หมอดูยอดอัจฉริยะ 724-727

 ตอนที่ 724 แมลงพิษแทนตัว

เยี่ยเทียนขมวดคิ้วมองไปยังจู้เหวยเฟิง เอ่ยปากบอกว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ที่ประเทศไทย ทางนั้นควรจะอธิบายอะไรกับคุณบ้างหรือเปล่า?”


จู้เหวยเฟิงมีอิทธิพลหนุนหลังภายในประเทศอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ทางฝั่งกองทัพ แต่ด้านการทูตก็ล้วนมีเส้นสาย เกิดเรื่องแบบนั้นกับเขาในขอบเขตระหว่างชาติไทยและจีน ฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องมีคำพูดมาอธิบาย


“ทางฝั่งไทยตอบมาว่าเป็นการกระทำของพวกมาเฟีย จับตายไปสองศพตรงที่เกิดเหตุ ศพถูกส่งมาแล้ว”


พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของจู้เหวยเฟิงก็ฉายแววเคียดแค้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เยี่ยเทียน นายเชื่อคำพูดของพวกเขาหรือเปล่า?”


“ไม่เชื่อหรอก!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า บอกว่า “แต่ถึงเป็นอย่างนั้นแล้วจะทำไม ฝ่ายตรงข้ามให้คำตอบมาแล้ว หากมองจากมุมของรัฐบาล พวกเขาก็ได้จัดการให้เรียบร้อยแล้ว!”


จู้เหวยเฟิงพูดพลาง ความคับแค้นอัดแน่นภายในอก จนรู้สึกขุ่นเคืองลำคอ กลั้นอาการไอเอาไว้ไม่อยู่ ครั้งนี้ยิ่งสำรอกเลือดออกมามากกว่าเดิม เลอะเทอะเปรอะเปื้อนมือเต็มไปหมด


“เดี๋ยวก่อนครับ ร่างกายของคุณมีบางอย่างผิดปกติ!” เห็นว่าจู้เหวยเฟิงยังต้องการจะพูดต่อ เยี่ยเทียนจึงยกมือห้ามไว้ ใช้มือจับที่ข้อมือของเขา แล้วส่งพลังปราณแท้เข้าไป


“แปลกจริง ไม่มีอาการบาดเจ็บภายในนี่? แล้วทำไมถึงไอเป็นเลือดล่ะ?”


ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็คลายมือขวาของจู้เหวยเฟิงออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าพอดวงตาของเขาได้เห็นเลือดสดบนฝ่ามือของจู้เหวยเฟิง แววตาก็เปล่งประกายขึ้นมา


หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ความสามารถในการสังเกตของเยี่ยเทียนก็แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปขึ้นมาก สิ่งปกติธรรมดาในสายตาของคนทั่วไป ในสายตาของเยี่ยเทียนกลับเหมือนถูกแว่นขยายส่องให้ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า


และในเวลานี้เยี่ยเทียนสามารถเห็นได้ว่าในเลือดสดนั้น มีแมลงตัวเล็กจิ๋วที่ตาเนื้อมองไม่เห็นสี่ห้าตัว คืบคลานอยู่ในนั้น พวกมันดูราวกับดูดซึมสารอาหารจากเลือดสด ในช่วงเวลาไม่นาน เลือดสีเข้มบนฝ่ามือก็กลับกลายเป็นซีดจาง


“วิชาคุณไสยหรือ?”


ดวงตาของเยี่ยเทียนฉายแววเยียบเย็น ทีแรกเขายังรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ว่าทำไมถึงไม่เห็นได้ยินข่าวของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เลย ที่แท้หมอผีขั้นสูงชาวไทยคนนี้ก็ลงมือตั้งแต่แรกแล้ว


ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เรื่องที่นักชกในการควบคุมของต่งเซิงไห่ซึ่งชนะมาเก้ารอบกลับต้องพ่ายแพ้ ก็มีคำอธิบายที่ฟังเข้าใจได้ เพราะว่าวิชาคุณไสยนั้นมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะกำหนดความเป็นตายของมนุษย์


แต่ว่าวิธีการของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กับฟรุสนั้นถือว่าอำมหิตเหลือหลาย เพื่อล่อให้ต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงไปติดกับ พวกเขาถึงขั้นปล่อยให้คนของตัวเองตายติดต่อกันหกศพและพ่ายแพ้ต่อกันถึงเก้ารอบ ทั้งหมดทำไปเพียงเพื่อขจัดความสงสัยของต่งเซิงไห่


สายตามองบนมือของจู้เหวยเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเยี่ยเทียนก็พูดเสียงต่ำ “ตอนพวกคุณอยู่ประเทศไทย ได้พบชายชรารูปร่างผอมโกรก ใบหน้าซูบซีดบ้างหรือเปล่า?”


“รูปร่างผอมโกรก ใบหน้าซูบซีดหรือ?”


จู้เหวยเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เคย มีอยู่คนหนึ่ง เขาเคยปรากฏตัวในงานเลี้ยงวันนั้นที่พระมหากษัตริย์เชิญพวกเรา จากนั้นในงานเลี้ยงกลางคืนที่ฟรุสจัดขึ้น เขาเองก็ไปด้วยเหมือนกัน!”


สาเหตุที่จู้เหวยเฟิงจดจำคนผู้นี้ได้อย่างแม่นยำ นั่นเป็นเพราะตอนอยู่ในงานเลี้ยงทั้งสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยหรือฟรุส ล้วนให้ความเคารพนับถือคนผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง


เบื้องหลังของคนผู้นี้ดูยิ่งใหญ่มาก ทั้งยังเหมือนมีฐานะสูงส่ง เวลาที่เขานั่งลงในห้องจัดเลี้ยง คล้ายกับว่าคนรอบข้างไม่มีใครกล้าพอร่วมโต๊ะกับเขา จึงยิ่งทำให้จู้เหวยเฟิงจดจำได้อย่างเด่นชัด


“ว่าแล้วว่าต้องเป็นเขา วางแผนลงมืออย่างเหี้ยมโหดแบบนี้ เป็นการส่งสาส์นรบถึงฉันหรือไง?”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนมีรอยยิ้มเย็น หากว่ากันตรงๆ ความจริงแล้วต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงต่างต้องมารับเคราะห์ก็เพราะเขา


หลายปีที่ผ่านมานี้เยี่ยเทียนเป็นที่จับตามองของผู้คน ชื่อเสียงในวงการมวยใต้ดินก็โด่งดังเป็นพิเศษ ด้วยความสามารถของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ คงรู้ข่าวของศัตรูที่ฆ่าลูกศิษย์ตัวเองคนนี้ได้ไม่ยาก


ความสัมพันธ์ของพวกจู้เหวยเฟิงกับเขา ก็สืบสาวได้โดยไม่ลำบากนัก ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ แปดถึงเก้าในสิบส่วนมีเป้าหมายพุ่งมาที่ตัวเขาเอง


แต่ว่านายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กลับคาดไม่ถึงว่าตัวเขาจะไม่ไป นั่นจึงทำให้ความโกรธแค้นถูกระบายไปลงที่พวกจู้เหวยเฟิง ใช้คุณไสยใส่ร่างของพวกเขา


“เยี่ยเทียน ฉันไม่เข้าใจคำพูดของนาย หรือว่ามันเกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าคนนั้น?” เห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนยิ้มแสยะออกมา จู้เหวยเฟิงก็สับสนเล็กน้อย


เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้อง ถ้าหากผมกลับมาช้าไปหนึ่งเดือน น่ากลัวว่าคุณกับเหล่าต่งคงจะสำลักเลือดจนตายไปแล้ว คุณไสยในประเทศไทยไม่ใช่แค่ปาหี่ที่เอาไว้หลอกคน!”


“คุณไสย? คุณกำลังจะบอกว่าพวกเราโดนคุณไสยหรอครับ?” จู้เหวยเฟิงได้ยินเข้าสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เขาเคยไปประเทศไทยอยู่บ่อยๆ จึงรู้จักความน่ากลัวของคุณไสยเป็นอย่างดี


ส่วนต่งเซิงไห่นั้นเพียงจ้องมองเยี่ยเทียนเขม็ง เวลานี้เขาอยู่ก็เหมือนตาย เพียงขอร้องเยี่ยเทียนช่วยเขาล้างแค้นฝังลึกดั่งทะเลเลือดครั้งนี้ พอเขาตายจะได้ตายตาหลับ


“เยี่ยเทียน แล้วมีวิธีแก้ไขหรือเปล่า?”


สีหน้าของจู้เหวยเฟิงมีรอยยิ้มเศร้าหมอง เขารู้ว่าคุณไสยกับวิชาแมลงพิษนั้นเหมือนกัน คือต้องอาศัยเพียงคนทำคุณไสยมาแก้ไข หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขากับต่งเซิงไห่จะต้องตายอย่างแน่นอน


“ผมจะลองดู!”


เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นแขนออกไปข้างหน้า จากนั้นกิ่งไม้จากเหนือหัวก็หล่นลงมาท่อนหนึ่ง พอเด็ดใบไม้ออกแล้ว เยี่ยเทียนก็ส่งกิ่งไม้นั่นให้จู้เหวยเฟิง บอกว่า “ไม่ว่าจะเจ็บหรือคันแค่ไหน คุณต้องอดทนเอาไว้นะ”


“ได้ เยี่ยเทียน วางใจเถอะ ฉันเองก็ฝ่าฟันฆ่าคนมาไม่น้อยเหมือนกัน!”


จู้เหวยเฟิงกัดฟันเอาไว้ รับกิ่งไม้มาคาบในปาก เมื่องับฟันลงก็กัดเอาไว้อย่างแน่นหนา


เยี่ยเทียนพยักหน้า ลุกขึ้นยืนเดินไปข้างหลังจู้เหวยเฟิง ค่อยๆ ยื่นมือขวาออกมาวางบนจุดชีพจรที่คอ แล้วส่งปราณแท้เข้าไปภายในร่างกายของเขา


พลังปราณแท้นี้ ล่องเข้าไปภายในกระแสเลือดของจู้เหวยเฟิงโดยการควบคุมจากเยี่ยเทียน ชอนไชเข้าไปถึงภายในหลอดเลือดของเขา


สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเป็นดุดัน พลังปราณแท้ไร้สีไร้รูปกลับกลายเป็นเปลวไฟที่มองไม่เห็นอย่างฉับพลัน ลุกไหม้อยู่ภายในร่างกายของจู้เหวยเฟิง


ทว่าเปลวไฟนี้กลับเป็นเหมือนความร้อนสูงเพื่อฆ่าเชื้อภายในกระแสเลือดของจู้เหวยเฟิง แม้จะร้อนลวกเส้นเลือดภายในตัวเขา แต่กลับไม่ทำอันตรายให้แม้แต่นิดเดียว


หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ก็สามารถใช้เพลิงเซียนได้ เช่นเดียวกับการหลอมยาหลอมอาวุธ ล้วนต้องใช้เปลวเพลิงชนิดนี้ เปลวเพลิงเซียนเปี่ยมด้วยพลังหยางอันแข็งแกร่ง จึงเป็นวิธีเดียวสำหรับใช้รับมือกับแมลงพิษที่เยี่ยเทียนนึกออก


เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ความทุกข์ทรมานที่จู้เหวยเฟิงได้รับจึงไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ต่อให้เยี่ยเทียน สามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บต่อเส้นเลือด แต่รสชาติของเปลวเพลิงที่เผาผลาญภายในร่าง คนธรรมดาไหนเลยจะต้านทานไหว?


“อ๊าก!”


จู้เหวยเฟิงส่งเสียงร้องทรมานออกมาดังลั่น หน้าผากปรากฏเหงื่อไหลเท่าเม็ดถั่วซึมออกมาทันใด กิ่งไม้ความหนาขนาดเท่าสองหัวแม่มือ ถูกเขากัดลงไปอย่างแรงจนหักออกจากกัน


“อดทนไว้!”


เยี่ยเทียนตะโกนเสียงเยียบเย็นออกมา เวลานี้เขาเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายมากไปกว่าจู้เหวยเฟิง ต้องเข้าใจด้วยว่า เส้นเลือดของมนุษย์เปราะบางแค่ไหน เมื่อเขาคิดจะใช้เปลวเพลิงเซียนขับไล่แมลงพิษ ต่อให้ยากเย็นอย่างไร เยี่ยเทียนก็ต้องพยายามจนสุดความสามารถ


“อั่ก!”


ลำคอของจู้เหวยเฟิงส่งเสียงร้องออกมาคล้ายสัตว์ป่า เขาเองก็นับว่าแข็งแกร่งเช่นกัน นำเอากิ่งไม้ที่หักนั้นประกบเข้าด้วยกัน แล้วยัดกลับเข้าไปในปากอีกครั้ง


“ให้ตายสิ ถ้าฉันยังอยู่ในขั้นหลอมปราณสู่จิตอยู่ล่ะก็ คงไม่มีทางจัดการกับแมลงพิษพวกนี้ได้แน่!” ขณะที่เยี่ยเทียนผลักดันปราณแท้อยู่นั้น ในกระแสเลือดจู้เหวยเฟิง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครรู้


แมลงพิษแต่ละตัวที่ตาเปล่ามองไม่เห็น เมื่อถูกขับไล่ด้วยเปลวเพลิงปราณแท้ของเยี่ยเทียน ก็หลบหนีซ่านกระเซ็น ในขณะที่กำลังหนีตายอยู่นั้น แมลงพิษตัวเล็กตัวน้อยก็เข้ามารวมกลุ่มกัน


“รนหาที่ตาย!” ตอนที่เยี่ยเทียนเห็นแมลงพิษค่อยๆ รวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่วกกลับมาจะกลืนกินเปลวเพลิงปราณแท้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเยือกเย็น


“ชู่ว!”


พอแมลงพิษเข้ามาถึงตัวเพลิงปราณแท้ เสียงร้องที่ไม่ปรากฏอยู่บนโลก ก็ดังเข้าสู่ใบหูของเยี่ยเทียน แมลงพิษจากตัวอ่อนนับหมื่นพันตัวสลายไปกว่าครึ่งในพริบตา


“ค่อยยังชั่ว เจ้าพวกนี้ป้องกันได้ยากจริงๆ!”


แมลงพิษเหล่านั้นรู้ว่าตนเองพบกับศัตรูที่น่ากลัว จึงไม่กล้าต่อต้านเยี่ยเทียนอีก ราวกับว่ามันมีสติปัญญา ต่างหนีหัวซุกหัวซุนไปตามกระแสเลือด หลบหลีกการไล่ล่าของเยี่ยเทียน


การกระทำนี้จึงสร้างความเจ็บปวดให้กับจู้เหวยเฟิงไปทุกส่วน แถมยังรู้สึกคันและชาไปทั่วทั้งร่างกาย ราวกลับมีหนูวิ่งไปมาอยู่ภายในตัว ความรู้สึกเจ็บคันที่ผสมผสานกันนี้ ทำให้เขาแทบจะหมดสติลงไปเสียเดี๋ยวนั้น


แต่ว่าช่วงเวลากลับไม่ยืนยาวเท่าไหร่นัก ห้าถึงหกนาทีต่อมา นิ้วชี้มือซ้ายของเยี่ยเทียนก็ชี้ไปในอากาศ ข้อต่อแขนของจู้เหวยเฟิงเกิดชาขึ้นมา แล้วข้อศอกก็ยกขึ้นมาเอง


ขณะเดียวกัน ก็เกิดลำแสงสีขาวสว่างวาบ นิ้วชี้ข้อสุดท้ายของจู้เหวยเฟิงถูกตัดออก เลือดสดไหลพุ่งกระฉูดออกมา ไปทางด้านหน้าไกลกว่าครึ่งเมตร


“ยังจะหนีอีกหรือ?”


เยี่ยเทียนส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา แทบจะเวลาเดียวกันที่เลือดสดไหลออกมา มือขวาของเขาที่กดลำคอจู้เหวยเฟิงอยู่ยื่นไปข้างหน้าปานสายฟ้าแลบ แล้วดึงกลับในทันที


“จี๊ดๆ!” ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้งมือขวาของเยี่ยเทียน หนีบแมลงรูปร่างประหลาดได้ไว้ตัวหนึ่ง


ตลอดทั้งตัวของแมลงนั้นมีสีแดงอย่างเลือด บนหัวมีฟันงอกออกมาสองซี่ ส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูพลาง พยายามใช้ฟันทั้งสองข้างหนีบกัดผิวเยี่ยเทียนสุดแรงเกิด ด้วยหวังจะเจาะเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียน


แต่ว่าผิวขาวใสของเยี่ยเทียน กลับแข็งแกร่งดังเหล็ก ไม่ว่าแมลงพิษจะกัดหรือเจาะอย่างไร ก็ไม่อาจระคายเคืองได้แม้เพียงผิวหนัง หนึ่งนาทีหลังจากนั้น แมลงนั่นก็หยุดเคลื่อนไหวในทันใด นิ่งแข็งไปทั้งตัว คล้ายกับตายไปแล้ว


“นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แกเองก็นับว่าเป็นปรมาจารย์แห่งยุค แต่กลับใช้วิธีแกล้งตายอย่างนี้หรือ?”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มเย็นออกมา กล่าวต่อว่า “ถ้าหากนี่คือแมลงตัวแทนของแก ฉันเชื่อมั่นว่าแกจะต้องได้ยินคำพูดของฉันอย่างแน่นอน ชาญ ทองทวนถูกฉันฆ่าตาย ถ้าอยากล้างแค้น ก็แค่มาตามหาฉันเท่านั้น!”


พอคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนกล่าวออกไป แมลงที่เขาจับไว้ตัวนั้นเหมือนถูกทำให้ตกใจ กลับเริ่มดิ้นรนต่อสู้ขึ้นมาอีกครั้ง ปากก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน


“แกทำร้ายเพื่อนของฉัน ฉันทำลายแมลงของแก ถือว่าเป็นการคิดดอกเบี้ยล่วงหน้าก็แล้วกัน วันหลังเราคงได้พบกัน!”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏแววเหี้ยมโหด นิ้วโป้งกับนิ้วชี้เคลื่อนเข้าหากัน แล้วเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นระหว่างปลายนิ้วของเขา ห่อหุ้มแมลงพิษตัวนั้นไว้ในทันที


ตอนที่ 725 แว้งกัด

“จี๊ดๆ!”


ต่อให้เจ้าแมลงหน้าตาน่าเกลียดตัวนั้นดิ้นรนขัดขืนสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากนิ้วมือทั้งสองของเยี่ยเทียน เพียงเสี้ยววินาทีก็ถูกเปลวไฟที่ปลายนิ้วเผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าถ่าน


และในขณะเดียวกัน นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในกระท่อมไม้ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตรในพม่า ก็กระอักเลือดออกมาจากปากเดี๋ยวนั้น ร่างกายของเขาที่เดิมทีก็ผอมลีบเล็ก กลับหดฟีบลงชนิดเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างรวดเร็ว


“ใครก็ได้!”


นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงแหบแห้งออกมาจากปาก ร่างทั้งร่างสั่นเทาไม่หยุด เหงื่อเหนียวข้นไหลรินซึมออกมาจากหน้าผาก หลังจากเขาส่งเสียงออกมา ก็ล้มพับทั้งตัวลงไปกองกับพื้น


“ท่านราชครู ท่านเป็นอะไรไปคะ?”


เสียงของนายทักษิณ ทำให้คนนอกกระท่อมตกอกตกใจ เด็กสาวหน้าตาสะสวย อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเดินเข้ามาข้างใน พอเห็นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่บนพื้น ก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดผวา รีบพุ่งตัวเข้าไปพยุงเขา


แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวคาดไม่ถึงก็คือ ศีรษะของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กลับหงายขึ้นมา จนริมฝีปากอยู่เหนือลำคอของเด็กสาวพอดิบพอดี ฟันเหลืองอ๋อยทั้งสองแนว กัดกร้วมลงบนเส้นเลือดที่ลำคอของเด็กสาวอย่างเต็มรัก


“อึกๆ!”


เสียงดื่มเลือดสดอึกใหญ่ ดังมาจากลำคอของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ จวบจนกระทั่งเสียชีวิต ดวงตาของเด็กสาวคนนั้นยังแสดงให้เห็นถึงความสับสน เธอไม่รู้ว่าเหตุใดท่านราชครูผู้น่ายกย่องนับถือ จึงดื่มเลือดสดของเธอ?


หลังจากผ่านไปแค่สี่ถึงห้านาที ใบหน้าแดงด้วยเลือดฝาดของเด็กสาวก็ไร้ซึ่งสีเลือดอีกต่อไป ทั้งเนื้อตัวดูราวกับว่าแห้งเหี่ยวลง ลมหายใจที่ปลายจมูกเหือดหายไปนานแล้ว


“เยี่ยเทียน!”


ผละริมฝีปากออกมาจากลำคอของเด็กสาว แล้วนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปากเต็มไปด้วยเลือดก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเปี่ยมด้วยแววอาฆาตแค้น คำรามเสียงต่ำ “เยี่ยเทียน ฉันกับแกอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!”


“จี๊ดๆ!”


ในเวลานั้นเอง ภายในร่างของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็มีเสียงดังจี๊ดๆ ออกมา ทำให้เขาตกใจจนต้องรีบอ้าปากกว้าง แล้วแมลงประหลาดขนาดตัวโตเท่ากำปั้นเด็ก ก็คลานออกมาจากปากเขา


หากเยี่ยเทียนอยู่ที่ตรงนั้น เขาจะพบว่า รูปร่างภายนอกของแมลงตัวนี้ เหมือนกับตัวที่เขาเผาทิ้งตัวนั้นไม่มีผิด เพียงแต่ขนาดตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ดูโหดเหี้ยมดุร้ายยิ่งกว่าอย่างชัดเจน


หลังจากแมลงตัวนี้ปีนออกมาแล้ว ก็พุ่งตรงเข้าสู่ปากของเด็กสาวที่เสียชีวิตแล้วคนนั้น หลังจากนั้นจึงมีเสียงเคี้ยวกินดังขึ้นตามมา มันกำลังกลืนกินอวัยวะภายในของเด็กสาวนั่นเอง


เมื่อเห็นภาพนั้นแล้ว สีหน้าถมึงทึงของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงได้ผ่อนคลายลง หมอผีและพ่อมดแม้ว มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน ทักษะที่เชี่ยวชาญที่สุดของพวกเขา คือวิชาใช้แมลง


แต่ถึงแม้วิชาแมลงพิษจะสามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย ก็ยังมีความเสี่ยงถึงชีวิตด้วยเช่นกัน นั่นก็คือหากฝึกฝนถึงระดับใช้แมลงพิษแม่ลูกแทนตัวแล้ว หากแมลงตัวลูกตายไป แมลงตัวแม่จะได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส จนถึงขั้นหันมาแว้งกัดนายของมันอย่างโหดร้าย


ที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เลี้ยงไว้ภายในร่างกาย ก็คือแมลงพิษตัวแม่นั่นเอง ตามตำนานกล่าวว่า “แมลงพิษแม่ลูกเชื่อมใจถึงกัน” หลังจากเขาปล่อยแมลงตัวลูกออกไปแล้ว การเคลื่อนไหวของตัวลูกก็จะไปควบคุมชะตาชีวิตของเป้าหมายโดยอาศัยการควบคุมจากตัวแม่อีกที


แมลงพิษตัวแม่ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นแมลงที่มีพิษร้ายแรงถึงตาย ซึ่งเขาได้จับพวกมันมาจากในป่าเขาลึกของประเทศไทยเป็นจำนวนนับแสนตัว หลังจากนั้นค่อยแบ่งแมลงพิษนับแสนตัวนี้ออกเป็นสิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีแมลงพิษอยู่นับหมื่นตัว เข้าต่อสู้ห้ำหั่นกัน


หลังจากตัดสินได้แมลงราชาผู้ชนะมาได้สิบตัวแล้ว นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็จะแบ่งพวกมันออกอีกเป็นสองกลุ่ม เป็นฝั่งตัวผู้และตัวเมียให้ต่อสู้กันเองอีกครั้ง


สุดท้ายเมื่อปรากฎราชาแห่งแมลงทั้งสองตัว เขาจึงค่อยใช้วิชาลับในศาสตร์แห่งคุณไสย สกัดเอาไข่และน้ำเชื้อของแมลงสองตัวนี้ออกมา ผสมเข้าด้วยกันแล้วเอาไปฟักในท้องของหญิงสาวบริสุทธิ์


รอจนกระทั่งหญิงสาวตายเพราะถูกสูบเลือดออกจนแห้ง แมลงตัวแม่ก็ออกมายังโลก เขาค่อยใช้เลือดจากหัวใจตนเองมาเลี้ยงดูมันทุกๆวัน ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลายาวนานกว่าสิบปี แมลงตัวแม่ถึงจะสามารถฟักแมลงตัวลูกออกมา


แมลงพิษตัวลูกมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกับแมลงตัวแม่ มันสามารถกลายร่างเป็นแมลงพิษนับสิบล้านตัวได้ราวกับแบคทีเรีย ฝังอยู่ในกระแสเลือดของมนุษย์ ทันทีที่มีคำสั่งจากตัวแม่ ก็จะสูบเลือดคนผู้นั้นจนแทบจะแห้งเหือดไปในทันใด


ขณะเดียวกันร่างของแมลงพิษแม่ลูกต่างมีความทนทานอย่างเหลือเชื่อ สามารถรับแรงโจมตีขนาดหนักได้หลายร้อยชั่งโดยไม่ตาย


ดังนั้นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงได้วางใจ นำเอาแมลงตัวลูกส่งเข้าไปยังในร่างกายของจู้เหวยเฟิง เดิมทีเขาตั้งใจให้แมลงสูบเลือดของจู้เหวยเฟิงจนแห้งเหือดต่อหน้าเยี่ยเทียน เพื่อเยี่ยเทียนจะได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดในการสูญเสียมิตรสหาย


แต่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์คาดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนกลับสามารถตัดสายสัมพันธ์แมลงพิษแม่ลูกของเขา หลังจากสังหารแมลงพิษตัวลูกตาย ยังทำให้แมลงพิษตัวแม่คุ้มคลั่งขึ้นมาอีกด้วย ถ้าหากสาวรับใช้คนนั้นเข้ามาไม่ทันเวลา ชั่วพริบตาแมลงพิษตัวแม่อาจสูบเลือดของเขาจนกลายเป็นมัมมี่ไปแล้ว


สิ่งนี้ทำให้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เกิดความแค้นต่อเยี่ยเทียนขึ้นมา แต่ว่าในใจเขาก็ยังคงหลงเหลือความกลัวอยู่เสี้ยวหนึ่งเช่นกัน มีเพียงผู้เลี้ยงแมลงเท่านั้นถึงจะเข้าใจความน่ากลัวของแมลงพิษ แต่เยี่ยเทียนกลับสามารถเผาผลาญลูกแมลงพิษได้อย่างง่ายดาย หากเป็นตัวเขาคงไม่สามารถทำได้


เสี้ยวนาทีหลังจากนั้น แม่แมลงพิษแหกท้องเด็กสาวเป็นโพรงขนาดใหญ่แล้วปีนออกมา แต่สติสัมปชัญญะของมันเฉื่อยชาลงอย่างเห็นได้ชัด การตายของลูกแมลงทำให้มันเจ็บปวดแทบขาดใจ


“ใครก็ได้ มาเอานางออกไป!”


นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เก็บแม่แมลงใส่ไว้ในร่างกายตนอีกครั้ง บอกกับคนที่เข้ามาว่า “ไปรายงานกับพระมหากษัตริย์ ว่าฉันต้องเก็บตัวสักระยะหนึ่ง ภายในสามปีนี้ห้ามมารบกวนเด็ดขาด!”


เมื่อลูกแมลงตายไป ความสามารถของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนจะหายไปเกือบครึ่ง


เวลานี้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเวลาและไม่อาจหาญไปตามหาเรื่องเยี่ยเทียนอีก เขาจะต้องไปตามหาแมลงมีพิษเพื่อมาเป็นอาหารให้แก่แม่แมลง ด้วยหวังว่ามันจะให้กำเนิดลูกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง


……………………


หลังจากเผาลูกแมลงตัวนั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว เยี่ยเทียนก็คิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาเห็นจู้เหวยเฟิงกำลังมองตัวเองอ้าปากค้าง จึงอดหัวเราะตำหนิกลับไปไม่ได้ “ยืนเหม่อมองผมอยู่ทำไม? นิ้วมือของคุณยังมีเลือดไหลอยู่เลย”


เยี่ยเทียนออกแรงบีบเค้นให้ลูกแมลงตัวนั้นออกมา เพราะเขาไม่มีปัญญาทำให้มันคืบคลานออกมาจากปากดีๆ เลยทำให้คุณชายจู้ได้รับบาดแผลเล็กน้อย


จู้เเหวยเฟิงได้ยินเข้าก็รีบฉีกเสื้อผ้าบนตัวออกมาชิ้นหนึ่ง พันรอบนิ้วเอาไว้ พยายามอดทนอดกลั้นไม่ให้อาเจียนออกมา ถามว่า “เยี่ยเทียน เจ้า…เจ้าตัวนั้นคือวิชาคุณไสยของหมอผีหรือ?”


เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้ภายในร่างกายรู้สึกเหมือนมีแมลงประหลาดตัวหนึ่ง ขนหัวจู้เหวยเฟิงก็อดขนลุกชูชันไม่ได้ หยาดเหงื่อไหลตรงลงมาถึงคอ จนเสื้อผ้าด้านหลังเปียกชุ่มชื้นไปหมด


“เรียกว่าแมลงพิษก็ได้ ล้วนเป็นของที่บรรพบุรุษของพวกเราส่งผ่านสืบต่อกันมา”


เยี่ยเทียนพยักหน้า บอกว่า “แมลงพิษตัวนั้นในร่างของคุณมีจิตวิญญาณเข้มข้นมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นแมลงตัวแทนของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยเขาจะต้องหยุดพักไปสักสองสามปี”


แม้ว่าจะไม่ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นทางฝั่งประเทศไทย แต่เยี่ยเทียนก็สามารถคาดเดาได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน การกระทำครั้งนี้ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เปรียบเหมือนคนขโมยไก่ไม่สำเร็จ กลับยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ ต้องสูญเสียลูกแมลงตัวแทนของตัวเองที่ชุบเลี้ยงมาหลายสิบปีไปเปล่าๆ


“เยี่ยเทียน ในร่างของเหล่าต่งมีแมลงพิษหลงเหลืออยู่หรือเปล่า?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จู้เหวยเฟิงก็โล่งอกขึ้นมาก แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องวิชาเลี้ยงแมลงของดินแดนแม้ว แต่พอเหตุเกิดขึ้นกับตัวเอง กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง


“ในตัวของเหล่าต่งก็มีแมลงพิษเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่แมลงแทนตัว กำจัดทิ้งได้ง่ายกว่ากันมาก”


การขับไล่แมลงออกจากจู้เหวยเฟิง ทำให้เยี่ยเทียนเหงื่อโซมทั้งตัว แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน แต่การใช้เพลิงเซียนที่ไม่คุ้นเคยนับว่าอาจหาญเกินไปหน่อย


“ท่านเยี่ย ผมไม่ต้องการให้ช่วยรักษา ขอเพียงท่านฆ่าฟรุสกับคนที่ปล่อยแมลงพิษนั่น สะสางหนี้แค้นให้ผมก็พอ!”


เมื่อไม่นานมานี้ต่งเซิงไห่เพิ่งรู้ว่า คู่ชีวิตของตนทั้งลูกชายอีกสามคน ล้วนตายในกองเพลิงที่มอสโคว เรื่องนี้จึงทำให้เขาไม่มีความกล้าหาญจะใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป


“เหล่าต่ง ผมสัญญา ว่าฟรุสจะต้องตายแน่นอน!”


เยี่ยเทียนยื่นมือมาวางลงบนบ่าของต่งเซิงไห่ กล่าวว่า “แต่คุณยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ไม่อย่างนั้นจิตใจของจู้เหวยเฟิงจะไม่สงบสุข!”


จู้เหวยเฟิงพยักหน้าติดต่อกันอยู่ด้านข้าง พูดว่า “ใช่แล้วเหล่าต่ง ผมส่งคนให้ไปตามหาหลานชายของคุณแล้ว คุณวางใจเถอะ เขาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่!”


ถึงแม้ต่งเซิงไห่จะมีลูกสามคน แต่ก็มีหลานเพียงคนเดียว เวลานี้เรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ หลังจากเกิดเรื่องก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน เมื่อตระกูลต่งสูญสิ้น จึงกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุความอยากตายของเขา


“เขายังมีชีวิตอยู่ยังงั้นหรือ?”


ภายในดวงตาของต่งเซิงไห่เปล่งประกายแห่งความหวัง เดิมทีเขาเป็นคนในวงการมาเฟีย จึงเข้าใจในวิธีการของคนพวกนั้นเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ต้องการกวาดล้างชนิดขุดรากถอนโคน


“เขาชื่อว่าอะไรล่ะ?”


เยี่ยเทียนเอ่ยปากถาม ขณะเดียวกันก็ส่งพลังปราณชีวิตแท้เข้าไปในร่างกายของต่งเซิงไห่ แมลงพิษในร่างกายเขาไม่ใช่แมลงตัวแทน จึงไม่ได้ผสมปนเปภายในกระแสเลือด การขับไล่และรับมือจึงสะดวกง่ายดายกว่าเล็กน้อย


“ชื่อว่าต่งต้าจ้วง ท่าน…ท่านพอจะทำนายได้ไหมว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” ต่งเซิงไห่มองมายังเยี่ยเทียนด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง หลังจากเกิดเหตุวินาศกรรมแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงไม่กล้าดูแคลนวิชาทำนายของเยี่ยเทียนอีกต่อไป


“ต่งต้าจ้วงหรือ? ชื่อนี้ดีนะ สามัญและเข้าใจง่าย เป็นคนชะตาแข็งคนหนึ่ง!”


เยี่ยเทียนคำนวณอยู่ภายในใจครู่หนึ่ง แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เหล่าต่ง หลานของคุณคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็อยู่ที่รัสเซีย เขาไม่ใช่คนดวงจู๋ คุณไม่ต้องกลัวไป!”


“อะไรนะ? เขาอยู่ที่รัสเซียเหรอ?”


ต่งเซิงไห่ได้ยินเข้าก็ตกตะลึง ร้องออกมาทันทีว่า “ไอ้ฟรุส จะต้องเป็นฟรุสที่จับตัวเขาไปแน่ ท่านเยี่ย ต้องช่วยต้าจ้วงให้ได้นะ!”


พอคิดถึงวิธีการของพวกฟรุสแล้ว ร่างกายของต่งเซิงไห่ก็กระตุกขึ้นมา ตระกูลต่งเหลือเพียงทายาทคนนี้คนเดียวแล้ว อีกทั้งตอนนี้เขายังกลายเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะอยากมีลูกอีกก็เหลือแค่เจตนาทว่าไร้ซึ่งความสามารถ


ขณะที่กำลังดิ้นรนขอร้องเยี่ยเทียนอยู่บนรถเข็น ขาข้างที่ขาดของต่งเซิงไห่พลันรู้สึกชาขึ้นมา เลือดสดๆ ไหลพุ่งออกมา เยี่ยเทียนใช้มือข้างขวาคว้าจับเอาไว้อย่างรวดเร็ว ตอนที่เขาชักมือกลับมา ระหว่างนิ้วก็มีแมลงพิษลักษณะเหมือนกันเพิ่มขึ้นอีกตัวหนึ่ง


แต่ว่าแมลงพิษตัวนี้ไม่ใช่แมลงตัวแทน หลังจากหลุดออกมาจากร่างที่ฝังตัวแล้วก็ดูไร้เรี่ยวแรงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังค่อนข้างหวาดกลัวต่อแสงอาทิตย์ สติสัมปชัญญะอ่อนเปลี้ยเพลียกำลัง


“พวกคุณจะทำอะไรน่ะ? ข้างในมีคนกำลังคุยกันอยู่ พวกคุณเข้าไปไม่ได้นะ” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจะทำลายแมลงพิษอยู่นั้นเอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น


“โอ๊ย พวกคุณกล้าลงมือเหรอ?” เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูด ก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมา


ตอนที่ 726 พิสดาร

“เกิดอะไรขึ้น? พวกคุณคิดจะทำอะไร มาจากหน่วยงานไหนกัน?!”


พอเห็นประตูใหญ่ถูกผลักออก จู้เหวยเฟิงก็ลุกออกไปต้อนรับ เพราะเขาสามารถมองออกว่า ชายวัยกลางคนรูปร่างแข็งแรงที่เดินมาด้านหน้า จะต้องทำงานอยู่หน่วยงานด้านรักษาความปลอดภัย


“จู้เหวยเฟิง ทำไมถึงเป็นนายล่ะ? เรื่องที่ประเทศไทยจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”


ชายวัยกลางคนสวมเสื้อแจ็คเก็ตแต่ข้างในตัวบวมใหญ่เดินออกมา พูดว่า “ท่านผู้นำอยากจะพบเยี่ยเทียน ลูกน้องของนายยังกล้ามาขวางอีกหรือ?”


“ฝูเจิ้งหมิง? หรือ…หรือว่าเป็นประธานซ่ง?”


พอเห็นคนเข้ามา จู้เหวยเฟิงยังอดงงงันไม่ได้ เดิมทีตัวเขาเองก็มาจากระบบกองทัพ สมัยยังเด็กภายในบ้านก็มีคนเหล่านี้อยู่เช่นกัน จึงคุ้นเคยกับฝูเจิ้งหมิง ผู้คุ้มกันพิเศษคนนี้เป็นอย่างดี


ฝูเจิ้งหมิงพยักหน้า แต่กลับไม่ตอบอะไร เลื่อนสายตาไปทางเยี่ยเทียน กล่าวว่า “ท่านผู้นำอยู่ในรถครับ คุณจะไปพบหรือไม่?”


พอได้ยินคำพูดของฝูเจิ้งหมิง จู้เหวยเฟิงก็เบิ่งตาโต ผู้คุ้มกันพิเศษที่มีนิสัยใจคอมุทะลุดุดันคนนี้ กลับใช้น้ำเสียงเจรจากับเยี่ยเทียนอย่างนี้หรือ? แถมยังเป็นสํานวนเชิงยกย่องอีกต่างหาก!


สำหรับพวกคนเหล่านี้ นอกจากท่านผู้นำที่เขาต้องคอยคุ้มกันแล้ว คนอื่นก็ไม่อยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เป็นญาติมิตรของท่านผู้นำก็มักไม่ได้รับการเอาใจใส่มากนัก


แต่ท่าทีของฝูเจิ้งหมิงที่มีต่อเยี่ยเทียน แทบไม่แตกต่างจากที่เขากระทำต่อท่านผู้นำเอง จู้เหวยเฟิงรู้สึกว่ายากเกินจะเข้าใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย


“ให้ท่านผู้เฒ่าเข้ามาในบ้านเถอะ” เยี่ยเทียนหันหน้ามามองจู้เหวยเฟิงแวบหนึ่ง บอกว่า ” สั่งคนพวกนั้นของคุณให้ไสหัวไปให้หมด ถ้าไม่มีคนคอยติดตามบ้าง จะรู้สึกเหมือนไม่ได้แสดงอำนาจหรือไง?”


จู้เหวยเฟิงพยักหน้าอย่างละอายใจ “ได้ ฉันจะให้พวกเขาออกไปเดี๋ยวนี้ งั้นฉันกับเหล่าต่งขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน!”


“ไม่ได้ ท่านเยี่ย ท่านต้องช่วยต้าจ้วงนะ!”


จู้เหวยเฟิงพูดพลางเข็นรถเข็น ต่งเซิงไห่ไม่รู้ว่าคนที่มาคือใคร จึงใช้ฝ่ามือข้างเดียวหยุดรถเข็นเอาไว้ ยืนกรานไม่ยอมขยับ เขายังคงเฝ้ารอให้เยี่ยเทียนช่วยหลานชายของเขา


“เอาเถอะ คุณกับเหล่าต่งอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะเข้าไปคุยกันในบ้านก่อน!”


เห็นท่าทางน่าเวทนาของต่งเซิงไห่อย่างนั้น เยี่ยเทียนยังรู้สึกว่าค่อนข้างทำใจลำบาก จากการทำนายดวงของเขา ถึงแม้ต่งเซิงไห่จะยังไม่ชะตาขาด แต่ก็ทุกข์ทรมานพอสมมควร


เห็นว่าฝูเจิ้งหมิงสาวเท้ากำลังจะออกไปด้านนอก เยี่ยเทียนก็รีบร้องเรียกเขาไว้ กล่าวว่า “เหล่าฝู อย่าเพิ่งไป ผมให้ของคุณชิ้นหนึ่ง เอาไปให้คนวิเคราะห์ดูหน่อย มันคือแมลงพิษในวิชาคุณไสยจากประเทศไทย!”


หันมองไปรอบด้านแล้วเยี่ยเทียนก็หยิบขวดน้ำแร่ขึ้นมาจากด้านข้างกระถางต้นไม้ นำเอาแมลงพิษใส่ลงไป เจ้าตัวนี้ไม่ใช่แมลงตัวแทน พอออกมาจากร่างที่สิงสู่แล้วจึงไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ


“เอ่อ น้องชายอย่าทำร้ายกันดีกว่า เอาเจ้าตัวนี้ให้ผมมาทำไม?”


พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ฝูเจิ้งหมิงก็ถอยไปด้านหลังเหมือนเห็นผี ในงานคุ้มกันของเขามีกฏอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือไม่อนุญาตให้นำสิ่งอันตรายใดๆ ก็ตามเข้าใกล้ท่านผู้นำ และแมลงพิษตัวนี้ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล


“เห็นคุณดูกล้าหาญออกขนาดนั้น ไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไร” เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถือขวดน้ำแร่ขึ้นมาเล่นในมือ


เห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้ว หนังตาของฝูเจิ้งหมิงก็กระตุกขึ้นมานิดนึง เอ่ยปากบอกว่า “เยี่ยเทียน ถ้าคุณถือของชิ้นนั้นไว้ ผมก็ให้คุณเข้าใกล้ท่านผุ้นำไม่ได้”


“ก็ได้ งั้นผมจะทำลายมันเสีย โอเคหรือยัง?” เยี่ยเทียนทิ้งขวดน้ำแร่ลงบนพื้นอย่างกระอักกระอ่วนใจ พอเหยียบลงไปครั้งหนึ่ง แมลงที่อยู่ข้างในนั้นก็กลายเป็นเลือดก้อนหนึ่ง


ฝูเจิ้งหมิงถึงค่อยวางใจลง บอกกับลูกน้องว่า “เอาของชิ้นนั้นกลับไป ส่งให้กับห้องทดลองในกองทัพ!”


“ตอนยังเป็นไม่เอา เอาตอนตายเนี่ยนะ?” เยี่ยเทียนสายหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก บอกว่า “ถ้าตรวจพบผลเป็นยังไงบอกผมด้วยนะ!”


ระหว่างที่พูด ซ่งเฮ่าเทียนก็เดินเข้ามาในเรือนสี่ประสานท่ามกลางวงล้อมของผู้คุ้มกันทั้งหลาย เงยหน้าเห็นจู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ที่นั่งอยู่บนรถเข็น ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้


ยังไม่ทันรอให้ซ่งเฮ่าเทียนเปิดปาก เยี่ยเทียนก็ชิงพูดก่อน “ท่านผู้เฒ่าครับ สองคนนี้คือเพื่อนของผมเอง ผมยังมีเรื่องต้องคุยกับพวกเขา พวกเราเข้าไปคุยข้างในกันก่อนเถอะครับ”


ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้าเล็กน้อย เดินตรงเข้าไปยังเรือนกลาง ผู้คุ้มกันที่ตามหลังเขามาสองคน ก็เดินนำหน้าเข้าไปยังเรือนกลางก่อนเพื่อคอยระแวดระวังภัย


“คราวหลังเพลาๆ การคบหากับพวกคนไร้สาระเหล่านั้นลงบ้าง ดูซิว่าพวกเขาเป็นยังไง?” พอเข้ามาในเรือนกลางแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็อดสั่งสอนเยี่ยเทียนออกมาสักสองสามคำไม่ได้


“ท่านผู้เฒ่า แสดงว่าร่างกายมีกำลังวังชาดีแล้ว ถึงมีแรงสั่งสอนผมใช่ไหมครับ?”


เยี่ยเทียนไม่คิดถือสาหาความกับซ่งเฮ่าเทียน มองไปยังผู้คุ้มกันเหล่านั้นที่ยืนห่างออกไปสิบกว่าเมตร ครู่หนึ่งใต้ฝ่าเท้าก็ปรากฏหมอกควัน ห่อหุ้มตัวเขากับซ่งเฮ่าเทียนเอาไว้


“เจ้าหนู เฮ้อ ถือว่าฉันติดหนี้เธอก็แล้วกัน!” ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้าแค่นยิ้ม เขาเคยเป็นคนควบคุมทิศทางของประเทศชาติ แต่อยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนกลับเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า


“เรื่องนั้นมีสัญญาณออกมาแล้วหรือยังครับ? ทำไมถึงไม่โทรศัพท์ให้ผมไปหาล่ะ?” พอใช้ปราณแท้แยกตัวเองกับซ่งเฮ่าเทียนออกจากโลกภายนอกแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็ตึงเครียดขึ้น


“ไม่ได้ออกไปไหนนานแล้ว ฉันเลยอยากมาหาเธอเอง…”


ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า น้ำเสียงเบาลงหลายส่วน บอกว่า “คูปองอาหารในอดีตเหล่านั้นถูกจัดสรรโดยหวงต้าจง ซึ่งก็คือคุณปู่ของเจ้าหนูหวงต้าจื้อนั่นเอง แต่ฉันชักรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก!”


ถึงแม้การอาศัยเพียงคูปองอาหารไม่กี่ใบเพื่อสืบสาวต้นทางของพวกเขานั้นจะดูยากเย็น แต่หากเป็นซ่งเฮ่าเทียนแล้ว ยังเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อยู่


หลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ ซ่งเฮ่าเทียนนำเอารายชื่อคนที่พิมพ์และแจกจ่ายคูปองอาหารที่ปักกิ่งในช่วงเวลานั้นไล่ค้นออกมาจนหมด ผ่านการคัดกรองแยกแยะข้อมูลจำนวนมหาศาลแล้ว ผลท้ายสุดก็ชี้ไปยังตระกูลหวงในเมืองปักกิ่ง


“หวงซือจื้อ ถึงแม้ว่าตระกูลเขาจะเป็นแม่ทัพอยู่คนหนึ่ง แต่ก็เป็นที่จับตามองในปักกิ่งไม่ใช่หรือครับ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ทำไมเรื่องนี้ถึงไปเกี่ยวพันกับเจ้านักเลงหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว?


ตอนที่เปิดประเทศ ปักกิ่งนั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของเหล่าแม่ทัพนายกอง ถึงแม้คุณปู่ของหวงซือจื้อจะมีคุณูปการด้านการทหารไม่น้อย แม้กระทั่งนายพลระดับสูงยังไม่กล้าออกปากกล่าววิจารณ์ แล้วกลุ่มคนที่ฝึกวิชาเหล่านั้นจะมาเกี่ยวข้องกับเขาได้อย่างไร?


“เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงออกจะพิสดาร”


ซ่งเฮ่าเทียนมีนิสัยชอบคลำภายในกระเป๋าเสื้อ แต่กลับพบว่าบุหรี่ถูกหมอกำจัดทิ้งไปนานแล้ว จึงกัดริมฝีปากล่าง กล่าวว่า “เยี่ยเทียน ถึงแม้ตำแหน่งของหวงต้าจงยังไม่ชัดเจน แต่เขาก็เป็นพวกเดียวกับกลุ่มอวิ๋นเหล่า!”


“อวิ๋นเหล่าหรือ?” สีหน้าของเยี่ยเทียนแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น “ใช่อวิ๋นเหล่าที่จัดการเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักหรือเปล่าครับ?”


เยี่ยเทียนไม่ได้นึกสนใจหวงต้าจงสักเท่าไหร่ แต่อวิ๋นเหล่าผู้นี้เป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงที่สุดอย่างแท้จริง เขาดูแลจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศมาตั้งแต่สมัยสร้างชาติ แม้จะไม่มียศตำแหน่งในรัฐบาลกลาง แต่อิทธิพลกลับยิ่งใหญ่เหนือกว่านายทัพหลายต่อหลายคน


“ถูกต้อง ในอดีตนั้นหวงต้าจงที่ไม่ถูกโจมตี ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะอวิ๋นเหล่า ดังนั้นฉันจึงสงสัยว่า เพราะอวิ๋นเหล่าเคยเกี่ยวดองกับคนเหล่านั้นหรือเปล่า?”


ต่อให้เป็นคนในวัยเดียวกับซ่งเฮ่าเทียน ก็ยังต้องเรียกอวิ๋นเหล่าว่าเป็นผู้อาวุโส ถึงแม้คนผู้นั้นจะลาโลกไปนานนับหลายปีแล้ว แต่คำพูดของเขาก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการเคารพให้เกียรติใดๆ


ซ่งเฮ่าเทียนลูบผม กล่าวว่า “เธอเคยมีความแค้นเคืองต่อคุณชายสกุลหวง หรือจะเป็นเขาที่เชิญคนพวกนั้น มาล้างแค้นเธอ?”


เรื่องราวครั้งนั้นที่เยี่ยเทียนถูก “เชิญ” ไปยังสถานีตำรวจ จัดการเสร็จสิ้นได้เพราะซ่งเฮ่าเทียนส่งเลขาประจำตัวไปสะสาง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องความขุ่นเคืองระหว่างเยี่ยเทียนกับหวงซือจื้อเป็นอย่างดี


“เขาน่ะหรือครับ? ห่างไกลเกินความจริงมาก หรือต่อให้เป็นปู่ของเขาก็ยังไม่แน่ว่าจะมีน้ำหนักพอ…” เยี่ยเทียนส่งเสียงเยียบเย็นออกมา ทันใดนั้นสมองนึกอะไรออก จึงเอ่ยถามขึ้น “ลูกหลานของอวิ๋นเหล่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่หรือครับ?”


ก่อนหน้านี้ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ดูแลเรื่องเศรษฐกิจเช่นกัน จึงรู้เรื่องพวกนี้อย่างแจ่มแจ้ง สามารถตอบกลับได้โดยไม่ต้องคิด “ตระกูลอวิ๋นถอนตัวออกจากวงการการเมืองโดยสิ้นเชิงแล้ว ปัจจุบันทำธุรกิจค้าขาย ลงทุนด้านพลังงานทั้งภายในและต่างประเทศ มีอวิ๋นหวาถงถือครองหุ้นส่วนขนาดใหญ่”


อวิ๋นหวาถงที่ซ่งเฮ่าเทียนกล่าวถึงนั้น คือลูกชายคนรองของอวิ๋นเหล่า และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำของตระกูลอวิ๋นในยุคปัจจุบัน


ด้วยสายเลือดของผู้เฒ่าอวิ๋นเหล่าจากสมัยอดีต ต่อให้ถอนตัวออกจากวงการการเมือง แต่ก็ไม่อาจทำเพิกเฉยใส่ แถมในอดีตอวิ๋นหวาถงยังเคยไปมาหาสู่กับซ่งเฮ่าเทียนไม่น้อยครั้งอีกด้วย


เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนเอ่ยปากถามว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรครับ?”


“รั้งทัพไม่เคลื่อนไหว!”


ซ่งเฮ่าเทียนหรี่ดวงตาลง บอกว่า “ถึงแม้คนที่ออกมาจะถูกเธอสังหารแล้ว บางทีทางนั้นอาจส่งคนมาใหม่ พอถึงตอนนั้นก็จะรู้เองว่ามันเกิดอะไรขึ้น!”


“คงได้แต่ทำอย่างนั้นแล้วครับ”


เยี่ยเทียนพยักหน้า ถึงอย่างไรคนที่เสียเปรียบก็เป็นเขา หากตอนนี้ทำอะไรลงไปให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เกรงว่าคนเหล่านั้นจะเชื่อมโยงการหายตัวไปของนักพรตเต๋าเข้ากับตัวเขาเอง


“เอ๊ะ วันนี้มันอะไรกันนะ? มีคนมาที่ประตูอีกแล้วเหรอ?!”


ขณะที่กำลังพูดคุยอยู่กับซ่งเฮ่าเทียน เยี่ยเทียนก็เลิกคิ้วขึ้น เพราะเมื่อครู่เขาปล่อยพลังจิตออกไปเพื่อใช้ห่อหุ้มเรือนหลังนี้ไว้ เวลานี้กลับพบว่า ป้าใหญ่ได้พาคนคุ้นเคยเข้ามาในบ้าน


เยี่ยเทียนเก็บปราณแท้ที่ห่อหุ้มรอบตัวเองเข้าสู่ภายในร่างกาย เอ่ยปากพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าครับ วันนี้เราคุยกันแค่นี้เถอะ ป้าใหญ่ไม่ชอบเจอคุณ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะมาดุด่าอะไรผมหรือเปล่า”


“ไอ้เด็กเวร ข้ามแม่น้ำเสร็จก็หักสะพานเลยสินะ?”


ซ่งเฮ่าเทียนถูกท่าทางร้ายกาจของเยี่ยเทียนทำให้ตื่นตัว โดยไม่ต้องพูดถึงสถานะของเขา ลำพังเพียงแค่ความอาวุโส ก็ใช่ว่าจะให้เยี่ยเทียนเรียกมาเมื่อไหร่ไล่ไปตอนไหนก็ได้


“แหะๆ ผมไปส่งนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ก็ไปคุยกับแม่ผมทางนั้นก็ได้ แม่คิดถึงท่านผู้เฒ่ามากเลยล่ะ!”


เยี่ยเทียนพยุงซ่งเฮ่าเทียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พาเขาเดินออกไปด้านนอก เมื่อมาถึงเรือนด้านหน้าแล้ว ก็ได้เผชิญหน้ากับป้าใหญ่และเฉินสี่ฉวนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายต่อหลายปี


“เยี่ยเทียน ลุงไม่รู้ว่าเธอยุ่งขนาดนี้ ต้องขอโทษจริงๆ ถ้ายังไงพรุ่งนี้ลุงมาใหม่ก็แล้วกัน!”


พอเห็นเยี่ยเทียน เฉินสี่ฉวนก็รีบเข้ามาทักทาย แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็สังเกตเห็นซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ข้างเยี่ยเทียนด้วยสายตาเย็นชา ชะงักงันไปในทันใด


ถึงแม้เวลาจะผ่านไปสองปีแล้ว แต่ในอดีตซ่งเฮ่าเทียนเป็นบุคคลที่ปรากฎตัวอยู่ในโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง เฉินสี่ฉวนเองเป็นคนชอบดูข่าว จึงคุ้นเคยกับใบหน้าเขาเป็นอย่างมาก


ดังนั้นพอเห็นเยี่ยเทียนพยุงซ่งเฮ่าเทียนอย่างสนิทสนม สมองของเฉินสี่ฉวนก็สับสนขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงเด็กหนุ่มขี้อายที่พบบนรถไฟเมื่อในอดีต กับเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้เลย


ตอนที่ 727 กว้านซื้อ

สำหรับเฉินสี่ฉวน เยี่ยเทียนให้ความเคารพจากใจจริง เมื่อเห็นเขามีท่าทางเกรงใจอย่างนั้น จึงรีบบอกว่า “ลุงเฉิน พูดอะไรน่ะครับ? พวกเราไม่เจอกันมาสักพักแล้ว เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันนะ!”


ความสัมพันธ์ของเยี่ยเทียนกับเฉินสี่ฉวนเรียกได้ว่าเป็นมิตรภาพอย่างลูกผู้ชาย ในอดีตเยี่ยเทียนเคยเป็นนักศึกษาจนๆ แต่เฉินสี่ฉวนก็ไม่เคยดูแคลนเขาด้วยสาเหตุนั้น ภายหลังยังช่วยเหลือเยี่ยเทียนที่เทียนซานอีกไม่น้อย


แม้ว่าเหตุการณ์ผีพรายครั้งนั้นจะนับว่าเยี่ยเทียนได้ตอบแทนน้ำใจแล้ว แต่เขาก็มีความรู้สึกดีจากใจจริงต่อเฉินสี่ฉวน บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นความถูกชะตาที่คนทั่วไปว่ากัน


“ไม่ ไม่ล่ะ เยี่ยเทียน ไว้…ไว้วันหลังฉันค่อยมาใหม่ดีกว่า!”


เฉินสี่ฉวนถึงแม้จะเป็นคนใจคอเปิดเผย แต่พอเห็นผู้นำชาติในอดีตปรากฏตัวต่อหน้าอย่างกะทันหัน แรงกระทบนั้น ต่อให้เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่าไหร่ ก็คงพูดจาไม่สะดวกนัก


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เดี๋ยวไปบ้านผมตรงฝั่งนั้นกัน มีชาดีๆ อยู่ ถ้าดื่มไม่หมดให้ถือว่าไม่ได้ดื่ม!”


เยี่ยเทียนดึงตัวเฉินสี่ฉวนไว้ รู้ว่าคนผู้นี้ชอบดื่มชา เมื่อสองปีก่อนพอมีเวลาว่าง บางครั้งเยี่ยเทียนก็ไปนั่งคุยเล่นดื่มชากับเขา


“เจ้าเด็กบ้านี่ เอาชาของฉันมาเป็นสินน้ำใจ!”


ได้ยินคำพูดของหลานแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็หงุดหงิดหมั่นไส้ขึ้นมาทันใด สะบัดแขนของเยี่ยเทียนออกแล้วสาวเท้ายาว พวกผู้คุ้มกันที่กระจัดกระจายตัวกันอยู่ในเรือนสี่ประสาน ต่างก็สลายตัวติดตามไปราวกับสายน้ำ


“เยี่ยเทียน คน…คนผู้นั้นคือท่านประธานซ่งหรือเปล่า?”


ยิ่งเห็นภาพนั้น เฉินสี่ฉวนยิ่งมั่นใจว่าตัวเองจำคนไม่ผิด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดเยี่ยเทียนถึงได้มีท่าทีสนิทสนมกับประธานซ่งถึงขนาดนั้น?


“ลุงเฉิน ตาแก่คนนั้นเป็นคุณตาของผมเองครับ” เห็นว่าเฉินสี่ฉวนมีสีหน้างงงัน เยี่ยเทียนจึงอธิบายออกมาสองสามคำ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจปิดบังลุงนะ เมื่อก่อนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”


“ไม่เป็นไรๆ เรื่องบางเรื่องก็โพนทะนาไปทั่วไม่ได้” ไม่รู้เพราะอะไร พอหลังจากรู้สถานะของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็เกิดประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าเขาขึ้นมา


“ลุงเฉิน ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของพวกเราไปไหนแล้วครับ จะเกรงใจผมทำไม?”


เยี่ยเทียนมองออกว่าเฉินสี่ฉวนไม่เป็นตัวของตัวเอง เลยยิ้มพูดว่า “ทางนั้นผมมีชาต้าหงเผ่าจากภูเขาอู๋อี้ เก็บลงมาจากในป่าลึก ถ้าหากยังเกรงใจอยู่อีก ก็ไม่ต้องดื่มก็แล้วกัน!”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใจของเฉินสี่ฉวนก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เขารู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจลบล้างความห่างเหินที่อยู่ในใจตัวเอง จึงยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “ได้ ถึงอย่างไรใบชานั้นของเธอก็เก็บมาแล้ว ลุงเฉินจะลองชิมดู!”


“ต้องอย่างนี้สิครับ! ลุงเฉิน ลุงรอผมเดี๋ยวก่อนนะ”


เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา หันหน้ามองไปยังต่งเซิงไห่ที่ยังคงทำสีหน้าเฝ้าคอยตัวเองอยู่ บอกว่า “เหล่าต่ง อย่ายึดมั่นความเป็นความตายนักเลย พวกเราเป็นผู้กล้าแห่งสมาคมหงเหมิน ถึงหัวหลุดก็เป็นเพียงแค่รอยแผลใหญ่ แค่บาดแผลนี้ทำไมถึงทิ้งไว้ไม่ได้!”


“ท่านเยี่ย แต่ผมแค้นใจนี่!”


หลังจากขับไล่แมลงพิษภายในร่างกายออกมาแล้ว น้ำเสียงของต่งเซิงไห่ก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ พอรวมกับพลังปราณชีวิตที่เยี่ยเทียนส่งเข้าไปภายในร่างกายเขา ทำให้กระตือรือร้นขึ้นมาไม่น้อย


“เรื่องของต่งต้าจื้อ ให้ผมจัดการเองเถอะ ผมรับประกันว่าจะคืนหลานชายให้คุณ คอยฟังข่าวอยู่ที่บ้านของจู้เหวยเฟิงก็แล้วกัน!”


คิดอยู่สักครู่ เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นอีก “ช่วงนี้มีเรื่องไม่น้อยเลย เรื่องของฟรุสไม่เร่งด่วนเท่าไหร่ ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วผมต้องไปที่ประเทศไทยอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นผมจะทวงคืนให้พวกคุณครบทั้งต้นทั้งดอก!”


“ท่านเยี่ย งั้น…งั้นเรื่องของต่งต้าจ้วง ผมขอฝากฝังไว้กับคุณด้วย!” เมื่อเยี่ยเทียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้ว่าต่งเซิงไห่จะยังไม่สบายใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่อาจบังคับให้เยี่ยเทียนช่วยชีวิตหลานชายตัวเอง?


“วางใจเถอะ อย่างไวก็หนึ่งอาทิตย์ อย่างช้าก็ครึ่งเดือน เขาจะต้องกลับมาแน่!”


พอเยี่ยเทียนปลอบใจต่งเซิงไห่แล้ว ก็มองไปทางจู้เหวยเฟิง กล่าวว่า “ให้เวลากับสนามมวยนั่นของคุณบ้างเถอะ อย่าเอาแต่แสดงลูกไม้แต่ไร้ประสิทธิภาพเลย มีเวลาก็ส่งคนไปยังไซบีเรียสักสองสามคนจะดีกว่า”


หลังจากผ่านศึกมวยใต้ดินบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงได้สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างสนามมวยใต้ดินภายในและภายนอกประเทศ ถ้าหากเปลี่ยนจาก “บาทาไร้เงา” คนนั้นเป็นคนธรรมดาสู้กับแอนโทนี มาร์คัสล่ะก็ เกรงว่านัดนั้นคงถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีเอาถึงตาย


อีกทั้งสนามมวยต่างประเทศมีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างน้อยหลายสิบปี และพวกเขาเองก็ให้ความสำคัญต่อการฝึกฝนนักมวยมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เหมือนกับคนพวกนั้นที่จู้เหวยเฟิงพึ่งหามา ที่ส่วนใหญ่แล้วมาเข้าวงการเอาเมื่อสายไปแล้ว


“เข้าใจแล้ว รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงเมื่อไหร่จะส่งไป!”


จู้เหวยเฟิงพยักหน้า เดิมทีเมื่อปีก่อนเขาก็ได้คัดเลือกเด็กใหม่เพื่อเตรียมตัวไปฝึกฝนที่ไซบีเรียแล้ว แต่ยังไม่ทันทำตามแผนการสำเร็จก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จึงไม่อาจไปสนใจต่อ


“เอาล่ะ พวกคุณเรียกคนมารับกลับไปเถอะ ผมยังมีธุระต่อ คงอยู่คุยกับพวกคุณสองคนไม่ได้แล้ว!”


หลังจากเยี่ยเทียนอธิบายจบแล้ว ก็ส่งแขกกลับทันที ป้าใหญ่ยังต้องเข้าเรือนด้านในเพื่อไปหาของบางอย่าง เยี่ยเทียนจึงแยกกับพวกจู้เหวยเฟิงตรงประตูบ้าน


“เหล่าต่ง ถ้าหากพวกเราฟังเยี่ยเทียนตั้งแต่แรก คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาหรอกใช่ไหม?”


มองร่างของเยี่ยเทียนที่อยู่ไกลๆ แล้วจู้เหวยเฟิงก็เกิดคับแค้นใจขึ้นมา


เขารู้แน่ชัดว่าต่อให้ตัวเองพยายามผสานความสัมพันธ์ของเขากับเยี่ยเทียนมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีทางกลายเป็นเพื่อนกันได้ ซึ่งนั่นเป็นผลพวงมาจากความไม่เชื่อใจของเขานั่นเอง


“ฉันแก่แล้ว ขอเพียงสามารถพาตัวต้าจ้วงกลับมา ก็สามารถใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างเป็นสุข!”


ต่งเซิงไห่ตอบเบี่ยงประเด็น ภายในดวงตาฉายแววความเปลี่ยวเหงา ชีวิตไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากดวงชะตา เมื่อครึ่งปีก่อนหน้ายังสุขสมหวังดั่งใจ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นพยัคฆ์ในทุ่งหญ้า ไร้โอกาสแม้เพียงกลับไปอยู่ยังจุดเดิม


……


“แม่ครับ คนนี้คือเพื่อนของผมเอง ลุงเฉิน พ่อก็รู้จักเขา พวกเราจะไปดื่มชาที่เรือนด้านหลังกัน ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกผมนะ!”


พอมาถึงยังเรือนตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนก็แนะนำเฉินสี่ฉวนให้แม่รู้จัก มองซ้ายมองขวาดูลาดเลาอยู่สักพัก ก็เข้าใจว่าตาแก่ซ่งเฮ่าเทียนไม่ได้มาหาลูกสาว คงจะโมโหตัวเขากลับไปเลย


เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ดึงตัวเฉินสี่ฉวนมายังเรือนหลัง ช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดในเมืองปักกิ่ง พอนั่งบนโต๊ะน้ำชาใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เรือนหลังแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบเอาชาต้าหงเผ่าที่ขโมยจากซ่งเฮ่าเทียนมา


ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปบ้านของซ่งเฮ่าเทียน ได้เห็นเตาดินเผาของเขาแล้วรู้สึกว่าไม่เลว เยี่ยเทียนจึงซื้อตามอีกหนึ่งชุด


หลังจากต้มน้ำเดือดลวกเครื่องถ้วยชาแล้ว เยี่ยเทียนก็แสดงฝีมือชงชาอย่างพิถีพิถัน หยิบเอาถ้วยน้ำชาสีแดงจางๆ วางไว้ข้างหน้าเฉินสี่ฉวน บอกว่า “ลุงเฉิน ลองชิมชาถ้วยนี้ดูสิครับว่าเป็นอย่างไร?”


เมื่อการชิมชาถูกยกระดับขึ้นถึงขั้นศิลปะแห่งการชงชา การพินิจพิเคราะห์จะไม่เป็นเพียงแค่รสชาติของชาเท่านั้น แต่ขั้นตอนเวลาชงชาก็ให้ความสุนทรีย์แก่สายตาของผู้คนไม่แพ้กัน ความสามารถนี้ของเยี่ยเทียน ต่อให้เป็นศิลปินชงชาที่มีประสบการณ์มาหลายสิบปียังไม่อาจเทียบเทียม


ยกถ้วยชามาสูดดมต่อหน้าจมูกเล็กน้อย จากนั้นลองจิบดูคำหนึ่ง ใบหน้าของเฉินสี่ฉวนก็แสดงให้เห็นถึงอารมณ์เบิกบาน เอ่ยปากชมว่า “ชาดี ใช้น้ำจากเขาอวี้ฉวนที่ฉันส่งมาให้ใช่หรือเปล่า?”


คนนิยมชาต่างมีคำกล่าวขานกันว่า “ชามีหลากหลายชนิด น้ำมีมากมายหลายน้ำ เมื่อมีชาดี น้ำดีถึงจะมีรสชาติหอมหวาน” เฉินสี่ฉวนชิมไปคำหนึ่งก็สัมผัสได้ ว่าใช้น้ำจากน้ำพุจากเขาอวี้ฉวนที่เก็บมาตอนเที่ยงคืนมาต้ม


“ลุงเฉิน ยอดเยี่ยมจริงๆ ว่าแล้วว่าจะปิดบังลุงไม่ได้”


เยี่ยเทียนใช้น้ำเดือดลวกทำความสะอาดถ้วยชาของเขา แล้วเติมใหม่จนเต็มอีกถ้วย กล่าวว่า “ลุงเฉินครับ วันนี้ลุงมาต้องมีธุระอย่างแน่นอน อย่าเสียเวลาปิดบังเลย พูดออกมาเถอะ!”


“ไม่มี ไม่มีอะไรจริงๆ…”


ได้ยินเยี่ยเทียนพูดแล้ว เฉินสี่ฉวนก็ยืนกรานปฎิเสธ แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ถนัดโป้ปดเลยสักนิด หลังอัดอั้นไว้จนลำคอแดงไปหมด ก็ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ลุงเฉินมีเรื่องอยากให้เธอช่วยเหลือจริงๆ แต่ว่าเยี่ยเทียน ตอนนี้ลุงเฉินไม่อยากพูดแล้วล่ะ”


เฉินสี่ฉวนเองก็เป็นคนรักเพื่อนมากคนหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้ว่าเยี่ยเทียนมีเส้นสายกว้างขวาง แต่ก็คบหากับอีกฝ่ายด้วยสัมพันธ์ฉันท์มิตร เขาจึงไม่อยากเอาเรื่องวุ่นวายเข้ามาพัวพันกับมิตรภาพ


“ลุงเฉิน พูดเหมือนเป็นคนอื่นไกลกันไปได้ ไม่เห็นผมเป็นเพื่อนแล้วหรือไงครับ?”


เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ทำหน้าตึงเครียด กล่าวว่า “ถ้าช่วยได้ ผมต้องช่วยแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากช่วยไม่ได้ ผมก็จะพูดตรงๆ เช่นเดียวกัน ลุงมีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”


ได้ยินน้ำเสียงจริงใจของเยี่ยเทียน ไม่เหมือนกับว่าเสแสร้งแกล้งทำ เฉินสี่ฉวนคิดอยู่สักครู่ กล่าวว่า “เป็นเรื่องปัญหาการค้าทั้งนั้น ฉันจะเล่าให้เธอฟังก็แล้วกัน…”


ที่แท้ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาธุรกิจของเฉินสี่ฉวนรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เพียงทำธุรกิจค้าปุยฝ้าย แต่ยังริเริ่มทำถ่านหินด้วย เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจการค้าถ่านหินหดตัวลง เขาจึงซื้อเหมืองถ่านหินจากบริษัทเอกชนมาได้หลายแห่ง


แต่หลังจากเข้าสู่ปี 2000 แล้ว ราคาถ่านหินกลับสูงขึ้นมาตลอด นอกจากเหมืองอุดมสมบูรณ์สองแห่งที่เฉินสี่ฉวนเก็บไว้เองแล้ว เหมืองที่เหลืออีกไม่กี่เหมืองก็ปล่อยขายหมด ได้เงินมากว่าพันล้านภายในคราวเดียว


ปัญหาก็อยู่ที่เงินทองจำนวนเหล่านี้เอง ต้องเข้าใจก่อนว่า เฉินสี่ฉวนเป็นคนทำธุรกิจ เขาจึงไม่อยากทิ้งเงินไว้ในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย ดังนั้นจึงอยากลงทุนในอุตสาหกรรมอะไรสักอย่าง


แล้วตอนกลางปีก่อนนั้น นายพลผู้อยู่ในรัสเซียคนหนึ่งที่เฉินสี่ฉวนรู้จักมาตั้งแต่รุ่นปู่ เชิญให้เขาไปท่องเที่ยวที่รัสเซีย นั่นจึงทำให้เขาพบโอกาสทางการค้าอีกอย่าง


ภายในเขตกองทัพของนายพลคนนั้น เพิ่งจะสำรวจพบเหมืองทองคำอันอุดมสมบูรณ์ยิ่งแห่งหนึ่ง ปัจจุบันยังไม่ถูกใครจับจองเป็นเจ้าของ


เฉินสี่ฉวนที่สัมผัสรสชาติอันหอมหวานของการทำเหมืองมาสองปี จึงเกิดความคิดขึ้นมาทันใด หลังจากผ่านการเจรจาตกลงกันแล้ว เขาก็ได้รับสิทธิ์ขุดเหมืองทองคำแห่งนี้เป็นเวลาสามสิบปีภายใต้ราคาหนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลลาร์อเมริกา


ตอนนั้นในปี 2000 หนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลลาร์อเมริกาเมื่อคำนวณแล้ว จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นสองพันล้านหยวน


เงินทุนในมือของเฉินสี่ฉวนมีไม่พอ อีกทั้งตอนขุดยังจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ดังนั้นหลังจากที่เขาเซ็นสัญญาข้อตกลงแล้ว ก็กลับมายังประเทศเพื่อรวบรวมเงินทุน


ด้วยการจำนองเหมืองถ่านหินทั้งสอง ทำให้เฉินสี่ฉวนมีเงินหนึ่งหมื่นสองพันล้านหยวนและเงินทุนที่จำเป็นต้องลงกับเครื่องไม้เครื่องมือล่วงหน้า แต่ตอนที่เฉินสี่ฉวนจ่ายเงินจำนวนนั้น และกำลังจะซื้ออุปกรณ์เพื่อจะไปทำงานใหญ่ที่รัสเซียนั้นเอง ปัญหาก็เข้ามาหาเขา


บริษัทภายใต้หน่วยงานของรัฐซึ่งกำกับควบคุมรัฐวิสาหกิจในจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งทำธุรกิจด้านการลงทุนทรัพยากรมาหาเฉินสี่ฉวน พวกเขาเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมาว่า ต้องการกว้านซื้อเหมืองทองคำของเฉินสี่ฉวนในรัสเซียทั้งหมด


ถึงแม้อีกฝ่ายจะเสนอราคาซื้อขายถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้าน แต่เฉินสี่ฉวนก็รู้ว่า พวกเขาใช้อิทธิพลมากดราคา นั่นเพราะราคาที่แท้จริงของเหมืองทองคำแห่งนี้ อย่างน้อยต้องสูงกว่าสามหมื่นล้านขึ้นไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)