ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 720-729
ตอนที่ 720 ซากโบราณเผ่าทราย
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอมองเข้าไปในส่วนลึก หลิ่วหมิงกลับค้นพบว่ายิ่งเข้าไปสู่ใจกลางของซากโบราณ ก็จะมีสิ่งก่อสร้างที่ได้รับความเสียหายน้อยลง
และในส่วนลึกสุดของซากโบราณนี้ สามารถมองเห็นตำหนักโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่แห่งหนึ่ง
แต่ว่าภายในตำหนักไม่ได้หรูหราเหมือนกับชั้นนอก วัสดุที่ใช้ก็ดูธรรมดามาก
“พี่หลิ่ว พวกเราไปกันเถอะ!” ซาฉู่เอ๋อร์คงเคยมาที่นี่มาก่อน สีหน้าของนางดูสงบเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงได้ยินก็สงบสติอารมณ์แล้วเดินตามไปทันที
“เดี๋ยวก่อน!”
เพิ่งจะเข้าไปยังขอบรอบๆ ซากโบราณไปไม่กี่ก้าว สีหน้าซาฉู่เอ๋อร์ก็พลันเปลี่ยนไปทันที นางคว้าหลิ่วหมิงไว้ จากนั้นทั้งสองก็หลบไปอยู่ด้านหลังกำแพงท่อนหนึ่งที่พลังทลายลงมา
หลิ่งหมิงกำลังจะอ้าปากถาม แต่พอเหลือบตามองก็ต้องรีบหุบปากทันที
จะเห็นว่าห่างจากตรงหน้าทั้งสองไปร้อยกว่าจั้ง มีเสียงฝีเท้าก๊อกแก๊กดังเข้ามา จากนั้นหุ่นนักรบตัวหนึ่งที่สูงเท่าคนหนึ่งคนก็ค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังกำแพง
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป จะเห็นว่าหุ่นตัวนี้สวมเกราะสีทอง มีหมวกเกราะสวมอยู่บนศีรษะ ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีแดงราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่
หัวของมันค่อยๆ มองดูรอบด้านอย่างช้าๆ จากนั้นก็หายไปในบ้านทรุดโทรมหลังหนึ่ง
“นี่คือหุ่นที่อยู่รอบนอก ไม่ต้องกังวลไป รัศมีระมัดระวังภัยของมันอยู่ภายในระยะสามสี่จั้งเท่านั้น ไม่อาจค้นพบพวกเราได้” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์เห็นหุ่นอย่างชัดเจนแล้ว ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกล่าวออกมาเบาๆ
รอจนหุ่นนักรบเดินออกไปไกล ทั้งสองถึงเดินไปยังส่วนลึกของใจกลางซากโบราณต่อ
“ในซากโบราณมีหุ่นแตกต่างกันราวๆ สิบชนิด นอกจากหุ่นที่พวกเราเพิ่งค้นพบในเมื่อครู่แล้ว ยังมีหุ่นอสูรอยู่จำนวนหนึ่ง โดยพื้นฐานจะเดินไปตามจุดต่างๆ ในซากโบราณ พอพวกมันเจอผู้บุกรุก ก็จะโจมตีอย่างไม่ลังเล แต่ก่อนที่คนของเผ่าข้ามาที่นี่นั้น ก็เจอกับอุปสรรคไม่น้อย” ซาฉู่เอ๋อร์เดินอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็พูดอธิบายเบาๆ
หลิ่งหมิงพยักหน้า เรื่องราวเหล่านี้เมื่อวานท่านผู้เฒ่าก็ได้กล่าวถึงอยู่
“นิสัยของหุ่นในสถานที่แห่งนี้ ล้วนมีการโจมตีที่ไม่เหมือนกัน แต่ในเมื่อมันเป็นหุ่นก็ย่อมมีจุดอ่อนอยู่บนตัว…” ซาฉู่เอ๋อร์แนะนำสถานการณ์ของหุ่นในสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด หลิ่วหมิงเองก็ฟังแล้วจดจำไว้ในใจ
ระหว่างที่พูด ทั้งสองก็หันกลับไปที่มุมๆ หนึ่ง
“เอ๊ะ?” หลิ่วหมิงหยุดฝีเท้าลงในฉับพลัน และเดินไปหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา
ของสิ่งนี้คือแขนสีดำท่อนหนึ่ง มันยาวหนึ่งจั้งกว่า มีฝุ่นสีดำปกคลุมอยู่ไม่น้อย ตอนที่ถืออยู่ในมือก็รับรู้ได้ถึงความเย็นของมัน
“นี่คงเป็นแขนของหุ่นมนุษย์วานร เดิมทีภายนอกสิ่งก่อสร้างก็มีเศษชิ้นส่วนของหุ่นหลากหลายชนิด ไม่มีอะไรน่าแปลกใจแต่อย่างใด” ซาฉู่เอ๋อร์มองดูแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงยักไหล่แล้วโยนออกไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “หวึ่งๆ!” ห่างจากทั้งสองไปไม่ไกล
พอหลิ่วหมิงมองไปยังที่มาของเสียง จะเห็นว่าหุ่นวิหคสีดำแปลกประหลาดบนอากาศ กำลังพุ่งมาทางทั้งสองอย่างรวดเร็ว
วิหคประหลาดตัวนี้มีสีดำทั้งตัว ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีแดง มีปีกคล้ายค้างคาว แผ่ออกมาได้ยาวสามถึงสี่จั้ง และที่น่าสะดุดตาที่สุดก็คือ ปากอันแหลมคมที่ยาวหนึ่งหมี่กว่าๆ ขอบเปลือกปากมีลักษณะคล้ายกับฟันเลื่อย ทั้งยังมีหนามแหลมๆ จำนวนไม่น้อย แลดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นแค่หุ่น แต่มันดูราวกับมีชีวิต ซึ่งไม่แตกต่างจากอสูรวิหคโดยทั่วไปเลย
“แย่แล้ว! มัวแต่พะวงหุ่นบนพื้นดิน ลืมไปว่ายังมีวิหคหินดำชนิดนี้ด้วย!” พอซาฉู่เอ๋อร์เห็นวิหคประหลาดตัวนี้ กลับหลุดปากส่งเสียงออกมา พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทรายสีดำก็หมุนตัวติ้วๆ รวมตัวกันบนมือข้างหนึ่ง และกลายเป็นดาบทรายสีดำหนึ่งเล่ม
“อ้อ! หุ่นชนิดนี้ร้ายกาจมากหรือ?” หลิ่วหมิงไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปมากนัก ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่ได้มีแนวคิดใดๆ เกี่ยวกับวิหคหินดำเลย
ซาฉู่เอ๋อร์กำลังจะตอบกลับ แต่วิหคประหลาดสีดำได้พุ่งมาถึงตรงหน้าของทั้งสองแล้ว
นางทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง ขณะที่กำลังกระตุ้นดาบทรายสีดำในมือให้ออกไปรับมือนั้น หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างกลับอ้าปากปล่อยกระบี่เล็กสีทองพุ่งยิงออกไปก่อนแล้ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งม้วนตัวผ่านวิหคประหลาดไป
“ฉับ!”
หุ่นวิหคยักษ์กลายเป็นสองชิ้นและพุ่งผ่านด้านข้างของทั้งสองไป มันร่วงลงพื้นอย่างรุนแรง และไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก
และแกนหลักสีขาวในร่างของหุ่นตัวนี้ ก็แตกกระจายเป็นผุยผงในตอนที่แสงกระบี่ม้วนตัวผ่านไป
“ท่านผ่าหุ่นวิหคหินดำเช่นนี้หรือ?” ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับรู้สึกตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ดาบทรายในมือก็สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมล่ะ! มีอะไรน่าแปลกใจหรือ?” หลิ่วหมิงยกมือเรียกกระบี่บินกลับมา และถามกลับไปหนึ่งประโยค
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ไม่ได้รีบตอบกลับในทันที แต่กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากเม็ดทรายตัวเกาะตัวในมือแล้ว มันก็กลายเป็นดาบทรายอีกครั้ง และแสงสีดำก็เปล่งประกายไปฟันร่างครึ่งส่วนของวิหคประหลาด
“เพล้ง!”
มีรอยสีทองดำหนึ่งชุ่นกว่าๆ ปรากฏอยู่บนตัวหุ่นวิหค และมันก็ไม่ได้ถูกฟันจนขาด
“หุ่นวิหคหินดำชนิดนี้ สร้างขึ้นจากทรายทองดำที่มีเฉพาะในส่วนลึกของแดนศักดิ์สิทธิ์ ร่างของมันแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พูดถึงระดับความอันตรายแล้ว อยู่ในสามอันดับแรกของหุ่นที่อยู่รอบนอก ดาบทรายของเผ่าทรายเรายังสามารถฟันหมาไนทรายได้ แต่กลับไม่มีผลอะไรกับมันเลยแม้แต่น้อย จึงมองว่ามันร้ายกาจมาก” ซาฉู่เอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งคู่ที่มองดูหลิ่วหมิงก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
ศึกเมื่อวาน หลิ่วหมิงคนเดียวก็สามารถสังหารอสูรทรายยักษ์ได้แล้ว แม้ว่านางจะรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่เพราะไม่ได้เห็นใกล้ๆ กับตา จึงมีเพียงความรู้สึกคลุมเครือเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงเท่านั้น
ตอนนี้กลับเห็นว่าหลิ่วหมิงสามารถสังหารหุ่นวิหคหินดำได้ภายในอึดใจเดียว นางย่อมรู้ว่าพลังของหลิ่วหมิงนั้นร้ายกาจจริงๆ
“ไม่มีอะไร ข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง และกระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้ ก็แหลมคมกว่ากระบี่บินทั่วไปเล็กน้อย ดังนั้นถึงทำแบบนี้ได้” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และอธิบายออกมาสองประโยค
“ข้าเองก็เคยได้ยินท่านผู้เฒ่าพูดถึง การโจมตีของผู้ฝึกกระบี่ในโลกภายนอกเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน ดูท่าคงจะเป็นเช่นนี้จริงๆ คิดว่าพลังของคนในโลกภายนอกล้วนยอดเยี่ยมเหมือนกับพี่หลิ่ว วันหนึ่งข้าอยากเห็นโลกภายนอกด้วยตาตัวเองจริงๆ จะได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของท่านแม่ในปีนั้น” ซาฉู่เอ๋อร์ฟังมาถึงตอนนี้กลับถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา ดวงตางดงามก็ดูเศร้าหมองแปลกๆ
“หากแม่นางซาอยากไปโลกภายนอกจริงๆ ล่ะก็ ท่านผู้เฒ่าควรจะมีวิธีมิใช่หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามด้วยใจที่เต้นเล็กน้อย
“วิธีการน่ะมี แต่บรรพบุรุษของพวกเราในปีนั้นได้ทำการสาบานใหญ่เอาไว้ ก่อนการก่อนต้อนรับประมุขคนใหม่ คนในเผ่ากับสายเลือดรุ่นหลังไม่อาจไปจากสถานที่แห่งนี้ได้” ซาฉู่เอ๋อร์ส่ายหน้าตอบ
“ประมุข?” หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ใช่แล้ว ในเผ่ามีคำเล่าลือกันว่า สักวันดินแดนศักสิทธิ์แห่งนี้จะเลือกเจ้าของใหม่อีกครั้ง แต่นี่เป็นเรื่องที่เล่าสืบกันมาเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่ว่าท่านผู้เฒ่าในแต่ละยุคสมัยยังคงเชื่อเรื่องนี้อย่างไม่สงสัย” ซาฉู่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ดี! ดูเหมือนว่าจะมีหุ่นตัวอื่นมาอีกแล้ว พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าครุ่นคิด แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาจากที่ไกลๆ
ซาฉู่เอ๋อร์ย่อมพยักหน้าตอบรับแล้วเดินนำไปอีกทิศทางหนึ่ง
เวลาต่อมา ทั้งสองก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่พอยิ่งเข้าใกล้ใจกลางซากโบราณมากขึ้น หุ่นที่เดินเตร่ไปรอบๆ อย่างช้าๆ ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงต้องเจอหุ่นจำนวนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา และเกิดการปะทะกันเล็กน้อย
“ตู๊ม!” กำปั้นหลิ่วหมิงที่ถูกปกคลุมด้วยไอสีดำหนึ่งชั้นทะลุผ่านหน้าอกของหุ่นหมาป่าตัวหนึ่งไป และคว้าผลึกหินสีเทาสลัวๆ เอาไว้หนึ่งก้อน
หุ่นร่างหมาป่าล้มโครมลงพื้นทันที!
ซาฉู่เอ๋อร์เก็บทรายที่ก่อกวนอยู่บนตัวหุ่นกลับมาด้วยสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แม้ว่าพลังเวทของนางไม่ถูกทะเลทรายกุ่ยโม่ระงับไว้ แต่หลังจากต่อสู้ไปหลายรอบ ยังคงรู้สึกแบกรับไม่ไหวเล็กน้อย
“พักผ่อนสักหน่อยก่อนไหม?” พอหลิ่วหมิงออกแรงที่นิ้ว ผลึกหินสีเทาก็ถูกขยี้จนกลายเป็นผุยผง
แม้ว่ากระบี่บินจะแหลมคมเป็นอย่างมาก แต่ว่าการกระตุ้นมันในสถานที่เช่นนี้ กลับทำให้สูญเสียพลังเวทไม่น้อย ดังนั้นพอพบเจอกับหุ่นในตอนท้าย หลิ่วหมิงก็ใช้พลังจากกายเนื้อค่อยๆ ทำลายหุ่นเหล่านี้อย่างง่ายดาย
“ไม่เป็นไร พวกเราใกล้จะถึงใจกลางซากโบราณแล้ว” ซาฉู่เอ๋อร์ฝืนยิ้มออกมา
ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางซากโบราณ สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดขาวมากขึ้น ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็ดูอ่อนลง
ดูท่าตำหนักที่อยู่ใจกลางสุดของซากโบราณที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึง เป็นสถานที่ต้องห้ามของคนเผ่าทรายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิ่วหมิงมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง
พอมาถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งก่อสร้างบริเวณใกล้เคียงก็ดูเหมือนจะค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งล้วนเป็นบ้านหินสีดำแปลกประหลาดจัดเรียงอย่างสะเปะสะปะ
ประตูบ้านหินส่วนใหญ่เปิดอยู่ มีอักขระโบราณแปลกประหลาดสลักอยู่บนนั้นไม่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงวินิจฉัยดูอย่างละเอียดแล้ว มันคงเป็นชั้นจำกัดโบราณบางอย่าง มันดูสลัวๆ ไร้แสง และบนประตูบางบานยังมองเห็นรอยของการถูกทำลายอยู่
รอบๆ บ้านหินยังสามารถมองเห็นซากหุ่นที่มีสภาพไม่สมบูรณ์กระจายอยู่ไม่น้อย มีทั้งส่วนแขน ส่วนขา และร่างครึ่งหนึ่ง ส่วนมากล้วนถูกทรายสีดำปกคลุมไว้ ประจักษ์ชัดว่าผ่านเวลามานานแล้ว
จากทั้งหมดนี้สามารถมองออกได้อย่างลางๆ ว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดมาก่อน
“ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของคนเผ่าทรายของพวกเจ้าหรือ?” หลิ่วหมิงชี้ไปยังร่องรอยบนประตูแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ซากโบราณแห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับเผ่าทรายเรา แม้ว่าพวกเราจะมาหาชิ้นส่วนของหุ่นจำนวนหนึ่งอยู่บ้าง แต่จะไม่แต่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนที่นี่” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ต้องโทษที่ข้าเสียมารยาทไปหน่อย” หลิ่วหมิงกล่าวในเชิงขอโทษ
ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือของคนเผ่าทราย ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนที่บุกรุกเข้ามาจากภายนอก และทำการต่อสู้กับหุ่นผู้พิทักษ์อย่างดุเดือด
เวลาต่อมา ทั้งสองก็ค้นหาพื้นที่บริเวณนั้นอยู่พักหนึ่ง หลังจากตรวจสอบดูบ้านหินสิบกว่าหลังแล้ว ก็ค้นพบซากหุ่นจำนวนไม่น้อย แต่กลับไม่พบชิ้นส่วนที่ดูคล้ายหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์สีเขียวเลย
“แม่นางซา ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาพวกเราก็เจอกับหุ่นจำนวนไม่น้อย เหตุใดถึงไม่เจอกับหุ่นมนุษย์ยักษ์เลย?” เมื่อทั้งสองเดินออกจากบ้านหินหลังหนึ่งด้วยมือเปล่า หลิ่วหมิงก็ขมวดคิ้วถามเบาๆ
“แม้ว่าหุ่นมนุษย์ยักษ์จะไม่ใช่หุ่นที่แข็งแกร่งที่สุดในซากโบราณ แต่กลับเป็นหุ่นไม่กี่ชนิดที่เผ่าทรายเราสามารถควบคุมได้ มันมีจำนวนน้อยมาก ครั้งนี้จะสามารถหาชิ้นส่วนแกนหลักได้หรือไม่นั้น ยังต้องดูโชคชะตาด้วย” ซาฉู่เอ๋อร์รู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อยเช่นกัน แต่ก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองค้นหาไม่เจออะไร จึงได้แต่เดินเข้าไปในส่วนลึกของซากโบราณต่อ
ตอนที่ 721 พระราชวัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทางเดินต่อไปค่อนข้างง่าย มีทางเดินหินสีดำกว้างขวางสายหนึ่ง ดูจากทิศทางแล้วคงทอดไปยังตำหนักใหญ่ใจกลางซากโบราณ
แต่ว่ามีหุ่นมากมายตลอดทาง ทั้งสองไหนเลยจะกล้าเดินทางหลัก จึงได้แต่อ้อมไปทางเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง และค่อยๆ ค้นหาไปในระหว่างทาง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวัน ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงทั้งสองค้นหาในซากโบราณไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงไม่ได้อะไรเลย
ภายใต้สิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่อยู่นอกตำหนักใหญ่ของใจกลางซากโบราณ หลิ่วหมิงทั้งสองกำลังสนทนากันเบาๆ
“ค้นหาทั่วทั้งซากโบราณไปพอประมาณแล้ว ดูท่าคงต้องไปที่ตำหนักใหญ่ที่อยู่ใจกลางแล้ว” ซาฉู่เอ๋อร์มองดูตำหนักสูงใหญ่ที่อยู่ใจกลางซากโบราณแล้วกล่าวด้วยสีหน้าลังเล
“ก่อนหน้านั้นท่านผู้เฒ่าเคยบอกข้าว่า หากหาชิ้นส่วนแกนหลักในซากโบราณไม่พบ ก็คงได้แต่ไปค้นหาที่ตำหนักใหญ่กันสักรอบแล้ว แต่ฟังจากคำพูดของท่านผู้เฒ่า เนื่องจากเผ่าของพวกเจ้าเคยทำการสาบานไว้ ไม่เคยมีใครเข้าไปในนั้นมาก่อน แม่นางซาพอจะรู้ข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“เรื่องนี้……จากบันทึกโบราณของเผ่า ตำหนักใหญ่ที่อยู่ใจกลางคือสถานที่ที่ขุยตี้อาศัยอยู่ และใช้ในการฝึกฝน ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุอันใด ชั้นจำกัดทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักถึงได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ เพียงแค่ระวังตัวเล็กน้อยก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร มิเช่นนั้นท่านผู้เฒ่าคงไม่ให้พี่หลิ่วเสี่ยงอันตรายเข้าไปเป็นอันขาด” ซาฉู่เอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“อืม! ดูจากภายนอกมองไม่เห็นแสงของชั้นจำกัดใดๆ จริงๆ แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ข้าผู้แซ่หลิ่วจะต้องทดสอบด้วยตนเองถึงจะรู้ มิเช่นนั้นเพียงแค่ชั้นกำจัดที่ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์วางไว้อย่างไม่ใส่ใจ ก็อาจจะทำให้ข้ากลายเป็นเถ้าถ่านได้” หลิ่วหมิงหันมามองพระราชวังที่อยู่ไกลๆ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพียงแค่พี่หลิ่วไม่ทำลายพระราชวัง มีวิธีการอะไรก็รีบแสดงออกมาก็พอแล้ว และข้าไม่อาจเข้าไปเป็นเพื่อนกับท่านได้” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ตอบรับในทันที และไม่คิดจะคัดค้านแต่อย่างใด
“ดีมาก! แม่นางซารออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบ
กลิ่นไอของซาฉู่เอ๋อร์อ่อนลงจนถึงขีดสุดแล้ว นางรู้ตัวว่าตนเองไม่อาจเข้าใกล้ตำหนักใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้ ดังนั้นจึงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด และได้แต่กำชับเพิ่มอีกสองประโยค
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในทางพระราชวัง
เมื่อเดินมาถึงตรงหน้า หลิ่วหมิงถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าตำหนักใหญ่นี้สูงร้อยกว่าจั้ง เป็นสีดำแวววาวไปทั้งหลัง ราวกับว่าทั้งหมดเกาะตัวมาจากดินทรายสีดำ
พอมองออกไปมันยังคงดูใหม่เหมือนเดิม ดูไม่เหมือนซากปรักหักพังหลายหมื่นปีเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ หลิ่วหมิงมักจะคิดว่าบนพื้นผิวของพระราชวัง มีแสงจางๆ หมุนวนยู่ แต่พอมองดูอย่างละเอียดกลับมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เลย
นอกตำหนักใหญ่มีเสาหินขนาดใหญ่หลายสิบกว่าต้นตั้งตระหง่านอยู่ แต่ละต้นมีขนาดเท่าหลายคนโอบ วัสดุที่ใช้ก็เป็นหินสีดำแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง
พระราชวังนี้ใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างมาก ประตูเข้าวังกลับแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง มีประตูหินสีดำสองบานปิดสนิท ความกว้างของมันพอที่คนสองคนจะสามารถเดินผ่านได้ สูงสิบจั้ง แลดูไม่สอดคล้องกันเป็นอย่างยิ่ง
“รสนิยมของขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ…” หลิ่วหมิงซุบซิบอยู่ในใจ หลังจากสังเกตดูนอกประตูตำหนักอย่างละเอียดแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยันต์สีเงินผืนหนึ่งก็ปรากฏบนมือ และเขาโยนมันขึ้นไป
“ฟู่!”
ยันต์สีเงินกลายเป็นเปลวไฟปะทะลงบนประตูหิน และระเบิดตัวกลายเป็นอักขระสีเงินสิบกว่าตัว หลังจากหมุนวนบนประตูอยู่พักหนึ่งแล้ว ก็สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นมา พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และร่ายคาถาออกมาแล้ว ก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา นิ้วมือทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด
“ฟู่!” โลหิตบริสุทธิ์กลายเป็นหมอกโลหิตจางๆ แผ่ขยายออกไปในพริบตา ภายใต้การควบคุมของหลิ่วหมิง มันก็กลายเป็นค่ายกลสีเลือดพร่ามัวในทันที และกะพริบหายไปบนประตูตำหนักอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงทำท่ามืออยู่ไม่หยุด แต่ไอโลหิตปรากฏขาดๆ หายๆ บนใบหน้า ราวกับว่ากำลังกระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่างเงียบๆ
หลังจากไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ก็มีเสียงดังขึ้นบนประตู ค่ายกลสีเลือดที่หายไปในก่อนหน้าปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง และเลี่ยมฝังอยู่บนประตูตำหนักราวกับว่ามันมีมาตั้งแต่แรกแล้ว
“ไม่มีคลื่นชั้นจำกัดใดๆ สะท้อนกลับมาจริงๆ ด้วย ดูท่าชั้นจำกัดด้านในล้วนถูกคนปิดไปหมดแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเข้าไปข้างในสักครั้งแล้ว” ขณะนี้หลิ่วหมิงเพิ่งจะหยุดทำท่ามือ และพูดพึมพำด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย
สถานที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ แม้กระทั่งยังอาจจะเป็นที่ละสังขารด้วย ต่อให้เป็นหลิ่วหมิงก็เกิดอารมณ์เร่าร้อนอย่างอดไม่ได้
หลังจากหลิ่วหมิงลังเลไปรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ พอสะบัดแขนเสื้อ ยันต์สีเหลืองที่มีสภาพไม่สมบูรณ์เล็กน้อยก็ถูกนำออกมา หลังจากสะบัดหนึ่งที ก็นำไปแปะบนระหว่างคิ้ว
“ฟู่!” หลังจากยันต์สีเหลืองพร่ามัว มันก็กลายเป็นนักรบเกราะสีทองที่สูงจั้งกว่าๆหน้าตาค่อนข้างคล้ายกับหลิ่วหมิง แต่ว่าดูพร่ามัวเล็กน้อย และไม่มีอาวุธติดมือเลย
มันคือยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองนั่นเอง
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นนักรบยันต์ นักรบสีทองก็ก้าวยาวๆ ไปยังประตูใหญ่ หลังจากขยับแขน ฝ่ามือทั้งสองก็วางอยู่บนประตู และออกแรงทันที
“แคล็ก!” ค่อยๆ เกิดเสียงดังขึ้นมา
ประตูหินที่ดูหนักอย่างที่เปรียบมิได้ กลับถูกผลักออกอย่างง่ายดาย และกลิ่นอับจางๆ ก็โชยออกจากด้านหลังประตูทันที
พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็มองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูอย่างชัดเจน
จะเห็นว่าด้านหลังประตูตำหนักมืดสลัวไปหมด มองเห็นทางเดินสีดำเส้นหนึ่งอยู่ลางๆ
หลังจากหลิ่วหมิงยืนนิ่งๆ อยู่กับที่แล้ว ก็ค้นพบว่าทางเดินด้านหลังเงียบสงัด และไม่มีความผิดปกติใดๆ จากนั้นถึงสูดหายใจลึกๆ ก่อนเดินเข้าไป
ขณะนี้ นักรบยันต์เกราะทองคำได้ก้าวเดินเข้าไปก่อนหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และดูเหมือนจะรักษาระยะห่างกับหลิ่วหมิงเจ็ดแปดจั้ง
แต่ว่าในขณะที่เท้าทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเหยียบลงบนทางเดินสีดำนั้น พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนใต้เท้า ค่ายกลแสงสีแดงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้งปรากฏออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ครู่เดียวก็ปกคลุมหลิ่วหมิงกับนักรบยันต์เกราะทองคำไว้ในนั้น
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงใจเต้นโครมคราม เขาขยับเท้าทั้งสองโดยไม่ต้องคิด เพื่อคิดจะพุ่งไปยังทิศทางที่จากมา
“ปัง!”
ร่างของเขาปะทะกับขอบค่ายกลแสงที่เป็นเกราะกำบังไร้รูป ทำให้ไม่อาจไปจากค่ายกลแสงได้เลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงส่งเสียงคำราม และคว้ามือข้างหนึ่งออกไปบนอากาศ กระบี่ยาวสีทองก็ปรากฏในมือ แต่เขายังไม่ทันฟันเกราะกำบังไร้รูป ภาพรอบด้านก็พร่ามัว และรู้สึกวิงเวียนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ถูกส่งไปยังสถานที่แปลกหน้าที่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าพร้อมกับนักรบยันต์เกราะทอง
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้ามืดสนิท ด้วยพลังสายตาของเขาในตอนนี้ ไม่อาจมองเห็นสิ่งของใดๆ เลย
ทั้งยังดูเหมือนว่าภายในสถานที่แห่งนี้ จิตรับรู้ของเขาก็ถูกระงับอย่างสมบูรณ์
สิ่งที่เดียวที่ปลอบใจหลิ่วหมิงในตอนนี้ก็คือ ขณะนี้เท้าทั้งคู่เหยียบอยู่บนพื้นที่แข็งแกร่ง
ขณะที่หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และคิดที่จะปล่อยแสงกระบี่ในมือเพื่อส่องดูทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านนั้น พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนเบาๆ พัดผ่านร่างของเขาไป
ต่อมาหลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทภายในร่างกว่าครึ่งหนึ่งหยุดชะงักในทันที ไม่อาจโคจรได้ดั่งใจ ทำให้เขารู้สึกตกใจมาก
หรือว่าในตำหนักใหญ่จะเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีพลังเวท สูญเสียสัมผัสพิเศษ ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่ง แล้วจะรับมือกับอันตรายที่ไม่อาจทราบได้อย่างไร
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายดุดัน พอส่งเสียงคำราม ไอดำก็ปรากฏออกมาบนตัว มีเงามังกรสี่ตัวกับพยัคฆ์สี่ตัวปรากฏออกมาด้านหลังพร้อมกัน เขาคิดที่จะฝืนกระตุ้นพลังมังกรพยัคฆ์ทมิฬใส่ชั้นจำกัดภายในร่าง
“เอ๊ะ!”
พลันมีเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ดังมาจากความมืดมิดตรงหน้า
“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ที่แท้เจ้าก็เป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ร่างกายก็ฝึกฝนได้ไม่เลว ไม่ถูกต้อง! กลิ่นไอโครงกระดูกของเจ้า…นี่คือเคล็ดกระดูกดำ!” น้ำเสียงชัดและไพเราะดังมาจากความมืดมิดตรงหน้า เพียงแต่ว่ามันดูแปลก ๆ เล็กน้อยในพื้นที่ว่างเปล่าและเงียบสงบเช่นนี้
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตัวแข็งขึ้นมาทันที
เรื่องที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำค่อนข้างเป็นความลับ อีกอย่างหลังจากบรรลุเข้าสู่ระดับของเหลว ก็ได้เปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว กลิ่นไอของเคล็ดกระดูกดำได้ถูกควรจะถูกปิดคลุมตั้งนานแล้ว
ก่อนหน้านั้นแม้แต่ผู้ควบคุมยอดเขา ผู้อาวุโส และคนอื่นๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์ต่างก็ไม่ค้นพบถึงความผิดปกติแต่อย่างใด ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมองออกมาว่าตนเองเคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ?
ความคิดเหล่านี้ผุดอยู่ในใจของเขา จากนั้นก็ถูกโยนทิ้งไปอีกด้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยังต้องทำลายชั้นจำกัดภายในร่างก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
หลิ่วหมิงไม่สนใจเสียงในความมืดอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที กลิ่นไอบนตัวปะทุออกมา และคิดที่จะกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อ
ขณะนั้นเอง ฝ่ามือเย็นยะเยือกสองข้างก็ยื่นออกมาจากความมืดอย่างไร้สุ้มเสียง และกดลงบนไหล่ของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ พลังมหาศาลบางอย่างทะลักออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกราวกับว่าถูกเขาลูกใหญ่กดทับไว้ ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงราวกับตับหมู ร่างของเขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ในใจของเขารู้สึกหวาดผวามาก!
ด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อในตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานพลังมหาศาลที่ถูกส่งมาจากฝ่ามือเย็นยะเยือกได้
ขณะนั้นเองเกิดเสียงฝ่ามือตบลงบนไหล่เบาๆ “เพียะๆ!”
พื้นที่มืดมิดตรงหน้าสว่างขึ้นมา แสงทรงกลดสีขาวส่องลงมาจากเหนือศีรษะ จนหลิ่วหมิงต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ ในที่สุดเขาก็มองเห็นทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านอย่างชัดเจน
ห้องโถงขนาดใหญ่หนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หลิ่วหมิงค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ใจกลางห้องโถง สิ่งที่อยู่ตรงข้ามคือแท่นหยกสูงสีขาว บนแท่นหยกขาวมีเก้าอี้หินปะการังสีแดงวางอยู่ตัวหนึ่ง
บนเก้าอี้มีเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนอายุไม่เกินห้าหกขวบนั่งอยู่ ดวงตาทั้งคู่กำลังสังเกตดูหลิ่วหมิง
เด็กหญิงผู้นี้สวมชุดคลุมสีแดงสด แขนเล็กๆ ราวกับรากบัวหยกโผล่ออกมาด้านนอกครึ่งหนึ่ง ผิวหนังที่เผยออกมามีประกายโลหะสีเงินจางๆ
คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้นี้จะเป็นหุ่นที่ดูคล้ายของจริงมาก ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าน้ำเสียงในก่อนหน้ามาจากปากของนางนั่นเอง
พอหลิ่วหมิงพยายามหันหน้าไป ถึงเห็นว่าฝ่ามือที่กดอยู่บนไหล่ของเขาเป็นหุ่นมนุษย์สีทองที่สูงเท่าคนหนึ่งคน ทั่วทั้งตัวเป็นแสงสีทองอร่าม อักขระแปลกประหลาดปกคลุมเต็มตัว แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มือที่จับไหล่ของเขานั้นหนักราวกับเขาเล็กๆ สองลูก ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 722 หุ่นเด็กผู้หญิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าหนูน้อย เจ้าเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ หรือ? ยันต์นักรบผืนนี้อีก ได้มาจากไหนกัน ทั้งยังเป็นยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่หายสาบสูญไปนานแล้วด้วย” ขณะที่หลิ่วหมิงเกิดความประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์นั้น เด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยปากถามอย่างราบเรียบ ในมือของนางกำลังถือยันต์ขาดๆ ที่ฟื้นฟูสภาพเดิมแล้ว
พริบตาที่นักรบยันต์เกราะทองคำถูกส่งมายังสถานที่แห่งนี้ มันก็ฟื้นคืนสภาพเดิมแล้ว
ขณะนี้หลิ่วหมิงถูกผนึกพลังเวทภายในร่าง ทั้งยังถูกหุ่นสีทองจับไหล่ไว้แน่น ย่อมไม่กล้าทำอะไรวู่วาม จึงได้แต่แอบถอนหายใจก่อนตอบกลับไป
“ผู้อาวุโสหลักแหลมยิ่งนัก ผู้น้อยเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ ยันต์ผืนนี้ก็ได้มาโดยไม่ตั้งใจ”
“อ๋อ? หรือว่าตาเฒ่าบนเขาหมื่นวิญญาณเหล่านั้น ก็มอบเคล็ดกระดูกดำให้เจ้าด้วย?” เด็กหญิงได้ยินก็ถามอย่างเยือกเย็น
หลิ่วหมิงเงียบไปเล็กน้อย
ถ้าจะพูดถึงเคล็ดวิชากระดูกดำ ก็ต้องพูดถึงเรื่องที่มาของเขากับเรื่องปรมาจารย์ลิ่วยิน แต่พอเห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของเด็กหญิง ในใจเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกแบบแปลกๆ ราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามจะมองทะลุความรู้สึกของเขาได้ จึงได้แต่ตอบแบบคลุมเครือเท่านั้น
“ผู้น้อยเกิดบนเกาะเล็กๆ ที่ห่างไกลจากแผ่นดินจงเทียนมาก บังเอิญโชคดีได้มาแผ่นดินจงเทียนโดยบังเอิญ และกราบตัวเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ส่วนเคล็ดวิชากระดูกดำกลับเป็นเคล็ดวิชาหนึ่งบนเกาะในปีนั้น”
“เกาะเล็กๆ ช่างน่าสนใจซะแล้วสิ ตามที่ข้าทราบมา ผู้ที่รู้วิธีการฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียนเองก็มีไม่กี่คน” เด็กหญิงฟังจบก็พูดพึมพำออกมา
“ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่กล้ากล่าวเท็จเลยแม้แต่น้อย ผู้น้อยพบกับรอยแยกมิติจึงมาถึงแผ่นดินจงเทียนได้” หลิ่วหมิงอธิบายไปหนึ่งประโยค
“รอยแยกมิติ……มิน่าล่ะ! ช่างเถอะ! เรื่องเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร ข้าถามเจ้า นิกายเทียนกงยังคงดำรงอยู่ในแผ่นดินจงเทียนหรือไม่?” เด็กหญิงพูดพึมพำสองสามประโยค หลังจากนั้นก็เผยแววตาเฉียบขาดออกมา ตอนที่พูดถึง ‘นิกายเทียนกง’ นั้น น้ำเสียงก็เยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย
“นิกายเทียนกงย่อมดำรงอยู่ ตอนนี้เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ความคิดต่างๆ ก็วนเวียนอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
“สี่ยอดนิกายใหญ่ ดูท่าตาเฒ่าเหล่านั้นคงยังไม่ตายหมด” เด็กหญิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น แววตาดูลังเลขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา จึงได้แต่รอคอยอย่างเงียบๆ
“ในเมื่อเจ้าเข้ามาถึงที่นี่ได้ คาดว่าคงจะเดาที่มาออกอยู่บ้าง ข้าเป็นเจ้าของที่นี่ ขุยตี้แห่งหนานฮวงที่พวกเจ้าพูดถึง” ผ่านไปสักพัก เด็กหญิงถึงมองมาทางหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
แม้ว่าก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงจะคาดเดาได้ลางๆ แต่หลังจากได้ยินนางพูดออกมาเอง เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ปากของเขาขยับเล็กน้อยเพื่อจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายกลับไม่พูด
ในคำเล่าลือ ผู้ทรงพลังอย่างขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นี้ได้เสียชีวิตไปหลายหมื่นปีแล้ว ทั้งยังไม่มีใครพูดมาก่อนว่าเขาจะเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดของเด็กหญิงอย่างง่ายดาย
ดูเหมือนเด็กหญิงจะเดาความคิดของหลิ่วหมิงออก จึงกล่าวอย่างเยือกเย็น
ร่างของข้าถูกศัตรูตัวฉกาจทำลายไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อนแล้ว ถึงต้องนำวิญญาณส่วนหนึ่งมาแฝงอยู่ในหุ่นมนุษย์นี้ อีกอย่างตอนที่ข้าต่อสู้กับศัตรูในสมัยก่อน ล้วนแฝงตัวอยู่ในหุ่น ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเห็นหน้าตาที่แท้จริงของข้าน้อยมาก คนงี่เง่าบางคนคิดว่าข้าเป็นผู้ชาย ทั้งยังตั้งฉายาข้าว่าขุยตี้อะไรพวกนี้ ช่างน่าขันสิ้นดี! แต่ว่าการต่อสู้ของข้ากับศัตรูในปีนั้น ไม่เพียงแต่หุ่นที่ป้องกันตัวจะถูกทำลายจนหมดสิ้น แม้แต่วิญญาณหลักก็ถูกสังหารคาที่ หากไม่ทิ้งทางหนีไว้ในสมบัติแห่งสวรรค์ก่อน เกรงว่าคงจะหายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ”
ปากของหลิ่วหมิงกระตุกเล็กน้อย และหมดสิ้นคำพูดโดยสมบูรณ์
เด็กหญิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวต่อ
“แต่หากจะบอกว่าข้าเป็นคนใหม่อีกคนโดยสมบูรณ์ก็ไม่ผิด เพราะแบ่งวิญญาณก็คือแบ่งวิญญาณ ซึ่งไม่เหมือนกับวิญญาณหลักของขุยตี้ที่สั่นสะเทือนหนานฮวงในปีนั้น เจ้ามาที่นี่พร้อมกับคนของเผ่าทราย คิดว่าคงจะได้ยินเรื่องที่ว่าทะเลทรายกุ่ยโม่แห่งนี้คือสมบัติแห่งสวรรค์แล้ว”
“ใช่แล้ว ผู้น้อยเคยได้ยินผู้เฒ่าเผ่าทรายพูดขึ้นมาจริงๆ และที่ผู้น้อยมาในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการหาชิ้นส่วนแกนหลักของหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์สีเขียวให้กับคนเผ่าทราย เพื่อใช้ในการต่อต้านการโจมตีของอสูรทรายจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ จะได้ใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนในการไปจากที่นี่ และไม่ได้คิดจะมารบกวนท่าน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ในใจสองสามรอบ และกล่าวอย่างนอบน้อม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คนเผ่าทรายเหล่านี้ก็นับว่าเป็นลูกน้องของข้า ตอนนั้นยังมีแม้กระทั่งระดับดาราพยากรณ์ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะอ่อนแอเพียงนี้ แต่ว่าเจ้าก็ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ข้าไม่ได้เอาผิดที่เจ้าวางแผนบุกรุกมาที่นี่ ที่เจ้ามาถึงที่นี่ได้ก็เป็นเพราะการจัดการของข้า มิเช่นนั้นเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถเหยียบเข้ามาที่นี่ได้โดยง่าย? ระดับดาราพยากรณ์อีกสองคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ยังถูกข้าขังอยู่ตรงขอบทะเลทรายอยู่เลย” น้ำเสียงเด็กหญิงเปลี่ยนเป็นดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
“ยังมีระดับดาราพยากรณ์อีกสองคน!”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งขึ้นมาจริงๆ
“หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นปีศาจสายฟ้า แต่อีกคนเป็นใครกัน?”
เขายังไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง เด็กหญิงก็พูดต่ออย่างไม่สนใจ
“ตอนที่ข้าเสียชีวิตโดยไม่คาดคิด และวิญญาณแบ่งได้กลับมาในสมบัติสวรรค์แห่งนี้นั้น ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงถูกขังอยู่ในหุ่นมนุษย์ตัวนี้ และก็ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไปอาจไปจากวังได้แม้แต่ครึ่งก้าว”
“และหุ่นร่างแปลงจิตวิญญาณที่ข้าเคยสร้างขึ้นในปีนั้น เดิมทีก็ประจำการอยู่ในซากโบราณแห่งนี้ แต่ว่าหลังจากชีวิตของข้าดับสูญ และวิญญาณหลักถูกทำลายไปในปีนั้น ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด หุ่นจิตวิญญาณตัวนี้ถึงคิดที่จะทำการทรยศ ทั้งยังหลุดพ้นจากชั้นกำจัดที่ข้าวางไว้ในปีนั้นได้ แม้กระทั่งยังสามารถควบคุมชั้นจำกัดค่ายกลกว่าครึ่งหนึ่งในซากโบราณได้ หลายหมื่นปีมานี้ เจ้าหุ่นทรยศได้ต่อสู้กับข้าในสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่หยุด ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ต่างฝ่ายต่างโค่นล้มกัน แม้กระทั่งหุ่นทรงพลังที่ข้าทิ้งไว้ในนี้ในปีนั้น ก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น”
พอพูดมาถึงจุดนี้ สีหน้าของเด็กหญิงก็ดูโหดร้ายขึ้นมา มีไอสีเขียวปรากฏตรงระหว่างคิ้วอย่างรำไร
ฟังมาถึงจุดนี้ ก็ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ข้าควบคุมผู้ฝึกฝนจากภายนอกให้เข้ามาในสถานที่นี้มาโดยตลอด น่าเสียดายที่ล้วนเป็นคนไม่ได้เรื่องทั้งนั้น หรือไม่ก็แก่ตายในทะเลทรายไปเลย มักจะมีคนบุกมาถึงซากโบราณ แต่ด้วยเหตุที่ระดับการฝึกฝนถูกระงับไว้ จึงถูกเจ้าหุ่นทรยศตัวนั้นกระตุ้นหุ่นผู้พิทักษ์ที่อยู่ด้านนอกสังหารไปจนหมด”
“แต่ว่ารอมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็มีคนที่ใช้การได้ เจ้าเด็กน้อย ข้าเห็นว่าเจ้ากับหญิงสาวเผ่าทรายรับมือกับหุ่นเหล่านั้นได้ค่อนข้างฉลาดเฉียบแหลมมาก แค่ระดับผลึกคนหนึ่ง ทั้งยังถูกควบคุมพลังเวทไว้ แต่ยังสามารถแสดงพลังออกมาได้เหมือนกับระดับแก่นแท้ นอกจากจะเข้ามาที่นี่ได้ไม่นานแล้ว เดิมทีก็คงมีพลังไม่เลวสินะ!” เด็กหญิงกล่าวมาถึงจุดนี้ สีหน้าก็ดูผ่อนคลายลง
“ถูกต้อง ผู้น้อยเพิ่งเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ไม่กี่เดือน ระดับการฝึกฝนไม่ได้ถดถอยไม่ไปโดยสมบูรณ์” หลิ่วหมิงถูกเด็กหญิงมองอยู่ ในใจรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอยู่ลางๆ จึงได้แต่พูดออกมาเบาๆ
“เอาล่ะ! ข้าพูดมามากมายขนาดนี้แล้ว คิดว่าเข้าคงจะเข้าใจแล้วล่ะ ที่เรียกเจ้ามาก็คือให้ไปช่วยข้ากำจัดหุ่นร่างแปลงจิตวิญญาณตัวนั้น ให้ข้าได้ควบคุมวังกับสมบัติแห่งสวรรค์ได้อย่างแท้จริง” เด็กหญิงจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็โบกมือในฉับพลัน
ขณะนี้หุ่นสีทองที่อยู่ด้านหลังถึงคลายมือทั้งสองออกจากไหล่ของหลิ่วหมิง และถอยออกไปด้านหลังหนึ่งก้าว
หลิ่วหมิงรู้สึกตัวเบาขึ้นมา การเคลื่อนไหวฟื้นฟูกลับมาในทันที หลังจากยืนตัวตรง และนวดไหล่เล็กน้อยแล้ว ก็เหลือบมองหุ่นสีทองทีหนึ่ง และตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ผู้อาวุโสมองข้าสูงไปแล้ว ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเท่านั้น ในเมื่อหุ่นจิตวิญญาณสามารถต่อกรกับผู้อาวุโสได้ ไม่ต้องพูดถึงพลังในตัว หุ่นที่ควบคุมในมือก็คงมีอยู่ไม่น้อย ไหนเลยผู้น้อยอย่างข้าจะสามารถต่อกรได้”
“หากจู่โจมซึ่งๆ หน้าล่ะก็ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันจริงๆ แต่ในเมื่อข้าเป็นเจ้าของที่นี่ แม้ว่าจะมีวิญญาณแต่ส่วนหนึ่ง แต่ยังสามารถควบคุมวังแห่งนี้ได้อยู่บ้าง ข้ามีวิธีทำให้กลไกลชั้นจำกัด กับหุ่นในวังทั้งหมดหยุดทำงานได้สองสามชั่วยาม เจ้าเพียงแค่อาศัยช่วงเวลานี้ ตามหาหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นให้เจอ และสังหารมันก็พอแล้ว” เด็กหญิงกล่าวอย่างมีแผนในใจ
พอพูดมาถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนว่านางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามาที่นี่เพื่อช่วยคนเผ่าทรายตามหาชิ้นส่วนแกนหลักของมนุษย์ทองแดงยักษ์ หลังจากนั้นพวกเขาก็จะช่วยเจ้าไปจากที่นี่หรือ แต่ตามที่ข้าทราบมา วิธีการของพวกเขาอันตรายเป็นอย่างมาก อัตราความสำเร็จมีไม่ถึงสองส่วน แต่หากเจ้าช่วยข้าสำเร็จเรื่องนี้ ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือ ข้าเองก็สามารถส่งเจ้าออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่ได้เหมือนกัน”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ไม่หยุด
เขารู้ดีว่าที่นางพูดมันดูเหมือนจะง่ายๆ แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เด็กผู้หญิงบอกว่าตัวเองคือวิญญาณแบ่งของขุยตี้แห่งหนานฮวงนั่นเป็นจริงทั้งหมดหรือไม่ แต่หุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นต้องป้อมสู้กับมาเป็นเวลาหลายปี หากจะบอกว่าไม่มีอันตรายเลยนั้น ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
แต่ว่าตอนนี้ชีวิตน้อยๆ ของเขาถูกคีบอยู่ในมือของเด็กหญิง เกรงว่าไม่เสี่ยงอันตรายก็คงจะไม่ได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือพยายามช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด
ขณะที่หลิ่วหมิวคิดใคร่ครวญอยู่ไม่หยุดนั้น น้ำเสียงแจ่มชัดของเด็กหญิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าให้เจ้าทำงานให้ ย่อมไม่เอาเปรียบเจ้าอย่างแน่นอน ข้าว่าเคล็ดวิชากระดูกดำของเจ้าตื้นเขินและค่อนข้างไม่ละเอียดอ่อน เจ้ารู้ที่มาของเคล็ดวิชากระดูกดำหรือไม่?”
“ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ ผู้น้อยหวังว่าจะได้ฟังรายละเอียด!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา และกุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
สำหรับผลการเพิ่มทวีกายเนื้อให้แข็งแกร่งของเคล็ดวิชากระดูกดำ หลายปีมานี้เขาคิดถึงมันอยู่ตลอด น่าเสียดายในปีนั้นอาจารย์อาหร่วนได้มอบเคล็ดวิชานี้ให้เขาแค่สี่ขั้นเท่านั้น
เด็กหญิงเห็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะยิ้มออกมา แต่กลับตอบอย่างสงบ
“ที่จริงวิชานี้เป็นวิชาหนึ่งที่เผ่ายมบาลในแดนนรกเก้าขุมฝึกฝน มีทั้งหมดสิบเก้าขั้น สามารถฝึกฝนจนถึงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ได้ หลังจากสังหารศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งแล้ว ข้าเองก็ได้สิบขั้นแรกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หากเจ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าสามารถมอบคัมภีร์นี้ให้เจ้าได้ ส่วนขั้นที่เหลือต้องหาวิธีการเอาเองแล้ว”
ตอนที่ 723 กริชทำลายวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แดนนรกเก้าขุม! เผ่ายมบาล! ผู้อาวุโส แดนนรกเก้าขุมมีจริงหรือ?”
หลิ่วหมิงฟังจบกลับสูดหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน เขาคิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชากระดูกดำจะมีที่มายิ่งใหญ่เช่นนี้
“แน่นอนว่าย่อมมีอยู่จริง บางทีแดนแห่งนี้อาจอาจจะเป็นเรื่องว่างเปล่าเลือนลางในสายตาผู้ฝึกฝนทั่วไปมาก แต่สำหรับคนระดับข้าแล้ว มันมีอยู่จริงอย่างแน่นอน แม้กระทั่งข้าเองก็เคยไปแดนแห่งนี้ครั้งหนึ่ง ดังนั้นถึงได้รู้ที่มาของเคล็ดวิชากระดูกดำ น่าเสียดายที่ข้าฝึกฝนวิชาหุ่นเป็นหลัก ไม่ค่อยได้สนใจวิชาที่มีผลต่อความแข็งแกร่งของร่างกายมากนัก ดังนั้นจึงไม่คิดจะไปหาส่วนที่เหลือ” หุ่นเด็กผู้หญิงกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่งหมิงฟังจบก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดไตร่ตรองเงื่อนไขที่เด็กหญิงเสนออยู่
ต้องบอกว่าเงื่อนไขที่เด็กหญิงเสนอนี้ไม่เลว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งเขาออกไป หรือว่าเคล็ดวิชากระดูกดำสิบขั้นแรก สำหรับเขาแล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แม้ว่าการทำลายหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นจะอันตราย แต่หากเขากล้าปฏิเสธล่ะก็ คาดว่าเด็กหญิงคงลงมือสังหารเขาอย่างไม่ไว้หน้าทันที
เช่นนี้เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว
“ดี! ในเมื่อผู้อาวุโสแสดงความจริงใจถึงเพียงนี้ ผู้น้อยจะยอมเป็นสุนัขและม้ารับใช้ หวังว่าผู้อาวุโสจะรักษาสัญญา” หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจได้แล้ว ก็สูดหายใจเข้าเข้าลึกๆ และรับปากในที่สุด
“เฮ่อๆ! ข้าเป็นคนระดับใดกัน ไหนเลยจะทำเรื่องผิดสัญญาได้ วางใจเถอะ! เพียงแค่เจ้าช่วยข้า ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามนั้น”
พอเด็กหญิงเห็นว่าหลิ่วหมิงรับปากแล้ว นางก็เผยสีหน้าดีใจออกมา
แม้ว่านางจะเป็นแค่ร่างของหุ่น แต่ความรู้สึกบนใบหน้าราวกับมีชีวิต มองไม่เห็นความแข็งกระด้างเลยแม้แต่น้อย สมกับเป็นหุ่นมนุษย์ที่ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สร้างขึ้นมาเองกับมือจริงๆ
“ใช่สิ! ข้าไม่ได้สัมผัสกับโลกภายนอกมานานแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าพกหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งที่ช่วยเสริมพลังในเวลาเร่งด่วน มาหรือไม่?”
“ผู้น้อย…” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งทันที ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดนั้น ก็พบว่าแหวนย่อส่วนบนนิ้วสั่นสะท้าน และหลุดออกจากมือไปหาเด็กหญิงโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบเท่านั้น
นี่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแย่งเอาไป ไหนเลยจะมีท่วงทีของยอดฝีมืออาวุโส
ดูเหมือนเด็กหญิงจะทำเป็นไม่เห็นสีหน้าดูไม่ได้ของหลิ่วหมิง พอเอานิ้วลูบแหวนย่อส่วนเบาๆ ก็เปิดชั้นจำกัดออกมาได้ และก็เทสิ่งของในนั้นออกมากองอยู่บนพื้นทั้งหมด
ในนั้นมียันต์ และอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ และก็มีวัตถุดิบปรุงโอสถกับวัสดุหลอมอาวุธหลายชนิด ทั้งยังมีหินจิตวิญญาณโปร่งแสงเป็นกองๆ ทั้งหมดนี้เป็นสมบัติที่หลิ่วหมิงตั้งใจสะสมในหลายปีมานี้
เมื่อเด็กหญิงเห็นหินจิตวิญญาณเหล่านี้ ก็ตาเป็นประกาย มีรอยยิ้มโผล่ออกมาบนใบหน้า จากนั้นพอโบกมือข้างหนึ่ง พลังไร้รูปก็พุ่งขึ้นมา และม้วนตัวหินจิตวิญญาณไปทั้งหมด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจกระตุกอยู่พักหนึ่ง!
อย่างที่รู้ว่า ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาและความตั้งใจไปเท่าไหร่ถึงหาหินจิตวิญญาณเหล่านี้มาได้ รวมกับที่ได้มาจากแดนลึกลับในเขาเหลยฉือแล้ว มีทั้งหมดหลายสิบล้าน ตอนนี้กลับถูกเด็กหญิงผู้นี้เอาเปรียบ นับว่าหามาให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์แล้ว!
“เอ๊ะ!”
หลังจากเด็กหญิงเก็บหินจิตวิญญาณไปแล้ว นางก็กวาดสายตามองดูพื้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็อุทานออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ไม่เห็นว่านางจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย แต่วัสดุหินแร่บนพื้นกลับถูกผลักไปกองอีกด้าน เผยให้เห็นศพแห้งเหี่ยวที่ซ่อนอยู่ในนั้น
มันคือศพปีศาจนั่นเอง!
“เจ้าหนูน้อย ดวงของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะเอาศพของระดับดาราพยากรณ์มาได้ ทั้งยังคงสภาพได้สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่ถูกต้อง! กลิ่นไอนี้…คือศพมนุษย์ปีศาจ จุ๊ๆ! ไม่เลว! ไม่เลว! ศพปีศาจระดับดาราพยากรณ์เป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก แต่ว่าของสิ่งนี้อยู่ในมือของเจ้าก็เหมือนกับไก่ได้พลอย ข้าจะฝืนช่วยเจ้าจัดการก็แล้วกัน” เด็กหญิงจ้องมองศพปีศาจสองสามที จากนั้นก็เผยสีหน้าดีใจออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง ศพปีศาจก็ม้วนตัวขึ้นมา และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้หลิ่วหมิงจะหัวเราะอย่างขมขื่นที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ในใจก็แอบกร่นด่าบรรพบุรุษของเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างอดไม่ได้
เดิมทีเขาคิดจะปรับแต่งเป็นศพบ่มเพาะ แต่ทว่าระดับการฝึกฝนยังไม่พอ และยังหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมไม่ได้ ถึงวางทิ้งไว้จนถึงทุกวันนี้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งไปต่อหน้าต่อตา
หลังจากเด็กหญิงได้ศพปีศาจไปแล้ว ก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จากนั้นก็กวาดสายตาลงบนสิ่งของกองนั้น
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง กลัวว่า ‘ผู้ทรงพลัง’ ใจดำผู้นี้จะถูกใจสิ่งของอะไรขึ้นมาอีก
ดีที่ว่าครั้งนี้เด็กหญิงไม่ได้รู้สึกสนใจสิ่งของอย่างอื่นอีก แร่กลับก้มมองยันต์พลังผ้าเหลืองในมือ และหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“วางใจเถอะ! ในเมื่อข้าเอาของของเจ้าไปเยอะขนาดนี้ ข้าไม่เอาไปเปล่าๆ อย่างแน่นอน ข้าว่าถึงแม้เจ้าจะมียันต์นักรบพลังผ้าเหลืองผืนนี้ แต่ก็ใช้เหมือนกับยันต์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เสียดายสิ่งของล้ำค่าจริงๆ เอาอย่างนี้เถอะ! นี่คือคัมภีร์ปรับแต่งยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ข้าได้มันมาในตอนที่เข้าไปในแดนต้องห้ามแห่งหนึ่งในปีนั้น แม้ว่าจะมีสภาพชำรุดเล็กน้อย แต่ก็เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง เอามาแลกหินจิตวิญญาณกับศพปีศาจของเจ้าก็แล้วกัน นับว่าเหลือเฟือแล้ว”
เด็กหญิงกล่าวจบ ก็พลิกมือข้างหนึ่งหยิบเล่มคัมภีร์สีดำที่ดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อยออกมา และโยนออกไปพร้อมกับยันต์ในมือและแหวนย่อส่วน
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หลิ่วหมิงได้แต่กล่าวขอบคุณ และรับสิ่งของไว้ จากนั้นก็เก็บสิ่งของบนพื้นทั้งหมดใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน
ส่วนคัมภีร์เล่มนั้นเขาย่อมโยนเข้าไปในแหวนย่อส่วนพร้อมกันโดยไม่คิดจะดูเลยแม้แต่น้อย
“ใช่สิ! เรื่องของคนเผ่าทรายเหล่านั้น เจ้าไม่ต้องไปสนใจแล้ว ในเมื่อพวกเขาเป็นคนที่ติดตามข้าในปีนั้น หลายปีมานี้ก็นับว่าเคารพข้ามาก รอข้าจัดการหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นได้ ย่อมไปช่วยพวกเขาเอง” เด็กหญิงมองดูหลิ่วหมิง และกล่าวออกมา
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเสียงคาถาที่ยากจะเข้าใจดังออกจากปากของเด็กหญิง มือเล็กๆ โบกไปยังทิศทางบางแห่ง และปล่อยพลังออกไป
……
ในขณะเดียวกัน นอกพระราชวัง
หลังจากหลิ่วหมิงเข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว ซาฉู่เอ๋อร์ก็หาสถานที่เล้นลับแห่งหนึ่งเพื่อทำการซ่อนตัว
ขณะนี้นางกำลังขมวดคิ้วมองไปทางพระราชวังด้วยสีหน้าร้อนใจ มือข้างหนึ่งถูชายเสื้ออยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงเข้าไปนานเกือบครึ่งวันแล้ว แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย นางรู้สึกร้อนใจมากแต่กลับไม่รู้จะทำอย่างไร
“หรือว่าจะเกิดเรื่องกับพี่หลิ่ว?” ซาฉู่เอ๋อร์เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา แต่เนื่องจากคำสาบานของเผ่าทราย นางก็ไม่อาจเสี่ยงเข้าไปได้
ขณะที่กำลังรออย่างร้อนใจนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาจากด้านในประตูใหญ่ของตำหนัก
ไม่นาน หุ่นมนุษย์สีทองก็มาปรากฏตัวหน้าประตู และพุ่งมาทางที่ซาฉู่เอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่โดยไม่พูดทำเพลง
หุ่นสีทองเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก สองสามอึดใจก็มาถึงตรงหน้าสิ่งก่อสร้างที่หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่ และกระโดดข้ามสิ่งก่อสร้างไปโดยตรงก่อนมาปรากฏตัวตรงหน้าซาฉู่เอ๋อร์
ซาฉู่เอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบพุ่งถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว และอยู่ห่างจากหุ่นสีทองไปสิบกว่าจั้ง นางพลิกฝ่ามือเกาะตัวดาบทรายขึ้นมา และจ้องมองหุ่นมนุษย์ด้วยท่าทีระแวดระวัง
หุ่นสีทองกลับพร่ามัวในทันที และหายวับมาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงสาว
พอซาฉู่เอ๋อร์สะบัดดาบทรายด้วยความตกใจ มันก็ฟันออกไปเป็นแถบผ้าสีดำ
แต่พอแขนข้างหนึ่งของหุ่นสีทองพร่ามัว แถบผ้าสีดำก็ถูกขยี้จนแตกกระจุย จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกาย ซาฉู่เอ๋อร์รู้สึกชาที่ท้ายทอย ไม่นานก็หมดสติไป
หุ่นสีทองเคลื่อนไหวอีกที ก็อุ้มซาฉู่เอ๋อร์ไว้ และพุ่งไปที่ประตูใหญ่ของพระราชวังอย่างรวดเร็ว
……
ภายในห้องโถง
ขณะนี้เด็กหญิงกำลังพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วหมิงอยู่ ดูเหมือนว่าจะทำการอธิบายเรื่องราวบางอย่างอยู่
“นี่คือแผนที่ของพระราชวัง ข้าได้ทำเครื่องหมายเส้นทางเอาไว้แล้ว ยังมีกริชทำลายวิญญาณนี้ เจ้าก็พกมันไปด้วย เปลือกภายนอกของหุ่นจิตวิญญาณแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีแต่อาวุธเวทชิ้นนี้เท่านั้นที่สามารถทำลายแกนด้านในของมันได้ จำไว้ให้ดี”
ขณะที่พูด เด็กหญิงก็สะบัดมือโยนสิ่งของให้หลิ่วหมิงสองชิ้น และให้เขาจดจำเส้นทางที่สามารถช่วยเขาหาหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นพบ
หลิ่วหมิงมองดูกริชแวววาวในมือที่เกือบจะโปร่งใส มีแสงแวววาวหมุนวนอยู่บนนั้นไม่หยุด และแผ่ไอเย็นสะท้านออกมาเป็นระยะๆ
เขาใจเต้นขึ้นมาทันที ในมือถือกริชทำลายวิญญาณกรีดไปตรงหน้าเบาๆ ภายใต้การเปล่งประกายของแสงเย็นสะท้าน พลันเกิดเสียงดังขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าอากาศรอบด้านก็สั่นสะเทือนหวึ่งๆ ตามไปด้วย
เขาไม่ได้ใส่พลังเวทลงไปเลยแม้แต่น้อย กริชเล่มนี้ก็มีพลังเช่นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธเวทในตำนานที่แท้จริง
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจระคนดีใจอย่างอดไม่ได้
“เอาล่ะ! เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้ จำเส้นทางให้ดี รีบออกเดินทางเถอะ จำไว้ให้ดีเจ้ามีเวลาแค่สามชั่วยามเท่านั้น” เด็กหญิงทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีของหลิ่วหมิง นางแค่กำชับไปสองประโยคเท่านั้น
หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าตอบรับ
เด็กหญิงตบมือขวาไปยังที่วางแขนบนเก้าอี้หินปะการังเบาๆ จากนั้นมือทั้งสองก็ทำท่ามือในทันที
แสงสีขาวเปล่งประกายใต้เท้าหลิ่วหมิง ค่ายกลขนาดใหญ่หลังหนึ่งเปล่งประกายออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าภาพรอบด้านพร่ามัว จากนั้นก็หายวับไปปรากฏตัวบนระเบียงทางเดินยาวๆ แห่งหนึ่ง
ระเบียงทางเดินค่อนข้างกว้างขวาง ทางเดินค่อนข้างยาวและลึกมาก ไม่ไกลจากทางเดินมีรูปสลักหินโบราณมากมาย ไม่รู้ว่าขุยตี้แห่งหนานฮวงแกะสลักด้วยตัวเองหรือเปล่า
หลิ่วหมิงส่ายหน้า พอสงบจิตใจแล้วพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นหยกสีเงินก็ปรากฏออกมา เขาเพียงแค่นำมันมาแปะบนหน้าผาก จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า
แม้ทั่วทั้งพระราชวังจะดูไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ แต่ว่าทางไปตำหนักด้านข้างที่มีหุ่นจิตวิญญาณนี้อยู่ มันจึงดูไกลกว่าที่หลิ่วหมิงคิดไม่น้อย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลังจากเขาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปมา ก็มาถึงระเบียงทางเดินยาวๆ ที่มืดมิดจนยื่นมือออกไปก็มองเห็นนิ้วทั้งห้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบนำหินแสงจันทราสีขาวสลัวๆ ออกมาจากแหวนย่อส่วน หลังจากใส่พลังเวทเข้าไปเล็กน้อย หินแสงจันทราก็เปล่งประกายแวววาว แสงทรงกลดสีขาวสลัวๆ ส่องแสงออกมาจากหิน
เขาโยนหินแสงจันทราไปบนอากาศ ทันใดนั้นระเบียงทางเดินทั้งสายก็ถูกแสงสีขาวส่องสว่าง
ผลลัพธ์คือฉากที่ทำให้เขารู้สึกตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
พอมองออกไป ระเบียงทางเดินยาวๆ ด้านหน้ามีหุ่นชนิดต่างๆ ยืนอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่ล้วนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเท่านั้น
“สมกับเป็นที่อยู่ของขุยตี้แห่งหนานฮวงจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีหุ่นมากมายเช่นนี้!” หลิ่วหมิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา เขาสังเกตดูหุ่นเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เดินไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
ห่างจากด้านข้างเขาไปไม่ไกล หุ่นร่างมนุษย์ในชุดเกราะเงินตัวหนึ่งกำลังยืนอย่างภาคภูมิ ในมือยังถือดาบสีขาวแวววาวราวกับหยก มุมหนึ่งของดาบมีลวดลายชั้นจำกัดค่ายกลสีดำจางๆ ยี่สิบเจ็ดเส้นปรากฏอยู่รำไร
อีกด้านหนึ่ง หุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์สีเขียวสองตัวที่เหมือนกับที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายควบคุมก็ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
ส่วนระเบียงทางเดินทั้งสองด้านก็มีหุ่นชนิดต่างๆ ยืนอยู่หลายร้อยตัว
ในนี้มีหุ่นวิหคหินดำ หุ่นวานรยักษ์ และหุ่นนักรบชุดเกราะ ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงเคยเห็นนอกวังมาก่อน พลังของแต่ละตัวอยู่ที่ระดับของเหลวไปจนถึงระดับผลึก
ภายใต้สถานการณ์ที่ระดับการฝึกฝนของเขาถูกระงับไว้ คงสามารถรับมือกับจำนวนหนึ่งในนั้นได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากเข้ามาพร้อมกันหลายร้อยกว่าตัวล่ะก็ เขาคงได้แต่วิ่งหนีไปไกลๆ แล้ว
ตอนที่ 724 แดนมายา (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดีที่ว่าเด็กหญิงผู้นั้นไม่ได้โกหกเขา หุ่นเหล่านี้ถูกคุมขังด้วยด้วยเคล็ดวิชาค่ายกลทั้งหมดแล้ว ขณะนี้พวกมันต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้นที่มีชีวิต
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงที่ระมัดระวังมาตัวมาโดยตลอด ก็ยังคงตรวจสอบดูสถานการณ์รอบๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าวิธีการของเด็กหญิงจะหมดประสิทธิภาพ ยังผลให้หุ่นเหล่านี้เคลื่อนไหวอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงนอกตำหนักข้างแห่งหนึ่งที่ปรากฏบนแผนที่
ดูเหมือนว่าประตูใหญ่ทั้งสองบานของตำหนักข้างจะถูกปกคลุมไว้ มีแสงสว่างลอดออกมาจากรอยแยกประตู
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอทำท่ามือด้วยมือด้วยมือข้างหนึ่ง ก็คิดที่จะตรวจสอบดูสถานการณ์ด้านใน แต่ขณะนั้นเองกลับมีเสียงราบเรียบของผู้หญิงดังเข้ามา
“ในเมื่อขุยตี้แห่งหนานฮวงส่งเจ้ามา ยังจะทำลับๆ ล่อๆ อะไรอีก เข้ามาเถอะ!”
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกขนลุกซู่
“แย่แล้ว! หรือว่าชั้นกำจัดจะหมดประสิทธิภาพแล้ว?” เขาครุ่นคิดเช่นนี้โดยไม่รู้ตัว
เขายังไม่ทันมีท่าทีใดๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังในฉับพลัน และปะปนไปด้วยเสียงเสียดสีของโลหะ
หลิ่วหมิงหันไปมองด้วยความตกใจ จะเห็นว่ามีพายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นบนทางเดินด้านหลัง ฝุ่นทรายสีดำม้วนตัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที ไอดำม้วนตัวออกจากมือโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก ทำให้ประตูตำหนักข้างเปิดออก จากนั้นก็หายวับเข้าไปหลบในตำหนัก
พริบตาที่เขาเข้าไปด้านใน พายุบ้าระห่ำด้านหลังก็หยุดชะงักลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่เสียงโลหะเสียดสีกันก็หายเงียบไป ราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน
“แย่แล้ว! เป็นวิชามายา!”
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา ขณะที่คิดจะถอยไปด้านหลังนั้น ประตูใหญ่สองบานที่อยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงดัง “โครม!” และปิดตัวลง
“ในเมื่อเข้ามาแล้ว ตอนนี้ก็คงจะตอบคำถามข้าได้แล้วสินะ” หญิงสวมชุดชาววังสีเขียว ใบหน้าธรรมดา คิ้วค่อนข้างเข้ม กำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา นางก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่โต้ตอบแต่อย่างใด เพียงแค่สังเกตดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว
ตำหนักข้างแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก นอกจากจะมีหุ่นขนาดต่างๆ ไม่กี่ตัวยืนกระจายอยู่รอบด้านแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ตามที่เด็กหญิงเล่าในก่อนหน้า หญิงสวมชุดชาววังผู้นี้ก็คือหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นนั่นเอง
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของนางจะไม่ค่อยดีมากนัก ใต้เก้าอี้ของนางมีค่ายกลสีเขียวเข้มขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ในระหว่างที่นางพูด ริมฝีปากทั้งคู่เพียงแค่ขยับเล็กน้อย ตั้งแต่ลำคอลงมาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย ดูท่าจะถูกชั้นจำกัดคุมขังไว้แล้ว
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสังหารนาง
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง แสงแวววาวก็เปล่งประกายบนมือ ทันใดนั้น กริชทำลายวิญญาณก็ปรากฏออกมา และเขาก็ก้าวยาวๆ เข้าหาหญิงผู้นี้
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มาจากภายนอก แม้กระทั่งชิงหลิงพูดอะไรกับเจ้า ข้าก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง เดิมทีตอนที่เจ้าเข้ามาในวังแห่งนี้ ข้าก็คิดที่จะเคลื่อนย้ายเจ้ามาที่นี่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าโดนหญิงสารเลวผู้นั้นแย่งไปก่อน มิเช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงจะนำกระบี่วิญญาณน้ำแข็งของข้าไปหานางแล้ว” หญิงชุดชาววังสีเขียวค่อยๆ กล่าวออกมา นางไม่มีท่าทีลนลานบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“หลิ่วหมิงกลับทำราวกับไม่ได้ยิน และยังคงเดินเข้ามาไปทีละก้าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“หญิงสารเลวนั่นคงจะบอกเจ้าว่านางคือวิญญาณแบ่งของขุยตี้แห่งหนานฮวงสินะ และข้าก็เป็นแค่หุ่นจิตวิญญาณที่ทรยศตัวหนึ่ง แต่หากข้าบอกเจ้าว่า แท้จริงแล้วข้าถึงเป็นวิญญาณแบ่งของขุยตี้ เจ้าจะทำอย่างไร?” หญิงสวมชุดชาววังสีเขียวกล่าวด้วยรอยยิ้มในฉับพลัน
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็หดรูม่านตาลง ฝีเท้าที่ก้าวออกมาก็ค่อยๆ ช้าลง
“หญิงสารเลวชิงหลิงนั่นถึงเป็นหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้น ผลประโยชน์ที่ให้เจ้าก็เพียงน้อยนิด หากเจ้ามาช่วยข้ากำจัดนางล่ะก็ รอข้าควบคุมสมบัติแห่งสวรรค์ได้ทั้งหมดแล้ว ข้าสามารถรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรงได้ และจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาหุ่นที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งหนานฮวงในตอนนั้นให้กับเจ้าทั้งหมด แม้กระทั่งยังช่วยเจ้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้ และระดับดาราพยากรณ์ได้อย่างง่ายดาย” หญิงชุดชาววังสีเขียวกล่าวด้วยสีหน้าสงบ แม้ว่าน้ำเสียงจะราบเรียบเป็นอย่างมาก แต่คำพูดที่พูดออกมา มันยั่วยวนใจจนยากที่จะปฏิเสธได้
“ช่วยข้าเข้าสู่ระดับแก่น ระดับดาราพยากรณ์หรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หยุดฝีเท้าลง และจ้องมองหญิงสวมชุดชาววังก่อนกล่าวออกมา
“ไม่ผิด! เพียงแค่ข้าสามารถควบคุมสมบัติแห่งสวรรค์ชิ้นนี้ได้ การฟื้นฟูพลังในปีนั้น ก็เป็นเรื่องที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า การช่วยเจ้าบรรลุระดับเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น” หญิงชุดชาววังสีเขียวกล่าวด้วยตาที่เป็นประกายเล็กน้อย
และหลิ่วหมิงกลับยืนเงียบอยู่ที่เดิม ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงค่อยกล่าวออกมา
“หากเจ้าสามารถทำการสาบานใหญ่ได้ล่ะก็ ข้าอาจจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาได้ แต่ก่อนอื่นข้ายังมีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
“เงื่อนไขอะไร เจ้ารีบพูดมาดูก่อน!” หญิงสวมชุดชาววังสีเขียวได้ยินเช่นนี้ ก็ถามออกไปอย่างไม่ลังเล
“เงื่อนไขของข้าก็คือ…ต้องการชีวิตของเจ้า!”
หลิ่วหมิงที่ดูเหมือนจะลังเลอยู่ พลันตะคอกออกมาในทันที พอเท้าข้างหนึ่งแตะลงพื้น ร่างของเขาก็พุ่งยิงออกไปราวกับลูกธนู การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงชุดชาววัง และแทงไปที่หน้าท้องของนาง
เมื่อเผชิญกับการลุกฮือของหลิวหมิงหญิงสาวชุดชาววังไม่เพียงแต่จะไม่แสดงสีหน้าความประหลาดใจเท่านั้น แต่กลับหัวเราะเบาๆ และพูดคำว่า “เคลื่อนย้าย!” ออกมา
พริบตานั้น ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสวมชุดชาววังก็เปล่งแสงสีขาวออกมาสองกลุ่ม มีอักขระสีขาวเล็กๆ จำนวนมากปรากฏออกมาจากในนั้นอยู่รำไร ได้ยินเสียงพายุบ้าระห่ำหมุนวนอยู่ไม่หยุด
พริบตาที่สายตาหลิ่วหมิงมองดูแสงสีขาวในดวงตาทั้งสองของนาง ก็พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” จากนั้นก็รู้สึกศีรษะหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้ แขนขาอ่อนแรงลงในฉับพลัน
กริชที่เดิมทีอยู่ห่างจากท้องของหญิงนางนี้ไม่ถึงครึ่งฉื่อ สั่นสะท้านและหยุดชะงักลง
“แย่แล้ว! เป็นวิชามายา!”
ดวงตาทั้งสองของหลิ่วหมิงไม่อาจละออกจากแสงสีขาวในดวงตาของนางได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ลองกระตุ้นพลังจิตต้านทานด้วยความตกใจ เพื่อที่ทำให้ตนเองได้สติขึ้นมา และยังใช้มืออีกข้างหยิบโซ่สะกดวิญญาณออกจากแหวนย่อส่วน และพยายามอาศัยพลังของโซ่สะกดวิญญาณต้านทานวิชามายานี้
“สหายลำบากมาถึงที่นี่ ไม่รู้สึกว่าลำบากเกินไปหรือ? ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ถึงจะถูก…” หญิงสวมชุดชาววังเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่ได้ล้มลงไปในทันที แววตาของนางก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย น้ำเสียงที่ออกมาจากปากดูอ่อนโยน และดูเหมือนจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงจ้องอยู่ที่เดิม และรู้สึกว่าศีรษะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ พอได้ยินคำพูดที่ดูเหมือนจะดังมาจากที่ไกลแสนไกล ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยเงาร่างพร่ามัวของหญิงสาวชุดชาววัง ความรู้สึกเมาค่อยๆ พุ่งขึ้นบนศีรษะอย่างช้าๆ มือที่กดอยู่บนแหวนย่อส่วนไม่อาจนำโซ่สะกดวิญญาณออกมาได้อีก
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนเองจะตกอยู่ในวิชามายาจนไม่อาจถอนตัวได้ ทันใดนั้นเขาก็กัดลิ้นตัวเองอย่างรุนแรง และอ้าปากพ่นหมอกโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง
หมอกโลหิตเพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ จากนั้นก็กลายเป็นอักขระสีเลือดจำนวนมาก และม้วนตัวกะพริบเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง
สายตางงงวยของหลิ่วหมิงชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว มือเท้าก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสวมชุดชาววังก็ปิดบังสีหน้าตกใจไม่มิด แต่ก็เสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“คนทั่วไปที่โดนวิชามายาของข้า จะสูญเสียการรับรู้ในพริบตา คิดไม่ถึงว่าแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนหนึ่ง จะสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ ฮึ! แต่ก็ยืนหยัดได้ชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้ไปนอนซะเถอะ!”
พอน้ำเสียงของนางสิ้นสุดลง แสงสีขาวในดวงตาก็เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
“ฟู่!” อักขระสีทองตัวหนึ่งถูกพ่นออกจากปากของนาง พริบตาเดียวก็ไปประทับอยู่บนหน้าผากของหลิ่วหมิง
ทันใดนั้น แสงสีทองเข้มข้นก็ห่อหุ้มร่างของหลิ่วหมิงไว้ จนร่างของเขาค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมา
หลิ่วหมิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างแตกกระจายในสมอง จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง และไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีก
แต่ก่อนที่สติสุดท้ายของเขาจะล่องลอยออกไปนั้น พลันได้กลิ่นของธูปหอมที่เข้มข้น และน่าดมเป็นอย่างมาก และบรรยากาศรอบด้านก็เงียบเป็นอย่างยิ่ง ไม่เสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย…
……
“ท่านพี่! ท่านอย่าได้ทำให้ข้าตกใจ รีบฟื้นขึ้นมา รีบฟื้นขึ้นมา!”
ภายใต้บ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง หญิงหน้าตาธรรมดาที่สวมชุดเรียบๆ กำลังนั่งอยู่บนหัวเตียงด้วยสีหน้าร้อนใจ นางเขย่าตัวชายวัยกลางคน ใบหน้างดงาม ที่สวมชุดบัณฑิตนอนอยู่บนเตียงเบาๆ
ชายผู้นี้กำลังหลับตาสนิท แก้มทั้งสองแดงเล็กน้อย เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ผุดออกจากหน้าผากตลอดเวลา จนผ้าห่มบนเตียงเปียก
ขณะนี้ เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง กำลังยกอ่างน้ำเย็นเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ท่านแม่ ข้าตักน้ำมาแล้ว ท่านพ่อยังไม่ฟื้นหรือ? ต้องไปเชิญท่านหมอหูจากหมู่บ้านใกล้ๆ มาตรวจชีพจรหรือไม่?” เด็กชายวางอ่างไม้ไว้บนโต๊ะ และดึงชายเสื้อของหญิงผู้นี้ก่อนกล่าวออกมาเบาๆ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อของเจ้าไม่ได้สติ ครั้งก่อนท่านหมอหูก็มาดูแล้ว และก็บอกไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร สุดท้ายผ่านไปสามชั่วยามเต็มๆ ถึงฟื้นขึ้นมา อีกอย่างบ้านเราก็ไม่มีเงินไปเชิญท่านหมอหูแล้ว” หญิงผู้นี้เม้มปากที่แตกแห้งเล็กน้อย และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเดินสองสามก้าวไปที่โต๊ะ และยกอ่างไม้ขึ้นมา หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งแล้ว ก็หยิบกระบวยตักน้ำในอ่างรดใส่ชายที่อยู่บนเตียง
หลังจากมีเสียงดัง “ซ่า!” ชายผู้นี้ก็ลุกขึ้นจากเตียงในทันที เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาและสะบัดศีรษะ
“ท่านพ่อ! ท่านฟื้นแล้ว!”
เด็กชายเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา เขาวิ่งไปที่เตียงกอดแขนชายผู้นี้ไว้
ชายผู้นี้ยื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเด็กชาย จากนั้นก็หันไปมองหญิงผู้นี้แล้วถามขึ้นเบาๆ
“เหลียนซี ข้าหมดสติไปอีกแล้วหรือ? นานเท่าใดแล้ว?”
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน แม่มีเรื่องจะคุยกับพ่อของเจ้า” ขอบตาของหญิงผู้นี้แดงเล็กน้อย หลังจากมองดูชายผู้นี้ทีหนึ่ง และกล่าวกับเด็กชายแล้ว ก็เดินกลับมาที่หัวเตียง
“ทราบ! ท่านแม่!” เด็กชายพยักหน้าอย่างรู้งาน จากนั้นก็ยกอ่างไม้บนโต๊ะเดินออกไปนอกห้อง และปิดประตูเบาๆ
“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านลำบากอ่านหนังสือทุกคืน เพื่อที่จะสอบได้ลาภยศ แต่ท่านลำบากอ่านหนังสือไม่หยุดพักเช่นนี้ เกรงว่าไม่ทันสอบได้ ร่างกายก็จะพังเสียก่อน” หญิงผู้นี้ก้มหน้าพูดด้วยสีหน้าระทมทุกข์ มีน้ำตาคลอออกมาตรงเบ้าตา
ตอนที่ 725 แดนมายา (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ต้องโทษที่ข้าไร้ความสามารถ สองปีแล้วยังสอบไม่ติด แต่ข้าได้นัดกับบัณฑิตคนอื่นๆ แล้วพวกเราจะไปทบทวนบทเรียนด้วยกันที่ห้องหนังสือแห่งหนึ่งในอำเภอ เพื่อเตรียมการสอบในครึ่งปีให้หลัง สิ้นเดือนนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว น้องพี่วางใจเถอะ! วันหน้าข้าหลิ่วหมิงจะต้องสอบติดจอหงวน และสวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้านเกิด ให้เจ้ากับเฟิงเอ๋อร์ได้ใช้ชีวิตที่ดีๆ” ชายวัยกลางคนกอดหญิงคนรักไว้ในอ้อมอก และพูดข้างหูของนางเบาๆ
พอได้ยินว่าเขาจะไปจากหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อเข้าไปในเมือง นางก็ไม่อาจทนความอัดอั้นตันใจได้อีก น้ำตาอุ่นๆ สองสายไหลออกมาอย่างเงียบๆ
“ท่านพี่ ท่านจงไปอย่างวางใจเถอะ! เรื่องในบ้านมีข้าคอยดูแลอยู่ เฟิงเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว รู้เรื่องหมดแล้ว ท่านจงอ่านหนังสืออย่างสบายใจ สอบได้ลาภยศในเร็ววัน แต่ว่าท่านพี่ต้องระมัดระวังสุขภาพให้มาก อย่าได้หักโหมเกินไปเด็ดขาด ท่านปฏิบัติต่อตนเองขาดตกบกพร่องเช่นนี้ หากไม่มีสุขภาพดีๆ แล้ว ต่อให้จะสอบได้ลาภยศแล้วจะทำอะไรได้?” หญิงสาวกัดริมฝีปากสีแดงเบาๆ นางพยายามอดกลั้นความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ไว้ และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“น้องพี่วางใจเถอะ! ข้าไปในครั้งนี้หากสอบไม่ติดก็จะไม่กลับบ้าน!” ชายวัยกลางคนตบหลังหญิงผู้นี้เบาๆ และกล่าวด้วยสายตาหนักแน่น
หญิงสาวได้ยินก็มีสีหน้าซีดขาว นางอยากจะพูดอะไรออกมา ก็กลัวจะทำร้ายความกระตือรือร้นของสามี จึงได้แต่ซ่อนความเจ็บปวดไว้ในใจ และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เจ็ดวันต่อมา ข้างทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ นอกหมู่บ้าน ชายสวมชุดสีขาวที่สะพายห่อผ้าสัมภาระอยู่บนหลัง กำลังโบกมือให้กับแม่ลูกคู่หนึ่งอย่างอาลัยอาวรณ์
ชายผู้นี้กอดภรรยาของเขาไว้แน่น หลังจากจูบหน้าผากของนางเบาๆ แล้ว ก็โค้งตัวไปลูบศีรษะของบุตรชาย
“เฟิงเอ๋อร์ ดูแลแม่ของเจ้าให้ดี พ่อจะรีบกลับมาโดยเร็ว” ชายวัยกลางคนระงับความอาลัยอาวรณ์ไว้ในใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อ เฟิงเอ๋อร์รู้แล้ว ข้ากับท่านแม่จะรอท่านกลับมาอยู่ที่บ้าน” เด็กชายพยักหน้าและกล่าวด้วยสายตาหนักแน่น
ชายวัยกลางคนตบหัวเด็กชายเบาๆ อีกครั้ง หลังจากหัวเราะออกมาเบาๆ แล้ว ก็หมุนตัวเกินไปยังปากทางหมู่บ้าน และไม่หันหน้ากลับมาอีก
เพราะเขากลัวว่าหากหันจะกลับไป อาจทำให้สูญเสียความกล้าที่จะเดินจากไปได้
ภรรยาและลูกยังคงมองดูแผ่นหลังของเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์ เขาเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นจุดสีขาว และหายไปตรงปลายถนนเส้นเล็กๆ
ครึ่งเดือนต่อมา ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากบ้านของสกุลหลิ่วไปหลายร้อยลี้
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี บนถนนสายหลักที่ทอดยาวจากทางด้านตะวันตกไปทางตะวันออก มีผู้คนเบียดเสียดกันจำนวนมาก เสียงตะโกนของพ่อค้าหาบเร่ และลูกน้องของร้านค้าต่างๆ ส่งเสียงดังอยู่ไม่หยุด เป็นภาพที่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ชายวัยกลางคนใบหน้างดงาม สวมชุดสีขาว กำลังแบกห่อผ้าค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องหนังสือที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนสายหลัก
ตั้งแต่นั้นมา ห้องรับรองในห้องหนังสือแห่งนี้ ก็มีแสงตะเกียงส่องสว่างทุกคืน มันส่องสะท้อนเงาคนผู้หนึ่งที่ถือหนังสือ และส่ายศีรษะเพื่อศึกษาอย่างตั้งใจ
ครึ่งปีต่อมา ตรงหน้าป้ายเกียรติยศ มีศีรษะของคนเบียดขยับไปมา เสียงแสดงความยินดี และเสียงคร่ำครวญดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“พี่หลิ่ว อย่าท้อใจไปเลย ปีนี้สอบไม่ได้ ปีหน้าก็ยังสามารถสอบได้อีก” บัญฑิตชุดฟ้าที่อยู่ค่อนข้างติดกับด้านหน้ากล่าวกับชายชุดสีขาวที่อยู่ด้านข้าง
“สามปีล้วนสอบไม่ติด ข้าผู้แซ่หลิ่วช่างรู้สึกละอายใจต่อครอบครัวจริงๆ” ชายชุดขาวส่ายหน้าด้วยสีหน้าเงียบกริบ และค่อยๆ เบียดตัวออกไปจากฝูงชนที่ส่งเสียงอึกทึกครึกครื้น
ครึ่งเดือนต่อมา ภายในบ้านสกุลหลิ่ว
“ท่านแม่ มีจดหมายมา ท่านพ่อเขียนมาให้ท่าน!” เด็กชายถือม้วนแผ่นไม้ไผ่วิ่งไปในนาข้าวที่มีความสูงเท่าคนด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หญิงที่สวมชุดเรียบๆ ได้ยินเช่นนี้ก็หยุดทำงานทันที นางเอามือทั้งสองเช็ดกระโปรง จากนั้นก็รับม้วนไม่ไผ่ในมือเด็กชายออกมาเปิดดูด้วยรอยยิ้ม
แต่ว่ารอยยิ้มของนางกลับค่อยๆ หดลง และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกรันทดใจ
“เฟิงเอ๋อร์ พ่อของเจ้าอาจยังต้องอยู่ในเมืองอีกปี ปีหน้าถึงกลับมา” หญิงนางนี้ค่อยๆ เก็บแผ่นไม้ไผ่และฝืนยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าเด็กชายจะเข้าใจอะไรบางอย่างเล็กน้อย จึงก้มหน้าลงเงียบๆ และไม่พูดอะไรออกมา
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
หนึ่งปีมานี้ ทั้งสองแม่ลูกมีชีวิตประคับประคองกันมาด้วยความยากลำบาก
ในบ้านขาดบุรุษไป ก็เหมือนกับขาดเสาหลัก ยิ่งไปกว่านั้นแหล่งรายได้ก็ลดลงไปไม่น้อย บวกกับภัยแล้งในปีนี้ ไม่เพียงแต่การเก็บเกี่ยวจะไม่ดี ทั้งยังรายได้ไม่พอกับรายจ่าย นางกัดฟันขายวัวแก่ที่เหลืออยู่ตัวเดียวในบ้าน เพื่อแลกเงินจำนวนหนึ่ง ถึงสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายไว้ได้
แต่ทว่าม้วนแผ่นไม้ไผ่แบบเดียวกัน ก็บ่งบอกว่าชายผู้นี้ยังไม่มีชื่อในป้ายเกียรติยศ และทั้งสองแม่ลูกก็ไม่ยังไม่ได้เห็นชายผู้นี้สวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้าน
ทั้งสองรอจนเวลาผ่านไปอีกสามปี!
บนเตียงไม้ในบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง
ในที่สุดหญิงนางนี้ก็ป่วยเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายปี ในบ้านตอนนี้ไม่มีเม็ดข้าวสารเหลือเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่สามารถขายได้ก็ขายไปหมดแล้ว
“ท่านแม่ มีจดหมายจากท่านพ่อ!” เด็กชายวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยความดีใจอีกครั้ง และโผไปที่หัวเตียงของนาง
ตอนนี้เด็กชายมีอายุสิบสองปีแล้ว เขาโตขึ้นกว่าสามปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด สูงถึงหกฉื่อแล้ว รูปร่างก็สูงใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กๆ คนนั้นแล้ว
“แค่ก…แค่ก…” พอหญิงผู้นี้ได้ยินก็พยายามลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่นางกลับไอไม่หยุด
“ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรนะ!” เด็กชายก้าวไปพยุงนางขึ้นมา และถามด้วยความเป็นห่วง
“แค่กๆ…เฟิงเอ๋อร์ หลายปีมานี้แม่ได้สอนหนังสือให้เจ้าไม่น้อย ครั้งนี้แม่…แค่ก…จะทดสอบเจ้า เจ้าเปิดมันออกแล้วอ่านให้แม่ฟังซิ” หญิงนางนี้กระแอมไอสองสามที จากนั้นก็เอนหลังลงบนเตียง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“เหลียนซี ข้าไร้ความสามารถ ผ่านมาตั้งหกปีแล้วยังสอบไม่ติด ไม่มีหน้ากลับไปพบหน้าบรรดาพี่น้องในหมู่บ้านได้ แต่ข้าคิดถึงเจ้ากับเฟิงเอ๋อร์มาก ช่วงนี้พวกเจ้าทั้งสองสบายดีหรือไม่ ข้าจะเฝ้ารอวันที่ได้พบกับพวกเจ้า ท่านแม่ ท่านพ่อไม่ได้…….” พอเด็กชายอ่านถึงตอนท้าย น้ำเสียงที่ตื่นเต้นก็ค่อยๆ ลดต่ำลง
“เฟิงเอ๋อร์……แค่กๆ……ไป รีบไปเอาพู่กันกับกระดาษมาตอบจดหมายของพ่อเจ้า” หญิงผู้นี้ได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าร้อนใจ
ครึ่งเดือนต่อมา ห้องรับรองในห้องหนังสือในเมือง ชายชุดสีขาวกำลังถือจดหมายจากที่บ้านด้วยสีหน้าซีดเผือด เขาไม่ได้เห็นลายมือของภรรยารัก แต่กลับเป็นลายมืออ่อนหัดของบุตรชายแทน
“ท่านพี่ ข้ากับเฟิงเอ๋อร์สบายดีทุกอย่าง ท่านอ่านหนังสืออย่างวางใจได้เลย พวกเราอยู่บ้านรอท่านกลับมา เฟิงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่จะอ่านหนังสือฝึกตัวอักษร ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาหวังว่าจะมีสักวันที่ได้ไปขี่ม้าในสนามรบ รับใช้บ้านเมือง”
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไปอีกสามปี
วันนี้ ตรงหน้าหลุมฝังศพแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลผู้คน ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังถือจดหมายอยู่ในมือ ดวงตาของเขาเผยแววโกรธแค้น และเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงไม่ยอมให้ข้าบอกท่านพ่อ ท่านป่วยหนักถึงเพียงนี้ ยังให้ข้าตอบจดหมายกลับไปทุกครั้งว่าพวกเราสองแม่ลูกสบายดี เพราะเหตุใดกัน? ท่านพ่อจากบ้านไปนานถึงแปดเก้าปี แต่กลับไม่เคยกลับมาเยี่ยมพวกเราเลยสักครั้ง ตอนนี้ท่านแม่ก็จากไปแล้ว แต่เขากลับไม่รู้เรื่องเลย”
“ปีนี้เขาสอบตกอีกแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะรอไปจนถึงวันไหน สอบติดขุนนางสำคัญกับเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ? ถึงขนาดไม่กลับมาดูลูกเมียเป็นเวลานานเช่นนี้? เขาจะหลงงมงายไปจนถึงเมื่อไหร่กัน!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง น้ำตาสองสายก็ไหลทะลักออกมา ชายหนุ่มชกกำปั้นใส่หินขนาดใหญ่ข้างหลุมศพอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!” เกิดรอยร้าวเล็กๆ บนหิน และหลังมือของชายหนุ่มก็เปื้อนไปด้วยเลือด
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องหนังสือในเมือง ยังคงอ่านหนังสือทุกคืนวันอย่างไม่หยุดพัก
เก้าปีมานี้ เขาลืมซึ่งวันและเวลา ราวกับว่าเพียงแค่อ่านหนังสือ ก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด แต่ละวันก็จะอ่านหนังสือซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในที่สุด เมื่อถึงปีที่สิบ
“สหายหลิ่ว ในที่สุดท่านก็สอบติดแล้ว ทั้งยังติดในสามอันดับแรกด้วย”
“ติดแล้ว ติดแล้ว ในที่สุดก็ติดแล้ว!” หลิ่วหมิงถือกระดาษหนังสือทางการด้วยมือที่สั่นเทา บนนั้นมีคำว่า ‘อันดับสาม’ ติดอยู่ ด้านล่างยังมีชื่อของเขากับตราราชลัญจกรสี่เหลี่ยมสีแดงประทับอยู่
เขาลูบจอนผมสีขาวทั้งสองข้างเบาๆ จัดระเบียบรูปร่างหน้าตาเล็กน้อย น้ำตาสองทรายไหลออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะเป็นการใหญ่
วันนี้หมู่บ้านสกุลหลิ่วดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ
เส้นทางเข้าหมู่บ้านเพียงหนึ่งเดียว มีคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“คนที่อยู่ด้านหน้านั่งอยู่บนหลังม้า สวมชุดสีแดง บนศีรษะสวมหมวกทรงสูง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาก็คือหลิ่วหมิงที่ได้อันดับสามในการสอบขุนนางในครั้งนี้นั่นเอง
และคนที่อยู่ด้านหลังของเขาต่างก็สวมชุดสีแดง ตีฆ้อง ตีกลอง แลดูครึกครื้นยิ่งนัก
“หลิ่วทั่นฮวา ด้านหน้าก็เป็นหมู่บ้านสกุลหลิ่วแล้ว” คนเลี้ยงม้าที่จูงม้าอยู่ชี้ไปยังป้ายทางเข้าหมู่บ้านก่อนกล่าวกับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหรี่ตามองออกไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้าในทันที
“ข้าจะเดินกลับไปเอง คิดไม่ถึงว่าจากไปครานี้จะนานถึงสิบปี ไม่รู้ว่าตอนนี้เหลียนซีกับเฟิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” หลิ่วหมิงพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็ระงับความตื่นเต้นไว้ในใจ และเดินไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน
หลังจากมองดูป้ายหมู่บ้านเก่าๆ อีกครั้งแล้ว หลิ่วหมิงก็เร่งฝีเท้าเดินไปที่บ้านของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เทียบกับเมื่อสิบปีก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าหมู่บ้านในตอนนี้จะเงียบเหงากว่ามาก
ปากทางในหมู่บ้านที่เคยมีคนเดินขวักไขว่ กลับมีคนแก่แค่ไม่กี่คนที่ยังนั่งอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง และจัดการกับเมล็ดพืชบนพื้นอยู่
“เจ้าคือ เจ้าสามของสกุลหลิ่ว เจ้ากลับมาแล้ว!”
หญิงชราผมขาวที่อายุย่างเข้าหกสิบมองดูหลิ่วหมิงสองสามที จากนั้นก็ดูเหมือนจะจำหลิ่วหมิงได้ จึงกล่าวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ต่อมาก็ละสายออกมา ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อาหญิงห้า สายตาท่านยังคงดีมาก ข้ากลับมาแล้ว ข้าสอบติดอันดับสามแล้ว ทำไมหรืออาหญิงห้า เหลียนซีสบายดีหรือไม่ เฟิงเอ๋อร์ล่ะ?” หลิ่วหมิงเห็นท่าทีของหญิงชรา ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จึงถามด้วยความร้อนใจ
หญิงชราไม่พูดอะไร แต่กลับส่ายหน้าเล็กน้อย และถอนหายใจเบาๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าใจร่วงหล่นลงไปอย่างช่วยไม่ได้ เขารีบพุ่งตรงไปที่บ้านของตัวเองทันที
ทุกอย่างเหมือนกับสิบปีก่อน ข้ามยอดเขาลูกเล็กๆ ในหมู่บ้านไป มีบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาจากท่อนไม้กลมๆ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงออกแรงผลักประตูบ้านออก แต่กลับค้นพบว่าด้านในล้วนว่างเปล่า
ภายในบ้านไม้เก่าๆ เต็มไปด้วยฝุ่น ราวกับว่าไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว
และบนโต๊ะกับบนพื้น ก็มีอ่างไม้ที่แห้งขอดสองสามใบวางอยู่อย่างสะเปะสะปะ ประจักษ์ชัดว่าใช้รองน้ำฝนในวันที่ฝนตก และรั่วเข้ามาในบ้าน
“เฟิงเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดัง
ตอนที่ 726 หุ่นสีดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่นอกจากจะมีเสียงสะท้อนของหลิ่วหมิงดังในบ้านไม้แล้ว ก็ไม่เสียงตอบรับใดๆ อีก
“เหลียนซี! เฟิงเอ๋อร์!”
หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินออกไปจากบ้านไม้ และวิ่งไปยังนาข้าวของตนเองด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญหายเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงตะโกนไปด้วย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา ในพื้นที่นาหลังหมู่บ้าน
“เอ้อร์โก่ว ทำไมเจ้าถึงมาไถดินในที่ดินของบ้านข้า เหลียนซีกับเฟิงเอ๋อร์ไปไหนแล้ว?” หลิ่วหมิงคว้าตัวชายร่างผอมไว้ และส่งเสียงตะคอกออกมา
“เจ้าสามแห่งสกุลหลิ่ว โชคดีที่เจ้ายังมีหน้ามาถาม เจ้าจากบ้านไปถึงสิบปี ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้ชีวิตในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง แต่เจ้ากลับทนให้สองแม่ลูกรอเจ้าอยู่ที่นี่อย่างยากลำบาก” ชายร่างผอมผลักหลิ่วหมิงออกแล้วกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“เอ้อร์โก่ว เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดเจ้าถึงมาไถที่นาของบ้านข้า เหลียนซีกับเฟิงเอ๋อร์ล่ะ! เจ้ารีบพูดมา!” หลิ่วหมิงเค้นถามด้วยความวุ่นวายใจ
“หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ สี่ปีก่อนเหลียนซีป่วยเสียชีวิตเนื่องจากทำงานหนักมานาน ส่วนหลิ่วเฟิงลูกชายของเจ้า ทางการก็พาเขาไปเป็นทหารเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว ก่อนไปเขาก็ได้ขายที่ดินผืนนี้ให้กับข้าแล้ว” ชายร่างผอมตอบกลับมาเช่นนี้
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะต้องหลอกข้าเป็นแน่ ข้าได้รับจดหมายจากเฟิงเอ๋อร์ทุกปี เขากับเหลียนซีล้วนสบายดี เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เจ้าโกหกข้าเช่นนี้ มีจุดประสงค์ใดกันแน่? หรือว่าเจ้าแย่งที่ดินของบ้านข้าไป และไล่พวกเขาสองคนแม่ลูกออกไปแล้ว เจ้ารีบบอกมา!” หลิ่วหมิงก้าวไปคว้าเสื้อผ้าชายร่างผอมไว้อีกครั้ง และถามด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ใต้เท้าหลิ่ว หลิ่วทั่นฮวา ตอนนี้ท่านเป็นขุนนางใหญ่แล้ว สามัญชนอย่างข้าไหนเลยจะกล้าหลอกท่าน เรื่องนี้เขารู้กันทั้งหมู่บ้าน ไม่เชื่อก็ลองไปถามดู” ชายร่างผอมผลักหลิ่วหมิงออกไปอีกครั้ง หลังจากจัดเสื้อผ้าของตนเองแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก แต่กลับหมุนตัวไปหยิบเครื่องมือไถดินต่อ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอยออกไปสองก้าวด้วยแววตาซึมกระทือ และสะดุดเท้าล้มลงพื้น
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปในหมู่บ้านอีกครั้ง
ระหว่างทางเขาล้มลงพื้นหลายครั้งจนหน้าตาฟกช้ำดำเขียว แต่กลับปีนขึ้นมาโดยไม่สนใจต่อความเจ็บปวด และวิ่งไปต่อราวกับคนเสียสติ
หนึ่งเดือนต่อมา บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่นอกหมู่บ้านสกุลหลิ่ว ตรงหน้าหลุมฝังศพที่อยู่ห่างไกลผู้คนและเต็มไปด้วยหญ้า ชายสวมชุดสีดำขาดๆ ผมเผ้ารุงรัง กำลังนั่งคุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนพื้น มือของเขากำจดหมายสองฉบับไว้แน่น เล็บมือฝังลึกลงไปในเนื้อ โลหิตสีแดงเปื้อนมุมหนึ่งของกระดาษจดหมาย
ฉบับแรก เขาพบมันในตู้เพียงใบเดียวที่เหลืออยู่ในบ้านไม้ ซึ่งเป็นจดหมายที่หลิ่วเฟิงลูกชายของเขาเขียนเมื่อห้าปีก่อน
“ท่านพ่อ หลายปีมานี้ท่านแม่ยืนหยัดอย่างยากลำบาก ทำงานหนักจนล้มป่วย แต่กลับไม่ให้ข้าบอกท่าน แต่ท่านกลับจากบ้านไปห้าปี และไม่กลับมาดูพวกเราเลย ชื่อเสียงลาภยศเงินทองสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ท่านแม่บอกว่า การได้รับลาภยศชื่อเสียงคือความปรารถนาของท่าน แม้จะเกี่ยวพันถึงชีวิตของท่านแม่ นางก็หวังจะให้ท่านได้สมปรารถนา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าความปรารถนาของท่านแม่คือสิ่งใด? นางปรารถนาแค่ให้ท่านอยู่กับนาง ทานอาหารด้วยกันง่ายๆ อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ความจริงนี่ก็เป็นความปรารถนาของข้าด้วย”
ส่วนฉบับที่สองเป็นจดหมายที่ทางการส่งมา บนนั้นมีตัวอักษรสั้นๆ ไม่กี่แถว รอยหมึกยังใหม่อยู่ มีตราประทับทางการปิดอยู่ข้างใต้
“หลิ่วเฟิง คนหมู่บ้านสกุลหลิ่ว อายุเกินสิบแปด องอาจห้าวหาญและเชี่ยวชาญในการรบ ตอนปราบกบฏเขตตะวันออก ถูกจับกุมและเสียชีวิต เพื่อสรรเสริญถึงคุณูปการอันเลิศล้ำในหนึ่งปีมานี้ จึงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีฝ่ายทหาร ปูนบำเหน็จเงินรางวัลให้ห้าสิบตำลึง”
“ข้าผู้แซ่หลิ่ว ชาตินี้หลงงมงายในชื่อเสียง เดิมทีคิดว่าหลังจากมีชื่อสอบชิงตำแหน่งขุนนางในสนามสอบพระราชวังแล้ว จะสามารถแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้กับภรรยาและลูกได้ ให้พวกเขาได้เสพสุขความรุ่งเรืองและความร่ำรวยตลอดชีวิต! แต่กลับคิดไม่ถึงว่า พอถึงตอนท้าย ไม่เพียงแต่ภรรยาจะป่วยตายในบ้านโดยที่ตัวเองไม่รู้ ทั้งยังเดือดร้อนถึงลูกชายจนต้องไปตายที่สนามรบ ไม่เหลือแม้แต่ศพและกระดูก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะข้าหลงงมงายเกินไป แล้วข้าจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร?”
หลิ่วหมิงพูดจบก็แหงนหน้าส่งสียงคำรามออกมา เขาพูดไปพลางน้ำตาก็ร่วงไปพลาง ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็ยื่นมือไปหยิบไหสุราที่อยู่ด้านข้างมากรอกลงคออย่างบ้าคลั่ง
หลังจากเกิดเสียงดังเอื๊อกๆ สองสามที เขาก็กระแทกไหสุราลงบนพื้นจนแตกกระจาย และดึงกริชแวววาวที่เปล่งแสงสีม่วงออกจากเอว
“เหลียนซี เฟิงเอ๋อร์ ข้าจะไปหาพวกเจ้าแม่ลูกเดี๋ยวนี้ รอข้าก่อน!” ดวงตาทั้งสองของหลิ่วหมิงแดงก่ำ เขานำกริชไปวางไว้บนคออย่างไม่ลังเล
ขณะนั้นเอง มือทั้งคู่ที่ถือกริชสีม่วงอยู่กลับสั่นสะท้านขึ้นมา แสงสีม่วงเจิดจ้าพุ่งออกจากกริช จากนั้นหมิงก็รู้สึกเย็นชุ่มชื่นไปทั้งตัว
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกถึงสงครามเย็นรอบตัว ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ เริ่มพร่ามัวขึ้นมา
“เพล้ง!”
ภาพรอบด้านแตกกระจายออกมาราวกับเป็นกระจก…
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปได้อย่างไร! หรือว่าสิ่งที่เขาถืออยู่คือกริชทำลายวิญญาณ ไม่ถูกต้อง! หญิงสารเลวผู้นั้นยังวางอาคมคืนสติไว้บนกริชด้วย”
หลิ่วหมิงยังไม่ได้ลืมตา ก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกและโมโหของหญิงสวมชุดชาววังในฉับพลัน
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองถอยมาถึงปากทางเข้าตำหนักใหญ่ในก่อนหน้าโดยไม่รู้ตัว กริชทำลายวิญญาณที่ถืออยู่ในมือได้ลอยอยู่ตรงลำคอแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากคอหอยแค่ชุ่นกว่าๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าจะถูกกริชจนบาดเลือดสาดกระเซ็นในอีกไม่ช้า
บนพื้นผิวของกริชมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงแปลกประหลาดเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ลำแสงสีม่วงแวววาวถูกปล่อยออกมาจากในนั้น สามารถรับรู้ถึงไอเย็นเฉียบได้อย่างลางๆ
ประจักษ์ชัดว่าแสงสีม่วงแวววาวเหล่านี้ปกคลุมร่างของเขาไว้ ถึงทำให้สมองเขารู้สึกแจ่มชัดขึ้นมา และหลุดออกจากแดนมายาในก่อนหน้าได้
หลิ่วหมิงนึกถึงคำพูดของหญิงชุดชาววังในก่อนหน้า และยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวออกมาก่อนนำกริชออกจากคอ และจ้องมองหญิงชุดชาววังพร้อมกับกล่าวอย่างราบเรียบ
“ดูเหมือนว่าเรือท่านจะล่มเมื่อตอนจอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เอาชีวิตมาให้ข้าเถอะ”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็กระตุ้นพลังจนไอดำพวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เดินไปด้านหน้า
“หญิงสารเลวนั่นคิดจริงๆ หรือว่า กระตุ้นค่ายกลจิตวิญญาณแล้ว จะทำให้ข้าถูกจับโดยละม่อม มันจะดูถูกข้าไปหน่อยแล้ว! ไม่ใช่ว่าหุ่นในตำหนักนี้จะถูกชั้นจำกัดก่อกวนได้ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นหุ่นตัวใหม่ที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง!” หญิงชุดชาววังเห็นเช่นนี้กลับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
ดวงตาทั้งคู่ของนางเปล่งแสงสีแดงอีกครั้ง จากนั้นก็เกิดเสียงกลไกลดังคร่อกแคร่กดังขึ้นบนคานอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาก็มีรูขนาดใหญ่โผล่ออกมาสองรู และสิ่งของสีดำสองอันก็ร่วงลงพื้น มันคือหุ่นนักรบร่างมนุษย์สีดำสองตัว
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที เขาหยุดชะงักฝีเท้าอยู่กับที่ และกวาดสายตามองดูหุ่นทั้งสองที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่
หุ่นนักรบร่างมนุษย์สีดำทั้งสองสูงครึ่งจั้ง ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และสวมหน้ากากปีศาจอยู่บนหน้า ไม่นับว่ามีรูปร่างสูงใหญ่มากนัก บนหน้าอกยังมีลายโลหิตแปลกประหลาดประทับอยู่จำนวนมาก มือข้างหนึ่งจับกระบี่ยักษ์สีทองอร่าม ส่วนอีกข้างก็ถือดาบปลายแหลมที่เปล่งแสงสลัวๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เด็กหญิงบอกว่าเขา พอเปิดชั้นจำกัดหุ่นทั้งหมดในพระราชวังจะหมดประสิทธิภาพ และไม่อาจเคลื่อนไหวไม่ใช่หรือ แล้วหุ่นสองตัวนี้คืออะไรกัน
แม้ว่าบนตัวของหุ่นสองตัวนี้จะไม่มีกลิ่นไอเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาไม่รู้ว่าพวกมันมีพลังระดับไหนกันแน่ แต่ในเมื่อหญิงสวมชุดชาววังสร้างมันขึ้นมากับมือ คิดว่าคงเป็นหุ่นที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ หญิงสวมชุดชาววังค่อยๆ เขม่นตามองออกไป แสงสีแดงในดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีเลือด ลูกตาสีแดงในเบ้าตาค่อยๆ หมุนวนขึ้นมาราวกับน้ำวน
ขณะเดียวกัน พลันมีลวดลายแปลกประหลาดปรากฏบนหน้าอกของนักรบเกราะสีดำทั้งสองตัวที่ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่ามันมีการตอบสนองซึ่งกันและกัน ทันใดนั้นดวงตาสีแดงก็หมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง และเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา จากนั้นหุ่นสีดำทั้งสองก็ลืมตาขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะสว่างกว่าแสงสีเลือดในดวงตาของหญิงชุดชาววังเล็กน้อย และจ้องมองหลิ่งหมิงอย่างไม่วางตา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หดรูม่านตาลง
แต่เขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก แสงสีแดงก็เปล่งประกายในดวงตาของหุ่นสีดำทั้งสอง และเดินมาทางเขาทันที ฝีเท้าหนักมาก ทุกย่างก้าวราวกับมีพลังมหาศาล ทำให้ตำหนักข้างทั้งหลังสั่นสะเทือนเบาๆ
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน พลังระดับนี้ดูเหมือนจะมีพลังอย่างน้อยระดับแก่นแท้ขึ้นไป พอเขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว กริชทำลายวิญญาณในมือก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามเงาพุ่งออกไปรับมือ
แม้ว่ากริชทำลายวิญญาณจะมีอานุภาพแข็งแกร่ง แต่เพราะไม่เคยผ่านการปรับแต่งมาก่อน เกรงว่าอานุภาพที่เขากระตุ้นออกมา คงยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของอานุภาพที่แท้จริง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวของเขาในตอนนี้ หากฝืนกระตุ้นของล้ำค่าชิ้นนี้ เกรงว่าคงถูกดูดพลังเวทจนเหือดแห้ง ดังนั้นย่อมไม่อาจนำมันมารับมือกับศัตรูได้
หุ่นที่ถือดาบปลายแหลมเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเงาร่างเงาหนึ่ง พอโบกมือข้างหนึ่ง ไอสีเขียวสลัวๆ ก็ฟันออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เพล้ง!”
พอเงาร่างสัมผัสกับแสงดาบ ก็ถูกฟันจนแตกกระจาย
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็กระตุ้นเงาร่างอีกเงาให้ไปหาหุ่นที่ถือกระบี่ และร่างจริงของเขาก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวด้านหลังหุ่นที่ถือดาบ
พอเขาปรากฏตัว ก็กำกำปั้นข้างหนึ่งไว้ ภายใต้การพวยพุ่งของไอดำ เงาหัวพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่งก็ปรากฏบนกำปั้นของเขาลางๆ
“โฮ่ก!” หัวพยัคฆ์แผดเสียงร้องออกมา!
เงาหัวพยัคฆ์สีดำอ้าปากงับแขนซ้ายของหุ่นที่ถือดาบจนขาด
บริเวณแขนที่ขาดมีโลหิตสดๆ ไหลออกมาเหมือนกันมนุษย์ ทันใดนั้นกลิ่นคาวโลหิตก็อบอวลไปทั่วอากาศ
แต่หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้แสดงหน้าดีใจออกมา ก็เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!”
แขนท่อนที่อยู่ในปากหัวพยัคฆ์ระเบิดออกมาในพริบตา คลื่นสั่นสะเทือนสีเลือดกระจายออกไปเป็นวงๆ อย่างบ้าคลั่ง ไม่เพียงแต่ฉีกเงาหัวพยัคฆ์ออกเป็นชิ้นๆ เท่านั้น หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างเพียงแค่ลัดมือเดียว ก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ปะทะลงบนตัวอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับกระสอบ และตกลงบนเสาต้นหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นอย่างรุนแรง ทำให้มันสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด จนเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน เขาพยายามขยับตัวด้วยความเจ็บปวด และหายไปจากบนเสาอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีทองฟันลงบนรอยร้าวที่เขาทิ้งไว้บนเสา
มันคือหุ่นนักรบสีดำอีกตัวที่ใช้กระบี่ยักษ์ในมือฟันผ่านอากาศออกไป
ตอนที่ 727 ศึกใหญ่กับหุ่นสองตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอเงาร่างเคลื่อนไหว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวใต้เสาต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง หลังจากก้มหน้ามองเกราะหนังสีเงินแวววาวที่อยู่ด้านในเสื้อคลุมยาวแล้ว สายตาที่มองดูหุ่นสองตัวก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่การร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติ เกรงว่าคงจะโจมตีหุ่นทีละตัวได้ยาก และแรงระเบิดในก่อนหน้านั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของระดับแก่นแท้ขั้นต้นเลยแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่ว่าเขาไหวตัวเร็ว และกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูรให้กลายเป็นเกราะหนังสีเงินมาต้านทานไว้ด้านหน้าก่อนท่อนแขนระเบิดมาล่ะก็ เกรงว่าการโจมตีนี้คงจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
พอเห็นว่าการระเบิดแขนของหุ่นไม่ได้ทำให้หลิ่วหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัส หญิงชุดชาววังก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ดูท่าข้าคงจะดูเบาเจ้าไปจริงๆ” หญิงชุดชาววังมีสีหน้าอึมครึมอย่างถึงขีดสุด แสงสีเลือดในดวงตาเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
และหุ่นที่แขนขาดไปครึ่งหนึ่งก็ส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวด้านข้างหุ่นทองสัมฤทธิ์ที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่อีกมุมของห้องโถงใหญ่ และฉีกแขนของหุ่นทองสัมฤทธิ์ที่เห็นได้ชัดว่ามีขนาดใหญ่กว่าออกมา จากนั้นก็กดลงบนแขนที่ขาดอย่างรวดเร็ว
ฉากน่าประหลาดใจได้เกิดขึ้นแล้ว!
พอแขนครึ่งท่อนของหุ่นทองสัมฤทธิ์สัมผัสกับตอแขนที่ขาด หมอกควันสีขาวจางๆ ก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนวนอยู่พักหนึ่ง แขนข้างนั้นก็กลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง นอกจากจะมีขนาดใหญ่กว่าอันเก่าเท่าตัว มันก็ดูเหมือนกับว่ามีมาตั้งแต่เกิด
สำหรับหุ่นจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถในการซ่อมแซมตนเอง หลิ่วหมิงย่อมรู้จักอยู่บ้าง แต่วิธีการซ่อมแซมแบบที่เห็นตรงหน้านี้ ยังคงทำให้เขาตกตะลึงจนตาค้างไม่น้อย
ภายใต้การครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็นึกได้ว่าตนเองเคยอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับนิกายเทียนกงในหอเก็บคัมภีร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์โดยไม่ตั้งใจ ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับเลือดเนื้อของหุ่นชนิดหนึ่ง
หุ่นชนิดนี้ไม่เหมือนกับหุ่นทั่วไป ร่างของมันสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อของผู้ฝึกฝน และก็เป็นหุ่นที่มีสติปัญญาชนิดหนึ่ง หลังจากปรับแต่งเสร็จ หากได้รับบาดเจ็บในขณะต่อสู้ล่ะก็ สามารถใช้ร่างของหุ่นตัวอื่นมาต่อได้อย่างรวดเร็ว
พูดอีกอย่างก็คือ ตราบใดที่แกนหลักภายในร่างไม่ได้รับความเสียหาย และมีหุ่นตัวอื่นอยู่ในที่เกิดเหตุล่ะก็ สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ตลอดเวลาอย่างง่ายดาย
แต่ว่าวิธีการสร้างร่างของหุ่นชนิดนี้ค่อนข้างจะโหดเหี้ยมเกินไป จึงถูกนิกายเทียนกงสั่งให้เป็นหนึ่งในเจ็ดชนิดของหุ่นที่ห้ามสร้างขึ้นมา ว่ากันว่ามีแต่ประมุขและผู้อาวุโสสูงสุดในอดีตเท่านั้นที่สามารถตรวจอ่านคัมภีร์นี้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอมันในสถานที่แห่งนี้ถึงสองตัว
น่าจะเป็นเพราะว่าสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อมนุษย์ ชั้นจำกัดของเด็กหญิงจึงไม่ส่งผลกระทบต่อมัน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองถึงแผนการรับมือ ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นมากระตุ้นเคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนอย่างรวดเร็ว เงาร่างทั้งสามเดินไปมาในห้องโถงอยู่ไม่หยุด และทำการต่อสู้กับหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองตัว
แต่ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ หุ่นนักรบทั้งสองเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว เงาร่างทั้งสองของหลิ่วหมิงก็ถูกฟันสลายไป และขนาบร่างจริงไว้ทั้งหน้าหลัง จากนั้นก็ฟันแสงดาบปราณกระบี่โจมตีอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีทั้งสองด้าน หลิ่วหมิงเพียงแค่บิดเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างของเขาก็ยืดยาวจนหลบการโจมตีนี้ไปได้ จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามเงา เงาร่างสองเงาเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด และมาปรากฏตัวด้านหลังหุ่นทั้งสองโดยไม่คาดคิด
“ฟิ้ว!”
พอเงาร่างเงาหนึ่งร่วงลงด้านหลังของหุ่นที่ถือกระบี่ มันก็ถูกแสงกระบี่ฟันจนแตกกระจาย
และหุ่นที่ถือดาบก็ตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากพลิกฝ่ามือฟันแสงดาบสีเขียวออกไป ถึงปกคลุมเงาร่างด้านหลังไว้ได้
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย!”
หลิ่วหมิงร่อนลงห่างออกไปสิบกว่าจั้ง หลังจากพูดพึมพำไปหนึ่งประโยคแล้ว ดวงตาของเขาก็เผยแววดีใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าตอนนี้ระดับการฝึกฝนของเขาจะถูกควบคุมไว้ แต่การสังเกตของเขาไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้กลับเฉียบไวกว่าเดิม
การใช้เงาทดสอบดูในก่อนหน้า ก็ค้นพบว่าหุ่นถือดาบที่ถูกตัดแขนไปข้างหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือปฏิกิริยาตอบสนองล้วนช้ากว่าตอนที่ปรากฏตัวเล็กน้อย
ประจักษ์ชัดว่าหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองตัวไม่ใช่หุ่นที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่าการซ่อมแซมแขนหนึ่งครั้ง พลังของมันจะลดลงไปเช่นนี้
ดูจากสถานการณ์เช่นนี้ พลังที่สะสมอยู่ในร่างของหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองดูเหมือนจะมีไม่มากแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้ว ก็หยิบโอสถจินหยวนมาทานอย่างรวดเร็ว แสงสีเงินเปล่งประกายบนแขนทั้งสอง เกราะหนังสีเงินบนตัวกลายเป็นถุงมือห่อหุ้มแขนทั้งสองไว้ จากนั้นก็สร้างเงาร่างออกมาด้านหลัง พอกระตุ้นจนถึงขีดสุดแล้ว ก็พุ่งไปรับมือกับหุ่นที่โจมตีเข้ามา
ในระหว่างที่พุ่งโจมตี ถุงมือสีเงินบนมือหลิ่วหมิงก็เปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า หลังมือกับปลายเล็บพลันเกิดเสียงดัง “เช้ง!” จากนั้นคมดาบสีเงินคมกริบก็พุ่งออกมานับไม่ถ้วน
ครู่ต่อมา ‘หลิ่วหมิง’ ที่มีไอดำพวยพุ่งทั้งสามคน ก็เคลื่อนไหวไปมาระหว่างหุ่นทั้งสอง ขณะเดียวกัน แสงสีเงินก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
หลังจากมีประสบการณ์การต่อสู้กับจินเลี่ยหยาง ราชาปีศาจสมุทรและคนอื่นๆ มานับพันครั้ง ตอนนี้ต่อให้ระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงจะลดลงมาที่ระดับของเหลว แต่ภายใต้การคุ้มกันของเงาร่างสามส่วน ทำให้ร่างจริงของเขาหลบการโจมตีของดาบกระบี่ของหุ่นทั้งสองได้อย่างแปลกประหลาด และยังอาศัยคมดาบในมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
และพอเงาร่างถูกฟันจนสลายไป เขาก็แบ่งเงาร่างเข้าไปร่วมต่อสู้ใหม่อย่างไม่เสียดายพลังเวท
แสงสีเงินกรีดเลือดเนื้อบนตัวของหุ่นสีดำทั้งสองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทุกครั้งที่มีลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกายบนหน้าอกของหุ่น หมอกควันสีขาวจะลอยผ่านบาดแผลบนตัว ทำให้บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองและความเร็วของหุ่นทั้งสองกลับค่อยๆ ช้าลง
เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากเลือดเนื้อของหุ่นสองตัวนี้สามารถระเบิดตัวเองได้ตามอำเภอใจ จึงไม่สนใจป้องกันแต่อย่างใด แม้กระทั่งไม่คิดจะหลบหลีกการโจมตีของหลิ่วหมิงด้วย
ทันใดนั้น แสงสีทองระยิบระยับก็กะพริบผ่านไป
“แกร๊กกร๊าก!”
แสงโลหิตกะพริบผ่านไปติดต่อกัน แขนขวาของหุ่นที่ถือกระบี่รวมถึงไหล่ครึ่งหนึ่ง ถูกแสงสีทองฟันร่วงลงมาพร้อมกัน
พอเห็นแขนครึ่งหนึ่งร่วงลงพื้น หลิ่วหมิงก็รีบถอยไปทันที พริบตาเดียวก็ถอยออกไปหลายจั้ง จากนั้นเลือดเนื้อที่อยู่อีกด้านก็ระเบิดออกมาจริงๆ แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลยแม้แต่น้อย แต่กระบี่ยาวสีทองกลับปรากฏออกมาในมือ
หุ่นที่ถือกระบี่คำรามด้วยความโมโห พอมันขยับตัวกระบี่ในมือก็ฟันแขนของหุ่นสีเงินอีกตัวอย่างไม่ลังเล และนำมาติดไว้บนตัว
หลังจากแสงสีขาวหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง แขนขวาของหุ่นตัวนี้ก็กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม และควงกระบี่สีทองพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง เพียงแต่ว่าการเคลื่อนไหวช้าลงกว่าก่อนหน้านั้น
หญิงชุดชาววังเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
มาถึงตอนนี้แล้ว นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจุดอ่อนของหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้แล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟันแล้วตัดสินใจออกมา
“ฟู่!” “ฟู่!”
เท้าทั้งคู่ของหุ่นทั้งสองกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง และถอยออกไปด้านหลังทันที จนอยู่ห่างหญิงชุดชาววังสิบกว่าจั้ง
จากนั้นคลื่นน้ำวนก็ก่อตัวในดวงตาสีเลือดของหญิงชุดชาววัง แสงสีแดงก็เปล่งประกายออกจากดวงตาทั้งคู่ของหุ่นทั้งสองด้วยเช่นกัน ลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกายบนหน้าอกของมัน จากนั้นแสงสีขาวที่ดูคล้ายกับสายฟ้า ก็ถูกปล่อยเข้าไปในกระบี่และดาบ และโบกสะบัดออกไปพร้อมกัน
เกิดเสียงแหลมดังขึ้นในห้องโถงใหญ่!
แสงกระบี่สีทองกับแสงดาบสีเขียวพุ่งยิงออกไปติดต่อกัน หลังจากรวมตัวกันกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นแสงคมดาบสีเขียวทอง และม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิง
บริเวณที่เงากระบี่ม้วนตัวผ่าน ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ สั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ขณะเดียวกัน อากาศบริเวณนั้นก็ไหลเข้ามาราวกับว่าจะม้วนเอาทุกอย่างที่อยู่บริเวณนั้นม้วนตัวเข้าด้วยกัน
หลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้ารับรู้ถึงอากาศรอบด้านที่อัดแน่นขึ้นมา พลังกดดันไร้รูปปรากฏขึ้นรอบด้าน พริบตาเดียวก็กักขังเขาไว้กับที่จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงแอบร้องด้วยความตกใจ หลังจากกระตุ้นเคล็ดมังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว ก็เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ภายในร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว และฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว
ในช่วงระหว่างเวลานี้ แสงดาบเงากระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็มาถึงตรงหน้า ทำให้เขาไม่อาจหลบหลีกได้เลยแม้แต่น้อย
ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงไม่สามารถทำอะไรได้ เขาได้แต่โยนกระบี่ยาวสีทองในมือออกไป และกระตุ้นเคล็ดวิชาในทันที
กระบี่ว่างเปล่าเพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ ทันใดนั้นแสงกระบี่จำนวนมากก็พวยพุ่งออกมา และกลายเป็นจันทราสีทองกลมๆ ต้านทานอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
พอเขาสะบัดแขนเสื้อ มุกพลังวารีสองเม็ดก็กลิ้งออกมา แสงสีดำเปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นม่านวารีสีดำหนึ่งชั้น และห่อหุ้มร่างของเขาไว้
ขณะนี้ แสงดาบและเงากระบี่สีเขียวทองก็พุ่งเข้ามาถึง และฟันลงบนจันทราสีทอง
เกิดเสียงระเบิดดัง “ปังๆ ปัง!” อยู่ตลอดเวลา แสงสีเขียวทองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
แม้ว่ากระบี่ว่างเปล่าจะแหลมคมไร้ที่เปรียบ แต่เพราะหลิ่วหมิงนำออกมาอบ่างเร่งรีบ มันยืนหยัดได้ครู่เดียว ก็ระเบิดตัวกลายเป็นกระบี่ยาวสีทองก่อนร่วงลงมา
“ตู๊ม!” แสงดาบสีเขียวทองที่เหลือปะทะลงบนม่านวารีสีดำทันที
หลิ่วหมิงกัดฟันเค้นพลังเวทที่เหลืออยู่ในร่างใส่เข้าไปมุกพลังวารีทั้งหมด
ภายใต้แสงสีดำที่เปล่งประกาย ม่านวารีสีดำก็ขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว ราวกับว่าทานโอสถเสริมเข้าไป แต่เพราะมันเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางเท่านั้น ภายใต้การโจมตีของแสงดาบเงากระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้า พริบตาเดียวก็เกิดรอยร้าวแล้วแตกสลายไป
แสงดาบเงากระบี่ที่เหลือเกือบครึ่งหนึ่งพากันพุ่งเข้าไปฟันร่างของหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับส่งเสียงคำรามในฉับพลัน แสงสีเงินเปล่งประกายใต้ซี่โครง แขนสีเงินสองข้างปรากฏออกมา ขณะเดียวกันไอดำก็พวยพุ่ง กำปั้นทั้งสี่พร่ามัวในทันที ทันใดนั้น เงากำปั้นจำนวนมากก็ขยายออกไปรอบด้านราวกับบงกชสีดำที่กำลังเบ่งบาน และปกคลุมร่างของเขาไว้จนแม้แต่หยดน้ำก็ไม่อาจซึมออกมาได้
แสงดาบเงากระบี่ร่วงลงมาราวกับพายุกระหน่ำ พอมันปะทะกับเงากำปั้นสีดำ กลุ่มแสงสีทอง เขียว ดำ ก็เปล่งประกายเจิดจ้าตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างต่อเนื่อง
หลังจากมีเสียงราวกับโลหะกระทบกันดังอยู่พักหนึ่ง เงากระบี่แสงดาบที่เหลือก็ถูกหลิ่วหมิงรับไว้ได้ทั้งหมด แต่ใบหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวอย่างถึงขีดสุด ไม่มีเลือดฝาดใดๆ เลยแม้แต่น้อย
หลังจากหุ่นเลือดเนื้อสองตัวตรงหน้าปล่อยการโจมตีอันน่าตกใจออกมาแล้ว ร่างของมันก็อ่อนยวบยาบแล้วล้มลงพื้นไป
และหญิงชุดชาววังที่เห็นว่าโจมตีขนาดนี้แล้ว ยังไม่สามารถสังหารหลิ่วหมิงได้ สีหน้าของนางก็หวาดผวาอย่างถึงขีดสุด
หลิ่วหมิงกลับพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเล กริชที่เปล่งแสงสีม่วงสลัวๆ หล่นลงในมือ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าหาหญิงชุดชาววังอีกครั้ง
ตอนที่ 728 ศพปีศาจปรากฏตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมของหลิ่วหมิง หญิงชุดชาววังก็ดูเหมือนจะไม่มีวิธีการรับมือใดๆ สีหน้าของนางอึมครึมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แสงจางๆ ถูกปล่อยออกจากร่างอยู่ไม่หยุด ทำให้ค่ายกลใต้ร่างสั่นสะท้านติดต่อกันเบาๆ ดูเหมือนนางคิดจะสลัดตัวให้หลุดพ้นจากชั้นจำกัดใต้เท้า
แต่ทว่าในขณะที่เงาร่างสีดำของหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้า กะพริบมาถึงด้านข้างของหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองตัวนั้น หญิงชุดชาววังก็เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา ดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีแดงเลือดทันที
“ไม่ดี!”
หลิ่วหมิงค้นพบความผิดปกติของหญิงนางนี้ในทันที ทันใดนั้น เขาก็บิดเอวเพื่อจะพุ่งเฉียงออกไปในพริบตา แต่กลับช้าไปเสียแล้ว
“ระเบิด!”
หญิงชุดชาววังตะโกนออกมาอย่างเยือกเย็น ร่างหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองที่อยู่บนพื้นขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า ผิวหนังของมันปริออกมาทันที จากนั้นแสงสีขาวก็พุ่งออกมา
ก่อนหน้านั้นหุ่นเลือดเนื้อเพียงแค่ระเบิดแขนก็จะเกือบจะทำร้ายหลิ่วหมิงได้ ด้วยระยะอันใกล้เช่นนี้ และหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองยังระเบิดทั้งร่างออกมาพร้อมกัน อานุภาพของมันจึงยากจะคาดเดาได้
หลิ่วหมิงไม่ทันได้คิดอะไรมาก ทำได้แค่ฝืนกระตุ้นพลังเวทที่เหลือ เพื่อกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูรให้มีอานุภาพถึงขีดสุด และปกป้องร่างกายส่วนบนของเขาไว้ ขณะเดียวกัน เกล็ดสีแดงก็พุ่งออกมาปกคลุมจุดสำคัญไว้เช่นกัน
ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังตู๊ม! พระอาทิตย์สีขาวร้อนแรงสองดวงปรากฏออกมากลางห้องโถง หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นหนามสีขาวพุ่งออกไปทั่วทิศ
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” หลิ่วหมิงจมอยู่ท่ามกลางหนามสีขาว เขารู้สึกเจ็บปวดผิวมาก จากนั้นก็ถูกพลังมหาศาลโจมตีจนกระเด็นออกไป
“ฟู่!”
เงาร่างมนุษย์ผู้หนึ่งร่วงลงมาในขณะที่แสงสีขาวดับลง และกระแทกลงพื้นที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง
ขณะเดียวกัน แสงสีม่วงลำหนึ่งก็พุ่งออกจากมือของเงาร่างมนุษย์ หลังจากเกิดเสียงดัง “เช้ง!” มันก็ปักเฉียงๆ อยู่บนพื้นตรงหน้า
มันคือกริชทำลายวิญญาณเล่มนั้น!
ไม่รู้ว่าอาวุธชิ้นนี้สร้างขึ้นมาจากวัสดุอันใด ภายใต้การระเบิดตัวของหุ่นเลือดเนื้อทั้งสอง มันกลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
หลิ่วหมิงที่หันหน้ากลับมาในตอนนี้ เสื้อผ้าบนตัวขาดรุ่งริ่ง เกราะอสูรสีเงินบนตัวก็เต็มไปด้วยรูและรอยแตกร้าว เผยให้เห็นเกล็ดสีแดงกับเลือดเนื้อสีแดงพร่ามัวที่อยู่ด้านใน
“เพล้ง!”
แสงสีเงินเปล่งประกายตรงหน้าหลิ่วหมิง เกราะหนังสีเงินสลายไปทันที และกลายเป็นหมึกน้อยสีชมพูที่มีสภาพไม่สมบูรณ์เล็กน้อย มันตัวอ่อนปวกเปียกติดอยู่ที่นั่น และกำลังหายใจรวยริน
หากไม่ใช่ว่าหลิ่วหมิงใช้กริชทำลายวิญญาณต้านทานไว้ได้เล็กน้อยในช่วงเวลาสำคัญล่ะก็ เกรงว่าครั้งนี้เขาคงต้องเสียชีวิตจริงๆ แล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับต้องนอนแผ่อยู่บนพื้นโดยไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย
“เอ๊ะ! คิดไม่ถึงว่าจะไม่ตาย? แต่ก็ดีเหมือนกัน ให้ข้าเป็นคนจัดการเจ้าด้วยตัวเองเถอะ! ข้าไม่ได้ขยับเอ็นมานานแล้ว” หญิงชุดชาววังเผยรอยยิ้มอัปลักษณ์ออกมา นางค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวมาหาหลิ่วหมิงอย่างช้าๆ
“เจ้า……” หลิ่วหมิงอาศัยพลังเฮือกสุดท้ายเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาจ้องมองหญิงชุดชาววังตรงหน้าด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องตกใจเช่นนี้ แม้ข้าจะได้รับผลกระทบจากชั้นจำกัด แต่แค่ใช้พลังเล็กน้อย ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เพียงแต่มันจะช้าไปหน่อยก็เท่านั้น เดิมทีคิดว่าผู้น้อยระดับผลึกอย่างเจ้าคงไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสแต่อย่างใด คิดไม่ถึงว่าจะบีบข้ามาจนถึงขั้นนี้ ข้าเลยจำเป็นต้องลงมือจัดการเจ้าเองแล้ว” หญิงชุดชาววังกล่าวออกมาช้าๆ และยังคงค่อยๆ ก้าวเข้ามา
หลิ่วหมิงได้ยินก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และตอบกลับด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ
“อ๋อ! ดูจากสภาพของเจ้า หรือว่าจะยังมีวิธีการที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บไปพร้อมกัน?” หญิงชุดขาววังสีเขียวค่อยๆ หยุดชะงักฝีเท้าลง และส่งเสียงหัวเราะอิๆ
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด ภายใต้แววตาที่เป็นประกาย เขายังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป ก็มีเสียงดัง “ตู๊ม!” ตรงปากทางเข้าตำหนัก
ดูเหมือนว่าประตูสองบานที่สูงหลายจั้งจะถูกพลังมหาศาลโจมตีจนกลายเป็นผุยผง เศษชิ้นส่วนของมันกระเด็นไปทั่วทิศ จากนั้นแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง และเงาดำก็กะพริบเข้ามาจากนอกห้องโถง หลังจากพร่ามัวหนึ่งที ก็พุ่งผ่านด้านข้างของหลิ่วหมิงราวกับพายุ
และหญิงชุดชาววังที่กำลังเข้าใกล้เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป และคิดจะหมุนตัววิ่งหนีทันที
หลิ่วหมิงพยายามเงยหน้าขึ้นมอง แม้จะเห็นแค่เงาแผ่นหลังสีดำ แต่เขากลับรู้สึกอึ้งไปทันที
หากเขาดูไม่ผิดล่ะก็ เงาแผ่นหลังสีดำนี้คือศพปีศาจระดับดาราพยากรณ์ที่ขุยตี้แห่งหนานฮวงเอาไปจากเขา จากนั้นก็มีเสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้างหูเบาๆ
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าทำได้ไม่เลว ช่วยข้ายื้อเวลาไว้ได้ไม่น้อย ต่อไปเจ้าดูข้าก็แล้วกัน”
ไม่รู้ว่าเด็กหญิงใช้วิธีการอะไรถึงย้ายวิญญาณของตนเองมาอยู่ในร่างของศพปีศาจนี้ได้!
จะเห็นว่าศพปีศาจไม่ได้หันหน้ามา พอโบกมือข้างหนึ่งไปด้านหลังเบาๆ กริชสีม่วงที่ปักอยู่บนพื้นก็พุ่งเข้ามาในมือของเขา
“เจ้าเป็นหุ่นจิตวิญญาณที่ข้าสร้างขึ้นมากับมือ เดิมทีได้ฝากความหวังที่สูงไว้กับเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะหักหลังข้า วันนี้ข้าคงต้องทำลายเจ้าด้วยตัวเองแล้ว” ใบหน้าแห้งเหี่ยวของศพปีศาจยิ้มอย่างน่ากลัว จากนั้นก็พร่ามัวพุ่งออกไปด้านหน้า
“ไม่! ข้ามีสติปัญญา พลังก็ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า ทำไมต้องให้เจ้าควบคุมด้วย!” พอได้ยินคำพูดของศพปีศาจ หญิงชุดชาววังก็พุ่งถอยไปด้านหลังด้วยตัวที่สั่นสะท้าน พริบตาที่นางพูดออกมานั้น นางก็หมุนศีรษะและอ้าปากพ่นลำแสงสีเขียวหยกขนาดเท่าปากถ้วยใส่ศพปีศาจ
พอศพปีศาจยกแขนขึ้น แสงสีม่วงก็ฟันลำแสงสีเขียวออกเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย และกระเด็นออกไปทั้งสองด้าน ขณะเดียวกันหลังจากพายุบ้าระห่ำม้วนตัวผ่านไป เขาก็มาถึงด้านหลังของหญิงสวมชุดชาววัง
“ไม่!”
หญิงชุดชาววังส่งเสียงออกมาด้วยความหวาดกลัว ร่างของนางหันมาจนหมด แขนทั้งสองโบกสะบัดไปมาราวกับต้องการต้านทานอะไรบางอย่าง แต่พอแสงเย็นสะท้านเปล่งประกาย กริชทำลายวิญญาณก็พุ่งไปปักอยู่บนหน้าอก “ฉึก!”
“เพล้ง!” เกิดเสียงแตกหักดังขึ้นมา ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในร่างของหญิงผู้นี้แตกกระจุยออกมา
ใบหน้าของหญิงชุดชาววังบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเบิกโพลงทั้งคู่จ้องมองศพปีศาจ แต่ว่าแสงสีเลือดในดวงตาทั้งสองกลับกลายเป็นสีหม่นๆ อย่างรวดเร็ว และล้มหงายหลังลงพื้นเสียงดัง “โครม!”
ศพปีศาจกลับสะบัดกริชในมืออย่างไม่ปราณี ทันใดนั้น แสงเย็นสะท้านจำนวนมากก็ม้วนตัวออกมาตัดแขนขาทั้งสี่ของหญิงชุดชาววังลงมาทั้งหมด และบริเวณที่ถูกตัดขาดกลับไม่มีเลือดไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย ที่แท้ก็เป็นหุ่นจิตวิญญาณตัวหนึ่งจริงๆ
ขณะนี้ ศพปีศาจโบกมือดูดศีรษะของหญิงชุดชาววังเข้ามา จากนั้นถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหันมามองหลิ่วหมิง
“ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ เด็กอย่างเจ้าสามารถก่อกวนหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองได้นานถึงเพียงนี้ ระหว่างที่มันระเบิดตัว เจ้าก็ยังเอาชีวิตรอดมาได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่สามารถลงมือสำเร็จได้ง่ายดายถึงเพียงนี้” ศพปีศาจกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่น เขาอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับรู้สึกหวานที่คอ และกระอักเลือดออกมาสองสามที
ศพปีศาจทำราวกับไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหมุนตัวไปมองร่างของหญิงสวมชุดชาววังบนพื้น ไม่รู้ว่าในใจเขาคิดเรื่องอะไรอยู่
ตอนนี้หลิ่วหมิงมองเห็นแค่หลังของศพปีศาจ ซึ่งมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ดูเหมือนว่าร่างของเขาจะสั่นสะท้านเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะต่ำๆ ก็ดังออกจากปากของศพปีศาจ น้ำเสียงค่อยๆ ดังขึ้นมา จนกลายเป็นเสียงหัวเราะที่คมชัดในตอนท้าย
เสียงหัวเราะดังก้องกังวานในห้องโถงใหญ่ แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
ขณะนี้ศพปีศาจก็หัวเราะจนท้องงอ สีหน้าดูบ้างคลั่งอย่างถึงขีดสุด
หลิ่วหมิงมองเห็นทุกสิ่งนี้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงพยายามลุกขึ้นมานั่งด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน และแอบนำโอสถจินหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ด หลังจากโคจรพลังเวทที่เหลือให้กลั่นเอาพลังจากโอสถแล้ว ใบหน้าที่ซีดขาวถึงมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ เสียงหัวเราะของศพปีศาจก็หยุดชะงักลง กรงเล็บปีศาจสีเหลืองและแห้งเฉาแทงเข้าไปในศีรษะของหญิงชุดชาววังโดยตรง เขาควักเอากลุ่มแสงสีทองออกมา จากนั้นก็อ้าปากกลืนลงไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
จะเห็นว่ามีร่องรอยความเจ็บปวดกะพริบผ่านแววตาเขาไป จากนั้นแสงสีทองก็กระเพื่อมบนใบหน้าอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ศพปีศาจก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองไปที่หลิ่วหมิง
ขณะนี้การเคลื่อนไหวของหลิ่วหมิงได้ฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย พอเขาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และพยายามลุกขึ้นกุมมือกล่าวอย่างนอบน้อม
“ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสที่สำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ได้กำจัดหอกข้างแคร่ได้สำเร็จ”
“ที่ข้าสามารถขจัดหายนะในครั้งนี้ และควบคุมพระราชวังได้อีกครั้ง เจ้าเองก็นับว่ามีความดีความชอบไม่น้อย” น้ำเสียงของศพปีศาจกลับมาสงบดังเดิม และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ได้รับใช้ผู้อาวุโส นับว่าเป็นความโชคดีของผู้น้อยอย่างข้า” พอหลิ่วหมิงสบตากับเขาเล็กน้อย ก็ต้องก้มหน้าลงกล่าวอย่างนอบน้อมด้วยใจที่สั่นสะท้าน
“ฮึ! ผู้น้อยอย่างเจ้าก็พอนับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง เหตุใดถึงใจเสาะเช่นนี้ ช่างน่าเบื่อเสียจริง!” ศพปีศาจมองเห็นสีหน้าหวาดกลัวของหลิ่วหมิง ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา น้ำเสียงดูไม่ค่อยจะชอบใจมากนัก
หลิ่วหมิงได้ยินกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขายิ้มด้วยสีหน้าเหยเก และไม่พูดอะไรออกมา
พอศพปีศาจยกมือข้างหนึ่ง แสงสีทองก็พุ่งขึ้นจากมือ และหล่นอยู่ตรงหน้า พอแสงสีทองดับลงก็เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน มันคือหุ่นเด็กผู้หญิงที่มีรูปร่างขนาดเล็กตัวนั้น
ครู่ต่อมา ลูกแสงสีทองก็พุ่งออกจากร่างของศพปีศาจ ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง มันก็จมหายไประหว่างคิ้วของหุ่นเด็กผู้หญิง
พอแสงสีทองจมเข้าไปในร่าง หุ่นเด็กผู้หญิงก็ลืมตาขึ้นมาทันที และพ่นแสงขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ออกมาสองลำ
จากนั้นเด็กหญิงก็เปลี่ยนท่ามือทันที นิ้วมือที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าอกดีดออกไปติดต่อกันราวกับล้อรถ เกิดเสียงฟ้าร้องดังโครมครามออกจากร่างของนาง ขณะเดียวกัน อักขระสีทองจำนวนมากก็เปล่งประกายบนผิว และเคลื่อนไหวไปมาราวกับอสรพิษ ทั้งยังเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
แสงสีทองบนตัวเด็กหญิงเปล่งแสงเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนทั่วทั้งห้องโถงสว่างไสวเป็นพิเศษ และร่างผอมเล็กของนางก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น ผ่านไปสักพักก็ลอยอยู่กลางอากาศในห้องโถง
ขณะที่หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมานั้น ร่างเด็กผู้หญิงที่ลอยอยู่กลางอากาศก็กะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และก็มีแสงสีทองเปล่งประกายตรงหน้าหลิ่วหมิงด้วยเช่นกัน ทิวทัศน์รอบด้านดูพร่ามัวขึ้นมา เมื่อเขามองเห็นทุกอย่างชัดเจนอีกครั้งนั้น พระราชวังที่เดิมทีเป็นสีดำก็กลายเป็นซากกำแพงที่หักพัง
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก พอกวาดสายตามองออกไป ถึงค้นพบว่าตัวเองมาปรากฏตัวบนอากาศเหนือพระราชวังขนาดใหญ่ บนศีรษะยังคงมีร่างของเด็กผู้หญิงลอยอยู่ อักขระลอยวนรอบตัว แสงสีทองเป็นประกาย
ตอนที่ 729 ชิงหลิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่นานแรงกดดันจิตวิญญาณมากมายมหาศาลราวกับภูเขาและทะเลก็เริ่มขยายออกจากร่างของหุ่นเด็กผู้หญิง ทำให้อากาศบริเวณนั้นกระเพื่อมอยู่พักหนึ่ง
ร่างขนาดเล็กของหุ่นเด็กผู้หญิงเริ่มเกิดเปลี่ยนแปลงภายใต้แสงสีทองเจิดจ้า มือ เท้า ลำตัว ศีรษะ ขยายใหญ่ตามแรงลม พริบตาเดียวก็กลายเป็นหุ่นมนุษย์ยักษ์ที่สูงหลายสิบจั้ง ทั่วทั้งร่างเปล่งแสงสีทองอร่าม
พอหลิ่วหมิงเผชิญกันแรงกดดันจิตวิญญาณที่พุ่งมาถึงตรงหน้า สีหน้าของเขาก็ดูซีดขาวขึ้นมา เขาร่นถอยออกไปกลางอากาศหลายก้าว จากนั้นแขนทั้งสองก็หนักอึ้งราวกับค้ำยันภูเขาไท่ซานไว้ กระดูกในร่างส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” เข่าทั้งคู่อ่อนปวกเปียกแล้วคุกเข่าลงไป
แต่ครู่ต่อมา เขาก็ทำเสียงฮึดฮัด และอาศัยพลังของกายเนื้อลุกขึ้นมา แต่ก็ด้วยเหตุนี้เขาถึงรู้สึกหวานที่ลำคอจนเกือบกระอักเลือด
“ฟู่!”
แสงสีทองอบอุ่นสาดส่องลงมาจากด้านบน และปกคลุมร่างของเขาไว้
หลิ่วหมิงค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ภายใต้แสงสีทองจางๆ ร่างของเขาทั้งภายในและภายนอกฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่อึดใจ บาดแผลบนตัวก็ฟื้นฟูมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว
“ขอบคุณผู้อาวุโส!”
หลิ่วหมิงขยับแขน และแหงนหน้ามองขึ้นไปด้วยความดีใจ จากนั้นก็โค้งคารวะหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองตรงหน้า
“ข้าแยกแยะผิดถูกชัดเจน เจ้าหุ่นที่หักหลังข้า ข้าย่อมต้องสังหาร แต่เจ้าช่วยข้า ข้าย่อมไม่ลืมอย่างแน่นอน ยังมีอีกอย่าง ชื่อเดิมของข้าคือชิงหลิง เจ้าจะต้องจำไว้ให้ดี” หลังจากขุยตี้แห่งหนานฮวงกลายเป็นมนุษย์ยักษ์สีทอง น้ำเสียงก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามาก แต่ยังคงเป็นเสียงแจ่มชัดของหญิงผู้หนึ่ง
หลังจากมนุษย์ยักษ์สีทองพูดจบ ก็โบกแขนทั้งสองทันที ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นบนอากาศรอบด้านเหนือซากปรักหักพัง
พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า พื้นทรายสีดำแข็งกระด้างที่อยู่ด้านล่างค่อยๆ อ่อนนุ่มขึ้นมา เม็ดทรายสีดำก็ค่อยๆ กลายเป็นพื้นดินสีดำ
ต่อมา ต้นไม้ใหญ่และเถาวัลย์จำนวนมากก็พุ่งออกจากพื้นสีดำราวกับหน่อไม้ และขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว ซากโบราณทั้งหมดก็ถูกล้อมรอบด้วยป่าทึบ
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ทะเลทรายสีดำไร้ขอบเขตนอกซากโบราณก็เริ่มมีต้นไม้สีเขียว เถาวัลย์ ดอกไม้ และต้นหญ้าแปลกๆ ชนิดต่างๆ ผุดออกมานับไม่ถ้วน และแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ขณะที่เกิดเสียงดังโครมครามอย่างต่อเนื่อง พื้นดินก็จมลงไป ต้นน้ำก็ไหลออกมา แม่น้ำแต่ละสายที่ดูคล้ายเข็มขัดหยกไหลวนอยู่ในป่า
หลิ่วหมิงจ้องมองการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือจนปากอ้าตาค้าง ความรู้สึกหวาดผวาในใจไม่อาจสงบได้นาน
การทำให้พื้นที่แห้งแล้งแห่งหนึ่งมีป่าไม้เติบโตขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องยาก ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างเขาใช้เวลาจำนวนหนึ่งก็สามารถทำได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ขุยตี้แห่งหนานฮวงทำ กลับดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ทะเลทรายอันรกร้างว่างเปล่ากลายเป็นพื้นที่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา และเขียวชอุ่มราวกับแดนสุขาวดีเท่านั้น ปราณจิตวิญญาณในอากาศก็เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
การเบิกฟ้าสร้างโลก และวิธีการสร้างธรรมชาติอันเหนือชั้นเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่ามีแต่ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เท่านั้นที่สามารถทำมันออกมาได้
ขณะนี้ มนุษย์ยักษ์สีทองเพิ่งจะลดแขนทั้งสองลง หลังจากมองดูรอบด้านแล้ว ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ทันใดนั้นมือขนาดใหญ่ก็คว้าไปด้านหน้าอีกครั้ง
เกิดคลื่นกระเพื่อมกลางอากาศ!
ครู่ต่อมา เมฆสีเหลืองขนาดหลายหมู่ก็ปรากฏออกมา และหยุดอยู่บนอากาศที่อยู่ห่างจากด้านหน้าเขาไปไม่ไกล พอแสงสีเหลืองดับลง คนเผ่าทรายที่เดิมทีควรจะอยู่ในเมืองเหล่านั้นกลับมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ ผู้เฒ่าเผ่าทรายก็ยืนเรียงอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าคนเผ่าทรายเหล่านี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นอกจากท่านผู้เฒ่ากับผู้อาวุโสในเผ่าไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“เกิด…เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ที่นี่คือสถานที่แห่งใดกัน!”
“เหตุใดข้าถึงมาที่นี่ได้?”
“ที่นี่…ที่นี่คือซากโบราณศักดิ์สิทธิ์!” สุดท้ายไม่รู้ว่าใครจำสถานที่แห่งนี้ได้และพูดออกมา ทำให้คนเผ่าทรายที่ส่งเสียงดังอยู่คึกคักขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็มีคนคุกเข่าลงพื้นจำนวนไม่น้อย และพากันอธิษฐานอยู่ไม่หยุด
พอพวกเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงรอบๆ ซากโบราณ และหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองกลางอากาศ ก็พากันตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ขณะนี้ท่านผู้เฒ่าใหญ่ และผู้เฒ่าคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันขึ้นมา
ขณะเดียวกัน ภายใต้การเขม้นตามองของหลิ่วหมิง พอมีแสงสีทองเปล่งประกายด้านหลังฝูงชน เงาร่างอรชรอันคุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาของเขา นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์ที่มาสถานที่แห่งนี้พร้อมกับเขานั่นเอง
แม้ว่านางจะไม่ได้รู้สึกตกใจระคนดีใจเหมือนคนอื่นๆ แต่สีหน้าก็ดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก และนางกำลังแหวกฝูงชนเดินเข้าไปหาท่านผู้เฒ่า
“ฉู่เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์?” พอผู้เฒ่าเผ่าทรายเห็นซาฉู่เอ๋อร์เดินเข้ามา ก็หันไปมองหุ่นมนุษย์สีทองทีหนึ่งแล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ซาฉู่เอ๋อร์มองดูมนุษย์ยักษ์สีทองทีหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตามามองหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนเผ่าทรายกับหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทอง ปากของนางเผยอเล็กน้อย สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความงงงวยเช่นกัน
สำหรับเรื่องที่ถูกนางหุ่นตีจนสลบ และเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่านางก็รู้สึกสับสนเช่นกัน
“พวกเจ้าที่เป็นคนเผ่าทรายรุ่นหลังเหล่านี้ ปกปักรักษาดินแดนแห่งนี้มาหลายปี นับว่าจงรักภักดีต่อข้ามาก ไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรมากนัก” หุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองก้มหน้ามองคนเผ่าทราย ขณะเดียวกันก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา
น้ำเสียงไม่ดังมากนัก แต่กลับเข้าไปในหูของทุกคนอย่างแจ่มชัด ซึ่งแฝงไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก
“ผู้อาวุโสคือ…” ผู้เฒ่าเผ่าทรายได้ยินก็รู้สึกตกใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็ก้าวออกจากฝูงชน และประสานมือคารวะ
“ข้าคือชิงหลิง และก็เป็นขุยตี้แห่งหนานฮวงที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเคยรับใช้” ชิงหลิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขุยตี้แห่งหนานฮวง?” คนเผ่าทรายได้ยินก็มองหน้ากันด้วยใบหน้าถอดสี ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของหุ่นมนุษย์ยักษ์ตัวนี้ดีหรือไม่
อย่างที่รู้ แม้ว่าผู้คนในเผ่าแต่ละรุ่นจะเคยพูดถึงเรื่องที่ขุยตี้แห่งหนานฮวงละสังขาร ทั้งยังมีการบอกเล่าถึงรูปร่างของขุยตี้ แต่มันไม่ใช่หุ่นมนุษย์เช่นนี้
แต่หากไม่คล้อยตามล่ะก็ ด้วยพลังเหนือธรรมชาติของหุ่นมนุษย์ยักษ์ตรงหน้า เกรงว่าคงสังสามารถสังหารผู้คนในเผ่าทั้งหมดได้อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ผู้เฒ่าเผ่าทรายมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาจะรู้สึกสองจิตสองใจอยู่
ขณะที่คนเผ่าทรายคนอื่นๆ ก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังโครมครามมาจากรอบด้านอยู่รำไร และเสียงฝีเท้าก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ!
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็ค้นพบว่าท่ามกลางป่าไม้ที่รายล้อม มีเงาร่างขนาดต่างๆ ปรากฏออกมาไม่น้อย และกำลังเข้าใกล้ฝูงชนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเงาร่างเหล่านั้นก็ค่อยๆ พากันออกมาจากป่า
พวกมันคือหุ่นที่เดิมทีพิทักษ์บริเวณรอบๆ ดินแดนศักสิทธิ์แห่งนี้ มีทั้งหุ่นร่างมนุษย์ หุ่นร่างอสูร แม้กระทั่งหุ่นมนุษย์ทองแดงที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายควบคุมในก่อนหน้านั้นก็มี พวกมันมีสีสันหลากหลาย มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด และล้อมเป็นวงขนาดใหญ่ล้อมคนเผ่าทรายไว้อย่างแน่นหนา
“แย่แล้ว! เป็นหุ่นพิทักษ์ดินแดนต้องห้าม!”
“พวกเราถูกล้อมรอบแล้ว ครั้งนี้คงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว!”
“ท่านผู้เฒ่า พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
ดูเหมือนว่าคนเผ่าทรายจะค่อนข้างคุ้นเคยกับหุ่นพิทักษ์แดนต้องห้ามเหล่านี้มาก ทั้งยังรู้ถึงความร้ายกาจของพวกมัน เมื่อเผชิญหน้ากับหุ่นจำนวนมากเช่นนี้ ก็มีท่าทีลนลานขึ้นมาทันที คนจำนวนไม่น้อยพากันกระตุ้นพลังเวทก่อตัวดาบทรายสีดำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และทำท่าระแวดระวัง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับมองมนุษย์ยักษ์สีทองที่อยู่กลางอากาศทีหนึ่ง และเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ขณะนั้นเอง เรื่องราวต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากอีกครั้ง
หุ่นรูปร่างต่างๆ นับพันตัวเหล่านี้หยุดฝีเท้าลงพร้อมกัน และพากันหมอบลงพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อนอีก
ฉากนี้ทำให้คนเผ่าทรายรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ผู้ที่หุ่นเหล่านี้คุกเข่าคารวะไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองกลางอากาศ
ตอนนี้ผู้เฒ่าเผ่าทรายถึงพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงพื้น และเอามือทั้งสองแนบติดกับพื้นก่อนตะโกนออกมาอยู่ไม่หยุด “ราชาผู้ยิ่งนักใหญ่”
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงพากันหมอบลงกราบเช่นกัน
หุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองกลางอากาศเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกาย ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ก็หันหน้ามองไปยังขอบฟ้าไกลๆ ในทันที และส่งเสียงอุทานออกมา
“เอ๋! ข้าเกือบลืมไปเลย ยังมีอีกสองคนที่ยังไม่ได้จัดการ!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็วาดมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง ม่านแสงสีทองจางๆ ขนาดสิบกว่าจั้งก็ปรากฏขึ้นบนอากาศตรงหน้า มีภาพเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นไม่หยุด ชายฉกรรจ์เผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมสีม่วงกับชายรูปร่างผอมสูงเผ่าปีศาจที่สวมชุดสีเขียวกำลังถูกขังอยู่ท่ามกลางพายุขนาดใหญ่
ซึ่งก็คือปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้านั่นเอง!
ขณะนี้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งสองต่างก็มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก และกำลังใช้วิธีการต่างๆ ต่อต้านพายุบ้าระห่ำอยู่
พอหลิ่วหมิงเห็นภาพปีศาจสายฟ้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใช่สิ! เจ้ารู้ที่มาของพวกเขาทั้งสองหรือไม่?” ชิงหลิงก้มหน้ามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และถามออกมาอย่างราบเรียบ
“เรียนท่านผู้อาวุโส ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจชุดม่วงผู้นั้นคือผู้ฝึกฝนอิสระที่มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนตอนใต้ในขณะนี้ ส่วนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจชุดเขียวอีกคน ข้าน้อยไม่รู้จักเลย ก่อนเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ข้าน้อยถูกปีศาจสายฟ้าตามล่ามาตลอด จนต้องหลบเข้ามาในทะเลทรายกุ่ยโม่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ปีศาจสายฟ้าคงเข้ามาที่นี่ในตอนที่ไล่ตามข้าน้อยมา ส่วนสาเหตุที่ปีศาจชุดเขียวผู้นั้นเข้ามาในสถานที่แห่งนี้นั้น ข้าน้อยก็ไม่รู้แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับไปตามตรงโดยไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด
แม้ว่าเขาจะมองผ่านม่านแสงไปเห็นภาพพายุบ้าระห่ำที่ปกคลุมเต็มฟ้า จนพอจะคาดเดาสถานะของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวได้ แต่ในเมื่อเขายังไม่แน่ใจ และอยู่ต่อหน้าผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ เขาก็ไม่กล้าคาดเดาเอาเอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดีเลย! ตอนนี้ข้ากำลังขาดคนใช้งานอยู่ ทั้งสองมาได้เวลาพอดีเลย”
พูดจบเขาก็อ้าปากพ่นลมออกมา ม่านแสงสีทองจางๆ กลายเป็นจุดแสงสีทองทันที จากนั้นก็ยกแขนทั้งสองขึ้นแล้วคว้าไปด้านหน้า
เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” บนอากาศที่อยู่ไม่ไกล และเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมาสองเส้น แสงสีทองเปล่งประกายบนแขนทั้งสองของมนุษย์ยักษ์ จากนั้นก็พร่ามัวขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า และจมหายไปในรอยแยกโดยตรง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น