หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 730-733
บทที่ 730 อุบัติเหตุ…
ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เป็นระบบดาวขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของระบบสุริยะ โดยมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ถึง 23 ดวงที่โคจรรอบดาวฤกษ์หลัก ดาวเคราะห์เหล่านั้นหมุนรอบตัวเองและรอบดาวฤกษ์อย่างไม่รู้จบ จนราวกับว่าจะคงอยู่ในวงโคจรนี้ตราบชั่วกัลปาวสาน
ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมเป็นของตนเองเช่นเดียวกับระบบสุริยะ แต่เป็นอารยธรรมที่ก้าวหน้าในด้านการฝึกตนกว่ามาก ด้วยความที่ทั้งสองอารยธรรมเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้สิ่งมีชีวิตในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีหน้าตาใกล้เคียงสิ่งมีชีวิตในสหพันธรัฐ
แต่ก็ยังมีความแตกต่างด้านสรีรวิทยาอยู่เล็กน้อย
วันนี้ บนดาวเอกของระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดเท่าดาวพฤหัสบดีในระบบสุริยะ มีดาวหางพุ่งลงมาจากห้วงอวกาศไกลโพ้นและตกลงที่พื้นผิวของดาวเคราะห์ยักษ์ การที่ดาวหางตกลงสู่พื้นผิวดาวเป็นเรื่องปกติของดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ด้วยเหตุนี้แม้หลายคนจะเห็นดาวหางที่พุ่งลงมาก็แทบไม่มีใครสนใจ
มีเพียงผู้ฝึกตนบางคนซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่ดาวหางตก ที่จะเดินทางมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นเผื่อว่าจะพบของมีค่าเข้า และถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร
พอดาวหางพุ่งเข้าชนพื้นดินจนทำให้เกิดแอ่งกระทะขนาดใหญ่ โลงศพก็ตกตามลงมาด้วย โลงศพเหล็กสีดำเสียบทะลุพื้นดินของดาวโดยไร้ซึ่งซุ่มเสียง มันหยุดเคลื่อนไหวในทันที ราวกับถูกฝังลงไปในผืนดินเป็นที่เรียบร้อย
โลงศพนี้มีสีดำสนิท ดูเหมือนว่าจะสร้างมาจากโลหะกล้าสีดำ บนผิวของโลงเต็มไปด้วยอักขระโบราณมากมาย ทว่า…อักขระเหล่านั้นกลับอยู่ในสภาพยับเยิน กระทั่งตัวโลงศพเองยังเต็มไปด้วยรูและรอยขีดข่วนนับไม่ถ้วน ราวกับถูกของแหลมแทงจนเกือบทะลุ รูเหล่านั้นลึกจนเกือบตัดผ่านโลงศพได้ แต่ดูเหมือนว่าก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น มีคนเอาตัวเข้ามาบังการโจมตีนั้นเสียก่อน หากไม่ทันการณ์ โลงศพอาจแตกสลายกลายเป็นชิ้นๆ ได้เลยทีเดียว!
โลงศพสีดำผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน เป็นสมรภูมิที่ดุเดือดอันตรายเหลือคณนา มิเช่นนั้นวัตถุเวทที่ทรงพลังเช่นนี้คงไม่ตกอยู่ในสภาพย่อยยับถึงเพียงนี้เป็นแน่
หากมีใครเข้ามาสังเกตใกล้ๆ จะเห็นว่าบนผิวของโลงเต็มไปด้วยคราบเลือดมากมาย แม้เลือดนั้นจะไม่ได้มีสีแดงก็ตามที แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันต้องผ่านการต่อสู้ที่พัวพันคนจำนวนมากมาแน่ๆ
โลงศพนี้…เดินทางข้ามผ่านห้วงอวกาศมาจากระบบสุริยะ เป็นโลงศพของสำนักแห่งความมืดที่เฉินชิงแบกมา…ซึ่งมีร่างที่หลับใหลของหวังเป่าเล่ออยู่ภายใน
ดาวหางที่พุ่งชนดาวเคราะห์และโลงศพที่เจาะพื้นผิวดาวลงไปนั้นทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน รอยแตกทำให้โลงศพแทบแหลกเป็นชิ้นๆ ทันทีที่โหม่งพสุธา แรงสะเทือนส่งให้หวังเป่าเล่อผู้ที่กำลังนิทราอยู่ภายในโลงสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาในที่สุด
“ถึงแล้วหรือ ข้านอนเต็มอิ่มเลย…” หวังเป่าเล่อขยี้ตา อ้าปากหาว ก่อนจะดันฝาโลงหวังจะเปิดออก แต่ก็เปิดไม่ได้ ชายหนุ่มประหลาดใจมากจึงรีบตะโกนถามศิษย์พี่ของตนในทันที
“ศิษย์พี่ เราถึงแล้วหรือยัง”
ชายหนุ่มรอสักพักให้มีเสียงตอบ แต่กลับได้ยินเพียงความเงียบงันอันแปลกประหลาด เขาทุบฝาโลงสองสามครั้ง ก่อนจะเพ่งสมาธิไปที่พลังปราณของตน และเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ ท่านอยู่ข้างนอกหรือไม่”
“เกิดอะไรขึ้นกัน ศิษย์พี่ ตอบข้าสิ!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังในทันที เขาตะโกนต่อไปแต่ไม่ได้รับคำตอบ ความกังวลใจเริ่มพองขึ้นในจิตใจ
“แม่นางน้อย เจ้าอยู่หรือไม่” หลังจากที่ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจว่าควรจะปลอดภัยไว้ก่อน จึงไม่ใช้เปลวไฟสีดำดันฝาโลงให้เปิด แต่ร้องเรียกหาแม่นางน้อยแทน
นี่คือแผนสำรองที่เขาคิดไว้ก่อนจะนอนหลับไป
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากแม่นางน้อยเช่นกัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง สมองเริ่มทำงานเพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ หวังเป่าเล่อหลับไปในทันทีที่ก้าวเข้าไปในโลง ทำให้เขาไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างระหว่างทาง
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็ตัดสินใจที่จะรอ หวังเป่าเล่อรออย่างใจเย็น คอยนับวันเวลาที่เดินหน้าผ่านไป ในวันที่สาม ประกายกล้าก็วาบขึ้นในดวงตาของเขาในที่สุด
มีความเป็นไปได้สูงมากที่ระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น! เปลวไฟสีดำลุกโชนในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขายกมือขวาขึ้นวางบนฝาโลงอีกครั้ง พลังปราณระเบิดออกมาเพื่อเชื่อมจิตตนเองเข้ากับโลงศพ แต่ในตอนที่เขากำลังจะผลักฝาโลงให้เปิด เสียงแผ่วเบาก็ลอยเข้ามา เสียงนั้นดังมาจากที่อื่นที่ไม่ใช่นอกโลง มันดังก้องอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ”
“ศิษย์พี่!” แววตาของชายหนุ่มคมขึ้น เขาเลิกพยายามผลักฝาโลงและรีบถามในทันที “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกัน ท่านอยู่ข้างนอกหรือไม่”
“เป่าเล่อ…มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างทาง…ระหว่างนี้ข้า…อารยธรรมเล็ก…รอให้ข้าไปรับเจ้า…อย่าใช้ร่างจริงก้าวออกมา…เต๋าสวรรค์กำลังมา…ตายแน่ๆ …กระบวนเวทสร้างร่างอวตาร…ใช้หลบเต๋าสวรรค์ได้ชั่วคราว…จึงจะออกมาได้…”
ข้อความนั้นขาดเป็นช่วงๆ เหมือนมีบางสิ่งคอยรบกวนสัญญาณให้ส่งมาไม่ถึง จนทำให้ข้อความจากเฉินชิงขาดๆ หายๆ กระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังปะติดปะต่อใจความหลักเข้าด้วยกันได้จากสิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาพูด
เกิดเรื่องไม่คาดคิด ข้าเลยโดนโยนลงมาที่อารยธรรมเล็ก เต๋าสวรรค์กำลังมา หากใช้ร่างจริงเดินออกจากโลงศพข้าต้องตายแน่ แต่ถ้าใช้กระบวนเวทนี้สร้างร่างอวตารของตนเอง ข้าก็จะออกจากโลงได้อย่างปลอดภัยชั่วคราว หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว เขาไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเฉินชิงกันแน่ แต่ก็เดาได้ว่าสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างเฉินชิงถึงกับต้องทิ้งเขาไว้เพื่อไปจัดการ…ต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ !
เสียงของเฉินชิงยังคงติดๆ ขัดๆ ขณะที่เขาส่งกระบวนเวทมาให้หวังเป่าเล่อศึกษา อีกฝ่ายใช้ความพยายามในการส่งเคล็ดเวทนี้มาให้หวังเป่าเล่อเป็นพิเศษ จึงทำให้ได้รับข้อมูลมาอย่างครบถ้วน
ชื่อของประบวนเวทนี้ก็คือศาสตร์เวทร่างจำแลง เมื่อเรียนครบแล้ว ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนพลังปราณของตนรวมถึงแก่นของรูปลักษณ์ได้ จึงทำให้สามารถจำแลงกายเป็นสิ่งใดก็ได้
หวังเป่าเล่อตรวจดูกระบวนเวทนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน สมองเริ่มแล่นหาคำตอบ กระบวนเวทนี้มีบางส่วนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณของผู้ฝึกตน ตัวเขาเองที่เป็นบุตรแห่งความมืดได้ศึกษางานเขียนมามากมายสมัยที่อยู่สำนักแห่งความมืด เขารู้ว่ามีกระบวนเวทมากมายที่ร้ายกาจยิ่ง บางกระบวนเวทสามารถเข้าควบคุมเหยื่อได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่กระบวนเวทเหล่านี้จะใช้กับเหยื่อไม่ได้จนกว่าตัวเหยื่อจะเรียนรู้วิชานี้ด้วยความเต็มใจ ถึงตอนนั้นอำนาจอันเลวร้ายจึงจะสำเร็จผล
นี่เป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นกลลวงกันแน่… ศิษย์พี่เจอเรื่องร้ายแรงระหว่างทางจริงหรือ หรือว่า… เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาจหมายถึงความเป็นความตายของเขา หวังเป่าเล่อจึงไม่สามารถละทิ้งมันได้ ชายหนุ่มวิเคราะห์ลึกลงไปทุกรายละเอียด เขาศึกษากระบวนเวทเงียบๆ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะลองดูหรือไม่ ดวงตาจ้องมองไปที่ด้านในของฝาโลง หากเขาต้องการเปิดฝาโลงออก เขาเพียงแต่ต้องใช้เปลวไฟสีดำเท่านั้น การออกจากโลงเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน
ข้าควรฝึกวิชานี้ หรือข้าควรออกจากโลงกันแน่
บางทีคนเราก็ต้องเจอกับทางเลือกที่ยากจะตัดสินใจ โดยเฉพาะทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อใจในตัวบุคคล และจะยากมากขึ้นไปอีกหากเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตนเอง
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดวิเคราะห์ทุกแง่มุมให้ละเอียดถี่ถ้วนนั้น ที่ระบบดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าซึ่งอยู่ห่างจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ออกไป มีระบบดาวขนาดเล็กหลายพันระบบโคจรอยู่ภายในระบบดาวใหญ่ยักษ์นี้ มันเรียงตัวกันเป็นวงแหวนปราณจักรวาลขนาดใหญ่!
วงแหวนปราณจักรวาลนี้ใหญ่โตมโหฬารมาก มันดึงพลังงานมาจากดารานิรันดร์ใหญ่น้อยหลายพันดวงของระบบดาวขนาดเล็ก เพื่อมาหลอมรวมเป็นอำนาจหนึ่งเดียวที่ทำลายได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งที่ทำให้วงแหวนปราณนี้ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก คือหม้อหลอมยักษ์แปดหม้อที่กระจายตัวอยู่ทั่ววงแหวนปราณ หม้อหลอมเหล่านี้ลอยวนรอบจักรภพ แบ่งแยกจักรภพเล็กๆ เหล่านี้ออกจากกันในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล
หม้อหลอมแต่ละหม้อปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่เก่าแก่น่าเกรงขามออกมา ภายในหม้อหลอมนั้นมีร่างที่ดูไม่ออกติดอยู่ ร่างเหล่านั้นถูกจองจำอยู่ภายในเพื่อใช้เป็นพลังงานในการหลอม
วงแหวนปราณที่สร้างมาจากดารานิรันดร์หลายพันดวง รวมถึงหม้อหลอมยักษ์ทั้งแปดหม้อคือกรงขัง ส่วนนักโทษก็คือ…เฉินชิง!
เฉินชิงที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวยืนอยู่กลางวงแหวนปราณ รอบกายรายล้อมด้วยกระแสสายฟ้าสีดำที่พุ่งมาจากทุกทิศทาง ปรากฏขึ้นเป็นสายโซ่จำนวนมากที่พันเกี่ยวทับซ้อนไปทั่วระบบดวงดาว
เบื้องหน้าเฉินชิงคือชายผู้หนึ่งในชุดเกราะสีทองอร่าม เขามีร่างสูงตระหง่าน พรั่งพร้อมด้วยศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหก ดูราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่ปล่อยอำนาจรุนแรงออกมาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวงแหวนปราณที่รายล้อม!
เบื้องหลังของชายผู้นี้คือกองทัพร่างมายา ทุกตนดูเหมือนเหล่าเทพที่มีพลังแก่กล้าน่าเกรงขาม ชายในชุดเกราะสีทองเปรียบเหมือนพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือกองทัพเทพเบื้องหลัง!
“เฉินชิง ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กนั่นมีความสัมพันธ์ใดกับเจ้า ข้าจึงปรานีไม่ตัดสัญญาณทั้งหมดให้เจ้ายังพอส่งข้อความไปหามันได้บ้าง ทีนี้เรามาลองเดากันดีกว่า…ว่าศิษย์น้องสุดที่รักของเจ้า ที่เจ้ารักมากเสียยิ่งกว่าใคร จะเชื่อใจและทำตามที่เจ้าบอกหรือไม่ ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าหนุ่มนี่จะเลือกอะไร!” ชายร่างยักษ์ยิ้ม เสียงกังวานไปทั่วจักรภพ เส้นสายฟ้านับแสนชอนไชเหมือนงูพิษขดเป็นเกลียวไปมา ปล่อยเสียงระเบิดก้อง ก่อนขยายใหญ่ออกเป็นหน้าจอยักษ์สีดำ
บนหน้าจอคือภาพของ…โลงศพที่มีหวังเป่าเล่ออยู่ในนั้น!
ไม่ใช่ภาพที่ฉายให้เห็นในโลง หากแต่เป็นภายนอก!
“เจ้าคิดว่าสิ่งใดจะออกมาจากโลงกันแน่ ร่างจริงของศิษย์น้องที่รักของเจ้า หรือว่าร่างอวตาร”
บทที่ 731 ยางอายคืออะไร ไม่เห็นรู้จัก
หวังเป่าเล่อไม่ได้รับรู้เรื่องการต่อสู้ระหว่างศิษย์พี่เฉินชิงและชายสวมชุดเกราะ เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเขาแต่อย่างใด ผ่านไปเพียงครู่เดียว ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
คิดมากเกินไปก็ยิ่งยากจะตัดสินใจได้ แน่นอนว่าข้าจะต้องแบบรับความเสี่ยงที่เกิดจากการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ถ้ามัวคิดเล็กคิดน้อยเกินไป…ก็ไม่สมกับเป็นชายชาตรี ศิษย์พี่ช่วยข้ามาแล้วหลายครั้ง ข้าไม่ควรจะมานึกกังขาเรื่องนี้เลย! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและสร้างผนึกฝ่ามือขึ้น เริ่มเรียนกระบวนเวทที่เฉินชิงมอบให้ทันที
กระบวนเวทดังกล่าวไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับพลังปราณ แต่ทำให้เขาสามารถสร้างร่างอวตารของตนได้ หวังเป่าเล่อใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดช่วยเร่งกระบวนการเรียนรู้ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงแสงจางๆ ในตา
ร่างของเขาพลันเลือนรางก่อนจะแบ่งแยกออกเป็นชั้นๆ ซ้อนทับกันไปมา หากมองดูใกล้ๆ จะเห็นว่ามีร่างแยกถึงเก้าร่างด้วยกัน
“ร่างอวตาร จงปรากฏ!” หวังเป่าเล่อร้องคำราม ทันใดนั้น ร่างอวตารร่างหนึ่งก็ค่อยๆ แยกออกจากร่างของเขา ตามมาด้วยร่างที่สอง สาม ไปเรื่อยๆ จนถึงร่างที่เก้า ทั้งเก้าร่างผสานรวมกันเป็นหนึ่งตรงหน้าชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ดูแล้วไม่แตกต่างจากร่างจริงเลยแม้แต่นิด
ร่างอวตารนั้นมีเลือดเนื้อและวิญญาณเหมือนร่างจริง วิญญาณจุติดวงดาราของชายหนุ่มก็แบ่งร่างออกเป็นสองส่วน แยกเข้าไปอยู่ในร่างอวตารด้วย ความจริงจะเรียกมันว่าร่างอวตารก็ไม่ได้ เพราะนี่คือ…วิญญาณสารัตถะดวงที่สองของหวังเป่าเล่อ!
วิญญาณสารัตถะดวงที่สองของผู้ฝึกตนจะใช้ทุกอย่างร่วมกับร่างจริง ดังนั้นเขาจะสั่งระเบิดตัวเองมั่วๆ ไม่ได้ ระดับพลังปราณและความสามารถในการต่อสู้ของวิญญาณสารัตถะดวงที่สองด้อยกว่าร่างจริงเล็กน้อย ซึ่งก็หมายความว่าวิญญาณสารัตถะดวงที่สองของเขามีพลังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กระบวนเวทนี้ดูด้อยค่าแต่อย่างใด สิ่งนี้ไม่เหมือนร่างอวตารก่อนๆ ของชายหนุ่ม วิญญาณสารัตถะดวงที่สองสามารถฝึกวิชาได้ด้วยตนเอง เมื่อกลับมารวมร่างกับหวังเป่าเล่ออีกครั้งก็จะช่วยเพิ่มพลังปราณให้กับร่างจริงด้วย วิญญาณสารัตถะดวงที่สองนั้นอยู่คาบเกี่ยวระหว่างร่างจริงและร่างมายา นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังสามารถสลับที่กับวิญญาณสารัตถะได้ทุกเมื่อ!
เพราะเหตุผลสุดสำคัญสองข้อนี้ เฉินชิงจึงมอบกระบวนเวทนี้ให้หวังเป่าเล่อ!
หลังจากประเมินความสามารถเฉพาะของร่างอวตารเสร็จ หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึกและหลับตาลง ทันทีที่ตาของเขาปิดสนิท…วิญญาณสารัตถะดวงที่สองก็ลืมตาตื่นขึ้น!
ก็คล้ายๆ กับการคุมร่างอวตารร่างก่อนๆ ในหลายๆ จุด แล้วก็แตกต่างกันในบางจุด… หวังเป่าเล่อหมายเลขสองเงยหน้าขึ้นและจับใบหน้าตนเอง เขาจ้องไปยังหวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งที่พลันลืมตาขึ้นจ้องกลับมาทันใด
“ก่อนหน้านี้ การควบคุมร่างอวตารก็เหมือนการควบคุมอวัยวะในร่างกาย เหมือนการขยับแขน ที่แค่คิดก็ส่งผ่านคำสั่งทั้งหมดไปได้ ทว่าร่างอวตารนี่…ไม่ได้เหมือนแขนข้างหนึ่งอีกต่อไป แต่เหมือนมีตัวข้าเพิ่มขึ้นมาอีกคน!” หวังเป่าเล่อหมายเลขสองพึมพำขณะจ้องหวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่ง เขากระแอมกระไอขึ้น
“เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น น่าสนใจดี” หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งว่าขณะลูบคางและพยักหน้าตอบ
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าพักผ่อนอยู่นี่ เดี๋ยวข้าออกไปดูเองว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก แล้วจะลองหาร่องรอยของศิษย์พี่ไปด้วย” หวังเป่าเล่อหมายเลขสองกล่าวอย่างจริงจัง
“ได้ ระวังตัวด้วยตอนออกไปข้างนอก ถ้าเป็นไปได้ ลองตรวจดูด้วยว่าเราอยู่ห่างจากระบบสุริยะไกลเพียงใด” หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งพูดด้วยสีหน้าพินิจพิเคราะห์ จากนั้นก็จ้องหวังเป่าเล่อหมายเลขสองอีกครั้ง
“ดูตลกเกินไปไหมที่เราสองคนคุยกันเช่นนี้ เราเป็นคนคนเดียวกัน แต่มาทำเป็นคุยกันเหมือนเป็นคนสองคน…เจ้าคิดว่าศิษย์พี่คิดอะไรอยู่ถึงมอบกระบวนเวทนี้ให้เรา เขาน่าจะมีวิญญาณสารัตถะดวงที่สองด้วยเช่นกัน ข้าว่า…จากนิสัยของศิษย์พี่แล้ว วิญญาณสารัตถะดวงที่สองของเขาต้องเป็นผู้หญิงแน่…” ผ่านไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อหมายเลขสองก็กะพริบตาและกล่าวขึ้น
“ข้าก็คิดเช่นนั้น! แต่พวกเราหวังเป่าเล่อเป็นคนมีคุณธรรม เราไม่มีทางแม้แต่จะคิดทำอะไรวิปริตเช่นนั้น พเราต้องทำตัวให้คุ้นชินกับการคุยกันเช่นนี้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!” หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งสูดหายใจลึกและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ได้…ข้าจะออกไปข้างนอกแล้วนะ แต่ก่อนจะไปข้าขอฝากอะไรไว้สักเล็กน้อย หวังเป่าเล่อ เจ้าช่างหล่อเหลาเอาการเสียจริง!”
“หวังเป่าเล่อ เจ้าก็หล่อเหลาเกินบรรยายไม่ต่างกัน!”
หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองฮึกเหิมขึ้นเมื่อได้ยินคำชมอย่างจริงใจจากตนเอง หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งยื่นกระเป๋าคลังเก็บให้หวังเป่าเล่อหมายเลขสอง จากนั้นหวังเป่าเล่อหมายเลขสองก็ปลดปล่อยเปลวไฟสีดำใส่ฝาโลงศพ ทันทีที่เปลวไฟสีดำสัมผัสโลงศพ หวังเป่าเล่อหมายเลขสองก็กลายเป็นดวงไฟมายาลอยทะลุผ่านโลงศพไป!
ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้ง…ด้านนอกโลงศพ!
รอบโลงศพเต็มไปด้วยน้ำแข็งสีดำปนสีน้ำตาล ไอเย็นหนาวจัดขนาดแช่แข็งวิญญาณของคนได้พัดเข้าใส่หวังเป่าเล่อหมายเลขสองในทันใด ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขณะขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปเต็มขีดจำกัด แต่ก็เหมือนว่าจะขยายได้ไกลสุดแค่ราวสามสิบเมตรเท่านั้น โชคดีที่ชายหนุ่มสามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนชั้นน้ำแข็งที่ไม่รู้ว่ามีอายุเท่าใด โลงศพฝังลึกอยู่ในน้ำแข็ง นอกจากนั้นแล้วก็สัมผัสอะไรไม่ได้อีกเลย!
โลงศพน่าจะมีกลไกบางอย่างช่วยป้องกันไม่ให้น้ำแข็งถูกเจาะเป็นรู จนดูเหมือนว่าโลงศพทะลุผ่านชั้นน้ำแข็งเข้าไปปรากฏข้างในได้เลย พลังกดดันพัดกระจายไปทั่วบรรยากาศเยือกแข็งและลมหนาวเหน็บ แม้ร่างของชายหนุ่มจะเป็นเพียงภาพมายา แต่ก็ไม่สามารถทานทนความหนาวเย็นได้ เขามั่นใจว่าถ้าวิญญาณสารัตถะดวงที่สองมีกายหยาบจะต้องหนาวตายอย่างรวดเร็วเป็นแน่
หลังจากตรวจสอบพื้นที่โดยรอบคร่าวๆ หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่อ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม ร่างมายาของเขาพลันเลือนรางขณะออกวิ่งตรงไป เป็นการเดินทางที่แสนหนักหนา ความหนาวเหน็บและน้ำแข็งเริ่มก่อตัวบนร่างกายเรื่อยๆ จนส่งผลถึงความรู้สึกนึกคิด
โชคดีที่ชายหนุ่มมีวิญญาณจุติดวงดาราและเปลวไฟสีดำ ทั้งสองสิ่งช่วยต้านความหนาวเย็นที่คืบคลานเข้ามา หลายชั่วโมงผ่านไป ร่างมายาของหวังเป่าเล่อก็พุ่งผ่านน้ำแข็งไปโผล่ด้านในถ้ำแห่งหนึ่ง!
ที่ผนังถ้ำไม่มีน้ำแข็งเกาะเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความหนาวเย็น หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ จากนั้นก็เงยหน้าและมองไปยังพื้นน้ำแข็ง แสงจางๆ สองดวงฉายชัดขึ้นในหัว
นี่คือดาวเคราะห์หรือ หวังเป่าเล่อนึกสงสัย เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณผ่านชั้นน้ำแข็งออกไปไกล
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงพลังกดดันในโลกแห่งนี้ ปราณวิญญาณที่นี่หนาแน่นกว่าปราณวิญญาณของสหพันธรัฐ แต่การจะดูดซับมานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมีบางอย่างขวางเขาไว้ไม่ให้ทำเช่นนั้นได้
ที่นี่มีกฎบางอย่างแตกต่างออกไป ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาพุ่งขึ้นฟ้า ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกับขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปสุดกำลัง ไม่นานจิตสัมผัสวิญญาณก็ขยายเกินดินแดนน้ำแข็งออกไป!
ฟากฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้าใสหากแต่มืดหม่นกว่า ทว่าดูเหมือนท้องนภาบนโลก ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าคอยฉายแสงสว่างและให้ความอบอุ่น แต่แสงที่ส่องออกมากลับหนาวเย็น ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาไม่สามารถละลายน้ำแข็งบนพื้นได้!
เมื่อมองลงมาด้านล่าง…จะเห็นทิวเขาสูงต่ำ ทั่วพื้นที่ดูเหมือนป่ารกชัฏ ผืนดินไม่ได้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะจนหมด แต่ดินก็แข็งและหนาวเย็นไม่ต่างจากความชื้นในอากาศ สายลมที่พัดไปมานำพาความหนาวเหน็บจนทะลุไปถึงกระดูก!
ไกลออกไปมีภูเขาที่ยุบตัวลง เศษหินกระจายไปทั่วพื้นที่ ด้านใต้กองหินมีแอ่งดินที่มีศพสี่ศพนอนอยู่ ด้านบนแอ่งดินมีคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งออกไปไกล เหมือนจะได้รับบาดเจ็บ
หวังเป่าเล่อหรี่ตากลับไปมองคนที่กำลังวิ่งห่างออกไป เหมือนคนผู้นั้นจะไม่สังเกตถึงตัวตนของเขา พริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็ไปปรากฏอยู่ข้างๆ แอ่งดิน ดวงตาของเขาเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงศพทั้งสี่ พวกเขาเพิ่งตายได้ไม่นาน มีร่องรอยการถูกค้นตัว
ฆ่าชิงทรัพย์หรือ ชายหนุ่มลูบคาง จากนั้นก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือชี้ไปทางศพ
“วิญญาณ จงปรากฏ!”
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ออกไป ในวงแหวนปราณที่สร้างขึ้นจากดารานิรันดร์นับพัน การต่อสู้สุดดุดันได้เปิดฉากขึ้น เฉินชิงปลดปล่อยพลังรัศมีรุนแรงกว่าปกติ การตัดสินใจของหวังเป่าเล่อทำให้เขารู้สึกยินดีและสบายใจไม่น้อย
ชายชุดเกราะดูท่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขานึกว่าตนพบจุดอ่อนของเฉินชิงแล้ว ตอนแรกคิดจะใช้จุดอ่อนนี้ดึงความสนใจจากอีกฝ่ายไป เพราะแค่อีกฝ่ายเสียสมาธิไปเล็กน้อยก็จะสร้างโอกาสให้กับตนได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับผิดไปจากที่คาด เด็กหนุ่มที่เขาเคยมองว่าเป็นแค่มดปลวกกลับไม่ตกหลุมพรางที่ตนวางไว้
“ข้าใจร้อนเกินไป แผนของข้าน่าจะสำเร็จลุล่วงหากอดทนรออีกสักหน่อย!”
บทที่ 732 หลงหนานจื่อ!
ไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้ของเฉินชิงจะปิดฉากลงเมื่อใด มันอาจจะจบลงอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะยืดยาวออกไปไกล สำหรับผู้ฝึกตนในระดับนี้ เวลา…คืออาวุธ
หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พอจะเดาได้ เมื่อเขาโผล่ขึ้นบนผืนดินและมองไปยังโลกรอบตัว ก็ตระหนักได้ว่าตนน่าจะต้องใช้เวลาอยู่ในอารยธรรมที่ไม่รู้จักนี้ไปอีกสักพัก
นั่นเป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องรู้ให้ได้ว่าตนสามารถทำอะไรในที่แห่งนี้ได้บ้าง เขาตั้งผนึกมือ เรียกวิญญาณสี่ดวงของศพที่เพิ่งเสียชีวิตออกมาด้วยวิชาแห่งศาสตร์มืด เปลววิญญาณไม่สมบูรณ์ทั้งสี่มาปรากฏตรงหน้าก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณสี่ดวงที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้
หวังเป่าเล่อยกมือขวาตะครุบอากาศอย่างไม่ลังเลใจ ดวงวิญญาณทั้งสี่พุ่งเข้าไปในฝ่ามือ ภาพความทรงจำปรากฏขึ้นในหัวชายหนุ่ม
หลังจากจัดระเบียบภาพความทรงจำมากมาย เขาก็เชื่อมโยงเหตุการณ์ได้ว่าก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิตได้เกิดอะไรขึ้น ทั้งสี่และคนที่หนีไปสัมผัสได้ว่ามีดาวหางตกลงมาเพราะอยู่ในบริเวณนี้ จึงรีบมาตรวจสอบดู
หวังเป่าเล่อลองคำนวณดูแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าดาวหางที่พวกเขาเห็นนั้นคือโลงศพที่พุ่งลงมา อาจเป็นเพราะพลังบางอย่างของโลงศพ หรือศิษย์พี่ของตนอาจจะทำบางอย่างเข้า ระหว่างที่โลงศพเดินทางข้ามอวกาศจึงได้ดึงวัตถุดิบมีค่าจำนวนหนึ่งติดมาด้วย ผู้ฝึกตนทั้งห้าน่าจะมีข้อพิพาทกันเพราะเหตุนี้
สี่คนในกลุ่มตายระหว่างการต่อสู้ อีกคนหนึ่งรอดไปได้พร้อมอาการบาดเจ็บ ผู้รอดชีวิตได้ชิงเอาทุกอย่างและหลบหนีไป
น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ หวังเป่าเล่อไตร่ตรองข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้มา ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อได้พบข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้
อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของระบบสุริยะและครอบคลุมดาวเคราะห์ยี่สิบสามดวง ระดับการฝึกตนเหมือนกับที่หวังเป่าเล่อรู้จัก โดยแบ่งเป็นระดับดาวพระเคราะห์และระดับดารานิรันดร์
แต่โครงสร้างสังคมแตกต่างจากสหพันธรัฐ ในอดีต อารยธรรมแห่งนี้ปกครองโดยกษัตริย์ แต่พอเวลาผ่านไป ราชวงศ์ก็เริ่มเสื่อมอำนาจ ผู้คนเริ่มมีอำนาจมากขึ้น จากนั้นก็รวมตัวกันจัดตั้งสำนักขึ้นมามากมาย
ต่อมา ทรัพยากรเริ่มไม่เพียงพอ กลายเป็นโลกแห่งการแก่งแย่งชิงดี ราชวงศ์ไร้อำนาจที่จะเข้าไปจัดการอะไรได้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จึงเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นสังคมแห่งการปล้นฆ่า เป็นสถานที่อันชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยฝูงโจร!
พวกเขาปล้นชิงทั้งคนในอารยธรรมเดียวกันและต่างอารยธรรม ทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อให้ตนอยู่รอด ในอารยธรรมนี้ไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจน ยึดเพียงกฎที่ว่าผู้ที่แข็งแกร่งย่อมมีอำนาจเหนือผู้อ่อนแอ ทุกฝ่ายทุกสำนักต่างเดินเข้าสู่ด้านมืดทั้งสิ้น!
แต่โชคก็ยังเข้าข้างอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ อารยธรรมในดาวเคราะห์ต่างๆ และระบบดาวรอบๆ ไม่ได้ก้าวหน้ามาก อีกทั้งพวกเขายังพยายามไม่ไปรุกรานอารยธรรมที่แข็งแกร่งกว่า พอเวลาผ่านไปอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นพร้อมกับมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ถึงสามคน!
ถึงทั้งสามจะอยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะถืออำนาจเหนือทุกคนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกเขาตั้งสามสำนักใหญ่ขึ้นมา เข้ายึดอำนาจราชวงศ์ และยึดดาวเคราะห์หกถึงเจ็ดดวงเป็นของตนเอง สำนักเป็นแค่ชื่อในนาม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาคือกองโจร!
ภารกิจส่วนใหญ่ของพวกเขาคือรุกรานอารยธรรมต่างๆ หากเป้นไปได้ก็จะฆ่าปล้นชิงทุกอย่าง แต่ถ้าศัตรูแข็งแกร่งเกินไปก็จะชิงของเท่าที่ทำได้และหลบหนีไป ด้วยโครงสร้างอารยธรรมเช่นนี้ รวมถึงชื่อเสียงของสำนักทั้งสาม เหล่าสำนักย่อยจึงมอบทรัพยากรมากมายให้ทั้งสามสำนักเป็นบรรณาการเพื่อแลกกับการไว้ชีวิต พวกเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ทรัพยากรมาจำนวนมากถึงจะสามารถรักษาความสัมพันธ์กับกองโจรเหล่านี้ต่อไป
พวกสำนักย่อยจะคอยออกแยกย้ายกันไปหาทรัพยากรเพิ่ม เมื่อสามสำนักใหญ่ออกคำสั่ง พวกเขาก็จะร่วมกันปฏิบัติตาม ด้วยเหตุนี้เอง พลังและอำนาจของสามสำนักใหญ่จึงเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
ระหว่างที่ทั้งสามสำนักใหญ่คอยรวบรวมทรัพยากรและฝึกฝนศิษย์ ก็เริ่มมีผู้ฝึกตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณและขั้นเชื่อมวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระนั้น สถานการณ์ตึงเครียดของทั้งสามสำนักกลับไม่ได้หายไปไหน แต่ละฝ่ายต่างอยากจะยึดอีกสองสำนักมาเพื่อในฝ่ายของตนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ทั้งสามสำนักต่างแข็งแกร่งเทียบเท่ากัน โครงสร้างการปกครองสามฝ่ายนั้นไม่มั่นคงแม้แต่น้อย ทำให้แม้จะยังมีความบาดหมางกันอยู่ แต่พวกเขาก็ต่างพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาดุลยภาพของอำนาจไว้ไม่ให้สถานการณ์ทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้น
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังค้นความทรงจำของเหล่าดวงวิญญาณเพื่อหาข้อมูลของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพิ่ม เขาก็พบเบาะแสเกี่ยวกับยานพาหนะที่พวกเขาใช้ปล้นสะดม คนพวกนี้มีเรือบินขนาดเล็กแต่ดูมีมูลค่า เรือบินนี้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เขาจ้องมองอยู่เนิ่นนานก่อนจะกะพริบตาปริบ
ช่างดูคุ้นตา…
มันคือแมงกะพรุนสีดำนั่นเอง หวังเป่าเล่อเคยครอบครองอยู่ตัวหนึ่ง ชื่อของมันคือธาราจอมตะกละ เขามอบสิ่งนี้ให้หนึ่งในวิญญาณวุธของตน ตั้งใจจะทำลายผนึกดั้งเดิมและใช้มันเดินทางข้ามห้วงอวกาศ แต่ศึกกับโยวหรันทำให้ชายหนุ่มต้องนำธาราจอมตะกละมาซ่อมเรือสำปั้นแห่งความมืดแทน
เขานึกขึ้นได้ว่าเจ้าของดั้งเดิมของธาราจอมตะกละคือผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากนอกโลกสามคนที่เข้ามารุกรานสหพันธรัฐ ขณะที่กำลังนึกถึงความชั่วร้ายต่างๆ ที่คนเหล่านั้นทำ ใบหน้าของชายหนุ่มก็ดูแปลกไป เขานิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็หรี่ตาลง
หรือว่าพวกนั้นจะมาจากแถวนี้
แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่ไกลจากระบบสุริยะมากนัก…หรือเปล่านะ ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เขาค่อนข้างมั่นใจกับข้อสรุปของตนเอง โชคร้ายที่ดวงวิญญาณจากศพทั้งสี่มีสภาพไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้จากดวงวิญญาณพวกเขาได้มากนัก
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจแปลงกายเป็นหนึ่งในเหล่าศพ เพื่อที่จะได้เข้าไปแฝงกายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ตามหาแผนที่ดวงดาวของเขตนี้ และอาจหาข้อมูลสำคัญอื่นๆ เพิ่ม
แก่ไป ไม่เหมาะกับข้า
คนนี้เป็นผู้หญิง หน้าตาไม่ได้แย่ เสียดายจริง ไม่เหมาะกับข้า
คนนี้ผอมไป!
เหมือนว่าจะเหลือแค่คนนี้ คงต้องเป็นเขาแล้วล่ะ หลังจากตรวจดูเหล่าศพ หวังเป่าเล่อก็เลือกผู้ฝึกตนวัยกลางคนหน้าตาดีคนหนึ่ง
ก่อนตายเขาอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย หวังเป่าเล่อทราบว่าเขาชื่อหลงหนานจื่อจากความทรงจำที่หลงเหลือในดวงวิญญาณ หลงหนานจื่อเป็นสมาชิกสำนักย่อยที่ชื่อว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซึ่งขึ้นตรงต่อสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นสำนักเล็ก แต่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องการหลอมวัตถุเวท ทำให้มีอำนาจระดับหนึ่งในอารยธรรม นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นเป็นผู้อาวุโสประจำสำนัก จึงมีสิทธิ์มีเสียงในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ นอกจากจะออกปล้นเองแล้วยังมีโอกาสได้ร่วมปล้นสะดมกับสำนักใหญ่ด้วย
เหมือนว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะประสบปัญหาบางอย่างอยู่ในปัจจุบัน ศิษย์หลายคนต่างออกไปหาทรัพยากรเพื่อหลอมวัตถุเวทและเสริมขั้นการฝึกตนของตนเอง
เมื่อเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาวางไว้บนศพ ร่างมายาของเขาเริ่มแข็งตัว ผ่านไปสิบวินาที ก็เปลี่ยนรูปโฉมจนเหมือนผู้ฝึกตนที่นอนเป็นศพอยู่ตรงพื้น!
พลังที่แผ่ออกมาเหมือนศพผู้ฝึกตนไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่สหายคนสนิทของหลงหนานจื่อก็คงไม่สามารถแยกออกได้
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอกท่าทาง การแสดงออก และลักษณะนิสัยให้เหมือนหลงหนานจื่อ แต่จากความทรงจำของเขาทำให้รู้ว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่แสนชั่วร้ายนั้นไม่เชื่อใจใครอย่างจริงแท้ ทุกคนคอยระแวดระวังตัวกันตลอด ทำให้ไม่มีใครรู้จักเนื้อแท้กันและกัน
ถึงเขาจะไม่หล่อเท่าข้า แต่ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ยอมใช้เขาก็ได้ หวังเป่าเล่อจับใบหน้าตนเองพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบก ศพของหลงหนานจื่อกลายเป็นเถ้าธุลีพัดหายไปกับสายลม
ชายหนุ่มสำรวจร่างกายตัวเอง สัมผัสได้ถึงพลังในอากาศที่กำลังกดทับตนอยู่ พลังรัศมีของเขาเริ่มแปรเปลี่ยน พอพลังกดดันหายไป ปราณวิญญาณก็เริ่มเป็นมิตรกับสัมผัสมากขึ้น หวังเป่าเล่อสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้แล้ว พอไม่มีอะไรมาขวางกั้น ปราณวิญญาณก็ไหลเวียนเข้าสู่ร่างอย่างราบรื่น
ไปตรวจดูอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ดีกว่าว่ามีอะไรพิเศษอยู่หรือเปล่า… ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาก้าวไปข้างหน้าและทะยานขึ้นฟ้า พยายามรักษาระดับการฝึกตนให้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของหลงหนานจื่อ
หวังเป่าเล่อมองดินแดนประหลาดเบื้องล่างและฟากฟ้าไม่คุ้นตาด้านบนระหว่างเดินทางข้ามโลกใบนี้ ในใจเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาเป็นคนนอกในดินแดนที่ไม่รู้จักและอารยธรรมต่างดาวแห่งนี้ ชายหนุ่มไม่มีอะไรให้เสีย จึงตั้งตาคอยที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยาก!
บทที่ 733 สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์!
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นสำนักย่อยในสังกัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หนึ่งในสามสำนักใหญ่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้จะไม่มีอำนาจมากในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และมีคนในสำนักไม่ถึงหนึ่งพันคน แต่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็มีทักษะพิเศษด้านการหลอมวัตถุเวท ผู้อาวุโสสูงสุดประจำสำนักมีขั้นการฝึกตนสูง เขาบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณไปเมื่อหลายปีก่อนและคอยส่งของบรรณาการให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่เคยขาด
ทำให้ภารกิจที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้รับระหว่างการออกปล้นขนาดใหญ่เป็นภารกิจง่ายๆ ที่ไม่ได้อันตรายแต่ก็ได้ผลตอบแทนดี
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์คอยออกปล้นอยู่บ่อยๆ เพื่อกักตุนทรัพยากรให้มีเพียงพอสำหรับการหลอมวัตถุเวท สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย และได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์
โชคร้ายที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ดวงตกเมื่อได้เจอกับศัตรูสุดแข็งแกร่งตอนออกปล้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ส่งผลให้พวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้และไม่สามารถรวบรวมทรัพยากรมาเพิ่มได้ ตามปกติแล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นจะไม่เข้าไปช่วยเหลือในการออกปล้นของสำนักย่อย เว้นเสียแต่ทางสำนักย่อยจะต้องมอบทรัพยากรจำนวนมากกว่าที่ส่งมอบตามปกติ ทางสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จึงจะเข้าไปช่วย ทำให้ครั้งนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องพึ่งพาตนเอง
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เวลาส่งมอบของบรรณาการประจำปีที่ใกล้เข้ามาทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ทุกคนในสำนักเป็นกังวล พวกเขาต้องอยู่อย่างประหยัดในขณะที่ความกระหายอยากได้ทรัพยากรมาหลอมวัตถุเวทและเสริมขั้นการฝึกตนปะทุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขีดสุด
เหล่าศิษย์สำนักในมักจะออกไปนอกสำนักและใช้วิธีต่างๆ ในการดับความกระหายอยากได้ทรัพยากร บางคนรับหลอมวัตถุเวทให้คนอื่นๆ บ้างก็ออกไปเข้าร่วมกับสำนักอื่น ส่วนหนึ่งก็เริ่มตีกันเอง พวกที่เหลืออย่างหลงหนานจื่อเลือกออกไปค้นหาทรัพยากรตามดินแดนต่างๆ
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็เป็นสำนักที่ยืนหยัดมากว่าสองพันปี ดูได้จากสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อย่างอาคารประตูทางเข้าที่สร้างขึ้นจากดินดำและตั้งอยู่ในแนวภูเขาที่ห้าบนดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์
ใจกลางของดาวเคราะห์เป็นแอ่งแผ่นดินที่เป็นที่พำนักของราชวงศ์ ที่พำนักนี้ปิดไม่ให้สาธารณชนเข้าเป็นการถาวร ที่พำนักของราชวงศ์มีแนวเขาขนาดใหญ่แปดแห่งรายล้อมรอบบริเวณไว้เหมือนดังมังกรแข็งแกร่งแปดตัว แต่ละแนวเขาแยกจากการด้วยดินแดนขนาดใหญ่ บางคนกล่าวไว้ว่าพื้นที่ระหว่างแต่ละแนวเขาสามารถสร้างโลกขึ้นได้หนึ่งใบ และนั่นก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย!
แนวภูเขาสามแนวในสุดเป็นของสามสำนักใหญ่ มีการตั้งอาณานิคมขึ้น ที่ทำอย่างนั้นก็เพื่อประโยชน์สุขของดาวเคราะห์ สามสำนักใหญ่จะได้ช่วยคุ้มกันดาวเคราะห์ได้ดีขึ้น แต่เป้าหมายจริงๆ คือการคุมขังและกดดันเหล่าราชวงศ์
แนวภูเขาที่สี่ถึงแปดเป็นของสำนักย่อย ยิ่งใกล้แนวเขาด้านในเท่าไหร่ ปราณวิญญาณก็จะหนาแน่นขึ้น เป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ตั้งอยู่บนแนวเขาที่ห้า อาคารส่วนใหญ่สร้างมาจากดินดำ ซึ่งเป็นดินที่มีความสามารถในการดูดซับพลังปราณและสร้างศิลาวิญญาณ ทั้งสองสิ่งคือผลลัพธ์จากการพยายามอย่างหนักของเหล่าผู้บุกเบิกของสำนัก
ด้านนอกประตูสำนักมีรูปปั้นขนาดใหญ่สูงหลายพันเมตร สร้างจากศิลาวิญญาณที่บีบอัดจนถึงขีดสุดตั้งอยู่ หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นรูปปั้นที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยได้เห็นมาในระบบสุริยะ
นี่แค่สำนักย่อยหรือ ชายหนุ่มกะพริบตา ความทรงจำของหลงหนานจื่อทำให้เขาได้รู้ว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นอกจากจะเป็นสำนักเล็กๆ แล้ว ยังประสบปัญหาบางอย่างอยู่ ทว่ารูปปั้นที่หวังเป่าเล่อเห็นกลับชี้ให้เห็นสิ่งที่ต่างออกไป ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันมีมูลค่าเท่าใด แต่ก็มั่นใจว่าเงินที่ได้จากการขายรูปปั้นคงจะสามารถช่วยสำนักให้พ้นจากวิกฤตทางการเงินไปได้
ในหัวหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยคำถามมากมายขณะที่เขาทะยานข้ามฟากฟ้ามุ่งหน้าไปยังสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็มองดูรูปปั้นขนาดมหึมาอีกครั้ง จากนั้นก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะหันไปมองทางสำนัก อาคารสีดำ รวมทั้งตำหนักขนาดเล็กใหญ่นับพันปรากฏเด่นชัดในสายตา
สำนักนี้มีขนาดเท่าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สามเกาะรวมกัน แต่ประชากรที่มีอยู่กลับน้อยเสียจนน่าเวทนา เขาเห็นผู้คนประมาณร้อยกว่าคนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ไกลๆ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เห็นใครอื่นอีก ดูแล้วเหมือนว่าทั้งสำนักจะมีเพียงคนจำนวนร้อยกว่าที่กำลังเดินวุ่นไปมาเท่านั้น
หวังเป่าเล่อมองฝูงชนที่กำลังวุ่นกับธุระของตนเองอยู่ สีหน้าของเขาดูแปลกพิกลไป ชายหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันที่ได้รู้มาจากความทรงจำของหลงหนานจื่อในทันที
เป็นเพราะ…แทบจะทุกคนในสำนักกำลังทำลายที่พำนักของตนอย่างรวดเร็ว พวกเขาดูช่ำชอง สามารถรื้อตึกอาคารออกมาเป็นส่วนต่างๆ ได้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับสิ่งใดแม้แต่น้อย…
มีเสียงโห่ร้องดังก้องในอากาศ เหมือนกำลังพูดปลุกใจอยู่
“เร็วเข้าทุกคน วันนี้วันสุดท้ายแล้ว เราต้องรื้อบ้านสามร้อยหลังที่สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างสุดล้ำค้าที่เหลือให้หมด!”
“มาร่วมมือกันปฏิบัติภารกิจที่ทางสำนักมอบหมายให้สำเร็จกันเถอะ!”
“พรุ่งนี้เช้า ผู้อาวุโสสูงสุดจะมาเปิดประมูล คนที่ประมูลได้จะมีเวลาสองชั่วโมงในการรื้ออาคารใดก็ได้ที่ต้องการ!”
“ตอนนี้พวกเราต้องรื้อตึกที่มีค่าที่สุดก่อน จะปล่อยให้พวกคนที่มาประมูลได้ไปไม่ได้!”
เสียงโห่ร้องยังคงดังก้องไม่หยุด หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตะลึงงัน ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สำนักนี้ยากจนถึงขนาดที่ว่าผู้อาวุโสสูงสุดต้องเปิดประมูลทรัพย์สินของสำนัก ไม่ได้เป็นการประมูลสิ่งของที่กำหนดไว้แต่เป็นการประมูลเวลา มีการจำกัดจำนวนและระดับการฝึกตนของผู้เข้าร่วมการประมูล อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ใช้กระเป๋าคลังเก็บมาเก็บของ ผู้เข้าร่วมการประมูลสามารถหยิบอะไรไปก็ได้ในระยะเวลาที่กำหนด อาจมียกเว้นของบางอย่าง
พรุ่งนี้คือวันแรกของการประมูล เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสสูงสุดสั่งให้เหล่าศิษย์ถล่มตึกที่มีค่าที่สุดลงก่อนการประมูลจะเริ่ม…
เกิดอะไรขึ้นกัน… หวังเป่าเล่อนวดหน้าผาก เขาลังเลว่าควรจะสับเปลี่ยนตัวตนในปัจจุบันไปเป็นคนอื่นดีหรือไม่ ทันใดนั้นก็มีคนสังเกตเห็นชายหนุ่มและตะโกนเรียน
“หลงหนานจื่อ กลับมาแล้วหรือ มาช่วยกันเร็ว ผู้อาวุโสสูงสุดมีรางวัลให้ ทุกคนที่มาช่วยจะได้ศิลาวิญญาณชั้นยอดหนึ่งก้อนต่ออาคารหนึ่งหลังหากทำได้ในเวลาที่กำหนด!”
หวังเป่าเล่อยิ้มแหย คงไม่เหมาะถ้าจะกลับออกไปตอนนี้ จึงทะยานเข้าไปหากลุ่มที่ทำลายอาคารอยู่ ชายหนุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและยังได้ซึมซับความทรงจำของหลงหนานจื่อมา ทำให้ใช้เวลาสังเกตเพียงไม่นานก็สามารถทำตามได้อย่างรวดเร็ว แม้จะผลงานที่ออกมาจะไม่ได้ดีเยี่ยม แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้แย่กว่าคนอื่นมากนัก
ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจตลอดกระบวนการแยกส่วนอาคาร อาคารพวกนี้เหมือนจะแยกจากกัน แต่จริงๆ แล้วเชื่อมต่อกันในหลายๆ ส่วน เหมือนเป็นวัตถุเวทที่ประกอบขึ้นจากส่วนเล็กๆ มากมาย แต่ละชิ้นไม่ได้เชื่อมกันด้วยอักขราจารึก แต่เป็นด้ายพลังนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อนึกสนใจ เขาเริ่มพูดคุยกับผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปพร้อมๆ กับตรวจสอบอาคารที่สร้างจากวัตถุเวท
เหมือนอาวุธเวทของพวกบ้าสามคนนั้นเลย ไม่มีตัวอักขราจารึก ไม่ต้องใช้ศิลาวิญญาณมาเป็นแก่นหลัก ใช้พลังจากต้นกำเนิดดาราได้โดยตรง…อารยธรรมนี้เก่งกาจด้านการหลอมวัตถุเวทมาก วิธีการของพวกเขาต่างจากของสหพันธรัฐ แต่หลักการดูจะไม่ต่างกัน หวังเป่าเล่อสรุป จากนั้นก็นึกถึงกระบี่บินสามสีและแถบผ้าที่ได้มา
กระบี่บินถูกทำลายไปแล้ว แถบผ้าที่มีอยู่ก็เสียหายหนัก ชายหนุ่มเคยคิดจะซ่อมแซม แต่ก็ติดปัญหาหนึ่ง เขาเคยถอดแก่นออกมาและลงอักขราจารึกเพิ่มเข้าไป ตัวอักขราจารึกที่ใส่เพิ่มไปนั้นกลายเป็นเหมือนด้ายคุมหุ่นเชิดที่ช่วยให้ชายหนุ่มควบคุมวัตถุทั้งสองได้ แต่เมื่อไม่มีข้อมูลว่าวัตถุเวทเหล่านี้จริงๆ แล้วทำงานอย่างไร ก็เป็นเรื่องยากที่จะซ่อมได้
ทว่าตอนนี้ พอได้มาแยกส่วนประกอบอาคารรอบๆ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ว่าประตูแห่งความรู้เปิดกว้างอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดอยากสับเปลี่ยนตัวตน แต่ความคิดนั้นก็ได้หายวับไปแล้วเรียบร้อย
หวังเป่าเล่อลงมือทำงานหนักขึ้น ในที่สุดก็เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับตอนกลางดึก พวกเขาแยกส่วนประกอบอาคารมูลค่าสูงไปหลายร้อยหลังและได้รับศิลาวิญญาณหลายร้อยก้อนเป็นของรางวัล ด้วยความรู้ที่ได้จากการอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงและประสบการณ์การทำงานร่วมกับเจ้าพนักงานในสหพันธรัฐมาหลายปี ชายหนุ่มเข้าไปพูดคุยกับคนส่วนหนึ่งและวาดแผนผังความสัมพันธ์ขึ้นได้ว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหอสมุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์
เขาแลกศิลาวิญญาณที่ได้มากับบันทึกการหลอมวัตถุเวทและแผนที่ดวงดาว ที่จริงคงต้องใช้ศิลาจำนวนมาก แต่ทางสำนักกำลังยากจนข้นแค้นอย่างหนัก ทุกอย่างจึงลดราคาไปมาก หลังจากจ่ายศิลาไป หวังเป่าเล่อก็เก็บของต่างๆ และมุ่งหน้าไปหาอาคารที่ว่างอยู่ จากนั้นก็เริ่มศึกษาอย่างหนัก
หลายวันผ่านไป ในช่วงเวลานั้น การประมูลได้เริ่มต้นขึ้น การประมูลนั้นไม่ต่างจากพายุ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สูญเสียทรัพย์สินที่ครอบครองไปจำนวนมากหลังจากผ่านการประมูลไปหลายวัน หวังเป่าเล่อต้องเปลี่ยนที่พักอยู่หลายหน ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะรอดจากวิกฤติการณ์มาได้ แม้ศิษย์ที่จากไปจะกลับมาไม่ครบทุกคน แต่ก็มีนับร้อยที่กลับมา
ผู้อาวุโสสูงสุดออกมาประกาศว่าจะทำให้สำนักกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ศึกษาเอกสารและแผนที่ดวงดาวเสร็จสิ้น ดวงตาของเขาฉายแสงเป็นประกายมากกว่าครั้งก่อน ลมหายใจเริ่มถี่รัวขึ้นจนสังเกตเห็นได้ชัด
ข้าคิดถูก…ข้าไม่ได้อยู่ห่างจากระบบสุริยะมาก ถ้าวางแผนดีๆ ข้าจะสามารถส่งร่างอวตารกลับไปรับตำแหน่งผู้นำได้!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น