ลำนำบุปผาพิษ 721-726
บทที่ 721 ท่านชอบนางจริงๆ ใช่ไหมขอรับ?
และหนนี้เขาก็เงียบงันอีกครั้ง แค่การเงียบหนนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา บนร่างเขาคล้ายกับมีอารมณ์อ้างว้างอยู่บ้าง
ดูค่อนข้างเดียวดายและเปล่าเปลี่ยว ถึงขั้นที่ดูไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง ราวกับเด้กน้อยที่ถูกคนทอดทิ้งทว่าไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรผู้อื่นถึงจะมารับกลับไปอีกครั้ง…
ยามที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในสมองมู่เฟิง มู่เฟิงก็รู้สึกว่าตนเป็นประสาทไปเสียแล้ว!
ความรู้สึกเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทอดทิ้งผู้อื่นเสมอ กลับกลายเป็นผู้อื่นทอดทิ้งเขาตั้งแต่ยามไหนกัน?
“มู่เฟิง เจ้าว่าข้าป่วยหรือไม่?” ในที่สุดตี้ฝูอีที่เงียบมาตลอดก็เปิดปากเอ่ย ทว่าถ้อยคำที่กล่าวออกมากลับทำให้มู่เฟิงตัวสั่นทันที หวั่นวิตกขึ้นมาทันใด!
“นายท่าน ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ? เวียนหัว? ตาลาย? หรือว่าแขนขาอ่อนแรง? หรือว่า…” มู่เฟิงร่ายอาการชุดใหญ่ออกมา ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างยิ่งกว่าโคมไฟ เพ่งพิศตี้ฝูอีขึ้นๆ ลงๆ เกรงว่าจะพลาดจุดใดไป
ถึงแม้ภายในห้องจะมืด แต่วรยุทธ์ของทั้งสองคนสูงส่ง สายตาดียิ่งนัก ยามที่เพ่งมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ต่อให้ใบหน้าอีกฝ่ายมีขนอยู่กี่เส้นก็สามารถนับได้
ตี้ฝูอีที่ค่อนข้างเหม่อยลอยอยู่บ้างในที่สุดก็ได้สติกลับมา เงื้อเท้าถีบเข้าทีหนึ่ง “ไสหัวไป! คำว่าป่วยของข้ามิได้หมายความว่าแบบนั้น”
มู่เฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นความหมายของนายท่านคือ?”
คืนนี้ดูเหมือนตี้ฝูอีจะพูดคุยด้วยอารมณ์เล็กน้อย หรือบางทีเขาอาจสับสนเล็กน้อยจริงๆ “อันที่จริงข้าเองก็ไม่รู้ ยามที่ไม่ได้พบนางอยากจะพบเจอยิ่งนัก เมื่อได้พบในใจกลับทนไม่ได้ ความจริงท่าทางของนางในยามนี้นับว่าเป็นไปตามที่ข้าหวังไว้แล้ว ข้าควรดีใจถึงจะถูก แต่ข้ากลับเป็นทุกข์นัก…”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกำลังหาถ้อยคำที่เหมาะสมอยู่ “นางต้องการความแข็งแกร่ง ต้องการอย่างเร่งด่วน นางเติบโตรวดเร็วนัก อันที่จริงข้าสมควรจะรู้สึกปลาบปลื้ม แต่พอเห็นว่าข้าอยู่ข้างกายนางไม่ได้แล้ว และนางก็ใช้ชีวิตอย่างผาดโผนตามอำเภอใจถึงเพียงนี้ ข้าก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง…”
มู่เฟิงไม่กล้าสอดปากพูด
“ข้าควรออกห่างจากนาง แต่กลับควบคุมความปรารถนาจะใกล้ชิดนางเอาไว้ไม่อยู่…นางต้องคิดว่าข้าเป็นโรคประสาทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแน่ๆ” ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยกับตัวเอง
มู่เฟิงทำตัวไม่ถูก
เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง “นายท่าน เหตุใดต้องออกห่างจากนางเล่า? ในเมื่อชอบนางก็สมควรรั้งนางไว้ข้างกายนะขอรับ”
สายตาตี้ฝูอีหันเหไปหาเขา “ข้าควรรั้งนางไว้ข้างกายหรือ?”
มู่เฟิงพลันตอบกลับ “…แน่นอนขอรับ!”
บุรุษธรรมดาเมื่อพบเห็นสตรีที่ชมชอบยังคิดจะรั้งไว้ข้างกายเลย นับประสาอะไรกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่า?
ไม่ว่าเขาต้องการรั้งผู้ใดไว้ข้างกายก็ล้วนเป็นวาสนาที่อีกฝ่ายปรารถนาทว่าไม่อาจร้องขอได้เชียวนะ!
ตี้ฝูอีเงียบไปแล้ว…
“นายท่าน ท่านชอบนางจริงๆ ใช่ไหมขอรับ?”
“พูดเหลวไหล!”
“นายท่าน ที่ข้าน้อยไม่กระจ่างก็คือ เมื่อก่อนท่านไล่ตามนางอย่างมิลดราวาศอก ข้าน้อยคิดอยู่เสมอว่าท่านต้องหาทางแต่งนางเข้าบ้านเป็นแน่ ครองคู่โบยบิน ตอนนั้นนายท่านคิดอย่างไรกันแน่ขอรับ?”
คิดอย่างไรน่ะหรือ?
คิ้วตี้ฝูอีขมวดนิดๆ
เรื่องบางอย่างต่อให้เป็นลุกน้องที่จซื่อสัตย์ภักดีที่สุดก็ไม่อาจกล่าวด้วยได้
“มู่เฟิง นิยามของความรักคืออะไร?” ตี้ฝูอีมิได้ตอบคำถามของมู่เฟิง นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่จริงๆ “เป็นการได้ครอบครอง หรือว่าครองคู่ทุกชาติไป?”
มู่เฟิงน้ำตานอง น่าเสียดายที่เขาเติบใหญ่มาจนปานนี้ ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหล่านั้นเลย แล้วจะทราบนิยามที่แท้จริงของมันได้อย่างไรเล่า?
เพียงแต่ในเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามความคิดเห็นเขา เขาย่อมต้องกล่าวออกไปตามที่ตนเข้าเข้าใจ “นายท่าน เรื่องของความรัก อันที่จริงข้าน้อยรู้สึกว่าล้วนไม่ยั่งยืนทั้งสิ้น ต่อให้รักกันจะเป็นจะตาย พออยู่ด้วยกันหลายปีเข้าก็จะกลายเป็นคู่ชีวิตที่ขาดกันไม่ได้ ความรักเหล่านั้นจืดจางไปมากแล้ว ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน…”
————————————————————————————-
บทที่ 722 ศาลาใกล้สายชลมักได้ชมจันทร์ก่อน
เขาพูดๆ ไปก็รู้สึกว่าตนกล่าวได้สมเหตุสมผลยิ่งนัก “นายท่านคงจำกู้เวี่ยเทียนกับหลัววิงหลานได้กระมัง? เมื่อก่อนก็รักกันดื่มด่ำล้ำลึกมากมิใช่หรือ? เพื่อกู้เซี่ยเทียนหลัวซิงหลานสละแทบทุกสิ่ง และยามนั้นกู้เซี่ยเทียนก็พยามยามเพื่อนางสุดชีวิตเช่นกัน เกือบจะเพลี่ยงพล้ำในสนามรบแล้ว แต่เนื่องจากในใจยังห่วงหาอาวรณ์หลัวซิงหลานอยู่ ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นก็ยังคลานออกมาจากกองผู้สิ้นชีพได้ ทุกย่างที่คลานโชกด้วยโลหิต เขาคลานอยู่สามวันสามคืนท่ามกลางพายุหิมะ ก็เพราะใกล้ถึงวันกำหนดคลอดของภรรยาแล้ว เขาทราบว่านางไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีเขา…ยามนั้นความรักของพวกเขาทำให้คนซาบซึ้งมากมิใช่หรือขอรับ? แต่หลังจากนั้นก็ไม่แคล้ว…เป็นเช่นนั้นไป อันที่จริงความรักก็สามารถคงอยู่ได้สามปีห้าปี เมื่อเวลาผ่านไปบ้างก้เลิกรากัน บ้างก็แปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ชีวิตไร้รสชาติ”
“ข้าน้อยจำได้ว่ากวีบางบทในโลกก็กล่าวไว้เช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่นบังเอิญพบหยกกระจ่างเพียงครั้ง ดั่งมีชัยทุกทิวาวัน[1]…ข้าน้อยรู้สึกว่า ความรักสำคัญที่กระบวนการ มิใช่ผลลัพธ์ ขอเพียงเคยได้ครอง เคยงดงาม ต่อให้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่นึกเสียใจแล้ว…”
ตี้ฝูอีเงียบงัน คล้ายว่าถูกขอโต้แย้งที่หาได้ยากของเขาสะเทือนเข้า
ชีวิตนี้ของเขาเคยพบเห็นเรื่องราวความรักมานับไม่ถ้วน เป็นอย่างที่มู่เฟิงกล่าวจริงๆ ต่อให้แต่ก่อนเคยรักกันจะเป็นจะตาย ก็มีช่วงเวลาที่เหือดหายจืดจาง เมื่อความเร่าร้อนสูญสิ้นไป กลายเป็นคู่ชีวิตที่ขาดกันไม่ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว บางคนถึงขั้นกลายเป็นสัตรูคู่แค้น ปรารถณาจะให้อีกฝ่ายสิ้นชีพไปเสีย…
หาได้ยากนักที่ตี้ฝูอีสนทนาหัวข้อพื้นๆ เช่นนี้กับลูกน้อง ดังนั้นมู่เฟิงจึงรู้สึกตื้นตัน รู้สึกหลอนไปว่าตนเป็นคนรู้ใจของนายท่านแล้ว
“นายท่าน ชอบนางก็รั้งนางไว้เถิดขอรับ สร้างตำนานรักที่สะท้านสะเทือน!” มู่เฟิงปลุกใจตี้ฝูอี เขารู้สึกมาเสมอว่าหากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีความรัก ต่อให้มีชีวิตยืนยาวก็ไม่สมบูรณ์พร้อม…
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร เพียงแต่นวดหว่างคิ้วอยู่ตรงนั้น
“นายท่านขอรับ ข้าน้อยรู้สึกว่าท่าทีที่ท่านปฏิบัติต่อแม่นางกู้ในวันนี้อยู่ในสายตาผู้ที่ใส่ใจแล้ว นางอยู่ด้านนอกเพียงลำพังเกรงว่าจะมีอันตราย มิสู้ให้นางอยู่ข้างกายท่าน หากท่านต้องการให้นางแข็งแกร่งขึ้น มิสู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาบางอย่างให้นางด้วยตนเอง เนื้อหาที่ท่านสอนย่อมเหนือกว่าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาก!” ศาลาใกล้สายชลมักได้ชมจันทร์ก่อน มู่เฟิงเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี
ตี้ฝูอีหลุบตาลง อันที่จริงการที่คนผู้หนึ่งจะแข็งแกร่งได้ไม่ใช่เพียงกำลังรบเพียงอย่างเดียว มิเช่นนั้นในยุคสามก๊กลิโป้คงได้ครองใต้หล้านานไปแล้ว! และมิใช่ว่าตกตายในกำมือของโจโฉที่มีกำลังรบไม่สูงหรอกหรือ
บางสิ่งมิใช่อาศัยเพียงการถ่ายทอดไม่กี่ประโยคก็สามารถเรียนรู้ได้…
….
ณ ลำธารสายหนึ่ง ในดงต้นเฟิง
ใบเฟิงกึ่งเขียวกึ่งแดง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่ง
มีเสียงขลุ่ยแว่วขึ้นมาอย่างเอ้อระเหย เคล้าคลอกับเสียงน้ำไหล
กู้ซีจิ่วตามเสียงขลุ่ยมา มองจากที่ไกลๆ เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นเฟิง อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ตัวคนดั่งหยกงาม
เป็นหลงซือเย่นั่นเอง
กู้ซีจิ่วยิ้มเล็กน้อย รับฟังเงียบๆ อยู่ไม่ไกล
เสียงขลุ่ยหยุดลง เสียงลมพัดผ่านริมหู หลงซือเย่ยืนอยู่ข้างกายเอ “ลุกออกมาทำไม? ยังปวดแผลอยู่หรือเปล่า?”
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะ เธอสุขภาพแข็งแรง ฟื้นฟูได้รวดเร็ว ถึงแม้ยังไม่อาจโคจรพลังยุทธ์ได้ แต่สามารถลุกมาเดินเหินได้เล็กน้อยแล้ว เธอนอนอยู่ในห้องมากว่าหนึ่งวันจนรู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว
หลงซือเย่พยุงเธอไปนั่งบนโขดหินก้อนหนึ่ง เขาก้นั่งลงข้างกายเธอเช่นกัน แตะนิ้วบนข้อมือเธอ จับชีพจรให้เธอ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ปล่อยมือออก คลี่ยิ้มอย่างยินดี “ฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย กินอะไรหรือยัง?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่อยากกินอะไรเลย”
หลงซือเย่ส่ายหัวเล้กน้อย หยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมาจากร่าง เมื่อเปิดห่อกระดาษออกด้านในก็คือของว่างร้อนกรุ่นๆ “เอ้า นี่คือขนมถั่วกวนที่เธอชอบกินที่สุด”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น “คุณทำเองเหรอ?”
หลงซือเย่กระแอมคราหนึ่ง “ใช่ ใช่แล้ว ลองชิมสิว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง?”
————————————————————————————-
[1] เป็นบทกลอนที่ประพันธ์โดยฉินกวน นักกวีในยุคราชวงศ์ซ่ง อ้างอิงจากตำนานความรักหนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้าที่ได้พบกันเพียงช่วงสั้นๆ ทว่ามีความรักล้ำลึกไม่เสื่อมคลาย
บทที่ 723 ริ้วทรายลอดหว่างนิ้ว
กู้ซีจิ่วกัดคำหนึ่ง ดูเหมือนจะหวานนิดหน่อย และเลี่ยนเล็กน้อย…
แต่เมื่อเธอเห็นสายตาที่ประหม่าเล็กน้อยของหลงซือเย่ เธอก็ค่อยๆ กินมันเข้าไป “อร่อยมาก ฝีมือไม่เลวเลย”
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ชอบกินก็ดีแล้ว ต่อไปฉันจะทำให้เธออีก”
ทั้งสองคนนั่งคุยเล่นกันอยู่หลายประโยค กู้ซีจิ่วก็เอ่ยขอ “ครูฝึกหลง คุณเป่าขลุ่ยให้ฉันฟังอีกเพลงสิ ฉันชอบฟัง” เมื่อก่อนเธอก็ชอบมองเขาเป่าขลุ่ย
เขาหน้าตาดี รูปร่างดี บุคลิกดี ยามที่ยืนเป่าขลุ่ยอยู่ใต้ต้นไม้ให้ความรู้สึกงดงามดั่งภาพน้ำหมึกที่ค่อยๆ กลางออกเบื้องหน้า
หลงซือเย่ย่อมไม่ปฏิเสธเธอ เป่าขลุ่ยไม้ไผ่อีกครั้ง เพลงที่เขาเป่าคือ ‘ท่องซูโจว’ หนึ่งในสิบเพลงขลุ่ยอันโด่งดัง ได้บรรยากาศของเจียงหนานยิ่งนัก ยามที่เสียงขลุ่ยดังขึ้น ดั่งล่องอยู่ในขุนเขาสายธารอันคดเคี้ยวของเจียงหนาน ทำให้จิตใจคนสงบสุขผ่อนคลาย
กู้ซีจิ่วพริ้มตาลงน้อยๆ เอนกายพิงต้นเฟิงด้านหลัง คนทั้งสองคนหนึ่งใช้ใจบรรเลง คนหนึ่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
แสนสงบและเป็นสุข
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เธอต้องการ
เมื่อรู้ว่าถูกก็ควรลงมือทำ อย่าให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง เป็นสิ่งที่กู้ซีจิ่วยึดถือมาตลอด
อันที่จริงในตอนนี้เธอก็ยังไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดของหลงซือเย่เต็มร้อย ถึงอย่างไรหยกนภาก็หยกนภาก็กล่าวว่าเธอเกิดจากการโคลนนิ่ง แต่เมื่ออยู่ที่นี่หลงซือเย่กลับบอกว่าไม่ใช่ เป็นมนุษย์โคลนนิ่งเพียงในนามเท่านั้น ความจริงแล้วเป็นมนุษย์ปกติ…
เธอเคยถามหยกนภาแล้ว หยกนภาทึ่มทื่อยิ่งนัก มันบอกว่าข้อมูลที่มันได้รับเป็นเช่นนี้ แถมข้อมูลนี้ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ด้วย เพราะถึงอย่างไรมันก็เพิ่งมารู้จักเธอที่โลกนี้…
ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องลึกลับที่ถูกกำหนดให้ยากจะคลี่คลาย
เธอหยิบหยกประดับทรงใบเฟิงชิ้นนั้นมาถือเล่น มีขนาดเล็กมากจริงๆ กำไว้ในมือแล้วอบอุ่น เรียบลื่น สัมผัสไม่เลว
หยกประดับชิ้นนี้หลงซือเย่มอบให้เธอในเทศกาลความรักคืนนั้น กล่าวว่าคืนสินทรัพย์ให้เจ้าของเดิม
เพลงขลุ่ยจบลงแล้ว ถึงอย่างไรยามนี้ร่างกายเธอก็อ่อนแอ พิงอยู่ตรงนั้นค่อนข้างง่วงงุนอยู่บ้าง เดิมทีพิงต้นไม้อยู่ ทว่าไม่รู้ว่าเปลี่ยนมาพิงไหล่ของหลงซือเย่ตั้งแต่ยามไหน
หลงซือเย่ก้มถามเธอ “อยากฟังอะไรอีกไหม?”
สติกู้ซีจิ่วกลับเข้าร่าง ดวงหน้าพริ้มเพราซับสีแดงจางๆ น่าอายนัก เธอฟังจนเคลิ้มหลับไปเสียได้
“เอาเพลงการพบพานอันสุขสันต์แล้วกัน” กู้ซีจิ่วสั่งอีกเพลง ตอนนี้เธออยากฟังเพลงนั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายศีรษะ เพลงนั้นคือเพลงพื้นบ้าน เพียงแต่เพลงนี้ก็เหมาะกับสถานการณ์ของพวกเขาในยามนี้ดี การพบพานอันสุขสันต์ของคู่รัก…
ท่วงทำนองเพลงนี้มิใช่สิ่งที่เขาสันทัด เขาค่อนข้างชอบทำนองที่ลุ่มลึกยืดยาว สงบร่มเย็นดั่งขุนเขาในฤดูใบไม้ผลิ…
เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ทบทวนท่วงทำนองและโน้ตเพลง แล้วยิ้มออกมา “ฉันจะลองดู ฉันจำเพลงนั้นไม่ได้แล้ว”
เขาเป่าไปได้ครึ่งเพลงก็นึกท่อนหลังไม่ออกแล้ว จึงกล่าวขอโทษ “นึกไม่ออกแล้วจริงๆ มิสู้พวกเราเปลี่ยนเป็นเพลงอื่น?”
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญครู่หนึ่ง “ท่านเคยได้ยินเพลงริ้วทรายลอดหว่างนิ้วของวงตำนานพญาหงส์ไหม? ฉันค่อนข้างชอบเพลงนั้น”
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เพลงนี้ได้!”
“ดีเลย คุณเป่าเดี๋ยวฉันร้อง” กู้ซีจิ่วรู้สึกสนใจขึ้นมา
หลงซือเย่ยังไม่ค่อยวางใจนัก “ดูเหมือนบาดแผลเธอยังไม่เหมาะจะร้องเพลง…”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันร้องเบาๆ ก็ได้”
ในที่สุดหลงซือเย่ก็พยักหน้ารับ แล้วเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ กู้ซีจิ่วอ้าปากขับขานบทเพลง
ปีนั้นใต้จันทรา ณ เจียงหนานเจ้าบรรเลงผีผาเร่งรัดข้าขึ้นอาชา
ภายในใจเจ้าร่ำร้องต้องการรั้งทว่าไม่อยากเพรียกหาให้ข้าอาวรณ์
เจ้าบอกกล่าววาสนาดั่งริ้วทรายลอดหว่างนิ้วมิอาจยึดไว้จำต้องปล่อยไป
ปล่อยให้สายลมกวาดพัดมันไปโดยใช้ทั้งชีวิตเจ้าดิ้นรนเป็นเดิมพัน…
….
เสียงเพลงกังวานหวานแว่ว คลอเคล้าด้วยเสียงขลุ่ยแว่วลอยไป
ริ้วทรายลอดหว่างนิ้วปลิวผ่านหน้าเฒ่าโรยราเส้นเกศาพลันขาวโพลน
————————————————————————————-
บทที่ 724 แสนริษยาคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่…
คะนึงหาภาพทิวทัศน์อันงดงามเป็นเอกในโลกหล้า
เฝ้าคอยนับพันปีเพื่อรอคำว่าเจ้ารักข้า
อย่ากล่าวว่าพวกเราพลาดช่วงวัยที่งดงามที่สุดไป
เสียงพิณแว่วสายธารไหลอีกครา
แสนริษยาคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1]…
เสียงขลุ่ยเงียบลงแล้ว ถึงแม้เสียงร้องจะแหบพร่าไปเล็กน้อย ทว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัว
เมื่อบทเพลงขับขานจบ นัยน์ตาหลงซือเย่พลันส่องประกายนิดๆ ยื่นมือไปกุมมือเธอไว้ “ซีจิ่ว ฉันตามหาเธอมาตลอด ไม่ใช่คำโกหก พวกเราจะไม่พลาดช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิต…”
กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ในที่สุดก็เอียงหัวซบไหล่เขา “ตาทึ่ม!”
ถึงแม้ความรักของเธอกับเขาจะเรียกว่าเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ไม่ได้ แต่ก็สั่งสมมายาวนาน
ต่อให้ไม่อาจจัดพิธีสมรสได้ แต่เธอขอแค่ได้อยู่กับเขาก็พอแล้ว เหตุใดต้องใส่ใจพิธีการหยุมหยิมพวกนั้นด้วยเล่า?
เธอหลับตาลง ในหูคล้ายได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ‘เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าหลงรักข้าแล้ว…’
หัวใจคล้ายถูกอะไรทิ่มแทงเข้าทันที!
ยามนั้นท่าทางของเธอสงบนิ่งมาก แต่หัวใจกลับเต้นถี่รัวขึ้นมาสองสามที
แน่นว่าแค่สองสามทีเท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าเขาไม่ได้จริงจัง
ต่อให้เขาจริงจังแล้วอย่างไรเล่า? เธอไม่อยากเป็นทั้งไฝสีชาดและแสงจันทร์ขาวของเขา…
แม่น้ำลั่วสามพันลี้ เธอหมายดับกระหายเพียงหนึ่งจอก[2]
ตอนนี้เธอหาจอกนั้นของตนพบแล้ว ส่วนจอกอื่น ก็โยนทิ้งไปซะ…
….
บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ไม่ไกลจากตรงนี้ ตี้ฝูอีกำลังนั่งอยู่บนต้นเฟิงแดงต้นหนึ่ง หลุบตามองคู่รักคู่หนึ่งที่อิงแอบคลอเคลียกันอยู่ไม่ไกล ฟังเสียงเพลงของนาง
เสียงร้องของนางไม่เลวเลย แต่ในสายตาตี้ฝูอีผู้ถวิลหาความสมบูรณ์แบบยังมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง
จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่นางร้องเพลงให้เขาฟัง เขาวิเคราะห์จุดบกพร่องของนางเสียมากมาย กรอกยานางไปไม่น้อย…
ยามนี้ถึงอย่างไรนางก็บาดเจ็บอยู่ เส้นเสียงนางยิ่งแย่กว่าเดิม แหบพร่าเล็กน้อย หอบหายใจนิดหน่อย บางคำก็ออกเสียงไม่ชัดเจน…
เขาวิเคราะห์ข้อบกพร่องของนางได้มากกว่าเดิม แต่ว่านางไม่ได้ร้องให้เขาฟัง นางร้องให้หลงซือเย่ฟัง
นางชอบหลงซือเย่มาโดยตลอด ชาติก่อนชมชอบ ชาตินี้ก็ลืมไม่ลง ตอนนี้ในที่สุดนางก็สมปรารถนาแล้วกระมัง? ใช่ไหม? ใช่หรือเปล่า?
ไม่ทราบว่าหลงซือเย่หยิบกาสุราน้อยใบหนึ่งออกมาจากที่ใด มือซ้ายถือจอก มือขวาถือกา ดื่มจอกแล้วจอกเล่า
ลมพัดชายชุดเขาเลิกขึ้น พัดเส้นผมดำขลับให้ปลิวไสว บางเส้นปรกดวงตาของเขา เขาจึงปัดออก
เขารู้ว่าเขาควรลงไปแยกพวกเขาออกจากกัน ควรซักถามหลงซือเย่ที่ไม่รักษาคำพูด…
แต่เขากลับไม่อยากลงไป เขาไม่อยากให้นางเกลียดเขาอีก…
ระยะนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก้ดูเหมือนจะเรียกความชิงชังจากนางได้ทั้งสิ้น…
ชั่วชีวิตนี้เขาก่อเรื่องให้คนชิงชังไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชังเขาอยู่ลับหลัง ผู้ที่ลอบคิดร้ายกับเขาก็มีอยุ่นับไม่ถ้วน เขาล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ
ทั้งโลกหันหลังให้ข้าแล้วอย่างไร?
ฐานะของเขาอยู่ในจุดนั้น ขอเพียงบรรลุเป้าหมายสูงสุด เขาย่อมไม่เกี่ยงว่าต้องใช้วิธีใด และไม่เกรงกลัวคนนับหมื่นนับพันชี้หน้าด่ากราด…
ดังนั้นเขากระทำการโดยไม่เคยมองสีหน้าผู้ใด ขอเพียงเป็นเรื่องที่สมควรทำ เขาก็จะทำทันที ไม่เคยลังเล
แต่ตอนนี้เขาทราบชัดเจนว่าควรทำอย่างไร แต่กลับลังเล ใจไม่แข็งพอ…
ในที่สุดสองคนนั้นก็ลุกขึ้นและจากไป จับจูงกันเดินไป
แผ่นหลังงดงามทว่าบาดตา ค่อยๆ หายลับไปในที่ไกลๆ
ตี้ฝูอีไม่ได้ลุกขึ้นมา เพียงรินสุราให้ตนอีกจอก ไม่ทันระวังสำลักสุราเข้า ไอออกมา
ผ่านไปสักครู่ เมื่อหยุดไอ ก็รู้สึกได้ว่าในปากมีกลิ่นคาวเลือดอยู่บ้าง จึงยกมือเช็ด ผ้าเช็ดหน้าสีขาวแต้มสีแดงสดบาดตาหย่อมหนึ่ง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดจะทำลายผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้ง แต่พอโคจรพลังยุทธ์ก็รู้สึกว่าชีพจรทั้งร่างแทบจะร้าวราน…
————————————————————————————-
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง ชายหญิงที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตมาก็กลายเป็นคู่รักกัน
[2] แม่น้ำลั่ววสามพันลี้ หมายดับกระหายเพียงหนึ่งจอก มาจากวรรคหนึ่งของบทประพันธ์เรื่องความฝันในหอแดง ความหมายคือ คนบนโลกมีอยู่มากมาย แต่ดวงใจจะรักคนได้เพียงคนเดียว
บทที่ 725 วันสำคัญของนาง เขาไม่อยากพลาด
“นายท่าน!” มู่เฟิงโผล่มาในทันใด
ตี้ฝูอีเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในแขนเสื้อ “มีเรื่องใด?”
“นายท่าน มู่อวิ๋นส่งข่าวมาขอรับ บอกว่าตำบลเล็กๆ ของอาณาจักรเฟยซิงที่ถูกสังหารล้างบางยังคงไม่พบตัวมือสังหารเช่นเดิม แถมเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่จักรพรรดิซวนส่งไปก็ไปแล้วไม่หวนกลับ ไปได้ไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จักรพรรดิซวนพิโรธนัก วันนี้จึงส่งแม่ทัพกู้ไปขอรับ”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ “มู่อวิ๋นมิได้ไปตรวจสอบด้วยตัวเองหรือ?”
“เรียนนายท่าน เมื่อวานมู่อวิ๋นก็ไปแล้วขอรับ แต่เขาไม่พบอะไรที่ตำบลนั้นเลย ตำบลนั้นกลายเป็นตำบลร้างไปแล้ว แม้แต่ศพสักร่างเขาก็หาไม่พบขอรับ อีกทั้งไม่พบร่องรอยการต่อสู้อันใดด้วย หากคนเหล่านั้นถูกสังหารล้างบางจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลยสักนิด ถึงอย่างไรชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในตำบลนั้นก็ล้วนเป็นนายพรานที่ห้าวหาญ มีประชากรสามถึงสี่พันคนเชียวนะขอรับ…”
ตี้ฝูอีดื่มสุราคำหนึ่ง ไม่พูดอะไร
“นายท่าน บางทีกลยุทธ์ของอีกฝ่ายอาจมิการล่อเสือออกจากถ้ำ แต่เป็น…แต่เป็นการใช้ชีวิตนายพรานเหล่านั้นฝึกฝนวิชาชั่วช้าบางอย่าง…” มู่เฟิงคาดเดา
“ที่นั่นมีไอชั่วร้ายปกคลุมฟ้าหรือไม่?”
มู่เฟิงส่ายศีรษะ “ที่แปลกอยู่ตรงนี้ขอรับ ที่นั่นไม่มีไอชั่วร้ายใดๆ เลย แม้กระทั่งไอพยาบาทของคนตายก็ไม่มีเลยขอรับ ตำบลนั้นดูเงียบสงบติยิ่งนัก เงาร่างคนสักผู้หนึ่งก็หามีไม่ นายท่าน เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นยังไม่ตาย? แต่ถูขังไว้ที่ไหนสักแห่ง?”
ตี้ฝูอีหลุบตาอยู่ครู่หนึ่ง “ให้มู่อวิ๋นไปตรวจสอบอีกครั้ง ให้ตรวจสอบห้วยบ่อคูคลอง ทุกแห่งที่มีน้ำล้วนต้องตรวจสอบทั้งสิ้น! และให้จับตามองความเคลื่อนไหวของกู้เซี่ยเทียนและหรงเช่อไปด้วย”
มู่เฟิงพยักหน้า “ขอรับ!”
หมุนกายจะจากไป แต่พอเห็นกาสุราใบน้อยในมือตี้ฝูอีฝีเท้าเขาก็หยุดลงอีกครา “นายท่าน ร่างกายท่านบาดเจ็บอยู่ ยังไม่เหมาะจะดื่มสุรานะขอรับ”
พักนี้นายท่านสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง ดูเหมือนทุกครั้งที่นายท่านเข้าสู่หอดูดาวจะต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมหาศาลทุกครา ในอดีตเมื่อนายท่านออกมาจากหอดูดาวล้วนต้องปิดด่านกักหนึ่งเดือนครึ่งเดือนอยู่ร่ำไป ทว่าครั้งนี้กลับตรงมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทันที…
ซ้ำยังฝืนโคจรพลังยุทธ์เพื่อช่วยถอนกระบี่ให้แม่นางกู้อีก…
การกำจัดกระบี่ต้องสาปเล่มนั้นเดิมทีก็ต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาลอยู่แล้ว
หากว่านายท่านปกติดี เช่นนั้นย่อมไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรง แต่เกรงว่ายามนั้นพลังวิญญาณบนร่างเขาคงไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวแล้ว ขจัดกระบี่เล่มนั้นย่อมเหนือบ่ากว่าแรง
ถึงแม้ภายหลังจะถอนออกมาได้ แต่นายท่านก็บาดเจ็บภายในอย่างสาหัสยิ่ง หากพักฟื้นดีๆ ก็สามารถฟื้นฟูได้ภายในหนึ่งเดือน แต่เขากลับไม่ยอมกักตน ซ้ำยังดื่มสุราอยู่ที่นี่…
มู่เฟิงพยายามข่มกลั้นแล้ว สุดท้ายก็ข่มกลั้นไว้ไม่อยู่ “นายท่าน ข้าน้อยคิดว่าท่านควรปิดด่านกักตนสักครึ่งเดือนนะขอรับ…”
“อืดอาดยืดยาดอยู่ได้ รีบไปซะ!” ตี้ฝูอีเหลืออดแล้ว
มู่เฟิงทำได้เพียงจากไป
ตี้ฝูอีเชิดหน้าดื่มสุราอีกครา พรุ่งนี้คือพิธีบรรลุนิติภาวะของนาง เป็นวันสำคัญของนาง เขาไม่อยากพลาด…
….
ตาน้ำเก้าสายไหลมารวมกันเป็นธารน้ำตก สายน้ำดั่งหยาดมุก ไหลเทลงสู่สระน้ำลึกเบื้องล่าง
รอบด้านอุดมด้วยบุปผาแมกไม้ ใบเฟิงแดงสะพรั่ง ทิวทัศน์สงบเงียบงดงาม
ตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างมิดชิด ผู้อื่นบุกเข้าไม่ได้ง่ายๆ
สถานที่แห่งนี้คือเขตหวงห้าม มีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์และทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่สามารถเข้ามาได้
ปกติแล้วคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงไม่มีเงาร่างผู้ใดตลอดปี พืชพรรณไม้ที่เติบโตงดงาม ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติดั้งเดิม
ตี้ฝูอีแช่อยู่ในสระลึก
เขารักสะอาด เมื่อก่อนใช้คาถาทำความสะอาดสักบทก็เรียบร้อยแล้ว ยามนี้เนื่องจากใช้คาถาทำความสะอาดไม่ได้ชั่วคราว เขาเลยเลือกที่จะแช่น้ำในสระ
น้ำในสระไสกระจ่าง เย็นเฉียบ
เขาหลับตาลงเล็กน้อยขณะที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในสระ สระแห่งนี้ไม่เพียงแต่ชำระสิ่งสงปรกบนร่างได้เท่านั้น ยังปรับปรุงฟื้นฟูเลือดลมที่พลุ่งพล่านปั่นป่วนของเขาสงบลงได้อีกด้วย มีสรรพคุณฟื้นฟูพลังวิญญาณ
————————————————————————————-
บทที่ 726 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย บังเอิญเหลือเกิน
ในอดีตทุกครั้งที่เขาลงแช่ในสระนี้ล้วนสามารถสงบใจลงอย่างรวดเร็ว ทว่าหนนี้จิตใจเขากลับว้าวุ่นอย่างหนัก เลือดลมในร่างปั่นป่วนมานานแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นฟูเลย
จันทร์เสี่ยวลอยเหนือศีรษะ เรียวโค้งดั่งภาพวาด
ตอนนี้นางทำอะไรอยู่นะ? คงมิใช่อยู่กับหลงซือเย่อีกกระมัง?
บาดแผลนั้นของนางต้องพักฟื้นอีกหนึ่งวัน ยามสายวันนี้นางวิ่งออกไปหาหลงซือเย่ คนทั้งสองนั่งเป่าขลุ่ยร้องเพลงใต้ต้นไม้ ด้วยสุขภาพของนางในยามนี้ น่าจะเหนื่อยล้าแล้ว ตอนนี้คงจะพักผ่อนอยู่ในเรือน
ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นน่าจะยังไม่ค้นพบฐานะที่แท้จริงของกู้ซีจิ่ว คงไม่ขบคิดเรื่องนางมากเกินไป ตอนนี้นางน่าจะปลอดภัยอยู่
เกรงว่าสายของผู้ที่อยู่เบื้องร่างของจับจ้องไปที่อวิ๋นชิงหลัวผู้เป็นสานุศิษย์สวรรค์…
ถ้าไม่มั่นใจเต็มที่ผู้บงการคนนั้นน่าจะไม่ลงมือง่ายๆ
เขาพริ้มตาลงเล้กน้อย เมื่อก่อนเขาแค่รู้สึกว่าชีวิตที่เป็นนิรันดร์นี้ยาวนานเหลือเกิน ตอนนี้จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าช่างแสนสั้น…
เมื่อคิดมากเกินไป ลมปราณก็แตกซ่าน ทำให้เขาไอติดๆ กันขึ้นมาอีกครา
ไม่ง่ายเลยว่าจะหยุดยั้งอาการไอได้ เขาลอยอยู่บนผิวน้ำ หลับตาครุ่นคิด ดูเหมือนอยู่ที่นี่เขาก็สงบใจไม่ได้เช่นกัน มิสู้กลับไปดูนางที่เรือนสักแวบแล้วค่อยไปเข้าฌานต่อ?
เขาเข้าฌานอีกหนึ่งคืนก็น่าจะฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง พรุ่งนี้ไปเป็นประธานในพิธีปักปิ่นของนางน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ทันใดนั้นคล้ายว่าเขาจับสัมผัสบางอย่างได้ เงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
ไม่ไกลออกไปกู้ซีจิ่วเดินเคียงคู่มากับหลงซือเย่ ไม่ทราบว่าหลงซือเย่กระซิบอะไรกับเธอ ทำให้เธอยิ้มหวานออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
วงหน้าแฉล้มของเธอยังคงซีดเซียวอยู่บ้าง ยามที่เดินเหินฝีเท้าก็ค่อนข้างหนักอึ้งเล็กน้อย แต่ภายใต้แสงจันทรา ริมฝีปากน้อยๆ ของนางหยักเป็นรอยยิ้ม ยกโค้งดั่งจันทร์เสี้ยวบนท้องนภา
หลงซือเย่ผสานมือกับเธอ ค่อยๆ เดินไปด้วยกัน
“ซีจิ่ว ชาติก่อนมีเวลามาเดินเล่นด้วยกันแบบนี้ไม่มากนัก ช่วงเวลานี้หาได้ยากนัก ฉันมีความสุขมาก เธอล่ะ?”
“มีความสุขเหมือนกัน” กู้ซีจิ่วยิ้มสบายๆ ทว่าหว่างคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย
“เป็นอะไร? เจ็บแผลเหรอ?” หลงซือเย่จับชีพจรเธออีกครั้ง คิดจะตรวจชีพจรให้เธอ
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บแผลแล้ว” เธอแค่อ่อนล้านิดหน่อย
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “โชคดีที่สุขภาพเธอแข็งแรง”
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ “เพราะยาของคุณดี ลูกกลอนสมานแผลระดับเจ็ดของคุณไม่เลวเลยจริงๆ ฉันกินเข้าไปเม็ดเดียว บาดแผลก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าบาดแผลทั้งหมดภายในร่างใกล้จะหายดีแล้ว เหลือแค่ภายนอกเท่านั้น”
หลงซือเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ลูกกลอนสมานแผลระดับเจ็ดเหรอ?”
“ใช่แล้ว นั่นเป็นยาที่คุณให้จิ้งจอกน้อยเอามาให้ใช่ไหม?”
หลงซือเย่นิ่งไปชั่วอึดใจ “ข้าไม่ได้…” ขณะที่เขากำลังจะอธิบาย จู่ๆ ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ จึงเงยหน้ามองไปทางด้านซ้าย
กู้ซีจิ่วสัมผัสได้ว่าร่างกายเขาแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นโดยความประหลาดใจ จากนั้นฝีเท้าก็ชะงักลง
น้ำตกไหลเทลงสู่สระลึกเกิดน้ำสาดกระเซ็น และใจกลางสระน้ำ มีบุราผู้หนึ่งลอยอยู่
เรือนผมยาวดั่งม่านไหม แผ่สยายอยู่ในสระน้ำ อาภรณ์แดงดั่งกลีบบัว ล่องลอยอยู่รอบกายเขา แสงจันทร์เย็นกระจ่าง ส่องสะท้อนหน้ากากเขาจนเปล่งแสงสลัวๆ แสงนั้นบดบังแววตาเขา ทำให้คนมองอารมณ์ของเขาไม่ออก
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…ตี้ฝูอี
กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าจะบังเอิญพบเขาที่นี่ สายตาสองคู่ประสานกัน เธอมองไม่เห็นแววตาของเขา ทว่าหัวใจกลับเต้นรัวตามสัญชาตญาณ แต่ก็สงบลงทันที ยิ้มน้อยๆ แล้วทักทายเขา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย บังเอิญเหลือเกิน”
หลงซือเย่ขมวดคิ้วนิดๆ จนแทบมองไม่เห็น ยามนี้เขาไม่อยากพบเจอคนนอก แน่นอนว่ายิ่งไม่อยากพบเจอตี้ฝูอีด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น