ลำนำบุปผาพิษ 727-750
บทที่ 727 ข้าไม่ชอบถูกผู้อื่นหลอก
แต่ในเมื่อพบเข้าแล้ว ก็ต้องเอ่ยทักทาย ดังนั้นเขาจึงยิ้มแวบหนึ่งเช่นกัน “ไม่นึกว่าจะได้พบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่นี่ รบกวนแล้ว”
ตี้ฝูอียังคงแช่อยู่ในน้ำ เอนกายพิงโชดหินที่อยู่กลางสระ เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงมองพวกเขาอย่างเฉื่อยชา สายตาเย็นชายิ่งนัก
หลงซือเย่ก็ไม่อยากเสวนากับเขาให้มากความ กล่าวออกมาว่า “เชิญทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตามสบายเถิด พวกเราไม่รบกวนแล้ว”
ดึงกู้ซีจิ่วหันหลังจะจากไป
มีเสียงน้ำแว่วขึ้นด้านหลัง ตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหลังนิ่งเงียบอยู่ตลอด อยู่ตรงนั้นประหนึ่งรูปปั้นก็มิปาน
“ซีจิ่ว พวกเราไปเดินเล่นที่ไหนต่อดี? ฉันรู้จักที่หนึ่งที่มีดอกไม้เบ่งบานมากมาย…” คล้ายว่าหลงซือเย่ปรารถนาจะชดเชยช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงต้องการอยู่กับเธอตลอดเวลา
ทว่าความกระตือรือร้นของกู้ซีจิ่วค่อนข้างลดทอนลงแล้ว จึงส่ายหน้านิดๆ “ข้ารู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง” ตอนนี้สุขภาพของเธอยังไม่สมบูรณ์ เดินไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเหงื่อตกแล้ว
ถึงแม้หลงซือเย่จะผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ยังตามใจเธอ “ได้! เธอกลับไปผักผ่อนให้ดีเถอะ”
….
กู้ซีจิ่วนอนอยู่บนเตียง รู้สึกปวดบั้นเอวอยู่บ้าง และตรงบาดแผลก็รู้สึกคันยุบยิบ เสมือนมีมดตัวเล็กๆ กัดตรงนั้นอยู่
เธอมุ่นหัวคิ้ว ตี้ฝูอีให้เธอพักผ่อนบนเตียงสองวัน แต่เธอพักบนเตียงแค่วันกว่าๆ ก็ลุกขึ้นมาเสียแล้ว ตอนบ่ายวันนี้ก็ดูเหมือนจะเดินเล่นมากไปหน่อย รู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก ทว่ากลับนอนไม่หลับอยู่บ้าง
คนนอนไม่หลับย่อมคิดฟุ้งซ่านได้ง่าย เธอเริ่มไตร่ตรองลู่ทางในอนาคตไว้ล่วงหน้า ดูเหมือนว่าจะแจ่มใสนัก
เธอพึ่งพาความสามารถตนจนเข้าชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งได้แล้ว ต่อไปความรู้ที่จะได้เล่าเรียนก็ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น
แถมเธอกับหลงซือเย่ก็สะสางข้อหมางใจกันแล้ว ภายหน้าไปมาหาสู่กันมากขึ้นก็ไม่เสียหายอะไร แถมคราวนี้หลงซือเย่จะมารับหน้าที่อาจารย์ที่ปรึกษาของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งเป็นเวลาครึ่งปี ต่อไปก็มีโอกาสให้ใกล้ชิดกันมากมาย
ชาติก่อนเขาเป็นครูฝึกของเธอ ชาตินี้เขาก็จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธออีกนับว่าสมบูรณ์ลงตัว
ขณะที่เธอครุ่นคิดอยู่ จิ้งจอกน้อยก็แวบมาเยี่ยมเธออีกครั้ง ซ้ำยังนำอาหารและโอสถมาส่งให้เธอด้วย
เมื่อกู้ซีจิ่วกินอาหารเสร็จ ก็มองดูยานั้น ยังคงเป็นยาสมานแผลระดับเจ็ดเม็ดหนึ่งเช่นเคย เม็ดยาแวววาวส่องประกายเล็กน้อยภายใต้แสงเทียน
เธอคล้ายถามเรื่อยเปื่อยออกไปประโยคหนึ่ง “นี่เป็นของที่เจ้าสำนักหลงให้เจ้านำมาให้หรือ?”
หลานไว่หูชะงักไปเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูก “อื้อ”
กู้ซีจิ่ววางยาลง มองนางด้วยสีหน้าเคร่งตึง “จิ้งจอกน้อย ข้าไม่ชอบถูกผู้อื่นหลอก แม้ว่าจะเป็นเจตนาดีก็ตาม!”
หลานไว่หูตกตะลึง มองกู้ซีจิ่วอย่างน่าสงสาร “ซีจิ่ว…”
“อืม พูดความจริงมา” กู้ซีจิ่วลูบหัวนาง
จิ้งจอกน้อยโกหกไม่เก่ง ดังนั้นจึงเล่าไปตามจริง “เป็นผู้คุ้มกันมู่เฟิงมอบให้ข้า…บอกว่ากลัวเจ้าไม่รับไว้ ดังนั้นเลยอ้างชื่อเจ้าสำนักหลงนำมาให้…ซีจิ่ว ยานี้ไม่ปกติหรือ?”
ย่อมปกติดี กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร เพียงสอบถามที่พักของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
เมื่อคืนหลานไว่หูหอบหมอนมาหา ยืนกรานว่าจะอยู่เฝ้าเธอที่นี่ กู้ซีจิ่วไล่นางก็ไม่ไป เลยได้แต่ให้นางอยู่
โชคดีที่ในเรือนพักนี้มีสองเตียง เพิ่มนางเข้ามาสักคนก็ไม่มีปัญหาอะไร
คืนนี้จิตใจกู้ซีจิ่วไม่สงบอยู่บ้างหลับได้ตื่นหนึ่งก็นอนต่อไม่ไหวแล้ว จึงหันไปมองหลานไว่หู แม่นางน้อยคงจะฝึกฝนวรยุทธ์มาทั้งวันเหนื่อยล้าเกินไป ยามนี้พอได้สัมผัสเตียงก็หลับสนิทแล้ว
เธอหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ สวมชุดคลุมแล้วออกไป
จันทร์สกาวกลางนภา ราตรีฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็น
กู้ซีจิ่วชั่งน้ำหนักเม็ดยาในมือ ครุ่นคิดแวบหนึ่ง ยังคงตัดสินใจจะนำไปส่งคืนให้ผู้อื่น
เธอกับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว หากกล่าวว่าผลมะเดื่อหิมะเป็นของรางวัล เช่นนั้นยาสมานแผลระดับเจ็ดเม็ดนี้นับเป็นสิ่งใด?
————————————————————————————-
บทที่ 728 เมื่อคิดคำนวณเช่นนี้แล้ว เธอก็ไม่ติดค้างเขาเลย
กู้ซีจิ่วเองก็เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถผู้หนึ่ง ย่อมทราบว่าโอสถนี้มีค่าระดับใด ต่อให้เป็นหลงซือเย่ก็ยังไม่แน่ว่าจะหลอมสิ่งนี้ออกมาได้ ราคาจะถูกได้อย่างไร?
เธอไม่อยากติดค้างน้ำใจผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุ
ในเมื่อตัดขาดแล้วเช่นนั้นก็ควรตัดขาดให้สมบูรณ์ ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ!
เธอเดินมาถึงที่ซึ่งทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายอยู่ในยามนี้แล้ว ช่างประเหมาะบังเอิญ เรือนพักที่ทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายสร้างขึ้นใหม่ก็สร้างไว้ตรงที่ดินร้างที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคยสร้างเรือนให้เธอ
กู้ซีจิ่วจำได้ว่าที่นี่เคยถูกพังราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าผ่านไปสามเดือน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะมาสร้างไว้ที่นี่อีกหลังแล้ว
ทำให้เธอเกิดความรู้สึกหลอนลวงว่า ‘นางแอ่นหน้าจวนหวังและเซี่ยแต่เก่าก่อน บินร่อนสู่ชายคาบ้านสามัญ’[1]
อาคารตั้งเรียงรายเป็นแถว และเป้นเรือนสามประสานเช่นกัน ถึงแม้ลักษณะการปลูกสร้างจะแตกต่างกับคฤหาสน์ในอดีตมาก แต่กู้ซีจิ่วกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
ความรู้สึกนั้นเสมือนการอ่านนิยายสองเล่ม เนื้อหาไม่เหมือนกันไปเสียทั้งหมด แต่ผู้อ่านก็สัมผัสได้ว่านิยามสองเล่มนั้นมีกลิ่นอายคล้ายคลึงกัน (ถ้าอ่านอย่างละเอียด ก็จะพบว่ามาจากนักเขียนบัดซบคนเดียวกัน)
เธอยังไม่ได้พบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ยามที่เคาะประตู ก็เห็นเพียงมู่เฟิงเท่านั้น
เมื่อมู่เฟิงเห็นเธอก็ค่อนข้างประหลาดใจ คล้ายจะนึกไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนถึงเรือนชานก่อน
ดึกดื่นแล้ว กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะเข้าไป จึงหยิบยาออกมาแล้วฝากมู่เฟิงนำไปส่งคืนแก่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย กล่าวว่าตนไร้ผลงานไม่อาจรับความชอบ
มู่เฟิงปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทางเย็นชา และไม่รับเรื่องนี้ไว้ บอกว่าถ้าเธอต้เองการส่งคืนจริงๆ เช่นนั้นก็นำไปคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วยตัวเอง อย่าทำให้ลูกน้องคนหนึ่งอย่างเขาต้องลำบากเลย
หู้ซีจิ่วหมดหนทาง ทำได้เพียงขอให้เขานำทางไป แล้วเธอจะเข้าไปคืนให้เขาด้วยตัวเอง…
แต่มู่เฟิงบอกเธอว่า ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ได้อยู่ในเรือน เขาออกไปตั้งแต่บ่ายจนดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ยังไม่ได้กลับมาเลย
เนื่องจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชอบไปมาอย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็น จึงไม่ให้ลูกน้องติดตามอยู่ข้างกายตลอด ดังนั้นต่อให้เป็นมู่เฟิงก็ไม่ทราบว่าเขาไปไหน
เพียงแต่มู่เฟิงบอกว่า ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยกล่าวไว้ ว่าจะไปร่วมพิธีปักปิ่นบรรลุนิติภาวะของเธอ…
หากว่าเธอไม่ต้องการรับของจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจริงๆ พรุ่งนี้เมื่อพบเขาค่อยคืนให้เขาด้วยตัวเองก็ได้
ยามที่มู่เฟิงจะปิดประตู ยังได้เอื้อนเอ่ยวาจาที่ทำให้กู้ซีจิ่วรู้สึกคลุมเครืออย่างน่าประหลาด “เมื่อเทียบกับสิ่งที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบให้แม่นางในยามปกติแล้ว โอสถเม็ดนี้ไม่นับว่าเป็นอันใดเลย ถ้าแม่นางไม่ไยดีมันจริงๆ หากรู้สึกว่ายาเม็ดนี้ทำให้แม่นางเสียหน้า เช่นนั้นก็ขว้างมันทิ้งเสียก็ได้”
พูดจบเขาก็ปิดประตู ปล่อยกู้ซีจิ่วไว้ด้านนอก
ระหว่างที่กู้ซีจิ่วกลับมาก็หวนนึกถึงภาพความทรงจำที่ตนและทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายปฏิบัติต่อกัน รู้สึกว่าตนเองดูเหมือนจะไม่ได้ผิดต่อเขาตรงไหน
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยเหลือเธอไว้หลายครั้งจริงๆ แต่อันตรายส่วนใหญ่ที่เธอพบเจอล้วนเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น…
อย่างเช่นบาดแผลคราวนี้ ประโยคที่ตี้ฝูอีกล่าวที่สนามกีฬาก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก หากเขาไม่กล่าวอะไรทำนองว่าเป็นตายไม่ถือโทษ อวิ๋นชิงหลัวผู้นั้นจะกล้าใช้กระบี่ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ทำร้ายผู้คนได้อย่างไร?
หากกระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ธรรมดา อย่างมากเธอก็แค่ถูกอวิ๋นชิงหลัวแทงทะลุเท่านั้น ไม่ถึงกับบาดเจ็บสาหัส และสามารถถอนได้ง่ายดายนัก อาศัยแค่ฝีมือหลงซือเย่เพียงคนเดียวก็เพียงพอจะรักษาเธอได้หายห่วงแล้ว ไหนเลยจะต้องเจ็บปวดจนก่อเป็นบุญคุณเช่นนั้น ย้ำยังเกือบจะกลายเป็นสวะไร้พลังอีก
แน่นอน ถึงสุดท้ายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะลงมือช่วยเธอ แต่ก็ยังใช้เงื่อนไขไร้คุณธรรมมาแลกเปลี่ยน ทำให้เธอกับหลงซือเย่ไม่อาจแต่งกันได้ชั่วชีวิต…
เมื่อคิดคำนวณเช่นนี้แล้ว เธอก็ไม่ติดค้างเขาเลย
เหตุใดสีหน้ามู่เฟิงจึงเหมือนเธอติดค้างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมากมายเหลือคณา?
ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เธอเดินช้าๆ ไปตามถนนเพียงลำพัง ความคิดก็แจ่มชัดกว่าที่ผ่านมา
————————————————————————————-
[1] เป็นบทกวีของหลิวอวี่ซี นักกวียุคราชวงศ์ถัง เนื้อหาสื่อถึงการหวนรำลึกถึงความรุ่งโรจน์ในอดีต
บทที่ 729 เธอแค่อยากสะสางปัญหาอย่างฉับไว
วันนี้ตอนที่เธอเดินเล่นอยู่ด้านนอกก็ได้ยินข่าวซุบซิบมาบ้าง กล่าวว่าเมื่อวานหลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรักษาเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปหาอวิ๋นชิงหลัวที่นั่น ลงโทษนางอย่างหนัก แทงทะลุอกนางหนึ่งแผล ทำให้อวิ๋นชิงหลัวที่บาดเจ็บอยู่แล้วบาดเจ็บเพิ่มอีก
ซ้ำยังกล่าวว่าที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมารับตัวนางไปหนึ่งเดือนมิใช่ให้นางไปปรนนิบัติรับใช้ แต่เป็นการนำตัวนางไปรับโทษในแดนทุรคาตามบัญชาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้ว
เวลาผ่านไปเพียงวันเดียว กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าสายตาที่ฝูงชนมองตนแตกต่างออกไปมาก มองเธอเสมือนมองคู่หมั้นของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ยามที่เธอกับหลงซือเย่เดินเคียงข้างกัน สายตาของฝูงชนก็มีค่อนข้างเลศนัย…
ตอนที่กู้ซีจิ่วได้ยินข่าวลือพวกนี้ ปฏิกิริยาแรกมิใช่เรื่องชู้สาวของตี้ฝูอีกับตน แต่เป็นเขาจะมาไม้ไหนอีก?
จากนั้นสภาพจิตใจก็ค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง เนื่องจากเธอเดาไม่ออกจริงๆ ว่าสรุปแล้วตี้ฝูอีต้องการอะไรกันแน่
เพราะตัดสินใจจะรับรักหลงซือเย่แล้ว ดังนั้นวันนี้กู้ซีจิ่วจึงปฏิเสธที่จะคิดเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงไม่กระจ่างเหล่านั้น เธอแค่อยากสะสางปัญหาอย่างฉับไว ไม่ให้ผู้อื่นต้องเสียใจ และไม่ให้ตนต้องเสียใจภายหลัง
บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้เงียบสงบเกินไป เลยทำให้คนคิดมากไปหน่อย
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ ว่าที่สนามกีฬาตี้ฝูอียืนกรานให้เธอกับอวิ๋นชิงหลัวประลองรอบที่สาม หรือเพราะเขามีสายกว้างไกล? ทราบว่าต่อให้รอบที่สองเธอชนะไม่ได้แต่รอบที่สามจะชนะแน่นอน
ความสามารถของเขาเพียงพอจะมองจุดนี้ออก
แต่ว่า ต่อให้พอเข้าใจเหตุผลข้อนี้ได้ ทว่ายามอยู่บนเวทีประลองเขาก็ทราบอยู่ชัดเจนว่าวรยุทธ์ของอวิ๋นชิงหลัวเหนือกว่าเธอมาก ก็ยังยืนกรานให้เดิมพันด้วยชีวิตอยู่มิใช่หรือ? หรือก็เป็นเพราะหวังดีต่อตัวเธอด้วยเหมือนกัน?
ยังมีอีกคืนเทศกาลความรักเขาอี๋อ๋ออยู่กับอวิ๋นชิงหลัวชัดๆ มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า สักประโยคก็คร้านจะเอ่ย…
คำพูดทำนองว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายปักใจรักเธออย่างล้ำลึกอะไรนั้นล้วนเป็นคำโป้ปด! เธอไม่เชื่อหรอก!
เธอเดินไปตามทาง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะหยักยิ้มมุมปาก
โง่งมนัก ข่าวลือพวกนั้นเดิมทีก็ไม่มีความน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่อยู่แล้ว ตนยังจะขบคิดอยู่ตั้งนานสองนานอีก
จู่ๆ ก็มีเสียงน้ำแว่วมาจากด้านหน้า เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นฝีเท้าก็ชะงักไป
เท้าเธอเดินสะเปะสะปะไปเรื่อย เดินมาจนถึงสระเก้ามังกรล่องธาราแห่งนั้นแล้ว
ก่อนหน้านี้เธอเคยเดินมาถึงที่นี่พร้อมกับหลงซือเย่ ได้พบตี้ฝูอีแช่น้ำอยู่ที่นี่…
ที่นี่อยู่ไกลจากที่พักของเธอ พอเธอใจลอยก็ชอบเดินสะเปะสะปะไปเรื่อยเป็นข้อเสียที่ใช้ไม่ได้โดยแท้
ตอนที่เธอมากับหลงซือเย่เขายังอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังอยู่หรือไม่?
เธอรู้สึกอดไม่ได้อยากไปดูที่ริมสระสักหน่อย แต่พอย่างเท้าได้สองก้าวก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้
เธอไปจากสระนี้ใกล้จะครบสามชั่วโมง ตี้ฝูอีจะแช่น้ำอยู่ที่นี่ตลอดได้อย่างไรกัน? เขาไม่กลัวว่าตัวจะเปื่อยบ้างหรือ?
ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็มาถึงที่นี่จนได้ ดูเหมือนถ้าไม่ก้าวเข้าไปดูสักหน่อยก็ไม่แล้วใจ
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเดินเข้าไปดู ภายใต้แสงจันทร์สลัวน้ำในสระไม่นับว่าเรียบนิ่งนัก เนื่องจากมีน้ำตกไหลลงมาบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นในสระจึงมีระลอกคลื่นเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ในระลอกคลื่นระยิบระยับไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น
ในใจเธอลอบขบขันที่ตนสงสัยมากไป พลางหันหลังคิดจะจากไปทันที
แต่ในวินาทีที่กำลังหันหลัง ตรงหางตายคล้ายมองเห็นสีแดงสายหนึ่งอยู่ด้านล่างม่านน้ำตกเก้าสาย
ใจเธอเต้นแรงแวบหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าตอนที่แช่น้ำตี้ฝูอีสวมชุดแดง…
จึงรีบหันกลับไปมองอีกครั้ง
แสงจันทร์ส่องสลัว และจุดนั้นค่อนข้างไกลจากริมฝั่งด้านนี้ ละอองน้ำแตกซ่านเซ็น เธอมองไม่ออกจริงๆ ว่าตรงนั้นมีคนหรือไม่ เพียงแต่สัมผัสได้รางๆ ว่าที่นั้นคล้ายจะมีแพรแดงชิ้นหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้น
————————————————————————————-
บทที่ 730 แต่ก็ไม่ปรารถนาให้เขาตาย!
กู้ซีจิ่วชะงักอยู่ตรงริมฝั่งครู่หนึ่ง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็พุ่งลงไปในน้ำ ว่ายไปในทิศทางนั้น
เดิมทีร่างกายเธอมีบาดแผลอยู่ ถึงแม้จะดีขึ้นมากแล้ว แต่บาดแผลนั้นยังคงอยู่ ร่างกายก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงมากนัก การลงมาอยู่ในน้ำในยามนี้คือการรนหาที่!
ดึกดื่นค่อนคืนกระโดดลงมาในน้ำที่เย็นเฉียบถึงเพียงนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเศษผ้าชิ้นนั้นคืออะไรกันแน่ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าสมองตนคงจะเลอะเลือนแล้ว…
โชคดีที่ทักษะการว่ายน้ำของเธอไม่เลว ว่ายไปใกล้น้ำตกนั้นอย่างรวดเร็ว และมองเห็นแพรแดงชิ้นนั้นชัดเจนแล้ว…
หัวใจพลันเต้นรัวดั่งตีกลอง!
นั่นคืออาภรณ์ที่พลิ้วไหวผืนหนึ่ง สีแดงดั่งแสงอัสดง คือชุดที่ตี้ฝูอีสวม!
อาภรณ์อยู่ที่นี่ แล้วคนเล่า?
เธอว่ายเข้าไปอีกสองสามช่วง งมอาภรณ์ชุดนั้นแล้วดึง มือพลันหนักอึ้ง แล้วคนผู้หนึ่งก็ถูกเธอลากขึ้นมาจากน้ำ!
หัวใจกู้ซีจิ่วแทบจะเด้งออกมาจากทรวงอก!
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่ทรงอำนาจถึงเพียงนี้จมน้ำเข้าเสียแล้ว…
บัดนี้ร่างเขาเปียกปอนไปหมด ดวงตาปิดสนิท ริมฝีปากเม้มแน่น ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย…
กู้ซีจิ่วใจหายวาบ ถอดหน้ากากเขาออกดูทันทีโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด สีหน้าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ซีดขาวยิ่งกว่าหิมะ ริมปากก็มองแทบไม่เห็นสีเลือดใดๆ แล้ว ดวงตาปิดแน่น แม้แต่ขนตายาวเป็นแพก็เปียกชุ่ม แม้กระทั่งทรวงอกก็ไม่เห็นการสะท้อนขึ้นลง…
คงมิใช่จมน้ำตายไปแล้วกระมัง?!
กู้ซีจิ่วรีบอังลมหายใจเขา ไม่มีลมหายใจใดๆ
จึงจับชีพจรเขาต่อ ลองสัมผัสหลอดเลือดที่คอ…
ชีพจรไม่เต้น หลอดเลือดที่คอหยุดนิ่ง ไม่มีลมหายใจ ม่านตา…แสงจันทร์สลัวเกินไป มองไม่เห็นม่านตา ไม่รู้ว่าขยายหรือไม่ เมื่อสัมผัสมือเท้าต่อ เย็นเฉียบแล้วเช่นกัน
โชคดีที่ร่างกายยังไม่แข็งทื่อ…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเก่งกาจถึงเพียงนั้นกลับมาจมน้ำตายที่นี่…กู้ซีจิ่วรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ ขณะเดียวกันก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก
ไม่คำนึงถึงสิ่งใด รีบลากเขาไปทันที
ตัวเธอเองก็บาดเจ็บ ใช้พลังวิญญาณและกำลังภายในไม่ได้ ทำได้เพียงใช้เรี่ยวแรง ถ้ากล่าวกันตามเหตุผลแล้วตอนนี้เธอก็ไม่มีเรี่ยวสักเท่าใด
แต่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเธอไปแรงฮึดมาจากไหน เพียงครู่เดียวก็ลากเขาขึ้นมาบนฝั่งได้
หลังจากขึ้นฝั่งแล้วมือเท้าก็อ่อนแรงไปชั่วขณะ หวิดจะล้มกองบนร่างเขา
รีบร้อนลุกขึ้น ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เริ่มทำการปั้มหัวใจ…
“ตี้ฝูอี เจ้าอย่าตายนะ…”
“ฮึ่ม เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนั้น มาจมน้ำตายที่นี่ไม่น่าขำไปหน่อยหรือ?!”
“เจ้าลืมตาสิ! นี่เจ้ากำลังฝึกวรยุทธ์อันใดอยู่ใช่ไหม? หะ อย่าหลับนะ ตื่นขึ้นมา!”
เธอฝึกฝนวิธรนี้จนชำนาญแล้ว ทำไปพลาง ตะโกนเรียกเขาไปพลาง
เมื่อตรวจสอบช่องท้องของเขา ก็ไม่คล้ายว่าดื่มน้ำเข้าไปจนเต็มที่ จมูกและปากของเขาถึงขั้นไม่มีร่องรอยการสำลักน้ำเลยด้วยซ้ำ…
ทำอยู่พักใหญ่ก็ไม่เป็นผล เขายังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม
กู้ซีจิ่วร้อนใจแล้วจริงๆ
ถึงแม้เธอจะค่อนข้างชิงชังเขา แต่ก็ไม่ปรารถนาให้เขาตาย!
จึงตัดสินใจผายปอดให้เขาอีกครั้ง…
ริมฝีปากเขาเย็นเยียบทว่าอ่อนนุ่ม ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ กลิ่นหอมบนร่างเขาดูเหมือนจะเข็มข้นกว่ายามปกติ ทั่วฝั่งอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนจางนี้
กลิ่นหอมนี้ดึงดูดเย้ายวนยิ่งนัก ทำให้คนที่ได้กลิ่นมัวเมา ต้องการดำดิ่งล้ำลึก
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นแรงยิ่งนัก เพียงแต่มิใช่เพราะถูกกลิ่นหอมบนร่างเขามอมเมา แต่เป็นเพราะตกใจ!
เธอถึงขั้นไม่สังเกตเห็นกลิ่นหอมอันเข้มข้นบนร่างกายเขา สมองเต็มไปด้วยความคิดว่าเขาจะตายไม่ได้เด็ดขาด สมองเปี่ยมด้วยความคิดจะช่วยชีวิตคน
ผายปอดให้เขาเป็นร้อยครั้ง กู้ตัวกู้ซีจิ่วเองก็เวียนหัวตาลายแล้ว คนผู้นั้นก็ยังคงนิ่งเหมือนตายอยู่
บทที่ 731 เหตุใดถึงไม่ต้องการข้า
กู้ซีจิ่วนั่งหอบด้วยความเหนื่อยอยู่ข้างร่างเขา ความหวาดหวั่นในจิตใจซัดสาดดั่งกระแสคลื่น โหมขึ้นดั่งคลื่นสมุทร แม้แต่ปลายนิ้วก็สั่นระริก
ทันใดนั้นดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบกระเด้งตัวขึ้นมาทันที!
หลงซือเย่! หลงซือเย่เป็นเซียนแพทย์ แถมยังเป็นวิชาเรียกวิญญาณ บางทีอาจจะช่วยชีวิตเขาได้!
เธอลุกขึ้นมา๘ระที่กำลังจะวิ่งไป จู่ๆ ก็รู้สึกว่าชายกระโปรงที่เปียกโชกของตนถูกเขายึดไว้…
สายตาเธอเปล่งประกายทันที
เขายังไม่ตายสินะ? ยังมีชีวิตอยู่สินะ?
เธอรีบก้มลงไปดู มองเห็นดวงตาตี้ฝูอียังคงปิดสนิทเช่นเดิม แต่มือกลับยกขึ้นมายึดชายกระโปรงของเธอไว้ ข้อนิ้วขาวซีดเล็กน้อย
ศพเส้นกระตุก? หรือว่ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ?
มือเธอแตะชีพจรเขาตามสัญชาตญาณ สัมผัสได้ว่าชีพจรเต้นอยู่แผ่วๆ
เธอมองดวงตาของคนผู้นี้ที่ปิดอยู่ตลอด…
หรือเจ้าคนบัดซบผู้นี้จะแกล้งตายเพื่อหลอกให้เธอตกใจ?! เมื่อเห็นว่าเธอจะไปถึงได้ ‘ฟื้น’ ขึ้นมา!
เธอสังเกตเขาอย่างละเอียด ถึงแม้ใบหน้ายังซีดขาวอยู่ แต่ทรวงอกมีการหายใจแล้วเล็กน้อย แพขนตาก็สั่นไหวนิดหน่อย ไหวระริกจนหยดน้ำบนนั้นเจียนจะร่วงหล่น
เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก เขาฟื้นแล้ว ทว่าไม่อยากลืมตาขึ้น ยังคิดจะหลอกเธอต่อหรือ?
เธอดึงชายกระโปรงของตัวอ ยิ้มอย่างเย็นชา “ตี้ฝูอี เจ้ายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?!”
อีกฝ่ายไม่ได้ลืมตาขึ้นมา แพขนตายาวยังคงบดบังดวงตา แต่นิ้วมือที่ยึดกระโปรงเธอไว้กลับยึดแน่นยิ่ง ยึดจนข้อนิ้วงดงามซีดเซียวไปหมด
โทสะสุมทรวงกู้ซีจิ่ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป พยายามดึงชายกระโปรงของตนสุดกำลัง คิดจะดึงออกมาแล้วจากไปเสีย
ไม่ทันได้ระวังจู่ๆ อีกฝ่ายก็ออกแรงดึง เรี่ยวแรงของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เกิดเสียงดังแควก กระโปรงของกู้ซีจิ่วถูกดึงขาดไปครึ่งผืน ตัวเธอก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลนั้นฉุดให้ซวนเซ ปลายเท้าสะดุด ล้มทับร่างเขาเสียงดังตุบ ล้มลงไปในอ้อมแขนเขา หน้าผากชนแผ่นอกเขา เขาร้องอักคราหนึ่ง กู้ซีจิ่วก็ตาลายจนเห็นดาว
โทสะเธอพวยพุ่งสูงสามจั้ง! มือเท้าสับสนอลหม่านคิดจะคลานออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่พอร่างกายขยับเขยื้อน แขนของเขาก็โอบเธอไว้ รัดเอวเธอไว้ปานคีมเหล็ก “อย่าไป!” เสียงเขาแหบพร่าอย่างยิ่ง
และเมื่อเขาเอ่ยวาจานี้ออกมา กลิ่นสุราก็คละคลุ้งออกมา อบอวลไปทั่วชายฝั่งทันที ราวกับมีไหสุราใบหนึ่งถูกทุบแตกตรงนั้น
นี่เขาแช่ถังสุรามาหรือไง?
สรุปแล้วเขาดื่มสุราไปมากน้อยเพียงใดกัน?!
กู้ซีจิ่วแงะมือของเขาที่รัดเอวตนอยู่ “นี่ เจ้าปล่อยมือ…”
“อย่าไปนะ ได้ไหม?” เสียงเขาแผ่วหวิว ราวกับอ้อนวอน
กู้ซีจิ่วเห็นว่าเขาลืมตาแล้ว แพขนตายาวยังคงเปื้อนหยดน้ำ ดวงตาที่ลึกล้ำดังมหาสมุทรคู่นั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ ก้นบึ้งดวงตาจารึกความเจ็บปวดและสับสนเอาไว้
กู้ซีจิ่วรู้จักเขามาเนิ่นานานปานนี้ เพิ่งเคยเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เขาผู้สูงส่งเหนือคนทั้งปวงยามนี้กลับเปราะบางดั่งเด็กน้อยที่หาครอบครัวไม่พบ
“ข้าไม่ไปหรอก ท่านปล่อยมือก่อนสิ…” กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะพูดจาหว่านล้อม
เธอยังคงนอนคว่ำบนร่างเขาอยู่ คนทั้งสองตั้งเปียกโชก เมื่อลมแม่น้ำพัดมา กู้ซีจิ่วรู้สึกหนาวอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะขยับเขยื้อนเล็กน้อย
“เหตุใดถึงไม่ต้องการข้า?” ตี้ฝูอีกระซิบ ยังไม่ยอมปล่อยเธอ น้ำเสียงยังคงแหบแห้งยิ่งนักเช่นเดิม “เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าข้าดีกว่าผู้อื่นทุกอย่าง…”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เขามีสติอยู่หรือเปล่า?
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…” กู้ซีจิ่วลองเรียกเขาดู “ท่านพูดกับข้าอยู่หรือ?”
“ข้าดีต่อเจ้าทุกอย่างแท้ๆ…ทำไมล่ะ…ทำไมถึงไม่ต้องการข้า? ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…” ริมฝีปากบางเฉียบของเขาเม้มแน่น คิ้วขมวดน้อยๆ ราวกับเด็กน้อยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
————————————————————————————-
บทที่ 732 ยิ่งดิ้นอ้อมกอดก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น
หัวใจกู้ซีจิ่วคล้ายถูกอะไรบางอย่างซัดเข้าอย่างจัง “อะ…อะไรนะ?”
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เม้มปากมองเธอ
กู้ซีจิ่วถูกเขามองจนหนังหัวชาหนึบแล้ว ประกอบกับริมฝั่งหนาวเย็นนัก ถึงแม้คนทั้งสองจะกอดกันกลมดั่งมัจฉาผสานร่างก็มอบความอบอุ่นเล็กน้อยให้แก่กัน แต่วันนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผิดปกติยิ่งนัก เขายังมีชีวิตอยู่ชัดๆ เป็นคนเป็นคนหนึ่ง แต่ร่างกายกลับเย็นเฉียบเหมือนคนตายอยู่เช่นเดิม ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่มีพลังวิญญาณคุ้มกาย เมื่ออยู่ในอ้อมกอดเขาจึงหนาวจนตัวสั่น
คนผู้นี้คงดื่มจนเมาแล้วพูดออกมาด้วยความเมากระมัง?
เขารู้บ้างไหมตัวเองพูดอะไรอยู่?
กู้ซีจิ่วดิ้นรนไม่ออกไปชั่วขณะ นอนกองอยู่บนร่างเขา มองเขาอย่างจริงจัง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ทราบหรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด?”
ตี้ฝูอียังคงมองเธอเงียบไม่พูดไม่จา ในดวงตาของเขาสะท้อนเงาร่างของเธอออกมา ฉากหลังของเธอคือท้องฟ้าที่กลาดเกลื่อนด้วยหมู่ดาว
“นี่ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านมีมีสติอยู่หรือเปล่า?” กู้ซีจิ่วโบกมือไปมาเบื้องหน้าเขาอย่างเอาจริงเอาจัง
ริมฝีปากบางของตี้ฝูอีเม้มเน้นยิ่ง ดวงตาแดงก่ำเช่นเดิม จ้องมองเธออย่างเลื่อนลอย
เมาจริงๆ ด้วย! ไม่มีสติเลย!
ผู้อื่นดื่มจนเมาแล้วอาจจะง่วงหรืออาละวาดเล็กน้อย แต่อาการเมาท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไม่เหมือนผู้อื่น เขาดำลงไปใต้น้ำแล้วฝึกวิชาลมหายใจเต่า ทำให้เธอว่าเขาจะจมน้ำเสียแล้ว!
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถามหาเหตุกับคนเมา กู้ซีจิ่วย่อมไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่องกับเขา
เขาเหมือนเด็กน้อยที่ไขว่คว้าของเล่นมาอย่างยากลำบาก กอดเธอเอาไว้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
วรยุทธ์ของเขาสูงเกินไป วรยุทธ์ของเธอต่ำเกินไปแถมยังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอด้วย ยามนี้ฝืนดิ้นรนย่อมไม่เป็นผลดี และดิ้นไปก็ไม่หลุด
ถึงขั้นที่ว่ายิ่งดิ้นอ้อมกอดก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น…
กู้ซีจิ่วเชี่ยวชาญในการรับมือกับคนเมายิ่งนัก ชาติก่อนหากว่าเพื่อนของเธอดื่มจนเมา ปกติแล้วเธอใช้น้ำเย็นแก้วเดียวก็ทำให้สร่างได้แล้ว…
แต่ตอนนี้เธอเพิ่งลากเขาขึ้นมาจากน้ำเย็นเฉียบแล้วน้ำเย็นแก้วหนึ่งจะทำให้เขาสร่างได้อย่างไร? กู้ซีจิ่วสงสัยในความเป็นไปได้นี้อย่างจริงจัง
ยามนี้เธอและเขานอนอยู่ริมสระ มีระยะห่างจากสระสองฉื่อ
กู้ซีจิ่วดิ้นไปดินดิ้นมาดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดจากอ้อมกอดเขา จึงเริ่มหาวิธีเคลื่อนย้ายไปทางสระน้ำ…
ร่างกายเธอดิ้นยุกยิกอยู่ในอ้อมแขนเขา จากนั้นก็พบว่าร่างกายที่อยู่ใต้ร่างดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาขึ้นมา ไม่เย็นยะเยือกอีกต่อไป อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาเพียงสามสี่นาทีก็ทำให้กู้วีจิ่วรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนตนทับอยู่บนเตาย่างที่ถูกแดดแผดเผา…
เธอไม่หนาวเหน็บแล้ว ทว่าในใจกลับเริ่มสังหรณณ์ไม่ดีขึ้นมา!
เนื่องจากเธอพบว่าร่างกายของตี้ฝูอีมีปฏิกิริยาพิเศษบางอย่างขึ้นมา…ปฏิกิริยาของเพศชาย
บางแห่งเริ่มแข็งเป็นลำขึ้นมาปานแท่งเหล็ก ขวางกั้นไว้ด้วยอาภรณ์บางๆ ของทั้งสองฝ่าย ดุนดันหน้าท้องเธอคอแร้ง ทำให้เธอยากมองข้ามก็ทำไม่ได้!
เธอตื่นตระหนกอยู่บ้าง ตี้ฝูอีที่อยู่ใต้ร่างนอกจากร่างกายที่ซื่อสัตย์แล้ว ส่วนอื่นดูคล้ายว่าปิดการทำงานไปหมดแล้ว
เธอพูดคุยกับเขา ดิ้นรน อ้อนวอน ข่มขู่ ถึงขั้นหยิบกระบี่สั้นเล่มหนึ่งออกมาจ่อคอเขา…
ใช้กลอุบายไปสารพัดแล้ว แต่กลับเป็นดั่งวัวดินจมสมุทร ไม่เป็นผลเลย
แถมเขายังนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ดวงตาคู่นั้นมองดูเธอ เริ่มแรกยังดูเจ็บปวดและสับสน ต่อมาคล้ายเพ่งพินิจพิจารณา จากนั้นแววตาก็เปลี่ยนลุ่มลึก ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ…
แขนข้างหนึ่งของเขารัดเอวเธอไว้ ทำให้ร่างกายเธอแนบชิดกับเขา ระหว่างคนทั้งสองมีเพียงเสื้อผ้าบางๆ สองชั้นขวางกั้นไว้ ไม่มีช่วงว่างเลยสักนิด
เขารูปร่างสูง เมื่อเทียบกับเขาแล้วกู้ซีจิ่วดูตัวเล็กกะทัดรัดไปเลย ทั้งตัวถูกร่างกายเขาโอบล้อมไว้
บทที่ 733 ลากเขาลงน้ำ!
อุณหภูมิร่างกายเขาร้อนผ่าว กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนกำลังจะลุกไหม้แล้ว!
เธอดิ้นรนอย่างหนัก ทว่าจู่ๆ เขากลับรัดเธอไว้แน่น ไม่รู้ว่าเจตนาหรือบังเอิญ ร่างกายส่วนนั้นของเขาชนเธอเข้าเล็กน้อย…
ดุนดันเนื้อผ้าที่กั้นอยู่ระหว่างคนทั้งสอง ชูชันอยู่ตรงกลางหว่างขา
ดวงหน้าพริ้มเพราของกู้ซีจิ่วแดงเถือกแล้ว!
มือของเธอที่กุมกระบี่สั้นไว้สั่นระริก คมกระบี่บาดลำคอเขาจนโลหิตสายหนึ่งไหลออกมา โลหิตไหลย้อยไปตามคมกระบี่ ซึมไปตามนิ้วที่จับกระบี่ไว้ของกู้ซีจิ่ว…
กู้ซีจิ่วใจหายวาบ อดไม่ได้ที่รั้งกระบี่สั้นกลับมา
แต่จู่ๆ เขากลับพลิกกายขึ้นมาทั้งที่ยังกอดเธอไว้ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าฟ้าดินพลิกหมุนไปชั่วขณะ เมื่อเธอปฏิกิริยาตอบสนองอีกครั้งก็ถูกเขากดไว้ใต้ร่างแล้ว
เธอไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองอื่นใดต่อ ริมฝีปากของเขาก็ทาบทับลงมา ปิดกั้นริมฝีปากเล็กที่เผยอน้อยๆ ของเธอ!
ในสมองกู้ซีจิ่วเกิดเสียงดังตูม ว่างเปล่าไปชั่วขณะ…
จูบของเขาทั้งดุดันและเร่งร้อน ปานนักเดินทางในทะเลทรายที่สุดแสนหิวกระหายแล้วจู่ๆ ก็ได้พบแหล่งน้ำ ในที่สุดก็ได้ลิ้มรสหวานชุ่มชื่นในนั้นได้ ปล้นชิงอย่างบ้าระห่ำปานพายุคลั่ง กวาดม้วนร่างเธอเข้าไป
ร่างกายเขาร้อนระอุ ริมฝีปากก็ร้อนผ่าว จุมพิตร้อนแรงรุกรานริมฝีปากของเธอก่อน จากนั้นก็ปลายคางของเธอ กระดูกไหปลาร้าเธอ ลากไล้ลงเรื่อยๆ ละเมียดละไม
ประสาทสัมผัสทุกส่วนในร่างกายล้วนเปลี่ยนเป็นเฉียบคม ทุกเซลล์ร้อนวูบวาบและคันยุบยิบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เกิดความปรารถนาขึ้นมาอย่างน่าประลาด
ไม่รู้ว่าว่าอาภรณ์ของเธอถูกเขาถอดออกไปยามไหน เพิ่งจะสัมผัสถึงอากาศเย็นยะเยือกก็ถูกริมฝีปากของเขาทาบทับอีกครั้ง ริมฝีปากนั้นร้อนผ่าว ประทับจูบลงตรงไหน ตรงนั้นก็ร้อนดั่งถูกไฟลวก ร้อนเข้าไปถึงหัวใจคน จากนั้นความร้อนนั้นก็ปะทุออกมาจากหัวใจ ไหลไปตามเส้นเลือด พุ่งสู่ปลายจมูก ดวงตาแสบร้อน ราวกับจะระเบิดความอยุติธรรมที่ได้รับออกมา…
อุณหภูมิรอบข้างพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปลายจมูกของกู้ซีจิ่วมีหยาดเหงื่อซึมออกมา
บนร่างเขามีกลิ่นสุราคละคลุ้ง กู้ซีจิ่วรู้สึกเบลอราวกับตนเองก็เมามายไปด้วย สมองว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด ความคิดทั้งหมดสับสนวุ่นวาย
อันที่จริงถ้าเธอคิดจะหยุดเขาก็ง่ายดายนัก ใช้กระบี่สั้นแทงเขาสักแผลก็ได้แล้ว หลังจากนั้นผลักเขาออกไปโดยไม่กริ่งเกรงว่าจะเจ็บปวด
แต่เธอกลับถือกระบี่ไว้โดยไม่แทงออกไป ซ้ำยังวางกระบี่เล่มนั้นลงราวกับเกรงว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บ…
จวบจนริมฝีปากของเขาสัมผัสบาดแผลตรงหน้าอกของเธอ นอกจากอาการปวดแปลบเล็กน้อยแล้ว กู้ซีจิ่วก็เหมือนถูกไฟฟ้าช็อตแวบหนึ่งจนได้สติขึ้นมา!
เธอรีบลืมตาโพลง มองเห็นศีรษะเขาซุกอยู่ตรงหน้าอกเธอ เส้นผมดำขลับดั่งน้ำหมึก ยังคงเปียกชุ่มอยู่
โอ้สวรรค์ นี่เธอกับเขากำลังทำอะไรกันอยู่?!
เธอไม่นึกเลยว่าการช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เกือบจะประเคนความบริสุทธิ์ของตนไปเสียแล้ว!
กู้ซีจิ่วไม่คำนึงถึงอะไรอีกแล้ว ร่างกายพลันดิ้นรนขึ้นมาทันที ครานี้เธอใช้พลังวิญญาณโดยไม่สนอะไรแล้ว และเห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีไม่ได้ระแวดระวังไว้ ร่างกายถูกเธอผลักออกด้านข้าง ลื่นไถลลงไป
กู้ซีจิ่วฉวยโอกาสกลิ้งตัวออกมาทันที!
‘ตูม!’ เธอไถลตกลงไปในสระลึก
น้ำเย็นเฉียบในสระทำให้สมองที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวายของกู้ซีจิ่วแจ่มชัดขึ้นมา เธอโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ พบว่าตี้ฝูอีกำลังนั่งทึ่มอยู่ริมสระน้ำ มองดูผืนน้ำนิ่งๆ ดั่งคนโง่ก็มิปาน
กู้ซีจิ่วโมโหจนบังเกิดความกล้า ดำน้ำเข้าไปหา พอถึงริมสระก็โผล่ขึ้นมากะทันหัน คว้าขาเขาไว้ แล้วลากเขาลงน้ำ! เกิดเสียงดังซ่า
เขาดิ้นรนตามสัญชาตญาณ กู้ซีจิ่วไม่ให้เขาได้เตรียมตัวสูดลมหายใจเลย เมื่อทำสำเร็จก็ลากเขาดำลงไปทันที…
————————————————————————————-
บทที่ 734 เจ้ากระอักเลือดจริงๆ หรือ?
เวรเอ้ย เธอจะกดเขาลงในน้ำเย็นให้ได้สติขึ้นมา ให้เขาอาศัยความเมาเอาเปรียบเธอ!
เมื่อดำลงไปลึกประมาณสองเมตร กู้ซีจิ่วก็เงยหน้ามองเขา
เนื่องจากเป็นยามราตรี ในน้ำมืดสลัว เธอจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เห็นเพียงสองมือของเขาที่ปัดป่ายอยู่ในน้ำตามสัญชาตญาณ สองเท้าก็เตะถีบไปตามสัญชาตญาณเช่นกัน…
ที่แท้เจ้าก็กลัวจมเหมือนกัน…
กู้ซีจิ่วกอดขาเขาไว้แน่น ไม่คลายมือ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเมาเกินไป การดิ้นรนของเขาจึงไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าใด กู้ซีจิ่วจึงกอดขาเขาไว้ง่ายดายยิ่ง
แน่นอน กู้ซีจิ่วก็เกรงว่าเขาจะจมน้ำตายจริงๆ เหมือนกัน หยุดนิ่งอยู่ใต้น้ำครึ่งนาทีก็ผลักเขาขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง
ตัวเธอเองก็ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อสูดหายใจสักหน่อยเช่นกัน จากนั้นก็ลากเขาดำลงไปอีกครั้ง…
ทำเช่นนี้อยู่ซ้ำๆ เธอทรมานเขาอยู่สี่ห้ารอบ เมื่อรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ถึงผลักเขาขึ้นสู่ผิวน้ำ…
จากนั้นก็ลอยขึ้นมาแล้วถลึงตาจ้องใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาอย่างเย็นชา “คราวนี้ได้สติแล้วหรือยัง?! อยากให้ข้ากรอกน้ำใส่เจ้าอีกครั้งหรือไม่?”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร แต่พ่นน้ำคำหนึ่งออกมา กู้ซีจิ่วอยู่ใกล้ๆ อีกทั้งไม่ได้ระวังชั่วขณะ จึงถูกเขาพ่นน้ำใส่หน้า
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…
เธอยกมือเช็ดน้ำบนหน้า น้ำนี้แฝงกลิ่นสุราไว้จางๆ แถมกลิ่นอายยังไม่เลวอีกด้วย…
ประหลาดนัก โดยทั่วไปแล้วน้ำที่คนเมาสำรอกออกมาจะทั้งเหม็นทั้งสกปรก ทว่าสุราที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้สำรอกออกมากลับแตกต่างไป ประหนึ่งสำรอกน้ำหอมออกมาก็มิปาน…
เวรเอ้ย ต่อให้เหมือนน้ำหอมแค่ไหนนี่ก็ยังเป็นสุราที่สำรอกออกมาอยู่ดี!
กู้ซีจิ่วโมโห ขณะที่กำลังจะลากเขาดำลงไปเพื่อกรอกน้ำให้เขาสักหลายๆ ที เขาก็ไอขึ้นมา
เสียงไอของเขาทั้งรุนแรงทั้งดุเดือด ไอเสมือนว่าปอดจะหลุดออกมา มิคล้ายการเสแสร้งแกล้งทำ
กู้ซีจิ่วที่เดิมทีคิดจะลากเขาลงไปใต้น้ำ ยามนี้พลันหยุดชะงัก สมองยังแยกแยะไม่ออกว่าเขาเป็นจริงๆ หรือว่าแสร้งทำ เห็นเขาใช้มืออุดปากไว้ จากนั้นก็เห็นโลหิตไหลลอดหว่างนิ้วของเขาออกมา…
ในยามราตรีโลหิตนั้นช่างเสียดตานัก กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไปแล้ว!
ไม่ใช่น่า? เธอจับเขากดน้ำแค่ไม่กี่ทีเขาจมน้ำจนกระอักเลือดเลยหรือ?
“นี่ เจ้า…” กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเข้าไปลูบหลังเขา ให้เขาหายใจสะดวก “เจ้ากระอักเลือดจริงๆ หรือ?”
ยากนักกว่าเขาจะหยุดไอได้ เมื่อมือของเขาหลุดออกจากปาก บนริมฝีปากและฝ่ามือล้วนเปรอะเปื้อนโลหิต สีหน้าก็ซีดขาวอย่างหนัก ทำให้ขนตาดำสนิทของเขาคว้ายจะโปร่งแสงไปด้วย ดูอ่อนแอยิ่งนัก…
กู้ซีจิ่วรู้สึกผิดอยู่บ้าง ถึงอย่างไรเธอก็นึกไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ พลันกะแอมคราหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้า…เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นอ่อนแอเช่นนี้? ดื่มสุราก็จมน้ำ กดน้ำไม่กี่ทีเจ้าก็กระอักเลือด เจ้าคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจริงๆ หรือ? คงมิใช่ผู้อื่นปลอมตัวมากระมัง?”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ก็เกิดความคลางแคลงในจุดนี้ขึ้นมาจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงเขยิบเข้าไปมองเขาใกล้ๆ แสงเดือนดาวส่องสลัว แต่ภายใต้ระยะห่างที่ใกล้กันถึงเพียงนี้ เธอก็ยังมองเห็นเขาได้ชัดเจนนัก
เครื่องหน้าประณีตงดงามที่ยากจะวาดแต่งได้ ราวกับพระเจ้าบรรจงสลักเสลาออกมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้คนมองเพียงแวบเดียวก็ปรารถนาจะจมจ่อมลงไป
คิ้ว ตา จมูก ริมฝีปาก…เครื่องหน้าเขาประกอบรวมกันกลายเป็นความงามที่ทำให้หัวใจคนสั่นไหว กู้ซีจิ่วยอมรับ ในชีวิตทั้งสองชาติของเธอไม่เคยพบคนที่มีรูปโฉมล้ำเลิศถึงเพียงนี้เฉกเช่นตี้ฝูอีเลย…
หลงซือเย่ก็รูปงาม หล่อเหลา แต่เมื่อเทียบกับตี้ฝูอีแล้ว ทว่ากลิ่นอายนั้นด้อยกว่าเล็กน้อย
ความงามของตี้ฝูอีมิใช่ของโลกมนุษย์ ทว่าแฝงกลิ่นอายเคร่งขรึมดั่งเทพเซียน
นิสัยของคนผู้นี้น่าชังนัก อีกทั้งปกติจะสวมหน้ากากไว้ตลอด ดังนั้นยามที่คนส่วนมากพบเห็นเขา จะหลงใหลในบุคลิกท่วงท่าของเขาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วถูกกลิ่นอายของเขาสยบไว้เป็นอันดับที่สอง ทำให้คนมองข้ามเรื่องรูปโฉมของเขาไปง่ายดายยิ่ง
บัดนี้ภายใต้แสงดารากู้ซีจิ่วได้เห็นเขามากพอแล้ว รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าคนผู้นี้คือมารร้ายโดยแท้
บทที่ 735 แน่นอนว่าเธอโกรธมาก!
บัดนี้ภายใต้แสงดารากู้ซีจิ่วได้เห็นเขามากพอแล้ว รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าคนผู้นี้คือมารร้ายโดยแท้ ไม่เพียงแต่มีนิสัยก้าวร้าวยิ่งนักเท่านั้น แม้แต่รูปโฉมก็ยังร้ายกาจปานนี้…
ทำให้ผู้อื่นยอมสยบให้ง่ายดายนัก ไม่มีแม้กระทั่งจิตคิดริษยา
นี่คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี ของแท้แน่นอน!
เจ้าจมน้ำไปหลายครั้ง ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็สร่างขึ้นมาแล้ว
เขาล้างมือแล้วเช็ดปากจากนั้นก็จัดการเส้นผมที่เปียกชุ่ม…
เขายังดูอ่อนแอมาก สั่นสะท้านเล็กน้อยอยู่ในน้ำ ยามที่จัดการตัวเองก็กึ่งจมกึ่งลอย
กู้ซีจิ่วลำบากลำบนอยู่นานสองนาน เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง พอถึงยามนี้รู้สึกเพียงว่าเมือเท้าล้วนอ่อนแรงไปหมด ราวกับเพิ่งผ่านศึกหนักมา
เนื่องจากจับอีกฝ่านกดน้ำจนกระอักเลือด กู้ซีจิ่วจึงรู้สึกผิดอยู่บ้าง ละอายใจที่จะปีนขึ้นฝั่งก่อน เลยอยู่ไม่ห่างจากข้างกายเขาแล้วมองดูเขา เมื่อเห็นเขาจัดการไปได้พอสมควรแล้วจึงเอ่ยถาม “ยังมีแรงอยู่หรือไม่? ต้องการให้ข้าพยุงเจ้าขึ้นฝั่งหรือเปล่า?”
ในที่สุดตี้ฝูอีก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เธอ
หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นรัว ภายใต้แสงดารานัยน์ตาเขาดั่งมหาสมุทรลึก ระลอกคลื่นส่องสะท้อนระยิบยับ เป็นแววตาตามปกติของเขา
เขาเอียงคอมองเธอ ดวงตาแฝงแววเพ่งพินิจ “กู้ซีจิ่ว? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
น้ำเสียงเขายังคงแหบพร่าอยู่เล็กน้อย เดิมทีน้ำเสียงเขาก็ไพเราะอยู่แล้ว ต่อให้แหบพร่าก็ยังน่าฟัง ดึงดูดให้ใจคนสั่นไหว
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน ก่อนหน้านี้เขาทั้งกอดทั้งจูบทั้งสัมผัส ตักตวงผลประโยชน์อย่างถึงที่สุด ทำอยู่ตั้งนานสองนานเขาไม่ทราบงั้นหรือว่าที่กอดที่จูบอยู่คือผู้ใด?!
เช่นนั้นที่เผยสันชาตญาณดิบก่อนหน้านี้เขาเห็นเธอเป็นผู้ใดกัน?!
กู้ซีจิ่วตะลึงไปชั่วขณะโมโหขึ้นมาทันที “ผ่านทางมา! บังเอิญเห็นชายชุดของท่านอยู่ในน้ำ ข้าเห็นเนื้อผ้าดูไม่เลว คิดจะงดขึ้นมาดูเนื้อสัมผัส นึกไม่ถึงว่าจะงมขึ้นมาเป็นท่าน!”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก
กู้ซีจิ่วหัวเราะหยันแล้วเอ่ยต่อ “น่าขันนัก ฝีมือท่านสูงส่งถึงเพียงนั้น เหตุใดถึงเมาสุราจนตกน้ำได้เสียเล่า?อาการเมาสุรานี้ช่างมีเอกลักษณ์ยัก ทำให้ผู้อื่นได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!”
ตี้ฝูอีมองเธออยู่เงียบๆ
กู้ซีจิ่วกล่าวต่อไป “หรือเมื่อครู่ท่านฝึกวิชาลมหายใจเต่าอันใดทำนองนั้นอยู่ใต้น้ำ? ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้อื่นข้าใจผิด เช่นนั้นก็ขออภัยด้วย ข้าไม่ควรลากท่านขึ้นฝั่ง ควรปล่อยให้ท่านอยู่ในน้ำต่อไป…”
“เจ้าโกรธมากหรือ?” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เปิดปากเอ่ย
แน่นอนว่าเธอโกรธมาก!
ผู้อื่นช่วยเหลือคนด้วยเจตนาดีกลับถูกเอาเปรียบ หนำซ้ำอีกฝ่ายังไม่ทราบว่าเอาเปรียบผู้อื่นไป ผู้อื่นพบเจอเรื่องนี้จะให้เบิกบานยินดีหรือ?
“ข้าเมาจริงๆ และเป็นครั้งแรกที่ข้าเมา…”ตี้ฝูอีเอ่ยเบาๆ “ข้าจมลงสู่น้ำมิใช่การฝึกวิชาอันใด แต่เป็นเมาอยู่ในนั้น”
กู้ซีจิ่วเบิกตามองเขา โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “เจ้ามิได้จมน้ำตายหรอกหรือ?”
ตี้ฝูอีนิ่งงัน
“เจ้าปรารถนาให้ข้าจมน้ำตายหรือ?” แววตาเขาด่ำดิ่งอีกครั้ง ก้นบึ้งนัยน์ตาคล้ายฉายแววเจ็บปวด
กู้ซีจิ่วร้องเฮอะคราหนึ่ง “ข้าแค่ฉงนเล็กน้อย”
เขาน่าจะแช่อยู่ในน้ำนานแล้ว แช่อยู่ในน้ำด้วยสภาพเช่นนั้นนานถึงเพียงนี้เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
“เมื่ออยู่ใต้น้ำข้าสามารถหายใจทางผิวหนังได้” เขาอธิบายแก่เธอ “ดังนั้นข้าไม่มีทางจมน้ำ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้ กู้ซีจิ่วพยักหน้า ทันใดนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “ไม่ถูกสิ เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่ข้าลากท่านลงไปในน้ำ ท่านก็น่าจะไม่จมน้ำสิ แล้วเหตุใดถึงกระอักโลหิตได้เล่า?”
ตี้ฝูอีมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำซับซ้อน “บางทีข้าอาจถูกเจ้ายั่วโมโหจนกระอักโลหิตก็เป็นได้…”
กู้ซีจิ่วไม่เชื่อเด็ดขาด แค่ยั่วโมโหเขาก็กระอักโลหิตได้ เขานึกว่าเธอเป็นจูเก่อเลี่ยง ส่วนเขาคือจิวยี่หรือไง?!
————————————————————————————-
บทที่ 736 ช่วยข้าขึ้นฝั่งหน่อยได้หรือไม่?
“ซีจิ่ว เจ้ามาช่วยข้าโดยเฉพาะหรือ?” น้ำเสียงตี้ฝูอีนุ่มนวลลง นัยน์ตาคู่นั้นคล้ายฉายแววอ่อนโยน
“ข้าบอกแล้วไง ว่าผ่านทางมา! ผ่านทาง!” กู้ซีจิ่วเหลืออด เธอแค่ผ่านทางมาจริงๆ บังเอิญอยู่ที่นี่แล้วนึกถึงเข้าขึ้นมาก็เท่านั้น ผลสุดท้ายไม่นึกเลยว่าปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มเช่นนี้…
เธอมองร่างกายตน เปียกปอนเหมือนเป็ดเล่นน้ำไม่มีผิด
กลางค่ำกลางคืนเธอไม่หลับไม่นอนอยู่ดีไม่ว่าดีผ่านทางมาที่นี่ ผลของการมีคุณธรรมคือทำให้ตนกลายเป็นเช่นนี้
กู้ซีจิ่วสำนึกเสียใจนัก เพียงแต่เธอยังมีปัญหาอีกข้อที่อยากถาม “ท่านไม่รู้เลยหรือว่าผู้ใดช่วยท่าน?”
เช่นนั้นที่เขาทั้งกอดทั้งจูบไปก่อนหน้านี้ เพราะคิดว่าเธอเป็นคนอื่นหรือเปล่า?
ตี้ฝูอีมองดูเธอ น้ำเสียงราบเรียบ “คนอื่นเข้าใกล้ข้าไม่ได้”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “หะ?”
เขาจะหลอกผีหรือไง?! ก่อนหน้านี้เขาเมาจนกลสยเป็นคนดีเช่นนั้น ต่อให้เป็นเพียงพอนเหลืองตัวหนึ่งที่มาก็สามารถลากเขาออกไปได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้อื่นจะเข้าใกล้ไม่ได้?
เช่นนั้นเมื่อกี้เธอจะเข้าใกล้เขาอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร? ไม่รู้สึกว่ารอบกายเขามีอะไรกีดขวางอยู่เลย
ตี้ฝูอีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หาได้ยากนักที่เขาจะเมา แต่ต่อให้เขาเมามายรอบกายก็ยังมีเขตแดนคุ้มกันอยู่
เมื่อมีคนรุกเข้ามาใกล้เขาในระยะหนึ่งฉื่อ จะถูกพลังวิญญาณที่คุ้มกายเขาดีดสะท้อนกลับไปทันที หากคนผู้นั้นโจมตีด้วยเจตนาร้าย จะสะท้อนกลับไปร้ายแรงยิ่งกว่า
หากว่าเขาไม่มีความสามารถเช่นนี้ ในโลกที่วุ่นวายคาดคะเนไม่ได้เช่นนี้ไม่รู้ว่าจะตกตายไปไม่รู้กี่หนแล้ว! จะมีชีวิตมาถึงตอนนี้ได้หรือ?
ทว่าร่างกายของเขาไม่ป้องกันจากนาง ยินยอมให้นางเข้าใกล้ ยอมให้นางดึงให้นางกอด…
ร่างกายของเขาจดจำผู้คนได้ ในสัญชาตญาณจดจำได้เพียงนาง และมีความรู้สึกเพียงกับนางเท่านั้น คนที่ปรารถนาจะใกล้ชิดก็มีเพียงนางเช่นกัน เขาไม่สนใจสตรีนางอื่นเลย…
กู้ซีจิ่วย่อมไม่ทราบเรื่องพวกนี้ ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือเขาหลอกลวงเธออีกแล้ว…
แต่คำโปดเช่นนี้จะเปิดโปงหรือไม่ก็ไม่มีความหมายอะไร เป็นแค่การปะทะฝีปากก็เท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงหัวเราะเหอะๆ คราหนึ่ง ขณะที่กำลังจะหันหลังว่ายกลับฝั่ง เขาที่ด้านหลังกลับไอออกมาอีกสองครา “เจ้าจะไปไหน?”
ยามนี้จะไปไหนได้เล่า?
แน่นอนว่าต้องกลับเรือนไปนอนน่ะสิ!
กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขา กำลังจะว่ายจากไป ทว่าถูกยุดแขนเสื้อไว้ “เจ้าคงมิใช่ว่าจะไปหาเขาอีกกระมัง?!”
กู้ซีจิ่งดึ
แขนเสื้อตนกลับมา ตอบอย่างไม่เกรงใจ “เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย?
ด้านหลังไม่มีเสียงเคลื่อนไหว”
กู้ซีจิ่วว่ายไปครู่หนึ่ง ก็ยังไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านหลังตน รู้สึกสงสัยอบู่บ้าง จึงเหลียวมองแวบหนึ่ง หัวใจพลันเต้นแรงเล็กน้อย
เขากึ่งจมกึ่งลอยอยู่ตรงนั้น ศีรษะตกเล็กน้อย กำลังมองมือของเขาเองอย่างทึ่มทื่อ…
กู้ซีจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะมองมือเขาด้วย เมื่อเห็นชัดเจนก็สะดุ้งโหยง!
เส้นเลือดบนมือเขากำลังเต้นตุบๆ ราวกับโลหิตจะกระฉูดออกมาจากหลอดเลือด
นี่มิใช่สถานการณ์แปลกใหม่สำหรับกู้ซีจิ่ว เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าธาตุไฟกำลังจะเข้าแทรก!
บางทีอาจเป็นเพราะสังเกตเห็นว่ากู้ซีจิ่วหันกลับมา เจ่จึงเงยหน้าขึ้นมองเธอ ริมฝีปากสั่นระริกเล็กน้อย “ซีจิ่ว เจ้า…ช่วยข้าขึ้นฝั่งหน่อยได้หรือไม่?” ทันทีที่กล่าวจบ ร่างกายเขาก็ทรุดฮวบทันที ดิ่งลงใต้น้ำ
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
เธออดไม่ได้ที่จะสบถด่าอยู่ในใจ ว่ายกลับไปอย่างรวดเร็ว ฉวยร่างเขาที่จมลงไปในน้ำขึ้นมา ลากเขาขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเลอีกครั้ง…
….
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าชาติก่อนตนคงติดค้างเขาเป็นแน่ ดังนั้นจึงต้องมาชดใช้ให้ในวันนี้
หลังจากขึ้นฝั่งมาเขาก็อยู่ในสภาพกึ่งเลอะเลือนกึ่งได้สติ จะนั่งก็นั่งไม่อยู่ แถมบนพื้นก็เย็นเกินไป อันตรายต่อคนที่กำลังจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างเขามาก
ดังนั้นเธอจึงให้เขาพิงร่างตนเสียเลย
เดิมทีคิดจะให้เขาพิงแค่หลังเท่านั้น เพียงแต่ไม่ว่าจะพิงอย่างไรเขาก็พิงด้วยตัวเองไม่ได้ กู้ซีจิ่งเลยได้เพียงให้เขาพิงไหล่ตน ในขณะเดียวกันก็ใช้แขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวเข้าไว้ให้มั่น
บทที่ 737 ข้าเชื่อใจเจ้า
ใบหน้าเขาซีดขาวอย่างร้ายกาจ มือคล้ายต้องการล้วงบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ทว่ามือสั่นเท่ายิ่งนัก ล้วงออกมาไม่ได้ชั่วขณะ
กู้ซีจิ่วทนดูไม่ได้ “หาอะไรอยู่? ข้าจะช่วยท่านหา”
“ยา…” ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาคำเดียว
กู้ซีจิ่วนึกว่ายาของเขาอยู่ในถุงตรงอกเสื้อ แต่พอยื่นมือเขาไปคลำหาอยู่นานสองนาน กุ้งฝอยสักตัวก็หาพบไม่ กลับสัมผัสถูกแผ่นอกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่หลายครั้ง…
กู้ซีจิ่วแทบจะหลั่งน้ำตา ตอนนี้มือข้างหนึ่งของเธอโอบเขาไว้ อีกข้างควานอยู่ในอกเสื้อเขา มองอย่างไรเธอก็เหมือนเติ้งถูจื่อภาคสตรีที่กำลังลวนลามคนผู้นี้เอยู่
โชคดีที่ละแวกนี้ไม่มีคนอื่น หากปล่อยให้ผู้อื่นพบเห็นเข้า อาจจะเกิดข่าวลืออันใดแพร่ออกไปก็เป็นได้
กู้ซีจิ่วรู้สึกห่อเหี่ยวอยู่บ้าง “อยู่ตรงไหนกัน?”
“อกเสื้อตรงตำแหน่งหัวใจ ห้วงมิติ…” เขากระซิบ
กู้ซีจิ่วมองอย่างตกตะลึง ห้วงมิติ?!
หลังจากฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นที่เจ็ดถึงจะฝึกจนเรียกใช้สิ่งนี้ได้ เธอก็เคยได้ยินจากที่อาจารย์เล่าเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นคือาจารย์กล่าวไว้ว่า ห้วงมิติของทุกคนจะมีเพียงเจ้าของหรือคนที่มีฝีมือเหนือชั้นกว่าเขา (หรือนาง) เท่านั้นถึงจะเปิดออกได้ ผู้อื่นแค่คิดก็อย่าได้ฝัน ต่อให้สังหารอีกฝ่ายก็ยังไม่แน่ว่าจะนำของในห้วงมิติของผู้อื่นออกมาได้
กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนดูแลเขาไม่ไหว จึงปรึกษากับเขาโดยตรง “มิสู้ให้ข้าไปเรียกผู้อื่นมาดีกว่า? ข้ามีพลุสัญญาณที่เรียกผู้อื่นมาที่นี่ได้…”
เธอกำลังจะหยิบพลุสัญญาณอันนั้นออกมา กลับถูกมือของเขากดไว้ทันที “ไม่ได้!”
“เพราะเหตุใด?”
“ไม่อาจให้ผู้อื่นเห็นข้า…ในสภาพนี้ได้”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
เธอมองเขาด้วยท่าทีจริงใจ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้ว่าท่านรักหน้ามาก ไม่ยินดีให้ผู้อื่นเห็นรูปลักษณ์ของท่านในยามนี้ เกรงว่าจะอับอายขายหน้า แต่ถึงหน้าตาจะมีราคา แต่ชีวิตนั้นมีค่ายิ่งกว่า เมื่อเทียบกับชีวิตของท่านแล้ว ข้ารู้สึกด้วยใจจริงว่าหน้าตาอันใดล้วนเป็นเพียงเมฆาเลื่อนลอย…”
ตี้ฝูอีหลับตาลงเล็กน้อยหอบหายใจหลายระลอก “ปัญหา…มิใช่เรื่องหน้าตา”
กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจ
เอาเถอะ ในเมื่อท่านทูตสวรรค์ผู้นี้ไม่ยินยอมยิ่งนัก เธอก็จะไม่บังคับฝืนใจ ใคร่ครวญอยุ่ครู่หนึ่งก็ปรึกษากับเขาอีกหน “เอาเช่นนี้แล้วกัน ท่านรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปเรียกลูกน้องสักคนของท่านมาแบบเงียบๆ ดีไหม?”
ตี้ฝูอีขยุ้มแขนเสื้อของเธอไว้ มองเธอด้วยสายตาที่ค่อนข้างเศร้าหมอง “เจ้า…คิดจะทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?”
กู้ซีจิ่วจึงอธิบาย “…ข้าเปล่า แค่คิดจะไปเรียกคนให้ท่านเท่านั้น ท่านก็เห็นตัวข้าในยามนี้ช่วยเหลือท่านไม่ได้…”
ตี้ฝูอีพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย “มิใช่ว่าเจ้าฝังเข็มเป็นหรอกหรือ?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง วิธีฝังเข็มกดจุดสามารถแก้ไขการถูกธาตุไฟเข้าแทรกแบบทั่วไปได้จริงๆ แต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่เบื้องหน้านี้เห็นได้ชัดว่ามิใช่การถูกธาตุไฟเข้าแทรกแบบทั่วไป ไหนเลยจะฝังส่งๆ ได้?
ตี้ฝูอีคล้ายว่าจะอ่านความคิดเธอออก “ไม่ต้องกลัว ข้าจะสอนให้เจ้าฝัง…”
เอาเถิด! เธอจะได้เรียนรู้ทักษะอีกแขนงหนึ่งเพิ่มพอดี
เข็มทองนั้นเธอพกติดตัวอยู่แล้ว จึงหยิบออกมาได้เลย จากนั้นก็ฝังลงไปตามจุดที่ตี้ฝูอีชี้แนะด้วยเสียงแผ่วๆ…
เคราะห์ดีที่ตัวเธอก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แถมยังหลักแหลม ขอเพียงตี้ฝูอีบอกจุดฝังและระดับความลึกที่เหมาะสม เธอก็จะฝังลงไปตรงตำแหน่งทันที
จุดที่เขาสอนให้เธอฝังลงไปเหล่านี้ล้วนเป็นจุดฉีเหมิน[1] มีอยู่หลายจุดที่เป็นจุดตาย หากฝังพลาดไปสักจุดก็จะทำให้ผู้อื่นสิ้นชีพได้
หากมิใช่เพราะกู้ซีจิ่วเชี่ยวชาญด้านนี้ ต่อให้มีคนจับมือสอน ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาด
หลักจากฝังทั้งหมดเสร็จสิ้นฝ่ามือกู้ซีจิ่วก็ประหม่าจนมีเหงื่อผุดเต็มฝ่ามือ เธอพ่นลมหายใจออกมาพลางมองเขา “จุดเหล่านี้สำคัญยิ่งนัก ท่านไม่กลัวว่าจะข้าจะฝังให้พิการหรือ?”
ศีรษะของตี้ฝูอีพิงอยู่บนไหล่เธอ ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าเชื่อใจเจ้า”
————————————————————————————-
บทที่ 738 ท่าทางเช่นนี้ของเธอกับเขาคืออะไร?
กู้ซีจิ่วเงียบงันไป
เขาเชื่อใจเธอ? แต่ตอนนี้เธอไม่เชื่อใจเขาแล้ว…
หลังจากฝังเข็มเหล่านี้เสร็จ เส้นเลือดปูดโปนที่เต้นตุบตับบนร่างตี้ฝูอีดูคล้ายว่าจะค่อยๆ สงบลง กู้ซีจิ่วเห็นเขามีสัญญาณว่าบรรเทาลงบ้างแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไร?”
“ดี…ดีขึ้นมากแล้ว ซีจิ่ว โชคดีที่มีเจ้า” เขาถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยน ถ้อยคำหวานซึ้ง
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
เธอมองเขาแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านยังอยู่ในสังขารนี้…ไม่ได้ถูกแทนที่กระมัง?”
จู่ๆ เขาก็ว่าง่ายและอ่อนโยนถึงเพียงนี้ ทำให้กู้ซีจิ่วไม่คุ้นชินยิ่งนัก
ตี้ฝูอีเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง นัยน์ตาส่องสกาวภายใต้แสงดาว เขายิ้มบางๆ “ผู้ใดจะกล้ายึดครองสังขารของข้า?”
วาจาเดียวที่กล่าวออกมาแฝงความเย่อหยิ่งไว้เต็มที่ เป็นบุคลิกของเขาในยามปกติ
และในที่สุดกู้ซีจิ่วก็นึกขึ้นได้ว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้สันทัดด้านการปลอมตัวยิ่ง นึกถึงสมัยก่อนที่เขาปลอมเป็นซือเฉินบัณฑิตหนึ่งตำลึงผู้นั้น นิสัยของเขาก็แตกต่างจากยามปกติอย่างมาก
ตัวเขาในยามนี้ค่อนข้างคล้ายซือเฉิน…
ดูเหมือนทุกครั้งที่เขาอยู่ในช่วงอ่อนแอ ก็จะมีลักษณะเช่นนี้ พูดคุยได้ ทำตัวน่ารักได้…
อาจเป็นเพราะการฝังเข็มของกู้ซีจิ่วได้ผลดีมากจริงๆ ยามนี้สีหน้าของเขาจึงดูดีขึ้นไม่น้อย แต่ยังไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเช่นเคย พิงร่างกู้ซีจิ่วดั่งศีรษะไม่กระดูก
เดือนดาราเหนือยอดศีรษะส่องสลัว คนทั้งสองนั่งอิงแอบกันอยู่ริมแม่น้ำ
ในหุบเขาหนาวเย็น โดยเฉพาะยามราตรีในหุบเขายิ่งหนาวเย็น อีกทั้งร่างกายของทั้งคู่ล้วนเปียกโชก ยิ่งทำให้หนาวเหน็บยิ่งนัก
สายลมยะเยือกหอบหนึ่งโชยมา กู้ซีจิ่วจามออกมาคราหนึ่ง
“หนาวหรือ?” แขนเขาโอบรอบเอวเธอ ทำให้ร่างกายเธอและเขาแนบชิดกันยิ่งขึ้น “แบบนี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
แบบนี้อบอุ่นขึ้นจริงๆ แต่หัวใจกู้ซีจิ่วกลับเต้นแรงขึ้นแวบหนึ่ง!
ท่าทางเช่นนี้ของเธอกับเขาคืออะไร?
เธอตัดสินใจแล้วว่าจะคบหาดูใจกับหลงซือเย่ และเขากับอวิ๋นชิงหลัวก็คล้ายว่าจะตกลงปลงใจกันอย่างลับๆ แล้ว
สามารถกล่าวได้ว่าทั้งเขาและเธอล้วนมีเจ้าของอยู่แล้ว ยามนี้มาอิงแอบแนบชิดกันเช่นนี้ไม่เข้าท่านัก! ตอนแรกเพื่อช่วยชีวิตคน เรื่องเร่งด่วนยังพอว่าได้ แต่ตอนนี้…
เธอตัดสินใจลุกขึ้นมาทันที
ความเร็วของเธอว่องไวเกินไป ตี้ฝูอีกำลังพิงเธออยู่ ศีรษะเกือบคะมำเพราะเธอ เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วประคองเขาไว้ทันการ
“เจ้าเป็นอะไร?” ตี้ฝูอีเอ่ยถาม
กู้ซีจิ่วไม่รอให้เขาถามจบก็พยุงเขาไปพิงโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง “หนาวเกินไป ท่านพิงอยู่ตรงนี้ ข้าจะไปหาฟืนมาก่อไฟ”
พลางจากไปปานลมหอบหนึ่ง
ตี้ฝูอีนิ่งงัน
….
กองไฟลุกโชน อยู่บนพื้นราบเบื้องหน้าโขดหินก้อนหนึ่ง
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนหินน้อยก้อนหนึ่งกำลังผิงกองไฟให้เสื้อผ้าเปียกๆ บนร่างตนแห้ง ตี้ฝูอีเอนหลังพิงโขดหิน ใบหน้าที่ส่องสะท้อนแสงเพลิงมองไม่เห็นสีเลือดเลยสักกึ่งหนึ่ง
เขามองกู้ซีจิ่วที่ยุ่งง่วนดั่งผึ้งงานตัวน้อย นัยน์ตามีแววรู้สึกผิดพาดผ่านแวบหนึ่ง
สาวน้อยผู้นี้ยังบาดเจ็บอยู่! กลับทำให้นางตรากตรำถึงเพียงนี้…
เขาฝืนยื่นมือเข้าไปในอก ปลายมีแสงสีขาวอ่อนจางโผล่ออกมา ช่องว่างหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าเขา
กู้ซีจิ่วกำลังผิงเสื้อผ้าอยู่ตรงนั้น ถูกลำแสงสีขาวดึงดูด จึงเงยหน้ามองแวบหนึ่ง มองช่องว่างที่ลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างค่อนข้างประหลาดใจ หรือว่านี่ก็คือห้วงมิติ?
อดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้าไปชมใกล้ๆ หน่อย มองเห็นว่าช่องว่างนี้ใหญ่โตยิ่งนัก ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือข้าวของที่อยู่ด้านในจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบยิ่งนัก
ตี้ฝูอีหยิบชุบุรุษและชุดสตรีออกมาอย่างละหนึ่งชุด แล้วยื่นชุดสตรีให้เธอ “เอ้า ไปเปลี่ยนสิ”
กู้ซีจิ่วก็ไม่เกรงอกเกรงใจเขา รับเอาไว้ “ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนด้านโน้น ท่านก้เปลี่ยนด้วยตัวเองที่นี่แล้วกัน” พลางรีบร้อนก้าวไป
————————————————————————————-
[1] จุดฉีเหมิน คือจุดที่เกี่ยวข้องกับธาตุหยาง และกายภาพต่างๆ
บทที่ 739 รสนิยมของเจ้าตกต่ำลงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
กู้ซีจิ่วพบจุดอับลมแห่งหนึ่ง เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ร่างกายก็แห้งสบายขึ้นมาทันที
เสื้อผ้าชุดนี้พอดีตัวมาก เนื้อผ้าก็เหมาะยิ่ง แถมยังกันหนาวด้วย เมื่อสวมบนร่างจะอบอุ่น
ฉากเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน กู้ซีจิ่วนึกถึงตอนที่เคยร่วงลงไปในน้ำกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนั้นเขาก็มอบเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้เธอเปลี่ยนเหมือนกัน
เพียงแต่ชุดที่เขามอบให้ในยามนั้นเป็นชุดบุรุษ ทั้งใหญ่ทั้งหลวม เธอต้องใช้มีดตัดออกถึงจะพอสวมได้
แต่คราวนี้เขากลับเตรียมชุดสตรีติดตัวไว้ด้วย ชุดสตรีชุดนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่สิ่งที่ซื้อหาได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บหรือวัสดุก็ประณีตงดงามหาใดเทียม
เขาเตรียมชุดนี้ไว้ให้ใครกัน?
น่าจะเตรียมไว้ให้อวิ๋นชิงหลัวกระมัง?
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าทรวงอกตีบตันเล็กน้อย ใคร่ครวญอยุ่ครู่หนึ่ง ถอดอาภรณ์ชุดนี้ออกมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นคล้ายว่าเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเปิดมิติเก็บของในร่างหยกนภา ค่อยยังชั่ว ด้านในมีเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่ง เป็นเสื้อผ้าที่หลงซือเย่ซื้อจากร้านอาภรณ์แห่งหนึ่งให้เธอในเทศกาลความรักคืนนั้น ตัดเย็บอย่างประณีต พอดีตัวนัก นางค่อนข้างชอบอยู่บ้าง
เนื่องจากหลงซือเย่ซื้อให้เธอ ดังนั้นเธอเก็บมันไว้กับสมบัติและตัวยาล้ำค่าเหล่านั้น
ตอนนี้ช่องมิติของหยกนภาใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อเป็นเพียงลิ้นชักเล็กๆ อันหนึ่ง ยามนี้กลายเป็นตู้เก็บของเล็กๆ อันหนึ่งแล้ว
อุปกรณ์การแพทย์ ตัวยา ยาพิษ สมบัติเล็กๆ น้อยๆ ของกู้ซีจิ่วล้วนเก็บซ่อนไว้ในนี้
เธอมีข้าวของมากมาย ดังนั้นข้าวของที่ไม่ลสักสำคัญจะไม่เก็บไว้ในนี้
เสื้อผ้าทั่วไปล้วนเก็บไว้ในถุงเก็บของธรรมดาๆ หนนี้รีบร้อนออกมาจึงไม่ได้พกติดตัวมาด้วย
โชคดีที่ตอนนั้นเก็บเสื้อผ้าชุดนี้ไว้ในมิติเก็บของ มิเช่นนั้นวันนี้คงทำได้เพียงสวมใส่เสื้อผ้าชุเนี้ที่ตี้ฝูอีมอบให้ เช่นหัวใจจะอึดอัดคับข้องมากเพียงใดกัน?
เมื่อเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยจึงเดินกลับมา
ตี้ฝูอีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ยามนี้กำลังนั่งพิงโขดหินก้อนหนึ่งอยู่หน้ากองไฟ
เมื่อเห็นนางกลับมาจึงเพ่งพิศแวบหนึ่ง “เหตุใดถึงไม่เปลี่ยนเป็นชุดที่ข้ามอบให้เจ้า?”
กู้ซีจิ่วยื่นชุดนั้นคืนให้เขา “ไม่พอดีตัว โชคดีที่ข้าก็มีของตัวเองอยู่ชุดหนึ่ง”
ไม่พอดีตัว? สายตาของตี้ฝูอีวอนรอบกายนางรอบหนึ่ง เขาเคยโอบกอดนาง ทราบถึงสัดส่วนของนาง อาภารณ์ชุดนี้ตัดเย็บให้เข้ากับร่างนางชัดๆ จะไม่พอดีตัวได้อย่างไร?
นี่เป็นเพราะนางไม่อยากได้สิ่งของที่มาจากเขาหรือ?
เขามองชุดนี้ที่นางสวมอีกครั้ง มิใช่ลักษณะแบบที่นางชอบสวมใส่ประจำ เสื้อผ้าที่นางชอบสวมใส่จะเป็นแบบเรียบง่ายคล่องตัว และชุดนี้ถึงแม้จะพลิ้วไหวดั่งนางเซียน แต่รูปแบบค่อนข้างรุงรัง สำหรับนางแล้วแขนเสื้อค่อนข้างกว้างไปหน่อย สีสันของสายคาดเอวก็ไม่เข้ากับตัวชุยิ่งนัก…
ตี้ฝูอีเป็นบุคคลปราดเปรื่องผู้หนึ่ง ไม่ว่าเรื่องราวใดขบคิดเพียงเล็กน้อยก็สามารถคาดเดาได้ถึงแปดเก้าส่วน หัวใจไม่เป็นสุข รีบเปิดใช้ทักษะปากร้ายทันที เขาใช้สายตาที่ช่ำชองวิเคราะห์จุดบกพร่องของอาภรณ์ชุดนี้ทันที “กระโปรงชุดนี้ช่างน่าเกลียด! สีสันจืดชืดเกินไป ทรงกระโปรงกว้างเกินไป สีสันของสายคาดเอวก็จืดจาง ทำให้เอวเจ้าดูหนา แขนเสื้อก็กว้างยิ่งนัก บนล่างไม่สอดรับกัน…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง เมื่อถูกคนผู้นี้วิจารณ์ เหตุใดเธอถึงรู้สึกว่าอาภรณณ์ชุดนี้สมควรโยนลงถังขยะไปเสีย?!
ตี้ฝูอีเอ่ยสรุปว่า “อาภรณ์ชุดนี้ของเจ้าแม้กระทั่งจะมอบให้สาวใช้ของข้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอด้วยซ้ำ! รสนิยมของเจ้าตกต่ำลงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
สีหน้ากู้ซีจิ่วอึมครึมแล้ว!
การอยู่ร่วมกับผู้ที่รักความสมบูรณ์แบบช่างน่ากลัวจริงๆ เขาวิจารณ์ข้อบกพร่องจนเธอสงสัยในชีวิตได้!
เธอยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “ข้าก็มีรสนิยมเช่นนี้แหละ ถ้าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทนดูไม่ได้ก็ไม่ต้องดู! ข้าชมชอบอาภรณ์เช่นนี้ ชอบอย่างยิ่ง!”
ซ้ำเธอยังหมุนพลิ้วไปพลิ้วมาอยู่ที่เดิมรอบหนึ่ง “นี่คืออาภรณ์ที่ข้าชอบที่สุด! เป็นหนึ่งไม่มีสอง”
————————————————————————————-
บทที่ 740 ไม่ชอบมันจริงๆ หรือ?
ตี้ฝูอีนิ่งงัน
เขาเม้มริมฝีปาก ในที่สุดก็เอ่ยความคิดทั้งหมดในใจตนออกมา “ข้าคิดว่าอาภรณ์ชุดนั้นที่ข้ามอบให้เจ้าดูดีตัวอาภรณ์ที่เจ้าสวมอยู่มากนัก ไม่ว่าจะคุณสมบัติหรือรูปแบบการตัดเย็บล้วนชนะชุดที่เจ้าอย่างขาดลอย เจ้าลองสวมใส่ดูได้…”
“ถึจะดูดีและคุณภาพดีสักเพียงใดแต่ข้าก็ไม่ชมชอบ” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา ในขณะเดียวก็ได้พูดจาทำลายความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมของเขาด้วย “ของบางอย่างมิใช่ว่ายอดเยี่ยมก็เพียงพอแล้ว ยังต้องดูว่าผู้อื่นชมชอบหรือไม่ สิ่งที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้าบมอบให้ย่อมเป็นของชั้นเลิศ แต่ข้าไม่ชอบ ดังนั้นจึงทำได้เพียงขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของท่าน”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก
ยามนี้ดวงจันทร์ค่อยๆ คล้อยไปทางตะวันตก น่าจะเป็นช่วงย่ำรุ่งของวันถัดไปแล้ว และวันพิธีปักปิ่นของนาง
เขานั่งอยู่ตรงนั้น หลุบตามองอาภรณ์ในมือ รูปแบบที่ออกแบบเองกับมือ เนื้อผ้าที่เสาะหาด้วยตัวเอง ค้นหาช่างตัดเย็บที่ดีที่สุด ใต้หล้าเหนือนภานี้เกรงว่าจะมีอยู่เพียงชุดเดียว เดิมทีจะมอบให้เป็นของขวัญในวันปักปิ่น อยากเห็นเห็นว่าถ้านางสวมใส่แล้วจะมีลักษณะเช่นไร
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะไม่เห็นค่า นางชมชอบกระโปรงธรรมดาชุดนั้น เพียงเพราะนั่นคือสิ่งที่หลงซือเย่มอบให้…
เขาไม่ยอมรับ ฝืนสูดลมหายใจคลี่อาภรณ์ชุดนั้นออกใต้แสงจันทร์ กระโรงสีฟ้าอ่อนโบกพลิ้วอยู่ในสายลม ดูนุ่มนวลดั่งคลื่นสมุทร แถบแพรที่ห้องตรงเอวกระโปงส่ายไหว ภายใต้แสงดาราปานว่ามีแสงจันทราสายหนึ่งล่องลอยอยู่ตรงนั้น
กระโปรงชุดนี้งดงามจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อส่องสะท้อนอยู่ใต้แสงจันทร์ก็ยิ่งงดงามกว่าเก่า
เมื่อครู่หลังจากกู้ซีจิ่วสวมก็ถอดมันออกอย่างรวดเร็ว เธอเลยไม่ได้สังเกตรูปแบบของอาภรณ์ชุดนี้อย่างละเอียด รู้สึกรางๆ เพียงว่าสัมผัสไม่เลวอย่างยิ่ง ยามที่ถือไว้ในมือทั้งนุ่มทั้งลื่น ยามที่สวมใส่อบอุ่นดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ…
บัดนี้พอตี้ฝูอีกางกระโปรงชุดนี้ออก เธอก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ตี้ฝูอีมองดูนาง “เจ้ามองให้ละเอียดสิ เหมาะกับเจ้ามาก…ไม่ชอบมันจริงๆ หรือ?”
ว่ากันตามจริงแล้ว อาภรณ์ชุดนี้ดึงดูดความชื่นชอบจากคนได้จริงๆ และเหมาะสมกับรสนิยมการแต่งตัวของเธอจริงๆ ทว่าของที่ปฏิเสธไปแล้ว จะให้รับไว้อีกครั้งเพราะความดึงดูดใจคงไม่ดีกระมัง?!
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาโจมตีรสนิยมการแต่งตัวของเธอ เยาะเย้ยอ้อมๆ ว่าเธอเป็นพวกบ้านนอกเฉิ่มเชย…
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงยิ้มอย่างหยิ่งทะนงยิ่งนักแวบหนึ่ง “แต่ละคนมีทัศนคติความชอบที่ต่างกัน อาภรณ์ชุดนี้ข้าไม่ชอบจริงๆ”
มือของตี้ฝูอีที่จับกระโปรงไว้ค่อยๆ หดกลับไป ชะงักไปครู่หนึ่ง เขายิ้มแวบหนึ่ง โยนอาภรณ์ชุดนั้นเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชน
อาภรณ์ชุดนั้นไม่ทนไฟ ลุกไหม้ทันที
กู้ซีจิ่วตกตะลึง ยื่นมือไปคว้าไว้ “นี่ ท่านทำอะไรน่ะ?!”
ดึงอาภรณ์ชุดนั้นออกมาจากกองไฟโดยไม่คำนึงถึงความร้อน แล้วดับไฟลง แต่กระโปรงที่ดีงามตัวหนึ่งก็ถูกเผาจนรุ่งริ่งแล้ว มองไม่เห็นเค้าเดิมอีกต่อไป
กู้ซีจิ่วโยนชุดที่ไม่เหลือสภาพเดิมตัวนั้นออกไป หันหลังหนี เธอไม่อยากสนทนากับเขาแล้ว และไม่อยากคบค้าสมาคมกับเขาอีกต่อไป!
“กู้ซีจิ่ว วันนี้คือวันพิธีปักปิ่นในวัยสิบห้าปีของเจ้า ยังจำได้หรือไม่?” ตี้ฝูอีที่ด้านหลังเธอเอ่ยเสียงแผ่ว
ฝีเท้าของกู้ซีจิ่วพลันหยุดนิ่ง นึงไม่ถึงว่าเขาจะจำเรื่องนี้ได้ เธอไม่ได้หันกลับไป เพียงเอ่ยถามอย่างเฉื่อยชาประโยคหนึ่ง “แล้วอย่างไร?”
“พิธีปักปิ่นนับว่าเป็นวันสำคัญสำหรับเด็กสาว จ้าเริ่มจัดเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้านานแล้ว ผลมะเดื่อหิมะ อาภรณ์ไหมเงือกจันทรา ก็เป็นของขวัญที่เตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
เธอเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะยิ้มหยัน “ผลมะเดื่อหิมะมิใช่ว่าเป็นรางวัลที่ท่านมอบให้ผู้ชนะหรอกหรือ? แล้วจะกลายเป็นของขวัญที่เตรียมไว้มอบให้ข้าได้อย่างไร?”
“เจ้าคือผู้ชนะ มิใช่หรือ?” ตี้ฝูอีมองดูนาง
บทที่ 741 เขากินน้ำส้มจริงๆ…
ริมฝีปากแดงของกู้ซีจิ่วหยักโค้งเล็กน้อย “หากมิใช่เพราะข้าสู้สุดชีวิต ผู้ชนะก็คงเป็นกลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวกระมัง?!”
เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาต้องการมอบผลมะเดื่อหิมะนี้ให้อวิ๋นชิงหลัว! เพียงแต่เมื่อเห็นว่าตัวเธอกู้ซีจิ่วได้รับไป เลยรีบแจ้นมาอาศัยโอกาสทำเป็นมีน้ำใจ เธอถึงได้ไม่เห็นค่าอย่างไรเล่า!
“การประลองครั้งนี้ กำหนดไว้แล้วว่าสุดท้ายเจ้าจะเป็นผู้ชนะ” ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านล่างเธอเอ่ยเรียบๆ
กู้ซีจิ่วผงะ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเขา ไม่รู้ว่าเขาสวมหน้ากากนั้นอีกครั้งตั้งแต่ยามใด “ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ตี้ฝูอีเอนกายพิงโขดหิน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับมองเธอ “เจ้าไม่ทราบจริงๆ น่ะหรือ?” ยิ้มกับตัวเองแวบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “กู้ซีจิ่ว ฝีมือต่อสู้ของเจ้าเก่งกาจ ทว่าไม่เก่งกาจไปกว่าข้า สองสามวันก่อนข้าได้ศึกษาท่าทีในช่วงหลายวันมานี้ของเจ้าและในการประกับผู้อื่นมาหมดแล้ว และถือโอกาสศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของพวกเจ้าทั้งสามด้วย แน่นอนว่าระดับการต่อสู้รวมถึงทักษะต่างๆ ของกลุ่มอวิ๋นชิงหลัวข้าก็ศึกษามาแล้วเช่นกัน พวกเจ้ายังมิทันได้เริ่มประลองข้าก็ทราบผลลัพธ์คร่าวๆ แล้ว การประลองรอบแรกพวกเจ้าต้องแพ้แน่ รอบที่สองผลแพ้ชนะคือครึ่งต่อครึ่ง ทว่ารอบที่สามพวกเจ้าต้องชนะแน่ หากว่าตัดสินแพ้ชนะในรอบที่สอง มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเจ้าจะแพ้ดังนั้นหากเข้าสู่รอบที่สามได้ถึงจะมีผลดีต่อพวกเจ้าอย่างแท้จริง!”
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นแรงนิดๆ เธอย่อมเชื่อถือสายตาของตี้ฝูอี ประการณ์ต่อสู้ของคนผู้นี้มีมากกว่าผู้ใด…
เธอสูดลมหายใจนิดๆ เอ่ยแย้ง “ท่านกล่าวมิผิด รอบที่สามพวกเราชนะได้แน่ แต่นับผลแบบชนะสองในสาม หากว่ากลุ่มอวิ๋นชิงหลัวชนะในสองรอบแรกแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องมีรอบที่สามต่อ ดังนั้นผู้ชนะในเวทีประลองก็ยังคงเป็นพวกนางอยู่ดี…”
“รอบแรกเนื่องจากพวกเจ้ามิเคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงพ่ายแพ้ในครึ่งชั่วยาม รอบที่สองพวกเจ้าสามารถยืนหยัดได้สองชั่วยามโดยไม่มีทีท่าว่าจะแพ้ รอบที่สองหากฝ่ายของอวิ๋นชิงหลัวมิเล่นลวดลายประหลาดอันใดก็น่าจะเอาชนะพวกเจ้าไม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเสมอกัน ในเมื่อต้องตัดสินผลแพ้ชนะ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนการตัดสินแบบชนะสองในสามเป็นชนะสามในห้า และขอเพียงพวกเจ้าเริ่มรอบที่สามได้ เช่นนั้นก็ชนะแน่นอน ในด้านกลยุทธ์การต่อสู้กลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวด้อยกว่าพวกเจ้ามากนัก”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก คนผู้นี้สายตาเฉียบคม วาจาที่เขาเอ่ยเหล่านี้ไม่ต่างจากที่เธอคำนวณอยู่ในใจยามนั้นเลย
หรือเป็นเพราะคนผู้นี้เดาทางล่วงหน้าได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ดังนั้นจึงนำผลไม้ลูกนั้นมาเป็นของรางวัล?
แต่ว่า แต่ว่า มิใช่ว่าเขาสมควรเอนเอียงเข้าข้างอวิ๋นชิงหลัวหรอกหรือ?
ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่ออวิ๋นชิงหลัวในเทศกาลความรักคืนนั้นก็ไม่มิคล้ายสหายธรรมดาทั่วไป…
คนผู้นี้กระทำการระมัดระวังทุกย่างก้าว เธอไม่มีทางทราบได้เลยว่าที่แท้แล้วในใจเขาคิดอะไรอยู่ เช่นนั้นคำพูดที่เขากล่าวมาในยามนี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดกัน?
แม้จะรับประกันไม่ได้แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ ต่อให้ทั้งหมดที่เขากล่าวมาในยามนี้จะเป็นความจริง ผลการประลองนั้นอยู่ในการคำนวณของเขา ผลไม้นี้ก็มีไว้ให้เธอ เช่นนั้นจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?
เขายังชอบเธออยู่ไหมนะ?
กู้ซีจิ่วนำท่าทีของเขานับตั้งแต่ที่ตนได้รับบาดเจ็บมาครุ่นคิดวนเวียนในสมองดังโคมม้าวิ่ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป
ไม่ว่าเขาจะยังชอบเธออยู่หรือไม่ แต่เขากินน้ำส้มจริงๆ…
เพียงแต่การหึงหวงไม่ได้แปลว่ารักเสมอไป บางครั้งก็เป็นความหวงก้างชนิดหนึ่ง
ถึงอย่างไรตนก็เป็นอดีตคู่หมั้นของเขา ซ้ำยังเป็นฝ่ายที่ต้องการถอนหมั้นเขา ด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของเขาย่อมไม่พอใจแน่นอน ไม่แน่บางทีอาจเป็นเพราะเขายังไม่ปล่อยวางเรื่องนี้ ต้องการให้เธอกลายเป็นคนของเขาอีกครั้ง…
ส่วนอวิ๋นชิงหลัว ในเมื่อเขาข้ามผ่านเทศกาลความรักกับนาง เช่นนั้นก็คงต้องการเช่นกัน
————————————————————————————-
บทที่ 742 พวกเราต่างรักใคร่ผูกพันกัน
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นยุคโบราณ บุรุษสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้…
ช้าก่อน! แล้วตนจะขบคิดพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมากมายเช่นนี้เพื่อการใด?
ตอนนี้เธอแค่อยากครองคู่กับหลงซือเย่ไปชั่วชีวิตอย่างดีๆ เท่านั้น ไม่ควรมาพินิจพิเคราะห์จิตใจของผู้อื่นอีก…
กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจลึกๆ ตัดสินใจจะสะสางเรื่องวุ่นวายให้เด็ดขาด “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย ท่านยังชอบข้าอยู่หรือไม่?”
ตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้า…”
กู้ซีจิ่วไม่รอให้เขาได้พูดต่อก็เอ่ยตัดบทเขา “ไม่ว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะมีความรู้สึกอันใดต่อซีจิ่ว ซีจิ่วล้วนได้แต่ปฏิเสธเท่านั้น ขอท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายโปรดอภัยให้แก่ ‘ความไม่รู้ดีรู้ชั่ว’ ของซีจิ่วด้วย”
ลมหายใจของตี้ฝูอีคล้ายจะขาดห้วง นัยน์ตาพลันมืดมน “เพราะหลงซือเย่หรือ?”
กู้ซีจิ่วตัดสินใจตอบทันที “ใช่! ข้าตัดสินใจจะรวมหอลงโลงกับเขา”
“ถึงแม้เขาจะตบแต่งเจ้าไม่ได้น่ะหรือ?” แววตาของตี้ฝูอีเฉียบคม
“ใช่! ขอเพียงสองคนรักมั่นต่อกันก็พอแล้ว ซีจิ่วไม่สนใจเรื่องพิธีแต่งงาน”
“เขาเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เขามีภาระและหน้าที่ของเขา หากว่าเขาอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิตไม่ได้เล่า?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง “แล้วอย่างไรเล่า? มาตรว่าทั้งสองฝ่ายรักมั่น แม้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ยืนยาว ขอเพียงเคยได้รักกัน ได้ครองคู่กันเพียงวันเดียวก็นับว่าประเสริฐแล้ว”
เมื่อก่อนตอนที่เธอเป็นนักฆ่า เสี่ยงชีวิตอยู่ทุกคืนวัน อาจสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเธอจึงปลงตกยิ่งนักในเรื่องของความรัก อาศัยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้มีความรักที่ยิ่งใหญ่สักครั้งชีวิตนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจเรื่องตราบชั่วฟ้าดินสลาย หวังเพียงเคยได้พบพานเท่านั้น
ตี้ฝูอีหลุบตาลงนิดๆ “มาตรว่าทั้งสองฝ่ายรักมั่น แม้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ยืนยาว…ที่แท้เจ้าก็เสาะแสวงหาสิ่งนี้”
เขานั่งพิงโขดหินอยู่ตรงนั้น ข้ากายคือกองไฟคุโชน แสงเพลิงโลดแล่นรอบกายเขา แต่กลับส่องไปไม่ถึงดวงตาเขา
ทันใดนั้นเขาพลันเงยหน้าขึ้นยิ้มแวบหนึ่ง สายตามองไปยังทิศทางอื่น กล่าวอย่างเฉื่อยชา “หลงซือเย่ เจ้าคิดจะฟังอยู่ตรงนั้นอีกนานเท่าไหร่? ไสหัวออกมาเสีย!”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน มองไปตามทิศทางที่เขาจับจ้อง มองเห็นหลงซือเย่ปรากฏกายขึ้นบนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวแวบหนึ่ง เลิกคิ้วขึ้น “คุณอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว?”
หลงซือเย่เหินลง ร่อนลงข้างกายเธอ เอื้อมมือไปจับมือเธอ “ซีจิ่ว…”
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้น หลบหลีกมือเขา ยิ้มคล้ายมิยิ้ม “คุณสะกดรอยตามฉันใช่ไหม?!”
หลงซือเย่ถอนหายใจ “เธอคิดมากไปแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันไม่วางใจ คิดจะไปดูเธอที่นั่นว่าเธอหลับหรือยัง พบว่าเธอไม่อยู่…กลัวว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุอะไร ดังนั้นเลยมาตามหา ตามหามาจนถึงที่นี่ เจอเธอกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพูดคุยกันอยู่ เลยไม่ได้ปรากฏตัวรบกวน…”
ตี้ฝูอียิ้มเฉื่อยๆ แวบหนึ่ง “ใช่จริงๆ เจ้ามาในยามที่พวกเรากำลังสนทนากันอยู่ เจ้าสำนักหลงเป็นสุภาพชน เลยฟังอยู่บนต้นไม้แค่เกือบครึ่งเค่อเท่านั้น”
หลงซือเย่กระอักกระอวนไปชั่วขณะ ยิ้มขื่นๆ แล้วเอ่ยว่า “สายตาทูตสวรรค์ซ้ายเจิดจ้าดุจคบเพลิงโดยแท้!” ที่แท้ตี้ฝูค้นพบตั้งเขามาถึงแล้ว เพียงแต่ผู้อื่นมิได้เปิดโปงออกมาเท่านั้น
ตี้ฝูอียิ้มหัวพลางเหยียดขาออกมา “กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี!”
หลงซือเย่คล้ายว่าประหลาดใจอยู่บ้าง “มิทราบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด?”
ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “เพื่อนัดพลอดรักกับนางที่นี่เป็นกระมัง?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…
หลงซือเย่ถูกตอกกลับจนชะงักไปหลายวินาที ถึงได้ฝืนยิ้มแวบหนึ่ง “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล้อเล่นแล้ว ซีจิ่วมิใช่คนเช่นนั้น”
ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง “มิใช่คนแบบใด? อีกทั้งยามนี้นางก็มิใช่คนของเจ้า ต่อให้นางนัดพลอดรักกับผู้อื่นที่นี่แล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้า?”
หลงซือเย่ถูกเขาตอกหน้าอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “ข้าและนางมีใจให้กัน พวกเราต่างรักใคร่ผูกพันกัน…”
บทที่ 743 เป็นเขาผิดหรือ?
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา “รักใคร่ผูกพันกันงั้นหรือ? หลงซือเย่ เจ้าคงไม่ลืมข้อตกลงที่ทำไว้กับข้ากระมัง?! ชั่วชีวิตไม่อาจแต่งนางเป็นภรรยาได้ นางสามารถไม่สนใจได้ แต่เจ้าก็ไม่สนใจเช่นกันหรือ?”
หลงซือเย่เงียบงัน
วาจานี้ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคือหลุมพรางขนาดใหญ่ คอยให้เขากระโดดลงไป!
หลงซือเย่ก็มิได้กินเจเช่นกัน เขาแย้มยิ้มอย่างรวดเร็วยิ่ง แววตามั่นคง “ผู้แซ่หลงรักษาสัตย์ว่าจะไม่ตบแต่งนาง แต่ก็ให้คำมั่นแก่นางไว้ ว่าหากมิอาจตบแต่งนางได้ก็จะไม่แต่งภรรยาไปชั่วชีวิต!”
“ชั่วชีวิต? ชั่วชีวิตของเจ้ายาวนานเท่าใดกันเล่า? หลงซือเย่ สมมุติว่าหากเจ้าครองคู่กับนางแล้วอีกหนึ่งเดือนให้หลังเจ้าต้องตาย แต่นางยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตของนาวของคงยืนยาว ตอนนี้เจ้ายังคิดจะอยู่กับนางอีกหรือไม่? ไม่เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายนางหรือ?” คำถามของตี้ฝูอียิ่งถามยิ่งคมคาย และยิ่งพิกลขึ้น
หลงซือเย่สีหน้าอึมครึม ยามนี้เขาฝึกฝนวรยุทธ์ ในอนาคตยังมีอายุขัยอีกหลายร้อยปี!
“ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้แซ่หลงรู้สึกว่าข้อสมมุตินี้ของท่านมิสมเหตุสมผล ขออภัยที่ผู้แซ่หลงมิอาจตอบได้” หลงซือเย่ไม่สบอารมณ์
“ข้ากล่าวว่าสมมุติว่าหาก” สายตาของตี้ฝูอีมองที่เขา “สมมุติว่าหากเจ้าด่วนตายไปเสียก่อน ทิ้งให้นางอยู่โดดเดี่ยวผู้เดียวเล่า?”
หลงซือเย่พูดไม่ออก
เขารู้สึกว่าคำถามนี้ของตี้ฝูอีช่างมีเจตนาก่อกวนโดยแท้ ผู้ใดจะทราบได้ว่าตนจะตายเวลาใด? นี่มิใช่เกิดสำลักจึงเลิกกินข้าวเสียดื้อๆ[1] หรอกหรือ?!
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เหลืออด ตอบคำถามป่วนประสาทข้อนี้ของตี้ฝูอีแทนหลงซือเย่ “ขอเพียงชมชอบคนผู้หนึ่งด้วยใจจริง ถึงแม้นจะได้อยู่กับเขาเพียงวันเดียวก็คุ้มค่าแล้ว!”
กล่าวประโยคนี้จบก็ดึงหลงซือเย่จากไป “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
เงาร่างคนทั้งสองค่อยๆ ห่างหายไปในราตรี
ตี้ฝูอียังคงนั่งอยู่ตรงนั้น มองเงาร่างของสองคนนั้นอย่างใจลอยอยู่บ้าง
เป็นเขาผิดหรือ?
รักคนผู้หนึ่งสุดท้ายแล้วปกป้องคุ้มครองนางอย่างเงียบๆ ถึงจะดีที่สุดใช่ไหม?
หรือขอเพียงได้สร้างความรักที่ลึกซึ้งตราตรึงสักคราก็พอ?
….
กู้ซีจิ่วนอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง หลังจากหลงซือเย่มาส่งเธอแล้วก็จากไป เขาไม่ได้ถามมากความ ไม่ได้ว่าดึกดื่นค่อนคืนแล้วเหตุใดเธอถึงแล่นไปที่ริมสระนั้น…
กู้ซีจิ่วย่อมไม่อธิบายเช่นกัน เนื่องตนก็พูดไม่ออกว่าเพราะอะไร
ยามที่นอนอยู่บนเตียง เงาร่างตี้ฝูอีก็แวบขึ้นมาเบื้องหน้าเธออีกครั้ง อันที่จริงหลังจากขึ้นฝั่งมาตี้ฝูอีก็นั่งพิงโขดหินอยู่ตลอด ตอนที่หลงซือมาเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นเลย…
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง ‘หรือว่าเขายังคงไม่มีเรี่ยวแรงจะเคลื่อนไหว?’
เช่นนั้นการที่ตนลากหลงซือเย่จากมา ทิ้งให้เขาอยู่ที่นั้นเพียงลำพังมิใช่ไร้น้ำใจเกินไปหน่อยหรือ?
ถึงอย่างไรที่นั่นก็อยู่ในหุบเขาลึก ซ้ำยังมีสัตว์ร้ายโผล่มาบ่อยๆ…
ไม่ถูกสิ! เขาสามารถรับรู้ได้ชัดเจนในยามที่หลงซือเย่มาถึง นั่นก็ยืนยันได้ว่าพลังยุทธ์ของเขายังอยู่ เช่นนั้นเหตุใดตอนที่อยู่ต่อหน้าเธอต้องการพึ่งพาดั่งไม่มีกระดูกคงเป็นการเล่นละครเสียแปดส่วน จงใจเอาเปรียบเธอสินะ?!
ก็ถูกแล้ว คนที่แข็งแกร่งปานนั้นจะเมาสุราจนพลังยุทธ์สูญหายไปได้อย่างไรกัน?
สมองตนช่างพิการเหลือเกินยามนั้นถึงราวกับน้ำเข้าสมอง สาละวนอยู่รอบกายเขาดั่งผึ้งงานตัวน้อย…
น่าชังนัก!
เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนค่อนข้างโง่งม เซื่องซึมอยู่ครู่หนึ่ง ก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม นอนหลับเสีย!
….
ริมทะเลสาบ เนื่องจากไม่มีคนเติมฟืน กองไฟเบื้องหน้าจึงค่อยๆ มอดดับไป รอบข้างตกอยู่ในความมืดมิด
————————————————————————————-
บทที่ 744 สิ่งที่เป็นอยู่ยามนี้คงเป็นการชดใช้กรรมของเขากระมัง?
ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เขายังคงพิงโขดหินอยู่เช่นเดิม มองดูดวงตาเขียวเรืองรองหลากหลายคู่ที่ปรากฏขึ้นในป่าที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างสงบ…
เขาทราบว่านั่นคือพยัคฆ์ดาวคะนอง
พยัคฆ์คะนอง สัตว์ร้ายขั้นห้า มีคมเขี้ยวหนึ่งคู่ที่สามารถฉีกทึ้งได้ทุกสิ่ง ชอบเคลื่อนไหวเป็นฝูง พอหมายตาเหยือแล้วจะตามพัวพันชนิดที่ไม่ตายไม่เลิกรา
เขาคลำตรงเอวอยู่ครู่หนึ่ง หาป้ายหยกที่ใช้สื่อสารกับสี่ทูตไม่พบ คิดว่าตกอยู่ในสระเป็นแน่
นี่ช่างเป็นเรือนรั่วในช่วงฝนพร่ำโดยแท้ เขาถอนหายใจแผ่วๆ เกิดเป็นคนไม่ควรเอาแต่ใจเกินไปจริงๆ พอเอาแต่ใจก็จะเสียเปรียบได้ง่ายๆ
ระยะนี้เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณหนักหนาเกินไป ว่ากันตาหลักแล้วสมควรงดสุรา ต้องงดสุราอย่างเด็ดขาดแล้วเข้าฌานสามวันสามคืนควบคู่กับการโคจรโอสถ พลังยุทธ์ก็ฟื้นฟูขึ้นกว่าครึ่งเท่านั้น
ทว่าตัวเขาพอไม่สบายใจขึ้นมาก็อยากดื่มสุรา ซ้ำยังดื่มสุราที่แรงที่สุดอีกด้วย
ดื่มจนเมามายโดยไม่รู้ตัว…
ยามนี้สุราที่เขาดื่มกลายเป็นพิษร้ายอย่างมิต้องสงสัยเลย ด้วยเหตุนี้หลังจากที่สร่างเมาจึงพบว่าพลังยุทธ์ในร่างตนหายไปหมดแล้ว…
ร่างกายอ่อนปวกเปียกปานก้อนแป้ง…
การนั่งพิงกู้ซีจิ่วในตอนนั้นมิใช่การเสแสร้ง
เพียงแต่ถึงแม้เขาจะสูญเสียพลังยุทธ์ แต่ประสิทธิภาพการฟังก็ยังยอดเยี่ยมจนน่าตะลึง เพียงพอจะรับรู้ถึงการมาของหลงซือเย่ได้ทันท่วงที
เขาไม่อยากให้หลงซือพบว่าเขาผิดปกติ อันที่จริงสภาวะเช่นนี้ของเขาไม่เหมาะให้ผู้ใดได้พบเห็น!
ดังนั้นเขาจึงพิงโขดหินสนทนากับพวกเขาอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ตลอด เคราะห์ดีที่ปกติเขาก็ทำอะไรโดยยึดตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว ยามที่สนทนากับพวกหลงซือเย่นึกอยากจะนอนก็นอน อยากจะนั่งก็นั่ง ไม่แยแสเรื่องมารยาทอยู่แล้ว หลงซือเย่จึงไม่ความผิดปกติของเขา จวบจนจากไปพร้อมกู้ซีจิ่ว
หลังจากพวกเขาจากไป ตี้ฝูอีก็ยังนั่งอยู่ หยาดเหงื่อเย็นเฉียบชโลมใบหน้า
ฝืนหยิบโอสถออกมาจากมิติเก็บของ เพิ่งจะนั่งสมาธิโคจรพลังไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามพยัคฆ์คะนองก็ตีวงเข้ามาแล้ว…
ตี้ฝูอีพลันตวัดข้อมือ กระบี่สั้นเล่มหนึ่งโผล่พ้นฝัก ประกายกระบี่ปานสะเก็ดดาว ส่องสะท้อนวงหน้าเขา
เขาเริ่มวิเคราะห์อัตราการรอดชีวิตในครั้งนี้ของตนอย่างเยือกเย็น พยัคฆ์คะนองมีทั้งหมดสิบแปดตัว ด้วยพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ สามารถสังหารได้แปดตัวในหนึ่งชั่วลมหายใจ อีกสิบตัวที่เหลือจะพุ่งเข้าใส่เขา…
ถึงแม้สุดท้ายแล้วพลังวิญญาณที่คุ้มกายเขาจะปกป้องไม่ให้เขาถูกพยัคฆ์คะนองเหล่านี้ขยำกัดกิน แต่ก็มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะพวกมันลากเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา…
เป็นครั้งแรกในรอบเนิ่นนานปีที่เขาทำให้ตนตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ เขาถือดีเกินไปจริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นเทพแล้วจะไม่แยแสอะไรก็ได้
บางทีสิ่งที่เป็นอยู่ยามนี้คงเป็นการชดใช้กรรมของเขากระมัง?
เวลานี้เรียกฟ้าฟ้าไม่ยิน เรียกดินดินไม่ขาน ไม่มีใครมาช่วยเขาอีกแล้ว…
….
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วแน่ๆ!
บางทีตอนที่แช่อยู่ในสระน้ำคงเข้าสมองนานเกินไป
พูดไว้แล้วชัดๆ ว่าจะนอนหลับ แต่หลังจากนอนไปได้ครู่หนึ่งหัวใจก็ร้อนรนเหมือนไฟสุม นอนไม่หลับ เงาร่างตี้ฝูอีที่นั่งพิงโขดหินอย่างเฉื่อยชาแวบเข้ามาในสมองเป็นครั้งคราว
แม้กระทั่งตอนที่เขามอบอาภรณ์ไหมเงือกจันทราอะไรนั้นให้เธอก็แวบเข้ามาเช่นกัน เธอทันได้สัมผัสเพียงตอนที่ถูกเขาเผาไปแล้ว
พฤติกรรมล้างผลาญถึงเพียงนั้นคนผู้นี้ก็ยังกระทำออกมาได้
เมื่อนึกถึงอาภรณ์ชุดนั้นก็นึกถึงไฟกองนั้นขึ้นมาด้วย ดูเหมือนว่ายามที่เธอจากมา กองไฟนั้นก็ไม่มีฟืนแล้ว…
หากว่าไม่มีคนคอยเติม มากสุดกองไฟนั้นก็อยู่ต่อได้อีกครึ่งชั่วยามเท่านั้น
เมื่อกองไฟดับมอดลงสถานที่แห่งนั้นก็จะอันตรายแล้ว โดยเฉพาะในยามราตรี
คนผู้นั้นก็น่าจะจากไปอย่างรวดเร็วแล้วกระมัง?
มิเช่นนั้นเขาอยู่ที่นั่นคนเดียวเพื่อเป็นอาหารให้ยุงหรือ?
แต่ว่าถ้าหากเขาไม่มีแรงเคลื่อนไหวจะทำยังไง?
————————————————————————————-
[1] เกิดสำลักจึงเลิกกินข้าวเสียดื้อๆ อุปมาถึง เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นจึงเลี่ยงไม่ทำเสีย
บทที่ 745 รู้สึกว่าตนถูกวิญญาณแม่พระอันใดสิงสู่เสียแล้ว
แน่นอนว่าด้วยฝีมือที่ล้ำเลิศปานนั้นของเขามีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่เหตุการณ์ประเภทนี้จะไม่เกิดขึ้น
แต่ว่า ถ้าหากเกิดขึ้นเล่า? ถ้าหากน่ะ?
เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ที่กู้ซีจิ่วสับสนวุ่นวายถึงเพียงนี้ รู้สึกว่าตนถูกวิญญาณแม่พระอันใดสิงสู่เสียแล้ว….
หลังจากนอนพลิกไปพลิกมาดังแผ่นแป้งทอดอยู่หลายตลบ สุดท้ายก็พลิกกายขึ้นนั่ง
เวรเอ้ย! ไม่สนแล้ว! หากไม่ไปดูที่นั่นคืนนี้เธอคงนอนไม่หลับทั้งคืน แทนที่จะนอนพลิกไปพลิกมาดั่งแผ่นแป้งทอดเช่นนี้ มิสู้ไปดูเสียเลย
ถ้าเขาจากไปแล้วก็ดี เธอก็วิ่งกลับมานอนตามปกติเสีย มิได้หนักหนาอะไร!
เธอตัดสินใจโดยพลัน ใช้วิชาเคลื่อนย้ายทันที…
อันที่จริงด้วยสุขภาพของเธอในยามนี้ไม่เหมาะจะใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา ยิ่งไปกว่านั้นคือสถานที่แห่งนั้นไกลนัก เธอเคลื่อนย้ายถึงสองครั้งกว่าจะถึงที่นั่น
เธอก่นด่าว่าตัวเองโง่งมไปพลาง เคลื่อนย้ายไปพลาง ผ่านไปหนึ่งนาที ยามนี้เธอปรากฏตัวขึ้นที่ริมสระแล้ว…
หลังจากได้เห็นสภาพแวดล้อมริมสระชัดเจน หยาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากเธอก็ย้อยลงมา!
กองไฟริมสระดับมอดแล้ว ถัดจากโขดหินก้อนนั้นที่ตี้ฝูอีเคยนั่งอยู่ มีซากเสือดาวนอนระเกะระกะอยู่หลายตัว โลหิตเจิ่งนอง มีกระบี่เปื้อนเลือดเล่มหนึ่งตกอยู่ข้างๆ
จากนั้นก็มีร่องรอยการฉุดลากบนพื้นดิน
ร่องรอยนี้ลากยาวเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา ต้นหญ้าตามทางถูกกดทับไม่น้อย…
กู้ซีจิ่วตรวจสอบรอยลากนั้นอย่างรวดเร็ว พบว่าที่ถูกลากไปน่าจะเป็นคนหนึ่งคน
ยามนี้ไม่ต้องคิดเป็นครั้งที่สองเลยว่าผู้ที่ถูกลากไปเป็นใคร กู้ซีจิ่วรีบติดตามรอยลากไปทันที
ในที่สุด เธอก็ได้เห็นเขาอีกครั้ง
เขากองอยู่ตรงนั้น ร่างกายคล้ายมีเยื่อชั้นหนึ่งคุ้มครองอยู่ มีเสือดาวห้าตัวกำลังกัดงับเยื่อนั้นแล้ววิ่งลากไป…
ตี้ฝูอีที่อยู่ภายในเยื่อนั้นหลับตานิดๆ ไม่รู้ว่าถูกงับจนสลบไป หรือว่ากำลังรวบรวมกำลังอยู่
กู้ซีจิ่วสบถเสียงแผ่วคราหนึ่ง ด้านหนึ่งก็ชมเชยที่ตนฉลาดปราดเปรื่องคาดคะเนเรื่องราวได้ปานเทพเซียน อีกด้านหนึ่งก็ใคร่ครวญหาวิธีช่วยเหลือคน
ต่อสู้ย่อมไม่เหมาะแน่นอน ตอนนี้เธอยังบาดเจ็บอยู่
ใช้ได้เพียงพิษ…
เพียงแต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเสือดาวพวกนี้จะร้ายกาจยิ่งนัก ยาพิษธรรมดาย่อมเป็นพิษต่อพวกมัน มีแต่ต้องใช้พิษร้ายแรงเท่านั้น
เธอตรวจค้นถุงเก็บอขงอยู่ครู่หนึ่ง หาของที่เหมาะสมไม่พบ พบเพียงยาสลบชนิดรุนแรงขวดหนึ่ง รุนแรงชนิดที่สามารถล้มช้างได้ทันที
ต่อให้เสือดาวเหล่านี้ไม่เกรงกลัวพิษ ก็น่าจะเกรงกลัวยาสลบอยู่บ้าง อย่างน้อยๆ ก็สามารถทำให้พวกมันสลบไสลได้หลายนาที…
กู้ซีจิ่วเคลือบยาสลบบนเข็มเงิน จากนั้นก็ไล่ตามเสือดาวหลายตัวนั้นไป เมื่อถึงจุดที่ห่างกับพวกมันสิบกว่าจั้งก็ตะโกนเสียงดัง!
เสียงตะโกนของเธอได้ผลยิ่ง เสือดาวเหล่านั้นเหลียวกลับมาเพราะได้ยินเสียง เข็มเงินในมือกู้ซีจิ่วก็พุ่งออกไป…
และวินาทีนั้นเสือดาวพวกนั้นก็พบเธอและกระโจนเข้ามาแล้ว
ความแม่นยำของกู้ซีจิ่วน่าพรันพรึงนัก เข็มเงินทุกเล่มล้วนปักเข้าที่ดวงตาของเสือดาวเหล่านั้น…
กู้ซีจิ่วทะยานกายถอยหลัง นับเลขอยู่ในใจ ‘หนึ่ง สอง สาม…’
ยามที่นับถึงเจ็ด ในที่สุดเสือเหล่านั้นก็ส่ายโงนเงนดั่งเมามาย ค่อยๆ ล้มลงไปช้าๆ
กู้ซีจิ่วก็ไม่เกรงอกเกรงใจ ก้าวเข้าไปแล้วชักกระบี่ออกมาบั่นคอทีละตัว…
เธอรู้สึกว่าการแทงทะลุหัวใจสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ มีแต่ต้องตัดหัวถึงจะปลอดภัยจริงๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอประเมินคระดับความเหนียงของหนังเสือดาวเหล่านี้ต่ำไป พยายามฟันอยู่หลายครั้งก็ฟันหนังเสือเหล่านั้นไม่ขาดเสียที สั่นสะเทือนจนข้อมือเหน็บชา
เสือเหล่านี้ดูเหมือนจะต้องอาศัยพลังวิญญาณเท่านั้นถึงจะสังหารได้ มิเช่นนั้นก็ทำอันใดพวกมันไม่ได้จริงๆ
เสือเหล่านี้ทรงพลังนัก ถูกกู้ซีจิ่วทำให้ชาไปได้ไม่นาน ก็เริ่มมีแรงลืมตาแล้ว…
ไม่ดีแล้ว! ถ้ารอจนพวกมันฟื้นฟูเป็นปกติเธอจะพาคนหลบหนีไปก็ไม่ทันการแล้ว!
————————————————————————————-
บทที่ 746 ได้! ฟังคำเจ้า
กู้ซีจิ่วทำได้เพียงละวางความคิดที่จะสังหารพวกมันให้สาสมไป วิ่งไปข้างกายตี้ฝูอีทันที เขาลืมตาแล้ว ภายใต้แสงจันทร์นัยน์ตาเขาสุกสกาวดั่งแสงดาว มองเธออย่างแจ่มใสหาใดปาน “ซีจิ่ว เจ้าทิ้งข้าไม่ลงจริงๆ ด้วย!”
กู้ซีจิ่วชะงักฝีเท้า คร้านจะพูดไร้สาระกับเขา และยามนี้ก็ไม่มีเวลามาพูดไร้สาระแล้วด้วย
เธอก้มลงโอบประคองเขาขึ้นมา อาศัยจังหวะที่เสือพวกนั้นยังไม่รู้สึกตัวดี พยายามใช้วิชาเคลื่อนย้ายสุดกำลัง เลือนหายไปจากจุดเดิม
….
คืนนี้กู้ซีจิ่วยุ่งนัก เธอเหนื่อยแทบตาย ซ้ำยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ ดังนั้นการเคลื่อนย้ายในครั้งแรกที่เธอโอบตี้ฝูอีผู้ตัวหนักอึ้งไว้จึงเคลื่อนย้ายได้ไม่ไกลนัก เป็นระยะทางเพียงสองลี้เท่านั้น
ระยะนี้ย่อมมิใช่ระยะห่างที่ปลอดภัย ด้วยเหตุนี้เธอจึงพักหายใจครู่หนึ่งแล้วเคลื่อนย้ายต่อ หนนี้คืบหน้าขึ้นมาหน่อย เคลื่อนย้ายได้สามลี้
การเคลื่อยย้ายติดต่อกันสองครั้งทำให้เธอตาลายจนเห็นดาว ก้มมองเขาที่ถูกลากอยู่ อดไม่ได้ที่จะออกความเห็น “ตี้ฝูอี ข้าว่าท่านควรลดน้ำหนักได้แล้ว!”
อันที่จริงเรือนร่างของตี้ฝูอีสมส่วนอย่างยิ่ง ชนิดที่ว่าเพิ่มหนึ่งส่วนก็ท้วมไป ลดหนึ่งส่วนก็ผอมไป หากเป็นคนอื่นปรามาสว่าเขาอ้วน คาดว่าเขาคงซัดคนผู้นั้นออกนอกจักรวาลไปแล้ว แต่ยามนี้เป็นกู้ซีจิ่วที่ปรามาส เขากลับรู้สึกหวานชื่น ยิ้มน้อยๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ได้! ฟังคำเจ้า”
กู้ซีจิ่วตะลึง ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่ปากร้ายมาตลอดเปลี่ยนเป็นว่าง่ายเช่นนี้ ทำให้กู้ซีจิ่วไม่ชินยิ่งนัก
เธอมองไปด้านหน้า ยังต้องเคลื่อนย้ายอีกสามครั้งถึงจะส่งตี้ฝูอีกลับเรือนได้…
เสียงคำรามของพยัคฆ์แว่วมา เป็นอันชัดเจนว่าเสือพวกนั้นฟื้นคืนสติแล้ว น่าจะไล่ตามมาได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
ด้วยการเคลื่อนย้ายต่อเนื่องกันสามครั้งเช่นนี้ กู้ซีจิ่วถึงพาตี้ฝูอีเข้ามาในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้ มองเห็นประตูใหญ่ของคฤหาสน์หลังนั้นอยู่ไกลๆ…
มารดาเถิด ในที่สุดก็กลับมาได้แล้ว!
กู้ซีจิ่วถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก หนนี้กู้ซีจิ่วสิ้นเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ ยามนี้จิตใจผ่อนคลาย เบื้องหน้าพลันมืดมัว ล้มลงไปเสียงดังตึง วินาทีที่ล้มลงไปหน้าผากของเธอบังเอิญโขกลงบนหน้าผากตี้ฝูอีพอดี ชนเข้ากับแถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกบนหน้าผากเขา…
เบื้องหน้าเธอพร่าเลือนเห็นดาววิบวับ จากนั้นก็ไม่ทราบอะไรอีกเลย
….
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เมื่อกู้ซีจิ่วฟื้นจากการสลบ จมูกก็ได้กลิ่นหอมอ่อนจางสายหนึ่งเป็นอันดับแรก ทว่ากลิ่นหอมนั้นคุ้นเคยยิ่งนัก เป็นเอกลักษณ์ของตี้ฝูอี!
การลืมตาช่างกินแรงเธอเหลือเกิน สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาคือม่านระย้าสีเงิน…
สมองเธอค่อนข้างทึ่มทื่อไปชั่วขณะ ค่อยๆ กะพริบตา รับรู้ได้ช้าๆ ว่าม่านเตียงนี้มิใช่ม่านเตียงที่เธอนอนเป็นประจำ เตียงของเธอไม่มีของหรูหราเลอค่าเช่นนี้…
ด้วยเหตุนี้เธอจึงกะพริบตาอีกครั้ง ตั้งสติ หันมองรอบข้าง
นอกเหนือจากม่านเตียงที่โปร่งแสงแล้ว เธอเห็นว่าห้องนี้จัดแต่งอย่างดงามและมีรสนิยมยิ่งนัก
ฉากกั้นลม เครื่องเรือน แจกันดอกไม้ กระถางกำยาน…
ข้าวของทุกชิ้นล้วนบ่งบอกถึงรสนิยมและความพิเศษของผู้เป็นเจ้าของ
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้นเคาะจุดไท่หยาง[1]ตามสัญชาตญาณ ผู้ที่สามารถจัดแต่งห้องให้ประณีตงดงามถึงเพียงนี้ได้ยามนี้ย่อมมีใช่ใครอื่น
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!
ที่นี่คล้ายจะเป็นห้องนอนของตี้ฝูอี!
ฉากก่อนที่จะสลบไปแวบขึ้นมาในสมอง เธอก็ทราบแจ่มแจ้งแล้ว
เธอพาตี้ฝูอีกลับมาได้ แล้วสลบไปที่หน้าเรือน ในที่สุดก็ทำให้มู่เฟิงตกอกตกใจ ช่วยเหลือทั้งสองกลับมา…
ไม่ถูกสิ! ช้าก่อน!
หากว่าทั้งสองคนล้วนถูกช่วยกลับมา เช่นนั้นตามหลักแล้วควรจะจัดให้เธอไปอยู่ที่ห้องพักแขกสิ มิใช่ในห้องนอนของตี้ฝูอี!
เธอนอนอยู่ที่นี่ เช่นนั้นตี้ฝูอีไปนอนที่ไหน?
————————————————————————————-
[1] จุดไท่หยาง เป็นจุดที่อยู่ตรงขมับบริเวณหางคิ้ว
บทที่ 747 นี่…นี่ก็เป็นของปลอมใช่ไหม?
เธอกลอกตามองรอบข้าง ไม่เห็นมีบุคคลที่สองอยู่ในห้องนี้ ดูเหมือนตี้ฝูอีจะยังมีขีดจำกัดล่างอยู่บ้าง ไม่ได้ฉวยโอกาสตอนที่เธอสลบนอนร่วมห้องกับเธอเพื่อทำลายชื่อเสียงความผุดผ่องของเธอ
สถานที่แห่งนี้เธอไม่อยากรั้งอยู่นาน อยู่นานๆ ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะเล่นลวดลายอันใดอีก!
ดังนั้นหลังจากกู้ซีจิ่วตั้งสติได้ ก็คิดจะลงจากเตียงทันที วางแผนว่าจะกลับไปอยู่ในห้องพักที่สงบเงียบแห่งนั้น หากว่ากลับไปเช้าหน่อย ไม่แน่จิ้งจอกน้อยอาจจะยังไม่ตื่น…
กู้ซีจิ่วยื่นมือไปเลิกม่านเตียง ทว่าในวินาทีที่มองเห็นมือตนก็ทึ่มทื่อไป!
มือข้างนั้นงดงามเรียวยาวกระจ่าง นิ้วหัวแม่มือสวมแหวนหยกสำหรับน้าวธนูไว้ ยามที่ยื่นมือออกไปคล้ายจะสามารถโลกาปั่นป่วนได้
กู้ซีจิ่วคุ้นเคยกับมือนี้ยิ่งนัก เนื่องเคยถูกมันเกาะกุมมาหลายหน…
นี่คือ…มือของตี้ฝูอี!
สายตากู้ซีจิ่วจับจ้องมือตนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบก้มมองร่างกายตนทันที จากนั้นทั้งร่างก็แข็งค้างปานถูกฟ้าผ่าใส่!
ร่างกายเธอสวมเสื้อคลุมสีม่วง หน้าอกเรียบแบน เนินเขาแฝดที่เคยภาคภูมิใจหายไปแล้ว…
นี่…นี่คล้ายว่าจะเป็นร่างกายของตี้ฝูอี!
หรือว่าเธอจะเข้าสิงสู่ร่างของตี้ฝูอีเสียแล้ว?!
เป็นไปไม่ได้กระมัง?!
หรือว่าตี้ฝูอีจะเล่นพิเรนทร์ด้วยการแปลงโฉมให้เธอ? เจตนาจะทำให้เธอตกใจ?
ด้วยนิสัยของคนผู้นั้น เรื่องต่ำทรามประเภทนี้เขาย่อมทำได้!
ต้องถูกแปลงโฉมแน่ๆ!
เธอตัดสินใจได้โดยพลัน แกะสาบเสื้อตรงอกตนออก จากนั้นก็มองแผ่นอกเปลือยเปล่า
แผ่นอกนี้มีร่องลายชัดเจนปานแผ่นหินอ่อน เม็ดทับทิมทั้งสองก็รูปร่างสมบูรณ์งดงาม
หน้าอกของร่างนี้ก็งดงามมากเช่นกัน
นี่ไม่ใช่ของจริงแน่ๆ! มารดามันเถอะหน้าอกนี้ทำได้สมจริงเหลือเกิน!
กู้ซีจิ่วยื่นมือไปลูบคลำดู จากนั้นก็ชะงักงันดั่งถูกไฟฟ้าช็อต
มีความรู้สึก! แถมยังรู้สึกได้ชัดเจนนัก
กู้ซีจิ่วมือสั่น แหวกเสื้อคลุมออกทันที มองเห็นกล้ามท้องหกลอนอันทรงพลังของตน จึงลองหยิกดู เจ็บเหลือเกิน เป็นความรู้สึกของเนื้อที่ถูกหยิก
นี่…นี่ก็เป็นของปลอมใช่ไหม?
ความรู้สึกสมจริงเกินไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วก็แตกฉานในศาสตร์การแปลงโฉม แถมรูปร่างภายนอกก็ดูแนบเนียนสมจริง แต่ ‘เนื้อหนัง’ ที่ติดอยู่บนร่างเหล่านั้นไม่ว่าจะหยิกหรือสัมผัสก็ไม่รู้สึกอะไร เป็นแค่ซิลิโคนเกรดสูงที่ทำขึ้นเฉพาะเท่านั้น
แต่ยามนี้สิ่งที่เธอเห็นเหล่านี้ไม่แตกต่างจากเนื้อหนังของจริงเลย ความรู้สึกของสัมผัสตลอดจนร่างกายก็ไม่มีจุดแตกต่าง
สิ่งเหล่านี้สามารถปลอมขึ้นได้ แต่คงไม่อาจปลอมส่วนนั้นได้กระมัง?!
กู้ซีจิ่วคลายกางเกง ยื่นมือเข้าไปสัมผัสดู…
จากนั้นก็รีบร้อนหดมือกลับมาทันที!
ของจริง! ‘ส่วนนั้น’ เป็นของจริง! ยามที่เธอสัมผัสด้วยตัวเองสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นของจริง ถึงขั้นมีความรู้สึกต่อสัมผัสนั้นยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วบื้อใบ้อยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อลงจากเตียงก็เห็นว่าบนโต๊ะมีกระจกอยู่ จึงรีบฉวยกระจกมาส่องทันที สิ่งที่สะท้อนอยู่ในกระจกคือใบหน้าที่หล่อเหลาเลิศล้ำจนฟ้าเคืองมนุษย์ขุ่นของตี้ฝูอี…
‘เคร้ง!’ กระจกร่วงลงพื้น
กู้ซีจิ่วทรุดลงบนเก้าเสียงดังตึง!
เธอเข้าร่างตี้ฝูอีจริงๆ! ตอนที่เธอล้มลงไม่เพียงแต่สลบไปเท่านั้นยังฉกฉวยสังขารของตี้ฝูอีมาด้วยใช่หรือไม่?
นี่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เกินไปแล้ว! คราวก่อนมิใช่ตี้ฝูอีกล่าวกับหลงซือเย่ไว้หรอกหรือ ว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนร่างได้อีกแล้ว? เมื่อเธอตายวิญญาณจะแตกสลายไปจริงๆ แล้วทำไมเธอถึงแล่นเข้ามาอยู่ในร่างตี้ฝูอีได้ล่ะ?!
แถมตี้ฝูอีก็เคยบอกเอาไว้ ร่างกายของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่มีใครสามารถฉกชิงได้ แล้วทำไมเธอถึงฉกชิงมาได้แบบงงๆ เล่า?
เธอกลายเป็นตี้ฝูอีไปแล้ว!
เช่นนั้นดวงวิญญาณของตี้ฝูอีล่ะ? ไปอยู่ที่ไหนเสีย? แล้วร่างนั้นของเธอล่ะ? คงมิใช่ว่าสิ้นชีพไปแล้วกระมัง?!
————————————————————————————-
บทที่ 748 นี่มิใช่เจตนารนหาที่ตายหรอกหรือ?
คำถามนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในสมองเธอ เธอกระแอมคราหนึ่ง ลองพูดคุยกับตนเองดูสักประโยค จากนั้นก็พบว่ากระทั่งเสียงก็ยังเป็นของตี้ฝูอีเช่นกัน ของแท้แน่นอน!
เธอชิงร่างของตี้ฝูอีมา หากว่ากล่าวเรื่องนี้ออกไปย่อมต้องเกิดมรสุมใหญ่เป็นแน่!
เธอนั่งใคร่ครวญอยู่บนเก้าอี้ครู่หนึ่ง พบว่าตนไม่มีความทรงใดๆ ของตี้ฝูอีเลย…
หนก่อนหลังจากเธอทะลุมิติมา เข้าครองร่างของคุณหนูกู้ซีจิ่วแห่งจวนแม่ทัพ ก็ได้รับสืบทอดความทรงจำของนางมาด้วย
หนนี้เธอชิงร่างของตี้ฝูอีมา ทำไมถึงไม่มีความทรงจำของตี้ฝูอีล่ะ?
ความทรงจำของเธอยังคงเป็นกู้ซีจิ่ว ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด
ตอนนี้เธอเข้าครองร่างของตี้ฝูอี เช่นนั้นร่างของตนเล่า? ตายแล้วหรือ? หรือว่าถูกผู้อื่นครอบครอง? บางทีอาจเป้นการสลับร่างกับตี้ฝูอีกระมัง?
กู้ซีจิ่วมิใช่เด็กน้อยที่ตื่นตระหนกต่อการเปลี่ยนแปลง แต่บัดนี้สมองก็ทึ่มทื่ออยู่บ้างเช่นกัน
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองสงบลง ทำให้ตัวเองยอมรับความจริงอันน่าประหลาดนี้ให้ได้
จนกระทั่งยามนี้เธอถึงสัมผัสได้ว่าร่างกายตนอ่อนแอยิ่งนัก เรี่ยวแรงสักนิดก็ไม่มีเลย ภายในทรวงอกกลวงโหวง ชีพจรทุกเส้นกรีดร้องว่าอ่อนล้า
เมื่อเธอยืดกายขึ้นหยาดเหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดออกมาจากหน้าผาก…
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วครุ่นคิด นี่เป็นผลจากการที่ตนปรับตัวเข้ากับร่างนี้ไม่ได้งั้นหรือ? หรือมีสาเหตุจากสุขภาพของร่างนี้? อย่างไรเสียยามที่เธอช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อคืน ร่างกายเขาก็อ่อนปวกเปียกดั่งปุยนุ่น ยอมให้เธอยอมให้เธอโอบ…
เพียงแต่ยามนี้ดูเหมือนร่างกายนี้จะดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยเธอก็สามารถเคลื่อนไหวตามปกติได้
เธอนั่งขมับมือขยับเท้าอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ให้ตัวเองปรับตัวสักพัก ถึงค่อยลุกขึ้น ตัดสินใจออกไปดูข้างนอกก่อน ตามหาร่างของตน…
เพิ่งจะเปิดประตูออกไป ก็มองเห็นมู่เหล่ยปรี่มาต้อนรับ สีหน้าเปี่ยมด้วยความยินดี “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว! ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ? เมื่อคืนข้าน้อยตกใจแทบตาย ท่านกับแม่นางกู้สลบอยู่นอกเรือน…” เขาร่ายสิ่งที่พบเห็นเมื่อคืนออกมา
ชัดเจนยิ่งนัก เขาดูไม่ออกว่าร่างกายเจ้านายตนเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว…
กู้ซีจิ่วฟังเขาพูดจนจบอยู่เงียบๆ สรุปได้สองประเด็นจากคำพูดของเขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกระทำการลึกลับยิ่ง ยามปกติไม่ชมชอบให้ลูกน้องติดสอยห้อยตาม หากว่าเข้าไม่ติดต่อลูกน้อง ลูกน้องก็ไม่กล้าติดต่อเขา แถมยังเคยชินกับการที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกไปข้างนอกในยามวิกาลแล้ว ไม่หลับมาทั้งคืนหรือไม่กลับมาหลายคืนล้วนเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการที่เขาไม่กลับมาเมื่อคืนจึงไม่ก่อให้มุ่เฟิงรู้สึกตื่นตูม
ข้อที่สอง ระยะนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง การที่เขาถอนกระบี่เพื่อรักษาให้ตนคือการฝืนตัวเอง ด้วยเหตุนี้ชีพจรจึงได้รับความเสียหาย และในช่วงนี้ก็ไม่ควรดื่มสุรา มิเช่นนั้นจะทำให้อาการบาดเจ็บทรุดหนักกว่าเดิม…
หลังจากกู้ซีจิ่วสรุปสองข้อนี้ออกมา ในใจก็วาบซึ้งยิ่งนัก และรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ทำตัวเองแท้ๆ!
บาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ยังวิ่งไปทั่วอีก ซ้ำยังไปแช่อาบน้ำในหุบเขาลึก แถมยังดื่มสุรา…นี่มิใช่เจตนารนหาที่ตายหรอกหรือ?!
เพียงแต่มีปัญหาอื่นที่เธอกังวลกว่า “แม่นางกู้ล่ะ? นางยังสลบอยู่หรือ?”
มู่เอ่ยเอ่ยตอบ “ตอนนั้นนางก็สลบเหมือนกันขอรับ ข้าน้อยไม่กล้าพานางเข้ามาในเรือนโดยพลการ เกรงว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของนาง จึงอาศัยที่เป็นยามวิกาลส่งนางกลับไปพักฟื้นที่เรือนจิตวายุแล้วขอรับ…” จากนั้นก็มองสีหน้าของเจ้านายตนเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “นายท่านวางใจเถิดขอรับ ข้าน้อยจับชีพจรให้นางแล้ว แค่สลบไปด้วยความอ่อนเพลียเท่านั้น มิได้กระทบกระเทือนบาดแผลเดิม คาดว่ารุ่งเช้าก็น่าจะตื่นแล้วขอรับ ไม่มีปัญหาอะไร”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
กู้ซีจิ่วหมุนกายเดินจากไป “ ข้าจะไปดูนาง!”
เดิมทีกู้ซีจิ่วก็เล่นละครเก่งอยู่แล้ว เมื่อแปลงโฉมเป็นผู้ใดก็แสร้งเป็นผู้นั้น
บทที่ 749 ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?
เดิมทีกู้ซีจิ่วก็เล่นละครเก่งอยู่แล้ว เมื่อแปลงโฉมเป็นผู้ใดก็แสร้งเป็นผู้นั้น นับประสาอะไรกับร่างกายของเธอในยามนี้ที่เดิมทีก็เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงอยู่แล้ว แถมเธอยังคุ้นเคยกับเขาด้วย ย่อมลอกเลียนลักษณะท่าทางของได้สมบูร์ณ ต่อให้เป็นมู่เหล่ยก็มองไม่ออกในระยะเวลาสั้นๆ
มู่เหล่ยปลาบปลื้มยินดี ในที่สุดเจ้านายของบ้านตนก็จะไปหาแม่นางกู้อย่างซื่อตรงเปิดเผยแล้ว! หรือในที่สุดเขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่ตนมีต่อแม่นางกู้แล้ว ตัดสินใจจะไขว้คว้าแม่นางกู้กลับใช่หรือไม่?
เจ้านายตนควรจะทุ่มเทกำลังให้มากขึ้นจริงๆ ถ้าเดี๋ยวชิดใกล้เดี๋ยวถอยห่างเช่นนี้ต่อไป นายหญิงน้อยก็ถูกหลงซือเย่ชิงตัวไปแล้ว!
อันที่จริงสองวันมานี้มู่เหล่ยว้าวุ่นแทนเจ้านายยิ่งนัก เนื่องจากเขาได้ยินข่าวซุบซิบระหว่างหลงซือเย่กับกู้ซีจิ่วที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาไม่น้อย ทราบว่าระยะนี้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันยิ่งนัก หลงซือเย่จะไปรายงานตัวกับนางที่นั่นทุกวัน แถมยังมีคนมากมายเห็นว่าสองคนนั้นจูงมือกันเดินเล่นด้วย…
ความหวานแหววนั้นทำให้มู่เหล่ยอิจฉาตาร้อนแทนเจ้านายของบ้านตน!
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้านายของบ้านตนใส่ใจยิ่งนัก แต่กลับทำเป็นนิ่งเฉยเสีย สองวันมานี้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สุราไม่ห่างมือเลย ลูกน้องอย่างเขาก็ไม่กล้าตักเตือน ทำได้เพียงร้อนรนกังวลแทนเขา
ยามนี้ดีขึ้นแล้ว ในที่สุดนายท่านประจักษ์แจ้งแล้ว เป็นฝ่ายรุกก่อนแล้ว!
แต่หวังว่าจะยังไม่สายเกินไป!
เนื่องจากเจ้านายไม่ได้บอกว่าไม่ให้เขาตามไป ดังนั้นมู่เหล่ยจึงตัดสินใจตามไปดูแลอยู่ข้างกายเจ้านาย
ถึงอย่างไรร่างกายของเจ้านายก็บาดเจ็บอยู่มิใช่หรือ? แถมเมื่อคืนยังสลบกลับมาอีก
กู้ซีจิ่วรีบเร่งเดินทาง ระหว่างทางพบอาจารย์ละลูกศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากมาย คนเหล่านี้เมื่อพบเห็นเขาย่อมพากันทำความเคารพ…
ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะเดินไปที่ใด ที่นั่นล้วนคุกเข่าคารวะทั้งสิ้น เป็นฉากที่อลังการนัก
ในบรรดานี้มีคู่แฝดเล่อชิงซิ่งและเล่อจื่อซิ่งด้วย พี่น้องคู่นี้มอง ‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ ด้วยแววตาที่ค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง คล้ายกับมองชายใจทรามที่ได้แล้วทิ้ง…
กู้ซีจิ่วคร้านจะสนใจ ตอนนี้เธอพะวงอยู่เพียงเรื่องเดียว เธอกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสลับร่างกันจริงๆใช่ไหม?!
ยามที่มาถึงเรือนจิตวายุ ก็ได้พบกู่ฉานโม่ ดูเหมือนเขาเพิ่งจะไปดู ‘กู้ซีจิ่ว’ มา เมื่อเห็น ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ มาถึง เขาก็เอ่ยทักทาย “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย นี่ท่าน…มาเยี่ยมแม่นางกู้หรือ?”
กู้ซีจิ่วถือโอกาสถามเสียเลย “ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?”
กู่ฉานโม่ตอบว่า “ที่แท้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ใส่ใจนางถึงเพียงนี้ วางใจเถิด ตอนนี้อาการบาดเจ็บของนางไม่หนักหนาแล้ว เช้านี้กินอาหารไปไม่น้อย น่าจะหายดีในไม่ช้า”
กู้ซีจิ่วตะลึง กล่าวเช่นนี้คือ ร่างของเธอตื่นแล้ว?! ซ้ำยังกินอาหารไปไม่น้อย…
“ตอนนี้นาง…ทำอะไรอยู่?” กู้ซีจิ่วถามอีกประโยคหนึ่ง
“เอ่อ ตอนนี้นางคงจะพูดคุยกับเจ้านักหลงอยู่กระมัง? ยามที่ผู้เฒ่าออกมาเจ้าสำนักหลงเพิ่งมาถึง เจ้าสำนักหลงผู้นี้ปฏิบัติต่อกู้ซีจิ่วดียิ่งนัก วันหนึ่งๆ มาเยี่ยมนางอยู่หลายครั้ง…” วาจาที่กู่ฉานโม่เอ่ยออกมาแฝงนัยยะล้ำลึกยิ่งนักเอาไว้…
ทว่าความรู้สึกเลวร้ายในใจกู้ซีจิ่วกลับพุ่งกระฉูดขึ้นมา!
หากว่าตอนนี้ผู้ที่ครอบครองร่างของเธอคือตี้ฝูอี ด้วยนิสัยของเขา เกรงว่าหลงซือเย่คงถูกเขาหลอกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!
วุ่นวายแล้ว! วุ่นวายไปหมด!
กู้ซีจิ่วไม่สนใจคุยกับกู่ฉานโม่แล้ว หันหลังจากไปทันที
ได้ยินกู่ฉานโม่บ่นพึมพำแว่วๆ อยู่ด้านหลังว่า “ตอนนี้เห็นคุณค่าของแม่นางบ้านอื่นขึ้นมาแล้วหรือ? เกรงว่าจะสายไปแล้ว!”
เมื่อเธอเข้าประตูเรือนไป ก็พบหลงซือเย่ที่ออกมาจากห้องพอดี ไม่ทราบว่า ‘กู้ซีจิ่ว’ ที่อยู่ในห้องคุยอะไรกับเขา สีหน้าเขาจึงค่อนข้างซีดเซียว ย่างก้าวก็โซเซอยู่บ้าง ท่าทางเหมือนได้รับความกระทบเทือนอะไรมา
กู้ซีจิ่วร้องเรียกเขาตามสัญชาตญาณ “หลงซือเย่…”
————————————————————————————-
บทที่ 750 มีวูบหนึ่งที่อยากเตะเจ้าคนผู้นี้ให้กระเด็น
ฝีเท้าหลงซือเย่หยุดชะงัก มองเธออย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แม้แต่เสียงทักทายก็ไม่มี หันหลังรีบก้าวออกไป
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
ปากเธออ้าออกนิดๆ ในใจใคร่ครวญว่าต้องตามไปบอกเรื่องที่เธอสลับร่างกับตี้ฝูอีให้หลงซือเย่ทราบหรือไม่…
เท้าเธอเพิ่งจะขยับ ประตูห้องพลันเปิดออก สาวน้อยนางหนึ่งยืนขวางประตูอยู่ ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เธอ มุมปากยิ้มมิเชิงยิ้ม เอ่ยทักทายเธอด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
สาวน้อยผู้นั้นคือร่างของ…กู้ซีจิ่ว
เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้ยืนพินิจร่างกายตัวเองจากมุมมองของคนนอก มองเห็นร่างของตนเอ่ยทักทายตน เธอรู้สึกปวดประสาทเหลือเกิน…
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ สาวเท้าเข้าไปด้านใน “พวกเรามาคุยกันหน่อย!”
เธอต้องรู้ให้ได้ว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้น!
หลานไว่หูก็อยู่ในห้องด้วย เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วเข้ามา จึงทำความเคารพเธอก่อน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”
กู้ซีจิ่วเจ็บปวดนัก แต่กยังโบกมือให้นางลุกขึ้น กล่าวกับหลานไว่หูอย่างอ่อนโยน “จิ้งจอกน้อย เจ้าออกไปก่อน ข้า…ตัวข้ามีเรื่องต้องคุยกับแม่นางกู้”
เรื่องนี้ประหลาดและอยู่น่าเหลือเชื่อเกินไป ด้วยลางสังหรณ์ของกู้ซีจิ่วจึงไม่อยากให้มีคนรู้มากนัก เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เสียงนี้ของเธอทำให้หลานไว่หูเบิกตากว้างมองเธออย่างยากจะอธิบาย
จิ้งจอกน้อยชื่อเล่นนี้มีเพียงคนที่สนิทชิดเชื้อกันถึงจะเรียกขานนางเช่นนี้ อย่างเช่นกู้ซีจิ่ว เชียนหลิงอวี่ เยี่ยนเฉิน…
นึกไม่ถึงว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็จะเรียกขานนางเช่นนี้ด้วย
กู้ซีจิ่วเห็นหลานไว่หูมีท่าทางคับข้องหมองใจก็ประหลาดใจอยู่บ้าง หัวใจเต้นแรงแวบหนึ่ง หรืออีกฝ่ายจะกลั่นแกล้งเอาเปรียบจิ้งจอกน้อย?!
สายตาเธอมองไปที่ร่างกายของตนทันที!
สายตาของ ‘ก็ซีจิ่ว’ ที่อยู่ตรงข้ามนิ่งเฉยไม่รู้สึกรู้สา นั่งเอื่อยเฉื่อยไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น ทว่าแย้มยิ้มแวบหนึ่ง “วันนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอ่อนโยนเหลือเกิน” แล้วหันไปคุยกับหลานไว่หู “หลานไว่หู เจ้าออกไปก่อน ตัว…ข้ามีบางอย่างจะคุยกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”
หลานไว่หูเม้มริมฝีปากน้อยๆ สุดท้ายก็ออกไป
ในที่สุดภายในห้องก็เหลือเพียงคนทั้งสอง กู้ซีจิ่วมอง ‘ตัวเอง’ ที่อยู่ตรงหน้า “ตี้ฝูอี นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจหนักๆ “ก็อย่างที่เจ้าเห็น พวกเราสลับร่างกัน”
“เป็นเล่ห์กลของเจ้าใช่ไหม?” กู้ซีจิ่วสูดหายใจ
หลงซือเย่แบมือยักไหล่ “ข้าไม่ถึงขั้นล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้ ตอนข้าตื่นขึ้นมาก็ตกใจเหมือนกัน!”
กู้ซีจิ่วจ้องมองเขา คิดจะมองหาพิรุธเล็กน้อยจากใบหน้าของเขา แต่ก็มองไม่เห็น
ตี้ฝูอีค่อยๆ เพ่งพิศกู้ซีจิ่วตั้งแต่หัวจรดเท้า “สังขารนี้เจ้าคุ้นชินหรือไม่? มีจุดไหนที่รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า? นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่สังขารข้าถูกผู้อื่นเข้าครอบครอง” จากนั้นก็เพ่งพิศเธออีกครา ก้าวเข้ามาหา “ผูกสาบเสื้อหลวมเกินไป” แล้วยื่นมือมาจัดการสาบเสื้อให้เธอ
กู้ซีจิ่วรีบถอยหลังทันที “อย่าขยับมือไม้วุ่นวาย! มีวิธีเปลี่ยนกลับไปหรือไม่?”
ตี้ฝูอีมองเธอ “เจ้าใช้ร่างของข้าทำสีหน้าดั่งยอมตายเพื่อรักษาพรหมจรรย์เช่นนี้คงไม่มีกระมัง? หรือเจ้าเกรงว่าข้าจะใช้ร่างกายนี้ข่มเหงตน?”
เส้นเลือดบนหน้าผากกู้ซีจิ่วปูดโปน กล่าวอย่างเหลืออด “เจ้าอย่าได้ใช้ร่างข้ามาปรนนิบัติเอาใจ…”
ตี้ฝูอีกลับไปนั่งอีกครั้ง “เช่นนั้น เจ้าก็ใช้ร่างข้ามามาปรนนิบัติเอาใจดีไหม? มา! ทุบข้าให้ข้าก่อน แล้วก็มานวดไหล่ ข้าไม่ใส่ใจหรอก”
กูซีจิ่วพูดไม่ออก
เหตุใดมีวูบหนึ่งที่เธออยากเตะเจ้าคนผู้นี้ให้กระเด็นกันนะ!
“พูดจาเหลวไหลให้น้อยหน่อย! สรุปแล้วมีวิธีเปลี่ยนกลับหรือไม่?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น