียหายอยู่เต็มลำ มันไม่ใช่ความเสียหายจากการต่อสู้ หากแต่ดูเหมือนความเสียหายจากการใช้งานหนักที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งดูจะสะท้อนถึงการขาดงบประมาณในการซ่อมบำรุง
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังศึกษาเรือบินรบอยู่ห่างๆ ภายในเรือบินรบลำนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่สิบกว่าคน มีเพียงห้าหรือหกคนเท่านั้นที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ ส่วนคนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย พวกเขาดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ แววตาส่องประกายกล้าไปด้วยความตื่นเต้น บางคนก็หยิบศิลาสีดำสนิทขนาดเท่ากำมือออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ พลางลูบคลำอย่างนุ่มนวล ราวกับว่ากำลังถือเอาอัญมณีล้ำค่าเอาไว้ในมือกระนั้น
“พวกเราจะรวยกันแล้ว ใครจะไปคิดว่าระบบดาวเคราะห์สายแร่ไหลหลากอันกว้างใหญ่จะซุกซ่อนอารยธรรมที่มีศิลาดารามายาอยู่มากมายถึงเพียงนี้เอาไว้!”
“ศิลาดารามายา! ศิลาเหล่านี้สำคัญยิ่งสำหรับการหลอมเรือบินรบเกราะลำดับห้า ศิลาขนาดเท่ากำปั้นเพียงก้อนเดียวสามารถแลกองค์รักษ์ระดับแปดได้เชียวนะ!”
“ทรัพยากรอันทรงคุณค่าเช่นนี้ แต่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอารยธรรมนั้นกลับอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นใน เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่า พวกเขาไม่คู่ควรจะเก็บมันเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยังกล้าที่จะต่อต้าน สมควรแล้วที่ถูกกำจัดจนสิ้นซาก เสียดายที่โครงสร้างทางกายภาพของคนพวกนั้นแตกต่างจากพวกเรา หาไม่แล้ว ก็อาจจะจับตัวพวกเขามาทำเป็นพาหนะในการหลอมได้”
ทุกคนในกลุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นเมื่อมีการพูดถึงผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอารยธรรมแห่งนั้น พวกเขานั่งกันอย่างผ่อนคลาย ขณะที่เรือบินรบกำลังลอยอย่างเชื่องช้าเข้าไปใกล้ดาวเคราะห์บ้านเกิดและสำนักมากขึ้นทุกที
“ทุกคน อย่าประมาทเชียวเล่า พวกเราได้สมบัติมามากมายพอดูทีเดียวในคราวนี้ พวกเรารับผิดชอบไม่ไหวแน่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อวิ๋นหลินจื่อ คอยควบคุมปริมาณปราณวิญญาณที่หลุดรอดออกไปให้ดี พยายามอย่ากระโตกกระตากไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้ความเร็วสูงสุดของเรือบินรบ เราจะเริ่มเร่งความเร็วเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ!” ผู้นำผู้ฝึกตนซึ่งเป็นผู้อาวุโสในขั้นจุติวิญญาณขมวดคิ้วและสั่งออกมาเสียงดังท่ามกลางเสียงหัวเราะขรม
“ผู้อาวุโสขอรับ ตอนนี้เราก็มาถึงดาวบ้านเกิดแล้ว จะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นได้อีก ท่านไปพักผ่อนเถอะ ทรัพยากรที่เราได้มาคราวนี้เพียงพอให้ท่านบรรลุการฝึกตนไปยังขั้นต่อไป พวกเรามายินดีให้ผู้อาวุโสล่วงหน้ากันดีกว่า!”
“ถูกแล้ว ผู้อาวุโสโปรดวางใจเถิด การพรางตัวของพวกเรานั้นไร้ที่ติ เรือบินรบของพวกเราดูปกติธรรมดาแถมยังปุโรทั่งเสียขนาดนี้ ไม่เตะตาสักนิด คงไม่มีใครคิดมาปล้นพวกเราเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้าทำสิ่งบ้าคลั่งเช่นการปล้นเรือบินรบนั้นก็หลายปีมาแล้วด้วย สำนักคงจะส่งคนมารับพวกเราในไม่ช้านี้แน่ โปรดวางใจและสบายใจได้”
ผู้อาวุโสใคร่ครวญอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความคิดที่ว่าเขาได้ทรัพยากรมามากเพียงพอที่จะฝึกตนจนบรรลุขั้นได้ทำเอาท้องไส้เขาปั่นป่วนด้วยความลิงโลดใจ
แน่นอนว่า…ผู้ฝึกตนเหล่านี้ที่เพิ่งกลับมาจากการสังหารหมู่พร้อมเรือบินรบซึ่งล้นปรี่ไปด้วยสมบัติ ต่างไม่รู้เลยว่ามีสายตาสองคู่จ้องเขม็งมายังเรือบินรบของพวกเขา ร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่อีกร่างหนึ่งเล็ก ซึ่งกำลังซุกซ่อนอยู่ในปุยเมฆ ต่างจ้องมองเรือบินรบด้วยสายตาแน่วแน่
หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะลุกขึ้นยืนท่ามกลางหมู่เมฆ ชายหนุ่มศึกษาเรือบินรบที่ดูแสนจะธรรมดาก่อนจะถามเจ้าลาออกมาเบาๆ
“เจ้าลูกข้า แน่ใจหรือว่าลำนี้อร่อย”
“ลูกข้า!” เจ้าลาดูมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง กีบขาของมันสั่นเทาด้วยความหิวโหยอันเกินจะควบคุม ดูราวกับว่ามันพร้อมจะพุ่งตัวออกไปได้ทุกเมื่อ
“ก็ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน ไปชิงของมากันเถิด!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มเลิกสนใจเรือบินรบลำอื่นไปเสียสิ้นและเริ่มซุกซ่อนตัว พวกเขาลอบติดตามเรือบินรบไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานนัก เรือบินรบที่ดูเก่าโทรมเหม็นสาบความจนก็เริ่มหันเหออกจากลำอื่นๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เข้าไปยังชั้นบรรยากาศของดวงดาว เมื่อเข้าไปได้ เรือบินรบลำนั้นก็หายไปในกลุ่มเมฆหนาทึบ
เรือบินรบลำนั้นจมดิ่งลงไปในชั้นบรรยากาศ ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย พวกเขาไม่ได้ละสายตาจากเรือบินรบไปแม้แต่น้อย ชายหนุ่มใช้ความเร็วเต็มที่ก่อนจะปล่อยพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ให้ไหลบ่าท่วมกาย วิญญาณจุติดวงดาราเข้ามาเพิ่มความเร็วให้สูงยิ่งกว่าที่พลังปราณจะทำได้ ทำให้ขณะนี้ชายหนุ่มมีความเร็วเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หวังเป่าเล่อพุ่งตัวตามเรือบินรบไปด้วยความเร็วราวกับเป็นดาวหาง!
เรือบินรบเองก็ปล่อยความเร็วสูงสุดออกมาในวินาทีนั้นเช่นกัน ก่อนจะเคลื่อนที่ออกไปด้วยความเร็วอย่างน้อยๆ สามเท่าของความเร็วตั้งต้น
หืม พวกเขาสัมผัสข้าได้อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อชะงัก ไม่มีเวลาคิดแล้ว ชายหนุ่มเลิกซ่อนตัว ก่อนจะปล่อยพลังปราณและจิตสัมผัสออกไปรอบกายอย่างเต็มที่ ราวกับว่าตัวเขาเป็นพายุที่มองไม่เห็นซึ่งพุ่งเข้าปกคลุมเรือบินรบในทันใด จิตสัมผัสของหวังเป่าเล่อพุ่งทะลุระบบป้องกันของเรือบินรบ ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็เห็นผู้ฝึกตนนับสิบบนเรือบินรบ!
สัญญาณเตือนภัยเสียงแหลมสูงดังลั่นขึ้นในเรือบินรบทันทีที่หวังเป่าเล่อตรวจสอบเรือบินรบ ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบต่างก็ยังหัวร่อต่อกระซิกและผ่อนคลายกันอยู่ แต่ขณะนี้พวกเขาต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่างตื่นตะลึง ก่อนจะอ้าปากค้าง
“ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเช่นนั้นหรือ”
“เร็วเข้า มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว!”
พวกเขาเพิ่งได้ยินสัญญาณเตือนของเรือบินรบและสัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสแปลกปลอมที่แผ่เข้ามา ผู้ฝึกตนจำพวกเดียวที่สามารถส่งจิตสัมผัสเข้ามาสำรวจภายในเรือบินรบขณะอยู่ในชั้นบรรยากาศรอบนอกได้…ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอย่างแน่นอน การทำเรื่องที่โผงผางเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้ฝึกตนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าชัดเจนสำหรับบรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบแล้ว!
ไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่บนเรือบินรบเลยหรือ แปลว่าพวกเขาไม่ได้เร่งความเร็วเพราะสัมผัสถึงตัวข้าเช่นนั้นสิ หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวเมื่อมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของบรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบ ชายหนุ่มนึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาอาจเจอขุมทรัพย์เข้าจริงๆ แล้วก็ได้ในครานี้ มีแกะตัวอ้วนพีตกลงบนตักพร้อมให้เชือดคอแล้ว!
หวังเป่าเล่อผู้ตื่นเต้นตั้งใจเปลี่ยนเสียงเพื่อจะหัวเราะชั่วร้าย พลันหายตัวไปในทันทีราวกับเป็นผีสาง และกระโจนขึ้นไปบนเรือบินรบที่กำลังเร่งความเร็วหนี ชายหนุ่มผ่านทะลุตัวถังเรือเข้าไปขณะที่เสียงของเขาดังกระหึ่มขึ้นในศีรษะของผู้ฝึกตนทุกคนอย่างฉันพลับราวกับเป็นเสียงระเบิด
“ทุกคนหยุด! นี่คือการปล้น!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น