หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 726-729

บทที่ 726 ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ!

 

ในปีที่ 48 ของยุคกำเนิดวิญญาณ สงครามระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐได้อุบติขึ้น


ห้าเดือนต่อมาสงครามก็สิ้นสุดลง ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล นำโดยเมี่ยเลี่ยจื่อ เลือกที่จะยอมแพ้ไปในที่สุด


สงครามครั้งนี้สั้นนัก แต่กลับดุเดือดโชกเลือดไปด้วยความตายของผู้คนมากมาย จุดจบของมันเป็นเรื่องลึกลับที่แทบไม่มีใครล่วงรู้


เนื่องจากไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้เฝ้าติดตามการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจึงยังคงเป็นความลับ ที่นำมาซึ่งข่าวลือมากมายว่าแท้จริงแล้วสงครามนี้ปิดฉากลงอย่างไร


ข่าวลือแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคน ในระหว่างนี้การฟื้นฟู ทำความสะอาด และสร้างสิ่งใหม่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือจะทำอย่างไรกับผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ยอมจำนนในฐานะผู้แพ้สงคราม ร้อยละสามสิบของผู้ฝึกตนที่รอดชีวิตถูกตัดสินว่าทำความผิดร้ายแรงอุกฉกรรจ์ ต้วนมู่ฉีเป็นผู้ประกาศโทษของพวกเขาเหล่านั้นให้ทราบโดยทั่วกันต่อหน้าทุกชีวิตในสหพันธรัฐต้วนมู่ฉี พวกเขาต้องโทษประหารชีวิต!


บทลงโทษนี้ร้ายแรงเกินจะเอ่ย แต่ประชาชนสหพันธรัฐทุกคนต้องการสิ่งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยให้ผู้ที่เข้ามารุกรานอาณาจักรของตนยอมแพ้ไปโดยไม่ได้รับบทลงโทษที่สาสม และต้วนมู่ฉีก็ยอมรับผลที่ตามมาจากการสังหารหมู่ผู้คนเหล่านี้ทุกประการ!


นอกจากนี้ผู้ฝึกตนชั้นสูงจากสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนจะถูกจองจำด้วยคำสาปแห่งวิทยาศาสตร์การวิญญาณ อันเป็นผลลัพธ์มาจากการค้นคว้าของเจ้าผินฟาง พวกเขาเหล่านี้จะไม่เป็นภัยต่อสหพันธรัฐอีกต่อไป โดยคำสาปนี้จะติดกายอยู่ถึง ห้าร้อยปีด้วยกัน!


หลังจากผ่านไปครบห้าร้อยปีจึงจะถือว่าพ้นโทษ และได้รับการปลดปล่อยจากคำสาป สถานะและการโดนควบคุมจิตใจของเมี่ยเลี่ยจื่อทำให้เขาได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ สหพันธรัฐลังเลว่าควรตัดสินโทษเขาอย่างไรดี แต่เมี่ยเลี่ยจื่อให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะกลับไปเฝ้าสำนักวังเต๋าไพศาลจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และจะไม่มีวันออกจากสำนักอีกนอกเสียจากว่าสหพันธรัฐจะเรียกตัว


สำหรับการซ่อมแซมบ้านเมืองนั้น สำนักวังเต๋าไพศาลจะมอบทรัพยากรเท่าที่ตนเองมีให้สหพันธรัฐ รวมถึงการเข้าถึงบันทึกประวัติศาสตร์ต่างๆ และกระบวนเวททุกประเภทด้วย สหพันธรัฐมีสิทธิ์ทุกประการที่จะเข้าไปยังพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนทุกคนสามารถเข้าออกกระบี่สำริดเขียวโบราณได้อย่างอิสระ แต่แน่นอนว่าด้วยการยืนกรานอย่างแข็งขันของเฟิ่งชิวหรัน… บริเวณที่ลึกที่สุดของกระบี่ยังคงสภาพเป็นพื้นที่ต้องห้ามต่อไป ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบริเวณนั้น เนื่องจากอาจไปรบกวนการจำศีลของเหล่าผู้อาวุโสประจำสำนักได้


ต่อมาก…ข้อเสนอของหวังเป่าเล่อที่ให้สร้างกลุ่มพันธมิตรก่อนที่จะเกิดสงคราม ถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ต้วนมู่ฉีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เขาเรียกเหล่าชนชั้นนำจากสหพันธรัฐรวมถึงเฟิ่งชิวหรัน เข้าหารือเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายเพิ่มรายละเอียดเล็กน้อยเข้าไปในแผนการดั้งเดิม และตกลงกันว่าจะสร้างกลุ่มพันธมิตรขึ้นมา


ปีที่ 49 ของยุคกำเนิดวิญญาณ กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ถือเป็นนิมิตหมายของยุคสมัยใหม่ นามว่ายุคสุริยะ!


ในตอนนี้กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะมีสมาชิกเพียงสองอารยธรรมเท่านั้น คือสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ข้อบัญญัติของการรวมกลุ่มพันธมิตรระบุไว้ว่า สหพันธรัฐเป็นอารยธรรมเดียวที่ถือว่าเป็นสมาชิกลำดับหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรตลอดไป และมีอำนาจในการเปลี่ยนหรือปัดตกการตัดสินใจใดๆ ที่กลุ่มพันธมิตรตกลงร่วมกัน สำนักวังเต๋าไพศาลมีสถานะเป็นผู้สมาชิกลำดับสองเท่านั้น


กฎนี้ทำให้สหพันธรัฐมีอำนาจเหนือสำนักวังเต๋าไพศาล หากเป็นเมื่อก่อนสำนักวังเต๋าไพศาลคงไม่มีวันยอมรับข้อตกลงนี้แน่นอน แม้แต่ตัวเฟิ่งชิวหรันเองที่คิดจะสร้างกลุ่มพันธมิตรกับสหพันธรัฐอยู่ตลอดก็ย่อมต้องการดันให้สำนักของตนมีอำนาจลำดับหนึ่งแน่นอน ทว่าสงครามและพลังอำนาจที่สหพันธรัฐสำแดงให้เห็นระหว่างสงครามทำให้นางเปลี่ยนใจ ทั้งตัวนางและสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มมองสหพันธรัฐด้วยความยำเกรงมากกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ทุกคนยอมรับในอำนาจของสหพันธรัฐ และเหตุผลหลักของความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังเป็น…หวังเป่าเล่อ!


พลังของเขาและการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับโยวหรันซึ่งยังเป็นความลับ ทำให้เฟิ่งชิวหรันยอมตกลงประทับตราในสัญญาการสร้างกลุ่มพันธมิตร ต่อให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ตาม


จุดเริ่มต้นอันหอมหวานระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐเปิดฉากขึ้นด้วยการสร้างกลุ่มพันธมิตร การพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างสองอารยธรรมเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ ความรู้ด้านการฝึกปราณและเคล็ดวิชาจากสำนักเต๋าไพศาลมีค่าล้นเหลือสำหรับสหพันธรัฐ เมื่อมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสองอารยธรรม จึงทำให้วิทยาศาสตร์การวิญญาณเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว


สำนักวังเต่าไพศาลเองก็ได้ประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์นี้เช่นกัน ความรู้ด้านโครงสร้างขนาดใหญ่ต่างๆ ที่สหพันธรัฐมี เช่น เครือข่ายวิญญาณ รวมถึงทรัพยากรในการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาก เมื่อกฎหมายการย้ายถิ่นฐานของทั้งสองดินแดนเปิดเสรีมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนจากทั้งสองอาณาจักรก็เริ่มเดินทางออกไปตั้งรกรากใหม่


การสร้างอาคารบ้านเรือนขึ้นใหม่เดินหน้าไปอย่างราบรื่น เมื่อได้แรงสนับสนุนจากสำนักวังเต๋าไพศาล การฟื้นฟูดาวอังคารก็เดินหน้าไปอย่างไร้อุปสรรค การขุดค้นลึกลงไปในดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนประสบความสำเร็จด้วยดีด้วยการช่วยเหลือกันระหว่างสองฝ่าย ดาวเคราะห์ใหม่เหล่านี้กลายเป็นฐานที่มั่นใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองอารยธรรมที่เบ่งบาน จนอาจเรียกได้ว่าเมืองใหม่เหล่านี้ คือเมืองแห่งอิสระเสรีที่แรกๆ ในระบบสุริยะอย่างแท้จริง


นอกจากนี้ยังมีดาวพฤหัสบดีด้วย… หลังจากที่คิดสะระตะอยู่สักพัก สำนักวังเต่าไพศาลก็ตัดสินใจไม่พูดถึงดาวพฤหัสบดี และสหพันธรัฐก็ใช้อำนาจของตนในฐานะสมาชิกลำดับหนึ่งจัดดาวพฤหัสและแถบดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ใกล้เคียงให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม!


มีน้อยคนนักที่เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ไม่ใช่หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และผู้ฝึกตนชั้นสูงจากสหพันธรัฐคนอื่นๆ พวกเขาขอคำแนะนำจากหวังเป่าเล่อและเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ทุกคนพร้อมตีเส้นกั้นบริเวณนั้นให้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม เพื่อสร้างสถานที่ที่เป็นของหวังเป่าเล่อเพียงคนเดียวเท่านั้นในระบบสุริยะ


การถือกำเนิดของกลุ่มพันธมิตรในครั้งนี้นำมาซึ่งชีวิตใหม่และโอกาสมากมาย การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวของทั้งสองอารยธรรมทำให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นนับไม่ถ้วน อารยธรรมของทั้งสองพัฒนาก้าวกระโดดอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั้งอาณาจักร เขาไม่ได้เป็นแค่วีรบุรุษ แต่ทุกชีวิตไล่ตั้งแต่ประชาชนคนเดินดินทั่วไป ไปจนถึงชนชั้นปกครองของสหพันธรัฐ กระทั่งในสำนักวังเต๋าไพศาลเอง ยังรู้กันถ้วนหน้าว่าชายผู้นี้คือคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป เขาจะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในฐานะผู้นำของกลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะ!


แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เนื่องจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเพิ่งเริ่มรวมอารยธรรมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ยังมีภารกิจอีกมากที่ต้องทำเพื่อให้การรวมตัวกันเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ร่างกฎหมายและข้อปฏิบัติ ตัดสินใจร่วมกันว่าจะแบ่งกำไรกันอย่างไร มีภาระหน้าที่น่าเบื่อหน่ายอีกมากที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนมู่ฉีก็ไม่ต้องการให้หวังเป่าเล่อต้องมานั่งจัดการกับสถานการณ์วุ่นวายโกลาหลเช่นนี้ ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เขาอยากเป็นคนจัดการเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นไปเสีย ต้วนมู่ฉีอยากสะสางการเมืองภายในสหพันธรัฐ อันเกิดจากกลุ่มอำนาจภายในมากมายที่แย่งชิงอำนาจกันเองให้หายยุ่งเหยิงเสียก่อน โดยตั้งใจว่าจะตัดเนื้อร้ายนี้ออกจากแกนกลางของสหพันธรัฐให้เหี้ยนเตียน ต้วนมู่ฉีจะใช้อำนาจที่เขาได้มาจากการชนะสงครามเพื่อรวมอำนาจเข้าไว้ที่ศูนย์กลางในมือผู้นำสหพันธรัฐเพียงผู้เดียว จากนั้นเขาจึงจะมอบอาณาจักรอันไร้ซึ่งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดใหม่นี้ให้หวังเป่าเล่อ!


หวังเป่าเล่อแทบรอที่จะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐไม่ไหว แต่เขาก็เข้าใจถึงความปรารถนาดีของต้วนมู่ฉี หลังจากฟื้นตัวจากการต่อสู้กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมายังโลก เขาใช้เวลาอยู่กับบิดามารดา มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่แสนปกติธรรมดา ฝังคำถามและเรื่องราวที่เกิดหลังจากการต่อสู้กับโยวหรันที่ยังหาคำตอบไม่ได้เอาไว้ภายในใจ ชายหนุ่มเก็บความอึดอัดไม่สบายใจนี้ไว้เงียบๆ คนเดียว ไม่ต้องการที่จะขุดมันขึ้นมาคิดอีก


เขาบอกตนเองให้มีความสุข ล้างสมองตนเองอย่างเงียบๆ จนค่อยๆ ลืมปัญหาที่หยั่งรากลึกเหล่านั้น เขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอการประกาศจากทางการ ว่าตนเองคือผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ


ชีวิตของเขากับบิดามารดานั้นสงบเรียบง่ายยิ่งนัก นอกจากการอยู่เคียงข้างทั้งสองแล้ว สิ่งที่หวังเป่าเล่อชอบมากที่สุดคือการแอบนำลาของตนออกไปข้างนอก เขาจะไปแอบฟังผู้คนคุยกัน ฟังการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน และเฝ้าดูสีหน้ารักใคร่ของผู้คนขณะพูดถึงเขา


ชายหนุ่มทำแม้กระทั่งปิดบังตัวตนออกไปข้างนอก ทำตัวเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้ง ก่อนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในตอนหลัง และซึมซับสีหน้าตกใจของคู่กรณีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่หลังจากที่ทำแบบนั้นซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง เจ้าลาก็เริ่มเบื่อหน่าย ส่วนตัวเขาเองก็พบว่าการทำเช่นนี้ช่างแสนไร้ประโยชน์ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เริ่มประท้วงเรื่องความเป็นชายโสดของตนให้มารดาฟัง ไม่นานนักมารดาของเขาก็เริ่มนัดจับคู่เขากับหญิงสาวมากหน้าหลายตา


แม้มารดาของเขาจะรู้ว่าลูกชายตนยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ในสายตาของนาง เขาก็ยังเป็นเด็กน้อยคนเดิมเสมอ นางค่อยๆ เลือกเฟ้นว่าที่ลูกสะใภ้ ส่วนชายหนุ่มก็เริ่มพาลาของตนไปนัดดูตัวด้วย ซึ่งถือเป็นประสบการณ์แสนสนุกเรื่องใหม่ของเขา


จากนั้นกระต่ายน้อยก็มาเยี่ยม หวังเป่าเล่อจึงทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากเลิกนัดดูตัวเสีย แต่เขาก็ยังมีความสุขกับการใช้เวลากับกระต่ายน้อย การทำวิจัยร่วมกันของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มมีความสุขเป็นอันมาก


แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ต่อมา…หลี่หว่านเอ๋อร์ก็มาเยี่ยมเยียน อารมณ์สุขใจของหวังเป่าเล่อแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวในทันที เขาเริ่มปวดศีรษะตุบ เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบสามเดือน การดำเนินการของกลุ่มพันธมิตรเป็นไปอย่างราบรื่น และการฟื้นฟูบ้านเมืองก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังจากที่ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทั้งหมดลงไป ต้วนมู่ฉีก็จัดระเบียบสหพันธรัฐได้สำเร็จในที่สุด ทุกสิ่งอย่างชี้ไปที่การเริ่มต้นใหม่อันสวยงาม ส่วนหวังเป่าเล่อก็นั่งเท้าคางเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น ทว่าในตอนนั้นเอง…


สหายมากมายของชายหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเยี่ยเหมิง หลิวต้าวปิน หลี่อู๋เฉิน จินตั้วหมิง หลินเทียนหาว และกงเต๋า ต่างมาเคาะประตูเยี่ยมเยียนเขาเพื่อบอกลา


พวกเขาไม่ได้บอกว่าตนเองจะจากไปที่แห่งใด บอกเพียงว่าจะไปทำภารกิจลับเท่านั้น และภารกิจนี้ก็อาจกินเวลาสั้นหรือยาวมากก็เป็นไปได้


ก่อนหน้านี้เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เข้าร่วมภารกิจด้วย เนื่องจากนางเป็นถึงบุตรสาวของเจ้านครดาวอังคารและเจ้าผินฟาง นางจึงมีอนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์ในสหพันธรัฐและกลุ่มพันธมิตร แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเลือกที่จะจากไปและเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใดนางจึงตัดสินใจเช่นนี้ นำเสียงของนางเย็นเยียบขณะมาบอกลาชายหนุ่ม นางทำแม้กระทั่งมองจิกเขาก่อนจะจากไป


ความไม่เป็นมิตรรุนแรงในแววตาของนางทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความรู้สึกผิด เขาให้อำนาจในการเข้าถึงข้อมูลลับของตนเพื่อค้นหาข้อมูลของภารกิจนี้ในทันที ไม่มีสิ่งใดในอาณาจักรนี้ที่เขาไม่มีสิทธิ์รับรู้


หลังค้นหาข้อมูลอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ภารกิจนี้จัดได้ว่าลับมากที่สุด มีเพียงสี่คนจากทั้งอาณาจักรเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลนี้ได้!


ซึ่งก็คือ หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี เจ้าผินฟาง และหวังเป่าเล่อ!


ภารกิจนี้คือภาคต่อของปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ เป็นแผนของสหพันธรัฐที่มีสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าร่วมด้วย แผนการนี้ร่างมานานหลายปีดีดักแล้ว ชื่อของมันก็คือ… ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ!


…………………………………..

 

 

 


บทที่ 727 ศิษย์พี่มาแล้ว!

 

“นกนางแอ่นดำ…” สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจัง อารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหลังจากที่อ่านรายละเอียดเต็มๆ ของภารกิจ


ภารกิจนกนางแอ่นดำคือภารกิจที่ต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในดินแดนต่างถิ่น!


แต่การแฝงตัวนี้ไม่ใช่ที่ใดที่หนึ่งในสหพันธรัฐหรือสำนักวังเต๋าไพศาล แต่เป็นการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย…ในห้วงอวกาศที่ไม่เคยไปเยือนมาก่อน!


หลายปีก่อน ตอนที่ยุคกำเนิดวิญญาณเกิดขึ้นครั้งแรก สหพันธรัฐค้นพบการมีอยู่ของอารยธรรมอื่นรอบระบบสุริยะผ่านวิธีการพิเศษ


วิธีการที่ว่านั้นคือการใช้ยันต์พิเศษที่หลี่ซิงเหวินเคยเล่าให้หวังเป่าเล่อฟัง ซึ่งเป็นแก่นของวงแหวนปราณระบบสุริยะ นอกจากนี้ยังใช้โบราณสถานที่พบทั่วโลกเป็นเบาะแสอีกด้วย หวังเป่าเล่ออ่านเรื่องราวของภารกิจนกนางแอ่นดำ แล้วพบเข้ากับ…บันทึกเกี่ยวกับบิดาของหลินเทียนหาว หลินโยว!


บันทึกนั้นบอกเอาไว้ชัดเจนว่าหลินโยวเคยหายตัวไปในโบราณสถานแห่งหนึ่งตอนที่เขายังเป็นชายหนุ่ม และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในที่แห่งเดิมหนึ่งปีถัดจากนั้น รายงานกล่าวว่าเขาถูกเคลื่อนย้ายไปยังอารยธรรมต่างดาว และนำข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอารยธรรมอื่นๆ กลับมาให้สหพันธรัฐ


อีกชื่อหนึ่งในบันทึกที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องตกตะลึง คือชื่อของ…เซี่ยไห่หยาง!


บันทึกนี้กล่าวถึงพฤติกรรมประหลาดของเซี่ยไห่หยาง โดยเฉพาะการหายตัวไปจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่สำนักวังเต๋าไพศาล สหพันธรัฐคาดการณ์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ก็สืบความต่อไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมกับสำนักบนกระบี่สำริดเขียวโบราณในตอนนั้น


หลังจากที่สงครามปิดฉากลง สหพันธรัฐก็เดินหน้าสืบสวนเรื่องนี้ต่อไป เพื่อหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของเซี่ยไห่หยาง เกมที่เขาร่วมมือสร้างขึ้นมากับหวังเป่าเล่อเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ถูกยกขึ้นมาวิเคราะห์เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะสถานะพิเศษของหวังเป่าเล่อในสหพันธรัฐ เขาคงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการตรวจสอบด้วยเช่นกัน


แม้ว่าการสืบสวนจะไม่ได้ให้บทสรุปที่ตายตัว แต่เจ้าพนักงานที่ดูแลเรื่องนี้ก็ได้เบาะแสบางอย่างมาเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่า…เซี่ยไห่หยางมาจากอารยธรรมอื่นที่ยิ่งใหญ่และพัฒนาไปไกล ซึ่งมาฝึกวิชาที่สหพันธรัฐ!


นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่เป็นเป้าของการสืบสวนลับนี้ หวังเป่าเล่อเจอรายชื่อกว่าร้อยรายชื่อ ทั้งหมดมาจากพื้นเพที่แตกต่างกันไป แต่ล้วนมีสองสิ่งที่เหมือนกัน ประการแรกคือพวกเขาเคยหายตัวไปและกลับมาอีกครั้งเหมือนหลินโยว… หรือไม่ก็มีสัญญาณบ่งบอกว่าไม่ใช่คนจากสหพันธรัฐ!


ชื่อของจั่วอี้ฟานและจั่วอี้เซียนก็อยู่ในบันทึกนี้เช่นกัน จากการสืบสวน ทั้งสองถูกเคลื่อนย้ายออกจากระบบสุริยะไปแล้วด้วยอำนาจลึกลับบางอย่าง!


เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ นี้ ทำให้สหพันธรัฐต้องหันมาสนใจเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ทำให้ปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐและการเชื่อมสัมพันธ์กับสำนักวังเต๋าไพศาลยังดำเนินต่อไปในรูปแบบของ…ภารกิจนกนางแอ่นดำ เป้าหมายหลักของภารกิจคือการหาผู้ฝึกตนที่มีความสามารถเฉพาะตัว ทั้งยังเป็นคนที่สหพันธรัฐไว้ใจได้ และจัดการส่งพวกเขาเหล่านั้นไปปฏิบัติการนอกระบบสุริยะ โดยมีจุดประสงค์หลักคือการค้นหาอารยธรรมนอกระบบสุริยะนั่นเอง!


วิธีการเดินทางออกนอกระบบสุริยะนั้นคล้ายคลึงกับวิธีที่หลินโยวเคยทำในอดีต บันทึกระบุไว้ว่า สหพันธรัฐค้นพบสถานที่ที่คิดว่าเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถึง 43 ที่!


เนื่องจากความเสี่ยงมีสูงมาก ทางการเองจึงยังไม่กล้าใช้วงแหวนปราณเหล่านี้ลองเคลื่อนย้ายแม้แต่ครั้งเดียว จึงไม่มีใครรู้ว่าวงแหวนปราณเหล่านี้ทำสิ่งใดได้บ้าง ผู้ปฏิบัติภารกิจนกนางแอ่นดำจะต้องไปหาข้อมูลที่นอกระบบสุริยะมาให้ได้มากที่สุด หากการเคลื่อนย้ายสำเร็จ พวกเขาจะต้องทำตามแผนการที่วางไว้ โดยการแทรกซึมเข้าอารยธรรมต่างดาวให้สำเร็จ นอกจากนั้นยังต้องระวังความปลอดภัยของตนเอง และรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สหพันธรัฐเข้าใจว่าอารยธรรมต่างๆ ที่รายล้อมสหพันธรัฐเอาไว้เป็นอย่างไร


แผนการนี้ร่างขึ้นมาจากข้อมูลเท่าที่สหพันธรัฐมีอยู่ในมือ คนส่วนใหญ่ที่หายตัวไปด้วยการเคลื่อนย้ายมักจะไม่ได้กลับมาอีก แต่ก็มีบ้างที่เดินทางกลับมายังสหพันธรัฐได้อย่างปลอดภัยหลังจากที่เวลาผ่านไปหลายเดือน บางทีก็หลายปี


แผนการนี้คงจะเป็นการยากที่จะทำให้สำเร็จหากสหพันธรัฐต้องทำเพียงลำพัง ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติภารกิจขึ้นอยู่กับจำนวนกระบวนเวทที่มีติดตัว รวมถึงวัตถุเวทที่จะทำให้พวกเขาสามารถซ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจชอบเพื่อแทรกซึม นอกจากนี้ยังต้องสามารถสื่อสารภาษาต่างดาวท้องถิ่นของพื้นที่นั้นๆ รวมถึงมีพลังปราณที่สูงพอสมควรด้วย


เมื่อมีผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาร่วมด้วยปัญหานี้ก็หมดไป ก่อนที่สำนักวังเต๋าไพศาลจะมา สหพันธรัฐกำลังอยู่ระหว่างการสร้างวัตถุเวทที่ช่วยปิดบังตัวตนและเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของผู้ใช้ แต่เมื่อมีสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าผินฟางก็สร้างวัตถุเวทเหล่านี้สำเร็จได้โดยง่าย นอกจากนี้สำนักยังช่วยกำจัดปัญหาเรื่องการพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวให้ด้วย


ภารกิจนี้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แม้จะดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป แต่ทางสหพันธรัฐเองก็เริ่มวางแผนนี้มานานแล้ว


หวังเป่าเล่อจ้องบันทึกตรงหน้าที่ตนเพิ่งอ่านจบด้วยความเงียบงัน ใจหนึ่งเขาก็อยากหยุดเจ้าเยี่ยเหมิงและสหายเอาไว้ ให้ทุกคนถอนตัวออกจากปฏิบัติการนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะโน้มน้าวสหายของตนได้อย่างไร และไม่รู้แม้กระทั่งจะเริ่มพูดอย่างไร สหพันธรัฐทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ที่พยายามศึกษาจักรวาลรอบกายซึ่งอยู่นอกเหนืออาณาเขตตน พวกเขาต้องการรู้ให้ได้ว่าในบรรดาดาราจักรที่รายรอบนั้นมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง หากต้องเผชิญกับอารยธรรมต่างแดนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู พวกเขาก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ที่ต้องสู้รบระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก


นี่คือความพยายามของอารยธรรมที่จะพัฒนาไปข้างหน้า ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวคงทำสิ่งนี้ให้สำเร็จไม่ได้ เนื่องจากภารกิจนี้ต้องใช้กำลังคนมากมายในการพิชิต ยิ่งอารยธรรมของสหพันธรัฐรุดหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ คนจำนวนมากก็ต้องใช้ความสามารถของตนในการช่วยเหลืออาณาจักร และพิสูจน์ขีดความสามารถให้โลกได้รับรู้


แม้ภารกิจนี้จะดูอันตรายมาก แต่หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าสหพันธรัฐให้ทรัพยากรจำนวนมากกับผู้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจ ทุกคนได้รับมอบระเบิดต้านทานวิญญาณรุ่นที่สองนับสิบลูก แต่ละลูกสามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณบาดเจ็บหนักได้เลยทีเดียว


นอกจากนี้สหพันธรัฐยังเก็บตัวอย่างพันธุกรรมของทุกคนเอาไว้ และยังใช้นวัตกรรมจากสำนักวังเต๋าไพศาลในการเก็บเสี้ยวของวิญญาณเอาไว้เช่นกัน หากมีผู้ใดเสียชีวิตก็มีโอกาสจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ในวันที่เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การวิญญาณของสหพันธรัฐก้าวไกลพอ!


สิ่งที่หวังเป่าเล่อทำได้คือการมอบอาวุธเวทที่เขาหลอมขึ้นมาเองให้เจ้าเยี่ยเหมิงและสหายคนอื่นๆ นอกจากนี้เขายังใช้พลังปราณของตนสร้างร่างอวตารของเขาขึ้นมาหลายร่างและมอบให้เหล่าสหายอีกด้วย เผื่อว่าร่างเหล่านี้จะมีประโยชน์ขึ้นมาวันหนึ่งในยามที่ต้องต่อสู้!


หวังเป่าเล่อตรวจดูจนแน่ใจว่าร่างอวตารเหล่านี้ไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมา มิเช่นนั้นอาจทำให้สหายของเขาตกอยู่ในอันตรายได้ เขาพยายามสุดความสามารถที่จะปกปิดพลังปราณของตนในร่างอวตาร จึงทำให้จิตเชื่อมโยงของเขากับร่างจำลองเหล่านี้อ่อนแอลงด้วย ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือร่างอวตารเหล่านี้ไม่มีสัญญาณพลังปราณให้ตรวจจับเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงทรงพลังเท่าเดิม!


ในวันต่อๆ มา หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าร่างอวตารของเขาพร้อมเจ้าของของมันได้หายออกไปจากจิตสัมผัสวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าการหายตัวไปนั้นหมายถึงสิ่งใด…สหายของเขาไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะอีกต่อไปแล้ว


ชายหนุ่มตกอยู่ในความเศร้าสร้อย เขาออกจากบ้านเพื่อไปเดินเล่นรอบนครศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียว ดวงตาเฝ้ามองผู้คนที่สัญจรไปมา และยวดยานมากมายที่แล่นขวักไขว่ หูฟังเสียงอื้ออึงของบรรยากาศนครโดยรอบ ชายหนุ่มเดินไปอย่างไร้จุดหมาย จนพบว่าเท้าของเขาพาตัวเองมาถึงริมบึง เขานั่งลง จ้องมองผืนน้ำและใบบัวที่ลอยเอื่อยอยู่บนผิวน้ำ สมองเริ่มคิดย้อนไปถึงวันวาน


ชายหนุ่มคิดถึงวัยเด็ก วันเวลาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และที่สำนักวังเต๋าไพศาล สุดท้ายแล้วเขาก็นึกถึงการต่อสู้ของเขากับโยวหรัน เมล็ดวิญญาณของจื่อเยว่ และเส้นด้ายของนางที่ทอดยาวไปในห้วงอวกาศกว้างใหญ่


เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงอาทิตย์ลาลับ ดวงจันทร์ขึ้นมาแทนที่ ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายกล้าขึ้น ชายหนุ่มไม่รู้สึกตัวว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขามาพักใหญ่ ชายผู้นั้นมีใบหน้าอ่อนเยาว์ สะพายกระบี่ไม้ไว้บนหลัง ในมือถือน้ำเต้าอันใหญ่ และกำลังยืนพิงต้นไม้ยักษ์ เขามองหวังเป่าเล่อขณะที่ยกน้ำเต้าขึ้นดื่ม ดวงตาล้ำลึกด้วยความคิดที่อยากจะหยั่งถึง ดูเหมือนว่าชายผู้นี้กำลังพยายามเฟ้นหาคำพูดที่จะใช้ปลอบใจอีกฝ่าย


หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกตัวว่ามีผู้ใดอยู่เบื้องหลังตน แสงในดวงตาของเขาแรงกล้าขึ้น ชายหนุ่มเริ่มพึมพำกับตัวเอง


“พวกนั้นมีภารกิจของตัวเอง ข้าก็มีเช่นกัน…พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ข้าอาจไม่สนใจทั้งชื่อเสียงและความโด่งดัง ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไร้ซึ่งพันธะเหมือนนกป่า  แต่เพื่อสหพันธรัฐแล้ว ข้าคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรับหน้าที่ในฐานะผู้นำสหพันธรัฐ!


“ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ข้าไม่ได้ร้องขอให้ตนเองมีพลังปราณที่ยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์ หัวใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และใบหน้าอันหล่อเหลาถึงเพียงนี้ คนของข้าต้องการข้า สหพันธรัฐต้องการข้า ใช่แล้ว…กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะต้องการให้ข้าเป็นผู้นำ!”


สีหน้าของชายหนุ่มที่กำลังพิงกำแพงอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นปุเลี่ยนทันทีที่ได้ยิน เขาตบหน้าผากตัวเองเบาๆ พลันกลืนคำพูดปลอบใจลงคอไป


“ข้าจะมามัวเศร้าสร้อยกับการแยกย้ายของสหายไม่ได้ ข้าต้องเรียสติตนเองกลับคืนมา ข้าต้องปลดปล่อยพลังของข้า พลังของชายที่หน้าตาดีที่สุดในสหพันธรัฐ!” หวังเป่าเล่อทะลึ่งตัวขึ้นยืนพลางพูดพึมพำกับตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า อ้าปากจะพูดปลอบใจตนเองอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงกระแอมกระอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงนั้นดูเต็มไปด้วยความรำคาญใจ


“ศิษย์น้องที่รักของข้า วิธีการปลอบใจตนเองของเจ้า…ช่างประหลาดเสียจริง”


เมื่อได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อในทันที เขาหันหน้าขวับกลับไปมอง สายตาสบลงที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนพิงต้นไม้ใหญ่อยู่… ชายผู้นั้นคือศิษย์พี่ของเขา เฉินชิง!


หวังเป่าเล่อยืนมองเฉินชิง แต่แทนที่จะเปิดปากพูดคุยในทันที ชายหนุ่มกลับเงียบลง…


เฉินชิงเองก็เงียบเช่นกัน ทั้งสองยืนอยู่ข้างทะเลสาบ สายลมพัดผ่านส่งให้ผิวน้ำไหวเป็นระรอก เส้นผมของทั้งสองปลิวไสวในสายลม


หลังจากเวลาผ่านไปแสนนาน เฉินชิงก็นวดหน้าผากตนเอง เขาถอนหายใจก่อนโยนน้ำเต้าให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาจริงจังขณะพูดเสียงเบา “เป่าเล่อ จิตวิญญาณที่ชาญฉลาดมักมาพร้อมกับความรู้สึกมากมาย ข้าเพิ่งรู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้เมื่อตอนที่มาถึงที่นี่เอง โปรดอย่าเข้าใจข้าผิด สิ่งที่เจ้ากำลังเป็นทุกข์อยู่ในใจนั้น ข้าไม่ได้เป็นคนก่อ”

 

 

 


บทที่ 728 หายนะแห่งเต๋าสวรรค์!

 

การใช้ช่วงเวลาในวัยเยาว์อย่างอิสระเสรี ปราศจากซึ่งความกังวลใดๆ คือความสุขที่ทำให้คนผู้นั้นยังคงความเยาว์วัยได้!


คำกล่าวนี้คือต้นกำเนิดของชื่อทะเลสาบป่าขจีแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทะเลสาบมรกตแห่งนี้ได้เฝ้าดูการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่แรกเริ่มยุคกำเนิดวิญญาณ และยังเฝ้าดูการเจริญเติบโตของหวังเป่าเล่อ จากตอนที่เขายังเป็นหนุ่มน้อย มาจนถึงชายหนุ่มผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐในทุกวันนี้


ทะเลสาบป่าขจีเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตราบจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ที่ฤดูใบไม้ร่วงคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบบนผืนดินแห่งนี้ ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มวัยรุ่นเติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายเต็มตัว และยังคงเฝ้ามองดูเขาตราบจนถึงตอนนี้ ขณะที่เขายืนหันหลังให้ทะเลสาบชอุ่ม สองตาเพ่งมองเงาของศิษย์พี่เฉินชิงเบื้องหน้า


ผมของชายหนุ่มปลิวไสวในสายลมอ่อนของฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเวลาวัยหนุ่มพัดพาปลิดปลิวไปกับสายลมอ่อนไหว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงรอยแผลที่วันเวลาทิ้งไว้ แทนที่ความสุขและอิสระเสรีในวัยเด็ก


กระทั่งเงาสะท้อนของชายหนุ่มบนผิวน้ำก็ยังดูมืดมนยากจะหยั่งถึง ใบบัวลอยเคลื่อนผ่านมาตามกระแสน้ำที่พัดพา ทำให้น้ำนิ่งกระเพื่อมเป็นริ้วๆ เงาของหวังเป่าเล่อที่เคยสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำพลันปั่นป่วนในทันใด ราวกับเป็นกระจกที่สะท้อนความคิดจิตใจของชายหนุ่มในตอนนี้ ภายในของเขาแท้จริงแล้วไม่ได้สงบนิ่งเหมือนฉากหน้าแม้แต่นิด


หวังเป่าเล่อรับน้ำเต้ามาจากศิษย์พี่ของตน ก่อนดื่มเข้าไปอึกใหญ่โดยไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังดื่มสิ่งใดเข้าไป


สุรานั้นแรงเหลือ เพียงอึกเดียวก็อาจทำให้ผู้อื่นเริ่มกรึ่มได้ หวังเป่าเล่อดื่มสุราในน้ำเต้าเข้าไปถึงครึ่ง ก่อนจะส่งกลับคืนให้ศิษย์พี่ตรงหน้า สายตามองศิษย์พี่เฉินชิง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก


“ศิษย์พี่ ข้าอยากถามท่านมานานแล้ว สิ่งทีข้าเห็นในนิมิตมืด สิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน เป็นเรื่องจริงหรือไม่”


ดวงจันทร์สาดแสงอ่อนโยนเป็นยวงลงบนผืนดิน บรรยากาศรอบกายของทั้งสองเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่พัดพา ส่งไอเย็นยะเยือกแผ่เข้าร่างที่เมามายของหวังเป่าเล่อให้ทวีความเย็นจับใจขึ้นไปอีก คำถามของเขาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกบางอย่างภายในที่ยากเกินอธิบาย


ใบบัวในทะเลสาบสั่นไหวตามสายลมบางเบาของฤดูใบไม้ร่วง หวังเป่าเล่อมองตามผิวน้ำที่ทอดยาวออกไปไกล จิตใจว้าวุ่นปั่นป่วนจนยากจะข่มตาหลับ มีบางสิ่งหนักอึ้งอยู่ในใจ!


ทุกอย่างเริ่มขึ้นตั้งแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับโยวหรัน แม้หวังเป่าเล่อจะกลับมาที่นครศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความทุกข์หนักหน่วงนี้ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจ แม้จะมีบิดามารดาอยู่ข้างกาย หรือในยามที่เขาใช้ชีวิตอย่างสงบเยือกเย็น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจก็ไม่เคยหายไปไหน เขาสลัดมันทิ้งไม่ได้ ทำได้แค่เลิกนึกถึงเพียงประเดี๋ยวประด๋าว และฝังความไม่สบายใจนี้ลึกลงในวังวนของจิตใจ ตัดใจของตนเองให้ไม่นำเรื่องนี้มาคิดต่อ หากเฉินชิงไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน หวังเป่าเล่ออาจปล่อยเรื่องนี้ให้ฝังอยู่ในห้วงจิตใจที่ลึกที่สุดของตนต่อไป…และไม่พูดถึงมันอีกชั่วชีวิต


ตอนที่เขากำลังประมือกับโยวหรันนั้น การเปลี่ยนใจของจื่อเยว่ที่หันไปโจมตีโลกนั้นปุบปับเกินการคาดการณ์ของเขา สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก และทำให้เขาปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของตนเองออกมาจนทำให้ร่างกายอ่อนล้าแทบสิ้นแรง เหตุการณ์นี้ทำให้จิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับโลงศพบนดาวพลูโตแนบสนิทขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง…เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเรื่องบังเอิญที่ดูพอเหมาะพอเจาะเกินกว่าจะเป็นไปได้!


หากเขาก้าวผิดเพียงก้าวเดียวระหว่างการต่อสู้ การตัดสินใจที่ผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจทำให้สหพันธรัฐล่มสลาย ส่งผลให้ครอบครัวและสหายของเขาเสียชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นความพอเหมาะพอเจาะที่เรียกได้ว่าโชคดี แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เช่นกันที่…มีบางคนพยายามใช้อำนาจของตนในการเปลี่ยนผลของเหตุการณ์นั้น!


หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ทำได้อย่างไร เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เฉินชิงเปิดปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง แต่ก็จะไม่ใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐานว่าแท้จริงแล้วเฉินชิงเป็นผู้ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเช่นกัน


เขาถามออกไปเพียงคำถามเดียว และเชื่อว่าเฉินชิงรู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร


แล้วก็จริงเสียด้วย หญิงสาวที่ฟ้าลิขิตให้มาเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา ถูกเปลี่ยนชะตาไปด้วยการแทรกแซงของใครผู้ใดผู้หนึ่ง จนทำให้ทั้งดวงวิญญาณและการมีอยู่ของนางถูกทำลายหายไปจากโลกนี้ ใครกันจะพูดได้ว่าเฉินชิงไม่เคยเจอเหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้เขาต้องทนทรมานในชีวิต แม้ภายนอกจะดูไม่เป็นกังวลต่อสิ่งใด แต่ในความเป็นจริง เฉินชิงยังคงรู้สึกโศกเศร้ากับการสูญเสียในครั้งนั้นอยู่


ชายหนุ่มไม่ได้อยากรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้ แล้วก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวดกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้เช่นกัน


เฉินชิงรับน้ำเต้ามาโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เขาดื่มเหล้าที่เหลืออยู่ในน้ำเต้าหมดในอึกเดียว ชายหนุ่มหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เขามองเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ศิษย์น้องที่รักของข้า ข้าไม่ได้ทำสิ่งที่เจ้าคิดแน่นอน แต่ข้ายอมรับว่า…ความตั้งใจที่ข้าจะทำให้จื่อเยว่กลายเป็นพลังบำรุงร่างกายให้เจ้าเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น ขอเวลาข้าสักนิด ข้าจะต้องหามาให้ได้…ว่าใครกันแน่ที่กำลังพยายามทำให้เราสองคนแตกกัน!”


หวังเป่าเล่อมองเฉินชิงก่อนหัวเราะออกมา ความหนักอึ้งในดวงใจยังคงอยู่ แต่เขามั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น…หรือไม่ก็มีพลังอำนาจที่เหนือกว่าทุกสิ่งเข้ามาควบคุมจริงๆ ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้


“ศิษย์พี่ ท่านมีสุราเหลือหรือไม่” หวังเป่าเล่อถามด้วยรอยยิ้ม ความสบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน


เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อที่กลับมาเป็นคนร่าเริงดังเดิมอีกครั้งแล้วหัวเราะออกมาเช่นกัน เขาหยิบน้ำเต้าออกมาอีกสองอัน ทั้งสองนั่งกินลมชมวิวดื่มสุราริมทะเลสาบทอประกายระยิบระยับใต้แสงจันทร์


ฉากนี้…ควรจะเป็นฉากที่สวยงาม ผิวทะเลสาบสว่างกระจ่างด้วยแสงอ่อนของดวงจันทร์กระเพื่อมเป็นวงด้วยสายลมอ่อน ชายหนุ่มทั้งสองใส่ชุดคลุมยาว ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาเหมือนเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์


ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเยือก แต่ทั้งสองกลับรู้สึกอบอุ่นด้วยฤทธิ์ของสุรา เฉินชิงบอกหวังเป่าเล่อว่าตนเองมาเยือนสหพันธรัฐด้วยเหตุผลใด เขาต้องการพาหวังเป่าเล่อกลับไปด้วยกัน ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ากะพริบตาปริบ ปากเริ่มทำเสียงจ๊อบแจ๊บ เขาหยิบขนมถุงออกมาและกินเสียงดัง เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อที่ส่งถุงขนมมาให้พร้อมหยิบไข่ต้มซีอิ้วออกจากกระเป๋าคลังเก็บด้วยสายตางุนงงเหมือนโดนสะกด


เขาคว้าไข่จากหวังเป่าเล่อมากัดตามความเคยชิน และกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง แต่หวังเป่าเล่อก็ยกน้ำเต้าของตนเองขึ้นชนกับของเฉินชิงเสียก่อน


 “ศิษย์พี่ ชนแก้ว!”


แต่ไม่จบเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังหยิบปีกไก่ดิบที่หมักเรียบร้อยแล้วออกมาสิบกว่าปีก ปากยังดื่มไม่หยุด ขณะใช้เวทสร้างกองไฟเพื่อปิ้งไก่ เฉินชิงมองอย่างอึ้งๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อควักเนื้อเสียบไม้และเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ จำนวนมโหฬารมาปิ้งกิน ท้ายที่สุดเขาก็ควักหม้อออกมาต้มห่านตัวใหญ่ พร้อมโยนพริกหยวกเขียวครึ่งจานลงไปในหม้อเพื่อปรุงรส บรรยากาศที่เคยสวยงามเหมือนมนต์สะกดหายวับไปกับตา ภาพที่เคยดูเหมือนฉากที่แสดงมิตรภาพของชายหนุ่มหน้าตาดีสองคน บัดนี้กลายเป็นภาพธรรมดาสามัญทั่วไป


“มา กินกันเถิด ท่านไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทตอนอยู่กับข้านะ ศิษย์พี่”


เฉินชิงจ้องหวังเป่าเล่อ อับจนด้วยคำพูดใดๆ ขณะที่มองชายหนุ่มทั้งกินและดื่มไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มนวดหน้าผากตัวเอง ก่อนจะพูดสิ่งที่ค้างไว้ต่ออีกครั้ง


 “เป่าเล่อ ข้าจะพาเจ้าไปที่…”


แต่ก่อนที่เฉินชิงจะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกน้ำเต้าซดจนหมดเกลี้ยง ดวงตาพร่ามัวด้วยม่านหมอกแห่งห้วงนิทรา เขาหันมามอง ส่งยิ้มทึ่มๆ ออกมา ก่อนจะเบือนหน้าไปข้างๆ แล้วผล็อยหลับไป


เฉินชิงรู้ชัดว่าหวังเป่าเล่อไม่อยากจากบ้านเกิดของตนเองไป และตั้งใจทำสิ่งทั้งหลายนี้เพื่อให้เขาพูดต่อไม่ได้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขายกมือขวาขึ้นโบกสะบัด ฉับพลันอำนาจที่มองไม่เห็นก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของหวังเป่าเล่อ ดันเอาสุราทั้งหมดที่ดื่มเข้าไปออกจากร่าง ชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้หลับใหลสะดุ้งตื่นลืมตาอย่างงุนงง แต่ก่อนที่ศิษย์พี่จะได้พูดอะไร ศิษย์น้องก็ชิงตบหน้าผากตนเองเสียก่อน


“แย่แล้ว ข้าต้องไปแล้วละศิษย์พี่ แม่ข้าบอกให้กลับบ้านก่อนตีหนึ่งทุกวัน ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ” หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และกำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่เฉินชิงก็ชี้นิ้วมาที่เขาเสียก่อน ขาทั้งสองของชายหนุ่มถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว ร่างครึ่งบนของเขาโยกไปมาด้วยความพยายามที่จะเดินหนี แต่ขากลับติดอยู่กับพื้นเหมือนหนูติดกับ


“แต่ศิษย์พี่ ข้าไม่อยากไป…” สีหน้าของชายหนุ่มยุ่นยู่ไปหมดขณะมองจ้องเฉินชิง


ตัวศิษย์พี่เองก็จ้องเขากลับเช่นกัน เริ่มรู้สึกได้ถึงขมับที่เต้นตุบๆ ด้วยความปวดหัว


“เป่าเล่อ สำนักแห่งความมืดอาจล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้รอดชีวิตที่หลบลงไปอยู่ใต้ดิน พวกเขาสร้างสำนักใต้ดินแห่งใหม่ขึ้น เจ้าเป็นบุตรแห่งความมืด ในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า ข้ามีหน้าที่พาเจ้ากลับไปที่สำนักแทนท่านอาจารย์ของพวกเรา เพื่อที่จะเจ้าได้ฝึกวิชาต่อ!”


“ศิษย์พี่ บิดามารดาข้าแก่ชรานัก ข้าไม่อยากอยู่ห่างพวกท่าน ข้ากลัวเหลือเกินว่ากว่าข้าจะกลับมา พวกท่านก็จะไม่อยู่บนโลกนี้เสียแล้ว ข้าคง…”


“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง บิดามารดาเจ้าก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของข้า ข้าจะให้โอสถอายุวัฒนะแก่พวกท่านทั้งสอง ที่จะทำให้พวกท่านมีอายุยืนยาวไปอีกสองร้อยปี เท่านี้ปัญหาของเจ้าก็ไม่มีแล้ว เจ้าไม่มีทางจากไปนานถึงสองร้อยปีแน่ เมื่อเจ้ากลับมา ข้าก็จะช่วยเจ้าหายานี้มาเพิ่มเติมอีก!”


“อ้าวหรือ ขอบคุณศิษย์พี่ แต่ศิษย์พี่…บรรดาคนรักของข้ายังอยู่ที่สหพันธรัฐกันหมด จะเกิดอะไรขึ้นกันเล่าหากข้าจากไป พอข้ากลับมาพวกนางไม่แต่งงานกับชายอื่นกันไปหมดแล้วหรือ…” หวังเป่าเล่อรีบพูดอย่างรวดเร็ว พยายามที่จะทำให้ศิษย์พี่ของเขาเปลี่ยนใจ


“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ด้วยสถานะของเจ้าในสหพันธรัฐตอนนี้ ใครจะไปกล้าแย่งคนรักของเจ้ากันเล่า” เฉินชิงพูดอย่างไม่ยี่หระ ชายหนุ่มโยกมือขวายกหวังเป่าเล่อให้ลอยขึ้นในอากาศพร้อมกันกับเขา ทั้งสองลอยล่องขึ้นเรื่อยๆ พร้อมที่จะจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินแห่งนี้ไปสู่ห้วงอวกาศไกลแสนไกล


หวังเป่าเล่อตกใจแทนสิ้นสติ


“ข้าไม่อยากไป ข้ายังไม่ได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐเลย มาทำข้อตกลงกันก่อนเถิด ทำไมท่านไม่รอให้ข้าได้นั่งเก้าอี้ผู้นำสหพันธรัฐก่อนเล่า เมื่อได้ตำแหน่งมากอดไว้แล้วข้าจะไปกับท่านทันทีเลย ตกลงหรือไม่”


“เป่าเล่อ!” เฉินชิงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องล่างด้วยสายตาจริงจังหนักหน่วง


“ข้าไม่ได้จะพาเจ้าจากไปโดยไร้เหตุผล หายนะแห่งเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังจะมาเยือนแล้ว ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้น มันจะปล่อยพลังออกมาตรวจตราทั่วจักรวาล เพื่อหาร่องรอยของสำนักแห่งความมืดที่ยังเหลืออยู่และทำลายให้สิ้นซากในทันที เจ้ายังอ่อนแอนัก ไม่มีทางที่จะสู้กับมันได้แม้แต่นิด มันจะหาเจ้าเจอในทันทีแล้วเจ้าก็จะตายโดยไม่ทันได้กะพริบตาด้วยซ้ำ!


“ข้าถึงบอกเจ้าหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าให้เตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่าข้าจะต้องพาเจ้าจากไป ทางเดียวที่เจ้าจะรอดชีวิตจากหายนะแห่งเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น คือตามข้าไปที่สำนักแห่งความมืดใต้ดิน และรับพรจากเศษซากเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดที่เหลืออยู่!


“เจ้าอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่เต๋าสวรรค์นี้เป็นวัตถุเวทที่ทรงอำนาจมาก มีเพียงเต๋าสวรรค์เท่านั้นที่จะต่อกรกับเต๋าสวรรค์ด้วยกันได้ เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดเสียหายไปเกือบหมด แต่ก็ยังพอเหลือซากเหลืออยู่บ้าง เต๋าสวรรค์ที่เหลืออยู่ของสำนักเราจะช่วยปกป้องเจ้า!


“ส่วนโลงศพที่เจ้าพบในดาวพลูโตแห่งกลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะนั่น คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ของพวกเราส่งมาให้เจ้าด้วยพลังอำนาจเหนือจินตนาการ ท่านต้องพยายามหลบเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น โดยใช้พลังเวทส่งโลงศพนี้ผ่านห้วงเวลาจากอดีตมาให้เจ้าที่อยู่ในปัจจุบัน จุดประสงค์ของท่านคือต้องการให้เจ้าใช้โลงศพนี้ในการจำศีล เพื่อที่เจ้าจะไม่ถูกเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นสังหาร!


“เจ้าเลือกเอาว่าจะเข้าไปนอนจำศีลในโลงศพทุกสิบปีและตื่นมาอีกร้อยปีให้หลัง หรือว่าจะตามข้าไปเพื่อจัดการปัญหานี้ให้สิ้นซากเสีย!


 “เจ้าจะเลือกทางใด บอกข้ามา”

 

 

 


บทที่ 729 ออกเดินทาง!

 

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากเฉินชิง


เขาเดาถูกว่าโลงศพนั้นเป็นของขวัญที่ท่านอาจารย์มอบให้ แต่ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน ว่าที่จริงแล้วเขาต้องเข้าไปนอนในนั้นเพื่อหลบหนีจากหายนะที่กำลังจะมาเยือน


คำพูดของศิษย์พี่บอกให้รู้ว่าการคาดการณ์ของเขาเกี่ยวกับเต๋าสวรรค์นั้นถูกต้อง เต๋าสวรรค์นั้น…จัดได้ว่าเป็นอาวุธร้ายแรงชนิดหนึ่ง


นอกจากนี้ข้อมูลเกี่ยวกับเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาได้รับมาเมื่อครู่ เมื่อนำมารวมเข้ากับประวัติศาสตร์ของสำนักแห่งความมืดที่เคยอ่านมา ชายหนุ่มก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นฉากๆ


สำนักแห่งความมืดแก้ไขเต๋าสวรรค์และเขียนกฎแห่งจักรวาลขึ้นมาใหม่ ตระกูลไม่รู้สิ้นรวบรวมกำลังคนเพื่อต่อต้านการรวบอำนาจนั้น และทำลายเต๋าสวรรค์ใหม่ของสำนักแห่งความมืดเสียแทบสิ้นซากจนทำให้สำนักล่มสลาย จากนั้นตระกูลไม่รู้สิ้นก็เขียนกฎแห่งจักรวาลและสร้างเต๋าสวรรค์ของตนเองขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจแทนที่สำนักแห่งความมืดแล้ว ตระกูลไม่รู้สิ้นก็เดินหน้ากำจัดทุกสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของสำนักแห่งความมืดไม่สามารถกลับมามีอำนาจได้อีก


แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ของเขานั้นเป็นข้อยกเว้น!


เฉินชิงมองความรู้สึกมากมายที่วาบผ่านเข้ามาบนสีหน้าของหวังเป่าเล่อแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ


“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากจากบ้านเกิดไป แต่เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ การเดินทางออกจากสหพันธรัฐของเจ้าจะกลายมาเป็นความหวังของสหพันธรัฐด้วยเช่นกัน”


“ความหวังหรือ” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองศิษย์พี่ของตนด้วยความสงสัย


“สหพันธรัฐนั้นยังถือว่าเป็นอารยธรรมการฝึกตนที่อ่อนด้อยเหมือนเด็กหัดเดินเมื่อเทียบกับอารยธรรมอื่นทั้งหมดในจักรวาลแห่งนี้ ไม่มีทางที่สหพันธรัฐจะปกป้องตนเองจากภัยเหล่านั้นได้เลย ไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่มีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ผ่านมาเจอสหพันธรัฐเข้า ต่อให้เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ หากต้องการจะหลอมสหพันธรัฐให้รวมเข้ากับตนเองเพื่อเสริมพลังปราณแล้วละก็ เขาก็สามารถทำได้โดยแทบไม่ต้องกระดิกนิ้วเลยด้วยซ้ำ!” เฉินชิงพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย


หวังเป่าเล่อเงียบทันที เขารู้ดีว่าเรื่องที่ศิษย์พี่พูดออกมานั้นเป็นความจริง สหพันธรัฐ…ยังถือว่าเป็นอารยธรรมที่อ่อนแอนัก พลังปราณเพิ่งปรากฏขึ้นบนโลกเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เอง เส้นปราณของโลกยังก่อตัวขึ้นมาไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ ผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐจึงยังต้องสร้างศิลาวิญญาณด้วยตนเองอยู่


แม้จะพูดได้ว่าไม่ใช่เด็กทารกแล้ว แต่สหพันธรัฐก็ยังเป็นเพียงเด็กหัดเดินเมื่อเทียบกับอารยธรรมอื่นๆ


“แน่นอนว่าพวกเจ้ายังมีสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดโบราณอยู่ แต่ในความคิดของข้า แม้จะมีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งหลับใหลอยู่ที่ปลายกระบี่ แต่ส่วนใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเสียจนเอาตัวเองแทบไม่รอด พวกเขาอาจจะยื่นมือเข้ามาช่วยบ้างหากมีภัยที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของตนเองเข้ามาใกล้ แต่หากอันตรายนั้นพุ่งเป้ามาที่สหพันธรัฐ เป็นไปได้หรือที่พวกนี้จะยอมตื่นขึ้นมาช่วยพวกเจ้า นี่ยังไม่พูดถึงว่ากว่าพวกนี้จะตื่นขึ้นมา สหพันธรัฐจะยังเหลือซากอยู่หรือไม่ด้วยนะ!” เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อขณะพูดต่อ


คำพูดของศิษย์พี่ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบไปอีกครั้ง เขามีแม่นางน้อยอยู่กับตัว ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าผู้อาวุโสจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะยอมเข้าร่วมเป็นพันธมิตรหลังจากที่ตื่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว แต่…มันก็เป็นเพียงการเดิมพันเท่านั้น และเป็นการนำความอยู่รอดของตนไปวางไว้ในกำมือของผู้อื่นด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้นจนทำให้ความคิดเปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว สมมติฐานนี้ก็จะสิ้นไปในทันที และหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยชะตาชีวิตตนให้ไปอยู่ในกำมือของผู้อื่น


“แล้วเจ้าจะยังอยู่ที่สหพันธรัฐไปเพื่อสิ่งใด หากเจ้าต้องการให้บ้านเกิดของเจ้ามั่นคงแข็งแรง วิธีการที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือการทำให้สหพันธรัฐแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!


“มีสองทางที่จะทำเช่นนั้นได้ ทางแรกคือปล่อยให้เวลาผ่านไป เพื่อให้ทุกอย่างพัฒนาไปตามธรรมชาติจากรุ่นสู่รุ่น แต่จากโครงสร้างปัจจุบันของระบบสุริยะแล้ว วิธีนี้จะต้องใช้เวลานานพอตัว หากไม่มีเหตุอาเพศเกิดขึ้นเสียก่อนระหว่างนี้ ก็น่าจะต้องใช้เวลาหลายหมื่นหลายแสนปีเลยทีเดียว!”


“ด้วยเหตุนี้ทางเลือกที่สองจึงเหมาะสมกว่า!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองเฉินชิงผู้พูด ดวงตาทอประกายเจิดจ้า


“ศิษย์พี่ ทางเลือกที่สองคือสิ่งใดกัน”


“ทางเลือกที่สองคือทางลัดที่จะช่วยพัฒนาอารยธรรมของเจ้าได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือการกลืนกินอารยธรรมอื่น!” เฉินชิงหยุดชั่วครู่ ก่อนจะรีบตอบในทันที คำตอบของเขาเผยเบื้องหลังกฎแห่งจักรวาลที่แท้จริงให้หวังเป่าเล่อได้รับรู้!


“ดารานิรันดร์คือแก่นของทุกอารยธรรม! มีเพียงอารยธรรมที่มีดารานิรันดร์เท่านั้น ที่จะเอื้อให้เกิดอารยธรรมการฝึกตนขึ้นมาได้!”


“ดารานิรันดร์หรือดาวฤกษ์ใจกลางจักรภพ คือดวงดาวที่ล้ำค่าที่สุดของอารยธรรมนั้นๆ และเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต!”


“ดวงอาทิตย์คือหัวใจหลักของสิ่งมีชีวิตในระบบสุริยะของเจ้า หากเจ้าทำให้ดวงอาทิตย์ของเจ้ากลืนกินดวงอาทิตย์ของอารยธรรมอื่นได้ ดวงอาทิตย์ของเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นทั้งในด้านแรงผลักและพลังงานที่สะสมไว้ภายใน ดวงอาทิตย์ของเจ้าจะกลายมาเป็นพลังขับเคลื่อนธรรมชาติในจักรวาล!


“ดารานิรันดร์และอารยธรรมที่ถูกเจ้ากลืนกินจะกลายเป็นอารยธรรมทาสของเจ้า เมื่อดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐก็จะพัฒนาขั้นปราณของตนได้อย่างก้าวกระโดด!


“นี่คือกฎลับที่ซุกซ่อนอยู่ในกลไกของจักรวาล และเป็นสาเหตุหลักที่แต่ละอารยธรรมรบพุ่งกัน ตระกูลไม่รู้สิ้นจะไม่เข้าแทรกแซงสงครามการกลืนกินดารานิรันดร์นี้ ในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ อารยธรรมมากมายต่างทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวคือการทำให้อารยธรรมของตนแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีผู้ใดเทียบเทียม!”


“แล้วเจ้าจะเลือกทางใดเล่า” ประกายที่อ่านไม่ออกวาบเข้ามาในแววตาของเฉินชิง ขณะที่จ้องมองหวังเป่าเล่อ


ชายหนุ่มผู้ถูกถามเงียบงันไป ลมหายใจของเขาถี่ขึ้นเล็กน้อย หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ประกายความมุ่งมั่นก็ส่องสว่างขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม เขาหันไปหาเฉินชิง ก่อนทำมือคารวะพร้อมโค้งคำนับ


“ข้าจะทำทุกอย่างที่ศิษย์พี่บอกให้ทำ แต่ข้าอยากได้เวลาอีกหนึ่งวันก่อนออกเดินทาง นอกจากนี้ข้ายังต้องการให้ท่านใช้พลังเวทของท่านป้องกันสหพันธรัฐจากภัยอันตรายด้วย”


“ไม่มีปัญหา!” เฉินชิงพยักหน้า ก่อนรีบโบกมือขวาและสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อสร้างเกราะป้องกันในทันที พลังปราณหนาแน่นระเบิดออกจากท้องฟ้าเบื้องบน โปรยปรายลงมายังพื้นโลก ก่อนฝังตัวเองลงสู่ใต้พิภพและสลายหายไปโดยไร้ร่องรอย พันธนาการที่จองจำหวังเป่าเล่อไว้ก็คลายลงเช่นกัน


“ข้าจะรอเจ้าอยู่นอกชั้นบรรยากาศโลก!” เมื่อพูดจบเฉินชิงก็โยนกระเป๋าคลังเก็บให้หวังเป่าเล่อ ก่อนหันหลังจากไปในท้องฟ้ามืดมิดในพริบตา


หวังเป่าเล่อยืนอยู่กลางอากาศ มองไปยังทิศที่ศิษย์พี่ของเขาหายตัวไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจได้ เขาหันหน้ากลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงบ้าน ชายหนุ่มก็นั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวจนดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนที่ขอบฟ้า หวังเป่าเล่อลุกขึ้นเพื่อตระเตรียมอาหารเช้าให้บิดามารดา เมื่อทั้งสองตื่น เขาก็คุกเข่าลงแทบเท้าพวกท่าน


ชายหนุ่มอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้คู่สามีภรรยาอาวุโสที่กำลังตกใจด้วยความใจเย็น โดยอ้างเหตุผลอื่นแทนที่จะบอกความจริง เนื่องจากไม่ต้องการให้ทั้งสองเป็นห่วง การจากลานั้นช่างแสนเจ็บปวดยิ่งนั้น ขณะที่พวกเขากำลังกินอาหารเช้ากัน หวังเป่าเล่อก็ร่ายเวทเพื่อคุ้มครองทั้งสอง และเฝ้าดูทั้งสองกลืนโอสถที่ศิษย์พี่ให้มาเพื่อยืดเวลาชีวิตของพวกท่านออกไป ท้ายที่สุดแล้ว หวังเป่าเล่อก็โค้งคำนับบิดามารดา ก่อนหันหลังจากไป


เขาไปหากระต่ายน้อย ต่อด้วยหลี่หว่านเอ๋อร์ เขาส่งข้อความให้หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีเพื่อแจ้งข่าว เจ้านครดาวอังคารและคนอื่นๆ ตกใจเป็นอันมากเมื่อได้ยินว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะจากระบบสุริยะไป ขณะที่หลี่ซิงเหวินกระวนกระวายจนแทบจะเป็นบ้า ต้วนมู่ฉีเงียบกริบ ไม่ทราบแม้แต่น้อยกว่าตนเองควรทำอย่างไรต่อไป


หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาอยากอยู่ต่อ แต่ก็รู้ดีว่าศิษย์พี่ของตนพูดถูกแล้วในเรื่องนี้ นี่เป็นทางที่ดีกว่า ทั้งสำหรับตัวเขาเองและสำหรับสหพันธรัฐ เขาต้องจากบ้านเกิดของตนไปเพื่อตามหาความหวังที่ซุกซ่อนอยู่นอกระบบสุริยะ


ชายหนุ่มเสียใจที่ตนเองยังไม่มีโอกาสได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ สุดท้ายแล้วเจ้านครดาวอังคารก็ได้ก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้นี้ในฐานะผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป การที่หวังเป่าเล่อจากสหพันธรัฐไปถือเป็นความลับสูงสุด ประชาชนรู้เพียงว่าเขาเข้าเก็บตัวถือสันโดษยาวเพื่อฝึกวิชาเท่านั้น


เวลาหนึ่งวันอันแสนของเขาเดินทางมาถึงจุดจบในที่สุด หวังเป่าเล่อยืนมองแสงอาทิตย์สุดท้ายที่กำลังลาลับขอบฟ้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน และกระโจนสู่ห้วงอวกาศเบื้องบน!


ทันทีที่เขาออกจากชั้นบรรยากาศโลก เฉินชิงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย ชายหนุ่มโบกมือ ก่อนอวกาศรอบตัวของทั้งสองจะแปรเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน พวกเขาเคลื่อนย้ายออกจากโลกมาปรากฏตัวที่…ดาวพลูโต!


“หนทางไปสำนักแห่งความมืดใต้ดินนั้นยาวไกลนัก เราต้องเดินทางผ่านบริเวณต้องห้ามถึงเจ็ดที่ด้วยกัน แล้วยังต้องผ่านอาณาเขตหลักของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย เมื่อเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นเดินทางมาถึง เจ้าจะต้องเข้าไปนอนหลับในโลงศพเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง โลงศพนี้เป็นของขวัญจากท่านอาจารย์ของเรา เป็นวัตถุเวทที่มีพลังพิเศษมาก จึงไม่สามารถใส่ไว้ในกระเป๋าได้ ข้าจะต้องแบกโลงนี้ไปตลอดทางจนกว่าจะถึงที่หมาย เราจะใช้เวลาเดินทางสิบปีด้วยกัน กว่าเจ้าจะตื่นขึ้นเราก็คงถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว”


หวังเป่าเล่อเงียบกริบเมื่อได้ยินคำอธิบายการเดินทางจากปากเฉินชิง เขารู้สึกหดหู่เมื่อคิดว่าตนเองต้องโยนเวลาทิ้งโดยการหลับไปถึงสิบปี แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงพยักหน้าตกลงเท่านั้น ดาวพลูโตสั่นสะท้านเมื่อเฉินชิงโบกมือ รอยแยกขนาดมหึมาแตกออกทั่วดาว หมอกมืดพวยพุ่งขึ้นในอากาศ ก่อนรวมตัวกันเป็นโลงศพยักษ์ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ!


เฉินชิงสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โลงศพสั่นสะเทือนก่อนจะย่อขนาดลงอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายแล้วกลายเป็นโลงศพขนาดปกติ โลงศพนั้นไม่ได้สร้างมาจากหมอกสีดำอีกต่อไป หากแต่เป็นโลหะกล้าสีดำสนิท!


ร่องรอยแห่งความเก่าแก่แผ่กระจายออกจากโลงศพที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน อักขระที่ทอแสงสว่างอยู่บนฝาโลงส่งพลังรุนแรงเกินจินตนาการออกมา


“ข้าจะต้องเข้าไปนอนในโลงจริงๆ หรือ” หวังเป่าเล่อถอนใจ


“ไม่ต้องห่วงไปหรอกเป่าเล่อ มันก็เหมือนเจ้านอนกลางวันเท่านั้น พอตื่นมาเราก็ถึงที่หมายกันแล้ว” เฉินชิงมองหวังเป่าเล่อด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก ฝาโลงแง้มออกช้าๆ หมอกไหลออกจากภายในโลงศพเข้าหาตัวชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อนวดหน้าผากตนเอง ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในโลง


เมื่อเข้าไปนอนในโลงศพแล้ว ชายหนุ่มก็พบว่ามันไม่ได้อึดอัดแข็งกระด้างเหมือนที่คิดไว้ แต่กลับอบอุ่นเสียจนทำให้เขาเริ่มง่วงงุน หวังเป่าเล่อหาวหวอด พูดพึมพำกับศิษย์พี่ของตน “ความจริงก็ไม่เลวนะถ้าจะนอนไปสักสิบปี พอตื่นมาก็ถึงแล้ว หวังว่าระหว่างทางจะไม่เกิดอะไรขึ้น…”


“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน!” เฉินชิงยืนอยู่นอกโลงพร้อมเสียงหัวเราะ เขาปิดฝาโลงและจัดการยกมันขึ้น จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวออกสู่ดวงดาวไกลโพ้น เพียงสามก้าวเขาก็ออกจากระบบสุริยะไปเรียบร้อยแล้ว!


ชายหนุ่มไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง คืบออกห่างจากบ้านเกิดของหวังเป่าเล่อไปอย่างรวดเร็ว เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ดวงดาวอันไกลโพ้น!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)