หมอดูยอดอัจฉริยะ 730-735
ตอนที่ 730 เงื่อนไข
เยี่ยเทียนรู้ว่าคนที่ใช้อิทธิพลและอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มีให้เห็นทุกหนทุกแห่งในประเทศนี้ เขาไม่มีความสามารถและไม่ใช่หน้าที่ที่จะเข้าไปยุ่ง ด้วยเหตุนั้นที่ผ่านมาจึงไม่เคยถามชื่อของบริษัทนั้นกลับเฉินสี่ฉวน
แต่ว่าตอนนี้แม่ร่วมลงทุนกับเฉินสี่ฉวนแล้ว เยี่ยเทียนจึงจำเป็นต้องรู้ ถ้าหากบริษัทนั้นปิดหูปิดตาเข้ามาแทรกกลางอีกล่ะก็ เยี่ยเทียนจะถล่มพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ
“บริษัทนั้นชื่อว่าเทียนไห่โกลบอลอินเวสต์เมนท์ ได้ยินว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแร่หายากทั้งในและต่างประเทศ!”
ในอดีตเฉินสี่ฉวนเองก็เคยได้ยินเบื้องหลังของบริษัทนี้มาไม่น้อย จึงพูดต่อทันทีว่า “ได้ยินว่าเจ้าของบริษัทนี้แซ่อวิ๋น เป็นลูกชายของผู้เฒ่าอวิ๋นเมื่อในอดีตคนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”
“อะไรนะครับ? เป็นบริษัทของเขาเองเหรอ?” เยี่ยเทียนที่ตอนแรกกำลังชงใบชาอยู่ พอได้ยินคำพูดของเฉินสี่ฉวนแล้ว มือขวาที่ถือกาน้ำชาถึงกับกระตุกเล็กน้อย
“ก็คือเทียนโทวนั่นแหละ บริษัทนี้เป็นสินทรัพย์ของตระกูลอวิ๋นจริงๆ ฉันรู้จักอวิ๋นหวาถง”
ซ่งเวยหลันไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของลูกชาย จึงพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “ความจริงเรื่องนี้ฉันออกหน้าพูดให้ก็ได้ ถึงตอนนั้นทางธนาคารคงไม่บีบบังคับคุณหรอก!”
บริษัทที่ซ่งเฮ่าเทียนก่อตั้งเมื่อในอดีต ก็คือบริษัททรัสต์อินเวสต์เมนท์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน ชื่อเสียงของเทียนอวิ๋นยังห่างชั้นกว่ามาก แต่ว่าขอบเขตด้านการลงทุนแตกต่างกัน ซ่งเวยหลันจึงไม่เข้าใจการทำธุรกิจของบริษัทพวกเขานัก
แต่ว่าทั้งสองบริษัทก็เคยทำการค้าธุรกิจร่วมกันมาบ้าง บวกกับเบื้องหลังค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกันและซ่งเวยหลันก็ย่อมรู้จักอวิ๋นหวาถงอยู่แล้ว ถ้าหากเธอออกตัวพูดล่ะก็ เชื่อมั่นว่าอวิ๋นหวาถงจะต้องเห็นแก่หน้าเธออย่างแน่นอน
“ไม่ได้ครับ แม่ เรื่องนี้แม่ห้ามยื่นมือเข้ามายุ่งเชียว!”
พอได้ยินคำพูดของแม่ เยี่ยเทียนก็ได้สติขึ้นมาทันใด ใบหน้ามีอารมณ์เคร่งเครียด บอกว่า “ลุงเฉิน ให้แม่ผมลงทุนได้ แต่ว่าผมมีเงื่อนไขสองข้อ ลุงต้องรับปากนะ!”
เยี่ยเทียนไม่คาดคิดเลยว่า เรื่องนี้จะไปเกี่ยวพันกับตระกูลอวิ๋น เขาและซ่งเฮ่าเทียนกลัวว่าจะไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้มากที่สุด และไม่อยากให้เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของพวกตระกูลอวิ๋นมาที่เขา
“เสี่ยวเทียน ทำไมลูกถึงพูดอย่างนี้ล่ะ แม่รับปากไปแล้ว ต่อให้ไม่ไปไกล่เกลี่ย ก็ต้องไปเปิดแถลงข่าวที่ต่างประเทศอยู่ดี ไม่อย่างนั้นการลงทุนใหญ่ขนาดนี้ แม่ก็คงไม่รู้จะบอกคณะกรรมการผู้บริหารยังไง!”
พอได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว ซ่งเวยหลันก็หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เงื่อนไขที่ควรจะพูด เธอก็พูดคุยกับเฉินสี่ฉวนเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจครั้งนี้ก็คือธุรกิจ ยิ่งเฉพาะสำหรับคนที่ทำกลุ่มธุรกิจนานาชาติอย่างเธอ ไหนเลยจะยอมให้ลูกชายกลับไปกลับมาเหมือนเล่นสร้างบ้านได้?
“คุณหญิงซ่งครับ คุณไม่ต้องกังวลไป ลองฟังเยี่ยเทียนพูดอะไรก่อนไหมครับ?”
เฉินสี่ฉวนเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนแสดงออกไม่ปกติ ถึงแม้ว่าจะไปมาหาสู่กับเยี่ยเทียนมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เยี่ยเทียนก็ทำตัวผ่อนคลายต่อหน้าเขามาตลอด ไม่เคยมีอาการตึงเครียดอย่างตอนนี้มาก่อนเลย
“งั้นลูกลองพูดมาสิ เสี่ยวเทียน!” ซ่งเวยหลันเองก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ เพราะว่าเวลานี้หัวคิ้วของเยี่ยเทียนขมวดมุ่น
“ข้อแรก เรื่องที่แม่ผมลงทุน นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ห้ามไปบอกกล่าวใดๆ กับคนที่สี่เด็ดขาด!”
เยี่ยเทียนชูนิ้วชี้ออกมาหนึ่งข้าง เมื่อเห็นว่าแม่กำลังจะพูดอะไรอีก ก็โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “แม่ครับ แม่ฟังผมพูดให้จบก่อน ถ้าหากเงินลงทุนเกิดมีปัญหาขึ้นมาล่ะก็ เอาเงินสองร้อยล้านจากผมไปก่อนได้เลย ส่วนที่เหลือคิดว่าแม่คงจัดการได้ใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนรู้ว่า บริษัทของแม่ดำเนินมาได้เป็นเวลาหลายปีอย่างนี้ รากฐานย่อมมั่นคงหนักแน่นแล้ว ต่อให้เธอไม่แตะต้องเงินทุนของบริษัท แค่หาเงินพันกว่าล้านต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
“เหตุผลล่ะ? เหตุผลที่ลูกทำแบบนี้คืออะไร?” ซ่งเวยหลันอดทนฟังเยี่ยเทียนพูดจนจบ แล้วจึงเอ่ยปาก “เสี่ยวเทียน ลูกต้องรู้นะว่า นี่เป็นวิธีการทำธุรกิจ!”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าเป็นธุรกิจหรืออะไร” เยี่ยเทียนส่ายหน้าเบาๆ บอกว่า “แม่ครับ เรื่องครั้งนี้ แม่ต้องฟังผมนะ!”
เห็นสายตาของลูกชายแล้ว หัวใจของซ่งเวยหลันก็กระตุกขึ้นมา คล้ายกับจะนึกถึงเรื่องที่เกิดในเหตุการณ์ 911ขึ้นมาได้ จึงถอนหายใจออกมา บอกว่า “เอาเถอะ แม่จะฟังลูก!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า หันหน้าไปทางเฉินสี่ฉวน บอกว่า “ลุงเฉินครับ เงินก้อนนี้นับว่าเป็นเงินลงทุน แต่ขอให้เป็นการทำสัญญาปากเปล่าเท่านั้น และก็ขอให้มีเพียงลุงเท่านั้นที่รู้ ตระกูลเยี่ยจะไม่เข้าร่วมไปออกหน้าเด็ดขาด!”
เฉินสี่ฉวนได้ยินเข้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พูดออกมาอย่างลังเล “เยี่ยเทียน แบบนี้จะไม่เหมาะหรือเปล่า เธอไม่กลัวว่าลุงเฉิน…”
“ลุงเฉินครับ ถ้ากล้าพอก็หอบเงินแล้วแกล้งทำหายตัวไปสิครับ?” เยี่ยเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง บอกว่า “ลุงเฉิน ลุงแค่บอกมาว่าได้หรือไม่ได้ก็พอ ถ้าหากไม่ได้ เงื่อนไขข้อที่สองผมก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
ต้องบอกก่อนว่าเยี่ยเทียนไม่นึกกลัวเฉินสี่ฉวนจะเล่นตุกติกขึ้นมาจริงๆ และไม่ต้องพูดถึงว่าทรัพย์สินของเขาไม่ได้มีแค่สองพันล้านหยวน ต่อให้เฉินสี่ฉวนหอบเงินก้อนนี้หนีไป ขอเพียงแค่เขายังอยู่บนโลกใบนี้ เยี่ยเทียนก็สามารถตามตัวเขาออกมาได้
“ได้สิ ถ้าเธอเชื่อใจฉันแบบนี้ งั้นฉันก็ตกลง”
เฉินสี่ฉวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยปากบอกว่า “ในเมื่อเธอไม่อยากให้คนรู้ว่าเงินก้อนนี้เป็นตระกูลเยี่ยลงทุน งั้นถึงเวลาฉันจะเปิดบัญชีที่ธนาคารสวิส เอาส่วนแบ่งที่พวกเธอควรจะได้รับใส่เข้าไปในนั้นก็แล้วกัน”
“เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็ได้ครับ”
เยี่ยเทียนโบกมือ บอกว่า “เงื่อนไขข้อที่สองคือพรุ่งนี้คุณจะต้องทำเรื่องขอย้ายถิ่นฐาน หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วให้ไปยังรัสเซียทันที อย่ารั้งรออยู่ภายในประเทศอีก แล้วก่อนที่เหมืองทองนั่นจะขุดออกมาสำเร็จ ก็อย่ากลับมาเด็ดขาด!”
“อะไรนะ? นั่นจะเป็นไปได้ยังไง?”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็สายหน้ารัวๆ บอกว่า “ครอบครัวของฉันอยู่ในปักกิ่งทั้งนั้น ลูกชายของฉันตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายหวาชิง ถ้าหากฉันไปแล้วพวกเขาจะทำยังไงกันล่ะ?”
เหมืองทองที่รัสเซีย อย่างน้อยใช้เวลาขุดถึงห้าปีขึ้นไป คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนจึงหมายถึงให้เฉินสี่ฉวนอยู่ที่รัสเซียภายในระยะเวลาห้าปี เรื่องนี้สำหรับเฉินสี่ฉวนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจรับได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
อีกทั้งชีวิตนี้ของเฉินสี่ฉวนไม่เคยคิดถึงเรื่องการย้ายถิ่นฐานมาก่อน เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ ออกไปก็มืดแปดด้าน ต่อให้มีคนแปลอยู่ข้างกายก็ไม่เคยชินอยู่ดี
“พวกเขาต้องไปกับคุณครับ”
เยี่ยเทียนพูดเรียบๆ “ที่รัสเซียก็สามารถรับการศึกษาที่ดีได้เช่นกัน ลูกชายของลุงเฉินก็อายุสิบห้าถึงสิบหกปีแล้ว ไปตอนนี้ก็คิดซะว่าไปเรียนต่อต่างประเทศก็แล้วกันครับ!”
“เยี่ยเทียน ช่วยบอกเหตุผลกับฉันได้ไหม?”
เฉินสี่ฉวนเองก็เรียนรู้ที่จะถามเหตุผลจากเยี่ยเทียนเหมือนซ่งเวยหลัน เพราะว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เหลือของเขา เฉินสี่ฉวนไม่อาจไม่คิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน การพาครอบครัวย้ายถิ่นฐานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “ลุงเฉินครับ ผมให้ลุงทำแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นผมคงไม่บอกลุง ลุงแค่ต้องรู้ว่า เรื่องนี้จะเป็นผลดีต่อลูกเท่านั้นเอง!”
“เสี่ยวเทียน ลูกกลัวตระกูลอวิ๋นหรือ?”
ซ่งเวยหลันที่อยู่ด้านข้างแสดงปฏิกิริยาออกมา พูดต่อว่า “ไม่หรอกมั้ง ถึงแม้ตระกูลอวิ๋นจะมีอิทธิพลกว้างขวางมาก แต่ผู้เฒ่าอวิ๋นก็จากไปได้เกือบสิบปีแล้ว พวกเขาคงไม่กล้ามาวุ่นวายหรอก!”
แน่นอนว่าเบื้องหลังครอบครัวของซ่งเวยหลันทำให้เธอรู้กฎเกณฑ์ของโครงสร้างชนชั้นสูงมาบ้าง คนอย่างพวกเขา ถึงแม้จะเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษในบางสถานการณ์ แต่ก็ย่อมมีขอบเขตเช่นกัน ไม่อย่างนั้นหากถูกคนตลบหลัง ความเป็นไปได้ที่ตระกูลใหญ่จะล่มสลายภายในวันเดียวก็มีสูง ดังนั้นหากไม่มีทางเลือก ตระกูลอวิ๋นจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน
และจากมุมมองของซ่งเวยหลัน นี่ก็เป็นเพียงธุรกิจหนึ่งเท่านั้น ตระกูลอวิ๋นเองก็ไม่ขาดแคลนทองคำจำนวนไม่กี่พันล้านนี้ จึงไม่น่าจะลงทุนลงแรงไปกับเรื่องเล็กอย่างที่เยี่ยเทียนว่า
“แม่ครับ บางเรื่องแม่ไม่รู้ ก็อย่าออกความเห็นเลย”
เยี่ยเทียนถอนหายใจออกมา มองไปทางเฉินสี่ฉวน กล่าวว่า “ลุงเฉินครับ ออกไปคราวนี้ใช่ว่าห้ามกลับมาอีก ผ่านไปไม่กี่ปีพอถลุงทองคำหมดแล้ว คิดจะกลับมาก็ได้แน่นอน แต่ว่าตอนนี้ลุงต้องไป!”
“ต้องไปเท่านั้นหรือ? แล้วต้องทำเรื่องโยกย้ายถิ่นฐานด้วยหรือ?”
เฉินสี่ฉวนทำปากมุบมิบอยู่ครู่หนึ่ง เขามองออกว่าเยี่ยเทียนไม่ได้พูดจาเล่นๆ จึงอดระแวดระวังในใจไม่ได้
เฉินสี่ฉวนเองก็ไม่เข้าใจกฎกติกาการทำงานของคนพวกนั้น ในใจของเขา ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่กลุ่มที่เขาจะไปยั่วโมโหได้ หากอีกฝ่ายใช้วิธีใดขึ้นมาจริงๆ ถึงตายขึ้นมาเกรงว่าจะไม่มีคนช่วยทวงความยุติธรรมให้เขา
เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ แล้วบอกว่า “ไม่ต้องทำเรื่องย้ายถิ่นฐานก็ได้ครับ แต่ต้องออกไป ยิ่งไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี!”
“ได้ ฉันจะเชื่อเธอ!”
เฉินสี่ฉวนย่ำเท้าไปมา บอกว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการเรื่องภายในครอบครัว อย่างช้าที่สุดก็หนึ่งอาทิตย์ ฉันจะพาทั้งครอบครัวไปที่รัสเซีย ที่นั่นมีเพื่อนของฉันอยู่ ตระกูลอวิ๋นไม่อาจยื่นมือไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก!”
หากเป็นคนอื่นพูดเรื่องนี้กลับเฉินสี่ฉวน เขาคงจะคิดว่าอีกฝ่ายแค่ล้อเล่น แต่ด้วยประสบการณ์ของเยี่ยเทียนพอพูดออกมาแล้ว เฉินสี่ฉวนถึงกับรู้สึกขนลุกขนพองเลยทีเดียว
ต่อให้เฉินสี่ฉวนไม่กลัวว่าตัวเองจะตาย แต่เขาก็ยังมีภรรยาและลูก ถ้าหากเกิดเรื่องที่เยี่ยเทียนบอกกล่าวเป็นลางขึ้นจริง ถึงเฉินสี่ฉวนจะนึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว
“ได้ครับ ลุงเฉิน ผมจะให้เซี่ยวเทียนไปส่ง ช่วงนี้ลุงอย่าเพิ่งติดต่อกับผม รอให้ไปถึงรัสเซียแล้วค่อยโทรศัพท์มาก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ไปเรือนหน้าตะโกนเรียกโจวเซี่ยวเทียน ให้เอารถจากโรงเก็บรถหลังเรือนสี่ประสานพาเฉินสี่ฉวนออกไป
“เสี่ยวเทียน เรื่องตระกูลอวิ๋นมันเป็นมายังไง? ลูกต้องมีอะไรปิดบังแม่อยู่แน่ๆ”
หลังเฉินสี่ฉวนจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันก็มองลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ บอกว่า “ถ้าหากเรื่องนี้มีอันตราย พวกเราไม่เข้าไปยุ่งก็จบแล้ว ทำไมยังให้แม่ร่วมลงทุนอีกล่ะ?”
“แม่ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวง”
มองดูสีหน้าสงสัยของแม่แล้ว เยี่ยเทียนก็แค่นหัวเราะออกมา บอกว่า “เรื่องนี้มีแค่ผมกับท่านผู้เฒ่าที่รู้ แม่อย่าถามมากเลย ขอผมอยู่คนเดียวสักพักนะ!”
พอพูดจบแล้ว เยี่ยเทียนก็ตรงไปยังห้องของตัวเอง เวลานี้เขาต้องคิดคำนวณให้ถี่ถ้วน ว่าเรื่องตระกูลอวิ๋นบีบบังคับให้เฉินสี่ฉวนขายเหมืองทอง เกี่ยวข้องอะไรกับการปรากฎตัวของผู้มีวิชาคนนั้นหรือเปล่า?
ดูจากช่วงเวลาแล้ว ตอนที่เยี่ยเทียนพบนักพรตคนนั้น เป็นเวลาหลังจากเฉินสี่ฉวนเพิ่งขายธุรกิจที่ซินเจียง เพื่อจ่ายเงินกู้คืนธนาคารพอดิบพอดี
“หรือว่าตระกูลอวิ๋นคิดเชิญนักพรตคนนั้นมาจัดการกับเฉินสี่ฉวน?”
ในสมองของเยี่ยเทียนบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่ก็ปัดตกไปในทันที ด้วยอิทธิพลเบื้องหลังของตระกูลอวิ๋น คิดจะกำจัดเฉินสี่ฉวน ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงขนาดนั้นเลย
ตอนที่ 731 เกี่ยวโยง
“ตระกูลอวิ๋นมีความเกี่ยวโยงกับวงการนักพรตเต๋าหรือเปล่า?
ถ้าหากว่ามี แล้วเกี่ยวพันอะไรกับเรื่องนี้ของเฉินสี่ฉวนหรือไม่?”
เยี่ยเทียนเอื้อมมือมานวดหัวคิ้ว ข้อมูลในสมองมีนับพันนับหมื่น แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับไม่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลแยกส่วนกันเหล่านี้ได้เลย นั่นเพราะเขาไม่เห็นคำอธิบายที่เหมาะสม
ผู้ฝึกวิชาเต๋าแทบไม่เคยออกมาในสังคมมาเกือบร้อยปีแล้ว การปรากฏตัวของนักพรตเต๋าคนนั้นที่เขาฉางไป๋ซาน ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ออกว่า ในสังคมมนุษย์นั้นมีอะไร ดึงดูดให้ผู้คนที่ไม่กินอาหารจากเตาไฟเหล่านี้ปรากฏตัว?
เมื่อครู่เยี่ยเทียนเสนอข้อเรียกร้องสองข้อต่อเฉินสี่ฉวน เพียงเพื่อปกป้องครอบครัวของตัวเองตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะให้ตระกูลอวิ๋นเพ่งเล็งมาที่ครอบครัวของเขาไม่ได้
อีกทั้งการให้เฉินสี่ฉวนย้ายออกนอกประเทศ ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ถ้าหากซ่งเวยหลันไม่ยืนยันมั่นเหมาะว่าจะสนับสนุนเฉินสี่ฉวน ต่อให้เขาสามารถระดมทุนได้ ก็จะพบความยากลำบากมากมายภายในประเทศอยู่ดี
ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่อยากเปิดเผยตระกูลเยี่ยสู่สายตาของตระกูลอวิ๋น ดังนั้นให้เฉินสี่ฉวนออกนอกประเทศจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
“หรือว่าเป็นเพราะเหมืองทองนั่น?”
เมื่อคิดถึงเฉินสี่ฉวน ในความคิดของเยี่ยเทียนก็บังเกิดความคิดหนึ่ง “จริงสิ วานรขาวเคยบอกว่า ภายในกระบองเหล็กของมันมีทองคำบริสุทธิ์ผสมอยู่ ซึ่งหล่อหลอมมาจากทองคำ นั่นหมายความว่านักพรตเต๋าผู้นี้เองก็ต้องใช้ทองคำเช่นเดียวกัน!”
คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหมือนเมฆหมอกสลายจนเห็นจันทร์ หรือว่าที่ตระกูลอวิ๋นเข้าร่วมธุรกิจค้าขายแร่หายากมาหลายสิบปี อีกทั้งขุดเหมืองขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพวกเขาจะได้จัดหาวัตถุดิบใช้หล่อหลอมในวงการผู้ฝึกวิชาเต๋า?
“ที่แท้ วงการนักพรตเต๋าก็ไม่เคยตัดขาดสัมพันธ์ไปจากสังคมโลกเลยสินะ?”
ยิ่งคิดเยี่ยเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่าคาดเดาได้ไม่ผิด ตอนที่ยังไม่ได้ข้ามระดับเซียนเทียนไปนั้น เวลาเยี่ยเทียนฝึกวิชาในสำนัก จะขาด “ทรัพย์ สหายและแผ่นดิน” ไปไม่ได้
และหลังจากเข้าสู่ขั้นเซียนเทียนแล้ว ข้อจำกัดของ “ทรัพย์ สหายและแผ่นดิน” จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนตอนนี้จะไม่สามารถทำการฝึกฝนวิชาได้ สาเหตุนั่นเป็นเพราะเขาไม่อาจหาสถานที่อันมีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ภายในเมืองปักกิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นมีดสั้นอู๋เหินของขลังที่เยี่ยเทียนให้ความสำคัญสูงสุดเมื่อในอดีต เมื่อเทียบกับกระดิ่งซานชิงแล้ว ยังเห็นได้ชัดว่ามีค่าเพียงน้อยนิด ถ้าไม่เพราะพกติดตัวมานานแสนนาน จนเกิดความผูกพัน เกรงว่าเยี่ยเทียนคงจะทิ้งไปไม่นำมาใช้นานแล้ว
แม้เยี่ยเทียนจะไม่รู้ว่าขอบเขตตำแหน่งเสินโจวบนแผนที่ภายในหัวนั้นคือที่ไหนกันแน่ แต่พลังงานที่นั่นเห็นได้ชัดว่าไม่อาจเทียบเคียงกับโลกภายนอก การปรากฎตัวของนักพรตผู้นั้น จึงดูเหมือนจะมีคำอธิบายแล้ว
แต่ว่าในจำนวนกุญแจเหล่านี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เยี่ยเทียนคิดไม่ออก หากนักพรตผู้นั้นจะเข้าสู่สังคมโลก เหตุใดจึงต้องไปไกลถึงเขาฉางไป๋ซานด้วย?
และถ้าหากนักพรตเต๋าสัมผัสกับสังคมโลกมาตลอด เหตุใดยังต้องพกธนบัตรและคูปองแลกอาหารที่เลิกแพร่หลายตั้งแต่หลายสิบปีก่อนไว้กับตัว เรื่องพวกนี้เยี่ยเทียนขบคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ
“ช่างเถอะ ถ้าหากพวกเขามีแผนที่ จะต้องส่งคนมาอีกอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเราก็จัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าสืบสาวมาถึงตัวเราหรอก!”
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว กำจัดความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอกออกไป ต่อให้เขาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย คนพวกนั้นก็ไม่สามารถโยงเรื่องการหายตัวของนักพรตมาใส่หัวเขาได้นี่นา?
“เสี่ยวเทียน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ถ้าหากดูท่าไม่ดีล่ะก็ แม่จะไม่ลงทุนล่ะนะ!”
เห็นลูกชายตอนกินข้าวยังมีเรื่องภายในใจอย่างนั้น หลังจากกินข้าวเสร็จ ซ่งเวยหลันก็ดึงตัวเยี่ยเทียนไปด้านข้าง กระซิบถามเสียงแผ่วเบา
“แม่ ไม่มีอะไรครับ แม่ให้ลุงเฉินกู้เงินสองพันล้านไปเลย ผมกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก “จริงสิ แม่ครับ แม่รู้เรื่องทางตระกูลอวิ๋นมากน้อยแค่ไหน เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหม?”
“หมายถึงตระกูลอวิ๋นเหรอ?”
ซ่งเวยหลันนิ่งคิดไปชั่วครู่ ตอบว่า “ผู้เฒ่าอวิ๋นรับผิดชอบตำแหน่งผู้นำอันสำคัญมากมาตลอด เรื่องนี้ลูกเองก็รู้ เขามีลูกชายสองคน คนหนึ่งเกิดก่อนยุคปลดแอก เคยเป็นข้าราชการชั้นสูงระดับมณฑล แต่ตอนนี้เกษียณแล้ว
ลูกคนรองของผู้เฒ่าอวิ๋นเกิดในปีที่ปลดแอกนั้นเอง ตอนต้นปี 70 เข้าไปทำงานในสถานีวิจัยแร่เหล็ก ดูเหมือนจะเป็นปี 80 ล่ะมั้ง ที่สถานีวิจัยแร่เหล็กก้าวเข้าสู่การลงทุนธุรกิจค้าแร่หายากในฐานะหน่วยงานทดสอบ
สามปีต่อมา ถึงแม้หน่วยงานนั้นจะยังอยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐบาล แต่หลังจากดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนแล้ว หน่วยงานนั้นก็เหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ มากมาย ที่กลายเป็นระบบถือหุ้น อวิ๋นหวาถงจึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้นเพราะเหตุนี้…”
พูดถึงเรื่องในอดีตนี้ ซ่งเวยหลันเองยังขมวดคิ้ว เรื่องการปรับเปลี่ยนระบบส่วนแบ่งคราวนั้น ส่งผลกระทบต่อสังคมและวงการการศึกษาอย่างใหญ่หลวง
แต่ว่าผลกระทบครั้งนั้นล้วนเป็นไปในทางที่ดี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ขั้นตอนในการปฏิรูป ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่การเจริญเติบโตครั้งใหม่ ประชาชนจึงได้ก้าวจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด
ที่ซ่งเวยหลันรู้เรื่องนี้ เป็นเพราะเมื่อช่วงกลางปี 80 บริษัทนี้ยังไม่มีความรู้เพียงพอจะทำธุรกิจเหมืองในต่างประเทศ ซ่งเวยหลันเคยช่วยพวกเขาคว้าเหมืองทองแดงแห่งหนึ่งในแคนาดา ว่าไปแล้วทางนั้นก็เคยติดค้างหนี้เธอครั้งหนึ่ง
“เยี่ยเทียน ถ้าหากลูกมีความโกรธแค้นอะไรกับพวกเขา แม่สามารถช่วยไกล่เกลี่ยได้นะ ต่อให้ไม่ได้ก็ยังมีคุณตาลูกอีกคน มีเรื่องอะไรไม่ต้องเก็บไว้ในใจหรอก!”
เห็นวิธีที่ลูกชายจัดการเรื่องราวของเฉินสี่ฉวนแล้ว ซ่งเวยหลันยังนึกว่าเยี่ยเทียนมีความขัดแย้งอะไรบางอย่างกับตระกูลอวิ๋น เธอเคยรู้จักกับอวิ๋นหวาถง เชื่อว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย อวิ๋นหวาถงจะต้องเห็นแก่หน้าเธออย่างแน่นอน
“แม่ครับ ผมไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไรกับตระกูลอวิ๋นทั้งนั้น เรื่องนี้พัวพันกับเรื่องอื่นน่ะ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็แค่นหัวเราะออกมา เขาไม่สามารถบอกซ่งเวยหลันว่าตัวเองสังหารเทพเซียน แล้วตอนนี้ก็กลัวว่าเทพเซียนคนอื่นจะตามล่าสังหารตัวเอง ขืนทำอย่างนั้นแม่คงต้องพาเขาส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าอย่างแน่นอน
“เอาเถอะ แม่ครับ แม่อย่าคิดให้มากเลย ผมจัดการได้แหละ!”
เห็นแม่ทำหน้ากังวลอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็หัวเราะเจื่อนออกมา ความจริงเขาเองก็รู้สึกเหมือนมีชะนักปักหลัง คิดอยู่ตลอดว่าเรื่องที่ตนเองเกี่ยวข้องกับความตายของนักพรต จะถูกสืบจนพบจากตัวเขา
แต่ว่าตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว รู้ว่าเทพเซียนทั้งหลายเป็นเพียงคนประเภทหนึ่งที่ความสามารถในร่างกายของเขาพัฒนาถึงระดับที่ยากจะจินตนาการได้เท่านั้นเอง
ชะตาฟ้ายากจะคาดเดา ต่อให้คนเหล่านั้นเชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตาเหมือนกับตนเอง ก็ใช่ว่าจะสามารถคาดเดาเหตุการณ์นี้ออกมาได้ สุดท้ายแล้วจิตดั้งเดิมของนักพรตจึงได้ถูกอสรพิษดำกลืนกิน
พอเข้าใจความเชื่อมโยงนี้ ในใจเยี่ยเทียนก็กระจ่างขึ้นมาทันใด หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายออก ครั้งนี้เขาทำเรื่องที่ผิดต่อจริยธรรมไปจริงๆ จึงกลัวว่าวิญญาณจะตามมาเคาะประตู
“เอาเถอะ แม่ครับ แม่ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวผมเอาเงินนั่นโอนให้แม่เอง แม่หาวิธีให้ลุงเฉินเถอะ!”
เยี่ยเทียนกอดแขนแม่ มองนาฬิกา พูดว่า “ผมต้องไปรับชิงหย่าแล้ว ลูกสะใภ้แม่คนนั้นมีคนมาตามจีบเต็มไปหมดเลย!”
“เจ้าลูกคนนี้ ไม่มีอะไรแล้วเดินวนไปวนมาทำไม?”
มองเงาร่างของลูกชายจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ความจริงเธอก็ไม่ได้นึกกังวลมากนัก ถึงอย่างไรด้วยเบื้องหลังของตระกูลซ่งและซ่งเฮ่าเทียนที่ยังอยู่ ในประเทศนี้ ไม่มีใครที่สามารถแตะลูกชายได้จริงๆ หรอก
หลังจากปล่อยวางแล้ว ชีวิตของเยี่ยเทียนก็กลับเข้าสู่วงจรปกติ ห้าวันผ่านไปในชั่วพริบตา
กองกำลังทหารรับจ้างของมาลาไกย์ รวมพลกันเสร็จสิ้น เวลานี้กำลังเร่งรุดไปยังเส้นทางสู่ไซบีเรีย
อีกทั้งภายในเวลาสามวันนี้ พวกเขาไม่ได้นิ่งนอนใจ ดูเหมือนจะสืบข่าวอะไรได้บางอย่าง ก่อนออกเดินทางจึงรับประกันต่อเยี่ยเทียนว่าจะพาต่งต้าจ้วงกลับมาได้อย่างปลอดภัย
ภายใต้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ของข้าราชการจำนวนหนึ่ง เฉินสี่ฉวนจึงจัดการขั้นตอนออกนอกประเทศไปได้เมื่อวาน ขณะที่ตระกูลอวิ๋นยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ทั้งครอบครัวก็ไปถึงรัสเซียแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ซ่งเวยหลันก็นำเงินก้อนจำนวนสามร้อยล้านดอลลาร์อเมริกา ใส่เข้าไปในบัญชีธนาคารสวิส รอให้เฉินสี่ฉวนจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว งานขุดเหมืองทองถึงค่อยดำเนินการ
……
รอบกำแพงพระราชวังต้องห้าม ในอดีตเป็นของเมืองฝ่ายในปักกิ่ง และเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าขุนมูลนาย ข้าราชการชั้นสูงทั้งหลาย
แต่ว่าหลังจากปฏิวัติแล้ว สถาปัตยกรรมมากมายถูกทุบทำลาย นอกจากเรือนสี่ประสานที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่แล้ว อีกด้านหนึ่งของพระราชวังต้องห้าม ยังมีลานเรือนสี่ประสานอีกแห่ง
ในเวลาปัจจุบัน คนเฒ่าคนแก่มากมายล้วนตายจาก บ้านเหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกรัฐบาลยึดคืน ข้าราชการระดับมณฑลที่ชื่นชอบเรือนสี่ประสานอาศัยอยู่ในบ้านเหล่านั้น ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความสงบท่ามกลางความวุ่นวายอย่างแท้จริง
และท่ามกลางเรือนสี่ประสานที่บรรยากาศดีที่สุด อยู่ในตำแหน่งมงคลที่สุด ก็คือบ้านของผู้เฒ่าอวิ๋นในอดีตคนนั้นนั่นเอง
ถึงแม้ว่าท่านผู้เฒ่าอวิ๋นจะเสียชีวิตไปเกือบสิบปีแล้ว แต่คุณนายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน บ้านหลังนี้จึงเป็นทรัพย์สินของตระกูลอวิ๋น
ช่วงหลายปีมานี้ในทุกเทศกาลและปีใหม่ เหล่าผู้นำคนสำคัญจำนวนหนึ่งยังคงมาเยี่ยมเยียนไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ที่ธุรกิจของตระกูลอวิ๋นไม่เคยได้รับการโจมตีใดๆ ก็ด้วยเหตุผลนี้นั่นเอง
ภายในบ้านตระกูลอวิ๋น ชายสองคนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ แม้ว่าลมฤดูใบไม้ผลิยังพัดพาความหนาวเย็นมา แต่ก็ถูกน้ำชาต้มเดือดขับไล่ไปจนสิ้น
คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เรือนผมดำขลับ ดูราวกับอายุเพียงสี่สิบกว่าปี แต่ว่าภายใต้ดวงตานั้น เผยแววแห่งการค้นหาความไม่เที่ยงบนโลกมนุษย์
คนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เป็นชายชรามีใบหน้าราวห้าสิบกว่าปี แต่เมื่อทั้งสองนั่งด้วยกันแล้ว กลับให้ความรู้สึกว่าชายวัยกลางคนนั้นมีศักดิ์สูงกว่า
หลังจากยื่นถ้วยชาให้ชายวัยกลางคน ชายชราก็เอ่ยปากว่า “พี่ใหญ่ ข่าวสารส่งออกไปนานแล้ว หรือว่าคนทางนั้นจะจากไปแล้ว?”
ถ้าหากมีคนอื่นอยู่ตรงนั้น คงจะไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ว่าชายชราผมขาวโพลนคนนี้ กลับเรียกหนุ่มวัยกลางคนว่าพี่ใหญ่ และชายวัยกลางคนก็แสดงท่าทีเรียบเฉย
สองคนนี้ก็คือลูกชายของท่านผู้เฒ่าอวิ๋นนั่นเอง อย่าเห็นแค่อวิ๋นหวาจวินใบหน้าอ่อนวัย ถึงอย่างไรปีนี้เขาก็มีอายุเจ็ดสิบห้าปีแล้ว นับจากตอนเกษียณตำแหน่งก็เป็นเวลาเกือบสิบปี
พอได้ยินคำพูดของน้องชาย อวิ๋นหวาจวินก็ส่ายหน้า พูดเสียงเรียบว่า “หวาถง เป็นไปไม่ได้หรอก แกจะใช้ตรรกะทั่วไปคาดเดาคนเหล่านั้นไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจมีเรื่องอะไรทำให้ล่าช้าไปกระมัง?”
ตอนที่ 732 ระลึกอดีต
“พี่ใหญ่ พี่บอกว่าจะมีคนมา คนพวกนั้นเป็นใครกัน?”
อวิ๋นหวาถงส่งถ้วยชาให้พี่ใหญ่ พลางย่นคิ้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ส่งข่าวออกไปก็ห้าเดือนกว่าแล้ว ต่อให้พวกเขามาจากขอบฟ้าก็มีเวลาถมถืด!”
“หวาถง อย่าใจร้อนบุ่มบ่าม ราชนิกูลสูงศักดิ์เจ้าคนนายคนอย่างพวกเขา พวกเราหรือจะไปคาดเดาใจได้?”
อวิ๋นหวาจวินยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง กล่าวว่า “วาสนานั้นคนให้เรามานานแล้ว เพียงแต่พวกเราคว้าไว้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นในอดีตพ่อคง เฮ้อ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ฉันเองก็ชราแล้วเหมือนกัน”
แม้ปีนี้อวิ๋นหวาถงจะอายุห้าสิบกว่า แต่หลายปีที่ผ่านมาทุ่มเททำงานหนักกับธุรกิจ จึงชรามากกว่าอย่างชัดเจน จอนผมทั้งสองข้างกลายเป็นสีขาว จนดูเหมือนเป็นพี่ชายยิ่งกว่า
“พี่ใหญ่ ผมน่ะไม่เป็นไร แต่กลัวว่าร่างกายของแม่จะอยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว”
อวิ๋นหวาถงส่ายหน้า กล่าวว่า “เจ้าเฉินสี่ฉวนคนนั้นยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อวานถึงกับย้ายไปรัสเซียแล้ว พี่ใหญ่ พอคนทางนั้นมาแล้ว พวกเรายังต่อรองได้หรือเปล่า?”
เรื่องที่เฉินสี่ฉวนออกจากประเทศไป เพียงแค่วันเดียว ก็ดังมาถึงหูของตระกูลอวิ๋น และนี่ก็เป็นเหตุผลที่อวิ๋นหวาถงผู้ไม่เคยอยู่บ้านต้องมา
ถึงแม้อวิ๋นหวาจวินจะไม่เคยถามไถ่เรื่องธุรกิจของครอบครัว แต่ความจริงแล้วเขาคือปากเสียงของตระกูลอวิ๋น เมื่อเผชิญกับเรื่องสำคัญ จึงจำเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจของอวิ๋นหวาจวิน
“นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว? ลูกน้องพวกนั้นของแกยังคิดใช้วิธีข่มเหงผูกขาดตลาดอยู่อีกหรือ?”
อวิ๋นหวาจวินจ้องมองน้องชาย พูดอย่างใจเย็นว่า “เหมืองทองแห่งนั้นของเขามูลค่าถึงสามหมื่นล้านแท้ๆ พวกแก กลับเสนอไปแค่หนึ่งหมื่นห้าพันล้าน ไปโทษที่เขาไม่ขาย แล้วยังใช้วิธีสกปรกเหล่านั้นบีบบังคับเขาอีก
จนตอนนี้เฉินสี่ฉวนขายทรัพย์สินจนระดมเงินทุนได้แล้ว พวกนายตาถั่วหรือไงกัน? ฉันเคยบอกแล้วว่า อาศัยเส้นสายทำการค้า ทำได้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทำไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก!”
“พี่ใหญ่ ผมสั่งสอนพวกมันแล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดผมเอง แต่ว่า…ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ?”
สุภาษิตว่าพี่ชายคนโตก็เหมือนพ่อ อวิ๋นหวาจวินแก่กว่าอวิ๋นหวาถงเกือบยี่สิบปี ดังนั้นถึงแม้อวิ๋นหวาาถงอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังถูกพี่ใหญ่สั่งสอนจนไม่กล้าโงหัว
อวิ๋นหวาจวินถอนหายใจ “รอพวกเขามาแล้ว ให้พูดแต่ความจริง อยู่ต่อหน้าคนเหล่านั้น อย่าคิดมีความลับ และห้ามพูดโกหกเด็ดขาด!”
“เข้าใจแล้วครับ พี่ใหญ่!”
อวิ๋นหวาถงพยักหน้า แต่ใบหน้ายังแสดงให้เห็นถึงความสงสัยไม่คลาย ถามว่า “พี่ใหญ่ครับ คนพวกนั้นมีพลังวิชาอย่างที่พี่พูดจริงหรือ? พวกเขาคงไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎเร่ร่อนหลอกลวงใช่ไหม?”
“ต่ำช้า พูดจาเหลวไหล!”
หลังจากได้ยินคำพูดของน้องรอง สีหน้าของอวิ๋นหวาจวินก็แสดงให้เห็นว่าตื่นตระหนก หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาแล้ว ก็กระซิบเสียงเบา “หวาถง คำพูดเหล่านี้ ทีหลังอย่าได้พูดออกมาเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นจะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่ตระกูลอวิ๋นของเรา!”
“พี่ใหญ่ ผม… ผมก็แค่ถามดูเท่านั้น ไม่พูดต่อหน้าคนอื่นหรอก” เห็นพี่ใหญ่โกรธเกรี้ยว อวิ๋นหวาถงก็กลับคำทันที แต่สีหน้ายังคงแสดงออกถึงความสงสัยอยู่บ้าง
อวิ๋นหวาถงเกิดมาในปีสร้างชาติ เขาไม่เคยมีประสบการณ์จากยุคสงคราม อีกทั้งผู้เฒ่าอวิ๋นเองก็ไม่ได้รับการโจมตีหนักหนาสาหัสในยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนั้น ด้วยเหตุนี้ชีวิตของอวิ๋นหวาถงจึงไม่พานพบกับอุปสรรคใดๆ
และสิ่งนี้เองที่ปลูกฝังความเย่อหยิ่งลงในสายเลือดของเขา นอกจากพี่คนโตแล้ว น้อยนักที่เขาจะแสดงความสนใจต่อคนอื่น
อีกทั้งเมื่อก่อนพ่อกับพี่ใหญ่เคยพูดว่าคนเหล่านั้นล้วนยากหยั่งถึง ดังนั้นถึงแม้อวิ๋นหวาถงจะไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของพี่ใหญ่ แต่ภายในใจก็รู้สึกว่าพวกเขาพูดเกินจริงตลอดมา
“แกน่ะ อนาคตถ้ายังมีนิสัยอย่างนี้อีก จะต้องลำบากแน่!”
อวิ๋นหวาจวินส่ายหน้า บอกว่า “เอาเถอะ อายุของแกตอนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็ได้
ในอดีตตอนพ่ออยู่ในเขตของฝ่ายศัตรู มีครั้งหนึ่งถูกพวกญี่ปุ่นล้อมไว้ภายในหุบเขา ที่นั่นแม้แต่สถานที่ให้ซ่อนตัวก็ยังไม่มี ขณะที่เห็นว่ากำลังจะถูกพวกญี่ปุ่นจับตัวไปนั้น จู่ๆ ก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ แล้วพวกญี่ปุ่นสิบกว่าคนที่เข้ามาไล่จับเขา ต่างก็กลายเป็นศพ!
หลังจากที่พวกคนญี่ปุ่นเหล่านั้นตายไป ก็มีนักพรตผู้หนึ่งปรากฎตัวต่อหน้าเขา จากที่พ่อเล่า นักพรตผู้นั้นพาเขาเดินฝ่าชาวญี่ปุ่นออกไป โดยที่ไม่มีใครมองเห็นพวกเขาเลย
เวลานั้นพ่อของเขาเป็นนักวัตถุนิยมอย่างเหนียวแน่น เมื่อได้ประสบเหตุการณ์นั้นกับตัวเองแล้ว จึงไม่ยอมปล่อยให้นักพรตจากไป เพราะอยากชักชวนให้เขามาร่วมกับกลุ่มพวกตน
แต่ว่านักพรตผู้นั้นกลับไม่หวั่นไหว หลังจากถามไถ่ชื่อของพ่อแล้ว ใต้ฝ่าเท้าก็ปรากฎเมฆหมอกพวยพุ่ง ล่องลอยบินขึ้นไปในอากาศ…”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ทำไมพ่อถึงไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยล่ะ?”
ใบหน้าของอวิ๋นหวาถงมีสีหน้าไม่คล้อยตามนัก ถามต่อว่า “พี่ใหญ่ แล้วหลังจากนั้นล่ะ นักพรตผู้นั้นก็ไม่ปรากฎตัวอีกเลยหรือ?”
“แน่นอนว่าปรากฎตัวอีก ถ้าหากฉันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงคิดเหมือนกับแก ที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้…”
ในดวงตาของอวิ๋นหวาจวินแสดงให้เห็นแววระลึกถึงอดีต “นั่นเป็นเรื่องเมื่อสี่สิบปีก่อน แกเองก็รู้ว่า หลังจากยุคสร้างชาติ พ่อก็รับตำแหน่งผู้นำ ตอนนั้นหลังจากเข้าเมืองมาครอบครัวของเราก็อยู่ที่นี่…”
ความคิดของอวิ๋นหวาจวินย้อนกลับไปเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว เวลานั้นเขามีอายุเกือบสามสิบปี ทำงานอยู่หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง เนื่องจากเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน จึงยังไม่ได้แยกบ้านกับพ่อ ทุกคนยังอยู่ร่วมกันหมด
ผู้เฒ่าอวิ๋นเป็นคนเปิดกว้างมาก และยังตามใจลูกๆ ในเรื่องการศึกษา มักจะถกกันเรื่องข่าวในสังคมโลกอยู่บ่อยครั้ง
เวลานั้นคือตอนกลางคืนในหน้าร้อน ขณะที่พ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ภายในเรือนด้านหลังอยู่นั้นเอง ภายในเรือนก็บังเกิดหมอกควันขึ้นกลุ่มหนึ่ง
พอหมอกควันนั้นสลายไป นักพรตเต๋าในชุดเสื้อคลุมก็ปรากฎกายต่อหน้า ตอนนั้นอวิ๋นหวาจวินตกใจไม่น้อย
บริเวณนั้นส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าและข้าราชการชั้นสูงอาศัยอยู่ ด้านนอกมีการคุ้มกันแน่นหนา ถึงแม้ไม่อาจโอ้อวดว่ายุงสักตัวก็ไม่อาจผ่านเข้ามา แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้
ขณะที่อวิ๋นหวาจวินกำลังจะร้องเรียกเวรยามข้างนอกนั้นเอง กลับถูกพ่อห้ามเอาไว้ อีกทั้งเขาพบว่า หลังจากพบนักพรตผู้นี้ ท่านพ่อที่ไม่เคยแสดงสีหน้ายินดียินร้ายใดๆ ต่อคนนอก กลับกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างประหลาด น้อมคำนับไปทางนักพรตอย่างผู้น้อย
จากนั้นระหว่างที่สองคนคุยกัน อวิ๋นหวาจวินถึงรู้เรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นกับพ่อ และนักพรตผู้นั้น ก็คือคนที่ช่วยเหลือพ่อออกมาจากวงล้อมทหารญี่ปุ่นนั่นเอง
เมื่อได้เห็นผู้มีพระคุณ และรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา ผู้เฒ่าอวิ๋นจึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง จัดการนำสุราอาหารมาต้อนรับนักพรตทันที เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเรื่องในอดีตต่อนักพรตผู้นั้น
แต่ว่าครั้งนี้ที่เขากลับมาหาเพราะมีเรื่องร้องขอ เขาเสนอเงื่อนไขสองข้อต่อผู้เฒ่าอวิ๋น ต้องการให้ผู้เฒ่าอวิ๋นตามหาของบางอย่าง และของเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนตกไปอยู่ในมือประชาชน ด้วยความสามารถของนักพรตเต๋าเพียงคนเดียว คงยากจะค้นหาได้
เรื่องนี้สำหรับผู้เฒ่าอวิ๋นแล้ว ง่ายเพียงหยิบมือเท่านั้น จึงจัดการให้อวิ๋นเหล่าจวินติดตามนักพรตไปจัดการเรื่องนี้ในทันที ตามหาสิ่งของที่นักพรตต้องการได้อย่างราบรื่น
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปเดือนกว่า นักพรตเต๋าก็มายังบ้านของผู้เฒ่าอวิ๋นอีกครั้ง เพื่อมอบหนังสือภาพเล่มหนึ่ง ยาสองเม็ดและหินหยกสามชิ้นแก่เขา
นักพรตกล่าวว่า ขอเพียงผู้เฒ่าอวิ๋นสามารถตามหาสิ่งของที่เหมือนกับในหนังสือภาพได้ ก็สามารถใช้หินหยกนั่นติดต่อเขา เมื่อถึงเวลานั้นจะสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับยาอายุวัฒนะ
ตอนที่นักพรตคนนั้นจากไป อวิ๋นหวาจวินเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทีแรกมีหมอกควันเข้าปกคลุมนักพรตผู้นั้น แล้วนักพรตผู้นั้นก็ลอยขึ้นสู่อากาศราวกับมีบันไดสวรรค์
แต่ว่าหลังจากนักพรตเต๋าลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว กลุ่มควันเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเบาบาง คล้ายกับสลายไปในอากาศ เวรยามที่อยู่ภายนอกเรือนสี่ประสาน ล้วนมองไม่เห็นกระทั่งกลุ่มควันเหล่านั้น
พ่อของอวิ๋นหวาจวิน เห็นปาฏิหารย์ของนักพรตเต๋ากับตา เขาจึงปักใจเชื่อในผลของยาสองเม็ดนั้นโดยไม่คิดสงสัย
ผู้เฒ่าอวิ๋นรักลูกปานดวงใจ จึงให้ยาเม็ดหนึ่งแก่อวิ๋นหวาจวิน ส่วนตนเองกับคู่ชีวิตแบ่งกันคนละครึ่ง เวลานั้น อวิ๋นหวาถงอายุเพียงห้าถึงหกขวบ ผู้เฒ่าอวิ๋นเกรงว่าเขาจะต้านทานไม่ไหว จึงไม่ได้ให้ลูกชายคนเล็กกิน
หลังจากกลืนยาเข้าไปแล้ว ผู้เฒ่าอวิ๋นก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บเก่าที่อยู่ภายในร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างเห็นได้ชัด จึงเข้าใจคุณสมบัติของยาอย่างถ่องแท้
ผู้เฒ่าอวิ๋นฝ่าฟันอุปสรรคชีวิตมาตลอด เป็นคนเปิดเผยจริงใจ เข้าใจว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เขาไม่คิดหาหนทางมายาเหลวไหลในการยืดอายุขัย จึงปิดผนึกสมุดภาพและหินหยกนั่นเอาไว้ จวบจนวันตาย ก็ไม่เคยตามหาของชิ้นนั้น
แต่ว่าถึงแม้จะกินยาเข้าไปเพียงครึ่งเม็ด ผู้เฒ่าอวิ๋นก็มีชีวิตอยู่จนอายุเก้าสิบกว่าปี ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บหลายครั้งเมื่อในอดีต จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ยังไม่อาจทราบได้
“พี่ใหญ่ ที่พี่ดูอ่อนวัยอย่างนี้ ที่แท้เป็นเพราะกินยานั่นเข้าไปหรอกหรือ?”
พอได้ยินคำพูดของพี่ใหญ่แล้ว อวิ๋นหวาถงก็ตลึงตาโต เขาไม่เคยได้ยินพี่ใหญ่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพียงนึกว่าพี่ใหญ่ดูแลรักษาตัวดี จึงดูอ่อนวัยเท่านั้น
“หวาถง เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ” อวิ๋นหวาจวินพยักหน้า
สีหน้าของอวิ๋นหวาถงยังคงตกใจไม่คลาย ทันใดนึกเรื่องหนึ่งขั้นมาได้ จึงถามว่า “พี่ใหญ่ ในเมื่อพี่ใหญ่บอกว่าพ่อไม่เคยตามหาสิ่งของในหนังสือภาพนั้น แล้วจะอธิบายเรื่องในอดีตได้อย่างไร?”
เรื่องที่อวิ๋นหวาถงถามคือเรื่องกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของบริษัทเขาในตอนนั้น และเรื่องที่เขาได้ย้ายไปอยู่สถานวิจัยแร่หายาก เรื่องเหล่านี้หากไม่มีการยินยอมจากพ่อจะไม่อาจทำได้เลย
อวิ๋นหวาจวินเอ่ยปากตอบว่า “นั่นเป็นฉันจัดการเอง เมื่อพ่อไม่โต้แย้ง ก็คือยินยอมแล้ว”
ตอนที่เข้าสู่ปี 80 อวิ๋นหวาจวินก็เป็นรองผู้อำนวยการในหน่วยงานแล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเขาจัดการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด กว่าผู้เฒ่าอวิ๋นจะรู้ เรื่องก็ถูกจัดการเสร็จสิ้นแล้ว
แต่ว่าเวลานั้นเป็นช่วงที่สังคมกำลังวางแผนเศรษฐกิจ ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นเสนอคำขวัญให้เปลี่ยนแปลงและปลดปล่อย การกระทำของอวิ๋นหวาถงสอดคล้องกับเงื่อนไขสำคัญทางประวัติศาสตร์พอดี จึงไม่ได้ละเมิดต่อกฎกติกาใดๆ
ในทางกลับกัน การกระทำของอวิ๋นหวาถงยังช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ จึงได้รับคำชื่นชมจากผู้นำหลายคนในเวลานั้น
“ผมเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่ ที่แท้พี่ให้ผมหาหินที่ทั้งเย็นและร้อน และแร่หายากสีน้ำเงินอะไรนั่น ล้วนเป็นของที่อยู่ในหนังสือภาพนั่นสินะ?
ใบหน้าของอวิ๋นหวาถงฉายแววเหมือนเห็นแสงสว่าง มิน่าเล่าพี่ใหญ่ที่ใจกว้างดั่งขุนเขา ถึงได้เร่งเร้าให้เขาตามหาสิ่งของพิสดารเหล่านี้มาตลอด
ตอนที่ 733 เรียกหา
“น้องรอง บนโลกนี้มีเรื่องที่แกคาดไม่ถึงอีกมาก ถึงแม้คนพวกนั้นจะไม่สามารถทำให้พวกเราอยู่ยงคงกระพันได้ แต่แค่ทำให้อายุยืนยาวได้ ไม่ใช่เงินที่จะซื้อได้หรอกนะ ”
อวิ๋นหวาจวินพูดถึงตรงนี้ พร้อมกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการตำหนิ “ทั้งๆ ที่ฉันบอกแกแล้ว ต้องหาของสิ่งนั้นมาให้ได้โดยไม่สนว่าต้องแลกกับอะไร แต่แกดันไปใช้วิธีสกปรกรังแกคนอื่น ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วเป็นไงล่ะ?”
อวิ๋นหวาถงถูกพี่ชายสั่งสอนด้วยสีหน้ากริ้วโกรธ จึงอดอธิบายเสียงเบาๆ ไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่เหมืองแร่ทองคำนั่นผมเป็นคนพบก่อน และก็คุยกับทางรัสเซียเรียบร้อยแล้ว คนแซ่เฉินนั่นดันเข้ามาเกี่ยว ผมก็เลยโกรธมากไป?”
อวิ๋นหวาถงไม่ได้พูดโกหกในเรื่องนี้ เหมืองแร่ทองคำนั่น เขาเป็นคนพบก่อนจริงๆ
เป็นครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ทีมสำรวจทีมหนึ่งของบริษัทอวิ๋นหวาถงการโลหะ หลังจากได้ทราบข่าวเหมืองแร่ทองคำที่แพร่ออกมาจากรัสเซียแล้ว ก็ยังเคยไปที่ไซบีเรียอีกด้วย
ตอนนั้นยังไม่ได้ทำการสำรวจปริมาณสะสมของเหมืองแร่ทองคำแห่งนี้ บวกกับรัสเซียกำลังวุ่นอยู่กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหญ่ ความสนใจของภายในประเทศจึงตกอยู่ที่มอสโคว ไซบีเรียจึงกลายเป็นมุมเล็กๆ ที่ถูกลืม
หลังจากที่จัดการกองกำลังท้องที่บางส่วนได้แล้ว บริษัทของอวิ๋นหวาถงจึงเข้าไปทำการสำรวจเหมืองแร่ทองคำนั่น ระหว่างที่ทำการเก็บตัวอย่างอยู่นั้น ทีมสำรวจก็เจอโลหะสีน้ำเงินขนาดเท่าหัวแม่มือชิ้นหนึ่ง
อวิ๋นหวาถงไม่กล้าขัดคำสั่งของพี่ชาย ทีมงานของทีมสำรวจที่อยู่ต่างประเทศรวมทั้งทีมสำรวจเหมืองแร่นี้เกือบทุกคน ต่างก็เคยเห็นภาพตัวอย่างของโลหะพวกนั้น
ดังนั้นหลังจากที่ได้โลหะสีน้ำเงินชิ้นนี้มาแล้ว ผู้รับผิดชอบของทีมสำรวจจึงใช้เส้นสายต่างๆ นานา นำโลหะชิ้นนั้นส่งกลับประเทศจีน เมื่อผ่านการเปรียบเทียบจากอวิ๋นหวาจวินแล้ว มันคือโลหะชนิดหนึ่งที่เหมือนกับในภาพวาดจริงๆ
หลังจากทราบขาวนี้แล้ว อวิ๋นหวาจวินจึงดีใจมาก เขารีบหยิบหยกสามชิ้นที่นักพรตทิ้งไว้ให้ในตอนนั้นออกมา แล้วนำชิ้นหนึ่งในนั้นมาทุบให้แหลก ตามที่นักพรตว่าไว้ หลังจากทุบหยกให้แหลกแล้ว เขาก็จะได้รับข้อมูล
เพื่อไม่ให้ข่าวของโลหะสีน้ำเงินนั่นถูกแพร่ออกไป อวิ๋นหวาจวินจึงเรียกตัวทีมงานที่ทำงานอยู่ที่รัสเซียกลับมาโดย เฉพาะ เขารู้ว่าช่วงนี้สถานการณ์ภายในประเทศรัสเซียกำลังวุ่นวายมากที่สุด ทำให้โลหะชิ้นนี้ไม่มีใครจับตามองเป็นการชั่วคราว
แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นหวาจวินคาดไม่ถึงก็คือ เฉินสี่ฉวนไปรัสเซียในช่วงนี้พอดิบพอดี หลังจากผ่านการสำรวจและตรวจวัดแล้ว จึงได้สิทธิ์ในการขุดเหมืองแร่ทองคำนี้มาได้
เมื่ออวิ๋นหวาจวินรู้ข่าวนี้ เหมืองแร่ทองคำก็มีเจ้าของไปแล้ว เขาจึงรีบติดต่ออวิ๋นหวาถง ให้ไปตีสนิทกับเฉินสี่ฉวน
เพียงแต่อวิ๋นหวาถงทำการค้าในประเทศจีนมาหลายปี จึงมีนิสัยเย่อหยิ่งจิกหัวใช้คนมานานแล้ว บวกกับอวิ๋นหวาจวินก็ไม่เคยอธิบายถึงความสำคัญของเรื่องนี้ให้ชัดเจน ตอนนั้นเขาจึงส่งลูกน้องที่เป็นรองประธานคนหนึ่งไปคุยกับ เฉินสี่ฉวน
มีเจ้านายอย่างไร ย่อมมีลูกน้องแบบนั้น รองประธานคนนั้นของอวิ๋นหวาถงหลังจากไปหาเฉินสี่ฉวนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงท่าทางยโสโอหังก่อน พอเสนอราคา ก็ยังน้อยลงไปอีกห้าพันล้านเมื่อเทียบกับอวิ๋นหวาจวินที่ให้เขาสองหมื่นล้าน
ความจริงถ้าเขาเสนอสองหมื่นล้าน เฉินสี่ฉวนก็ยังจะยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้อยู่แปดเก้าส่วน ถึงอย่างไรก็ยังได้กำไรเป็นหมื่นล้าน เมื่อเทียบกับที่ตัวเองต้องลำบากในการขุดเองแล้วถือว่าคุ้มค่ากว่า
แต่เรื่องเกิดพลาดจากตัวของรองประธาน หลังจากโดนปฏิเสธ รองประธานคนนั้นแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรอยู่แล้ว
ทว่าหลังจากที่อวิ๋นหวาจวินเพิ่มแรงกดดันให้น้องชาย รองประธานคนนี้ถึงได้รีบร้อน เริ่มสร้างความกดดันต่างๆ ให้กับเฉินสี่ฉวน บีบเขาจนเกือบหมดหนทาง
เพียงแต่ใครก็คาดไม่ถึง ด้วยนิสัยที่แข็งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีของเฉินสี่ฉวน เขาจึงขายโรงงานผ้าฝ้ายรวมทั้งโรงงานปั่นฝ้ายที่สร้างมาด้วยมือตัวเองทิ้งทั้งหมด ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่มีความเป็นไปได้ที่จะคุยกันต่อ
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ถ้าไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไปที่รัสเซียด้วยกัน แล้วซื้อเหมืองทองคำนั่นกลับ มาในราคาที่สูงกว่าปริมาณสะสมของเหมืองทองคำ”
อวิ๋นหวาจวินถอนหายใจแล้วพูดว่า “น้องรอง ต่อให้มีเงินมากก็ซื้อชีวิตหนึ่งนาทีกลับมาไม่ได้นะ หลายปีมานี้บริษัทก็มีเงินสะสมไม่น้อยใช่ไหม? อย่ามัวคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเงินนัก!”
“พี่ใหญ่ ผมรู้ครับ พี่วางใจได้ ถ้าพี่พูดเรื่องนี้เร็วกว่านี้ ผมก็จะไปคุยด้วยตัวเองครับ!”
อวื๋นหวาถงก็กลุ้มใจเช่นกัน จึงพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “พี่ใหญ่ เรื่องนี้จัดการไม่ดี ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมาโทษพวกเราหรือเปล่า?”
“ฉันก็คิดจุดนี้ไว้นานแล้ว!”
อวิ๋นหวาจวินโบกมือ แล้วนำหนังสือที่ตัวเองเพิ่งเปิดเมื่อครู่ยื่นให้น้องชายแล้วพูดว่า “ในนี้มีของอย่างหนึ่ง ฉันเคยหาคนมาดูแล้ว มีความเหมือนกับผลึกคริสตัลที่อยู่บนหนังสือภาพวาดของนักพรตคนนั้นเป็นอย่างมาก!”
“อ้อ? มีเรื่องแบบนี้ด้วย?”
อวิ๋นหวาถงได้ยินจึงตกตะลึง ยื่นมือรับหนังสือเล่มนั้นมา เปิดออกดูแต่กลับเป็นหน้าโปรโมทการประมูลสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง และพิมพ์อย่างประณีตชัดเจนมาก
“แกดูหน้าที่สาม!”
อวิ๋นหวาจวินพูด “ในนั้นมีผลึกคริสตัลสีแดงชิ้นหนึ่งที่ได้มาจากแอฟริกาใต้ ยังมีระดับความแข็งไม่เท่ากับเพชร แต่มันเหมือนกับสิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือภาพที่นักพรตคนนั้นให้พวกเขามา!”
“ผลึกคริสตัลแบบนี้ถือว่าเห็นได้น้อยมากครับ!”
อวิ๋นหวาถงก็เคยเห็นของมีค่าราคาแพงในโลกนี้มามาก แต่เขาไม่เคยเห็นผลึกคริสตัลที่มีความมันวาวบริสุทธิ์แบบนี้มาก่อน
บนภาพวาดนั้นมีผลึกคริสตัลขนาดเท่านิ้วชี้ เมื่อถูกเจียระไนตัดแต่งเป็นสี่มุมด้วยฝีมือขั้นสูงแล้ว หากมองจากมุมที่ต่างกันจะสะท้อนแสงสีแดงอันอบอุ่นออกมา ดูแล้วสวยงามมาก
แน่นอน การประมูลราคาของสิ่งนี้ก็ไม่ถูกเช่นกัน ผลึกคริสตัลที่มีโครงสร้างของหินแร่ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์นั้น การเปิดราคาก็อยู่ที่แปดล้านหยวนแล้ว คาดว่าผู้เป็นเจ้าของของเจ้าสิ่งนี้คงอยากจะลองเสี่ยงโชคใหญ่สักครั้ง
หลังจากปิดหนังสือภาพ อวิ๋นหวาถงจึงพูดว่า “พี่ใหญ่ ของสิ่งนี้จะเปิดประมูลอีกสิบวัน ถ้าหากคนนั้นไม่มาจะทำยังไง?”
อวิ๋นหวาจวินลุกขึ้น พลางพูด “น้องรอง แกรอฉันแป๊บหนึ่ง ฉันจะใช้หยกอีกหนึ่งชิ้น ถ้าหากว่าหลังจากสิบวันยังไม่มีข่าวล่ะก็ เกรงว่าคนนั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ”
พอผ่านไปประมาณสี่ห้านาที อวิ๋นหวาจวินก็เดินออกมาจากห้องด้านข้างที่เป็นที่พักเก่าของพ่อยามที่ยังมีชีวิตอยู่ ถือกล่องหนังขนาดเล็กที่ใช้ทำการศึกษาวิจัยกล่องหนึ่งอยู่ในมือ อย่างน้อยน่าจะเป็นของเก่าเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว
หลังจากเปิดกล่องหนังแล้ว ภายในมีหนังสือสีเหลืองเก่าเล่มหนึ่ง ข้างๆ หนังสือนั้นเป็นแพรต่วนสีเหลืองชิ้นหนึ่ง ดูจากลักษณะแล้วน่าจะห่ออะไรสักอย่างเอาไว้
“พี่ใหญ่ นี่คือหยกหินที่พี่บอกว่าสามารถเรียกคนนั้นมาได้หรือ?” หลังจากที่อวิ๋นหวาจวินแกะแพรต่วนอออกทีละชั้นแล้ว หยกขนาดเท่ากำปั้นของเด็กทารกก็ปรากฏอยู่บนโต๊ะน้ำชา
“หยกชิ้นนี้ดีจริง น้ำงามเป็นประกาย เป็นหยกเหอเถียนหยู่ขาวขุ่นชั้นดี”
อวิ๋นหวาถงหยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมาแล้วมองดูอย่างละเอียด ผ่านไปสักพักเขาจึงมองไปที่อวิ๋นหวาจวินแล้วถามว่า “พี่ใหญ่ เจ้าสิ่งนี้มันใช้ยังไงเหรอ?”
“เจ้าสิ่งนี้ใช้ง่ายมาก”
หลังจากอวิ๋นหวาจวินนำหยกชิ้นที่เหลือใส่กลับไปในกล่องแล้ว เขาจึงรับหยกที่อยู่ในมือของน้องชายมา ขณะที่พูดนั้น มือขวาก็ยกสูงขึ้น แล้วคว่ำฝ่ามือที่มีหยก จากนั้นก็ตบลงไปบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง
โต๊ะน้ำชาที่อวิ๋นหวาจวินใช้ทั้งหมด ล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้หวงฮวาหลี่ที่สืบทอดมาจากราชวงศ์หมิง ดังนั้นระดับความแข็งจึงไม่ต้องพูดถึง ได้ยินเพียงเสียงดัง “ตุบ!”แล้วหยกที่อยู่ในกลางฝ่ามือของเขาก็แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“พี่ใหญ่ นี่…แบบนี้ก็ได้แล้ว เอ๊ะ? ดูเหมือนหยกชิ้นนี้จะไม่เหมือนเดิมแล้ว”
อวิ๋นหวาถงตกใจกับการกระทำของพี่ใหญ่ แต่ตอนที่เขามองหยกที่แหลกเป็นสองสามชิ้นที่อยู่บนโต๊ะ สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจไม่หยุด
เมื่อครู่หยกชิ้นนั้น ในสายตาของเขาแทบไม่มีตำหนิใดๆ โดยเฉพาะแสงมันวาวสีขาว เห็นได้ชัดว่ามีคุณภาพที่โดดเด่นมาก
เพียงแต่หลังจากที่หยกแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ส่วนที่แหลกนั้นกลายเป็นผงสีเทาเข้มเกือบทั้งหมด ทั้งเทาและหม่น หมอง ถ้าหากเมื่อครู่อวิ๋นหวาถงไม่ได้ลองเอามาเล่นด้วยมือตัวเอง คงยากที่จะเขาจะเชื่อมโยงไปถึงหยกเหอเถียนได้
“สำเร็จหรือไม่ฉันก็ไม่รู้ ถึงยังไงก็ทำตามที่คนนั้นสั่งไว้”
อวิ๋นหวาจวินส่ายหน้าพลางพูดว่า “น้องรอง สองสามวันนี้แกก็พักอยู่ที่บ้านก่อน เวลาพี่มีเรื่องจะคุยกับแกจะได้สะดวกหน่อย แกก็อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว อย่ามัวแต่ทำตัวเจ้าชู้มีสัมพันธ์กับผู้หญิงนอกบ้านไปทั่ว!”
อวิ๋นหวาจวินรู้จักน้องชายของตัวเองคนนี้ดี เนื่องจากเหล่าอวิ๋นได้ลูกชายตอนช่วงวัยกลางคน ตั้งแต่เด็กจึงถูกพ่อแม่ตามใจจนเกินบรรยาย
นิสัยแย่ๆ ของอวิ๋นหวาถงก็มีไม่มากเท่าไร จะมีก็แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงที่จัดการไม่ค่อยชัดเจน ผู้หญิงสวยๆ ที่อยู่ในวงการบันเทิงของเมืองปักกิ่ง ส่วนใหญ่ต่างก็มีความสัมพันธ์กับเขา เพียงแต่อวิ๋นหวาถงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องขุนนางการเมือง อวิ๋นหวาจวินจึงขี้เกียจที่จะบ่นเขาเช่นกัน
“พี่ใหญ่ พี่วางใจได้ ผมแยกความสำคัญได้ครับ”
อวิ๋นหวาถงถูกพี่ใหญ่พูดจนใบหน้าแก่ๆ แดงเล็กน้อย เมื่อครู่เขายังคิดอยู่ในใจว่าจะนัดดาราหญิงฮ่องกงที่มางานแสดงคอนเสิร์ตคนนั้นออกมาดีไหม
เมื่อเห็นน้องชายตัวเองที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว อวิ๋นหวาจวินจึงส่ายหน้า ถ้าเขาไม่หลงนารีจนเกินไป ก็คงจะไม่แก่มาก ทั้งๆ ที่อายุเพียงเท่านี้หรอก
……
ภายในพื้นที่ที่ไร้การชี้นำของโลกมนุษย์แห่งหนึ่ง นักพรตวัยกลางคนสีหน้าแดงอมชมพูรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งตื่นขึ้นจากการเข้าฌาน จู่ๆ ในใจก็สั่นไหวอย่างฉับพลัน เขารู้สึกว่าพลังจิตของตัวเองที่อยู่ข้างนอกได้ลอยกลับมาแล้ว
“เอ๊ะ? ศิษย์น้องออกไปก็ครึ่งปีแล้ว ยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
นักพรตวัยกลางคนตกตะลึงเล็กน้อย ตอนที่รับพลังจิตกลุ่มหนึ่งนั้น เดิมทีเขาอยากจะออกไปโลกมนุษย์ด้วยตัว เองสักครั้ง แต่ศิษย์น้องเพียงคนเดียวของเขาที่อยู่นิ่งมานาน ก็รบเร้าจะออกไปแทนเขาให้ได้
สองสามปีที่ผ่านมานี้นักพรตวัยกลางคนกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของระดับจินตันสำเร็จมหามรรค จึงไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายทางโลกรบกวนจิตใจ ดังนั้นเขาจึงตกลง
หลังจากรอให้ศิษย์น้องออกไป นักพรตวัยกลางคนก็เก็บตัวถือศีลต่อ คราวนี้ก็กินเวลาไปหลายเดือน จนกระทั่งพลังจิตนั่นกลับมา เขาจึงตระหนักว่าเวลาที่ศิษย์น้องออกไปครั้งนี้นานเกินไป
“ไม่ใช่แล้ว ทำไมหัวใจของข้าเต้นรุนแรงเช่นนี้? หรือศิษย์น้องจะเกิดเรื่องแล้ว?”
นักพรตวัยกลางคนมีทายาทสืบทอดสำนักอยู่น้อยนิด ใช้เวลาอยู่ร่วมกับศิษย์น้องก็เลยหนึ่งร้อยปีมาแล้ว ระหว่างทั้งสองคนจึงพอมีพลังปราณชีวิตที่เป็นสื่อนำถึงกันอยู่บ้าง
“แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้วจริงๆ!” นักพรตวัยกลางคนพยายามสัมผัสอย่างละเอียด แล้วร่างกายที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะก็ลุกขึ้นพรวดในทันทีทันใด
ตอนที่ 734 ติงหง
นักพรตคนนี้แซ่ติง มีชื่อเดียวว่าหง ถึงแม้จะไม่เป็นวิชาการทำนายเสี่ยงทาย แต่วรยุทธที่ฝึกจนถึงระดับของเขานั้นสามารถทำนายโชคเคราะห์ได้
โดยเฉพาะศิษย์สำนักเดียวกันนับร้อยปีอย่างเก๋อข่าย หลังจากที่อีกฝ่ายเป็นตายร้ายดีไม่อาจรู้ได้นั้น ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง
“อาจารย์ ท่านถือศีลเสร็จแล้วหรือครับ?”
เห็นติงหงเดินออกมาจากถ้ำที่ถือศีล เด็กหนุ่มที่ใส่ชุดนักพรตคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ เอ่ยปาก “อาจารย์ ศิษย์ลุงเก๋อออกไปร่วมสี่ห้าเดือนแล้ว ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยครับ”
“น่าจะเกิดเรื่องแล้ว ข้าต้องไปออกดูสักหน่อย!” ติงหงโบกมือพูดว่า “ช่วงที่ข้าออกไป หากมีคนมากราบไหว้ก็บอกว่าข้าถือศีล!”
หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ณ จุดลึกสุดของตีนเขาคุนหลุน ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวแวบออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มีควันกลุ่มหนึ่งโอบล้อมขึ้นมา หมอกควันนั้นลอยอยู่กลางอากาศทำท่าเหมือนจะหยุดเล็กน้อย เพื่อแยกแยะทิศทาง แล้วจึงลอยไปยังตำแหน่งของเมืองหลวง
“พี่ใหญ่ พี่ควรจะออกหน้าทักทายกับฝ่ายประมูลดีไหมครับ ให้พวกเขาเอาของสิ่งนั้นออกจากการประมูล?”
ช่วงเวลาพลบค่ำของหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่อวิ๋นหวาจวินเล่าเรื่องในอดีตให้น้องชายฟัง สองคนพี่น้องจึงกลับมานั่งในเรือนสี่ประสานอีกครั้ง ใบหน้าของอวิ๋นหวาถงปรากฏสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะได้คริสตัลชิ้นนั้น สองสามวันมานี้อวิ๋นหวาถงได้ติดต่อกับทางบริษัทประมูลคริสตี้ เพื่อต้องการซื้อผลึกชิ้นนั้นในราคาสูงเป็นการส่วนตัว แต่กลับถูกฝ่ายคริสตี้ปฏิเสธ ประธานใหญ่ของบริษัทตระกูลอวิ๋นอยู่ที่ประเทศจีนไม่เคยถูกปฏิเสธจนเสียหน้าแบบนี้มาก่อน
“ฉันว่าแกทำธุรกิจในประเทศจีนจนเคยชินแล้ว”
อวิ๋นหวาจวินถลึงตาใส่น้องชายอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วคริสตี้เป็นองค์กรอะไร? เขาทำเรื่องอะไรต้องคอยระวังสีหน้าตระกูลอวิ๋นของพวกเราไหม? อีกสองสามวันแกไปที่งาน แล้วประมูลของชิ้นนั้นมาให้ได้ก็พอ”
“ครับ พี่ใหญ่ พี่วางใจเถอะ ครั้งนี้ผมจะต้องจัดการเรื่องเป็นอย่างดี!” อวิ๋นหวาถงพยักหน้า สองคนพี่น้องไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่า อากาศที่อยู่รอบตัวดูเหมือนจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย แล้วร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคน
“พ่อหนุ่มอวิ๋น ไม่เจอกันหลายปี เจ้าสบายดีนะ?”
เสียงชัดแจ๋วดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้สองพี่น้องตระกูลอวิ๋นที่กำลังจิบน้ำชาและพูดคุยกันอยู่ ตกใจสะดุ้งตัวสั่น มองไปตามเสียงแล้วก็พบว่าภายในลานบ้านมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“แกเป็นใคร? แก…แกเข้ามาได้ยังไง?” ถึงแม้ผู้เฒ่าอวิ๋นจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่คุณหญิงก็ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าระดับคุ้มกันความปลอดภัยจะลดลงกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ใช่ว่าใครที่ไหนจะเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ
“หนึ่งวันในภูเขา เท่ากับหนึ่งร้อยวันในโลกมนุษย์ ไม่คิดว่าเด็กในตอนนั้นจะโตตัวขนาดนี้แล้ว?” ติงหงยิ้มเล็กน้อย มองไปที่อวิ๋นหวาจวิน พลางพูด “พ่อหนุ่ม ยังจำนักพรตอย่างข้าได้หรือไม่?”
“ท่าน…ท่านคือท่านนักพรตติง?”
เสียงของอวิ๋นหวาจวินสั่นเครือขึ้นมา รีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มองนักพรตท่านนั้นอย่างละเอียด จากนั้นใบหน้าก็มีความตกใจระคนความดีใจขึ้นมาทันที โค้งคำนับให้เขาอย่างเต็มที่
“ไม่เจอกันนานหลายปี หน้าตาของท่านนักพรตติงไม่เปลี่ยนเลยนะครับ สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ!” อวิ๋นหวาจวินผายมือเชื้อเชิญติงหงไปนั่ง พลางมองไปที่น้องชายแล้วพูดว่า “น้องรอง ยังไม่มาทักทายเทพเซียนติงอีก?”
“พี่ใหญ่ เขา…เขาเป็นใคร?” อวิ๋นหวาถงยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง มองไปที่นักพรตท่านนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่เป็นไร แค่คนป่าคนดอย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมาก ไม่ต้องเกรงใจอะไรนักหรอก”
ติงหงผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วพูดว่า “สงสัยพ่อของเจ้าน่าจะไม่อยู่แล้ว พ่อหนุ่ม เจ้าเรียกข้ามาคราวนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”
ติงหงใช้พลังจิตตรวจสอบดู พ่อของอวิ๋นหวาจวินน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว และดูจากสีหน้าของพี่น้องสองคนนี้ ดูเหมือนศิษย์น้องของตัวเองก็ไม่ได้มาหา
“ท่านนักพรตติงครับ จากหนังสือภาพที่ท่านทิ้งไว้ตอนนั้น สิ่งของที่อยู่ในนั้นมีน้อยมากเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาผมเพิ่งจะค้นพบสองชิ้น จึงได้ถือวิสาสะเชิญท่านนักพรตมาที่นี่ครับ!”
ขณะที่อวิ๋นหวาจวินพูด เขาแอบมองท่านนักพรตที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย พร้อมกับในใจที่รู้สึกหวาดหวั่นยากที่จะบรรยายออกมาได้ เพราะเวลาผ่านไปเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว แต่หน้าตาของนักพรตท่านนี้ยังคงเหมือนเดิม ดูเหมือนกาล เวลาจะไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆ บนใบหน้าของเขาได้
“อ้อ? เป็นเช่นนี้เองหรือ?”
ติงหงตกตะลึงเล็กน้อย ตอนนั้นเขาต้องการของสิ่งนั้นจากพ่อของอวิ๋นหวาจวิน เพื่อต้องการซ่อมแซมและปรับ ปรุงถ้ำใหม่เท่านั้น
แม้ว่าจะทิ้งหนังสือภาพเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะในโลกมนุษย์อัตราที่ของสิ่งนั้นจะปรากฏขึ้นมีน้อยมากเหลือเกิน
“ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก่อน”
ติงหงโบกมือ พร้อมกับจ้องตาไปที่อวิ๋นหวาจวินแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มอวิ๋น เมื่อสี่เดือนก่อนศิษย์น้องของข้าได้ออกจากภูเขาแล้วก็มาที่นี่ พวกเจ้าเคยเห็นเขาบ้างหรือเปล่า?”
ติงหงมอบหยกสามชิ้นนี้ให้กับตระกูลอวิ๋น ล้วนปลุกเสกมาจากเคล็ดวิชาลับของสำนักจากอาจารย์ของเขา ไม่เพียงแต่เขาที่สามารถรับข่าวสารที่ส่งมาจากหยกได้เท่านั้น แม้แต่เก๋อข่ายก็ทำได้เช่นกัน
“ศิษย์น้องของท่านนักพรต?”
อวิ๋นหวาจวินกับน้องชายสบตากัน แล้วจึงส่ายหน้าพร้อมกัน “ท่านติงครับ พวกเราได้ทุบหยกหนึ่งชิ้นให้แตกไปเมื่อสี่เดือนก่อนก็จริง แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาหานะครับ!”
ติงหงจ้องมองสองคนนั้นสักพักหนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างราบเรียบว่า “ช่างเถอะ นำสิ่งของที่พวกเจ้าหามาได้มาให้ข้าดูสิ!”
……
“พ่อ ช่วงนี้พ่อยุ่งอะไรครับ?”
แต่ก่อนเยี่ยตงผิงไม่ค่อยได้เห็นหน้าลูกชายทั้งวัน ทว่าช่วงสองสามวันนี้เยี่ยเทียนกลับหาพ่อไม่เจอเลย วันนี้ตอนเช้าตรู่ทานข้าวเสร็จก็เห็นพ่อหอบของเต็มไม้เต็มมือแล้วเดินออกไปข้างนอก เขาจึงต้องรีบดึงพ่อไว้
“พ่อ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่สิ จะวิ่งออกไปข้างนอกบ่อยๆ ทำไม? ถ้าพ่อจะมีเมียน้อย ผมไม่เห็นด้วยนะครับ!”
แต่ก่อนพ่ออยู่บ้าน ก็จะคอยพูดคุยเป็นเพื่อนซ่งเวยหลัน แต่สองสามวันที่ผ่านมากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเยี่ยตงผิง เยี่ยเทียนจึงกลายเป็นฝ่ายถูกแม่อบรมสั่งสอน พยายามเปลี่ยนเยี่ยเทียนให้เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง
เพียงแต่เยี่ยเทียนเติบโตมาจากบ้านนอก ตอนหลังก็ออกเดินทางท่องยุทธภพกับอาจารย์ จึงมีกลิ่นอายของความบ้าบิ่นอยู่ในสายเลือด มีหรือที่เขาจะทนแบบนี้ได้? ดังนั้นเขาจึงอยากให้พ่ออยู่บ้าน
“ไอ้ลูกเวร ถ้าแกพูดบ้าอีกฉันจะเขกกบาลแกเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยตงผิงตกใจสะดุ้งกับคำพูดของลูกชาย จึงรีบชะโงกศีรษะเข้าไปมองในบ้าน ดึงเยี่ยเทียนเข้ามาพูดว่า “อาเขยของแกบริหารจัดการร้านที่พานเจียหยวนได้ไม่เลว แถมยังได้ของดีสองสามชิ้นมาเมื่อปีที่แล้ว พ่อกลัวว่าการซื้อขายในร้านจะขาดทุนเกินไป จึงอยากเอาไปให้งานประมูลยังไงเล่า?”
ร้านขายของเก่าของเยี่ยตงผิง ถึงแม้จะยังแขวนชื่อของเขาอยู่ แต่ความจริงแล้วคนที่บริหารและขายของนั้นคือหลิวเหวยอันต่างหาก
นอกจากนี้กำไรที่ได้ทั้งหมด ก็เป็นของหลิวเหวยอันคนเดียว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นธุรกิจของครอบครัว ตอนนี้เยี่ยตงผิงจึงได้ชื่อใหม่ในย่านนั้นว่าเป็นที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค เขาถึงได้ไปที่ร้านบ่อยๆ
ครั้งนี้หลิวเหวยอันได้หยกสมัยราชวงศ์ฮั่นคุณภาพไม่เลวมาสองสามชิ้น เดิมทีมีลูกค้าเก่าอยากจะซื้อ แต่ถูกเยี่ยตงผิงห้ามไว้ เพราะราคาประมูลของหยกเก่าแก่นี้ สามารถทำกำไรได้อีกเท่าตัว เขาจึงไม่อยากเห็นน้องเขยต้องขาดทุน
ดังนั้นสองสามวันที่ผ่านมาเยี่ยตงผิงจึงติดต่อกับทางบริษัทประมูล เมื่อมีเส้นสายของซ่งเวยหลัน เขาจึงสามารถคุยกับคริสตี้ได้สำเร็จ และพวกเขากำลังเตรียมการประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิที่ปักกิ่งพอดี
เพียงแต่เยี่ยตงผิงติดต่อช้าเกินไป โบรชัวร์ภาพสีของทางคริสตี้นั้นได้สั่งพิมพ์ออกมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องติดต่อโรงพิมพ์ด้วยตัวเอง เพื่อรีบทำหนังสือภาพของหยกสมัยราชวงศ์ฮั่นสองสามชิ้นนั้นออกมา
“พ่อถืออะไรอยู่ครับ?” พอได้ยินว่าเป็นงานประมูล เยี่ยเทียนจึงเบะปาก หมดความสนใจในทันที
ปีที่แล้วเยี่ยเทียนรวบรวมหนังสือคัมภีร์โบราณลัทธิเต๋า แล้วเอาไปให้สถานที่ประมูลก็ไม่น้อย แต่ถึงแม้ของในนั้นจะเป็นของเก่า แถมยังเป็นของล้ำค่า ทว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“หนังสือภาพโปรโมทของทางคริสตี้ ฉันพิมพ์ตามรูปแบบที่เหมือนกัน แต่ฉันบอกแกก่อนนะ แกอย่าไปพูดจามั่วซั่วต่อหน้าแม่ของแกเชียว!”
เยี่ยตงผิงพูดพลางยื่นหนังสือภาพให้เยี่ยเทียนดู เขารู้ว่าภรรยาเชื่อคำพูดของลูกชายอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถ้าหาก เยี่ยเทียนพูดอะไรมั่วซั่ว บ้านของเขาจะต้องลุกเป็นไฟแน่นอน
“เอ๊ะ นี่…ทำไมเจ้านี่เหมือนพลอยวิเศษมาก?”
เยี่ยเทียนรับหนังสือภาพโปรโมทมาจากพ่อ แล้วจึงเปิดดูไปเรื่อยเปื่อย ตอนที่เขาเปิดไปถึงหน้าที่สามนั้น ก็ตกตะลึงขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปที่รูปภาพที่อยู่ในหน้านั้น
นี่คือผลึกที่มีความยาวขนาดเท่านิ้วมือ สีแดงเพลิงทั้งแท่ง ถูกเจียระไนเป็นสี่มุม ถึงแม้จะเป็นเพียงรูปภาพ แต่มองดูแล้วก็สวยงามผิดหูผิดตาเป็นอย่างมาก
คนอื่นได้เห็นสิ่งนี้ ก็คงคิดว่าเป็นอัญมณีชิ้นหนึ่ง แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้น ความมันวาวและระดับแสงของเจ้าสิ่งนี้นั้น กลับเหมือนพลอยวิเศษที่มีธาตุไฟสองสามชิ้นที่เก็บอยู่ในตู้เซฟของเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก
“พ่อ ไอ้นี่มันคืออะไร? สวยจัง?” เยี่ยเทียนชี้ไปที่รูปภาพ แล้วจึงเงยหน้าถามพ่อ
เยี่ยตงผิงยื่นหน้าไปดูรูปภาพ แล้วพูดว่า “ได้ยินว่าหลังจากที่ภูเขาไฟระเบิดจากที่ไหนสักแห่ง มีคนหนึ่งเก็บได้จากปล่องภูเขาไฟ จากนั้นก็ถูกร้านเครื่องประดับรับซื้อไปแล้วเจียระไนออกมาเป็นแบบนี้ ทำไม แกสนใจพลอยชิ้นนี้เรอะ?”
“ครับ สนใจ พ่อ งานประมูลจัดวันไหนครับ?”
แน่นอนเยี่ยเทียนสนใจอยู่แล้ว เพราะราคาของพลอยวิเศษ ไม่อาจใช้เงินมาวัดได้ อย่าว่าแต่ตัวเลขแปดล้านที่เขียนอยู่บนนั้นเลย ต่อให้เพิ่มเลขศูนย์ข้างหลังอีกหนึ่งตัว เยี่ยเทียนก็จะแย่งประมูลอย่างไม่ลังเล
“หลังจากนี้อีกสามวัน ฉันไม่พูดไร้สาระกับแกแล้ว วันนี้ต้องพิมพ์ภาพออกมาให้ได้”
เยี่ยตงผิงแย่งหนังสือภาพที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก “ไอ้ลูกบ้า ถ้ากล้าพูดมั่วซั่วนะ กลับมาฉันจะจัดการแก!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้ม และคิดว่าพ่อตลกจริงๆ ในบ้านมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพ่อกลัวภรรยา ต่อให้ยื่นความกล้าแก่เขา เขาก็ไม่กล้าทำตัวเจ้าชู้นอกบ้านหรอก
“ออกมาจากปล่องภูเขาไฟ? มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นพลอยวิเศษธาตุไฟ!”
หลังจากกลับเข้าไปในห้อง เยี่ยเทียนจึงหยิบพลอยวิเศษสองสามชิ้นออกมาจากตู้เซฟที่เก็บไว้ นอกจากสามชิ้นนี้ที่ใหญ่กว่าในหนังสือภาพแล้ว ชิ้นอื่นที่เหลือยังสู้ชิ้นเดียวไม่ได้เลย
“ไม่ว่าราคาเท่าไร จะต้องประมูลมาให้ได้ เพราะมันไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ ใครกันที่กล้าเก็บผลึกนี้มาจากปล่องภูเขาไฟ?” หลังจากเยี่ยเทียนเล่นกับผลึกที่อยู่ในมือแล้ว เขาจึงแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ
ตอนที่ 735 พวกเดียวกัน
“คุณเยี่ย ดีใจมากที่ได้พบคุณอีกครั้ง ยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่งานประมูลครั้งนี้ครับ
อ้อใช่ ทำไมคุณซ่งถึงไม่มาครับ? งานประมูลครั้งนี้ขาดคนสวยอย่างคุณซ่งไป คงต้องหมดสีสันแน่นอนครับ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกับพ่อรวมทั้งอาเขยสามคนเดินเข้ามาในคริสตี้งานประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิที่จัดขึ้นในปักกิ่งนั้น วิลสันที่กำลังยืนทักทายแขกอยู่ตรงหน้าประตูก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับทันที
ในฐานะประธานใหญ่ในเขตทวีปเอเชียของคริสตี้ ตลาดของประเทศจีนจึงไม่อาจมองข้ามได้ กลุ่มผู้คนที่เก็บสะสมของล้ำค่าขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นพื้นที่ที่ต้องแย่งกันจัดงานประมูลใหญ่อันดับสามของโลก ดังนั้นวิลสันจึงเดินทางมาจัดงานประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ด้วยตัวเอง
แต่วิลสันแสดงท่าทีต้อนรับเยี่ยเทียนเพียงคนเดียว ส่วนเยี่ยตงผิงนั้นเขากลับมองข้ามไปเลย แล้วจึงมองซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นซ่งเวยหลันมาด้วยจึงรู้สึกเสียใจ
“คุณวิลสันครับ คุณก็รู้ แม่ของผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้ แต่เธอบอกว่าถ้าคุณว่างก็เชิญไปเป็นแขกที่บ้านนะครับ!”
เมื่อเห็นสีหน้าของวิลสัน เยี่ยเทียนจึงอดหัวเราะไม่ได้ วิธีการแสดงความรู้สึกของชาวต่างชาตินั้นชัดเจนและตรงไปตรงมามาก เขากล้าแสดงความรักและสเน่หาที่มีถึงแม่ ต่อหน้าตัวเองและพ่อออกมาตามตรง
“อ้อ ดีจังเลยครับ ผมยังไม่ลืมฝีมือการทำอาหารแสนอร่อยของคุณซ่งเลยครับ!”
วิลสันยิ้มขึ้นมา และใช้สายตาที่ยั่วยุมองไปที่เยี่ยตงผิง เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างซ่งเวยหลัน ทำไมถึงได้แต่งงานกับผู้ชายธรรมดาบ้านๆ แบบนี้
“ตกลงครับ คุณวิลสัน พวกเรามาร่วมงานประมูล ถ้างั้นก็ไม่รบกวนคุณแล้วครับ!”
เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองปนเศร้าของพ่อที่แทบจะมีน้ำตาไหลออกมา เยี่ยเทียนจึงรีบดึงพ่อเข้าไปในงาน ไม่อย่างนั้นเขาไม่รู้ว่าวันนี้จะมีข่าวร้อนของประธานใหญ่บริษัทคริสตี้ของทวีปเอเชียทะเลาะวิวาทกับคนที่อยู่ในงานด้วยหรือไม่?
“ไอ้ลูกบ้า แม่ของแกเคยพูดว่าจะเชิญเขามาที่บ้านตั้งแต่เมื่อไร?”
หลังจากนั่งลงแล้ว เยี่ยตงผิงจึงเส้นเลือดปูดบนหน้าผาก ถ้าหากไม่ได้อยู่พื้นที่สาธารณะล่ะก็ เขาคงอัดสั่งสอนลูกชายแล้ว โดยไม่สนว่าตอนนี้เยี่ยเทียนจะเก่งกล้ามากแค่ไหน พ่อซ้อมลูก คิดหรือว่าเขาไม่กล้า?
“พ่อครับ ก็แค่พูดไม่ตามมารยาทน่า”
เยี่ยเทียนพูดพลางหัวเราะทำหน้าทะเล้น “คนอื่นเขายอมตกลงให้เอาของประมูลสองสามชิ้นนั้นของพ่อเข้ามาร่วมประมูลในช่วงวินาทีสุดท้าย ยังไงก็ต้องไว้หน้าเขาบ้างสิครับ อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าบ้านของพวกเราอยู่ที่ไหน”
“ถ้าคราวหน้ากล้าพูดแบบนี้อีก คอยดูว่าฉันจะจัดการแกยังไง?”
เยี่ยตงผิงขึงตาใส่ลูกชาย แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีความน่าเกรงขามใดๆ ต่อลูกชาย ตั้งแต่อายุสิบขวบ เยี่ยตงผิงก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
“อาเขย วันหน้าถ้าอามีของอยากประมูล ก็ใช้ชื่อแม่ของผมได้เลยนะครับ”
เพียงแต่ประโยคต่อไปที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเกือบทำให้เยี่ยตงผิงต้องโมโหอีกครั้ง เขาจึงเคาะศีรษะของลูกชายอย่างอดใจไม่ได้ อีกอย่างช่วงนี้เยี่ยเทียนก็ถูกแม่ดูแลอย่างเคร่งครัด ทำให้พ่อลูกไม่ได้แกล้งเล่นกันแบบนี้มานานแล้ว
เมื่อเวลาการประมูลเริ่มใกล้เข้ามา คนที่อยู่ในงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เก้าอี้ที่อยู่รอบตัวเยี่ยเทียนมีคนนั่งเต็มทุกที่นั่ง
การประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้มีชิ้นงานศิลปะที่มาจากต่างประเทศบางส่วน และส่วนใหญ่จะเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายสาบสูญไปจากประเทศจีน ดังนั้นผู้ที่มาร่วมงานประมูล จึงมีหลายคนที่รีบมาจากต่างเมือง
“หืม? เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคุยเล่นกับพ่อและหลิวเหวยอันนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเย็นวาบมาจากศีรษะด้านหลัง เขาจึงรีบหันไปมอง และพอมองแล้ว ก็ไม่อาจชักสายตากลับได้อีก
เวลานี้มีคนสามคนเดินเรียงกันเข้ามาอยู่ตรงหน้าประตูพอดี สองคนที่อยู่ในนั้นเดินตามหลังเล็กน้อย กำลังยิ้มแย้มให้กับนักพรตที่สวมชุดนักพรตที่อยู่ตรงกลางนั่น เหมือนกำลังอธิบายงานในครั้งนี้
คนสองคนที่กำลังพูดอยู่ เห็นถึงความน่าเกรงขามระหว่างหน้าผากอยู่เลือนราง คาดว่าคงจะเป็นบุคคลชั้นสูงแน่นอน ทว่านักพรตที่เดินอยู่ตรงกลางนั้นกลับเผยบุคลิกที่ไม่ธรรมดาเหนือคนอื่นได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนสองคนนั่นจะเป็นเพียงผู้ติดตามของเขาเท่านั้น
ในขณะเดียวกันที่เยี่ยเทียนมองไปที่ประตูใหญ่ คิ้วของติงหงขมวดเล็กน้อย สายตาของเขามองทะลุผ่านพื้นที่ในงานยาวกว่าสิบเมตร แล้วสบตากับเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ตรงแถวหน้าเช่นกัน
“ที่นี่ยังมีคนฝึกวิชาเหมือนกันหรือ?”
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ติงหงได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายแล้ว เพียงแค่กระชับปราณแท้ให้ผ่านไปอีกขั้น แล้วบีบอัดให้เป็นตันผ่านเคราะห์อัสนีสวรรค์ ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับจินตันสำเร็จมหามรรคได้
ดังนั้นถึงแม้จะเป็นการมองอย่างเรียบง่าย แต่ติงหงมองปราดเดียวก็รู้ถึงระดับวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่า ในโลกมนุษย์ที่มีปราณวิเศษอันน้อยนิดเช่นนี้ กลับมีคนสามารถฝึกวรยุทธถึงระดับเซียนเทียนได้?
“หรือจะเป็นผู้สืบทอดของสำนักไหนสักแห่ง? หลังจากที่โลกเข้าสู่ยุคธรรมตอนปลาย ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีสำนักไหนที่ยังสืบทอดแนวทางเต๋านี่นา?”
ติงหงครุ่นคิดในใจ แล้วจึงก้าวขาเดินไปหาเยี่ยเทียน คนอย่างพวกเขานั้นมักจะทำอะไรตามที่ใจปรารถนา ดังนั้นจึงไม่เก็บคำถามไว้ในใจเป็นธรรมดา
“ท่านนักพรตติง ที่นั่งของพวกเราอยู่ตรงนี้ครับ!”
ตอนที่เดินผ่านที่นั่งแถวที่สาม อวิ๋นหวาจวินพบว่า ติงหงไม่ได้คิดจะหยุดฝีเท้าเลย แต่กลับเดินตรงไปยังที่นั่งแถวที่หนึ่ง และทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดของเขา แม้แต่จะอธิบายก็ไม่มี
อวิ๋นหวาจวินจึงยิ้มเจื่อนๆ ได้แต่เดินตามไป จากการอยู่ด้วยกันสองสามวันนี้ เขาพอเข้าใจติงหงมากขึ้น ความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน
หากตามที่ติงหงพูดนั้น เขาเกิดในปี 38 รัชสมัยเฉียนหลง เมื่อถึงปีนี้ ก็มีอายุสองร้อยห้าสิบสองปีแล้ว
ถ้าหากคนอื่นเล่าเรื่องนี้ให้อวิ๋นหวาจวินฟัง เขาคงไม่เชื่อแน่นอน แต่ฝีมือระดับเทพเซียนของติงหงนั้น ทำให้เขาไม่กล้าสงสัยใดๆ
“ไม่คิดว่าข้าจะได้เจอพวกเดียวกันในโลกมนุษย์ ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มมีนามว่าอย่างไร?”
เมื่อเดินมาอยู่หน้าเยี่ยเทียน ติงหงจึงประสานมือเดียวคารวะ โดยไม่สนใจสายตาที่อยากรู้อยากเห็นที่อยู่รอบตัว
ถึงแม้จะเคยพูดใน “คัมภีร์เต๋า” ว่า “สวรรค์ไร้มนุษยธรรม มองทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงสุนัข ซึ่งเป็นการอธิบายทฤษฎีของการเท่าเทียมกันของมวลมนุษย์ หลังจากที่คนคนหนึ่งมีอำนาจจนยากที่จะควบคุมได้นั้น ความรู้สึกเหนือชั้นที่อยู่ในใจจึงยากที่จะขจัดออกไปได้”
สายตาของติงหงในตอนนี้ จึงมีเพียงเยี่ยเทียนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพูดคุยกับเขาได้ สองพี่น้องตระกูลอวิ๋น ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่อยู่ในมือของตัวเองเท่านั้น
“ผมชื่อเยี่ยเทียน ขอคารวะท่านผู้อาวุโส ไม่…ไม่คิดว่าบนโลกนี้ยังมีบุคคลอย่างท่านผู้อาวุโสอยู่ครับ?”
ตอนที่ติงหงเดินเข้ามา เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นยืนแล้ว เขาไม่ได้ใช้วิธีการคารวะแบบยุทธภพ แต่ใช้วิธีการประสานมือคารวะเท่านั้น แล้วโค้งคำนับให้ติงหง
สีหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏสีหน้าของความตื่นตะลึงอย่างพอประมาณ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า เวลานี้ในใจของเขานั้นกลับเหมือนมีคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ถ้าหากไม่ได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนมาก่อน เกรงว่าเยี่ยเทียนคงจะวิ่งหนีอุตลุดไปแล้ว
เพราะว่าตอนที่สบตากับนักพรตคนนั้น เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนเสื้อผ้าบนตัวของเขาถูกถอดจนหมดเกลี้ยงแล้วยืนล่อนจ้อนอยู่ท่ามกลางมหาชนในห้องโถงใหญ่ก็ไม่ปาน ดูเหมือนนักพรตท่านนี้จะอ่านใจทั้งหมดของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง
และไม่ต้องสงสัย เพราะนักพรตคนนี้มีวรยุทธที่เหนือกว่าตัวเองมาก ตอนที่เผชิญหน้ากับเขา ในใจของเยี่ยเทียนจึงไม่เกิดการต่อต้านใดๆ เพราะถูกการขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตของอีกฝ่ายกดทับเอาไว้
แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เยี่ยเทียนกลัว สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวจริงๆ คือ ฐานะของนักพรตคนนี้ต่างหาก
เยี่ยเทียนมีความรู้สึกว่า อีกฝ่ายจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักพรตคนที่เขาพบที่ภูเขาฉางไป๋ซานโดยบังเอิญแน่นอน เพราะว่าสองคนที่อยู่ข้างกายนักพรตนั้น เยี่ยเทียนเคยดูรูปภาพของพวกเขามาก่อน ซึ่งก็คือสองพี่น้องตระกูลอวิ๋น!
ความรู้สึกของเยี่ยเทียนในเวลานี้ เหมือนกับขโมยของของคนอื่นแล้วเจ้าของหาเจอพอดี ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าตัวเองขโมยมา แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนกินปูนร้อนท้อง?
ดังนั้นตอนที่ติงหงเดินมา เยี่ยเทียนจึงจัดระเบียบร่างกายของตัวเอง นอกจากมีสีหน้าที่ตกตะลึงแล้ว การเคลื่อนไหวของชีพรและการเต้นของหัวใจของเขานั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก
“ข้าชื่อติงหง เป็นเจ้าสำนักหอประดิษฐ์วิเศษคนปัจจุบัน ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มมาจากสำนักใด?”
ติงหงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะคนที่อยู่ตรงหน้ามีวรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นต้น ห่างจากระดับของตัวเองแค่สองขั้น แต่เขาไม่สามารถมองเห็นปราณแท้ที่จุดตันเถียนของเขาใด้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงไม่อาจทำนายถึงที่มาของเขาได้
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ติงหงสามารถยืนยันได้ อายุของเยี่ยเทียนคล้ายกับหน้าตาของเขาอย่างแน่นอน น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีเท่านั้น ทำให้ติงหงรู้สึกประหลาดใจมาก
ถึงแม้ในพื้นที่ที่เหมาะสมกับการฝึกวรยุทธของเขาจะมีปราณวิเศษเต็มที่ แต่ลูกศิษย์ที่อายุน้อยก็ยังต้องใช้ยาช่วยในการล้างไขกระดูก การที่สามารถบรรลุระดับเซียนเทียนก่อนอายุสิบแปดปีได้ ถือว่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง
สามารถบรรลุระดับเซียนเทียนก่อนอายุสามสิบปี ก็ถือว่ามีความสามารถที่ไม่เลว โดยทั่วไปแล้วจะเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักของสำนักต่างๆ
หนำซ้ำเยี่ยเทียนยังอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยปราณที่ไร้ความบริสุทธิ์ แต่สามารถฝึกถึงระดับเซียนเทียนด้วยอายุเท่านี้ ถ้าหากอยู่ในดินแดนของพวกเขา คงจะเป็นอัจฉริยะที่ถูกสำนักต่างๆ แย่งตัวเป็นแน่
หลังจากได้ยินคำพูดของติงหงแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นท่านนักพรตติง เยี่ยเทียนมาจากสำนักเสื้อป่าน อาจารย์คือหลี่ซั่นหยวน อาจารย์ปู่คือกุ่ยกู๋จื่อครับ!”
ความจริงการถ่ายทอดที่เยี่ยเทียนได้รับนั้น มาจากนักพรตเต๋าของสำนักเสื้อป่านสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่หลังจากที่ได้ยินวานรขาวพูดถึงระดับของการฝึกวรยุทธแล้ว เขาจึงพูดให้ดูใหญ่โตเพื่อทำให้อีกฝ่ายกลัวเกรง ดังนั้นจึงหาชื่อบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงมากมาใช้กับตัวเอง
“หลี่ซั่นหยวน? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน?”
ติงหงได้ยินจึงตกตะลึงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นสายของกุ่ยกู๋จื่อ ก็น่าจะเป็นคนของสำนักฟ้าดิน ในโลกของการฝึกวรยุทธไม่มีสำนักเสื้อป่านนี่นา!”
“ท่านติง วิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ผมนั้นไม่ครบสมบูรณ์ ผมแค่โชคดีเท่านั้น และเคยได้พบกับผู้อาวุโสวานรขาวที่อยู่เสินหนงเจี้ยโดยบังเอิญ ผ่านการชี้แนะของเขา ทำให้ผมสามารถบรรลุระดับเซียนเทียนได้ครับ!”
เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็แสดงสีหน้าแห่งความปรารถนาออกมา แล้วพูดต่อว่า “แต่ก่อนผมคิดว่าในโลกนี้มีผมที่ฝึกวรยุทธเพียงคนเดียว ไม่คิดว่าจะได้เจอท่านผู้อาวุโส ดังนั้นรบกวนท่านผู้อาวุโสช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนให้ฟังได้ไหมครับ?”
ตอนที่พูดถึงการสืบทอดวิชาจากอาจารย์ ติงหงกับเยี่ยเทียนต่างก็ใช้วิชาของพลังจิตในการสื่อสาร ทว่าคนที่อยู่ข้างๆ กลับมองเห็นสองคนกำลังจ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่รู้ว่าว่าพวกเขากำลังพูดจาถามไถ่กัน
“ผู้อาวุโสวานรขาว? เจ้าหมายถึงเจ้าลิงตัวหนึ่งที่อยู่เสินหนงเจี้ยใช่ไหม?” เมื่อได้ยินการบอกเล่าของเยี่ยเทียน ใบ หน้าของติงหงจึงแสดงสีหน้าแปลกประหลาดเป็นที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น