หมอดูยอดอัจฉริยะ 718-723

 ตอนที่ 718 ลงเขา

“ดีเลย ฉันก็อยากไปดูที่อยู่อาศัยของมนุษย์อย่างพวกนายอยู่เหมือนกัน!”


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดดังนั้น ดวงตาของมังกรดำก็เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น ตั้งแต่เริ่มมีสติปัญญาขึ้นมา มันก็มีชีวิตอยู่บนภูเขาอันกว้างใหญ่นี้เพียงลำพังมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังก่อตันอสูรไม่สำเร็จ ตอนนี้มันก็คงจะออกจากที่นี่ไปพร้อมกับเยี่ยเทียนแล้ว


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วกำชับว่า “แกต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียร อย่าออกไปจากบึงนี่อีกนะ!”


“รู้แล้วละ นายรอฉันเดี๋ยวนึงนะ!”


มังกรดำพลิกร่างกระโจนลงไปในสระน้ำ ผ่านไปครู่เดียวก็ว่ายกลับขึ้นมา แล้วอ้าปากคายหินพลอยที่มีไอปราณเย็นเยียบออกมาสองเม็ด “นี่ยกให้นาย!”


“ที่ก้นบึงยังมีอีกรึเปล่า? เอามาให้ฉันหมดแล้วแกจะฝึกปราณยังไงล่ะ?”


เยี่ยเทียนนิ่งอึ้งไป ตั้งแต่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เขาก็มีความต้องการหินพลอยเหล่านี้ชนิดที่เรียกได้ว่า ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่มังกรดำมีการบำเพ็ญสูงส่งกว่าเขาอีก เพราะฉะนั้นมันก็น่าจะจำเป็นต้องใช้หินพลอยเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน


“ตอนนี้ฉันดูดรับพลังงานจากก้นบึงโดยตรงได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าสิ่งนี้แล้วละ!” มังกรดำส่ายศีรษะโตๆ ของมัน แล้วยื่นหินพลอยสองเม็ดนั้นให้เยี่ยเทียน


“ได้ อย่างนั้นฉันก็จะขอรับไว้ก็แล้วกัน ปีหน้าในวันเดียวกันนี้ ฉันจะมาหาแกใหม่นะ!” เยี่ยเทียนรู้สึกซาบซึ้งใจ บางครั้งการแสดงความรู้สึกของสัตว์นั้น ยังจะตรงไปตรงมามากกว่ามนุษย์เสียอีก พวกมันไม่มีการวางแผนตลบหลังใดๆ ทั้งนั้น


เยี่ยเทียนรับหินพลอยสองเม็ดนั้นมา ลูบศีรษะของมังกรดำแล้วเริ่มตั้งจิต ปราณแท้แผ่ออกมาจากร่างทีละน้อย แล้วรวมตัวกันปกคลุมร่างของเขาไว้


“โฮก…” เมื่อกลุ่มไอหมอกซึ่งปกคลุมเยี่ยเทียนอยู่นั้นลอยจากไปแล้ว เสียงมังกรคำรามกู่ร้องก็ดังขึ้นมา จนเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วเทือกเขา


“วันนี้ในปีหน้าค่อยพบกันใหม่…” กระแสจิตหนึ่งส่งเข้าสู่สมองของมังกรดำ เยี่ยเทียนไม่หันหลังกลับไปอีก กระตุ้นปราณแท้ที่ใต้ฝ่าเท้า ไปจากบึงน้ำมังกรดำในชั่วพริบตา


แม้จะมีปราณแท้โคจรอยู่รอบกาย ไม่ต้องกลัวว่าดาวเทียมที่อยู่บนฟ้าจะตรวจพบ แต่บนฟ้านั้นกระแสลมรุนแรง จึงต้องใช้ปราณแท้มากขึ้นเป็นเท่าตัวในการเหาะเหิน


ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเหาะขึ้นมาห่างจากพื้นโลกเพียงไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ร่างกายรู้สึกราวกับไร้น้ำหนัก ไอหมอกกลุ่มนั้นทะยานผ่านทิวเขาไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ห่างจากบึงน้ำมังกรดำไปไกลหลายสิบลี้แล้ว


“จวงจื่อเคยขี่ลมเหาะเหิน เราขี่เมฆแบบนี้น่าจะเหนือกว่าขี่ลมไปอีกขั้นหนึ่ง?” เมื่อได้เหาะเหินในระยะไกลเช่นนี้เป็นครั้งแรก เยี่ยเทียนจึงรู้สึกอิสระเสรียิ่งนัก ราวกับว่าได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับฟ้าดิน ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนมหัศจรรย์โดยแท้


“ที่วานรขาวสามารถเดินทางร้อยลี้ได้ในชั่วพริบตานั่นน่ะ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!” ขณะที่กำลังใช้จิตควบคุมปราณแท้รอบกาย เยี่ยเทียนก็ใช้สมาธิพิจารณาความรู้สึกที่ได้รับไปด้วย


เขาพบว่า วิชาเหาะเหินข้ามทวีปเช่นนี้แท้จริงแล้วเป็นการอาศัยประโยชน์จากพลังลม ปราณแท้ของเขาเปรียบได้กับพวงมาลัยที่ใช้ควบคุมทิศทางในการเหาะเหิน ส่วนพลังในการขับเคลื่อนนั้น ก็คือกระแสลมที่มีอยู่ทั่วไปตามบริเวณภูเขานั่นเอง


ยิ่งเหาะสูงเท่าไร ความเร็วของลมก็ยิ่งสูงขึ้นไปด้วย และกระแสลมในอากาศก็ไม่ได้พัดไปเพียงทิศทางเดียวเท่านั้น หากเข้าใจในหลักการเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถเหาะทะยานท่ามกลางหมู่เมฆ และอ่านความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง!


“เอ๊ะ? บนเขานี่ทำไมถึงมีสีเขียวได้ล่ะ?”


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า เมฆหมอกที่ก่อขึ้นจากปราณแท้กลุ่มนั้นก็พาเยี่ยเทียนออกจากส่วนลึกของภูเขาฉางไป๋ซาน มาถึงจุดที่เคยมาเก็บหญ้าคืนวิญญาณเมื่อครั้งก่อน แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตากลับทำให้เขาต้องตกตะลึง


ฤดูหนาวที่ภูเขาฉางไป๋ซานนั้นยาวนานกว่าที่อื่นๆ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงช่วงเดือนมีนาคมในปีถัดไป ภูเขาทั้งลูกจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะมากมายมหาศาล จนกระทั่งถึงเดือนเมษายนแล้ว พืชพรรณต่างๆ จึงจะค่อยๆ ฟื้นคืนชีพ


แต่บริเวณเบื้องล่างของเยี่ยเทียนนั้น หิมะกลับละลายไปหมดแล้ว บนพื้นดินเริ่มมีสีเขียวชอุ่มปกคลุม ดอกไม้ป่าบางชนิดก็กำลังเบ่งบาน ผืนป่าไป๋ฮว่าเริ่มแตกยอดอ่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิที่กำลังกลับมา


“ในเขตภูเขาหิมะยังไม่ละลาย นอกเขตภูเขาฤดูฝนกำลังมา เรา…เราเร้นกายไปนานขนาดไหนกันเนี่ย?”


เยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกแตกตื่นขึ้นมาในใจ ตอนที่เขาเดินทางมาที่ภูเขานั้นเพิ่งจะเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคมอยู่เลย ตามเหตุผลแล้วตอนนี้ภูเขาฉางไป๋ซานก็น่าจะกำลังอยู่ในช่วงที่หนาวที่สุด ไม่น่าจะปรากฏสภาพเช่นนี้ได้เลย


“เวรละ ผ่านไปหลายเดือนแล้วจริงๆ รึเนี่ย?”


เมื่อเดินทางห่างจากเขตภูเขาไปได้อีกระยะหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ร่ำร้องขึ้นมาในใจ ทิวทัศน์สีเขียวที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เขารู้ว่า ระหว่างที่เขาสลบไปคราวนี้ เวลาได้ผ่านไปหลายเดือนแล้ว


“แม่กับชิงหย่าจะเป็นห่วงกันขนาดไหนแล้วก็ไม่รู้”


เยี่ยเทียนรู้สึกกังวลแต่ก็จนปัญญา ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า คำกล่าวของคนโบราณที่ว่า เวลาบนเขาหนึ่งวันเท่ากับเวลาบนโลกหนึ่งพันปีนั้นหมายความว่าอย่างไร


ตอนที่เขาเก็บตัวฝึกปราณในบ้านที่กรุงปักกิ่งเมื่อก่อนหน้านี้ เวลาห้าวันได้ผ่านไปในชั่วพริบตา ส่วนคราวนี้ก็ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้ว แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกราวกับเพิ่งจะขึ้นเขาไปเมื่อวานนี้เอง ไม่ได้รู้สึกถึงเวลาที่เคลื่อนผ่านไปเลยแม้แต่น้อย


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลงมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อมไม้ของหูหงเต๋อ เขาใช้จิตสำรวจบริเวณโดยรอบในรัศมีร้อยเมตรก่อน แล้วจึงเก็บปราณแท้ที่โคจรอยู่รอบกายเข้าสู่ร่าง


ตอนแรกเยี่ยเทียนตั้งใจจะไปหาซ่งฉ่างฉางคนนั้นที่สถานีป่าไม้ก่อน เพื่อให้เขาช่วยส่งเยี่ยเทียนกลับไปที่เขตเมือง แต่ตอนนี้เขากลับเปลี่ยนใจแล้ว เพราะเขาคงจะอธิบายไม่ได้แน่ๆ ว่าเขาใช้ชีวิตผ่านฤดูหนาวบนภูเขามาได้อย่างไร


“เอ๊ะ? เหล่าหูกลับมาแล้วหรือ?”


เมื่อเปิดประตูกระท่อม เยี่ยเทียนก็เห็นกระดาษฝากข้อความที่วางอยู่บนโต๊ะทันที “เยี่ยเทียน ลงเขาแล้วไปหาเสี่ยวเซียนเลยนะ ที่บ้านเรียบร้อยดี ไม่ต้องห่วง!”


แม้ว่าตัวหนังสือจะเขียนอย่างบิดๆ เบี้ยวๆ แต่กลับเปี่ยมด้วยพลัง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นลายมือของหูหงเต๋อ เมื่อเห็นข้อความบนกระดาษ เยี่ยเทียนก็โล่งอกขึ้นมาทันที ในเมื่อมีหูหงเต๋อช่วยกระจายข่าวให้ แม่ของเขาและคนอื่นๆ ก็คงจะไม่ได้เป็นห่วงกันมากนัก


“เอ๊ะแปลกจริง เราอยู่บนภูเขาไปตั้งหลายเดือน ทำไมไม่เห็นจะรู้สึกหิวสักนิดเลยล่ะ?”


เมื่อเยี่ยเทียนกวาดสายตาผ่านเนื้อตากแห้งที่แขวนไว้ในกระท่อม ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองทันที ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้อย่าว่าแต่ข้าวเลย แม้แต่น้ำสักอึกก็ไม่ได้ดื่มเลยด้วยซ้ำ


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ตั้งจิตสำรวจตรวจดูภายในร่างกายของตัวเองอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็มีสีหน้าชนิดที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


“ที่แท้กลิ่นเหม็นจากตัวเราตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็มีต้นเหตุมาจากตรงนี้เองรึ?”


เยี่ยเทียนพบว่า ภายในร่างของเขานั้นอย่าว่าแต่อาหารเลย แม้แต่ของเสียที่อยู่ในลำไส้ยังถูกขับออกนอกร่างกายจนหมดเหมือนเป็นการขับพิษ ลำพังแค่ปราณแท้ที่กำเนิดในจุดตันเถียนก็เป็นพลังงานเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายแล้ว


“ท่าทางเราคงจะไม่ต้องการอาหารอย่างปุถุชนคนธรรมดาแล้วละนะ…”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วอดยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้ เขาไม่รู้แล้วว่า ตัวเขานี้ยังถือว่าเป็นคนปกติอยู่หรือไม่ เพราะแม้กระทั่งปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิตเขาก็ไม่ต้องการแล้ว


ดูจากอาหารที่หูหงเต๋อเก็บไว้ในกระท่อม มีแม้กระทั่งอาหารกระป๋องและขนมปังกรอบที่ใช้กันในกองทัพ คาดว่าคงจะเตรียมไว้ให้เขาแน่นอน แต่เยี่ยเทียนกลับไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด


ขณะนั้นเป็นยามเที่ยงตรง แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รีบที่จะเดินทางเข้าเมือง เขาพักผ่อนในกระท่อมไม้หลังนั้นก่อน จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาถึงจะปล่อยปราณแท้ออกมาปกคลุมตัวเองไว้ แล้วเหาะเหินไปยังตัวเมืองฉางไป๋


“ถ้ามนุษย์ทุกคนปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองออกมาได้แบบเดียวกับเรา อย่างนั้นโลกนี้ก็คงจะไม่มีมลพิษแล้วละนะ!”


แม้ว่าเมืองฉางไป๋จะอยู่ท่ามกลางทิวเขาล้อมรอบ แต่เมื่อเข้าสู่เขตตัวเมืองแล้ว เยี่ยเทียนกลับไม่สัมผัสถึงอากาศที่สะอาดสดชื่นแบบนั้นเลย บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันจากท่อไอเสียรถยนต์ จนเขาต้องปิดผนึกรูขุมขนทั่วร่างไว้


บ้านของหูหงเต๋อหลังนั้นตั้งอยู่ที่ชานเมือง ด้านหลังอิงกับภูเขา เยี่ยเทียนลอยร่างลงมาจากบนภูเขา เก็บปราณแท้แล้วจึงไปกดกริ่งที่ประตูบ้านหลังนั้น


“ใครน่ะ?” เสียงของหูเสี่ยวเซียนดังออกมาจากหลังประตู


“เยี่ยเทียน? นาย…นายกลับมาจากภูเขาแล้วเหรอ?”


หลังจากหูเสี่ยวเซียนเปิดประตูออก ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที แล้วเริ่มตะโกนโหวกเหวกว่า “คุณปู่คะ เยี่ยเทียนกลับมาแล้วค่ะ เยี่ยเทียนกลับมาแล้ว!”


“นี่เราเป็นขวัญใจประชาชนขนาดนั้นเลยรึเนี่ย?” เยี่ยเทียนยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มแหยๆ พลางลูบจมูกตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นครอบครัวของหูหงเต๋อกำลังนั่งล้อมวงกันในห้องอาหารเตรียมรับประทานอยู่พอดี


“เยี่ยเทียน อุตส่าห์ลงเขามาได้สักทีนะ นี่ถ้ายังไม่ลงมาอีกละก็ เหล่าหูจะหมดความอดทนก่อนแล้วนะ!”


เมื่อได้ยินเสียงของหลานสาว หูหงเต๋อก็ทิ้งตะเกียบแล้วเข้ามาต้อนรับทันที อารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้ายังรุนแรงยิ่งกว่าหูเสี่ยวเซียนเสียอีก


“เหล่าหู พลังฝีมือของคุณมั่นคงขึ้นแล้วนี่!” เยี่ยเทียนมองไปที่หูหงเต๋อ แล้วเอ่ยถามว่า “นี่วันนี้วันที่เท่าไหร่เดือนอะไรแล้วนะ?”


“เธอไม่รู้หรือ?” หูหงเต๋อมองเยี่ยเทียนอย่างกับเห็นผี แล้วโวยวายว่า “ช่วงที่ผ่านมานี่เธอใช้ชีวิตยังไง? ไม่รู้เลยรึไงว่าผ่านไปกี่วันแล้ว?”


เยี่ยเทียนตอบอย่างขุ่นเคือง “ไม่เห็นต้องถามเลย ถ้าผมรู้แล้วจะถามคุณทำไมเล่า?”


“พ่อครับ เชิญคุณเยี่ยมาร่วมโต๊ะอาหารกับเราด้วยสิครับ”


เมื่อเห็นพ่อของตัวเองมัวแต่ยืนคุยกับเยี่ยเทียนอยู่ที่ประตู หูต้าจวินผู้เป็นบิดาของหูเสี่ยวเซียนจึงเดินเข้าไปหา ปกติเขาอยู่แต่ในที่ทำงาน จึงไม่รู้เรื่องที่เยี่ยเทียนไปอยู่บนเขาตามลำพังมาหลายเดือน


“มา กินอะไรก่อนเถอะ!”


หูหงเต๋อดึงเยี่ยเทียนเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบบอกว่า “วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบ เดือนมีนาคม ปี 2001 แล้วนะ เธอน่ะอยู่บนเขาไปตั้งสามเดือนกับอีกยี่สิบวันเต็มๆ แน่ะ!”


“อะไรนะ? นานขนาดนั้นเลย?”


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะเตรียมใจไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำตอบก็ยังตกตะลึงอยู่ดี จากนั้นก็ทำหน้ากระอักกระอ่วนแล้วถามว่า “ที่บ้านผมเป็นยังไงบ้าง คุณบอกกับทางนั้นไว้ว่ายังไงน่ะ?”


คราวนี้เยี่ยเทียนไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรจะอธิบายกับแม่และภรรยาอย่างไรดี เพราะตอนแรกเขาบอกไว้ว่า จะไปสักสิบวันสิบห้าวัน แต่ไม่นึกเลยว่า ตัวเลขจะกลับกลายเป็นหนึ่งร้อยสิบวันไปเสียนี่


หูหงเต๋อตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ไม่เป็นไรหรอก เหล่าหูบอกไปว่าเธอบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขา แล้วฉันก็ได้เจอกับเธออยู่บ่อยๆ พวกนั้นก็เลยไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก แต่ถ้าเธอยังไม่ลงเขามาอีกละก็ ฉันจะไม่ทนรอแล้วนะ!”


ปรากฏว่า หลังจากหูหงเต๋อนำข่าวที่เยี่ยเทียนเร้นกายฝึกบำเพ็ญไปแจ้งกับทางบ้านตระกูลเยี่ยแล้ว เขาก็เดินทางไปที่ฮ่องกง แต่ผ่านไปได้เพียงยี่สิบกว่าวัน ซ่งเวยหลันก็โทรศัพท์มาซักถามแล้ว


พวกโก่วซินเจียรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาหมดแล้ว และยังรู้ด้วยว่า การฝึกบำเพ็ญครั้งนี้มีความสำคัญต่อเยี่ยเทียนมาก ตอนนั้นจึงให้หูหงเต๋อกลับไปที่ภูเขาฉางไป๋ซาน เพื่อที่จะสามารถติดต่อกับบ้านตระกูลเยี่ยได้ทุกเมื่อ


ระหว่างนั้นหูหงเต๋อก็เคยไปที่นอกหุบเขาที่เยี่ยเทียนเร้นกายอยู่แล้ว แต่เขาไม่กล้ารบกวนเยี่ยเทียนที่กำลังเร้นกาย หลังจากเฝ้ารออยู่ตรงนั้นอย่างอดทนได้สองเดือน เขาจึงกลับมารออยู่ที่บ้านแทน


“ดี เหล่าหู คราวนี้ผมติดค้างน้ำใจคุณแล้วละนะ!” เมื่อได้ยินคำตอบของหูหงเต๋อ ในที่สุดเยี่ยเทียนก็วางใจลงได้แล้ว จึงตบบ่าของหูหงเต๋ออย่างแรง


เมื่อหูเสี่ยวเซียนเห็นกิริยาของเยี่ยเทียน ก็อดโวยวายขึ้นมาไม่ได้ว่า “อะไรกัน คุณปู่ฉันออกไปกับนายแค่ครั้งเดียว มือก็หายไปครึ่งข้างเลยนะ…”


“พ่อ ตกลงมือของพ่อไปโดนอะไรมากันแน่ครับ?” หลังจากได้ยินลูกสาวพูดแบบนั้น หูต้าจวินจึงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที


ตอนที่ 719 เยี่ยมเยือน

หูหงเต๋อขึงตาใส่ลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่รึไง ว่าโดนกระบอกปืนระเบิดใส่ ใครที่ไหนจะมาทำอะไรพ่อแกได้เล่า?”


นายพรานมือเก่าบนภูเขามักจะใช้กระบอกปืนแบบเก่า ซึ่งก็คือแบบที่ต้องยัดดินปืนใส่กระบอกก่อน แล้วจึงจะบรรจุลูกกระสุนตามลงไปในกระบอกจนเต็ม เรียกได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง


เพียงแต่ว่า การทำงานของปืนชนิดนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย เพราะกระบอกปืนมักจะระเบิดได้ง่าย ญาติรุ่นพ่อคนหนึ่งของหูต้าจวินก็เคยถูกระเบิดใส่มือจนขาดไปข้างหนึ่ง ดังนั้นตอนแรกที่ได้ฟังคำอธิบายของบิดาจึงไม่ได้ติดใจอะไร


แต่ตอนนี้เมื่อมาได้ยินลูกสาวพูด หูต้าจวินจึงเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้บิดาได้รับบาดเจ็บระหว่างที่เดินทางขึ้นภูเขากับเยี่ยเทียน ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรอย่างเดิมแล้ว


หูต้าจวินพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “พ่อ พ่อก็อายุมากแล้วนะครับ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ อย่าเอาแต่จะถ่อออกไปตามป่าตามเขาเลยน่ะ”


“บัดซบ พ่อแกจะทำอะไรต้องให้เด็กอย่างแกมาสั่งสอนด้วยเรอะ?!”


หูหงเต๋อได้ยินแล้วก็โกรธจัด ฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะอาหารตรงหน้าดัง “ปัง” โต๊ะอาหารที่ทำขึ้นจากไม้แข็งแรงถึงกับถูกเขาฟาดจนแตกหักเป็นเสี่ยงๆ


“พอเถอะเหล่าหู ทำไมถึงได้อารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้? จะไปถือสาคนรุ่นหลังทำไมกันเล่า?”


เยี่ยเทียนกดบ่าของหูหงเต๋อไว้ แล้วกวาดสายตาไปที่หูต้าจวิน จนหูต้าจวินเห็นแล้วรู้สึกตาสว่างราวกับถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดรดศีรษะทันที


ตามลำดับอาวุโสแล้ว หูหงเต๋อจะต้องเรียกเยี่ยเทียนว่าอาจารย์อา การที่หูต้าจวินแสดงความไม่พอใจออกมาเมื่อครู่นี้ เท่ากับเป็นการทำให้พ่อของตัวเองเสียหน้า จึงไม่แปลกที่หูหงเต๋อจะระเบิดโทสะใส่


“คุณ…คุณเยี่ย ขอโทษด้วยครับที่ผมจาบจ้วงล่วงเกิน!”


หูต้าจวินอยู่กับพ่อมานานแล้ว จึงพอจะรู้ธรรมเนียมบางอย่างในยุทธภพอยู่เหมือนกัน ยามนั้นเขาลุกขึ้นมาโค้งคารวะให้เยี่ยเทียนอย่างนอบน้อม สีหน้าของหูหงเต๋อถึงจะเริ่มดีขึ้นมาบ้าง


“เอาเถอะ พวกแกออกไปกินข้างนอกกันไป วันนี้ไม่ต้องกลับมาอีกนะ!” หูหงเต๋อยังเหลือโทสะค้างอยู่ จึงลุกขึ้นมาพาเยี่ยเทียนไปที่ห้องหนังสือ ทิ้งให้พวกหูต้าจวินนั่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก


“คุณนี่นะ ทำไมถึงได้อารมณ์ร้อนแบบนี้เนี่ย?” เยี่ยเทียนพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ “เหล่าหู ยื่นมือซ้ายของคุณมาซิ ผมจะลองจับชีพจรให้!”


“ทำไมล่ะ? ผมก็ไม่ได้ป่วยนี่?” หูหงเต๋อยื่นมือซ้ายให้เยี่ยเทียนอย่างฉงนสงสัย


“ไม่ได้ป่วยก็จริง แต่ไฟที่ตับมีพลังรุนแรง เป็นคนค่อนไปทางธาตุไฟ…”


เยี่ยเทียนแตะนิ้วหนึ่งลงบนจุดชีพจรของหูหงเต๋อ แต่ที่จริงแล้วเขากำลังมองดูอวัยวะภายในของหูหงเต๋ออย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง หลังจากพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบหินพลอยขนาดเท่านิ้วโป้งเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ “คุณนี่โชคดีไม่เบาเลยนะ ไหนลองดูซิว่าจะดูดรับปราณวิเศษจากหินก้อนนี้ได้ไหม?”


แม้ว่าหูต้าจวินจะไม่ได้จงใจกล่าวโทษ แต่ในใจเยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องที่หูหงเต๋อมือขาดไปอยู่ดี ที่เขานำพลอยวิเศษเม็ดนี้ออกมา ก็เพราะมีเจตนาที่จะตอบแทนหูหงเต๋อ


“หินนี่ดูแล้วก็สวยดีนะ เป็นเพชรรึเปล่า? ไอ้หยา ทำไมร้อนขนาดนี้เนี่ย?”


หูหงเต๋อรับหินพลอยเม็ดนั้นมาด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ แต่ทันทีที่ถึงมือ ก็รู้สึกว่ามีกระแสความร้อนถ่ายเทเข้าสู่ร่างผ่านทางผิวหนังของเขา อวัยวะภายในทั้งหลายราวกับลุกเป็นไฟ ทำให้เขาตกใจจนเกือบจะโยนหินนั้นทิ้งไปแล้ว


“เอ๊ะ? สบายจังแฮะ?”


เพียงแต่หูหงเต๋อยังไม่ทันมีปฏิกิริยา กระแสความร้อนที่ถ่ายเทเข้าสู่ร่างนั้นก็กลับอบอุ่นอ่อนโยนลงในฉับพลัน แล้วไหลเวียนไปตามเส้นชีพจรทั่วร่าง หลายๆ จุดที่อุดตันอยู่ในตอนแรกก็เปิดโล่งทั้งหมด


“ที่แท้เป็นธาตุไฟหรอกรึ?”


เมื่อได้ยินหูหงเต๋อถาม เยี่ยเทียนก็พยักหน้า คราวก่อนหินพลอยธาตุน้ำเม็ดนั้นแช่แข็งหูหงเต๋อจนเกือบจะต้องจบชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อสัมผัสถูกหินพลอยเม็ดนี้ กลับให้ปฏิกิริยาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


หลังจากกระแสความร้อนนั้นไหลเวียนภายในร่างกายไปหนึ่งรอบ หูหงเต๋อก็พยายามข่มความต้องการที่จะฝึกปราณต่อไป แล้ววางหินพลอยลงบนโต๊ะหนังสือ และหันไปถามเยี่ยเทียนว่า “เยี่ยเทียน ปัญหาพลังปราณในตัวเธอน่ะแก้ไขได้แล้วหรือ?”


หลังจากพลังฝีมือเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิต หูหงเต๋อก็สามารถประเมินสภาพร่างกายของคนอื่นผ่านการสัมผัสพลังได้เช่นกัน แต่เมื่อเขาแผ่พลังออกไปหาเยี่ยเทียนแล้ว กลับถูกดีดกลับมา จึงไม่อาจตรวจดูสภาพของเยี่ยเทียนได้เลย


“แก้ไขได้แล้วละ แล้วยังพัฒนาขึ้นอีกด้วย” เยี่ยเทียนพยักหน้าเบาๆ


“อย่างนั้นก็เหมือนกับนักพรตรูปนั้นแล้วสิ?” หูหงเต๋อฟังแล้วอึ้งไป เขาตกตะลึงเสียขวัญกับพลังของนักพรตรูปนั้นไปไม่น้อยเลย


เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ผมเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน น่าจะยังต่ำกว่าเขาไปอีกขั้นหนึ่ง”


ตอนที่อยู่ในหุบเขา เยี่ยเทียนเคยลองใช้จิตดั้งเดิมสั่งการมีดสั้นเล่มนั้นดูแล้ว ถึงจะสามารถทำให้มันลอยขึ้นมากลางอากาศได้ แต่ก็ไม่อาจควบคุมดั่งใจนึกเหมือนอย่างนักพรตรูปนั้นได้


“เยี่ยเทียน หรือเราลองมาวัดพลังกันหน่อยดีไหม?”


หูหงเต๋อตาเป็นประกายวาว ปกติเขาก็เป็นพวกคลั่งไคล้การต่อสู้อยู่แล้ว และก็รู้ว่าเยี่ยเทียนไม่มีทางทำร้ายเขาแน่นอน ยามนั้นจึงเกิดความคิดอยากจะวัดพลังกับเยี่ยเทียนดู


“อย่าเลยน่า เหล่าหู พลังปราณกับปราณแท้ถึงจะเป็นพลังงานในร่างกายเหมือนกัน แต่คุณสมบัติมันไม่เหมือนกันเลยนะ คุณเอาหินพลอยนี่ไปตั้งใจฝึกปราณก่อน บางทีอาจจะไปถึงระดับเซียนเทียนก็ได้นะ!”


เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า เมื่อเห็นหูหงเต๋อทำหน้าเหมือนไม่ยอม จึงยื่นมือขวาออกไปกดบ่าของเขาไว้ แล้วบอกว่า“ถ้าคุณยังลุกขึ้นมาได้ ก็ถือว่าผมแพ้แล้วกัน ดีไหมล่ะ?”


“คิดว่าจะลุกไม่ขึ้นเลยรึ? เยี่ยเทียน เธอดูถูกฉันเกินไปรึเปล่าเนี่ย?”


ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่เหมือนๆ กัน หูหงเต๋อมีรูปร่างสูงกว่าเยี่ยเทียน ซึ่งก็น่าจะทำให้เยี่ยเทียนปล่อยพลังได้ไม่ถนัด หูหงเต๋อจึงไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมา


แต่เมื่อหูหงเต๋อใช้สองเท้ายันพื้นหมายจะลุกขึ้นยืน กลับพบว่าพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายพลันติดขัด ทั่วร่างรู้สึกเหน็บชาไร้เรี่ยวแรง อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นยืนเลย เขาเกือบจะตัวอ่อนยวบล้มลงไปบนพื้นแล้วด้วยซ้ำ


“ก็ได้ ถือว่าเหล่าหูยอมแพ้ก็แล้วกัน!” เมื่อเยี่ยเทียนคลายมือออก หูหงเต๋อก็มีสีหน้าท้อแท้ห่อเหี่ยว


“ผมเองก็ต้องผ่านเรื่องเฉียดตายมาเยอะ รวมกับอาศัยโอกาสประจวบเหมาะด้วยเหมือนกัน ถึงจะเข้าสู่ระดับนี้ได้ คุณพัฒนาพลังฝีมือให้ถึงระดับหลอมปราณสู่จิตช่วงปลายก่อนเถอะ วันหน้าอาจจะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นก็ได้”


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ปราณน้ำแข็งและไฟปะทะกันในระหว่างที่เขาเร้นกายครั้งนี้ เยี่ยเทียนก็ตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น ถ้าให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ไม่กล้าลองทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว


“เอาละ ช่วยจองตั๋วรถไฟให้ผมทีนะ พรุ่งนี้ผมก็จะกลับปักกิ่งแล้วล่ะ!” เนื่องจากยังมีปริศนาเกี่ยวกับตัวเขาอีกมากมาย รวมถึงมีดสั้นไร้นามอีกเล่มหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงได้แต่นั่งรถไฟกลับไปก่อน


เมื่อนึกถึงใบหน้าอันหม่นหมองของแม่และอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนจึงไม่มีจิตใจจะคุยเล่นกับหูหงเต๋ออีก เขาต้องเริ่มคิดแล้วว่า พอกลับไปบ้านแล้วจะคลายโทสะของผู้หญิงทั้งสองคนอย่างไรดี


…………


“นี่คุณ มาหาใครน่ะ? ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ไม่เข้าไปข้างในล่ะ?” ซ่งเวยหลันกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผมยาวประบ่าคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ


“แม่ ผมเองครับ!” เมื่อได้ยินเสียงของแม่ เยี่ยเทียนจึงหันหลังมา แต่แล้วก็อึ้งไปทันที “นี่แม่ไปจ่ายตลาดมาหรือครับ?”


ซ่งเวยหลันในความทรงจำของเยี่ยเทียนนั้น เรียกได้ว่าตัวแทนของความสูงสง่าและความเป็นผู้ใหญ่


แต่แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ มือซ้ายกำลังหิ้วเป็ดที่เพิ่งเชือดมาใหม่ๆ หนึ่งตัว ส่วนมือขวาก็ถือปลาอยู่สองตัว ไม่ได้มีความแตกต่างจากบรรดาแม่เหย้าแม่เรือนที่อาศัยอยู่ในย่านหูถ่งนี้เลย เยี่ยเทียนเพิ่งจะเคยเห็นแม่ในสภาพที่สลัดคราบของคุณหญิงคุณนายไปจนหมดแบบนี้เป็นครั้งแรก


“เจ้าลูกบ้า ยังจำทางกลับบ้านตัวเองได้อยู่เรอะ?!” เมื่อเห็นลูกชาย ซ่งเวยหลันก็ตาแดงขึ้นมาทันที ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังหอบหิ้วกับข้าวอยู่เต็มสองมือ เธอคงได้เข้าไปบิดหูลูกชายแน่แล้ว


“มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่ะแม่ เหตุสุดวิสัยจริงๆ มา ผมช่วยถือกับข้าวนะครับ!”


เยี่ยเทียนรับกับข้าวไปจากมือมารดาอย่างขันแข็ง แล้วกระโจนถลาเข้าประตูบ้านไปอย่างกับจะหนีตาย มีเสียงด่าปนขำของซ่งเวยหลันดังตามมาข้างหลังว่า “หนีเข้าไปเถอะ ดูซิว่าแม่จะอบรมแกยังไงบ้าง!”


การกลับมาของเยี่ยเทียนทำให้เรือนสี่ประสานแห่งนี้ครึกครื้นขึ้นมาเป็นพิเศษ แน่นอนว่า รายการหลักของวันก็คือการลงทัณฑ์เยี่ยเทียนนั่นเอง ตั้งแต่เยี่ยตงจู๋ไปจนถึงอวี๋ชิงหย่า ต่างก็ได้สวดเทศน์เยี่ยเทียนไปคนละชุดจนครบทุกคน


“คราวหน้าอย่าทิ้งฉันไปนานขนาดนี้อีกนะ”


เมื่อกลับไปถึงห้องที่เรือนด้านหลัง อวี๋ชิงหย่าก็มองสามีอย่างขุ่นเคืองใจ ถึงเธอจะไม่ใช่คนอ่อนแอที่ยืนหยัดด้วยตัวเองไม่ได้ แต่เยี่ยเทียนชอบหายตัวไปหลายๆ ครั้งแบบนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็คงทนไม่ไหวทั้งนั้น


“ไม่อีกแล้วละ ชิงหย่า ไว้หลังจากอยู่กับแม่ที่บ้านสักหลายๆ วันแล้ว เราก็ออกไปท่องเที่ยวกันนะ ไปเที่ยวฮ่องกงกันสักครั้ง”


เยี่ยเทียนก้มหน้าลง เสาะหาริมฝีปากนุ่มของอวี๋ชิงหย่า ปากก็พึมพำว่า “วันนี้แม่บอกฉันแล้วนะว่า อยากให้เรามีลูกกันสักคน ค่ำคืนฤดูวสันต์ช่างสั้นเหลือเกิน ที่รัก คิดถึงคุณแทบแย่แน่ะ…”


เมื่อได้ฟังคำหวานจากปากของเยี่ยเทียน ร่างกายของอวี๋ชิงหย่าก็อ่อนปวกเปียกไปทันที ชั่วขณะนั้นในห้องเปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายของความรัก เสียงหอบหายใจหวานแผ่วดังต่อเนื่องไปจนถึงกลางดึกจึงจะหยุดลง


หลังจากเยี่ยเทียนกลับมาถึงกรุงปักกิ่ง ก็ไม่ได้แจ้งข่าวให้ใครรู้เลย แต่ละวันนอกจากอยู่คุยกับแม่แล้ว ก็มีแต่ออกไปรับอวี๋ชิงหย่าหลังเลิกงานที่สถานีโทรทัศน์ ซึ่งก็ทำให้บรรดาเพื่อนร่วมงานของอวี๋ชิงหย่าได้พบกับสามีผู้ลึกลับดั่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสถานีโทรทัศน์เป็นครั้งแรก


วันนี้หลังจากรับประทานอาหารค่ำ เยี่ยเทียนถามซ่งเวยหลันว่า “แม่ คุณท่านยังพักอยู่ที่เดิมรึเปล่าครับ? เย็นนี้ผมว่าจะไปหาสักหน่อย!”


“คุณท่าน คุณท่านไหนกันล่ะ?”


ซ่งเวยหลันได้ยินคำถามแล้วงงๆ จากนั้นพอเข้าใจก็ยื่นมือไปเขกหน้าผากเยี่ยเทียนหนึ่งที “ลูกหมายถึงคุณตาของลูกน่ะรึ? เจ้าลูกคนนี้นี่นะ เรียกคุณตาสักคำจะเป็นไรไปล่ะ?”


เยี่ยเทียนยิ้มยียวน “ก็เหมือนๆ กันแหละน่า แม่ช่วยโทรบอกทางนั้นให้หน่อยสิครับ บอกว่าเดี๋ยวผมจะเข้าไป”


เยี่ยเทียนรู้ว่า แม้ซ่งเฮ่าเทียนจะลงจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับการรักษาความปลอดภัยในระดับสูง ถ้าเขาบุ่มบ่ามเข้าไปหาเลย ก็คงไปมีทางได้ผ่านเข้าประตูไปแน่


“ทำไมลูกถึงนึกอยากจะไปหาคุณตาขึ้นมาล่ะ?” ซ่งเวยหลันมองเยี่ยเทียนอย่างแปลกใจ เธอรู้ว่าลูกชายและสามีของเธอนั้นเหมือนกัน ในใจต่างก็ยังมีความคับแค้นต่อตระกูลซ่งด้วยกันทั้งคู่ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลงานตรุษอะไร ก็จะไม่มีทางไปเยี่ยมเยือนที่บ้านเด็ดขาด


“เรื่องของผู้ชายน่ะแม่ พวกผู้หญิงอย่างแม่อย่ามาถามเลยน่ะ!” เยี่ยเทียนยืดอกตอบ แต่กลับได้รับเสียงต่อว่าอย่างพร้อมเพรียงจากเหล่าสตรีที่กำลังร่วมโต๊ะอาหารด้วย จนเขาถึงกับคอหดไปเลย


แต่ถึงจะรู้สึกแปลกใจแค่ไหน ซ่งเวยหลันก็ยังติดต่อไปที่บิดาให้อยู่ดี เมื่อเยี่ยเทียนอยากจะไปเยี่ยม ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ยินดีต้อนรับ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนก็มาถึงเรือนสี่ประสานหลังที่ซ่งเฮ่าเทียนอาศัยอยู่


“เหล่าฝู นี่คุณจงใจใช่ไหมเนี่ย?”


ตอนที่จะเข้าประตูไป เยี่ยเทียนกลับถูกผู้พันฝูเจิงหมิงคนนั้นค้นตัวแล้วค้นตัวอีกอยู่หลายครั้งถึงจะปล่อยให้เข้าไปได้ จนเยี่ยเทียนโมโหขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


ฝูเจิงหมิงทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ใช่ผมจงใจ แล้วคุณจะมีปัญญาทำอะไรได้ล่ะ แต่ปากกลับตอบไปว่า “มันเป็นหน้าที่น่ะครับ คุณเยี่ยโปรดให้อภัยด้วย!”


ตอนที่ 720 ความลับระดับชาติ

“พอได้ขึ้นเป็นผู้พันแล้ว กิริยามารยาทก็ย่ำแย่เชียวนะ”


เยี่ยเทียนหัวเราะหึๆ เผยให้เห็นฟันขาวบริสุทธิ์ทั้งปาก แล้วกลับเปลี่ยนเป็นถลึงตาทันที “เวลาฉันอยากจะฆ่าคนน่ะ จำเป็นต้องใช้อาวุธอะไรด้วยรึไง?”


ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนถลึงตา ฝูเจิงหมิงก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง รูขุมขนนับพันนับหมื่นรูบนร่างเปิดออกพร้อมๆ กัน มือก็เผลอคลำไปทางบั้นเอว


“ของที่แกพกอยู่น่ะ ก็แค่มีไว้ประดับเท่านั้นแหละ!” เสียงของเยี่ยเทียนดังมาจากหลังประตู หลังจากเขาขู่ฝูเจิงหมิงเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปในเรือนสี่ประสานอย่างวางมาด


“มีไว้ประดับ?”


ฝูเจิงหมิงไม่ค่อยจะเข้าใจคำพูดของเยี่ยเทียนเลย แต่เมื่อสายตามองไปที่ปืนที่ถืออยู่ในมือ เขาก็ตะลึงไปทันที เพราะปืนพกชนิดเก็บเสียงรุ่นใหม่ล่าสุดกระบอกนั้น ปากกระบอกปืนถูกบิดจนเหมือนขนมโดนัทเป็นเกลียวไปแล้ว


“บ้าเอ๊ย นี่มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่าวะ?” ฝูเจิงหมิงรู้สึกชาหนังศีรษะไปวูบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่ว่า เยี่ยเทียนเป็นหลานตาแท้ๆ ของท่านผู้บัญชาการ ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้บุคคลอันตรายอย่างเยี่ยเทียนเข้าไปพบท่านแน่ๆ


บ้านแบบเรือนสี่ประสานที่ซ่งเฮ่าเทียนอาศัยอยู่นี้ ก็เป็นชนิดที่มีเรือนล้อมลานต่อกันสามเรือน เรือนหน้าและเรือนหลังเป็นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและแม่บ้านรวมถึงแพทย์ประจำบ้าน ส่วนตัวซ่งเฮ่าเทียนเองนั้นก็อาศัยอยู่ที่เรือนกลาง


ระหว่างที่กำลังเดินไปตามโถงทางเดินในเรือนหน้า เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า มีสายตาอย่างน้อยสี่ห้าคู่กำลังจับจ้องดูเขาจากที่ลับ นอกจากนี้บนผนังสูงและจุดเร้นลับตามมุมต่างๆ ก็ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้หลายตัว ทุกๆ อากัปกิริยาของเขาถูกคนเฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา


ฤดูใบไม้ผลิที่เมืองปักกิ่งนั้นมาเร็วกว่าทางภูมิภาคตงเป่ยอยู่บ้าง ต้นไหวในลานบ้านเริ่มแตกพุ่มสีเขียวสดแล้ว เยี่ยเทียนเดินไปตามพื้นที่ปูด้วยอิฐเทา พอเลี้ยวที่มุมหนึ่งก็ไปถึงเรือนกลางแล้ว


ที่มุมด้านซ้ายของลานบ้านในเรือนกลางนั้น ถูกขุดสระขึ้นมาหนึ่งสระตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ในสระปลูกดอกบัวไว้เต็ม สายลมโชยเบาๆ ในลานบ้านจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของดอกบัว


และตรงกลางลานบ้านนั้นก็มีชายชรานั่งอยู่คนหนึ่ง เขากำลังเติมถ่านใส่เตาดินเผาที่อยู่ตรงหน้าอย่างกระตือรือร้น บนเตามีกาน้ำชาทองแดงที่ปากกาเป็นรูปหัวมังกรใบหนึ่งวางอยู่ ตอนนี้เริ่มได้ยินเสียงน้ำเดือดดัง “ปุดๆๆๆ” แล้ว


ข้างๆ ชายชรามีเด็กวัยหกเจ็ดขวบยืนอยู่คนหนึ่ง ข้างหลังยังมีแพทย์ประจำบ้านอยู่อีกสองคน ซึ่งกำลังมองเยี่ยเทียนอย่างไม่เป็นมิตร ปกติในเวลานี้ท่านผู้นำน่าจะพักผ่อนได้แล้ว แต่การมาเยี่ยมเยือนของเยี่ยเทียนกลับทำให้กำหนดเวลาของท่านผู้นำเสียไปหมด


“อ้าว ท่านผู้เฒ่า ท่าทางอารมณ์ดีนี่นา การตกแต่งจัดวางในสวนนี่ก็ไม่เลวเลยนะครับ!”


ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนเคยมาที่เรือนสี่ประสานแห่งนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นในลานบ้านยังไม่มีสระบัวสระนี้ เมื่อเยี่ยเทียนพิจารณาดูไปรอบๆ ก็พบว่า กระแสพลังหยินพิฆาตในบ้านนี้ถูกขจัดไปเกือบหมดแล้ว


“แกน่ะทำไมจู่ๆ ถึงได้นึกอยากจะมาหาตาแก่อย่างฉันล่ะ?”


ซ่งเฮ่าเทียนเหลือบตาขึ้นมามองเยี่ยเทียน แล้วรินน้ำที่ต้มเดือดแล้วใส่กาดินม่วงในชุดชงชาที่วางอยู่ตรงหน้า เขาชงชาสองถ้วยอย่างชำนาญคล่องแคล่ว แล้วพูดขึ้นว่า “ชาอู่อี๋ต้าหงเผาของแท้จากสามต้นชาแม่พันธุ์ แกนี่มีลาภปากจริงๆ นะ!”


ตั้งแต่ลงจากตำแหน่งผู้นำเป็นต้นมา สภาพจิตใจของซ่งเฮ่าเทียนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก กระทั่งยังเริ่มรู้สึกผิดต่อเยี่ยเทียนผู้เป็นหลายชายอีกด้วย


ตอนที่เยี่ยเทียนเกิดเรื่องในช่วงเหตุวินาศกรรม 9/11 ที่นิวยอร์ก ซ่งเฮ่าเทียนก็ได้ฝ่าฝืนกฎระเบียบและใช้เส้นสายไปไม่น้อย ถึงขั้นโทรศัพท์ไปติดต่อสถานทูตที่สหรัฐอเมริกาด้วยตนเอง เพื่อที่จะขอให้มีการรับรองความปลอดภัยของเยี่ยเทียน


“ชาดี เป็นชาจากสามต้นชาแม่พันธุ์จริงๆ ด้วยนะเนี่ย!” เยี่ยเทียนก็ไม่ได้เกรงใจ นั่งลงตรงหน้าซ่งเฮ่าเทียน แล้วใช้สองนิ้วคีบถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนหมดถ้วย


“แกเคยดื่มชานี่ด้วยรึ?”


ตอนแรกซ่งเฮ่าเทียนอยากจะถามจุดประสงค์การมาของเยี่ยเทียนก่อน แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็กลับเกิดความประหลาดใจขึ้นมา เพราะใบชาชนิดนี้แม้แต่เขาเองก็ยังหามาได้ปีละไม่ถึงหนึ่งตำลึง แล้วเยี่ยเทียนจะไปได้มาจากไหนกัน?


“ที่บ้านผมก็มีอยู่เหมือนกันแหละ สมัยก่อนน่ะผมกับอาจารย์…”


เยี่ยเทียนเผลอปากไวไปชั่วขณะ จนเกือบจะพูดถึงสิ่งที่เขาและหลี่ซั่นหยวนเคยทำออกมาแล้ว ยังดีที่หยุดปากได้ทันเวลาพอดี เขามองไปทางเด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ ซ่งเฮ่าเทียนแล้วพูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้ไม่เลวนะเนี่ย อวัยวะบนใบหน้าได้สัดส่วน เค้าโครงหมดจด วันหน้าต้องได้เป็นข้าราชการแน่!”


“พูดจริงรึ?”


ซ่งเฮ่าเทียนฟังแล้วตาลุกวาว ไม่สนใจจะซักถามเรื่องใบชาต้าหงเผาแล้ว แต่เอ่ยถามว่า “เยี่ยเทียน แกไม่ได้พูดไปเรื่อยใช่ไหม?”


หลังจากซ่งเฮ่าเทียนลงจากตำแหน่ง อิทธิพลในแวดวงการเมืองของตระกูลซ่งก็หายไปเกือบหมด แต่ตราบใดที่ซ่งเฮ่าเทียนยังอยู่บนโลกนี้ ก็จะยังไม่มีใครกล้ามาโค่นล้มตระกูลซ่งได้


แต่หากเขาไม่อยู่แล้ว ตระกูลซ่งที่ในประเทศก็จะต้องเผชิญกับการล้างไพ่ครั้งใหญ่ เด็กคนนี้แม้จะอายุยังน้อย แต่คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้ซ่งเฮ่าเทียนเริ่มเห็นความหวังของตระกูลซ่งในอนาคตอยู่รำไรแล้ว


“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เถอะครับ” เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมองดูสีหน้าของซ่งเฮ่าเทียน “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านผู้เฒ่ายังจะได้เห็นวันที่เขาก้าวขึ้นไปเป็นข้าราชการอยู่ เท่านี้ก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ!”


“ฉัน…ฉันยังจะอยู่ได้อีกนานขนาดนั้นเลยรึ?”


คำพูดของเยี่ยเทียนยิ่งทำให้ซ่งเฮ่าเทียนมีสีหน้าปิติมากขึ้น กว่าเหลนของเขาคนนี้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยก็คงเป็นตอนอายุยี่สิบต้นๆ โน่น นั่นไม่เท่ากับหมายความว่า เขายังมีอายุขัยอยู่อีกถึงสิบกว่าปีหรอกรึ?


เยี่ยเทียนโบกมือ “เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลังเถอะท่านผู้เฒ่า ที่ผมมาหาครั้งนี้น่ะเพราะเรื่องอื่นต่างหาก”


“เรื่องอะไร? แกน่ะปกติไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือทั้งนั้นเลยนี่?”


ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนกำลังอารมณ์ดี จึงเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ยกให้เป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน ขอแค่เรื่องที่แกมาขอให้ฉันทำไม่ใช่อะไรที่มันผิดกฎเกณฑ์ ฉันก็จะตอบตกลงหมดนั่นละ!”


“จะใจกว้างอะไรปานนั้น? แค่เมื่อกี้ผมพูดไปสองประโยคเนี่ย ก็พอเป็นค่าแรงที่จะขอให้ช่วยแล้ว”


เยี่ยเทียนเบะปากอย่างไม่ได้รู้สึกขอบคุณเลยสักนิด สำนักเสื้อป่านนั้นเบื้องบนทำนายให้เจ้าขุนมูลนาย เบื้องล่างก็ทำนายให้ไพร่ฟ้าประชาชน แต่ค่าตอบแทนที่ได้รับนั้นกลับถือว่าน้อยนิดนัก โดยเฉพาะการที่เขาพูดเรื่องอายุขัยของซ่งเฮ่าเทียนออกมานี้ ก็ถือว่าเป็นการแพร่งพรายความลับแห่งฟ้าแล้ว


แน่นอนว่า เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นคนในแวดวงการบำเพ็ญพรตแล้ว ซึ่งเดิมทีการบำเพ็ญพรตนั้นก็เป็นการกระทำที่ท้าทายต่อสวรรค์อยู่แล้วเช่นกัน การถูกพลังปราณชีวิตสะท้อนกลับจึงไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด


“เฮ้ย เวลาพูดจากับท่านผู้นำน่ะมีมารยาทหน่อย!” หลังจากเยี่ยเทียนพูดออกไป ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะกำลังดีอกดีใจอยู่ แต่แพทย์ประจำบ้านที่อยู่ข้างหลังกลับเริ่มทนดูไม่ได้แล้ว


แพทย์สองคนนี้ต่างก็ติดตามท่านผู้นำมาสิบกว่าปีแล้ว เคยพบเจอเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานของรัฐรวมถึงลูกหลานตระกูลซ่งมาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าใช้วาจาล้อเลียนแบบนี้พูดกับท่านผู้นำมาก่อนเลย


เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ ซ่งเฮ่าเทียนก็โบกมือแล้วพูดว่า “พวกคุณสองคนพาเด็กออกไปเล่นเถอะไป ฉันจะคุยธุระกับหลานชายหน่อย!”


“ขอโทษครับท่านผู้นำ!”


เมื่อได้ยินซ่งเฮ่าเทียนพูดเน้นหนักคำว่าหลานชาย แพทย์ประจำบ้านคนที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่ก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรพูดแทรกเลย เรื่องของบ้านคนอื่นแท้ๆ เขาจะไปจู้จี้ไม่เข้าเรื่องทำไมกัน


“ว่ามาสิ คนอย่างแกน่ะถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มาถึงนี่หรอก ที่มาหาฉันน่ะเพราะเรื่องอะไรกันแน่?”


หลังจากรอจนแพทย์ประจำบ้านพาเด็กคนนั้นออกไปจากลานบ้านแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็หุบยิ้มลง เขารู้ว่าเยี่ยเทียนไม่เหมือนคนปกติธรรมดา ในเมื่อมาหาเขาถึงบ้านด้วยตัวเอง ก็แปลว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่


“ในลานบ้านนี่คงไม่ได้ถูกสังเกตการณ์ด้วยใช่ไหมครับ?”


เยี่ยเทียนมองซ้ายมองขวา แล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขาพบกล้องวงจรปิดหลายจุดตามตำแหน่งเร้นลับในลานบ้านแห่งนั้น


ที่จริงแล้วกล้องเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเฝ้าสังเกตซ่งเฮ่าเทียน แต่เพราะเกรงว่าเวลาที่เขาทำอะไรอยู่ในลานบ้านคนเดียวแล้วจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา จึงได้มีการเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา


เยี่ยเทียนตั้งจิต ไอหมอกสีขาวเป็นปุยๆ แผ่ออกมาจากใต้ฝ่าเท้า เพียงชั่วพริบตาก็ก่อขึ้นเป็นม่านกำบังรอบๆ ร่างของเขาและซ่งเฮ่าเทียน ขณะเดียวกัน ภาพคนสองคนบนหน้าจอแสดงผลในห้องสังเกตการณ์ก็เริ่มมัวขึ้นมา


“หัวหน้าครับ เจ้าหมอนั่นใช้วิชาอะไรก็ไม่รู้ มองไม่เห็นท่านผู้นำแล้วครับ!”


หลังจากเยี่ยเทียนเดินเข้าไปในบ้าน ฝูเจิงหมิงก็คอยมองดูเขาที่หน้าเครื่องมอนิเตอร์ตลอดเวลา ลูกน้องไม่ต้องบอกอะไร เขาก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว


ฝูเจิงหมิงครุ่นคิดดูแล้วส่ายหน้า ตอบอย่างเจ็บใจว่า “ไม่ต้องยุ่งหรอก ถ้ามันมีเจตนาร้ายต่อท่านผู้นำละก็ ต่อให้เรียกเจ้าหน้าที่เข้าไปหมดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”


“เยี่ยเทียน มันเรื่องอะไรกันแน่น่ะ? จำเป็นต้องระวังขนาดนี้เลยรึ?”


หลังจากเห็นการกระทำอันพิสดารของเยี่ยเทียนและไอหมอกที่อยู่รอบกาย ซ่งเฮ่าเทียนก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เพราะขณะที่ไอหมอกเหล่านั้นกำลังลอยขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่า โลกทั้งใบเหมือนจะเงียบสงัดลงจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของลมแล้ว


เยี่ยเทียนก็หยุดยิ้มยียวนเช่นกัน แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งคงได้ตายอย่างไม่มีที่กลบฝังกันหมดแน่!”


“พูดบ้าๆ ตราบใดที่ฉันซ่งเฮ่าเทียนยังมีชีวิตอยู่ จะมีใครกล้ามาทำอะไรตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งได้ยังไงกัน? แกไปท้าทายใครมาใช่ไหมล่ะ? บอกตาแกมาเถอะ ตาจะช่วยแกคลี่คลายเอง!”


เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนก็ตาขวางขึ้นมาทันที เขามีตำแหน่งสูงและเปี่ยมอำนาจมาทั้งชีวิต ยามนี้เมื่อเกิดโทสะ จึงแผ่รังสีอันน่ายำเกรงออกมาโดยอัตโนมัติ


“คนพวกนั้นไม่ได้อยู่ในโลกของฆราวาสอย่างเรา บารมีของปุถุชนแบบนี้ ถึงจะเบ่งไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านผู้เฒ่าเองก็เคยข้องเกี่ยวกับส่วนกลางการปกครองของประเทศนี้มาก่อน เคยได้ยินไหมครับว่าบนโลกนี้มีพวกที่เรียกว่าผู้บำเพ็ญพรตอยู่?”


ตอนที่เยี่ยเทียนเห็นคูปองอาหารที่มีตราของเมืองปักกิ่ง เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า วงการบำเพ็ญพรตนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ปลีกตัวออกจากสังคมโดยสิ้นเชิง บางทีอาจยังมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับโลกของฆราวาสอยู่ก็เป็นได้


“ผู้บำเพ็ญพรต?”


เมื่อได้ยินคำนี้จากปากของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนผู้มีท่าทางสุขุมเยือกเย็นมาตลอดก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ดวงตาวาวโรจน์ จ้องเขม็งไปที่เยี่ยเทียน “แกไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน?”


“ท่านผู้เฒ่ารู้จักจริงๆ ด้วย!” เยี่ยเทียนถอนหายใจ “ผมเคยเจอกับคนประเภทนี้มาก่อนน่ะ ท่านผู้เฒ่าเล่าสิ่งที่รู้มาให้ผมฟังหน่อยเถอะครับ!”


“แกคงไม่ได้ไปท้าทายคนพวกนั้นมาหรอกนะ?”


คราวนี้ซ่งเฮ่าเทียนร้อนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ฉันบอกที่มาที่ไปให้แกรู้ไม่ได้หรอก แกเคยเจอกับคนพวกนั้นมาแล้วจริงๆ น่ะรึ?”


หลังจากที่ซ่งเฮ่าเทียนเข้าไปอยู่ในส่วนกลางแล้ว เขาถึงจะมีสิทธิไปสืบค้นในเอกสารฉบับหนึ่ง และได้พบบันทึกเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรต


ในบันทึกเหล่านี้ ได้อธิบายเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นไว้อย่างชัดเจนว่า คนพวกนี้มีความสามารถในการล้มภูเขาพลิกทะเล และเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ จึงต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง และในหลายสิบปีมานี้ คนพวกนี้ก็ไม่เคยปรากฏกายอีกเลย


บนเอกสารนั้น มีลายเซ็นของท่านผู้สถาปนาประเทศและยอดนายพลทั้งสิบอยู่ ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนรุ่นหลังเชื่อถือข้อมูลเหล่านั้นอย่างสุดใจ แต่คนพวกนี้ไม่เคยปรากฏกายเลยนานถึงครึ่งศตวรรษแล้ว ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนเอ่ยถึงขึ้นมา ซ่งเฮ่าเทียนก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว


และเอกสารฉบับนี้ยังเป็นเอกสารลับสุดยอดของประเทศอีกด้วย ต่อให้เป็นพวกซ่งเฮ่าเทียน ก็ต้องสาบานเหมือนกันว่า จะไม่นำข้อมูลภายในนั้นไปเผยแพร่ให้คนนอกรู้


เยี่ยเทียนหยิบคูปองอาหารออกมาจากกระเป๋าหลายใบ ยื่นให้ซ่งเฮ่าเทียนดูแล้วตอบว่า “ไม่ใช่แค่เคยเจอนะ ผมยังเคยฆ่าไปคนหนึ่งแล้วด้วย!”


ตอนที่ 721 รู้เขารู้เรา

“ฆ่า…ฆ่าไปแล้วคนหนึ่ง?”


แม้ซ่งเฮ่าเทียนจะรู้จากข้อมูลที่มีอยู่ในมือว่า หลานชายคนนี้ไม่ใช่คนชนิดที่จะตอแยได้ง่ายๆ เลย จำนวนคนที่เสียชีวิตไปด้วยน้ำมือของเขานั้นอย่างน้อยก็ต้องมีตั้งแต่สองหลักขึ้นไป แต่ไม่ว่าอย่างไรซ่งเฮ่าเทียนก็นึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนจะถึงขั้นเคยฆ่าบุคคลที่บันทึกอยู่ในเอกสารลับเหล่านั้นเลยรึนี่?


การที่ซ่งเฮ่าเทียนยังไม่เคยพบกับคนเหล่านี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้จัก


เพราะตอนที่บรรดานายพลผู้เคยบัญชาการกองทัพนับพันนับหมื่นในสงครามก่อตั้งประเทศกล่าวถึงบุคคลเหล่านั้นในเอกสาร ต่างก็ใช้ถ้อยคำที่ยกย่องนับถือเป็นที่สุด บางคนถึงขนาดบรรยายไว้ว่า พลังของคนไม่อาจต่อกรได้เลยทีเดียว


และหน่วยทหารคุ้มกันที่ถูกส่งไปประจำการรอบเมืองหลวงนั้น แม้จะอ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการโจมตีแบบฉับพลันโดยขีปนาวุธระยะไกลจากประเทศฝ่ายศัตรู แต่มีเพียงพวกซ่งเฮ่าเทียนเท่านั้นที่รู้ว่า พวกคนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เหล่านั้นต่างหากที่เป็นเป้าหมายหลักของหน่วยคุ้มกัน


“ท่านผู้เฒ่าครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่าท่านเข้าใจเกี่ยวกับคนพวกนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมรู้ว่า พวกเขาก็เป็นคนเหมือนเราๆ นั่นแหละ เพียงแต่คนเหล่านั้นสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้มากกว่า ก็เลยกลายเป็นยอดมนุษย์ในสายตาของคนอื่นๆ ไป”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วยื่นคูปองอาหารในมือไปใกล้ๆ หน้าซ่งเฮ่าเทียน “ผมได้นี่มาจากตัวเจ้าคนนั้น การที่พวกนั้นมีของแบบนี้ได้ก็หมายความว่า พวกนั้นต้องมีการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกฝ่ายฆราวาสอยู่แน่นอน ผมเลยอยากจะให้ท่านช่วยสืบดูหน่อยว่า คูปองอาหารพวกนี้ถูกแจกจ่ายออกไปจากที่ไหน!”


หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ความหวาดหวั่นที่เยี่ยเทียนมีต่อพวกผู้บำเพ็ญพรตก็จางหายไปมาก เขาเชื่อมั่นว่า ตอนนี้หากต้องเผชิญหน้ากับนักพรตรูปนั้น ต่อให้สู้ไม่ชนะ ก็ต้องสามารถหนีรอดได้แน่นอน


ในยุทธภพนั้นแม้จะถือหลักว่า ความซวยไม่กล้ำกรายถึงคนอื่นในบ้าน แต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่า ธรรมเนียมข้อนี้ใช้กับวงการผู้บำเพ็ญพรตได้เหมือนกันหรือไม่ ถ้าพวกผู้บำเพ็ญพรตเกิดผูกใจเจ็บขึ้นมา อย่างนั้นเยี่ยเทียนก็จะทำให้คนทั้งบ้านพลอยลำบากไปด้วย


ภาษิตว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนจะต้องเข้าใจความคิดของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน เขาถึงจะสามารถวางมาตรการป้องกันตัวที่เหมาะสมได้ ดังนั้นหลังจากกลับมากรุงปักกิ่งได้ไม่ถึงสองวัน เยี่ยเทียนจึงมาหาซ่งเฮ่าเทียน เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถจะสืบสาวที่มาของคูปองอาหารเหล่านี้ได้


“คูปองอาหาร? ของแบบนี้เขาเลิกใช้กันไปตั้งนานแล้วนี่!”


ซ่งเฮ่าเทียนหยิบคูปองอาหารขึ้นมา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มฝืด “คูปองอาหารพวกนี้น่ะสมัยก่อนผลิตกันเป็นจำนวนมาก เฉพาะในเขตปักกิ่งก็ออกตั๋วมาไม่รู้กี่หมื่นใบแล้ว แกจะให้ฉันไปสืบที่ไหนล่ะ?”


ในสมัยที่รัฐใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น คูปองอาหารแทบจะไม่ต่างอะไรกับเงิน และยังแจกจ่ายโดยใช้ระบบปันส่วน ลำพังแค่คูปองอาหารไม่กี่ใบที่ถืออยู่ในมือนี้ แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ไม่รู้จะไปเริ่มต้นที่ไหนเหมือนกัน


“อย่างอื่นก็ยังมีธนบัตรใบละสามหยวนอีกเกือบร้อยหยวน ผมทำลายไปหมดแล้วละ แต่นี่ก็พอจะเป็นเบาะแสได้เหมือนกัน!”


เยี่ยเทียนครุ่นคิดดู แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านผู้เฒ่าครับ สมัยนั้นคนที่จะได้เงินกับคูปองอาหารไปมากขนาดนี้ได้ จะต้องไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนทำอาชีพค้าขายด้วย ผมคิดว่า เราลองไปสืบหาดูในกลุ่มผู้ก่อตั้งประเทศก็ได้นะครับ!”


นี่ก็เป็นเหตุผลที่เยี่ยเทียนเลือกมาหาซ่งเฮ่าเทียนนั่นเอง เพราะกลุ่มผู้ก่อตั้งประเทศเหล่านั้นมักจะมีความลับที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนอยู่มากมาย และมีระบบการรักษาข้อมูลที่รัดกุมอย่างยิ่ง คงจะมีแต่คนระดับซ่งเฮ่าเทียนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิไปค้นดูเอกสารเหล่านั้นได้


“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้หรอก ฉันอยากจะถามแกหน่อยว่า ทำไมแกถึงไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นได้ล่ะหา?”


ซ่งเฮ่าเทียนเอือมระอาแต่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน “คนพวกนั้นเหาะเหินเดินอากาศได้จริงๆ น่ะหรือ? แล้วแกไปเจอที่ไหน ฆ่ามันยังไง?”


“เอาคำถามมาจากไหนเยอะแยะครับเนี่ย?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ถึงกับเหลือกตามองบน “เรื่องพวกนี้ท่านยิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี วันหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พวกนั้นก็จะได้มาหาผมเยี่ยเทียนคนเดียว ไม่มายุ่งกับคนอื่นๆ ด้วย!”


“ไร้สาระ แกเป็นหลานฉัน เรื่องของแกฉันไม่ยุ่งแล้วใครจะยุ่ง?”


พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ซ่งเฮ่าเทียนก็ขึงตาใส่เขาทันที แล้วดุว่า “พลังของคนนั้นสักวันก็ต้องถึงขีดจำกัด ต่อให้บุคคลมีความสามารถเหลือล้น แต่จะไปสู้กับรัฐไหวหรือ? แกนี่นะเวลาฆ่าคนก็ใจกล้าเสียเหลือเกิน ตอนนี้ทำไมกลัวขึ้นมาแล้วล่ะ?”


ซ่งเฮ่าเทียนมียศศักดิ์สูงส่งมาทั้งชีวิต ตั้งแต่โบราณมา เทพเซียนผู้ปลีกตัวจากสังคมเหล่านั้นส่วนมากก็มักจะเร้นกายอยู่ตามป่าเขา ในช่วงที่มียอดฝีมือปรากฏกายทั่วทุกสารทิศในสมัยปลายราชวงศ์หยวนนั้น เคยมีหลวงจีนรูปหนึ่งนามว่า เผิงอิ๋งอวี้ ลือกันว่ามีอาคมแก่กล้าดั่งเทพยดา ไม่หวั่นต่อทั้งคมดาบและกองทัพ แต่สุดท้ายก็ยังต่อสู้จนตัวตายไปในสมรภูมิอยู่ดี


ส่วนประเด็นที่ว่า หลวงจีนเผิงรูปนี้จะใช่ผู้บำเพ็ญพรตหรือไม่นั้น เอกสารโบราณต่างๆ ในสมัยต่อมาไม่ได้มีบันทึกไว้เลย ดังนั้นจึงเป็นบุคคลเพียงผู้เดียวนอกจากจางเจวี๋ยในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ที่มีความเกี่ยวข้องกับวงการบำเพ็ญพรต


“ท่านผู้เฒ่าครับ คนพวกนั้นอาจจะไม่กล้าต่อต้านรัฐก็จริง แต่กฎหมายของรัฐก็คงใช้กับคนพวกนั้นไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเกิดมีคนหนึ่งโผล่มาฆ่าล้างตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่ง แล้วรัฐจะไปทำอะไรพวกนั้นได้ล่ะครับ?”


เยี่ยเทียนยิ้มอย่างหดหู่ ซ่งเฮ่าเทียนคิดง่ายเกินไปรึเปล่า


อาศัยฝีมือของคนเหล่านี้ ขอแค่ข่าวไม่แพร่งพรายออกไป พวกนั้นก็สามารถขุดรากถอนโคนตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่งได้ในชั่วข้ามคืน จากนั้นก็หลบลี้หนีหายให้ไกลสุดหล้า เท่านี้รัฐก็ไม่มีทางทำอะไรพวกนั้นได้แล้ว


เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยในตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็มีความสามารถถึงระดับนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่นขนาดไหน เขาก็สามารถเดินเข้าออกได้อย่างสบายๆ แม้แต่ผู้คุ้มกันฝีมือดีระดับที่เรียกว่ายอดองครักษ์เหล่านั้น ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย


“ที่แกพูดมาก็จริงนะ ต้องป้องกันไว้ก่อน!” หลังจากฟังคำพูดของหลานชาย สีหน้าของซ่งเฮ่าเทียนก็เคร่งขรึมขึ้นมา


คนโบราณมักกล่าวว่า ‘ชาวยุทธตัดสินเรื่องราวโดยใช้กำลัง’ ซึ่งก็มีความหมายเดียวกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานั่นเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่สำนักวิชาการต่อสู้บางแห่งถูกปราบปรามหลังจากการสถาปนาประเทศ จนกระทั่งช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จึงจะเริ่มมีการสนับสนุนให้มีการแสดงศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมเวลามีงานแสดงบางงาน


แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่หลานชายพูดมานั้นออกจะเกินจริงไปสักหน่อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “เยี่ยเทียน ที่แกบอกว่าตัวเองเข้าออกที่นี่ได้สบายๆ น่ะ ฉันไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่หรอกนะ!”


“ไม่เชื่อหรือครับ?”


เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ หมอกขาวรอบตัวพลันหนาแน่นขึ้นมาทันที ร่างของเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเลย แต่แล้วทั้งร่างคนทั้งเก้าอี้ก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศหนึ่งเมตร โดยที่ยังอยู่ในท่านั่งหลังตรงเหมือนเดิม


“นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกันเนี่ย?”


แม้ว่าในชีวิตซ่งเฮ่าเทียนจะเคยพบเห็นสิ่งต่างๆ มามาก แต่ก็ยังรู้สึกตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏแก่สายตา เขารู้ดีว่า เยี่ยเทียนไม่ได้เล่นมายากลแน่ๆ


และการที่ร่างของคนลอยอยู่กลางอากาศนั้น ก็ผิดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่ชัดๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกับตาตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่มีทางเชื่อแน่ว่า ในโลกจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย


ร่างของเยี่ยเทียนยังคงลอยอยู่กลางอากาศ เขาถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณท่านครับ ผมเพิ่งจะบำเพ็ญถึงระดับนี้ได้ไม่นาน คนพวกนั้นน่ะมีพลังฝีมือเหนือกว่าผมเป็นร้อยเท่าเลย


“เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องระวังตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนที่ท่านไปสืบค้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ต้องระวังอย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้นะครับ!”


แม้ว่าตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่งจะมีความแค้นต่อกันอยู่ แต่เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า ความห่วงหาอาทรที่ชายชราผู้นี้มีต่อเขานั้นออกมาจากใจจริง ดังนั้นถึงได้กล้าแสดงความสามารถที่ผิดจากมนุษย์ธรรมดาออกมาให้เห็น


ซ่งเฮ่าเทียนพึมพำกับตัวเอง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยเทียน ถ้าสืบหาที่มาของคูปองอาหารพวกนี้ได้แล้ว มันจะเป็นประโยชน์ต่อเรื่องนี้ยังไงบ้างล่ะ?”


ตามความคิดของซ่งเฮ่าเทียน ในเมื่อคนเหล่านั้นร้ายกาจถึงเพียงนี้ อย่างนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องหลีกให้ห่างไว้ ดูจากวิธีของเยี่ยเทียนแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นการรวบหัวรวบหางเก็บกวาดหลังจากที่ฆ่าคนอื่นไปแน่ๆ


“ท่านผู้เฒ่าครับ ผมสงสัยว่า การปรากฏกายของผู้บำเพ็ญพรตคนนั้น จะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับทางโลกของปุถุชนอยู่ ผมเลยอยากจะลองหาดูว่า บ้านใครตระกูลไหนกันแน่ที่ไปเชิญคนพวกนั้นออกมา ต่อไปเราก็จะได้ป้องกันตัวได้มากขึ้น”


ทั้งที่ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตปรากฏกายเลยมาหลายสิบปีแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีปรากฏมาคนหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะไม่ชอบมาพากลอยู่ โดยเฉพาะคนผู้นั้นยังพกเงินตราที่ใช้กันในโลกของปุถุชนอีกด้วย คาดว่าต้องมีเจตนาที่จะเข้ามาอยู่ในสังคมของฆราวาสแน่ๆ


การที่นักพรตรูปนี้ตายไป ไม่ได้แปลว่าผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจะไม่ส่งคนมาอีก ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงอยากจะสืบสาวให้ถึงที่สุด อย่างน้อยก็จะได้เปิดโปงฝ่ายตรงข้ามให้อยู่ในที่แจ้ง ส่วนเขาก็เร้นกายอยู่ในที่ลับ


……


“หัวหน้าครับ ท่านผู้นำอยู่กับมันตรงนั้นมานานมากแล้วนะครับ พวกเราไปดูกันหน่อยดีไหมครับ?”


ในห้องหนึ่งที่เรือนหน้าของเรือนสี่ประสาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนกำลังมองไปที่ฝูเจิงหมิง พวกเขามองไม่เห็นซ่งเฮ่าเทียนมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว หากว่ากันตามหลักการ พวกเขาก็น่าจะถูกไล่ออกไปแล้ว และต้องได้รับโทษกันหมดทุกคน


“หน้าที่ของพวกแกน่ะ คือรับประกันความปลอดภัยของท่านนำ ไม่ใช่มานั่งเฝ้าสังเกตท่านนะ!”


ฝูเจิงหมิงขึงตาดุ แล้วตวาดว่า “ท่านผู้นำเป็นคนสั่งให้พวกแกออกมาเอง ถ้าท่านผู้นำได้รับอันตรายละก็ ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง!”


ฝูเจิงหมิงก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะบุกเข้าไปในลานบ้าน เพียงแต่เขารู้ว่า ตัวเองนั้นห่างชั้นกับเยี่ยเทียนเกินไป


ถ้าเยี่ยเทียนคิดจะทำร้ายท่านผู้นำ ในเวลาที่นานขนาดนี้ก็คงพอให้เขาฆ่าได้ร้อยรอบแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สู้ไว้หน้าเยี่ยเทียนสักครั้ง ปล่อยให้พวกเขาสนทนากันต่อไปดีกว่า


“พอแค่นี้ก็แล้วกันครับ บรรดาผู้คุ้มกันของคุณท่านร้อนใจกันใหญ่แล้วล่ะ!”


ตอนที่เยี่ยเทียนแผ่ปราณแท้ออกมาคลุมกั้นเขาและซ่งเฮ่าเทียนไว้ ขณะเดียวกันก็ได้แผ่จิตปกคลุมทั่วทั้งเรือนสี่ประสาน การโต้เถียงภายในห้องสังเกตการณ์จึงไม่ได้พ้นหูพ้นตาของเขาเลย


“จำคูปองอาหารนี่ไว้ให้แม่นนะครับ เราจะปล่อยมันไว้เป็นหลักฐานไม่ได้เด็ดขาด”


เยี่ยเทียนจีบนิ้วโป้งและนิ้วชี้มือขวาเข้าหากัน พลังปราณหยินหยางขัดสีกัน จนปรากฏเปลวเพลิงขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา เพียงชั่วขณะเดียวก็เผาคูปองอาหารเหล่านั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่าน


“แก นี่แกกลายเป็นเทพเซียนไปแล้วใช่ไหมเนี่ย?”


ซ่งเฮ่าเทียนเห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้วตกตะลึงตาค้าง ในใจก็เริ่มเชื่อคำพูดของเขาอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว ระหว่างที่ทำการสืบค้นเรื่องนี้ เขาจะระมัดระวังให้มากขึ้น


“โลกนี้มีเทพเซียนอะไรนั่นที่ไหนกันล่ะครับ ก็แค่คนที่อายุยืนกว่าคนธรรมดาหน่อยเท่านั้นแหละ”


เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วตั้งจิต หมอกขาวเป็นปุยๆ ที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ เขาและซ่งเฮ่าเทียนทั้งหมดมุดหายลงไปในพื้นดิน จากนั้นก็ถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเยี่ยเทียนผ่านทางฝ่าเท้า


“ดูท่าตำนานพวกนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องหลอกลวงไปเสียทั้งหมดแล้วละ ฉันต้องไปหาพวกคัมภีร์ซานไห่จิงมาอ่านบ้างซะแล้วสิ ไม่แน่นะอาจจะยืดอายุขัยได้กว่านี้อีก” ซ่งเฮ่าเทียนก็อายุขึ้นเลขแปดแล้ว ชีวิตนี้เขาเคยผ่านคลื่นลมมามาก หลังจากความตื่นตระหนกในตอนแรกจางหายไปแล้ว สีหน้าก็สงบลงดังเดิม


“อย่าไปหวังเลยครับว่าจะได้อายุยืนด้วยวิธีที่อ้อมไปอ้อมมาแบบนั้นน่ะ ไว้สักวันผมจะแกะสลักของดีๆ ออกมา ส่วนของคุณท่านน่ะต้องมีอยู่แล้วละ!” เยี่ยเทียนทำปากคว่ำ แล้วซุกกล่องใบชาต้าหงเผาที่มีอยู่ไม่ถึงหนึ่งตำลึงบนโต๊ะนั้นใส่กระเป๋าตัวเอง


ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนสลายปราณแท้ออกไป บรรดาคนที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์ก็โล่งอกไปตามๆ กัน ดูบนจอมอนิเตอร์ท่านผู้นำกับชายหนุ่มคนนั้นท่าทางกำลังคุยกันเพลิน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น



 

 

 


ตอนที่ 722 มีแขกมาเยือน

 

เยี่ยเทียนใช้กาน้ำชาบนเตาดินเผาชงชาให้ตัวเองอีกถ้วยหนึ่ง หลังจากดื่มหมดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ท่านผุ้เฒ่าครับ ธุระก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมไปก่อนก็แล้วกันนะครับ!”


ซ่งเฮ่าเทียนเล่นการเมืองมาครึ่งค่อนชีวิต เรื่องบางอย่างยังเก่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าควรจะไปสืบค้นที่มาของคูปองอาหารเหล่านั้นได้อย่างไร เยี่ยเทียนจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเลย


“นี่เยี่ยเทียน ช่วงนี้แกก็อยู่เฉยๆ เงียบๆ ไว้หน่อยล่ะ เลิกแห่ไปทั่วได้แล้ว!”


หลังจากฟังเยี่ยเทียนพูดแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ คราวก่อนที่เยี่ยเทียนไปอเมริกาก็เกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 ที่สะเทือนไปทั่วโลกขึ้น จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด


คราวนี้พอเยี่ยเทียนไปที่ภูเขาฉางไป๋ซาน ก็กลับมาบอกว่าสังหารเทพเซียนไปหนึ่งคน ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งเฮ่าเทียนมีสุขภาพจิตดี สงสัยคงถูกเขาปั่นหัวจนเป็นโรคหัวใจไปแล้ว


“รู้แล้วครับ”


เยี่ยเทียนโบกมือโดยไม่ได้หันหลังกลับมาเลย “สระบัวนี่ไม่เลวเลยนะ ซื้อเต่ามาปล่อยไว้ในนั้นสักตัวสิครับ เต่านั้นเป็นสัตว์อายุยืน ไม่แน่อาจจะช่วยยืดอายุขัยให้ท่านได้ก็ได้นะ”


“เลี้ยงเต่าหนึ่งตัวรึ? ได้สิ ไว้พรุ่งนี้จะให้เสี่ยวฝูไปหามาตัวนึง!” ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไม่สิ นี่แกจะหลอกด่าฉันเป็นไอ้แก่ตายยากเหมือนเต่าใช่ไหม?”


และเมื่อซ่งเฮ่าเทียนเห็นว่ากล่องใบชาบนโต๊ะหายไปแล้ว ก็ยิ่งโมโหจนตาถลนหนวดเคราชูชัน ปีหนึ่งๆ เขาก็ได้มาแค่หนึ่งตำลึง กลับถูกเยี่ยเทียนปล้นไปหมดเลย


“ท่านผู้นำครับ วันนี้ท่านออกกำลังเป็นเวลานานเกินไป กรุณาให้ความร่วมมือกับเราในการตรวจด้วยนะครับ” หลังจากเยี่ยเทียนออกจากเรือนสี่ประสานไปแล้ว แพทย์ประจำบ้านก็กลับมาทันที พวกเขานี่ก็ทำงานหนักกันจริงๆ เป็นทั้งพี่เลี้ยงเป็นทั้งหมอเลย


“ได้ พวกคุณตรวจเลย!”


ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า แต่ใจกลับนึกถึงแต่เรื่องที่เยี่ยเทียนฝากเขาไว้ ถ้าอยากจะไปสืบค้นเรื่องเก่าตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนโดยที่ไม่เผยพิรุธให้ใครเห็น ก็จะต้องหาคนที่ไว้ใจได้มากๆ เสียก่อน


“มีอะไร? ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?”


ขณะที่ซ่งเฮ่าเทียนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องใหญ่ระดับประเทศ เขาก็ยืนปล่อยให้พวกหมอทำการตรวจร่างกายอยู่ตรงนั้น แต่หลังจากตรวจเสร็จแล้วกลับพบว่า พวกหมอมีสีหน้าแปลกๆ พิกล


“ท่านผู้นำครับ ความดันของท่านลดลงไปแล้ว แม้แต่…แม้แต่อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจก็ดีขึ้นมากเลยครับ!”


เหล่าแพทย์ประจำบ้านไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย แต่ภาพที่ปรากฏอยู่บนเครื่องนั้นแสดงอย่างชัดเจนว่า กระจุกสีขาวบนผนังเส้นโลหิตแดงของซ่งเฮ่าเทียนนั้นจู่ๆ ก็ลดลงไปมาก


เนื่องจากอายุที่มากแล้ว อาการโรคในวัยชราของซ่งเฮ่าเทียนจึงปรากฏค่อนข้างชัดเจน โดยโรคที่อาการหนักมากที่สุดก็คือโรคหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเดือนที่แล้วก็เพิ่งจะต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ช่วงหนึ่งเพราะมีอาการแน่นหน้าอก


ดังนั้นการพัฒนาอันแสนอัศจรรย์นี้จึงทำให้หมอพวกนั้นต่างสับสนกันไปหมด พวกเขาเป็นหมอมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยพบเรื่องแบบนี้มาก่อน


เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของแพทย์ประจำบ้านแต่ละคน ซ่งเฮ่าเทียนก็หัวเราะฮ่าๆ “ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันได้เจอหลานชายก็เลยอารมณ์ดี พออารมณ์ดีแล้วโรคมันก็เลยหายเองนั่นแหละ!”


หมอเหล่านั้นไม่เข้าใจ แต่ซ่งเฮ่าเทียนนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียวว่า นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีก เจ้าเด็กนั่นคงจะใช้วิชาไหนก็ไม่รู้ ช่วยปรับสภาพร่างกายให้เขานั่นเอง


หลังจากไล่เหล่าแพทย์ประจำบ้านไปแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็กลับเข้าไปในห้อง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์รุ่นซ่อนเบอร์สีแดงเครื่องหนึ่งขึ้นมาต่อสายออกไป



“จะเจ็ดโมงครึ่งแล้วนะ ยังไม่ลุกจากที่นอนอีก เดี๋ยวแม่จะมาเรียกแล้วนะ!”


หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้อาทิตย์กว่าๆ ก็เป็นไปอย่างที่เยี่ยเทียนเคยพูดไว้ นอกจากตอนที่ไปรับส่งอวี๋ชิงหย่าเวลาเข้างานและเลิกงานแล้ว เขาก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย


นอกจากเว่ยหงจวิน แม้แต่พวกหูจวินก็ยังไม่รู้ว่าเขากลับมาที่ปักกิ่งแล้ว วันเวลาของเยี่ยเทียนผ่านไปอย่างแสนจะอิสระเสรี และก็ไม่ต้องไปขบคิดเรื่องวุ่นวายสารพัดอย่างอีกแล้ว


เมื่อได้ยินภรรยาพูดดังนั้น เยี่ยเทียนก็หัวเราะหึ ๆ ยื่นปากไปที่ข้างหูอวี๋ชิงหย่า แล้วกระซิบว่า “แม่ไม่มาเรียกหรอกน่า แม่เขาอยากให้พวกเรานอนกันเยอะๆ จะตายไป ไม่อย่างนั้นจะเกิดหนูน้อยเสี่ยวเยี่ยจื่อออกมาได้ยังไงล่ะ?”


อากาศที่ปักกิ่งมีแต่มลพิษ ไม่เหมาะต่อการฝึกปราณของเยี่ยเทียนเลย ถ้าสูดก๊าซเหล่านั้นเข้าไปจริงๆ เขาก็อาจจะต้องเสียเวลาไปขับมันออกจากร่างอีก


ดังนั้นในเวลาแบบนี้ เยี่ยเทียนจึงนอนตื่นสายกว่าปกติ แน่นอนว่า มีเจตนาที่จะชดเชยให้อวี๋ชิงหย่าแฝงอยู่ด้วย เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา ก็มีแต่ช่วงไม่กี่วันนี้แหละที่ได้อยู่กับเธอนานหน่อย


“ไม่ได้ ฉันไม่ไหวแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ!”


อวี๋ชิงหย่าได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้นก็ตกใจจนรีบลุกขึ้นนั่ง แต่หน้าอกทั้งสองเนินกลับเผยออกมาให้เห็น พอเยี่ยเทียนยื่นมือมาบีบ ทั้งร่างก็อ่อนปวกเปียกไปทันที


“ไม่ได้แล้วจริงๆ ฉันไปทำงานสายติดๆ กันตั้งหลายวันแล้วนะ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องโดนคนอื่นนินทาแน่เลย”


อวี๋ชิงหย่าพยายามปัดป้องมือทั้งคู่ของเยี่ยเทียนที่รุกรานมาทั้งข้างบนข้างล่าง พลางอ้อนวอนเสียงแผ่วเบา การลงทัณฑ์ของเยี่ยเทียนตลอดหนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมานี้ ทำให้เธอได้เข้าใจคำว่า ‘ทั้งเจ็บปวดทั้งสุขสม’ อย่างแท้จริง


“ฮี่ๆ ชิงหย่า เธอไม่รู้สึกเหรอว่าผิวของตัวเองดูดีขึ้นมากเลย?”


เยี่ยเทียนหัวเราะฮี่ๆ มือทั้งคู่ลูบไปบนร่างของอวี๋ชิงหย่า ขณะที่กำลังจะส่งลำหอกเข้าไป ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมา


“แม่จะมาทำไมละเนี่ยทีนี้?” เป็นไปตามคาด รอไม่ถึงห้าวินาที เสียงของซ่งเวยหลันก็พูดขึ้นที่หน้าประตู “เยี่ยเทียน มีคนมาหาแน่ะ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว!”


“โธ่เว้ย ใครกันถึงได้มาหาตอนเช้าขนาดนี้?”


พอถูกแม่เรียกเยี่ยเทียนก็หมดอารมณ์ไปทันที เขาตั้งจิตส่งจิตดั้งเดิมส่วนหนึ่งไปปกคลุมทั่วเรือนสี่ประสาน แล้วภาพกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ก็ปรากฏในห้วงสมองของเยี่ยเทียนทันที


“อ้าว ทำไมเป็นสองคนนี้ล่ะ? คราวนี้เหล่าต่งโดนไปเยอะเลยนี่” เมื่อเห็นสองคนนี้ เยี่ยเทียนก็ยื่นมือไปตบก้นอวี๋ชิงหย่าแล้วพูดว่า “ตะวันส่องก้นแล้วนะจ๊ะ รีบตื่นเร้ว!”


ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เยี่ยเทียนเองกลับยังคงเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง สองคนนั้นไม่เชื่อที่เขาพูดเอง ที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้มีเมตตากรุณาอะไรมากมายขนาดนั้นด้วย


“นายนี่นะ ฉันไม่รู้จะว่ายังไงดีแล้ว!”


อวี๋ชิงหย่าหยิกที่เอวของเยี่ยเทียนอย่างฉุนเฉียว แล้วรีบสวมใส่เสื้อผ้า พอไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองดูตัวเองในกระจก ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “เยี่ยเทียน จะว่าไปก็แปลกนะ ทำไมผิวฉันถึงดูเปล่งปลั่งขึ้นมาเหมือนของนายเลยล่ะ?”


เมื่อเยี่ยเทียนกลับมาบ้านคราวนี้ ผิวอันนวลเนียนทั้งบนใบหน้าและที่มือของเขานั้น ทำให้แม่และพวกป้าๆ ต่างก็อิจฉากันใหญ่


และหลังจากที่อวี๋ชิงหย่าร่วมหอกับเยี่ยเทียน ผิวกายก็นวลเนียนเปล่งปลั่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อนไม่รู้กี่เท่า จนเพื่อนร่วมงานพวกนั้นกับเว่ยหรงหรงคอยมาซักไซ้ทุกวันว่าเธอใช้เครื่องสำอางอะไร


“ยังต้องถามอีกเหรอ? ก็เพราะเธอมีสามีอย่างฉันหล่อเลี้ยงอยู่น่ะสิ!”


เยี่ยเทียนโดดพรวดลงจากเตียง อวี๋ชิงหย่าตกใจจนรีบหลับตาปี๋ แม้จะแต่งงานกันมาหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่เธอกลับยังทำใจมองดูร่างกายของเยี่ยเทียนไม่ได้เลย


“ชิงหย่า เดี๋ยวให้เซี่ยวเทียนส่งเธอไปทำงานนะ ฉันมีธุระนิดหน่อยน่ะ!” เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วสวมใส่ชุดฝึกสีขาวอย่างคล่องแคล่วว่องไว


“ไม่ต้องหรอก ฉันขับรถไปเองก็ได้ ทำไมจะต้องไปรบกวนเซี่ยวเทียนด้วยล่ะ” อวี๋ชิงหย่าส่ายหน้า ที่ทำงานของเธอก็ไม่ได้ไกลจากเรือนสี่ประสานมากนัก


เยี่ยเทียนส่ายหน้ารัวๆ จนดูเหมือนกลองป๋องแป๋ง “แบบนั้นไม่ได้นะ ถ้ามีใครมาส่งดอกไม้อีกฉันจะได้ให้เซี่ยวเทียนไปสั่งสอนพวกมันเสียหน่อย!”


ตั้งแต่แต่งงานกันมา เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะเริ่มรับส่งอวี๋ชิงหย่าไปทำงานเมื่อช่วงที่ผ่านมานี้เอง แต่วันแรกที่ไปรับส่ง เขาก็ได้เจอกับเรื่องหายากเข้าเสียแล้ว


ตอนนั้นที่หน้าสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง มีรถยนต์เก๋งอย่างหรูจอดอยู่สามสี่คัน เทียบกับแลนด์โรเวอร์ของเยี่ยเทียนแล้วเหนือระดับกว่ามาก แล้วผู้ชายบนรถแต่ละคนยังถือดอกไม้กันคนละช่ออีกด้วย


ตอนแรกเยี่ยเทียนก็ยังประหลาดใจอยู่ แต่พออวี๋ชิงหย่าเลิกงานออกมา แล้วชายหนุ่มหน้าโบกแป้ง ผมลูบน้ำมันมันแผล็บสามสี่คนนั้นกรูกันเข้าไปหา เขาก็เข้าใจในทันที ที่แท้ไอ้พวกนี้ก็จะมาจีบภรรยาของเขางั้นสิ?


เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดอะไร พาอวี๋ชิงหย่าขึ้นรถแล้วก็ไปเลย แต่กระทาชายที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังเหล่านั้นกลับซวยกันหมด เพราะล้อรถของพวกเขาทั้งสี่คันนั้นยางแบนหมดทุกล้อได้อย่างไรก็ไม่ทราบ พอสตาร์ทเครื่อง รถก็เลยอัดใส่กันเองจนกลายเป็นกองเดียวกัน


“นายนี่นะ ร้ายจริงๆ เลย!” เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อวี๋ชิงหย่าก็อดขำไม่ได้ ถ้าเยี่ยเทียนอยากจะร้ายขึ้นมาละก็ ไม่ใช่ระดับที่คนธรรมดาจะเทียบชั้นได้แน่นอน


“เยี่ยเทียน เจ้าเด็กคนนี้นี่ คนอื่นเขารออยู่ข้างนอกจะเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย บ้านตระกูลเยี่ยเราไม่ได้ใหญ่โตขนาดที่จะมาเล่นตัวแบบนี้นะ!”


หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเดินออกมาแล้ว เยี่ยเทียนก็ไปรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารอย่างอ้อยสร้อย จนคราวนี้แม้แต่ป้าใหญ่เยี่ยตงจู๋ก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็เลยไปเชิญพวกคนที่ประตูเข้ามาในบ้าน แต่พอสองคนนั้นได้ยินว่าเยี่ยเทียนยังไม่ได้ออกปากอนุญาต ก็กลับยืนกรานจะไม่ยอมเข้าไปท่าเดียว


“ให้พวกนั้นรอนานหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกครับ!”


ตอนแรกเยี่ยเทียนยังอยากจะเล่นตัวต่ออีกหน่อย แต่พอเห็นสีหน้าของป้าใหญ่เริ่มน่ากลัวขึ้นมาแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นมาทันที “ผมไปแล้วก็ได้คร้าบ จริงสิป้าใหญ่ ผมขอกุญแจของเรือนหลังเก่าหน่อยนะครับ ผมจะพาพวกเขาไปคุยกันที่นั่น!”


“เยี่ยเทียน นายกลับมาแล้วหรือ!”


เมื่อเยี่ยเทียนไปปรากฏกายที่ประตูใหญ่ของเรือนสี่ประสาน จู้เหวยเฟิงก็เข้ามาทักทายทันที ส่วนต่งเซิงไห่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นนั้นสังขารกลับไม่เอื้ออำนวย ได้แต่ทำปากขมุบขมิบพูดอะไรออกมาไม่ได้เลย


“ไปกันเถอะ เปลี่ยนที่คุยกัน!” เยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะสบตาสองคนนั้น เดินตรงดิ่งไปข้างหน้า จู้เหวยเฟิงรีบเรียกพวกผู้ติดตามให้เข็นต่งเซิงไห่ตามไป


“เข็นเหล่าต่งเข้าไปที่ลานบ้านก็พอแล้ว” เยี่ยเทียนเปิดประตูของเรือนหลังเก่า แล้วเหลือบตามองไปข้างหลังต่งเซิงไห่แวบหนึ่ง “คนพวกนี้น่ะ รออยู่ข้างนอกให้หมด”


“เฮ้ พี่ชาย ทุกคนก็อยู่ในแวดวงเดียวกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะต้องวางตัวสูงส่งขนาดนั้นเลยนี่!”


พวกที่ติดตามจู้เหวยเฟิงมาคราวนี้ต่างก็เป็นพวกที่คอยตามรับใช้เขาทั้งนั้น ภูมิหลังทางครอบครัวของคนเหล่านี้แม้จะสู้คุณชายจู้ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นพวกที่มีหน้ามีตาในกรุงปักกิ่งอยู่พอสมควร


ก่อนหน้านี้ที่ต้องรอนานถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ คนพวกนี้ก็เริ่มจะหมดความอดทนขึ้นมาแล้ว ตอนนี้แม้แต่ประตูบ้านก็ยังไม่ให้เข้า ชายหนุ่มหน้าตะปุ่มตะป่ำคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในนั้นจึงแย้งขึ้นมาทันที


เพียงแต่พี่แกพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ต้องเผชิญกับฝ่ามือของจู้เหวยเฟิงปะทะหน้าเข้าให้ “ท่านเยี่ยยอมให้แกรอก็ถือว่าให้เกียรติแกแล้วนะ ไปยืนรออยู่เฉยๆ เลยไป!”


นี่เรียกได้ว่าเป็นลักษณะของผู้ที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเลย ผู้ที่สามารถทำให้คุณชายจู้ทนรอถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าได้นั้น ใช่คนประเภทที่พวกเขาจะไปตอแยได้ที่ไหนกัน?

 

 

 


ตอนที่ 723 แค้นดั่งทะเลโลหิต

 

“บัดซบเอ๊ย ไอ้คนแซ่เยี่ยนั่นมันเป็นใครกันแน่วะ? ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีคนแบบนี้ในปักกิ่งเลย”


มือประคองใบหน้าอันบวมแดงที่ถูกจู้เหวยเฟิงตบ กระทั่งทั้งสามคนเข้าไปในบ้าน หลังจากปิดประตูแล้ว ชายคนนั้นก็ร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาเองก็รู้ว่าช่วงนี้คุณชายจู้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก


“เปียวจื่อ แกอย่านึกว่าสามารถหลอกล่อไอ้โง่ที่มาจากที่อื่นได้ แล้วจะกล้ามาเดินกร่างแถวนี้”


คนที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยสำเนียงเยาะเย้ย “รู้หรือเปล่าว่าที่นี่มันที่ไหน? สมัยราชวงศ์ชิงที่นี่คือเมืองฝั่งใน ซึ่งก็คือปักกิ่งถิ่นชาววังแท้ๆ อยู่ในเขตการดูแลของฮ่องเต้ คนที่นี่จะมีสักกี่คนที่ไม่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง? พวกแกรออยู่เฉยๆ ไปเถอะ!”


คนพวกนี้เวลาปกติจะคอยช่วยคนที่มาจากในเขตมณฑลดำเนินงาน เรียกได้ว่าเป็นคนส่งข่าวในปักกิ่ง แต่ว่าระดับชั้นของพวกเขายังห่างไกลจากจู้เหวยเฟิงนัก และเพราะเหตุนั้นจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเยี่ยเทียน


โดยไม่สนใจพวกคนนอกบ้านที่กำลังคาดเดาที่มาของเยี่ยเทียน หลังจากเข้าเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็ตรงมานั่งยังม้าหินที่เรือนด้านหน้า จ้องมองยังจู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่โดยไม่พูดอะไร


พอถูกเยี่ยเทียนจดจ้องเหมือนจะมองทะลุลงไปในใจ จู้เหวยเฟิงก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป เอ่ยปากว่า “เยี่ยเทียน ฉันกับเหล่าต่งไม่ฟังคำพูดของนาย ครั้ง…ครั้งนี้เราถึงได้แพ้!”


“พวกเราพ่ายแพ้ยับเยิน!”


ต่งเซิงไห่ที่นั่งอยู่บนรถเข็นดูน่าเอน็จอนาถยิ่งกว่าจู้เหวยเฟิงมาก ขาขวาของเขาขาดออกไปทั้งท่อน ส่วนล่างของข้อศอกแขนขวาหายไป ขณะที่ปากบ่นพึมพำก็ใช้มือขวาทุบรถเข็นอย่างโกรธแค้น


“มาหาผมตอนนี้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”


เยี่ยเทียนส่งเสียงหึอย่างเยือกเย็น เมื่อปีที่แล้วเขาเพียรพยายามเตือนสองคนนี้ว่าอย่าไปประเทศไทย แต่พวกเขากลับไม่ฟังแม้แต่น้อย ปัจจุบันแม้จะนึกถึงเขาขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจต่อแขนและขาที่ขาดหายไปได้อีก


“ท่านเยี่ย เราต้องล้างแค้น!”


ต่งเซิงไห่ดูแก่กว่าไม่กี่เดือนก่อนราวยี่สิบสามปี เส้นผมล้วนขาวโพลน อิดโรยผ่ายผอมไปทั้งเนื้อตัว แล้วยังดูเหมือนว่าเขาบาดเจ็บไปถึงกล่องเสียง วาจาแหบแห้งคลุมเครือ มีเพียงแววแห่งความแค้นส่องประกายออกมาจากดวงตา


“ล้างแค้น? เหล่าต่ง คุณเองก็เป็นคนในยุทธภพ จำเป็นต้องล้างแค้นกันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ หรือ?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “พวกคุณทั้งสองต่างก็เคยถูกเตือนแล้วครั้งหนึ่ง ผมลงทุนลงแรงตักเตือนพวกคุณอย่างลำบาก แต่พวกคุณกลับไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง ตอนนี้ได้รับผลตอบแทนแล้วจะมาคิดล้างแค้น ต้องขออภัยที่ผมไม่เห็นด้วย!”


เยี่ยเทียนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อจู้เหวยเฟิง กับต่งเซิงไห่ก็เป็นเพียงคนภายในสำนักหงเหมินด้วยกันเท่านั้น แถมเขายังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนัก จึงไม่มีสิทธิ์อะไรไปก้าวก่ายกับเรื่องนี้


อีกทั้งเวลานี้ในใจของเยี่ยเทียนยังติดค้างเรื่องอื่น ก่อนที่ผลการสืบสาวราวเรื่องของซ่งเฮ่าเทียนจะออกมา เขาก็ไม่กล้าออกจากปักกิ่งไปไหนทั้งสิ้น ด้วยกลัวว่าจะมีผู้รู้วิชามาหายังประตูบ้าน


“ท่านเยี่ย แต่ผมคับแค้นใจเหลือเกิน!”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่ก็โอดครวญออกมา กลิ้งล้มลงต่อหน้าเยี่ยเทียนโดยไม่นึกห่วงร่างกายของตัวเอง พอหัวโขกถึงพื้น ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดว่า “ท่านเยี่ย หากแค้นนี้ไม่ชำระ ผมคงนอนตายตาไม่หลับ!”


“เยี่ยเทียน ฉันเองก็ต้องขอร้องนายเหมือนกัน!”


จู้เหวยเฟิงที่ต่อหน้าเยี่ยเทียนทำตัวหยิ่งยะโสมาตลอดอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเห็นท่าทางของเหล่าต่งแล้ว น้ำตาก็รินไหล เข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบ คุกเข่าลงตรงหน้าเยี่ยเทียน


“ให้ตายสิ แล้วจะไปทำไมแต่แรกล่ะ? เห็นคำพูดของผมเป็นเรื่องไร้สาระหรือไง?”


แม้เยี่ยเทียนจะมีนิสัยไม่รับทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ทั้งสามพบเจอบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ก็อดรู้สึกหงุดหงิดในใจไม่ได้ มือซ้ายยื่นออกไป พยุงต่งเซิงไห่ที่หมอบอยู่กับพื้นให้กลับขึ้นไปนั่งบนรถเข็น


ทว่าจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ต่งเซิงไห่ซึ่งอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี จึงสำลักโลหิตออกมาอีกครั้ง จนเลือดเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปครึ่งตัว


“ให้ตายสิ ถ้าไม่ลำบาก ก็ไม่นึกถึงกันหรอก!”


เยี่ยเทียนสะบัดนิ้วกลาง จี้จุดหยุดกระแสเลือดตรงบาดแผลของต่งเซิงไห่ แล้วส่งพลังปราณแท้เข้าไป ทำให้ต่งเซิงไห่ที่กำลังร้อนรุ่มสงบลง


“พอแล้ว เลิกแสร้งทำตัวน่าเวทนาสักที…”


เยี่ยเทียนยื่นมือไปพยุงจู้เหวยเฟิงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นขึ้นมา กล่าวว่า “คุณเล่าเรื่องมาให้ผมฟังก่อนเถอะ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลา รับปากไม่ได้หรอกนะ ว่าจะช่วยพวกคุณได้ไหม!”


“ไม่เป็นไร ขอเพียงนายยอมตกลง นานแค่ไหนพวกเราก็รอได้!”


พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าของจู้เหวยเฟิงก็แสดงออกถึงความยินดี เยี่ยเทียนยอมให้เขาเล่าเรื่องออกมา ย่อมหมายความว่าเขาจะจัดการสะสางเรื่องนี้ให้


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีสีหน้าเหลืออด จู้เฟวยเฟิงก็บอกว่า “คืออย่างนี้ ฉันกับเหล่าต่งไปยังประเทศไทยเมื่อกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว…”


ที่แท้ ขณะที่เยี่ยเทียนหมดเร้นกายอยู่ภายในเขาฉางไป๋ซาน จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ต่างก็เดินทางถึงเมืองไทยด้วยความเบิกบานใจ แถมยังได้เจอการต้อนรับเป็นอย่างดีระดับเทียบเท่าบุคคลสำคัญ พอไปถึงวันแรกก็ได้ร่วมรับประทานอาหารร่วมกับพระมหากษัตริย์


งานด้านการจัดการแข่งขันชกมวย ล้วนเป็นฟรุสทำทั้งหมด ต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงเพียงแค่กินและเที่ยวสนุกไปวันๆ หญิงสาวในประเทศไทยทำให้เขาสนุกสนานจนลืมคิดถึงบ้าน


ก่อนวันงานแข่งขันมวยหนึ่งวัน ฟรุสได้เชิญต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงกับนักมวยในสังกัดของพวกเขา ร่วมกินเลี้ยงด้วยกันครั้งหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของเรื่องก็เกิดขึ้นในงานเลี้ยงครั้งนั้นเอง


วันต่อมาขณะที่จัดงานแข่งขัน นักชกอันดับสี่ของโลกที่ต่งเซิงไห่เชิญมา สามารถคุมสถานการณ์บนเวทีได้เหนือกว่ามาก ต่อยจนฝ่ายตรงข้ามไร้เรี่ยวแรงทรงตัว


แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ การเคลื่อนไหวของนักชกฝั่งต่งเซิงไห่ก็เซื่องซึมลง จนถูกนักชกชาวไทยไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนนั้นสอยก้านคอร่วงลงไปในหนเดียว


เหตุการณ์ซึ่งพลิกผันโดยไม่คาดฝันนี้ ทำให้ต่งเซิงไห่ตกตะลึงอย่างมาก แต่บนสังเวียนมวยมีเหตุการณ์พิสดารเกิดขึ้นมากมาย เรื่องที่คาดเดาไม่ได้เต็มไปหมด เวลานั้นเขาแค่อดรนทนไม่ไหว ส่งนักชกอีกคนขึ้นสังเวียนไป


สิ่งที่ทำให้ต่งเซิงไห่คาดไม่ถึงก็คือ นักชกลูกน้องของเขาคนนี้กลับได้ชัยชนะติดต่อกัน สามวันต่อมาเอาชนะได้ถึงเก้ารอบ ล้มคู่ต่อสู้ไปทั้งหมดหกคน เป็นผลให้ต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงทั้งสองคนได้เงินรางวัลเป็นมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์อเมริกา


นั่นทำให้ต่งเซิงไห่ลืมนักชกอันดับสี่จากทั่วโลกคนนั้น นึกลำพองใจขึ้นมากะทันหัน


ในวันสุดท้ายนั้นเอง ต่งเซิงไห่ก็ถูกฟรุสยั่วยุ ให้นำสนามมวยใต้ดินในมอสโควของตัวเองมาเดิมพันกับเขา


ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ต้องโทษต่งเซิงไห่ที่โลภมากเกินไป เห็นว่าสนามมวยใต้ดินของประเทศไทยเหนือชั้นกว่าที่มอสโควหลายต่อหลายเท่า จึงอยากจะมีส่วนแบ่งในนั้น


อีกทั้งไม่รู้ว่าสมองของจู้เหวยเฟิงเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ถึงได้ยกหุ้นสนามมวยของตนเอง มาวางเดิมพันกับมวยคนนั้นของต่งเซิงไห่


ผลที่ออกมาเป็นอย่างไรไม่ต้องอธิบาย หลังจากนักชกที่ชนะเก้ารอบรวดขึ้นเวที เริ่มแรกก็พุ่งโจมตีอย่างดุเดือด แต่ยังไม่ทันผ่านยกที่ห้า เขาก็กลายเป็นเหมือนนักชกก่อนหน้า หยุดยืนนิ่งงันอยู่บนเวทีชั่วเวลาหนึ่งโดยไร้สาเหตุ


นักชกใต้ดินไม่มีใครไม่เป็นดั่งเครื่องจักรสังหาร หากเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยใดๆ ขึ้น ผลที่ตามมามักทำให้นักชกไม่อาจทนรับได้ นับประสาอะไรกับนักชกคนนั้นที่ยืนเหม่อลอยบนเวที จึงถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนน็อค


เมื่อเห็นภาพนั้น ต่งเซิงไห่ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่พบเจอในวันแรกขึ้นมาทันที ต่อให้เขาโง่งมยังไง ก็ยังรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติ


แต่ว่าผลการแข่งขันที่ชัดเจน ทำให้ต่งเซิงไห่ไม่อาจหาข้ออ้างใดๆ มายกเลิกสัญญาได้ อีกทั้งที่นั่นยังเป็นเขตแดนของฟรุส เขาและจู้เหวยเฟิงจึงได้เพียงแต่ประทับตราด้วยใจอันแค้นเคือง เซ็นข้อตกลงยินยอมโอนหุ้นส่วนให้ไป


แต่สิ่งที่ทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือ ฟรุสตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกจากประเทศไทย ในคืนวันนั้นที่การแข่งขันสิ้นสุด คนกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้าโจมตีที่อยู่ของต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิง


คนเหล่านี้ไม่ได้ใช้อาวุธปืน แต่กลับใช้มีดผาหน้าไม้ อีกทั้งลงมือกันอย่างโหดเหี้ยม ยามปะทะกัน จู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่ล้วนร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด


ต้องบอกว่าคำพูดก่อนหน้าของเยี่ยเทียนช่วยชีวิตทั้งสองคนนี้ไว้ เขาเตือนว่า หากจะไปประเทศไทยให้จู้เหวยเฟิงระวังตัวด้วย และหลังจากเกิดเหตุนักชกเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุบนเวทีคืนนั้น จู้เหวยเฟิงจึงติดต่อสหายในกองทัพของเขาที่ประเทศไทยทันที


แต่ว่าสหายของจู้เหวยเฟิงมาช้าเกินไปเล็กน้อย กว่าพวกเขาจะเร่งรุดมาถึง เพื่อช่วยจู้เฟวยเฟิง ต่งเซิงไห่ก็ถูกคนตัดแขนและขา อาการร่อแร่ใกล้ตายเต็มที


ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนชาวไทยของจู้เหวยเฟิง ทั้งสองจึงสามารถหนีกลับมายังประเทศจีนได้ในที่สุด แต่ข่าวคราวที่ส่งมาจากทางญี่ปุ่นและมอสโคว กลับทำให้ต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงเหมือนเจอโชคร้ายซ้ำสอง จนแทบจะกระอักเลือดตาย


ในช่วงที่ทั้งสองคนกำลังหลบหนีอยู่นั้น สนามมวยใต้ดินในมอสโควและญี่ปุ่นก็ถูกล้างบาง ฟรุสใช้สัญญาที่ทั้งสองลงนาม มาควบคุมจัดการสนามมวยใต้ดินทั้งสองแห่งเอาตามใจชอบ


และผู้เฒ่าเหล่านั้นที่ติดตามต่งเซิงไห่มาหลายสิบปี กลับเสียชีวิตอย่างกะทันหันทุกคนภายในคืนเดียว


เหตุการณ์ในวงการมาเฟียก็เป็นอย่างนี้ ถึงแม้ผู้คนต่างรู้ว่านี่เป็นฝีมือของฟรุส แต่กลับไม่มีใครสามารถขุดหาหลักฐานออกมาได้


และสัญญาที่อยู่ในมือของฟรุส ก็ทำให้เขาได้ครอบครองคำว่า “กฎ” อย่าว่าแต่องค์กรมวยใต้ดินทั่วโลกเลย แม้แต่สำนักหงเหมินที่อยู่เบื้องหลังต่งเซิงไห่ ก็ยังไม่อาจกล่าวโทษฟรุสต่อหน้าสาธารณชน


ธุรกิจที่ก่อตั้งมาอย่างยากลำบากทั้งชีวิต กลับถูกคนใช้วิธีเช่นนี้ช่วงชิงไป ต่งเซิงไห่สามารถพูดได้ว่าชีวิตในแต่ละวันผ่านไปด้วยความเคียดแค้น เมื่อสำนักหงเหมินไม่อาจออกหน้า เขาจึงฝากฝังความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวเยี่ยเทียน


“แค่ก…แค่กๆ!”


หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้จบ จู้เหวยเฟิงก็ไอออกมา ตอนที่เขายกมือเปิดออกมานั้น ริมฝีปากเปรอะเปื้อนคราบเลือดหน่อยหนึ่ง


“คุณเองก็บาดเจ็บเหมือนกันหรือ?” เยี่ยเทียนมองไปยังจู้เหวยเฟิงอย่างสงสัย เมื่อครู่เขาใช้พลังจิตสัมผัสดูครู่หนึ่ง คิดว่าจู้เหวยเฟิงไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บ


“ฉันฝ่าดงมีดพร้าออกมาได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากกลับมาก็เอาแต่ไอเป็นเลือด ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ!”


จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า แหวกเสื้อตรงหน้าอกออก ตรงนั้นมีรอยแผลเป็นยาวรอยหนึ่ง ลากตั้งแต่ช่วงอกไปถึงท้องน้อย ถ้าหากไม่เป็นเพราะรอยฟันไม่ลึกพอ แผลนี้คงผ่าไส้ออกมากองแล้ว


“เหล่าต่งเอาตัวมากันฉันไว้ แขนข้างนั้นถึงได้หายไป เยี่ยเทียน ขอเพียงนายช่วยพวกเราชำระแค้นนี้ ชีวิตของจู้เหวยเฟิงจะกลายเป็นของนาย!”


ในอดีตจู้เหวยเฟิงเคยทำภารกิจอยู่ต่างประเทศ บนเนื้อตัวจึงเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังไม่เคยได้รับความคับแค้นใจมากถึงขั้นนี้ ทั้งยิ่งรู้สึกติดค้างบุญคุณต่งเซิ่งไห่อย่างใหญ่หลวง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)