ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 730-736
ตอนที่ 730 รับปีศาจทั้งสอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ แขนขนาดใหญ่ทั้งสองของเขาก็หดออกมาจากรอยแยก มือทั้งสองต่างก็คว้าเงาร่างไว้
และหลังจากแขนทั้งคู่หดกลับมา รอยแยกมิติกลางอากาศก็ผสานเข้าด้วยกันท่ามกลางแสงสีทองที่เปล่งประกาย
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็ค้นพบว่าเงาร่างในมือยักษ์ก็คือปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าที่เป็นปีศาจผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์นั่นเอง
ทั้งสองถูกหุ่นมนุษย์สีทองใช้มือทั้งสองจับไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนว่าไม่อาจดิ้นรนได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียน ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ถูกจัดอยู่ในระดับต้นๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์เองก็มีผู้อาวุโสสูงสุดเพียงบางคนที่มีระดับการฝึกฝนเช่นนี้
แม้จะว่าบอกว่าขุยตี้แห่งหนานฮวงเป็นผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ แต่ตอนนี้ก็มีแค่เศษวิญญาณที่เหลืออยู่เท่านั้น แค่คว้ามือออกไปอย่างไม่ใส่จืก็สามารถจับปีศาจทั้งสองได้แล้ว พลังอาจจะเหนือกฎธรรมชาติเกินไปหน่อย
ขณะนั้นเอง ปีศาจสายฟ้าที่ถูกมือยักษ์ของหุ่นจับไว้ก็ส่งเสียงตะคอกออกมาในฉับพลัน แสงสายฟ้าสีม่วงเปล่งประกายบนตัว ทันใดนั้นเงาร่างสีม่วงก็พร่ามัวปรากฏออกมาด้านหลัง
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มคนเผ่าทรายที่อยู่ด้านล่างก็เกิดการลุกฮือขึ้นมา
“เงาร่างพลังเวทของผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งแสงแวววาวอย่างอดไม่ได้
พอการฝึกฝนบรรลุระดับแก่นแท้ และรวบรวมวิญญาณให้กลายเป็นแก่นวิญญาณแล้ว ก็สามารถบรรลุสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้ การดำรงอยู่ของระดับนี้ สามารถนำพลังเวทกับแก่นวิญญาณรวมเป็นร่างเดียวกัน และเกาะตัวเป็นเงาร่างพลังเวทได้
และเคล็ดวิชาการฝึกฝนของแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน เนื่องจากสถานการณ์ของร่างแต่ละคนแตกต่างกัน ร่างพลังเวทที่ก่อตัวขึ้นมาจึงไม่เหมือนกัน
แต่ก่อนหลิ่วหมิงเคยเห็นปีศาจสายฟ้าแสดงร่างพลังเวทมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้เพิ่งจะได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของร่างพลังเวทของปีศาจสายฟ้า
แม้ว่าร่างพลังเวทของปีศาจสายฟ้าจะพร่ามัวไม่ชัดเจนโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สามารถแยกแยะได้ลางๆ ว่าเป็นมนุษย์ยักษ์ที่มีสายฟ้าสีม่วงรายล้อม เท้าของมันเหยียบอยู่บนเมฆหมอก บนตัวของมันคลุมเสื้อคลุมที่สร้างขึ้นจากสายฟ้า
ที่น่าแปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือ เงาร่างนี้มีแขนสี่แขน ใบหน้าก็ไม่ใช่ใบหน้ามนุษย์ แต่เป็นหน้าวานรที่มีขนเต็มไปหมด
ขณะที่ปีศาจสายฟ้าส่งเสียงตะคอกออกมา มือยักษ์ของเงาร่างสีม่วงก็คว้าไปด้านหน้า สายฟ้าสีม่วงระเบิดออกมาเป็นกลุ่มๆ และส่งเสียงดังโครมครามอยู่บนมือยักษ์สีทองของหุ่นมนุษย์ยักษ์
ขณะนี้ ปีศาจวายุที่อยู่อีกด้านก็ปล่อยร่างพลังเวทของตนเองออกมา แต่กลับเป็นตัวประหลาดที่มีหัวเป็นวิหค มีร่างมนุษย์ตัวหนึ่ง มีพายุบ้าระห่ำโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว ไม่เพียงแต่ชัดเจนกว่าร่างพลังเวทของปีศาจสายฟ้าไม่น้อย อานุภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าปีศาจสายฟ้าเลย และกำลังปล่อยคมวายุสีเขียวออกไปโจมตีมือยักษ์สีทองที่อยู่ด้านหลังอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าร่างของปีศาจทั้งสองจะถูกควบคุมไว้ แต่ว่าการโจมตีของร่างพลังเวทยังคงให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
แม้หลิ่วหมิงจะยืนอยู่บนพื้น ก็ยังคงรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังที่ดูเหมือนจะทำลายฟ้าดินได้
น่าเสียดาย ไม่ว่าทั้งสองจะโจมตีอย่างไร แขนขนาดใหญ่ที่จับตัวของพวกเขาไว้ยังคงมั่นคงเหมือนดังภูเขา พลังการโจมตีของร่างพลังเวทระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองราวกับมดแดงขย่มต้นไม้ใหญ่ ไม่บังเกิดผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย
“นี่คือ…..หุ่นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!” ขณะที่แขนยักษ์สีทองหดกลับมาตรงหน้าหุ่นสีทองนั้น ปีศาจสายฟ้าก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาจ้องมองหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองตรงหน้าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ และหลุดปากตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
ปีศาจวายุเองก็ดวงตาเป็นประกายราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้ จึงถามด้วยความหวาดผวา
“ผู้อาวุโส หรือว่าท่านคือ…”
“ไม่ผิด ข้าก็คือขุยตี้แห่งหนานฮวง!” ชิงหลิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
ปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาพร้อมกัน
ร่างพลังเวทที่พวกเขาปล่อยออกมาก็หยุดการโจมตีลง
พอปีศาจสายฟ้าเหลือบตามอง ก็มองเห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ข้างหุ่นยักษ์ เขาเผยสีหน้าดุร้ายออกมา แต่กลับไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าสงบ
“พวกเจ้าทั้งสองบุกรุกเข้ามาในพื้นที่สมบัติสวรรค์ของข้าโดยพลการ คงคิดที่จะกวาดเอาสมบัติของข้าไปสินะ ตอนนี้ข้าจะให้ทางเลือกกับพวกเจ้าสองทาง ยอมรับใช้ข้าไม่อย่างนั้นก็ตาย!” ชิงหลิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง มือยักษ์ทั้งคู่ที่จับปีศาจทั้งสองอยู่ก็ค่อยๆ กำแน่นขึ้น และแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา
ปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าทำเสียงฮึดฮัด และกระอักเลือดออกมาในทันที เงาร่างพลังเวทบนตัวหายไปท่ามกลางแสงสีทอง
ปีศาจสายฟ้ารู้สึกหวาดผวามาก
จากการแสดงออกของหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทอง จะต้องมีพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างแน่นอน เพียงแค่เขาไม่ยินยอม มือยักษ์ก็สามารถขยี้ร่างของเขาจนละเอียดได้อย่างง่ายดาย แม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจหนีรอดไปได้
และใบหน้าของปีศาจวายุก็ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักหนึ่ง
แม้ว่าในเผ่าปีศาจจะเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ทั้งสองก็เป็นประมุขที่ขี่ม้าห้อเหยียดในดินแดนทางใต้มาหลายร้อยปี ย่อมไม่ยอมเป็นผู้น้อยของใครเด็ดขาด โดยเฉพาะปีศาจวายุที่การฝึกฝนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตอนนี้จะให้เขาก้มหน้ารับใช้คนอื่น ให้เขารับใช้หุ่นตัวหนึ่งนั้น ยากที่จะลดศักศรีในใจลงได้
ชิงหลิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่สนใจคำตอบของปีศาจทั้งสอง แต่กลับร่ายราถาออกมาเบาๆ พออ้าปากแสงสีดำสองลำก็ถูกพ่นออกมาห่อหุ้มเลือดที่ปีศาจทั้งสองกระอักออกมา
เลือดสดๆ ถูกแสงสีแดงม้วนเก็บเข้าไป และกลายเป็นก้อนกลมๆ มีแดงเข้มสองก้อน จากนั้นลูกกลมๆ สีแดงเข้มก็กะพริบเข้าไปในศีรษะของปีศาจทั้งสอง
ขณะนี้ร่างของปีศาจทั้งสองถูกควบคุมไว้ จึงทำได้แค่มองดูลูกแสงสีแดงจมเข้าไปในร่าง และไอเย็นสะท้านก็ซึมเข้าไปในจิตรับรู้ของปีศาจทั้งสอง
“นี่คือชั้นจำกัดควบคุมหุ่นของข้า นับจากนี้ไปก็ติดตามอยู่ข้างกายข้าเถอะ!” ชิงหลิงหัวเราะอิๆ และคลายมือยักษ์ทั้งสองปล่อยปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าออกมา
ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองรู้สึกแค่ว่าร่างกายเป็นอิสระ จากนั้นการเคลื่อนไหวก็ฟื้นคืนกลับมา และรีบทำท่ามือเพื่อทรงตัวในขณะที่กำลังร่วงลงไป
ดูเหมือนทั้งสองจะรับรู้ได้ว่าการโคจรพลังเวทภายในร่างไม่มีความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย หลังจากสบตากันอย่างรวดเร็วแล้ว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสองลำพุ่งออกไปสองทิศทาง
ขณะนี้ เพื่อหนีต้องการหนีเอาชีวิตรอด ความเร็วของทั้งสองก็เร็วราวกับลมกรดและสายฟ้าฟาด เพียงแค่สองสามอึดใจก็กลายเป็นจุดแสงตรงขอบฟ้าแล้ว
มนุษย์ยักษ์สีทองมองดูการหนีอย่างบ้าคลั่งของทั้งสองทีหนึ่ง สีหน้าดูไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย พอชี้นิ้วไปกลางกาศ แสงสีดำสองลำก็ปรากฏบนปลายนิ้ว
เกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนาในทันที
ดูเหมือนว่าจะมาจากจุดแสงสองจุดที่อยู่ตรงขอบฟ้า
ร่างของปีศาจทั้งสองเปลี่ยนทิศทางพุ่งกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับสูญเสียการควบคุม
ขณะที่ร่างของทั้งสองเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นั้น ภายใต้การกวาดสายตามองของหลิ่วหมิง จะเห็นว่าปีศาจทั้งสองส่งเสียงร้องอย่างเวทนา และมีสีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก หลอดเลือดและเส้นชีพจรนูนขึ้นมา ดูเหมือนจะได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
“โครม!” “โครม!”
ขณะที่ร่างของปีศาจทั้งสองปรากฏตัวตรงหน้าหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองอีกครั้งนั้น แสงหลบหลีกก็ดับลง และร่วงไปอยู่ห่างจากข้างหลิ่วหมิงไม่ไกล
“ข้าบอกแต่แรกแล้ว พวกเจ้าถูกข้าวางชั้นจำกัดไว้แล้ว ตอนนี้รับรู้ถึงรสชาติแล้วใช่ไหม!” น้ำเสียงของชิงหลิงเต็มไปด้วยความประชดประชัน แสงสีดำสองกลุ่มกะพริบระหว่างนิ้ว
เสียงร้องอย่างน่าเวทนาของปีศาจทั้งสองหยุดชะงักลง จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา และสายตาที่มองหุ่นมนุษย์ยักษ์ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ครั้งนี้พวกเจ้ายอมรับใช้ข้าหรือยัง?” ชิงหลิงหัวเราะหึๆ ลำแสงสีดำระยิบระยับอยู่บนปลายนิ้วอีกครั้ง ทั้งยังหมุนวนอยู่บนนิ้วมือเบาๆ
ปีศาจสายฟ้าและปีศาจวายุต่างก็มองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
พลังของพวกเขาไม่อาจเทียบได้ ภายในร่างก็ถูกวางชั้นจำกัดหุ่นแปลกประหลาดไว้ ขณะนี้ชีวิตถูกควบคุมอยู่ใจมือของผู้อื่น โชคสุดท้ายในใจแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ จึงได้แต่ก้มกราบลงไปและพูดออกมาพร้อมกัน
“พลังของผู้อาวุโสลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง พวกเรายอมรับใช้ท่าน”
หลิ่วหมิงยืนอยู่ด้านข้าง แม้ว่าสีหน้าจะดูสงบ แต่กลับรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ฝีมือของชิงหลิงผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง สามารถทำให้ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองอยู่ภายใต้คำสั่งได้อย่างง่ายดาย
และหลังจากคนเผ่าทรายที่อยู่อีกด้านเห็นชิงหลิงสยบผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับดาราพยากรณ์ได้อย่างง่ายดาย ก็ไม่มีความสงสัยใดๆ หลงเหลืออีก สายตาที่มองดูหุ่นมนุษย์ยักษ์ก็เต็มไปด้วยความคึกคัก
ครู่ต่อมา ภายใต้การนำของผู้เฒ่าเผ่าทราย คนเผ่าทรายทั้งหลายก็คำนับชิงหลิงอีกครั้ง และพากันส่งเสียงออกมา
“นายท่าน!”
หุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองได้ยิน ก็ก้าวออกมาด้านหน้าเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับยิ้ม
“ทำไมล่ะ! ตอนนี้ไม่สงสัยข้าแล้วหรือ?”
“ขอนายท่านโปรดให้อภัย เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของท่านไม่เหมือนกับที่คนในเผ่าบอกต่อกันมา ถึงได้เข้าใจผิด พลังของนายท่านไร้ขอบเขต พวกเรายินดีทำสาบานโลหิต ติดตามรับใช้นายท่านชั่วชีวิต” ผู้เฒ่าเผ่าทรายกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม
“ดี! ดีมาก! ลุกขึ้นมาเถอะ! พวกเจ้าเป็นคนรุ่นหลังของผู้ที่ติดตามข้า ต่อไปเรียกข้าว่านายท่านก็พอ” สีหน้าของมนุษย์ยักษ์สีทองดูผ่อนคลายลง และหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
ใจของนางในตอนนี้ รู้สึกปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างมาก เทียบกับหุ่นจิตวิญญาณที่หักหลังแล้ว ความภักดีของคนเผ่าทรายรุ่นหลังเหล่านี้ น่าเชื่อถือกว่ามาก
“น้อมรับคำสั่งของนายท่าน!” คนเผ่าทรายตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน และก้มลงคารวะอีกครั้ง จากนั้นถึงค่อยๆ พากันลุกขึ้นมา
“ยินดีกับผู้อาวุโสที่ยึดสมบัติสวรรค์กลับคืนมาได้” หลิ่วหมิงสงบจิตสงบใจแล้วก้าวออกไปกล่าว ขณะเดียวกันก็เหลือบมองปีศาจสายฟ้าทีหนึ่ง
เลี่ยเทียนเจิ้นได้ยินเช่นนี้ เส้นเลือดบนหน้าผากก็ปูดขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่าโมโหอย่างถึงขีดสุด แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำให้แต่ก้มหน้าเงียบเท่านั้น
“เอาล่ะ! ผลประโยชน์ที่ข้ารับปากเจ้าไว้ ย่อมไม่ลืมอย่างแน่นอน!” ตอนนี้ชิงหลิงอารมณ์ดีไม่น้อย พอนางอ้าปาก แสงสีดำลำหนึ่งก็พุ่งไปหาหลิ่วหมิง
ท่ามกลางแสงสีดำมองเห็นคัมภีร์สีดำเล่มหนึ่งอยู่รำไร
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบยื่นมือออกไปรับ
“นี่คือเคล็ดวิชากระดูกดำสิบขั้นแรก เจ้าศึกษาเคล็ดวิชานี้ให้ดี ไม่แน่ภายหน้าข้าอาจจะมีเรื่องให้เจ้าช่วยก็ได้” หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณ ก็พลันมีเสียงของชิงหลิงดังขึ้นข้างหู
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที เขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่ขณะนี้ชิงหลิงกลับหมุนตัวไปแล้ว
“เอ๊ะ! ร่างของแม่นางน้อยผู้นี้มีคุณสมบัติค่อนข้างแปลกประหลาด คงจะไม่ใช่สายเลือดเผ่าทรายบริสุทธิ์สินะ” สายตาของหุ่นมนุษย์ยักษ์ตกอยู่บนตัวซาฉู่เอ๋อร์ และส่งเสียงอุทานออกมา
“นายท่านปราดเปรื่องยิ่งนัก บิดาข้าไม่ใช่คนเผ่าทราย เป็นผู้ที่มาจากภายนอก” ซาฉู่เอ๋อร์ก้าวออกไปสองก้าวแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม
“อืม! ข้าเห็นว่าคุณสมบัติของเจ้ายอดเยี่ยม ระดับการฝึกฝนก็ไม่เบา จากนี้ไปจะแต่งตั้งเจ้าเป็นธิดาเทพของเผ่าทราย ขณะเดียวกันก็จะรับเจ้าเป็นศิษย์ในนามด้วย” ชิงหลิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วพูดออกมา
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็รีบคารวะด้วยความดีใจ
“ได้กราบตัวเป็นศิษย์ของนายท่าน ย่อมเป็นความโชคดีของฉู่เอ๋อร์”
คนเผ่าทรายเห็นเช่นนี้ ก็จ้องมองซาฉู่เอ๋อร์ด้วยแววตาอิจฉา
ถูกผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์รับเป็นศิษย์ ต่อให้จะเป็นแค่ศิษย์ในนาม ก็นับว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่แล้ว
ตอนที่ 731 อยู่อย่างสันโดษ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชิงหลิงพยักหน้า จากนั้นสายตาของนางก็ตกลงบนตัวปีศาจสายฟ้ากับปีศาจวายุ และกล่าวออกมาอย่างน่าเกรงขาม
“พวกเจ้าทั้งสอง ตั้งแต่นี้ไปเป็นผู้คุ้มกันของข้า เพียงแค่จงรักภักดีต่อข้า ข้าย่อมปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่หากกล้าคิดคดกับข้า คงรู้ดีนะว่าจะมีจุดจบเช่นไร!”
“ทราบ!”
“มิกล้า!”
ปีศาจทั้งสองก้มหน้าตอบรับ และไม่กล้ามีความคิดอื่นเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ! เรื่องหยุมหยิมจบลงแล้ว ตามที่ตกลงกันไว้ในก่อนหน้านั้น ข้าจะส่งเจ้าออกไปแล้ว จำไว้ให้ดี! ข้าไม่คาดหวังให้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เล็ดลอดออกไปสู่โลกภายนอก” ขณะที่ชิงหลิงพูด มือยักษ์ทั้งสองก็ยกขึ้นแล้วประกบเข้าด้วยกัน หลังจากแยกออกไปทางซ้ายขวาอีกครั้ง ก็เกิดเสียงดังบนอากาศที่อยู่ไม่ไกล และเกิดรอยแยกมิติขนาดใหญ่ขึ้นมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสชิงหลิงที่ส่งเสริม ผู้น้อยจะเก็บเรื่องนี้ราวกับปิดปากขวด” หลิ่วหมิงเห็นเช่นดีก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบโค้งตัวคารวะ ขณะที่กำลังจะเหาะไปนั้น ก็ก้มหน้าลงไปดูทีหนึ่ง
กลับค้นพบว่าเงาร่างอรชรสวมชุดสีขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนเผ่าทราย กำลังจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ มีความคาดหวังบางอย่างในแววตา และมีความลังเลเล็กน้อย ขณะเดียวกันยังแฝงไปด้วยความคับแค้นใจเล็กน้อยด้วย
นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์นั่นเอง
ทันใดนั้น พายุบ้าระห่ำก็พัดผ่านมา ทำให้เสื้อผ้าของนางโบกสะบัดอย่างรุนแรง และผ้าขาวที่ปิดบังใบหน้าของนางอยู่ก็หลุดร่วงลงไป
ทันใดนั้น ใบหน้างดงามล่มบ้านล่มเมืองก็ถูกเปิดเผยออกมา ดูเหมือนว่าอากาศสลัวๆ รอบด้านจะสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าเข้าใจในทันที และอดคิดถึงเรื่องราวที่เคยพูดคุยกับหญิงผู้นี้บนเนินทรายนอกเมืองไม่ได้
เขาถอนหายใจเล็กน้อย และเผยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า จากนั้นก็ขยับปากส่งเสียงออกไป
“แม้นางซา ข้าน้อยขอลาจากกันตรงนี้ มีวาสนาค่อยพบกันใหม่”
พอซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ร่างบอบบางของนางก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมานั้น กลับเห็นว่าชิงหลิงโบกมือขนาดใหญ่แล้ว จากนั้นแสงสีทองก็ห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้ และม้วนตัวเข้าไปในรอยแยก
จากนั้นรอยแยกก็ผสานกันอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
……
ท้องฟ้าและแผ่นดินหมุนวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง!
หลังจากหลิ่วหมิงได้สติกลับมา เขาก็มายืนอยู่บนทุ่งหญ้าแล้ว
พอมองออกไปรอบด้าน เขาก็จำไม่ได้ว่าตนเองอยู่สถานที่แห่งใด แต่ที่ยืนยันได้ก็คือ ได้ออกมาจากทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว
เหตุผลก็คือ สถานที่แห่งนี้ไม่รับรู้ถึงพลังแปลกประหลาดที่กดดันระดับการฝึกฝนของเขาแล้ว แม้ว่าปราณจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้จะเบาบาง แต่เมื่อเทียบกับในทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว กลับหนาแน่นกว่าร้อยเท่า
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว!”
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ และนำแผ่นหยกสีเทาออกจากแหวนย่อส่วนมาอันหนึ่ง
สิ่งนี้เขาได้มาจากการสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือโดยไม่ตั้งใจ
ในแผ่นหยกมีแผนที่ดินแดนทางตอนใต้ที่มีเทือกเขาจูหลงและเทือกเขาใหญ่อื่นๆ เป็นจุดศูนย์กลาง แต่ละเขตพื้นที่ล้วนบันทึกอยู่ในนั้นอย่างละเอียดครอบคลุม
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป หลิ่วหมิงถึงนำจิตรังรู้ออกจากแผ่นหยก
เมฆดำก่อตัวขึ้นที่ใต้เขาของเขา จากนั้นก็เหาะขึ้นสูงหลายร้อยจั้ง เขากวาดสายตามองรอบด้าน และเทียบพื้นที่บริเวณนี้กับแผนที่หนึ่งรอบ ก็ยืนยันตำแหน่งในปัจจุบันได้คร่าวๆ
สถานที่แห่งนี้คงเป็นเขตทุ่งหญ้าทางด้านตะวันตกของเทือกเขาจูหลงที่อยู่ห่างไกลผู้คน ห่างจากตลาดชิงกู่ไม่มากนัก ซึ่งห่างไม่กี่หมื่นลี้เท่านั้น
หลังจากหลิ่วหมิงหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว ก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดชิงกู่
หลังจากเผชิญกับอุบัติภัยอย่างแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือ และทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้ากลับไปตลาดชิงกู่อีก
ครึ่งเดือนต่อมา แสงสีดำลำหนึ่งก็หยุดลงบริเวณเทือกเขาไร้นามที่สูงชันและอันตรายแห่งหนึ่ง
พอแสงสีดำดับลง เงาร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ในมือเขาถือแผ่นหยกที่เป็นแผนที่อยู่ ดวงตาทั้งคู่หรี่มองรอบด้าน สีหน้าของเขาค่อยๆ แสดงความพึงพอใจออกมา
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาจูหลงหลายหมื่นหลายพันลี้ สามารถพูดได้ว่าอยู่สวนทางกับตลาดชิงกู่โดยสิ้นเชิง
อีกอย่างแม้จะเทียบกันแล้วปราณจิตวิญญาณของสถานที่แห่งนี้จะค่อนข้างเบาบาง มีผู้ฝึกฝนน้อยคนที่จะมาถึงที่นี้ แต่คงสงบเงียบเป็นอย่างมาก
และอยู่ห่างจากเทือกเขาไปหมื่นลี้ ก็จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ของเผ่าหมาน แต่ก่อนหลิ่วหมิงเคยมาซื้อวัตถุโอสถแฝงจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้ จึงรู้ว่าขนาดของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าตลาดชิงกู่เลย
“ที่นี่ก็แล้วกัน!” หลิ่งหมิงเก็บแผ่นหยกแล้วเหาะไปยังพื้นที่เร้นลับตรงไหล่เขา และปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าทำการขุดเจาะหิน
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ การขุดถ้ำที่พักแห่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่เปลืองแรงแต่อย่างใด
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน เขาก็ขุดห้องหินขนาดต่างๆ ออกมาได้หลายห้อง และยังถือโอกาสตัดหินก้อนหนึ่งมาทำเป็นเตียงหิน และตั่งหินสองสามตัว
จากนั้นเขาก็นำเครื่องมือวางค่ายกลออกมาสองสามชุด และทำการปกคลุมภูเขากว่าครึ่งลูกไว้
ปากถ้ำถูกก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งปิดไว้ เหลือไว้เพียงทางเดินแคบๆ ที่คนสามารถเดินผ่านได้หนึ่งคน
ด้านบนของถ้ำก็ถูกเขาใช้ใบไม้ปกคลุมไว้ หากไม่ใช้จิตรับรู้ค้นหาอย่างละเอียด จะไม่ถูกค้นพบอย่างแน่นอน
หลังจากหลิ่วหมิงทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาถึงนั่งลงบนเตียงหินอย่างวางใจ
ในใจเขารู้ดีว่า ครั้งนี้ปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กทำเรื่องวุ่นวายอย่างเรื่องสืบสานปีศาจเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะจับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จากแต่ละเผ่ามาจำนวนมาก แม้แต่ผู้อาวุโสขุยมู่ ผู้แข็งแกร่งของหุบเขาปีศาจก็ถูกกักขังด้วย ขณะนี้แม้ว่าปีศาจสายฟ้าจะถูกขุยตี้แห่งหนานฮวงจับตัวพร้อมกับปีศาจวายุ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจปิดบังได้นาน
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่พัวพันถึงหุบเขาปีศาจสวรรค์ บวกกับเรื่องการปรากฏตัวอีกครั้งของขุยตี้แห่งหนานฮวง เกรงว่าแผ่นดินหนานฮวงคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในไม่ช้า
แต่ว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพียงแค่เขาซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง ปลีกตัวออกนอกเหตุการณ์คงไม่เป็นเรื่องยากแต่อย่างใด
เดิมทีหลิ่วหมิงคิดจะปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณอีกชุด แล้วจะกลับไปเทือกเขาหมื่นวิญญาณ แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนความคิดแล้ว
ดินแดนหนานฮวงยิ่งวุ่นวาย ก็จะยิ่งไม่มีใครสังเกตถึงผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนหนึ่ง และสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้สะดวกมากขึ้น
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ และนำจิตรับรู้เข้าไปในแหวนย่อส่วน ผ่านไปสักพัก พอโบกมือ สิ่งของจำนวนมากก็ร่วงลงพื้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งของที่ได้มาจากการสังหารผู้ฝึกในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือเหล่านั้น ก่อนหน้านั้นเขาไม่มีเวลาตรวจสอบดูดีๆ สักรอบ
แม้ว่าการเดินทางในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือจะมีโอกาสเสียชีวิตถึงเก้าส่วน แต่ก็เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย โอสถ และวัสดุจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ย่อมไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดก็มีมากถึงสิบกว่าชิ้นแล้ว ต้นแบบอาวุธเวทก็มีมากมายหลายชิ้น
มุกสีเหลืองสลัวๆ เม็ดหนึ่ง ดาบประหลาดสีม่วงคู่หนึ่ง ดาบยาวสีทองจางๆ เล่มหนึ่ง กระบองยาวสีเขียวเล่มหนึ่ง ยังมีกริชสีดำที่ชำรุดอีกเล่มด้วย
ลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสิบกว่าชิ้น หากคิดเป็นหินจิตวิญญาณล่ะก็ ก็เป็นจำนวนมหาศาลก้อนหนึ่ง มูลค่าของต้นแบบอาวุธเวทห้าชิ้นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
นอกจากนี้ ศพราชินีผึ้ง ไข่ และสิ่งของอื่นๆ ก็ปรากฏอยู่บนพื้นบริเวณนั้นหลังจากยันต์เก็บของผืนหนึ่งกะพริบผ่านไป
คิดว่าคงเป็นเพราะขุยมู่และคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตในเงื้อมมือของศิษย์ที่ทดสอบปีศาจสวรรค์ จึงไม่อาจรักษาสิ่งของเหล่านี้เอาไว้ได้ ตอนนี้กลับเป็นของหลิ่วหมิงทั้งหมดแล้ว
หลิ่วหมิงนับดูสิ่งของเหล่านี้ด้วยความดีใจ และเก็บมันเป็นกลุ่มๆ เพื่อเตรียมหาเวลาไปขายแลกหินจิตวิญญาณที่ตลาด
แม้ว่าบนตัวเขาในตอนนี้จะไม่มีหินจิตวิญญาณเลย แต่เพียงแค่นำอาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้ออกไปเปลี่ยนมือ ก็จะร่ำรวยขึ้นมาไม่น้อย
จากนั้นเขาก็นำคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำกับคัมภีร์สร้างนักรบยันต์ผ้าเหลืองออกมา หลังจากพลิกดูอยู่พักหนึ่ง ก็ส่ายหน้าแล้วเก็บเข้าไป
คัมภีร์ทั้งสองเล่มค่อนข้างลึกล้ำมหัศจรรย์มาก ดูท่าคงไม่อาจทำความเข้าใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีอกดีใจก็คือ อักขระที่บันทึกอยู่ในเคล็ดวิชากระดูกดำไม่ใช่อักขระมรกตมืด แต่เป็นอักขระโบราณบางอย่างที่เขารู้จัก
แต่เพราะว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาในการฝึกฝน เรื่องสำคัญในตอนนี้คือต้องรีบฟื้นฟูพลังโดยเร็ว
หลังจากหลิ่วหมิงนำโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิลงทันที ด้านหนึ่งกลั่นเอาพลังของโอสถ อีกด้านหนึ่งก็เริ่มตรวจสอบดูร่างของตนเองอย่างละเอียด
หลายเดือนติดต่อกันมานี้ ตั้งแต่ถูกปีศาจสายฟ้าตามล่า ทั้งยังถูกขังอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ หลังจากผ่านการต่อสู้ติดต่อกัน ร่างกายของเขาก็แอบสะสมบาดแผลไว้จำนวนมาก ตอนนี้เป็นเวลาที่ควรรักษาให้ดีๆ แล้ว
หลังจากผ่านไปสามวันสามคืน หลิ่วหมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็คลายออกมาพร้อมกัน
ไม่มีการควบคุมของทะเลทรายกุ่ยโม่ บวกกับการทานโอสถรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อนหน้านั้ยจำนวนไม่น้อย พลังเวทในร่างจึงฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว บาดแผลบนกายเนื้อก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว
แต่ว่าพอเขาลองตอบสนองกับโลหิตปีศาจสวรรค์ที่กลืนลงไปหยดนั้น กลับค้นพบว่าโลหิตนี้หายไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาจึงไม่คิดอะไรมากอีก จากนั้นก็ดึงถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว และปล่อยอสูรเลี้ยงทั้งสองออกมา
หลังจากเข้าไปในทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว เขาเคยสำรวจดูอสูรเลี้ยงทั้งสอง และค้นพบว่าพวกมันหลับลึกมาโดยตลอด แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เอาตัวรอดได้ยากในตอนนั้น จึงไม่ได้ตรวจสอบดูละเอียด
พอเหลือบตาดูในตอนนี้ กลับค้นพบว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองยังไม่มีท่าทีจะฟื้นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างละเอียดอีกรอบแล้ว ก็ค้นพบว่าบนตัวของแมงป่องกระดูกสีเงินมีลวดลายจิตวิญญาณสีเหลืองแปลกประหลาดปรากฏขาดๆ หายๆ แม้ว่าหัวบินจะหลับลึกอยู่ แต่ในเบ้าตาก็มีจุดแสงสีแดงปรากฏขาดๆ หายๆ เช่นกัน อีกย่างทั้งสองต่างก็มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งแผ่ออกมาอย่างแปลกประหลาด
ในใจหลิ่วหมิงเกิดคำถามมากมาย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็จับอสูรเลี้ยงทั้งสองไว้ และกระตุ้นศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้
“ว่าบ!”
ภาพตรงหน้ามืดลง จากนั้นเขากับอสูรเลี้ยงทั้งสองก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับพร้อมกัน
“ผู้อาวุโสหลัวโหว!” หลังจากหลิ่วหมิงวางอสูรเลี้ยงทั้งสองลงไปแล้ว ก็ตะโกนออกมาทันที
“ไม่ต้องเสียงดังขนาดนี้ ข้าได้ยินแล้ว!”
ห่างจากด้านหน้าหลิ่วหมิงไปไม่ไกล เงาร่างคนผู้หนึ่งปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลัวโหวนั่นเอง
เขาสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เจ้านี่ดวงแข็งจริงๆ ช่วงนี้เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจอยู่บ่อยครั้ง เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตรอดมาได้ ช่างเป็นไปได้ยากจริงๆ พูดมาเถอะ! เจ้าเข้ามาในครั้งนี้เพราะเรื่องอันใดอีก?”
“ในเมื่อสิ่งที่ข้าเผชิญมา ผู้อาวุโสก็มองเห็นหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็จะไม่อธิบายให้มากความแล้ว เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือ ตอนที่ข้ากลายร่างเป็นปีศาจได้กลืนโลหิตปีศาจสวรรค์ไปหยดหนึ่ง ไม่ทราบว่า…” หลิ่วหมิงได้ยินก็แอบตำหนิอยู่ในใจ แต่ยังคงถามด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ตอนที่ 732 ความวุ่นวายในหนานฮวง (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อยากจะถามว่าเหตุใดโลหิตปีศาจสวรรค์หยดนั้นถึงได้หายไปล่ะสิ!” หลิ่วหมิงพูดยังไม่ทันจบ หลัวโหวกลับเอ่ยปากออกมาก่อน
“ใช่แล้ว! ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ!” หลิ่วหมิงก็ไม่ได้รู้สึกเดือดดาลแต่อย่างใด แต่กลับประสานมือกล่าว
“เจ้ารู้ไหมว่า เจ้าเดินผ่านประตูนรกไปหนึ่งรอบแล้ว” หลัวโหวจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมา
“เจ้าคิดว่าโลหิตหยดนั้นคือโอสถที่หาได้ทั่วไปหรือ คิดจะกลืนก็กลืนได้หรือ? โลหิตปีศาจสวรรค์แฝงไปด้วยสายเลือดเข้มข้นของเผ่าปีศาจต่างๆ สำหรับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจแล้วสามารถพูดได้ว่าเป็นของที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง หากทานเข้าไปล่ะก็ จะได้รับพลังล้างไขกระดูกหมื่นปีศาจ นำสายเลือดของเผ่าต่างๆ เข้าไปรวมกันในร่าง ร่างปีศาจของตัวเองถึงแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นอย่างมาก แต่เจ้าไม่ใช่เผ่าปีศาจ ตอนที่กลืนโลหิตหยดนั้น เดิมทีควรจะร่างระเบิดเสียชีวิตไปแล้ว หลัวโหวทำราวกับมองไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิง และยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ได้พูดต่อแต่อย่างใด
เพราะเขารู้ดีว่า ในเมื่อหลัวโหวพูดถึงเรื่องนี้แล้ว จะต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างชัดเจนแน่นอน
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ไม่นานหลัวโหวก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ไม่รู้จะบอกว่าเด็กอย่างเจ้าดวงแข็งหรือโชคดีกันแน่ หลังจากกลายร่างเป็นปีศาจในตอนนั้น ไม่รู้ว่าไปสัมผัสกับพลังป้องกันของกรงขังได้อย่างไร ถึงได้ใช้พลังนี้กลั่นโลหิตหยดนั้นไปหนึ่งรอบ มันถึงผสมผสานเข้าไปในร่างของเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นโลหิตเผ่าปีศาจที่ผสานเข้าไปในร่างของข้าจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมาตรงหลัง และรีบถามออกไปทันที
“กรงขังล้ำลึกมหัศจรรย์ไม่มีที่สิ้นสุด โลหิตปีศาจสวรรค์ที่ถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่มีผลร้าย แต่ยังมีส่วนช่วยในการทำให้กายเนื้อของเจ้าแข็งแกร่งเป็นอย่างมากในภายหน้าด้วย” หลัวโหวค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้น้อยก็วางใจแล้ว แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นมา ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดอสูรเลี้ยงทั้งสองของผู้น้อยถึงหลับลึกมาจนถึงวันนี้ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่?” หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก และรู้สึกวางใจไปเปราะหนึ่ง แต่ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาถามออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ผิด! ส่วนที่ไม่อาจผสานเข้ากับร่างของเจ้าได้ หลังจากถูกกรงขังแยกออกมา ก็ถูกใส่เข้าไปในอสูรเลี้ยงทั้งสองของเจ้า แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็ได้รับความโชคดีกับเคราะห์ในครั้งนี้ด้วย ภายในร่างของพวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ตอนที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งคงจะบรรลุระดับผลึกโดยตรง” หลัวโหวหยักหน้าแล้วกล่าวต่อ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากจึงรีบกล่าวขอบคุณออกมา
“เจ้าอย่ารีบดีใจจนเกินไป เจ้ากลายร่างเป็นปีศาจหลายครั้ง คุณสมบัติปีศาจสะสมอยู่ในร่างของเจ้าไม่น้อย บวกกับหลังจากทานโลหิตปีศาจสวรรค์หยดนี้ลงไปแล้ว ร่างกายไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง หากกลายร่างเป็นปีศาจอีกครั้งล่ะก็ เกรงว่าคงจะสูญเสียสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์ กลายเป็นตัวประหลาดสังหารและไม่อาจชิงร่างคืนกลับมาได้อีก”
ครู่ต่อมา คำพูดเยือกเย็นของหลัวโหวหนึ่งประโยค ก็ราวกับน้ำเย็นที่รดลงบนหัวใจของหลิ่วหมิง ทำให้ใจของเขาจมดิ่งลงไปอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสคงมีวิธีแก้ไขใช่หรือไม่?” หลังจากหลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็กุมมือกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“วิธีการก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่ว่าต้องทุ่มเทสติปัญหาทำด้วยความยากลำบากหน่อย” หลัวโหวเงียบไปพักใหญ่ๆ จากนั้นถึงพยักหน้ากล่าวออกมา
“ขอผู้อาวุโสขยายความให้กระจ่าง” หลิ่วหมิงพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด
“จิตปีศาจแฝงลึกอยู่ในร่างของเจ้า หากจะยับยั้งก็ไม่อาจพึ่งพลังภายนอกได้ หากเจ้าสามารถฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ถึงขั้นสมบูรณ์แบบโดยเร็ว และเสี่ยงอันตรายดูดซับสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่แท้จริงเข้าไปเก็บไว้ในร่างได้ ก็จะยับยั้งจิตปีศาจในร่างเจ้าได้” ในที่สุดหลัวโหวก็ไม่เล่นแง่อีกต่อไป และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำได้แค่ยับยั้งไว้ชั่วคราวหรือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วถาม
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าจิตปีศาจแท้จะสามารถควบคุมได้ง่ายเช่นนี้หรือ? แม้ว่าสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าจะพอยับยั้งจิตปีศาจในร่างได้บ้าง แต่นี่ก็เป็นแผนการยับยั้งเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเจ้าเอง รอเจ้าทะลวงระดับแก่นแท้ จะมีโอกาสปั้นกายเนื้อใหม่หนึ่งครั้ง ตอนนั้นก็อาศัยพลังย้ายเส้นเอ็นล้างไขกระดูกกับพลังสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าหล่อหลอมกายเนื้อขึ้นใหม่อีกครั้ง เช่นนี้ถึงจะลบภัยที่มองไม่เห็นของโลหิตปีศาจสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์” หลัวโหวจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความไม่พอใจ และพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้านี้ ต้องฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบถึงจะสามารถนำมันมาผสานเข้าร่างได้ เทียบกันแล้วมันก็มีอันตรายไม่น้อย?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากถาม
“ที่เจ้าคิดไม่ผิด! การนำสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าเข้าร่างเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก เพียงแค่ไม่ระวังก็อาจจะเสียชีวิตภายใต้พลังสายฟ้าได้ จะไร้ซึ่งศพและกระดูก วิญญาณแตกสลาย อีกอย่างหลังจากทำเช่นนี้แล้ว ก่อนที่จะปั้นกายเนื้อใหม่ขึ้นมา เจ้าไม่อาจใช้วิชาสายฟ้าสวรรค์ในขณะต่อสู้กับศัตรูได้ มิเช่นนั้นเนื่องจากการยับยั้งจิตปีศาจเป็นเวลานานในก่อนหน้า พอกระตุ้นสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า ร่างของเจ้าก็จะกลายเป็นปีศาจทันที พอถึงตอนนั้นก็ไม่อาจฟื้นฟูได้อีก” หลัวโหวเตือนอย่างระมัดระวัง
“ผู้น้อยเข้าใจแจ่มแจ้งหมดแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน!” หลังจากหลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โค้งตัวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“เฮ่อๆ! ที่ข้าทำเช่นนี้ ก็แค่ไม่อยากให้กรงขังเปลี่ยนนายใหม่เร็วเกินไปก็เท่านั้น” หลังจากหลัวโหวหัวเราะออกมาแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อก่อนหายตัวไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ตรวจสอบสถานการณ์ของอสูรเลี้ยงทั้งสองอีกรอบ
แม้ว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินจะไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลิ่นไอกลับมั่นคงเป็นอย่างมาก คิดว่าคงเป็นอย่างที่หลัวโหวบอก คงจะอยู่ในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงอยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ทานโอสถทำการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อ ขณะเดียวกันก็ละทิ้งเรื่องราวอื่นๆ และเข้าไปตั้งใจฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ในแดนมายาทุกวัน
และในขณะที่หลิ่วหมิงตั้งใจฝึกฝนนั้น ดินแดนหนานฮวงก็เกิดคลื่นใต้น้ำอีกครั้ง บรรยากาศดูตรึงเครียดเป็นอย่างมาก
บนเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาในหนานฮวง ไอหมอกลอยเอื่อยๆ ล้อมรอบยอดเขาสูงชันแต่ละลูก
พอมองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่ามีกลุ่มสิ่งก่อสร้างแบบดินแดนทางตอนใต้ปกคลุมอยู่บนเขา และยังมีเงาร่างคนเดินขวักไขว่ไปมาระหว่างยอดเขาแต่ละลูก
ท่ามกลางยอดเขาเหล่านี้ มียอดเขาที่สูงโดดเด่นอยู่กลางเทือกเขา ซึ่งสูงตระหง่านมาก สูงกว่ายอดเขาบริเวณใกล้เคียงกว่าครึ่งหนึ่ง บนยอดเขามีเสาธงสีดำที่สูงหลายสิบจั้งตั้งอยู่ ธงสีดำขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนปลายเสาโบกสะบัดตามลม บนธงมีอักขระเดินทองประทับอยู่ ‘เหล็ก’ ลายเส้นแข็งแกร่งทรงพลังเป็นอย่างมาก
คนที่คุ้นเคยกับหนานฮวงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ก็คือยอดเขาเหล็ก หนึ่งในสามปีศาจผู้ฝึกฝนใหญ่ในหนานฮวง และเป็นที่ตั้งของปีศาจเหล็ก
หอแปดเหลี่ยมสูงเกือบร้อยจั้งที่อยู่ห่างจากเสาธงไปไม่ไกล มีสีดำแวววาวราวกับเหล็กหลอม และแผ่กลิ่นไอหนักๆ ออกมา
ห้องโถงใหญ่ชั้นบนสุดของหอ ชายวัยกลางคนหน้าดำที่สวมชุดสีดำกำลังนั่งอยู่บนเก้าไม้สีทองม่วงตรงหน้าห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาก็คือปีศาจเหล็กจงเหยียนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามปีศาจใหญ่แห่งหนานฮวงนั่นเอง และตรงหน้าของเขาก็มีชายหนุ่มชุดดำกำลังหมอบอยู่บนพื้น
“เจ้าว่าอะไรนะ! จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก?” ปีศาจเหล็กเงียบไปครู่หนึ่ง และมองดูชายหนุ่มที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ใช่แล้ว! ข้าน้อยทราบมาจากปากของศิษย์ปีศาจสายฟ้าว่า วันที่ปีศาจสายฟ้าจากไปหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในแดนต้องห้ามนั้น จวบจนวันนี้ยังไม่มีข่าวคราวการกลับมาเลย” ชายหนุ่มมีสีหน้าซีดขาว และไม่กล้าหายใจแรงเลยแม้แต่น้อย
ปีศาจเหล็กได้ยิน ใบหน้าที่ดำอยู่แล้วก็ดำมากขึ้นกว่าเดิม มือขวาตบบนที่วางแขนอย่างรวดเร็ว และลุกขึ้นมา ที่วางแขนสีทองม่วงเกิดรอยฝ่ามือขึ้นมาทันที
“ข่าวนี้เป็นจริงหรือ?” ปีศาจเหล็กถามอย่างเยือกเย็น
“ข้าน้อยไปยืนยันกับผู้เฒ่าซิงบนเขาเหลยฉือด้วยตนเองแล้ว ข่าวนี้เป็นจริงอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มร่างผอมกล่าวอย่างระมัดระวัง
“สถานการณ์บนเขาเหลยฉือตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ปีศาจเหล็กกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“สามวันก่อน เขาเหลยฉือได้ปิดเขาไปแล้ว และเปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาไว้ ตอนนี้ศิษย์ทั้งหมดล้วนอยู่ในเขาเหลยฉือ” ชายหนุ่มร่างผอมตอบ
“สังเกตสถานการณ์ในเขาเหลยฉือต่อไป นอกจากนี้ส่งคนไปติดตามความเคลื่อนไหวของนิกายอื่นๆ ในหนานฮวงด้วย หากมีการเคลื่อนไหวผิดปกติให้รีบมารายงาน” ปีศาจเหล็กเงียบไปพักใหญ่ๆ ถึงเอ่ยปากออกมา
“ทราบ!” ชายหนุ่มร่างผอมได้ยินก็รู้สึกราวกับโดนนิรโทษ หลังจากทำการคารวะแล้วก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ปีศาจเหล็กค่อยๆ ยืนขึ้นมา และขมวดคิ้วเดินวนไปวนมาในห้องโถง
ตอนแรกที่เขากับปีศาจสายฟ้าร่วมมือกัน เดิมทีคิดว่าแผนการคงเชื่อถือได้เก้าในสิบส่วน ใครจะไปคิดล่ะว่าจะความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้
อย่างที่รู้กันว่าเพื่อแผนการในครั้งนี้ ได้จับผู้ฝึกฝนหลายเผ่าเข้าไปในแดนต้องห้ามจำนวนไม่น้อย ทั้งยังล่วงเกินหุบเขาปีศาจสวรรค์อย่างไม่เสียดาย
แม้ว่าเรื่องนี้จะเร้นลับ แต่ก็ปิดบังได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงของเขาเหลยฉือในครั้งนี้ กลุ่มอิทธิพลจำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างไวในเรื่องของข่าวสาร คงจะค้นพบเบาะแสในนั้นแล้ว
เดิมทีแม้ว่าเรื่องราวจะถูกเปิดเผย ด้วยการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ของเขากับปีศาจสายฟ้า ก็สามารถสั่นสะเทือนกลุ่มอิทธิพลเหล่านั้นได้ อย่างมากก็แค่พาศิษย์สืบสานปีศาจสวรรค์ไปหลบซ่อนด้วยกัน รอบรรลุระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แล้ว ค่อยออกมาปรากฏตัวก็ยังไม่สาย
แต่ตอนนี้แผนการกลับไม่สำเร็จ ปีศาจสายฟ้าก็หายตัวไปกะทันหัน สิ่งนี้ทำให้เขารับมือไม่ทัน
ขณะเดียวกัน หลังจากชายหนุ่มร่างผอมที่สวมชุดสีดำถอยออกไปจากห้องโถงแล้ว เขาก็หายใจด้วยความโล่งอก หลังจากเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้ว ก็นำรถเหาะเหล็กสีดำออกมา และพุ่งออกไปไกลๆ
ขณะที่ขี่รถเหาะเหล็กสีดำขึ้นบนอากาศนั้น พลันมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” จากนั้นปราณกระบี่สีเขียวขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมา พริบตาเดียวก็ฟันเขาและรถเหาะออกเป็นสองส่วน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ราวกับสายฟ้าแลบ!
ชายหนุ่มยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ร่างกายและจิตรับรู้ของเขา ก็ถูกปราณกระบี่สั่นสะเทือนจนหายไป
ต่อมา บาตรสีทองขนาดหลายหมู่ก็ปรากฏออกมา และกลายเป็นม่านแสงรูปบาตรขนาดใหญ่ปกคลุมยอดเขาเหล็กทั้งหมดไว้ภายในพริบตา บนม่านแสงมีอักขระแปลกประหลาดหมุนวนอย่างช้าๆ แสงเจิดจ้าสาดส่องจนรอบด้านสว่างไสว
เรือยักษ์สีเงินลำหนึ่งที่อยู่นอกม่านแสงปรากฏออกมา หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ก็มีคนสิบกว่าคนเหาะออกจากในนั้น
คนเหล่านี้ต่างก็สวมชุดสีดำ กลิ่นไออันแข็งแกร่งแผ่ออกมาโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย ระดับการฝึกฝนที่อ่อนสุดในนั้นก็เป็นระดับแก่นแท้ขั้นกลาง
สามคนที่อยู่ด้านหน้ามีกลิ่นไอเหนือกว่าระดับแก่นแท้ หนึ่งในนั้นเป็นชายฉกรรจ์ที่มีกล้ามเนื้อเต็มตัว อีกคนเป็นผู้อาวุโสผอมแห้ง อีกคนเป็นหญิงรูปร่างอรชรสวมชุดสีดำ
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่พุ่งออกมาเกือบพันคน ทั้งสามยังคงมีท่าทีไม่สะทกสะท้าน
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจในยอดเขาเหล็กมองเห็นการตายของชายหนุ่มร่างผอม ก็รู้ว่าผู้ที่มาไม่ประสงค์ดีอย่างแน่นอน จึงรีบลงมือโจมตีม่านแสงที่ปกคลุมยอดเขาทันที แต่พอการโจมตีทั้งหมดสัมผัสกับม่านแสง มันก็จมหายไปราวกับดินเหนียวจมลงไปในทะเล ไม่สามารถทำให้ม่านแสงสั่นสะเทือนได้เลยแม้น้อย
ตอนที่ 733 ความวุ่นวายในหนานฮวง (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทุกท่านคือสหายที่มาจากที่ใด มาที่ยอดเขาเหล็กของข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ?”
ขณะนี้ น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงพลังดังออกมาจากหอที่อยู่ด้านล่าง ขณะเดียวกันก็มีเงาร่างปรากฏออกมา จากนั้นปีศาจเหล็กที่สวมชุดสีดำก็ปรากฏตัวบนอากาศ
พอม่านแสงปรากฏออกมา ปีศาจเหล็กก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติทันที พอกวาดจิตดูก็รับรู้ได้ในทันทีว่า เทือกเขาทั้งลูกรวมถึงใต้ดินล้วนถูกม่านแสงปกคลุมไว้ด้านใน ขณะนี้เขากำลังจ้องมองคนกลุ่มนี้ผ่านม่านแสงด้วยแววตาเยือกเย็น
“เจ้าคือปีศาจเหล็กจงเหยียนสินะ หลายเดือนก่อนผู้อาวุโสขุยมู่ที่หุบเขาปีศาจสวรรค์ส่งออกมาหายตัวไปในดินแดนทางตอนใต้ จนถึงวันนี้ถึงตรวจสอบได้ว่าถูกเจ้ากับปีศาจสายฟ้าจับตัวไป อีกทั้งเจ้ายังวางแผนมุ่งร้ายที่จะสืบสานปีศาจสวรรค์ของหุบเขาปีศาจสวรรค์เราด้วย เจ้าคิดว่าเจ้ามีความผิดหรือไม่?” ผู้อาวุโสผอมแห้งที่อยู่ด้านหน้ายิ้มอย่างเยือกเย็น และกล่าวด้วยเสียงอันดัง
“ข้าไม่เข้าใจคำพูดของท่าน และไม่รู้เรื่องสืบสานปีศาจอะไรด้วย พวกท่านตีกลองชูธงโจมตีหุบเขาเหล็กเรา หรือว่าจะยุแหย่ให้เกิดศึกใหญ่ระหว่างหนานฮวงกับหุบเขาปีศาจสวรรค์หรือ?” พอปีศาจเหล็กได้ยินคำว่าหุบเขาปีศาจสวรรค์ แววตาของเขาก็มีความหวาดกลัวแฝงอยู่ แต่ก็แสร้งทำเป็นตะโกนด้วยสีหน้าสงบ
“ท่านไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เดิมทีพวกเราก็จะมาดึงหนังของท่านอยู่แล้ว เพียงแต่รับคำสั่งจากเจ้าหุบเขาให้มายืมใช้ศีรษะของท่านโดยเฉพาะ” ผู้อาวุโสร่างผอมสูงจ้องมองปีศาจเหล็กที่อยู่ไม่ไกลตาไม่กะพริบ และส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ปีศาจเหล็กได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เห็นได้ชัดว่าชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้ามีท่าทีเมินเฉยเป็นอย่างมาก หญิงชุดดำอีกคนก็มองดูบรรดาปีศาจที่กำลังลนลานอยู่ภายในม่านแสง
“ลงมือเถอะ สังหารคนที่อยู่ที่นี่ให้หมด ไม่ต้องเหลือใครไว้!” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งโบกมือเบาๆ ชายฉกรรจ์กับหญิงชุดดำกระโจนไปด้านหน้าในทันที และกลายเป็นเงาร่างพร่ามัวสองเงากะพริบแค่ทีเดียว ก็ทะลุไปในม่านแสงสีทอง และพุ่งเข้าหาปีศาจเหล็ก
ขณะเดียวกัน คนชุดดำสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองก็ตามติดเข้าไปในม่านแสง ลำแสงสีต่างๆ ปรากฏขึ้นในมือของพวกเขา และเริ่มโจมตีปีศาจผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่อยู่ในยอดเขาเหล็ก
พอชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่กลางอากาศขยับแขนทั้งสอง มันก็กลายเป็นก้ามปูยักษ์คู่หนึ่ง มันมีขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ลำแสงสีขาวเจิดจ้าปะทุออกจากก้ามปู ยอดเขาเหล็กกว่าครึ่งหนึ่งถูกแสงสีขาวเจิดจ้าปกคลุมไว้ในนั้น
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ส่งเสียงคำรามออกมา เขาวางแขนทั้งสองตัดสลับกัน และพุ่งไปยังปีศาจเหล็ก
ปีศาจเหล็กมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามคิดจะโจมตีก็โจมตีเลย ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง แผ่นกลมๆ สีดำพุ่งออกจากแขนเสื้อ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
แผ่นกลมๆ สีดำเปล่งประกายสองสามที ก็กลายเป็นแผ่นแสงสลัวๆ ที่มีขนาดหลายจั้ง ทันใดนั้นมันก็พุ่งไปรับมือกับก้ามยักษ์ของฝ่ายตรงข้าม
“โครม!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น!
แสงสีดำกับสีขาวประสานกันไปมาจนเกิดประกายระยิบระยับ แผ่นกลมๆ สีดำถูกก้ามยักษ์ทั้งคู่หนีบไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย!
อาวุธเวทนี้เป็นอาวุธเวทมีชื่อเสียงที่ปีศาจเหล็กใช้เวลาสร้างขึ้นมาหลายร้อยปี ประกอบกับพลังเหล็กหลอมในตัวเขาแล้ว มันมีอานุภาพฟันหินเปิดภูเขาได้ แต่ชายฉกรรจ์ตรงหน้าอาศัยเพียงร่างปีศาจก็รับไว้ได้แล้ว สิ่งนี้ทำให้ปีศาจเหล็กแอบร้องทุกข์อยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง เสียงร้องอย่างเวทนาก็ดังมาจากด้านล่าง ทำให้ใจของปีศาจเหล็กจมดิ่งลงไป และรีบหันไปมองทันที
จะเห็นว่ายอดเขาเหล็กในขณะนี้ ดูเหมือนกับกลายเป็นสนามรบไปทั้งแถบ ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยฉากนองเลือด ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่หญิงชุดดำที่มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์พาปีศาจผู้ฝึกฝนไปสังหารศิษย์ของยอดเขาเหล็ก
แม้ว่าศิษย์ของปีศาจเหล็กจะมีจำนวนมาก แต่ส่วนมากล้วนมีการฝึกฝนระดับต่ำ ระดับผลึกมีแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนระดับแก่นแท้ก็มีแค่สี่ห้าคน
นี่ก็ไม่แปลก ปีศาจผู้ฝึกฝนที่มีพลังแข็งแกร่งของยอดเขาเหล็ก ล้วนตายในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือจนหมดสิ้น
แม้ว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ของหุบเขาปีศาจสวรรค์จะมีแค่สิบกว่าคน แต่ทว่าแต่ละคนล้วนมีพลังระดับแก่นแท้ขั้นกลางขึ้นไป พูดถึงพลังแล้วเหนือกว่าศิษย์ของยอดเขาเหล็กมาก
และมือทั้งสองของหญิงชุดดำก็โบกสะบัดแถบผ้าสีดำสองสายอยู่ไม่หยุด ร่างของนางปราดเปรียวราวกับผีเสื้อสีดำพุ่งไปมาท่ามกลางปีศาจผู้ฝึกฝนบนยอดเขาเหล็ก ทุกครั้งที่โบกสะบัดแถบผ้าออกไป ก็เอาชีวิตของศิษย์บนยอดเขาเหล็กไปได้หลายชีวิต
ฉากเช่นนี้ มันคือฉากสังหารคนตายเป็นเบือ!
“นี่พวกเจ้าจะสังหารให้สิ้นซากเลยหรือ!” ปีศาจเหล็กเห็นเช่นนี้ก็ตะโกนออกมาด้วยความโมโหอย่างอดไม่ได้
ฉากการสงครามนี้ เขาใช้จิตรับรู้กวาดดูก็รู้ได้อย่างชัดเจน บาตรสีทองขนาดใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมาเป็นม่านแสงสีทองปกคลุมไว้นี้ มันเป็นอาวุธเวทที่มีระดับไม่ต่ำชิ้นหนึ่ง ขณะนี้ทั่วทั้งยอดเขาถูกมันปกคลุมไว้ด้านใน และขังผู้คนทั้งหมดไว้ ประจักษ์ชัดว่าไม่คิดจะไว้ชีวิตผู้ใดแล้ว
ชายฉกรรจ์ยิ้มอย่างเยือกเย็นแต่ไม่พูดอะไรออกมา พริบตาที่ปีศาจเหล็กเผลอนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าก็เปล่งประกายตรงด้านหลังของเขา หางตะขอสีขาวแวววาวบริสุทธิ์ยื่นออกจากแสงสีขาว
ภายใต้การพร่ามัวของหางตะขอ มันก็อ้อมแผ่นกลมๆ ตรงหน้าปีศาจเหล็กไปโจมตีบนหน้าอกของเขา
หางตะขอเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก กว่าปีศาจเหล็กจะรู้ตัวก็ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันแล้ว ภายใต้ความรีบร้อน แสงสีดำก็เปล่งประกายในดวงตาทั้งคู่ เปลวไฟสีดำเปล่งประกายบนตัว ครู่ต่อมาร่างของเขาก็กลายเป็นสีดำแวววาว
“เต๊ง!” พอหางตะขอโจมตีลงบนหน้าอกของปีศาจเหล็ก ก็เกิดเสียงโลหะกระทบกัน การโจมตีอย่างกะทันหันของหางตะขอ ไม่อาจแทงทะลุหน้าอกของปีศาจเหล็กได้เลยแม้แต่น้อย
แต่แม้ว่าปีศาจเหล็กจะต้านทานการโจมตีไว้ได้ แต่กลับรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่พวยพุ่งบนหน้าอก ทันใดนั้นร่างของเขาก็ร่นถอยออกไปด้านหลัง
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งยืนอยู่บนอากาศ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่างล้วนอยู่ในสายตาของเขา ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหน้าแล้วพูดพึมพำออกมา
“ช้าเกินไปแล้ว!”
ขณะที่พูดมือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่บริเวณหน้าอก ครู่ต่อมา อักขระสีทองแน่นขนัดก็ปรากฏตัวเหนือม่านแสงรูปบาตรสีทอง ภายใต้การรวมตัวกันของอักขระสีทอง พริบตาเดียวก็กลายเป็นแผนภาพที่ดูคล้ายกับกงล้อหมุน
ครู่ต่อมา จะเห็นว่ากงล้อค่อยๆ หมุนวน อย่างช้าๆ มีลำแสงสีทองพุ่งออกจากกงล้อราวกับน้ำพุ และพุ่งเข้าใส่ยอดเขาแต่ละลูกในม่านแสง บริเวณที่ลำแสงพุ่งผ่านก็จะมีเสียงหินระเบิดดังออกมา
ครู่เดียวเทือกเขาทั้งแถบก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นอย่างต่อเนื่อง เศษหินดินทรายกระเด็นปกคลุมเต็มฟ้า อานุภาพน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ปีศาจเหล็กเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ซีดขาวอย่างถึงขีดสุด ยอดเขาเหล็กได้จบสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
ชั่วเวลาผ่านไปแค่หนึ่งก้านธูป เรือยักษ์สีเงินลำหนึ่งกะพริบกลางอากาศ และพุ่งห่างออกไปจากยอดขาเหล็กจนเกิดเงาสีขาวยาวๆ หนึ่งเส้น
และเทือกเขาในขณะนี้มีสภาพเละเทะเป็นอย่างมาก ยอดเขาสูงตระหง่านหลายลูกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั่วทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยหินยักษ์ระเกะระกะ ราวกับว่าถูกพลิกขึ้นมา
ไม่นาน เรื่องที่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ของหุบเขาปีศาจสวรรค์พาศิษย์จำนวนมากเยื้องกรายมาถึงหนานฮวง ก็แพร่สะพัดไปทั้งหนานฮวง พวกเขาใช้วิธีการทรงอานุภาพสังหารปีศาจเหล็กกับศิษย์ทั้งหมด และศิษย์ของปีศาจสายฟ้าก็เผชิญกับเคราะห์กรรมเช่นเดียวกัน ผู้คนบนเขาเหลยฉือล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น
และพอผู้แข็งแกร่งของหุบเขาปีศาจสวรรค์ถอยออกไป ก็ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวออกมาว่า ปีศาจวายุหมัวเจี๋ยที่มีการฝึกฝนบรรลุระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลาย ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย
ตอนแรกกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ในดินแดนทางตอนใต้ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เห็นได้ชัดว่ายังคงมีความเกรงกลัวปีศาจวายุที่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในดินแดนทางตอนใต้ไม่น้อย แต่หลังจากครึ่งปีผ่านไป คนหมู่มากก็ค้นพบว่าหุบเขาวายุเขียวที่ปีศาจวายุอยู่ได้เปิดค่ายกลใหญ่ปิดหุบเขาไว้ และศิษย์ของเขาก็เก็บตัวไม่ออกมาข้างนอก จึงทำให้ทั่วทั้งหนานฮวงเกิดความวุ่นวายขึ้นมา
ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์หลายคนที่ยังอยู่ในเขตพื้นที่แห่งนี้ ก็เกิดการปะทะกันอยู่บ่อยครั้ง และเริ่มถือโอกาสแย่งชิงพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ในขณะที่สามปีศาจใหญ่ไม่อยู่
จู่ๆ ทั่วทั้งหนานฮวงก็เกิดการสับเปลี่ยนกำลังครั้งใหญ่ในรอบพันกว่าปี
…….
การฝึกฝนไร้ซึ่งกาลเวลา พริบตาเดียวเวลาเจ็ดแปดปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ ห้องลับภายในถ้ำบนเทือกเขาไร้นามที่อยู่ห่างจากหนานฮวงไม่รู้กี่หมื่นลี้ มีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมาอยู่พักหนึ่ง
จะเห็นว่ามังกรหมอกดำสี่ตัวที่ดูราวกับมีชีวิต กำลังหมุนวนไปมาบนเพดานถ้ำอย่างร่าเริง บางครั้งก็รัดพันกัน บางครั้งก็ต่อสู้และกัดกัน
และด้านหลังชายชุดคลุมสีเทาที่นั่งอยู่บนเบาะด้านล่าง ก็มีพยัคฆ์ดำสี่ตัวกำลังคลานอยู่บนพื้น แสงสีดำเปล่งประกายในดวงตาทั้งสอง ดูเหมือนสะสมพลังเตรียมพร้อมที่จะปล่อยออกมา
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
พอดวงตาของเขาฉายแววเฉียบขาด สายตาก็เขม้นมองไปบนผนังถ้ำ พยัคฆ์ดำทั้งสี่พุ่งไปตามสายตาหลิ่วหมิงราวกับลูกธนู
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนท่ามือทันที พยัคฆ์ดำกับมังกรดำกลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปมาภายในถ้ำ พริบตาเดียวห้องลับภายในถ้ำก็กลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ หากมีคนนอกมาเห็นล่ะก็ จะมองไม่ออกเลยว่าภายในเกิดอะไรขึ้น
สิ่งนี้คือพลังมังกรพยัคฆ์ทมิฬที่หลิ่วหมิงสามารถเก็บและปล่อยออกมาได้ดั่งใจหลังจากฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากขั้นสูงของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่ห้า จำเป็นต้องมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายถึงจะฝึกฝนได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ฝึกฝนพลังนี้ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อยกระดับความสามารถและความคล่องตัว
เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว แม้ว่าอานุภาพของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะยังไม่ก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ภายใต้การใช้งานอย่างต่อเนื่องของหลิ่วหมิง ก็บรรลุถึงขั้นที่สามารถคบควบคุมได้ดั่งใจแล้ว เวลาที่ใช้ในการกระตุ้นก็ลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่ง
อาจเป็นเพราะว่าหลิ่วหมิงมีเม็ดผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่เหนือกว่าคนทั่วไปมาก ผ่านการฝึกฝนในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี บวกกับการทานโอสถแฝงจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากคอขวดระดับผลึกขั้นปลายเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงได้ยินเสียงดัง “ฟี้ๆ!” ตรงเอว ขณะเดียวกันกลิ่นไออันแข็งแกร่งก็พุ่งออกมา ทันทีที่เขากวาดจิตดู ดูเหมือนว่าหมึกแปดขาตัวนั้นจะออกจากถุงหนังมาให้ได้
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอตบถุงหนังบนเอว แสงสีเงินก็เปล่งประกาย หมึกขนาดหลายฉื่อตัวหนึ่งพุ่งออกมาปรากฏตัวด้านหน้าที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง “ฟู่!”
เทียบกับร่างเดิมที่มีขนาดเท่าฝ่ามือแล้ว ร่างของมันในขณะนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาไม่รู้กี่เท่า และผิวหนังสีชมพูก็กลายเป็นสีฟ้า กลิ่นไอที่แผ่อยู่บนตัวก็พอเทียบกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั่วไปได้แล้ว
ปีศาจสมุทรแปดขาตัวนี้ไม่ใช่อสูรน้อยอีกต่อไป แต่กลับเข้าสู่วัยเต็มตัวแล้ว
พออสูรตัวนี้ปรากฏออกมา ก็ส่งเสียงร้องประหลาดอยู่บนพื้นทันที ร่างเดิมที่มีขนาดหลายฉื่อ ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาหลายส่วน ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินที่พร่ามัวบนตัว ก็ดูแจ่มชัดขึ้นมา
ตอนที่ 734 ตราประทับสายฟ้าสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้รู้สึกตกใจมากนัก แววตาดีใจของเขาไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจ
จะว่าไปแล้ว หลังจากปีศาจสมุทรแปดขาตัวนี้จับพลัดจับผลูดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์เข้าไป ก็เหมือนกับทานโอสถเสริม ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ร่างของมันก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ผลลัพธ์ของโลหิตปีศาจสวรรค์นี้มีผลต่อปีศาจอสูรอย่างน่าตกใจ ตัวหลิ่วหมิงเองก็ใช้เวลาห้าปีเต็มๆ ถึงจะดูดซับมันได้ทั้งหมด
ช่วงห้าปีมานี้ ดูเหมือนว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่าขึ้นไป สิ่งที่ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าก็คือ เกล็ดมังกรสีแดงที่อยู่ภายในร่างเหล่านั้น หลังจากได้รับการบำรุงจากโลหิตปีศาจสวรรค์แล้ว อานุภาพของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี
เกล็ดมังกรแดงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีผลลัพธ์ในการป้องกันมากกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า ดูเหมือนว่าสามารถเทียบกับเกล็ดมังกรระดับแก่นแท้ได้แล้ว เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้ ยังสามารถกระตุ้นพลังเวทระเบิดมันออกมาได้
จากการคาดการณ์ของเขา พลังการโจมตีของเกล็ดมังกรหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว คงไม่ด้อยไปกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดหนึ่งชิ้น อานุภาพก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับรู้ได้
แต่หลังจากเกล็ดมังกรเหล่านี้ออกไปจากร่าง ก็ไม่อาจนำมันกลับเข้าไปได้อีก พอที่จะพูดได้ว่า ใช้ไปหนึ่งครั้งก็จะลดลงไปหนึ่งเกล็ด หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่จำเป็น เขาจะไม่ใช้วิธีการนี้อย่างเด็ดขาด
ขณะนี้ ร่างของอสูรสมุทรแปดขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเสร็จสิ้น ทันใดนั้นมันก็โบกสะบัดหนวดสัมผัสเส้นหนึ่ง
พอเงาร่างเปล่งประกาย ก็เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” หนวดสัมผัสปะทะลงบนโต๊ะหินในห้องลับภายในพริบตา ทำให้มันระเบิดออกมาทันที
แม้ว่าอสูรสมุทรตัวนี้จะเข้าสู่วัยเต็มตัวแล้ว แต่สติปัญญายังคงไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นตามวัย พฤติกรรมทั้งหมดล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณ ไม่รู้เรื่องเหมือนกับแมงป่องกระดูกกับหัวบิน
สิ่งนี้หลิ่วหมิงเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้
พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ใช้จิตรับรู้กวาดดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวอีกครั้ง แต่กลับค้นพบว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินไม่มีวี่แววจะฟื้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงหลับลึกอยู่
ตั้งแต่เจ้าสองตัวนี้ดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์ที่ถูกแยกออกมาแล้ว ก็หลับลึกมานานเจ็ดแปดปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ และจะมีการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจแค่ไหน
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังด้วย “ตู๊ม!” ในห้องลับอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมอสูรสมุทรแปดขาถึง เงยหัวอันแข็งแกร่งของตนเองพุ่งใส่ผนังถ้ำอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงส่ายหน้าด้วยความระอาใจ พอเหลือบตาดู กลับค้นพบว่าบนผนังหินที่หัวของปีศาจตัวนี้ชนใส่ มีรอยเว้าต่างๆ ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
อย่างที่รู้ว่า ในวันที่เขาสร้างถ้ำแห่งนี้ขึ้นมานั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ถ้ำถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จึงวางชั้นจำกัดป้องกันเพิ่มความแข็งแกร่งไว้รอบด้านไม่น้อย ต่อให้เขาจะใช้กำปั้นโจมตีผนังห้องลับโดยตรง ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งถึงจะทำลายได้
แต่พลังกายเนื้อของอสูรสมุทรแปดขา ยังแข็งแกร่งกว่าผนังหินในห้องลับ ดูท่าโลหิตปีศาจสวรรค์จะช่วยเพิ่มทวีความแข็งแกร่งของกายเนื้อให้กับมันด้วย
คิดมาถึงจุดนี้ ในใจหลิ่วหมิงก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขาอดใจรอไม่ไหวที่จะดูว่าหลังจากอสูรสมุทรกลายเป็นเกราะอสูรแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ อย่างไรบ้าง
พอเขาโบกมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า สายลมเบาๆ ก็ม้วนตัวอสูรสมุทรแปดขากลับมา
หลังจากร่างของมันหดเล็กลง ก็กางหนวดสัมผัสทั้งแปดออก และแนบติดกับหน้าอกของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา มือข้างหนึ่งตบลงบนหัวของอสูรสมุทรเบาๆ และปล่อยพลังเวททั้งหมดเข้าไปในนั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนตัวอสูรสมุทรเปล่งประกายขึ้นมา พอแสงสีเงินเปล่งประกาย อสูรสมุทรก็กลายเป็นเกราะอสูรสีเงินแวววาว
ขณะที่หลิ่วหมิงเปลี่ยนคาถานั้น เกราะหนังสีเงินก็กลายเป็นถุงมือสีเงินห่อหุ้มมือทั้งสองของเขาไว้
หลิ่วหมิงขยับตัวไปไปทางผนังถ้ำทันที และชกออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“โครมคราม!”
มีแสงสีฟ้าสลัวๆ เปล่งประกายบนผนังหิน ทันใดนั้นเศษหินก็กระเด็นออกมา และยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีรอยกำปั้นลึกสองสามฉื่อปรากฏบนผนังหินอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
กำปั้นนี้มีอานุภาพมาก ต่อให้รับมือกับผู้ฝึกร่างระดับเดียวกัน อย่างเบาก็ทำให้อวัยวะภายในของฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายไม่น้อย อย่างหนักก็อาจจะร่างระเบิดจนเสียชีวิตได้
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บถุงมือที่กลายร่างมาจากเกราะอสูรเข้าไปแล้ว ก็ค้นพบว่ามือทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
หากมันมีอัตราการเติบโตช่นนี้ หลังจากอสูรสมุทรเข้าสู่ระดับผลึก ระดับแก่นแท้ในภายหน้า ความแข็งแกร่งของเกราะอสูรที่มันกลายร่างมา ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรอคอยเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากอสูรตัวนี้เข้าสู่วัยเต็มตัวแล้ว พลังเวทที่จะใส่เข้าไปเพื่อกระตุ้นเกราะอสูรก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี พลังเวทที่ใช้ในการทำให้เกราะทำงานก็หมดเร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก
หากใช้ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อจะต้องกลายเป็นจุดอ่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีการจัดการปัญหานี้ได้ดีมากนัก หลิ่งหมิงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน หลังจากเก็บเจ้าแปดขาเข้าไปแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่และเข้าฌานอีกครั้ง…
สิบกว่าวันผ่านไป คืนที่ฝนตกหนักและมีสายฟ้าแลบราวกับอสรพิษสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำอยู่ พอชายหนุ่มที่เปลือยกายท่อนบนขยับตัว ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในหุบเขาหินระเกะระกะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลผู้คน เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
จะว่าไปแล้วเจ็ดแปดปีมานี้ ดูเหมือนเขาจะอาศัยดวงตามายาปีศาจเข้าไปฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ในแดนมายาเกือบทุกวัน ทั้งยังให้หลัวโหวทำให้พลังของสายฟ้าสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง จากสายฟ้าธรรมดากลายเป็นสายฟ้าสวรรค์ ความเร็วในการฝึกฝนก็ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากวิชาสายฟ้าสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
เนื่องจากสายฟ้าสวรรค์ที่ดูดซับในแดนมายาไม่อาจเก็บไว้ในร่างได้ และการจะฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ จะต้องนำพลังสายฟ้าสวรรค์มาผสานเข้าด้วยกันกับพลังเวทภายในร่าง ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงรอคืนอัสนีบาตอย่างยากลำบาก
คืนอัสนีบาตทั่วไปส่วนมากจะดูดซับได้เพียงสายฟ้าธรรมดาเท่านั้น อีกอย่างจำนวนของสายฟ้าก็มีจำกัด หากจะทะลวงวิชาสายฟ้าสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ ต้องรอถึงคืนที่เกิดฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ถึงจะได้
หลังจากเขารออย่างยากลำบากมาเกือบครึ่งปี ในที่สุดคืนอัสนีบาตครั้งใหญ่ก็มาถึง
ขณะนั้นเอง เกิดเสียงฟ้าผ่ากลางอากาศ สายฟ้าสีทองขนาดเท่าปากถ้วยเปล่งประกาย และโจมตีลงบนแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงที่ยกขึ้นมา
เกิดเสียงดังแปล๊บๆ บนแขนของหลิ่วหมิง สายฟ้ามุดเข้าไปในร่างราวกับอสรพิษสีทอง ทันใดนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดทะลุหัวใจก็แผ่ขยายไปทั่วร่าง
ไม่สามารถใช้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬทำการต้านทานได้ แต่ต้องใช้กายเนื้อรับพลังสายฟ้าสวรรค์เข้าร่างโดยตรง แม้ว่าเขาจะเคยลองทำเช่นนี้ในแดนมายามาหลายพันครั้ง แต่ก็ยังรู้สึกแบกรับไม่ไหวเล็กน้อย
แต่ว่าความทรหดของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถเทียบได้ หลังจากทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้ว ก็สงบจิตลง และกระตุ้นเคล็ดวิชาโคจรพลังสายฟ้า เริ่มใช้พลังเวทในร่างค่อยๆ ดึงสายฟ้าสวรรค์เข้ามา
สายฟ้าสวรรค์ถูกเคล็ดวิชาเหนี่ยวนำ และค่อยๆ กลายเป็นไหมสายฟ้าเล็กๆ จมเข้าไปในกระดูก และค่อยๆ ผสานรวมกันกับพลังเวทภายในร่าง
หลังจากผ่านไปสามชั่วยามเต็มๆ เขาก็รับการโจมตีของสายฟ้าสีทองเส้นหนึ่ง ทั้งยังผสานเข้าไปในร่างอย่างราบรื่น และนำไปเชื่อมต่อกับพลังสายฟ้าที่เก็บไว้ในร่าง
“ดูท่าคงจะพอประมาณแล้ว!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็กำมือทั้งสองไว้แน่น แขนทั้งสองยกขึ้นเหนือศีรษะ และเริ่มร่ายคาถาออกมา
สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นที่มีขนาดเท่านิ้วก้อยค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนตัวของเขา แสงสายฟ้าหมุนวนราวกับอสรพิษสีเงินตัวเล็กๆ กำลังเลื้อยอยู่บนตัว เมื่อมองจากที่ไกลๆ ในคืนฝนตกเช่นนี้ ทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์สีเงินที่สามารถเปล่งแสงได้
ขณะเดียวกัน เมฆดำกับสายฟ้ากลางอากาศ ก็มารวมตัวกันเหนือศีรษะอย่างรวดเร็วราวกับถูกหลิ่วหมิงดูดเข้ามา
เกิดเสียงดังโครมครามอยู่ไม่หยุด สายฟ้าสีทองที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสายฟ้าสีทองพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา สายฟ้าสีเงินบนตัวก็ไปรวมตัวบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ส่งเสียงคำรามและแบมือทั้งสองขึ้นข้างบน ลูกสายฟ้าสีเงินกลมๆ ขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างชัดเจน และแสงสายฟ้าสีทองที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็ค่อยๆ จมเข้าไปในนั้น
ขณะที่ดูดซับสายฟ้าสีทองมากยิ่งขึ้น ลูกสายฟ้าสีเงินในมือหลิ่วหมิงก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สายฟ้าสีเงินกับสีทองประสานกันไปมาราวกับอสรพิษน้อยสองตัว ทำให้ลูกสายฟ้าสีเงินบนฝ่ามือของเขากลายเป็นลูกสายฟ้าขนาดใหญ่ที่มีสีเงินกับสีทองประสานกันไปมา
เมื่อแสงสีทองบนฟ้าถูกดูดซับจนหมดนั้น ลูกสายฟ้าสีเงินและสีทองบนฝ่ามือทั้งสองของหลิ่วหมิง ก็มีขนาดใหญ่หลายจั้ง
“เก็บ!”
หลิ่วหมิงกัดฟันอีกครั้ง และตะโกนออกมาเบาๆ สายฟ้าส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ลูกสายฟ้าเหนือศีรษะสลายตัวเป็นไหมสายฟ้าสีเงินทองมุดเข้าไปในฝ่ามือ
เขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ เส้นเอ็นบนแขนขาและหน้าผากนูนขึ้นมา ความรู้สึกเจ็บจนยากจะรับไว้ได้นี้ ทำให้เขาไม่อาจทรงตัวไว้ได้ และโซซัดโซเซจนเกือบล้มลงพื้น
ขณะนี้หากกระตุ้นพลังเวทมาต้านทานสักรอบ คงจะสามารถลดความเจ็บปวดบนกายเนื้อได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะทำให้การฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ล้มเหลว และไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อใด ถึงจะมีคืนอัสนีบาตครั้งใหญ่อีก
หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาพยามอดกลั้นต่อความเจ็บปวด รับรู้ถึงพลังสายฟ้าสวรรค์บริสุทธิ์ที่ทะลวงไปตามเส้นชีพจรต่างๆ ในสมองก็นึกถึงเรื่องที่เขาเกือบตายหลายครั้งในก่อนหน้า
ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวที่ระเบิดพลังตัวอ่อนกระบี่เพื่อรับมือกับราชาปีศาจสมุทรอย่างไม่เสียดาย การต่อสู้ความเป็นความตายกับราชาโลหิตในซากปีศาจโบราณ การต่อสู้กับผู้อาวุโสจินหมานที่มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด…
ผ่านเหตุการณ์เกือบตายมานับไม่ถ้วนเช่นนี้ เทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ความเจ็บปวดที่แฝงมากับวิชาสายฟ้าสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงแต่อย่างใด
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ สงบลง เขาหยุดกลิ้งอยู่บนพื้นและค่อยๆ ลุกขึ้นมา
ความเจ็บปวดภายในร่างค่อยๆ หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกชาแทน
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ภายใต้การตรวจดูภายในร่างของหลิ่วหมิง ก็ค้นพบว่าไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด และบนหน้าอกก็มีตราประทับสายฟ้าสีทองแปลกประหลาด
พื้นผิวตราประทับมีแสงสีเงินหมุนวน ติดๆ ดับๆ แลดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก
เมื่อเขาลุกขึ้นมา และลองกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าดูนั้น ก็รู้สึกว่าพลังเวทภายในร่างทะลักออกมาจากผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดอยู่ไม่หยุด และพุ่งเข้าไปในตราประทับสายฟ้าบนหน้าอก
พริบตาที่ตราประทับสายฟ้าเปล่งแสงสีทองออกมา ไหมสายฟ้าสีเงินและทองก็เลื้อยไปมาบนตัวอยู่ไม่หยุด พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินและสีทองทั้งสองก็รวมตัวกันบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 735 กลับตลาดเหมียวจงอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงตาหลิ่วหมิงดูเยือกเย็นขึ้นมา มือข้างหนึ่งชี้ไปยังยอดเขาหินขนาดใหญ่ที่สูงเสียดเมฆ สายฟ้าสีเงินและสีทองที่มีขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งออกจากปลายนิ้ว
“เปรี๊ยงปร๊าง!” เกิดเสียงดังราวกับฟ้าถล่มดินทลาย
มีโพรงขนาดใหญ่สิบกว่าจั้งปรากฏออกมาตรงตีนเขา จากนั้นภูเขาหินทั้งลูกก็ล้มโครมลงมา ก้อนหินจำนวนมากร่วงลงมาอย่างบ้าคลั่ง พอตกถึงพื้นก็กลายเป็นเศษหิน
“วิชาสายฟ้าสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ!”
หลิ่วหมิงแหงนหน้าหัวเราะด้วยความดีใจ พอนึกถึงเรื่องที่ว่า ตนเองเริ่มฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์เพื่อควบคุมจิตปีศาจ จนตอนนี้ไม่รู้ว่าถูกสายฟ้าสวรรค์โจมตีในคืนอัสนีบาตไปตั้งกี่ครั้ง ก็รู้สึกถอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
และตอนนี้ก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว สามารถพูดได้ว่าเพียงแค่รีบรวบรวมสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามาได้โดยเร็ว ก็สามารถยับยั้งจิตปีศาจได้ชั่วคราวแล้ว
เพราะตามที่หลัวโหวพูด หากกลายร่างเป็นปีศาจในครั้งหน้า มีโอกาสเป็นไปได้มากที่เขาจะถูกชิงร่างไปอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นตัวประหลาดที่รู้จักแต่การสังหารเท่านั้น
เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงพื้นทันที มือทั้งคู่ทำท่ามือและรวบรวมสมาธิ พอหลับตาทั้งคู่ลง ก็นึกถึงคัมภีร์วิชาสายฟ้าสวรรค์อย่างเงียบๆ
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ หลังจากฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว สามารถใช้พลังของสายฟ้าบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมา และอาศัยแรงดึงดูดระหว่างสายฟ้าด้วยกันเหนี่ยวนำสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในสถานที่พิเศษได้
แต่ว่าสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีอานุภาพมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ ในบรรดาผู้ฝึกฝนสมัยก่อนที่ฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ก็มีจำนวนไม่น้อยที่บรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ กายเนื้อแข็งแกร่งกว่าคนปกติมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ยังถูกสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผ่าจนตายทั้งเป็น
แม้ว่ากายเนื้อของหลิ่วหมิงจะแข็งแกร่งจนพอที่จะเทียบกับระดับแก่นแท้ได้ ภายใต้การทานโลหิตปีศาจไป ยังช่วยเพิ่มทวีความแข็งแกร่งให้กายเนื้อไม่น้อย แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด เขายังคงคิดที่จะฝึกฝนอีกหลายปี รอการฝึกฝนบรรลุระดับผลึกขั้นปลาย และพลังเพิ่มทวีขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว ถึงลองไปเหนี่ยวนำสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าดู
คิดว่าตั้งใจฝึกฝนไม่กี่ปี และไม่ไปหยุแหย่ศัตรูที่แข็งแกร่งเข้า ก็คงจะไม่ถูกกระตุ้นจิตปีศาจอีก
หลังจากวางแผนไว้เช่นนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็กลับไปนอนหลับบนเตียงหินภายในถ้ำที่พักเป็นการใหญ่
……
เช้าตรู่ในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พัก เขากำลังชื่นชมขวดแวววาวสีขาวในมืออยู่
สิ่งที่อยู่ในขวดเล็กก็คือโลหิตปีศาจโคเขียวครึ่งขวดที่เขาได้มาในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือนั่นเอง
ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เขาถือโอกาสที่หนานฮวงยังไม่เกิดความวุ่นวาย ไปตลาดในบริเวณนี้อยู่หลายครั้ง เพื่อแบ่งขายอาวุธจิตวิญญาณ โอสถ และยันต์จำนวนหนึ่ง จนได้มาหลายสิบล้านหินจิตวิญญาณ นอกจากซื้อของเหลวห้าแสงมาจำนวนหนึ่งแล้ว ก็เก็บเนื้อเก็บตัวตั้งใจฝึกฝนโดยที่ไม่ออกไปไหนอีก
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้นำโลหิตปีศาจโคมาใช้
สถานการณ์ในตอนนี้ นอกจากของเหลวห้าแสงระดับสุดยอดจากราชินีผึ้งห้าแสงที่เขาไม่ได้นำออกมากลั่นแล้ว ของเหลวห้าแสงระดับสูงที่เหลือ ก็นำมาปรุงเป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณ หลายปีมานี้ เขาก็ทานไปไม่น้อย ซึ่งหินจิตวิญญาณในมือก็เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว
พอนึกมาถึงจุดนี้ เขาก็มองดูอาวุธเวทหลายชิ้นที่เหลืออยู่ในแหวนย่อส่วน
เห็นได้ชัดว่า คุณสมบัติของของล้ำค่าเหล่านี้ไม่เหมาะสมกับเขา และเขาก็วางเฉยไม่ได้นำไปปรับแต่งมาโดยตลอด เวลานานเข้า ก็กลายเป็นเรื่องที่จัดการได้ยาก
และขณะที่เขาค้นพบว่ามีสัญญาณความวุ่นวายในหนานฮวงนั้น ก็ได้กลับไปที่ตลาดเหมียวจงเมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง และเข้าร่วมงานประมูล ประมูลของเหลวห้าแสงมาไม่น้อย
ขณะที่เขาทำการชำระและพบว่าหินจิตวิญญาณมีไม่พอนั้น ก็คิดที่จะนำต้นแบบอาวุธเวทเหล่านี้มาหักบัญชี แต่กลับได้ยินว่า ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ให้ความสนใจงานประมูลในครั้งนี้มาก เขาจึงละทิ้งความคิดนี้ในทันที และนำโอสถแฝงจิตวิญญาณมาทำการหักล้างบัญชีแทน หลังจากนั้นก็รีบออกไปจากงานประมูลทันที ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก
หากคิดจะนำอาวุธเวทเหล่านี้ออกไปขายในทีเดียว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน แต่หากแบ่งขายก็จะเสียเวลาและกำลังวังชาไม่น้อย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก
เพราะความวุ่นวายครั้งใหญ่ในหนานฮวงยังไม่สิ้นสุด หากออกไปจากถ้ำในตอนนี้ล่ะก็ จำเป็นต้องเตรียมการให้ดีๆ เสียก่อน
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองแล้ว ก็ตัดสินใจใช้โลหิตโคเขียวระดับแก่นแท้ในมือมาวาดภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนที่แท้จริงเพื่อปิดบังกลิ่นไออีกครั้ง เช่นนี้แล้ว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่อาจมองเห็นระดับการฝึกฝนที่แท้จริงของเขาได้ และตัวเขาเองก็จะเคลื่อนไหวได้สะดวกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาค่อนข้างรู้สึกรอคอยพลังที่แท้จริงของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเป็นอย่างมาก
หลังจากมีประสบการณ์วาดภาพสัญลักษณ์ชั่วคราวในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงนำพู่กันหยกออกจากแหวนย่อส่วนมาจุ่มโลหิตและวาดไม่กี่ที ก็วาดภาพไว้บนหน้าอกและไหล่ขวาอย่างชำนาญ
ผ่านไปแค่สองชั่วยาม ภาพโคเขียวที่มีเกล็ดมังกรปกคลุมเต็มตัว ก็ปรากฏบนตัวของเขาราวกับมีชีวิต
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เอามือข้างหนึ่งตบลงบนหน้าอก และค่อยๆ ปล่อยพลังเวทจากฝ่ามือเข้าไปในภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วน ทันใดนั้นกระแสอุ่นๆ ก็ไหลวนอยู่ในภาพสัญลักษณ์
เงาร่างโคเขียวเปล่งประกายออกมา “ฟู่!” และส่งเสียงคำรามอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงราวกับมีชีวิต หลังจากผ่านไปสักพัก แสงสีเขียวถึงเปล่งประกายออกมา และจมหายไปในลวดลายเชอฮ่วนบนผิวหนัง
“นี่คือพลังที่แท้จริงของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนหรือ?” หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ ด้วยความฉงน จากนั้นก็เก็บโลหิตโคเขียวกับพู่กันหยกเข้าไป
น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีวิญญาณปีศาจอื่นๆ อยู่ในมือเพื่อทำการปรับแต่งอีกขั้น ด้วยเหตุนี้นอกจากภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนจะช่วยปิดบังกลิ่นไอแล้ว ก็มิอาจแสดงอานุภาพอื่นได้ชั่วคราว
หลังจากเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หลิ่วหมิงก็แปลงโฉมป็นชายฉกรรจ์เผ่าหมานที่มีรูปร่างแปลกประหลาดคนหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปจากถ้ำที่พัก
แสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าบนเขา หลังจากหมุนวนไปรอบหนึ่งแล้ว ก็พุ่งไปทางตลาดเหมียวจงทันที
สองเดือนต่อมา หลิ่วหมิงสอบถามจากแหล่งต่างๆ ในเมือง ในที่สุดก็มาถึงร้านค้าใต้ดินที่ค้นข้างเร้นลับอยู่หลายร้าน และถูกใจร้านค้าร้านหนึ่งเข้า
ว่ากันว่าคนที่ฆ่าคนปล้นสะดมทรัพย์ มักจะนำอาวุธจิตวิญญาณ โอสถ และยันต์ต่างๆ ที่ปล้นมาได้ ไปเปลี่ยนมือที่ร้านค้าแห่งนี้ และผู้คนในร้านค้าใต้ดินก็สมคบคิดกับคนในงานประมูลจำนวนหนึ่ง แล้วส่งต่อไปประมูลในราคาที่สูงขึ้น และได้กำไรจากในนั้น
หลังจากผ่านไปสามวัน มุมทางด้านตะวันออกของตลาดเหมียวจง ภายในร้านค้าขนาดใหญ่ของเผ่าหมานที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง ลูกค้าสองสามคนกำลังเดินไปมาระหว่างชั้นวางสินค้า ข้างตัวของลูกค้าแต่ละคนจะมีพนักงานตามติดอยู่คนหนึ่ง เพื่ออธิบายที่มาและราคาของสิ่งของที่ลูกค้าสนใจ
ขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์เผ่าหมานที่ใส่ผ้าคลุมหนังเสือ และสวมหมวกบนศีรษะ ก็ก้าวเข้าประตูมา หลังจากกวาดสายตามองดูแล้ว ก็ค่อยๆ ก้าวไปตรงหน้าชั้นวางสินค้าอันหนึ่ง
เขาก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง
“ผู้อาวุโสท่านนี้ สิ่งของล้ำค่าที่ร้านเราขายแต่ละชิ้นล้วนเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากในโลกภายนอก ตอนนี้หนานฮวงเกิดความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน มีของล้ำค่าติดตัวเพิ่มขึ้นอีกชิ้น ก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้น!” พนักงานร้านที่มีรูปร่างเตี้ยเล็กแต่กลับกำยำล่ำสันเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาในร้าน ก็รีบไปต้อนรับอย่างนอบน้อม
“ช่วงนี้เถ้าแก่สบายดีหรือไม่?” หลิ่วหมิงไม่ได้มองพนักงานร้านผู้นี้โดยตรง เพียงแค่ถามอย่างไม่มีมูลเหตุเท่านั้น
“เถ้าแก่เก็บตัวนานครึ่งปีแล้ว” พนักงานร้านร่างเตี้ยได้ยิน ก็กรอกลูกตาไปมา และตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ใช่ด่านความเป็นความตายหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามอย่างราบเรียบ
“ถูกต้อง” พนักงานร้านมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“ข้ามีสิ่งของอยู่ชิ้นหนึ่ง สามารถช่วยเขาทะลวงด่านนี้ได้”
ทันทีที่หลิ่วหมิงยกแขนขึ้นมา แสงสีเขียวก็เปล่งประกาย มันคือจี้หยกที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ ชิ้นหนึ่ง
พนักงานร่างเตี้ยโบกมือข้างหนึ่งผ่านอากาศ หลังจากจี้หยกหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็ค่อยๆ ร่วงลงในมือของเขา จากนั้นก็นำมาสังเกตดูอย่างละเอียด
หลิ่วหมิงก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เขามองไปรอบ ๆ ชั้นวางตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจ และหยิบสิ่งของบนชั้นมาตรวจสอบดูด้วยความสนใจ
จะว่าไปแล้วสัญญาณลับกับสิ่งของยืนยันเหล่านี้ เขาหมดไปหลายแสนหินจิตวิญญาณ ถึงได้มาจากคนที่โลภในทรัพย์สินเงินทองคนหนึ่ง ดูจากสีหน้าของพนักงานในเมื่อครู่แล้ว คงจะไม่ผิดพลาดอะไร
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ผ่านไปไม่นาน พนักงานคนนี้ก็อาศัยวิธีการบางอย่างตรวจสอบจี้หยกจนเสร็จ จากนั้นก็มอบหยกให้หลิ่วหมิง และกล่าวอย่างนอบน้อม
“ผู้อาวุโส เชิญตามข้ามา”
หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ และวางไม้เถาวัลย์โบราณสีม่วงในมือที่มีอายุสองสามร้อยปีลงไป จากนั้นก็เดินตามไปด้านหลังร้าน
ไม่นาน ทั้งสองก็เดินออกจากประตูหลังร้าน หลังจากเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถึงสวนสมุนไพรที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง
สวนสมุนไพรแห่งนี้มีขนาดแค่สิบกว่าจั้ง ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ธรรมดา สมุนไพรที่ปลูกอยู่ด้านในส่วนมากก็เป็นสมุนไพรธรรมดา
ภายใต้การกวาดสายตามองของหลิ่วหมิง ก็สามารถระบุแปดถึงเก้าในสิบส่วนได้อย่างง่ายดาย
พอมองดูอย่างผิวเผิน สวนสมุนไพรแห่งนี้ไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด แต่พอปล่อยจิตออกไปสำรวจดูเล็กน้อย ก็ค้นพบถึงความไม่ถูกต้องบางอย่าง
ปราณจิตวิญญาณที่สมุนไพรเหล่านี้แผ่ออกมา ดูขาดๆ หายๆ มีบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า
หรือว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นภาพมายาแห่งหนึ่ง ร้านค้าเร้นลับแห่งนั้นก็อยู่ในสวนสมุนไพรแห่งนี้
หลังจากพนักงานร่างเตี้ยคนนั้นเดินไปสองสามก้าว ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนว่าไม่คิดจะนำทางให้หลิ่วหมิงอีก เพียงแค่มองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้านอบน้อมเท่านั้น
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดจะลองทำลายภาพมายานั้น ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน และปล่อยแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมา
พนักงานร่างเล็กกำยำผู้นี้ มีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตญาณเท่านั้น ไหนเลยจะรับแรงกดดันมหาศาลนี้ได้ ทันใดนั้นเขาก็ต้องคุกเข่าลงพื้นด้วยเหงื่อที่เปียกเต็มศีรษะ
“ผู้…ผู้อาวุโส ท่านต้องการทำอะไร?” น้ำเสียงของพนักงานร่างเตี้ยสั่นสะท้านเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง ลมเบาๆ ก็พัดผ่านไป ทันใดนั้นระลอกคลื่นก็ก่อตัวกลางอากาศ หลังจากภาพตรงหน้าพร่ามัว สวนสมุนไพรก็หายไปจากที่เดิม และถูกแทนที่ด้วยหอเล็กๆ ที่สร้างอิงตามภูเขา ดูเหมือนจะทะลุเข้าไปด้านใน
ทางเข้าหอเป็นประตูเคลือบสีแดงสดขนาดประมาณสองสามจั้ง ป้ายสีดำบนประตูมีอักขระ ‘อี้’ ขนาดใหญ่เพียงตัวเดียวแกะสลักอยู่บนแผ่นหยก นอกประตูมีสมุนไพรปลูกอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ว่ามีจำนวนไม่มากเหมือนกับภาพมายาในก่อนหน้านั้น
ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวสีขาว อายุราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบปีผู้หนึ่ง กำลังผลักประตู และเดินออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล
“สหายผู้นี้อย่าได้ถือสา พนักงานร้านผู้นี้เพิ่งมาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ร้านค้า ‘อี้’ ข้าคือเถ้าแก่ของที่นี่ เชิญสหายเข้ามาพูดคุยกันด้านในก่อน” ผู้อาวุโสชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงพยักหน้า และเก็บแรงกดดันจิตวิญญาณเข้าไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในประตู
ตอนที่ 736 ร้านค้าใต้ดิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้อาวุโสชุดขาวโบกมือให้พนักงานร่างเตี้ยผู้นั้นถอยออกไป จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว เพื่อนำทางให้กับเขา
หลังจากเดินผ่านทางเดินสีดำที่ไม่ค่อยยาวมากนัก หลิ่วหมิงก็ตามผู้อาวุโสชุดขาวเข้าไปในห้องลับใจกลางภูเขา
ที่แตกต่างจากห้องลับในถ้ำทั่วไปก็คือ ภายในห้องลับที่มีขนาดแค่สิบกว่าจั้งนี้ มีไอหมอกสีขาวบางๆ ปกคลุมอยู่รอบด้าน คิดว่าคงมีผลในการปิดกั้นจิตรับรู้ กลางห้องมีโต๊ะหินหนึ่งตัวกับเก้าอี้หินสองตัวจัดวางอยู่ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งของอื่นๆ อีก
“เชิญนั่ง” ผู้อาวุโสชุดขาวทำท่าเชื้อเชิญให้หลิ่วหมิงนั่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงเองก็เดินไปหน้าเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจ หลังจากเลิกชายเสื้อขึ้นแล้วก็นั่งลงไป
“ที่สหายมาในครั้งนี้ ต้องการขายสิ่งของอันใดหรือ?” ผู้อาวุโสชุดขาวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้าม และถามหยั่งเชิงดู
หลิ่วหมิงได้ยินก็สะบัดแขนเสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก หลังจากมีเสียงดัง “ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!” กล่องหยกแวววาวแต่ละใบก็วางเรียงอยู่บนโต๊ะหินอย่างครบครัน ซึ่งมีทั้งหมดสิบกว่าใบ จากนั้นถึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ช่วงนี้ข้าค่อนข้างร้อนหินจิตวิญญาณมาก ดังนั้นจึงคิดจะขายสมบัติจำนวนหนึ่ง เพื่อแลกกับหินจิตวิญญาณ”
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาวได้ยินก็พยักหน้าทันที พอโบกมือข้างหนึ่ง กล่องหยกก็ลอยขึ้นมา และค่อยๆ ร่วงลงในมือของเขา
เขาใช้มือข้างหนึ่งแตะกล่องหยกเบาๆ “ฟู่!” ลำแสงสีม่วงพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมัน ซึ่งก็คือดาบประหลาดสีม่วงที่หลิ่วหมิงได้มาจากผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวที่สังหารในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือผู้นั้น
“ต้นแบบอาวุธเวท ทั้งยังหลอมขึ้นมาจากวัสดุจิตวิญญาณที่เป็นหยกผลึกม่วงด้วย!” ผู้อาวุโสชุดขาวหลุดปากออกมาอย่างอดไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่ฉายแววดีใจออกมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงกลับมองดูผู้อาวุโสด้วยสีหน้าสงบ
“หากสหายจะขายอาวุธจิตวิญญาณนี้ ทางร้านเรายินดีใช้หกล้านหินจิตวิญญาณซื้อ ท่านคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้อาวุโสชุดขาวถามเบาๆ
“หกล้านหินจิตวิญญาณ นับว่าราคายุติธรรมดี แต่ว่ายังมีอีกมากที่ท่านยังไม่ได้ดู ลองดูให้หมดแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย” หลิ่วหมิงไม่มีท่าทีตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ผู้อาวุโสชุดขาวย่อมไม่เกรงใจแต่อย่างใด เขาเปิดกล่องหยกใบที่สอง ในนั้นมีมุกสีเหลืองกลมๆ อยู่หนึ่งเม็ด ซึ่งได้มาจากปีศาจผู้ฝึกฝนหน้ายาวเช่นกัน
การเดินทางบนเขาเหลยฉือในวันนั้น สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหงุดหงิดที่สุดก็คือ ต้นแบบอาวุธเวทที่ได้มานั้น ส่วนมากเป็นประเภทที่ใช้ในการโจมตี ไม่มีที่ใช้สำหรับป้องกันตัวเลยสักชิ้น หลังจากโล่เก้ากะโหลกได้รับความเสียหาย ตอนนี้เขากำลังต้องการต้นแบบอาวุธเวทที่ใช้ในการป้องกันชิ้นหนึ่งพอดี ภายใต้สถานการณ์วิกฤตยังพอจะนำมาออกมาต้านทานได้บ้าง
ขณะนี้ ผู้อาวุโสชุดขาวมีสีหน้าหวั่นไหวขึ้นมา ดวงตาฉายแววเร่าร้อน และจ้องมองกล่องหยกในมือตาไม่กะพริบ
“มีต้นแบบอาวุธถึงหกชิ้น ชิ้นอื่นๆ ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด สหายคงไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธหรอกนะ?” ผู้อาวุโสชุดขาวสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ลองถามหยั่งเชิงดู
หลิ่วหมิงได้ยินก็แค่หัวเราะเบาๆ และไม่ได้ให้คำตอบแต่อย่างใด
ผู้อาวุโสเห็นเช่นนี้ ก็กระแอมไอออกมา และไม่ได้สอบถามอะไรต่อ แต่เห็นได้ชัดว่านอบน้อมกับหลิ่วหมิงมากกว่าเดิมเล็กน้อย
ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม ผู้อาวุโสชุดขาวถึงดูสิ่งของในกล่องหยกเหล่านี้จนหมด และวางกลับไปบนโต๊ะ
“ต้นแบบอาวุธเวทกับอาวุธจิตวิญญาณสิบกว่าชิ้นนี้ ข้าลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว มูลค่าประมาณสามสิบแปดล้านหินจิตวิญญาณ ไม่ทราบสหายคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง? แต่ว่าร้านเราไม่อาจเตรียมหินจิตวิญญาณจำนวนมากในครั้งเดียวเช่นนี้ได้ คาดว่ายังขาดอีกสิบล้านกว่าหินจิตวิญญาณ หากสหายคิดว่าราคาพอใช้ได้ล่ะก็ เกรงว่ายังต้องรออีกสองสามชั่วยามแล้ว ข้าจะให้คนจะให้คนจัดหินจิตวิญญาณมาให้จำนวนหนึ่ง” ในที่สุดผู้อาวุโสชุดขาวก็กล่าวกับหลิ่วหมิง
“ไม่รีบร้อน! ที่ข้ามาในครั้งนี้ เดิมทียังคิดที่จะซื้อสิ่งของจำนวนหนึ่งด้วย” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อ๋อ? ไม่ทราบว่าสหายต้องการซื้อสิ่งของอันใด บอกมาได้เลย”
“ในร้านอาจจะมีอาวุธจิตวิญญาณป้องกันขาย แต่ว่าหากไม่ใช่ระดับต้นแบบอาวุธเวทขึ้นไป ก็ไม่ต้องนำออกมาแล้ว” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“สหายมาได้เวลาพอดี หลายวันก่อนร้านเราเพิ่งได้ต้นแบบอาวุธเวทธาตุดินมาชิ้นหนึ่ง ‘โล่พสุธา’ เดิมทีกะนำไปประมูลในอีกสองเดือนให้หลัง หากสหายต้องการล่ะก็สามารถให้สหายก่อนได้” ผู้อาวุโสขุดขาวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่กลับพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้อาวุโสชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้ไปเอาอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้จากสถานที่อื่น แต่กลับพลิกฝ่ามือหยิบกล่องหยกที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ ออกมายื่นให้หลิ่วหมิง
เถ้าแก่ผู้นี้พกสมบัติชิ้นนี้ติดตัวไว้ ทำให้หลิ่วหมิงต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
เขารับกล่องหยกจากมือผู้อาวุโสชุดขาว พอเลื่อนฝากล่องเบาๆ กลิ่นหินดินทรายก็ปะทะใส่หน้าเขา แสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมา และลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง
พอแสงสีเหลืองดับลง เผยให้เห็นโล่เล็กสีเหลืองที่อยู่ในนั้น
บนผิวของมันมีภาพภูเขาลูกเล็กๆ ที่ดูราวกับของจริงประทับอยู่ บริเวณขอบของมันมีแสงสีเหลืองเปล่งประกาย ทำให้รู้สึกถึงความหนาและหนักผิดปกติ
“ฟิ้ว!”
พอหลิ่วหมิงชี้มือข้างหนึ่งออกไป ปราณกระบี่รูปเกลียวสายหนึ่งก็พุ่งยิงใส่โล่เล็กสีเหลืองทันที
แต่ทว่าพอปราณกระบี่สัมผัสกับผิวโล่ ภาพภูเขาลูกเล็กบนโล่เล็กสีเหลืองก็เปล่งแสงสีทอง และหลุดออกมา พอปราณกระบี่โจมตีลงบนเงาภูเขา มันก็กระเด็นกลับมาอย่างน่าประหลาดใจ แต่ว่าปราณกระบี่ก็ดูเหมือนจะอ่อนลงกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ดูท่าโล่ชิ้นนี้ยังสามารถดูดเอาพลังส่วนหนึ่งได้ด้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปทันที จากนั้นก็รีบทำท่ามือปล่อยดรรชนีกระบี่ออกไปอีกครั้ง
“เต๊ง!” ปรานกระบี่สองสายต่างก็หักล้างกันจนสลายไป
อานุภาพของดรรชนีกระบี่นี้ หลิ่วหมิงรู้อยู่แก่ใจดี และภายใต้สถานการณ์ที่โล่นี้ยังไม่ได้ทำการปรับแต่ง มันไม่เพียงดูดซับความเสียหายบางส่วนเท่านั้น ยังสามารถทำให้การโจมตีสะท้อนกลับได้ หากใช้ในการต่อสู้อย่างฉลาดหลักแหลมล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าจะได้รับผลดีอย่างคาดไม่ถึง ส่วนการใช้งานอื่นๆ ยังต้องรอให้ทำการปรับแต่งด้วยตัวเองก่อน ถึงจะรู้ได้
“สมบัติชิ้นนี้ข้าเอา ไม่ทราบว่าต้องการราคาเท่าใด?” หลิ่วหมิงโบกมือเรียกโล่เล็กกลับมาใส่ไว้ในกล่องหยก หลังจากมองดูผู้อาวุโสชุดขาวทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“โล่นี้เป็นต้นแบบอาวุธเวทสำหรับป้องกันที่มีไม่มาก หากสหายต้องการล่ะก็ คิดราคาที่แปดล้านหินจิตวิญญาณก็พอแล้ว หากนำโล่นี้ไปประมูล เกรงว่าคงจะแพงขึ้นอีกไม่น้อย” ผู้อาวุโสชุดขาวพูดออกมาเบาๆ ในแววตายังคงแฝงด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย
ผู้อาวุโสชุดขาวผู้นี้สมกับเป็นเถ้าแก่ที่เฉลียวฉลาดและมีประสบการณ์มานาน ต้นแบบอาวุธเวทที่หลิ่วหมิงขายออกไปในก่อนหน้า เขาให้ราคาแค่หกล้านหินจิตวิญญาณ แต่ ‘โล่พสุธา’ นี้ กลับราคาสูงถึงแปดล้านหินจิตวิญญาณ
แต่ที่ผู้อาวุโสผู้นี้กล่าวไว้ก็ไม่มีผิด หากนำโล่นี้ออกไปประมูล คาดว่าราคาคงเริ่มต้นที่ห้าล้านหินจิตวิญญาณขึ้นไป สุดท้ายอาจจะราคาสูงถึงสิบกว่าล้านก็เป็นไปได้
“เอาเถอะ! แปดล้านก็แปดล้าน” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างไม่หนักหนาสาหัสอะไร
“สหายเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ” ผู้อาวุโสชุดขาวกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
“เถ้าแก่ ไม่ทราบว่าที่นี่มีของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดขายหรือไม่?” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกไปอย่างราบเรียบ
“ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอด? มันเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก แต่ว่าร้านเราก็มีอยู่พอดี แต่มีไม่มาก มีแค่สองขวดเท่านั้น ขวดละสิบสองล้านหินจิตวิญญาณ” ผู้อาวุโสชุดขาวมองดูหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หินจิตวิญญาณสิบสองล้านนี้ แพงกว่าที่หลิ่วหมิงเคยประมูลมาเล็กน้อย มันดูอุกอาจไปหน่อย
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะมีกำลังทรัพย์มาก แต่พอได้ยินราคาที่สูงเช่นนี้ ก็ค่อนข้างรู้สึดปวดใจมาก เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสชุดขาวผู้นี้เห็นว่าหลิ่วหมิงไม่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ จึงจงใจยกราคาให้สูงขึ้น แต่หากรอไปประมูลด้วยราคาที่สูงในงานประมูลล่ะก็ ไหนเลยจะไม่นำพาความยุ่งยากมาให้
เขาขมวดคิ้ว และเงียบไปทันที
“หากสหายต้องการจริงๆ ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงทั้งสองขวดนั้น จะขายให้แก่ท่านยี่สิบล้านหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสชุดขาวมองออกถึงความลังเลบนใบหน้าของหลิ่วหมิง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“ได้! แต่ข้าต้องการตรวจสอบสิ่งของก่อน” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ตัดสินใจได้
“ย่อมไม่มีปัญหา” ผู้อาวุโสตกปากรับคำทันที หลังจากมีเสียงดัง “แปะๆ!” หญิงรับใช้สองคนที่อยู่ด้านนอก ก็ถูกเรียกให้ไปเอาของมา
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ขวดเล็กสีเขียวมรกตสองใบก็อยู่วางอยู่บนโต๊ะ
หลิ่วหมิงโบกมือดูดขวดหยกใบหนึ่งเข้ามาในมืออย่างไม่เกรงใจ หลังจากชี้นิ้วผ่านอากาศ กลิ่นหอมหวานก็ปะทะใส่หน้า
“ไม่เลว! เป็นของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงจริงๆ ด้วย” หลังจากหลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาแล้ว ก็ปล่อยจิตออกไปตรวจสอบทันที
ผ่านไปไม่นาน เขาก็สำรวจของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดไปหนึ่งรอบ หลังจากมั่นใจว่าคุณภาพถูกต้องแล้ว ก็เก็บของเหลวห้าแสงกับกล่องหยกที่ใส่โล่พสุธาเข้าไปในแหวนย่อส่วน
“สหายยังต้องการสิ่งของอย่างอื่นอีกหรือไม่ ร้านเราจะต้องทำให้ท่านพอใจอย่างแน่นอน” พริบตาเดียว ผู้อาวุโสชุดขาวก็ทำการค้าใหญ่สำเร็จ จึงยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ต้องการแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ถ้าอย่างนั้นร้านเราจะจ่ายให้ท่านสิบล้านหินจิตวิญญาณ” ผู้อาวุโสชุดขาวทำท่านับนิ้วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ควักถุงใส่หินจิตวิญญาณมามอบให้หลิ่วหมิง และเก็บกล่องหยกบนโต๊ะเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงไม่ได้พูดอะไร หลังจากใช้จิตกวาดดูหินจิตวิญญาณในถุง และนับดูว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน และหมุนตัวเดินจากไป
ครั้งนี้สามารถขายต้นแบบอาวุธเวทจำนวนมากออกไปอย่างราบรื่นในทีเดียวเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าโชคดีมากแล้ว ตอนนี้ยังซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดกับโล่พสุธามาได้โดยไม่ตั้งใจ นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ได้ผลผลิตมาก แม้ว่าจะราคาสูงไปหน่อย แต่ก็ต่างกันไม่กี่ล้านหินจิตวิญญาณ
พอออกไปจากร้านค้าแห่งนี้ และมั่นใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว หลิ่วหมิงก็เลี้ยวเข้าไปในถนนเล็กๆ ที่ไม่มีคน และปลอมตัวเป็นบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่ง จากนั้นก็ออกจากตลาดแล้วพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พักอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ ภายในห้องลับในร้านค้าเร้นลับแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสชุดขาวกำลังมองดูกล่องหยกหลายใบในมือด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และตรงหน้าของเขาก็มีคนสวมชุดดำปิดหน้ายืนอยู่สามคน
“พวกเจ้าไปสืบมาหน่อย ช่วงนี้มีผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงมาบริเวณนี้หรือไม่ นอกจากนี้คนผู้นี้อาจจะปรุงโอสถเป็นด้วย คิดว่าคงหาตัวได้ไม่ยาก แต่ว่าการฝึกฝนของคนผู้นี้คงไม่ต่ำกว่าระดับแก่นแท้ขั้นต้น พวกเจ้าแค่สืบดูก็พอ อย่าไปก่อกวนคนผู้นี้ จะได้มีชีวิตรอดกลับมา เรื่องอื่นๆ ข้าไปจะรายงานเบื้องบนเอง” ผู้อาวุโสชุดขาวสั่งอย่างราบเรียบ
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง คนสวมชุดดำทั้งสามก็กะพริบหายไปจากห้องลับอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวท่ามกลางภูเขาที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็ได้ปลอมตัวเป็นผู้อาวุโสผมขาวคนหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น