หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 716-725
บทที่ 716 เริ่มการต่อสู้บนดาวอังคาร!
ราชครูก็ยังคงดูเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่เด็กชายยังดูน่าขนลุกอยู่เหมือนเคย ร่างกายโปร่งแสงของพวกเขาจางลงไปจนดูราวกับจะหายไปได้ทุกขณะ
คำทักทายของชายร่างกำยำนั้นเสียงดังฟังชัดที่สุด ในบรรดาวิญญาณวุธทั้งสาม เขาเป็นคนที่ภักดีต่อหวังเป่าเล่อที่สุด
ทั้งสามไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ขณะที่หวังเป่าเล่อนั้นไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ตอนที่จากทั้งสามไป ชายหนุ่มอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน มาบัดนี้ เขากลับมาพร้อมพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ และพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่าชั้นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ อันที่จริงแล้ว หากนับรวมพลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราเข้าไปด้วย การสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นก็เรียกได้ว่าง่ายดายสำหรับเขาทีเดียว!
ไหนจะดวงตาปีศาจสีดำที่ช่วยเสริมพลังให้เขาอีก มันพาเขาเข้าใกล้พลังขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายเข้าไปทุกขณะ ณ ปัจจุบันนี้ ต่อให้วัตถุเวทแห่งความมืดจะไม่รับรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของมัน ชายหนุ่มก็ยังสามารถบังให้วิญญาณวุธทั้งสามไปต่อรองแทนเขาได้
เป็นเหตุให้เมื่อวิญญาณทั้งสามมาทักทาย ชายหนุ่มจึงไม่ได้รอช้า เขาเรียกเกราะจักรพรรดิออกมาและปลดปล่อยพลังปราณเต็มที่ทันที พลังอันมหาศาลเข้าโอบล้อมรอบกายเขาเอาไว้ วิญญาณทั้งสามแม้จะแคลงใจกับพลังของหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่ แต่การปลดปล่อยพลังอย่างปุบปับก็ทำเอาพวกเขาตกตะลึง
สีหน้าของราชครูเปลี่ยนแปลงไป นัยน์ตาของเด็กชายเบิกโพลง ชายร่างกำยำก็เช่นกัน ทุกคนยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ พวกเขาบาดเจ็บหนักเพราะความเสียหายที่วัตถุเวทแห่งความมืดต้องเผชิญ ส่งผลให้ไม่สามารถคาดเดาระดับปราณของหวังเป่าเล่อได้แม่นยำนัก การที่จู่ๆ ระดับปราณของชายหนุ่มสร้างแรงกดดันขนาดมหาศาลใส่ทั้งสาม ทำให้พวกเขาถึงกับต้องผงะ
“เอาละ ลุกขึ้นเถิด วัตถุเวทแห่งความมืดเป็นอย่างไรบ้างระหว่างที่ข้าไม่อยู่” หวังเป่าเล่อเก็บเกราะจักรพรรดิไปก่อนจะถามอย่างเนิบๆ
เมื่อเหล่าวิญญาณหายจากอาการตื่นตะลึงเมื่อครู่ พวกเขาก็ละล่ำละลักตอบหวังเป่าเล่อ ไม่มีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ชายหนุ่มจากไป แต่เพราะขาดแคลนวัตถุดิบ ทำให้การซ่อมบำรุงวัตถุเวทแห่งความมืดดำเนินไปอย่างยากเย็น
หวังเป่าเล่อพยักหน้า และด้วยการโบกมือขวาเพียงครั้งเดียว วัตถุดิบจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบ แม้อาจจะยังไม่พอสำหรับการซ่อมบำรุงวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็ถือว่ามากพอดู
เมื่อบรรดาวัตถุดิบชนิดต่างๆ ออกมากองกันเป็นภูเขาย่อมๆ ปราณวิญญาณในอากาศก็หนาแน่นขึ้นมาในบัดดล หลังจากที่หวังเป่าเล่อหยิบของเหลววิญญาณและต้นกำเนิดดาราออกมา ปราณวิญญาณในอากาศก็หนาแน่นมากเสียจนแทบจะแปรสภาพเป็นของเหลว
วิญญาณวุธทั้งสามตื่นตะลึงอีกครั้ง นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลง ยังไม่จบแค่นั้น…ความตื่นตะลึงครั้งใหญ่ตามมาในตอนจบ!
พอหวังเป่าเล่อวางของที่เขาไปเก็บมาจากดาวเคราะห์เต๋าไพศาลหลักและดาวดวงอื่นๆ บรรดาวิญญาณวุธก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นแร่อัคคีชั้นสูงสุดที่ชายหนุ่มไปได้มาจากป่ามี่หลัว
“แร่อัคคีชั้นสูงสุด!”
“สวรรค์ แร่นี้จะช่วยเร่งอัตราการซ่อมแซมได้เป็นอย่างดี อันที่จริงแล้ว มันเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างยิ่งในซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืด เป็นวัตถุดิบหลักที่ไม่สามารถใช้อย่างอื่นมาแทนที่ได้!”
“ช่างน่าเสียดายที่มีอยู่น้อยเหลือเกิน…” ดวงวิญญาณทั้งสามทอดถอนใจ หวังเป่าเล่อดูไม่ตื่นตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มมองหน้าราชครู ก่อนจะหยิบกำไลคลังเวทออกมาอีกอัน คราวนี้แทนที่จะหยิบวัตถุดิบออกมา เขากลับหยิบ…กระเป๋าคลังเก็บร่วมสิบใบออกมาจากกำไลคลังเวท หวังเป่าเล่อเปิดทุกใบออก ก่อนที่แร่อัคคีชั้นสูงสุดจำนวนมหาศาลจะไหลบ่าออกมากองเป็นภูเขาอยู่แทบเท้า
ดวงวิญญาณทั้งสามผงะด้วยความตื่นตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงต่ำอยู่ในลำคอเป็นเชิงคิด และดึงศพอสูรออกมาอีกสองศพ!
พวกมันคือศพของอสูรเขี้ยวดาราขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เขาเจอระหว่างที่อยู่ในป่ามี่หลัวสองวัน ศิษย์พี่ของเขาบังคับให้พวกมันพุ่งชนกันและตายสนิท ก่อนที่พวกมันจะตาย พวกมันยังช่วยหวังเป่าเล่อประหยัดเวลาโดยการกระชากแก่นในอสูรออกมาให้เขาเสียเอง!
“ใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดชุบชีวิตอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองนี้ ข้ามีงานสำคัญให้พวกมันทำ แล้วก็…เริ่มการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดทันที ข้าให้เวลาสิบวัน สิบวัน…เพื่อฟื้นฟูวัตถุเวทแห่งความมืดให้อยู่ในสภาพที่ข้าจะดึงมันออกจากถ้ำนี้และเอามันขึ้นไปต่อสู้บนอวกาศได้!” น้ำเสียงเด็ดขาดของหวังเป่าเล่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีพื้นที่ให้ต่อรองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว
เห็นได้ชัดว่าวิญญาณทั้งสามแอบลอบออกไปข้างนอกในช่วงที่เขาไม่อยู่ พวกมันจึงรู้เรื่องสงครามระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลดี ราชครูไปได้จอภาพที่ฉายข่าวในสหพันธรัฐจึงเอามาให้ทุกคนดู พวกเขาติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกถ้ำอย่างใกล้ชิด และรู้ถึงความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งสามไม่กล้าตีหน้าซื่อ ก่อนจะพยักหน้าอย่างขึงขังแล้วรีบแยกย้ายกันไปทำงานทันที
หวังเป่าเล่อมองดูดวงวิญญาณทั้งสามหายตัวไป ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าทั้งสามกำลังเริ่มซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างแข็งขัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง หวังเป่าเล่อคนเก่าคงจะไม่ยอมให้วิญญาณวุธทั้งสามเริ่มการซ่อมแซมได้โดยง่าย แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะใช้เคล็ดเวทนิมิตมืดบอกพวกเขาว่าชายหนุ่มเป็นเจ้านายในนิมิตมืดแล้วก็ตาม เหตุก็เพราะวัตถุเวทแห่งความมืดเสียหายหนัก ทำให้บรรดาวิญญาณวุธอ่อนแอลงไปเช่นกัน การซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดจะช่วยฟื้นฟูพลังของทั้งสามไปด้วยในตัว
เรื่องอาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ อีกประเด็นหนึ่ง…ชายหนุ่มกลัวจะถูกวิญญาณทั้งสามกลืนกิน เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่ตอนที่ออกไปหาวัตถุดิบ
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาอีกต่อไป ไม่อาจรอได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มก็แข็งแกร่งขึ้นมากโข จึงทำให้เขามั่นใจกับการเดิมพันครั้งนี้มากพอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะเก็บวัตถุดิบมาได้จำนวนมาก แต่ก็ยังห่างไกลจากการซ่อมบำรุงให้วัตถุเวทแห่งความมืดกลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้
น่าจะซ่อมให้กลับไปมีพลังได้สักครึ่งหนึ่ง…ระดับพลังปราณของข้าในตอนนี้น่าจะเพียงพอที่จะเรียกใช้อีกพลังหนึ่งของวัตถุเวทแห่งความมืดได้
หวังเป่าเล่อหรี่ตาและขยายจิตวิญญาณสัมผัสของตนเองออกไปปกคลุมวัตถุเวทแห่งความมืด เชื่อมไปถึงเสื้อคลุมแห่งความมืด เรือสำปั้นแห่งความมืด และไม้พายตะเกียงแห่งความมืดในทันที ชายหนุ่มค่อยคลายใจและยอมให้จิตของตนเชื่อมต่ออยู่กับวัตถุเวทแห่งความมืดทั้งสามไว้ตลอดอยู่อย่างนั้น
การทำเช่นนี้จะช่วยเร่งความเร็วในการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืด ยิ่งไปกว่านั้น จากที่หวังเป่าเล่อจำได้จากนิมิตมืด ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาควรสร้างอวตารของดวงจิตตัวเองเอาไว้
ในอดีตสิ่งนั้นอาจเกินความสามารถ แต่ขณะนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าเขาน่าจะทำได้สำเร็จ
หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง ร่างมายาค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ดวงตาทั้งคู่ของมันปิดอยู่ และดูเหมือนหวังเป่าราวกับฝาแฝด สิ่งเดียวที่ต่างกันคือเครื่องแต่งกายเท่านั้น
ร่างอวตารอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิท ยืนอยู่บนเรือสำปั้นแห่งความมืด ในมือข้างหนึ่งถือไม้พายแห่งความมืด ที่ตรงปลายมีตะเกียงแห่งความมืดห้อยอยู่ ร่างอวตารนั้นไม่เชิงเป็นภาพมายาเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ความจริงเช่นกัน คล้ายกับว่าก่อตัวขึ้นมาจากหมอกควันสีดำที่ปล่อยรัศมีเย็นยะเยือกออกมาเป็นระลอก ดูราวกับเป็นผู้นำสารแห่งความตายที่ขึ้นมาเหยียบบนโลกมนุษย์
จู่ๆ ร่างอวตารก็เปิดตาขึ้นมา แสงไฟประหลาดในดวงตาทั้งคู่ส่องประกายกล้า ทำให้ร่างนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์ หวังเป่าเล่อใช้จิตสัมผัสวิญญาณเข้าไปสำรวจความสามารถด้านการสู้รบของร่างอวตาร ก่อนจะถอนหายใจ
แทบไม่มีเลย แต่ก็เป็นวิธีควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดที่สะดวกดีไม่ใช่น้อย อย่างน้อยๆ ถ้าเทียบกันแล้ว ก็ดีกว่าการใช้ร่างจริงของข้า หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในความคิด จากนั้นร่างอวตารของเขาก็ยกมือขวาที่ชูไม้พายเอาไว้ขึ้น จู่ๆ พายุหมุนก็ปรากฎขึ้นบริเวณที่ศพของอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองนอนอยู่ ก่อนจะกลืนศพทั้งสองเข้าไป ปราณมืดปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุและไหลบ่าเข้าสู่ศพทั้งสอง
วัตถุเวทแห่งความมืดจะกลายมาเป็นอาวุธคู่ใจชิ้นใหม่ของข้า ขั้นต่อไป ข้าต้องใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดเพื่อหลอมศพอสูรทั้งสองนี้ให้กลายเป็นหุ่นเชิด พวกมันจะกลายเป็นอาวุธคู่ใจลำดับสองของข้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแวววาวด้วยความมุ่งมั่น ชายหนุ่มพยายามผลักดันร่างอวตารของเขาให้ใช้วัตถุเวทแห่งความมืดในการหลอมซากอสูรทั้งสอง
หุ่นเชิดถือเป็นสมบัติเวทอีกรูปแบบหนึ่ง และหวังเป่าเล่อก็มีความสามารถเหนือผู้ฝึกตนธรรมดาในด้านนี้ ประสบการณ์ที่ชายหนุ่มสั่งสมมาในช่วงปีต้นๆ ที่ทำให้เขาระลึกได้ว่าตนเองมีความสามารถในการหลอมหุ่นเชิด
ช่วงที่เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มได้อ่านจารึกและหนังสือของสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมาก ซึ่งช่วยเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและหุ่นเชิดให้เขา
นอกจากหุ่นเชิดแล้ว ข้าต้องหลอมและเสริมพลังให้วัตถุเวทอื่นๆ ด้วย ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบกเรียกคันธนูสีดำออกมา ก่อนจะส่งมันเข้าไปในพายุหมุน มือของเขาประกบเข้าหากันก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และเริ่มหลอมวัตถุเวทอย่างเร่งรีบ
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังง่วนอยู่กับการหลอมวัตถุเวทนั้นเอง ดาวอังคารก็กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวรับมือสงครามหลังจากที่การเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่สิ้นสุดลง ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารอย่างเคร่งครัด เวลายังเดินหน้าต่อไปไม่หยุด
ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน มีการตรวจสอบระบบของวงแหวนปราณระบบสุริยะ ระบบเตือนภัยถูกติดตั้งรอบดาวอังคาร และวัตถุเวททั้งหมดก็พร้อมใช้งาน จากนั้นเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารจึงออกคำสั่งลงไป วัตถุเวททั้งหมดปล่อยพลังออกมาพร้อมกัน รวมกันเป็นลำแสงจำนวนมหาศาลที่พุ่งเข้าไปในจักรวาลเหนือดาวอังคาร
เกิดวังวนขนาดมหึมาขึ้นในอวกาศในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง และเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นก็พุ่งออกมาจากภายในวังวนนั้น!
การโจมตีของวัตถุเวทพุ่งเข้าใส่เรือบินรบอย่างจัง แต่ก็แทบจะไม่สร้างรอยขีดข่วนให้อีกฝ่ายเลย ขณะที่บรรดาวัตถุเวทกลับสลายไปเพราะการโจมตีนั้นเป็นการทำลายตนเองด้วย ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนเรือบินรบ…เขาคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง!
“หวังเป่าเล่อ!” ใบหน้าของชายชราคลั่งแค้นราวกับเป็นพายุคลั่ง จิตสังหารฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา เขายกมือขวาขึ้นก่อนจะชี้ไปที่ดาวอังคาร กองเรือบินรบขนาดมหึมาของสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ผู้รอดชีวิตของสำนักวังเต๋าไพศาลและหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นนับแสนปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน และพุ่งเข้าไปหาดาวอังคารทันที
เจ้านครอาณานิคมส่งคำสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดอย่างไม่รอช้า
“เริ่มการจู่โจมของวงแหวนปราณระบบสุริยะแนวแรกทันที!”
บทที่ 717 ต้องสู้เท่านั้น!
ดาวอังคารสั่นสะเทือนเมื่อเจ้านครอาณานิคมตะโกนคำสั่งออกไป คลื่นพลังวิญญาณปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ ก่อนจะกระจายออกไปในจักรวาลโดยมีดาวอังคารเป็นจุดศูนย์กลาง ดูเหมือนเป็นพายุหมุนรวดเร็วที่จะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางทางให้สูญสิ้นไป
ด้วยนิสัยแข็งกร้าวและเด็ดขาดของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร แถมยังมีเปลวเพลิงแห่งความดื้อดึงที่เผาไหม้อยู่ในกระดูกของนาง จึงรับประกันได้ว่าการต่อสู้บนดาวอังคารต้องแตกต่างจากดาวศุกร์และดาวพุธอย่างแน่นอน ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงนี้ลอบเข้าไปถึงตัวศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันโดยไม่ทันตั้งตัว!
ชายชราล่วงรู้ถึงความสามารถอันแปลกประหลาดของวงแหวนปราณระบบสุริยะตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของการรุกราน เขาพยายามคิดหาวิธีเอาชนะมันให้ได้ แต่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรุกรานโลกหากไม่ทำลายดวงดาวหลักๆ ที่สนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะเอาไว้เสียก่อน
นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาไปรุกรานดาวศุกร์ และการมาบุกดาวอังคารครั้งนี้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่คาดคิดว่าดาวอังคารจะปลดปล่อยพลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะออกมาในรูปแบบนี้!
สิ่งนี้เปรียบได้กับการเรียกใช้ระบบทำลายตัวเองของวงแหวนปราณระบบสุริยะ ความแตกต่างก็คือ แทนที่จะใช้งานเพียงครั้งเดียว การทำลายนี้จะถูกควบคุมและปลดปล่อยออกมาเป็นระลอก แรงระเบิดที่ปล่อยออกมาแม้จะไม่ได้รุนแรงเท่า แต่วงแหวนปราณก็จะไม่สลายไปในคราวเดียว แต่กระนั้น…พลังของมันก็จะอ่อนแอลง หากศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมีเวลา เขาก็สามารถล่อให้วงแหวนปราณอ่อนแอลงโดยการสละกองกำลังบางส่วน และควบทะลุวงแหวนปราณระบบสุริยะเข้าไปยังโลกได้
แต่ขณะนี้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคิดไม่ตก มันคงจะง่ายดายกว่านี้หากไม่ได้มีคำสั่งของจื่อเยว่อยู่ ชายชรานึกถึงคำสั่งของนางให้จับเป็นหวังเป่าเล่อขึ้นมาได้ จากนั้นเขาจึงทอดสายตาไปมองบรรดาหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็กัดฟันและยอมละทิ้งความคิดที่จะทำให้วงแหวนปราณอ่อนกำลังลง หากเขาเลือกทำเช่นนั้น ก็จะเป็นการให้เวลาดาวอังคารมากขึ้นที่จะโต้กลับ
“โจมตีเข้าไปด้วยทุกสิ่งที่เจ้ามี!” ประกายเยือกเย็นสะท้อนผ่านดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขณะที่เขาตะโกนสั่งการ กระบวนเรือบินรบขนาดมหึมาของสำนักวังเต๋าไพศาลแปรขบวนเข้าหาดาวอังคารอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยพลังเต็มที่ออกมาทันที กระบวนเรือบินรบเปรียบได้กับลูกศรจำนวนมหาศาลที่พุ่งออกจากแล่ง มุ่งตรงเข้าปะทะแนวจู่โจมแรกของวงแหวนปราณระบบสุริยะในทันที!
เรือบินรบจำนวนหนึ่งพลันสลายไปในพลังการทำลายตัวเองระลอกแรกของวงแหวนปราณระบบสุริยะ ผู้ฝึกตนบนนั้นทั้งหมดตายทันที ร่างกายสลายกลายเป็นฝุ่นผง เรือบินรบอีกมากสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายใต้แรงกระแทกและเสียหายไปตามๆ กัน
เรือบินรบของสหพันธรัฐและวัตถุเวทบนดาวอังคารเริ่มโจมตีเช่นกัน การโจมตีของพวกเขาเข้าไปรวมกับคลื่นทำลายล้างจากพลังของวงแหวนปราณ ก่อตัวขึ้นเป็นเกราะกำบังที่ป้องกันไม่ให้บรรดาสำนักวังเต๋าไพศาลเดินหน้าเข้ามาต่อได้
แต่การโจมตีระลอกแรกก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง ขณะที่กองเรือของสำนักวังเต๋าไพศาลยังคงเดินหน้าเข้ามาไม่หยุดยั้ง กองกำลังเรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลมุ่งหน้าเข้าไปยังดาวอังคาร ในวินาทีนั้น ประกายเยือกเย็นก็สะท้อนขึ้นในแววตาของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร การโจมตีระลอกที่สองและสามถูกปล่อยออกมาตามๆ กัน!
เสียงระเบิดในห้วงอวกาศดังสนั่นดาวอังคาร ลูกบอลแสงส่องประกายเมื่อเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลระเบิด เรือบินรบที่รอดจากการถูกทำลายยังได้รับความเสียหายต่อไป เมื่อการโจมตีระลอกที่สี่กระจายออกไปในจักรวาล เรือบินรบราวร้อยละหกสิบของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็สลายไปหมด!
ผู้ฝึกตนจำนวนมากเสียชีวิตไป ในนั้นมีคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่บ้าง แต่ส่วนมากเป็นหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้น เรือบินรบทั้งหมดได้รับความเสียหายอย่างหนัก กองเรือของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเล็กลงอย่างมากเมื่อเทียบกับจำนวนก่อนการรุกรานในครั้งนี้
แม้จะดูเหมือนเป็นความสำเร็จ แต่ราคาที่สหพันธรัฐต้องจ่ายก็แพงใช่เล่น วงแหวนปราณระบบสุริยะอ่อนแอลงอย่างมาก พลังของมันลดลงไปมหาศาล กำแพงที่ปกป้องแก่นของสหพันธรัฐบางลงถนัดตา พลังป้องกันก็เสื่อมถอย
ดาวอังคารสูญเสียความสามารถในการใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะเพื่อการเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่ไปแล้ว การจะเคลื่อนย้ายทุกคนออกไปพร้อมกันเหมือนตอนที่ต่อสู้บนดาวศุกร์เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ทำได้ดีที่สุดแค่การเคลื่อนย้ายเป็นกลุ่มๆ เท่านั้น ด้วยวิธีการต่อสู้เช่นนี้ดาวอังคารจึงหลังชนฝาเข้าไปทุกที
ยากที่จะคาดเดาได้ว่าพวกเขาสูญเสียหรือได้ประโยชน์มากกว่ากันในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ แต่หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีก็เลือกที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร พวกเขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่จับตามองการรบดำเนินไปเท่านั้น
“เรือบินรบทั้งหลาย ถอยก่อน ล่อให้พวกมันเข้ามา อภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร เตรียมตัว ผู้ฝึกตนดาวอังคาร เตรียมรับคำสั่งข้าให้ดี!” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารหรี่ตาลงก่อนจะส่งคำสั่งออกไป เรือบินรบสหพันธรัฐที่ปกป้องน่านฟ้าของดาวอังคารอยู่ถอยและหยุดยิงทันที เรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลรีบรุดหน้าผ่านแนวป้องกันและเข้าไปสู่น่านฟ้าเหนือนครอาณานิคมดาวอังคาร ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นเร่งรุดออกมาจากเรือบินรบเป็นกลุ่มๆ เป้าหมายของพวกเขาก็คือนครอาณานิคมดาวอังคาร!
“สังหารทุกคนบนดาวนี้ แล้วควานหาตัวหวังเป่าเล่อให้พบ!” เรือบินรบที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยืนอยู่นั้นปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นบนน่านฟ้าดาวอังคาร เรือบินรบนั้นมีขนาดใหญ่ยักษ์จนแทบจะบดบังท้องฟ้าไปสิ้น เงาสีดำขนาดมหึมาปกคลุมผืนแผ่นดินเอาไว้
ทุกคนภายในนครอาณานิคมดาวอังคารต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกตะลึง เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็เช่นกัน ทุกคนจ้องมองไปยังเรือบินรบขนาดมหึมาที่บดบังท้องฟ้าเอาไว้จนหมด มีความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในแววตาของทุกคนขณะที่พวกเขาสาบานว่าจะสู้จนลมหายใจสุดท้าย
ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่เหลือต่างก็ลังเลใจที่จะทำตามคำสั่งของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ในขณะที่ฝ่ายหุ่นเชิดไร้วิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นต่างก็รับคำสั่งอย่างเต็มใจ พวกมันพุ่งตัวออกไปอย่างเชื่อฟัง จิตสังหารฉาบเคลือบอยู่ในแววตา ต่างก็พุ่งตัวออกไปทางนครอาณานิคมดาวอังคารเบื้องล่าง
ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งลงมาราวกับเป็นพายุที่พัดลงมาจากท้องฟ้า และมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย ตอนนั้นเอง…
“เปิดใช้การปิดกั้นระลอกแรกของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารเดี๋ยวนี้!” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว อภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะปล่อยคลื่นพลังกดดันกวาดไปบนท้องฟ้า ชนเข้ากับกองกำลังของศัตรูทันที
คลี่ยนพลังนั้นไม่อันตรายถึงตาย แต่เป็นเหมือนคลื่นรบกวนที่ทำให้บรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลปวดศีรษะไปตามๆ กัน ผู้ที่ควบคุมหุ่นเชิดตระกูลไม่สิ้นอยู่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้เหล่าหุ่นเชิดหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
“ทุกคนเข้าจู่โจมตอนนี้เลย!” ขณะที่คลื่นพลังของวงแหวนปราณกระเพื่อมไปรอบๆ สนามรบ คำสั่งของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารก็ดังสนั่นขึ้นทันที ผู้ฝึกตนสหพันธรัฐจำนวนมากพุ่งออกมาพร้อมส่งเสียงคำรามลั่น และเรือบินรบสหพันธรัฐก็ปรากฏขึ้นเพื่อให้การช่วยเหลือทางอากาศ ฉกฉวยโอกาสที่กองทัพศัตรูหยุดนิ่งไปชั่วขณะเพื่อเริ่มการ…โจมตีกลับ!
เกิดการบาดเจ็บล้มตายกันขึ้นทั้งสองฝ่ายทันที จำนวนคนตายมีมากมายเหลือคณานับ เลือดกระเซ็นลงมาจากฟ้าไม่หยุดหย่อน ท่อนแขนขาขาดกระเด็นร่วงปักลงดิน เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังสะท้านไปทั่วท้องฟ้า เสียงระเบิดฆ่าตัวตายดังสนั่นขึ้นมา ระเบิดต้านทานวิญญาณระเบิดขึ้นขณะที่หุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว ฉากความตายและความรุนแรงก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้งบนสนามรบดาวอังคาร
การปะทะครั้งนี้ส่งผลให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและกองกำลังของเขาเสียความได้เปรียบทางอากาศไป ยิ่งกว่านั้น คลื่นพลังกดดันจากอภิมหาวงแหวนปราณยังช่วยเสริมพลังการต่อสู้ให้กับผู้ฝึกตนสหพันธรัฐอีกด้วย แม้กระนั้น ความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงอยู่ เมี่ยเลี่ยจื่อและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสองคนเข้าร่วมแนวรบมาด้วย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่กำลังใช้เรือบินรบเต๋ามรณะเพื่อควานหาหวังเป่าเล่อ ก็ตัดสินใจแบ่งสมาธิเป็นสองส่วนเพื่อทั้งหาและต่อสู้ไปพร้อมๆ กัน ภายใต้คำสั่งของเขา เรือบินรบเต๋ามรณะปล่อยอักขระโบราณออกมามากมาย พวกมันแปรสภาพเป็นเสาแห่งแสงที่พุ่งเข้าใส่นครอาณานิคมดาวอังคาร ต่อให้มีการป้องกันของวงแหวนปราณอยู่ ดาวอังคารก็ยังเพลี้ยงพล้ำในการต่อสู้อยู่นั่นเอง!
นครครึ่งหนึ่งถูกทำลายไปทันที เปลวไฟสีดำแพร่กระจายออกไปทั่วดวงดาวอย่างรวดเร็ว หลอมทั้งผู้ฝึกตนที่ถูกไฟคลอกและดาวอังคารไปพร้อมๆ กัน แน่นอนว่าดาวอังคารยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ ผู้ฝึกตนบนดาวต่างก็สาบานว่าจะสู้จนตัวตาย การเตรียมการรับมือของอัจฉริยะแห่งวิทยาศาสตร์วิญญาณอย่างเจ้าผินฟางได้ผลดียิ่ง การโจมตีกลับของดาวอังคารเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อได้เห็น
ปืนใหญ่ต้นกำเนิดดาราสามสิบกระบอกที่ได้รับพลังจากต้นกำเนิดดาราของดาวอังคารโดยตรง ถูกยกขึ้นจากพื้นและยิงออกไปพร้อมกัน ลำแสงจำนวนมากพวยพุ่งไปบนท้องฟ้าด้วยพลังรุนแรงที่แม้กระทั่งศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังต้องตะลึง
ต่อไปเป็นระเบิดต้านทานวิญญาณ อาวุธที่สำนักวังเต๋าไพศาลคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในบรรดาระเบิดเหล่านี้มีระเบิดที่มีพลังทำลายเทียบเท่าการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่ด้วย เป้าหมายไม่ใช่เพื่อการสังหาร…แต่เป็นการสร้างสถานการณ์วุ่นวายและปิดผนึกสนามรบทั้งหมดเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเคลื่อนย้ายฉับพลันได้!
สหพันธรัฐมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่บ้าง และยังถือว่าเสียหายน้อยหากทั้งสองฝ่ายต้องเสียความสามารถในการเคลื่อนย้ายไป และจะถือเป็นความได้เปรียบของสหพันธรัฐอย่างแน่นอน!
จากนั้นก็ถึงคราวระเบิดต้านทานวิญญาณที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่ละลูกรุนแรงเทียบเท่าการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ เพียงแต่จำนวนของพวกมันมีน้อยกว่า พลังอันน่าสะพรึงกลัวแปลว่าพวกมันมีความสำคัญมากในการต่อสู้ และท้ายที่สุด เจ้าผินฟางยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่อีกสำหรับการต่อสู้บนดาวอังคาร!
สิ่งนั้นก็คือ… วัตถุเทียมจักรวาลที่มีรูปร่างคล้ายครอบแก้ว!
วัตถุเวทจำนวนมหาศาลลอยขึ้นในอากาศก่อนจะเข้าไปล้อมดาวอังคารเอาไว้ และแปรสภาพเป็นครอบแก้วขนาดใหญ่ที่ครอบดวงดาวเอาไว้ หน้าที่ของมันไม่ใช่การดูดพลังออกจากดวงดาว แต่คือ…การดูดระลอกพลังวิญญาณและปราณวิญญาณจากสนามรบ ทำหน้าที่เป็นอาวุธโจมตีพร้อมกับ…สร้างผนึกบรรยากาศขึ้นมาในสนามรบ!
มันจะกลายเป็นปราการรอบดาวอังคารที่จะปิดกั้นไม่ให้พลังวิญญาณบนดาวไหลออกไป และป้องกันไม่ให้พลังวิญญาณจากภายนอกไหลเข้ามา!
สหพันธรัฐได้ปล่อยไพ่ตายทั้งหมดออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ เป็นการโต้กลับที่รุนแรงที่สุดที่เคยมีมา แม้จะยังไม่สามารถต่อกรกับศัตรูได้ทั้งหมด แต่ก็ซื้อเวลาออกไปได้พอสมควร ผนึกนั้นป้องกันไม่ให้มีปราณวิญญาณไหลเข้าไปเสริมพลังผู้ฝึกตนที่ใช้กระบวนเวท แปลว่าอาวุธปืนจะมีประโยชน์ขึ้นมาในการต่อสู้ และทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เวลาผ่านไป!
แม้กระนั้น ที่นี่ก็เป็นจักรภพที่การฝึกปราณเป็นใหญ่ ความสำคัญของพลังต่อสู้จากคนๆ เดียวกำลังจะเป็นที่ประจักษ์ เมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันล้มเลิกการตามหาหวังเป่าเล่อและเลือกเข้าร่วมการต่อสู้ ชายชราครอบแก้วที่ใช้ครอบดวงดาวได้อย่างไร้ปัญหา
ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะหนีได้หากข้าทำลายดาวดวงนี้ลงทั้งดวง หวังเป่าเล่อ! แรงอาฆาตปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งคู่ของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราพร้อมที่จะปลดปล่อยพลังเต็มที่และทำลายดาวอังคารไปทั้งดวง ตอนนั้นเองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อที่ซ่อนลึกอยู่ในท้องของวัตถุเวทแห่งความมืดก็เงยศีรษะขึ้นอย่างปุบปับด้วยสีหน้าขึงขัง
การซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดแม้จะยังไม่สำเร็จ แต่ธนูอาวุธเวทระดับเก้าก็ซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์แล้ว และศพของอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองก็หลอมสำเร็จเรียบร้อย ศพนั้นอาจเทียบกับร่างกายขั้นวิญญาณอมตะเมื่อครั้งมีชีวิตไม่ได้ แต่ก็ยังมีพลังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่ดี
วีธีเดียวที่จะยื้อเวลาซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดได้คือต้องสู้เท่านั้น! ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แสงแปลกแปร่งปรากฏขึ้นจากร่าง แขนขวาของเขายกขึ้นคว้าอากาศ ธนูลอยละลิ่วมาเข้ามือ ศพอสูรทั้งสองเปิดตาขึ้นก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน หวังเป่าเล่อออกเดินนำกองกำลังของเขาออกจากวัตถุเวทแห่งความมืดไปโผล่ขึ้นบนพื้นดิน!
บทที่ 718 ข้าจะไม่ซ่อมอีกต่อไปแล้ว!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลอยอยู่กลางอากาศ กำลังจะเปิดฉากโจมตี เขาเงยหน้าขึ้นในตอนที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อพุ่งตัวออกมาจากถ้ำ โยวหรันมองไปยังทิศที่นครอาวุธเทพใหม่ตั้งอยู่ ด้วยพลังปราณที่มี ทำให้ชายชราสัมผัสได้ในทันทีว่ามีพลังงานที่คุ้ยเคยพวยพุ่งออกมาจากใต้ดิน
“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” โยวหรันหรี่ตา ก่อนหน้านี้เขาหาร่องรอยของหวังเป่าเล่อไม่เจอ ไม่ว่าจะตั้งใจหาเพียงใด จึงสรุปได้ว่ามีสิ่งลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่ในดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าคือสิ่งใด
“แล้วจะอย่างไรเล่า…ไม่เห็นจะต้องสนใจ!” ประกายเย็นเยียบฉายวาบเข้ามาในดวงตาของโยวหรัน ภาพที่จื่อเยว่ปลูกต้นไม้มากมายบนดาวศุกร์เพียงแค่โบกมือ และปลุกกองทัพหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นกว่าแสนตนผุดขึ้นมาในใจของเขา ภาพนี้ติดแน่นอยู่ในสมองของโยวหรัน เขาสรุปได้ว่าจื่อเยว่ต้องมีปราณระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อย เมื่อตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ โยวหรันก็ยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังนครอาวุธเทพใหม่ทันที!
ขณะที่โยวหรันพุ่งเข้าหานครใหม่นั้น ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นบนอากาศเหนือนคร แต่ด้วยความที่พลังปราณยังไม่แก่กล้าพอ เขาจึงไม่สามารถเรียกเรือสำปั้น ชุดคลุม และไม้พายตะเกียงแห่งความมืดออกมาได้เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากนี้ร่างอวตารของเขายังดูโปร่งแสงอีกด้วย
พลังการต่อสู้ของร่างอวตารเทียบกับของตัวจริงไม่ได้ จึงทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องการเปิดฉากต่อสู้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ทันทีที่ร่างอวตารของเขาปรากฏขึ้นเหนือนคร ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงพลังหนึ่งที่รุนแรงมาก พลังนั้นกำลังพุ่งมาหาเขาจากนครดาวอังคารหลัก ประกายเย็นเยียบฉายวาบเข้ามาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขายกคันธนูสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ในมือซ้ายขึ้นมา มือขวาดึงสายคันธนูมาด้านหลัง เปลี่ยนสภาพคันธนูให้กลมกลึงเหมือนดวงจันทร์เต็มดวง เขาเล็งไปยังร่างที่กำลังพุ่งมาหาตน ก่อนจะปล่อยสายในทันที
อากาศรอบตัวชายหนุ่มสั่นไหวก่อนจะเริ่มแตกออกเป็นชิ้นๆ ในหลายๆ จุด แสงสว่างเจิดจ้ารวมตัวกันรอบคันธนู ก่อนพุ่งออกไปตามแรงของสายชัก แสงเจิดจ้าเปลี่ยนสภาพเป็นหอกที่พุ่งตัดอากาศไปในระยะไกล ปลายหอกคมกริบจนดูเหมือนจะเสียบทะลุทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้!
พลังที่สะสมอยู่ในหอกรุนแรงอย่างเหลือเชื่อ จนทำให้ทั้งผืนฟ้าและพื้นดินสั่นไหว ราวกับทุกสิ่งที่ขวางหน้าจะถูกทำลายให้ราบคาบเป็นหน้ากลองไม่มีแม้แต่โอกาสจะสู้!
เหล่าผู้ฝึกตนจากนครอาวุธเทพใหม่พากันชะงักงัน แต่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อไม่หยุดเพียงเท่านั้น!
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาบ เขาง้างคันธนูอีกครั้งเพื่อปล่อยหอกออกมาครบสิบเอ็ดเล่มในครั้งเดียว!
แรงระเบิดราวสายฟ้าฟาดซัดกระหน่ำลงมาไม่หยุดยั้ง อากาศรอบกายเริ่มปริแตก ท้องฟ้าโดยรอบทำท่าเหมือนจะถล่มลงมา พลังอำนาจของคันธนูสีดำยิ่งใหญ่มากเสียจนแม้กระทั่งสวรรค์ก็ยังทานทนไม่ไหว!
นั่นไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด คันธนูสีดำเป็นถึงอาวุธเทพระดับเก้า แม้ตอนที่หวังเป่าเล่อไปพบเข้า คันธนูนี้จะอยู่ในสภาพเสียหาย แต่พลังของมันก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่เหมือนเดิมเมื่อชายหนุ่มซ่อมแซมมันจนเสร็จ ทั้งยังยังใส่ชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวและแร่อัคคีชั้นสูงสุดเข้าไปในนั้นเพื่อเพิ่มพลังการโจมตีด้วย นอกจากนี้ชายหนุ่มยังใช้อาวุธเวทแห่งความมืดเข้ามาผสมรวมในการซ่อมแซมครั้งนี้ ส่งผลให้คันธนูสีดำทรงพลังกว่าที่เคยเป็นมา!
ด้วยความสามารถในการหลอมอาวุธของหวังเป่าเล่อ พลังของคันธนูในตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าตอนก่อนซ่อมเสียอีก… นอกจากนี้ตัวเขาก็ไม่ได้ใช้คันธนูโจมตีในวิถีปกติ แต่มุ่งหน้าปล่อยพลังที่รุนแรงที่สุดออกมาโดยไม่สนใจว่าตัวอาวุธเวทจะได้รับความเสียหาย พลังที่ส่งออกมานั้นเกินหน้าสิ่งที่คันธนูทำได้ในยามปกติไปมาก และหอกสิบเอ็ดเล่ม…ก็ถือเป็นขีดจำกัดของมันแล้ว!
ทันทีที่หอกสิบเอ็ดเล่มพุ่งออกจากคันธนู อาวุธเวทระดับเก้าก็สลายกลายเป็นผุยผงอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ
เส้นรุ้งสิบเอ็ดสายพุ่งไปข้างหน้าเหมือนสายฟ้า และเข้าหลอมรวมกันกลายเป็นทะเลแสงที่ส่องสว่างเจิดจ้าผ่าอากาศไป ลำแสงนั้นดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังพิกัดที่เล็งเอาไว้และอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง เป้าหมายของมันก็คือ…ผู้ที่กำลังพุ่งเข้าหามันด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง!
หอกทั้งสิบเอ็ดเล่มปรากฏขึ้นต่อหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที ชายชราหรี่ตา ยกมือขวาของตนขึ้นฟาดไปข้างหน้า ผนึกอักขระโบราณปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ก่อนขยายขนาดจนกว้างใหญ่ถึงสามร้อยเมตร ผนึกอักขระโบราณพุ่งไปข้างหน้าเข้าปะทะกับหอกทั้งสิบเอ็ดเล่ม
เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วบริเวณ การโจมตีของลำแสงเหมือนจะถูกหยุดลง แต่กลับมีหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากหอกแทน หมอกนั้นเข้ากลืนกินผนึกหมายจะทำลายเสียให้สิ้นซากก่อนจางหายไป
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของหอกทั้งสิบเอ็ดเล่ม พลังของมันปล่อยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้าเกาะกุมจิตใจเขาโดยไม่รู้ตัว
แต่ชายชราก็ระบุไม่ได้ว่าพลังนี้คือสิ่งใด และไม่มีเวลาพอที่จะมานั่งวิเคราะห์ เขารีบเคลื่อนย้ายหนีวิถีโจมตีของหอกในทันที และพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ!
“นี่ร่างอวตารมิใช่รึ แปลว่าตัวจริงของเจ้าก็ต้องอยู่แถวนี้!” เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาบเคลือบไปความเย็นเยียบและความชิงชัง คำพูดของเขาสะท้อนก้องในอากาศ ชายชราทะยานไปข้างหน้า ร่างกลายเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ขณะพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ!
ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อล่าถอยและรีบสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างรวดเร็ว ศพอสูรร้ายปรากฏขึ้นขนาบข้างชายหนุ่มในทันที ดวงตาของสัตว์ร้ายทั้งสองโชนแสงสีแดงแรงกล้า มันอ้าปากส่งเสียงกู่ร้องทำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนกระโจนเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
เพลิงสีเขียวรายล้อมหุ่นเชิดอสูรเขี้ยวดาราขณะที่พวกมันพุ่งทะยานไปข้างหน้า เพลิงที่สัตว์ร้ายปล่อยออกมานี้แตกต่างจากตอนที่มันมีชีวิตอยู่และไม่ใช่เปลวไฟสีดำ เปลวไฟนี้เกิดจากการรวมตัวกันของเปลวไฟทั้งสองชนิด ผสานอำนาจของทั้งสองเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่ชนิดใดชนิดหนึ่งเช่นกัน กระนั้นพลังของมันก็ไม่มีข้อกังขา อสูรทั้งสองกลายร่างเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้าหาเป้าหมาย!
ลูกไฟอสูรทั้งสองพุ่งเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที และโอบล้อมเขาจากทั้งสองด้าน การปะทะที่เกิดขึ้นแทบจะในพริบตาส่งเสียงระเบิดดังกึกก้องไปในอากาศเหมือนฟ้าผ่า การผนึกกำลังกันโจมตีของอสูรทั้งสองทำให้แม้แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังตกที่นั่งลำบาก เขาขมวดคิ้ว อสูรเขี้ยวดาราเหล่านี้มีปราณอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะก่อนจะสิ้นชีพ แปลว่าร่างกายของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมากจนไม่อาจเอาชนะได้ง่ายๆ
สิ่งที่โยวหรันต้องระวังไม่ได้มีเพียงอสูรทั้งสองเท่านั้น เขาอาจหลบการโจมตีนี้ไปได้โดยการเคลื่อนย้ายหนี เพื่อเริ่มไล่ล่าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง แต่ขณะที่เขากำลังยกมือขวาขึ้นโบกเพื่อปลุกพลังเคลื่อนย้าย หวังเป่าเล่อก็สร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้ง หุ่นเชิดอสูรทั้งสองคำรามก้อง เปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งออกจากร่างกายของพวกมัน อสูรทั้งสองเริ่มใช้ร่างกายของตนเองเป็นเชื้อเพลิง เปลวไฟเริ่มพัดโหมขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นทะเลเพลิงที่ลามไปทั่วพื้นที่!
ลูกไฟทั้งสองรวมตัวเข้าด้วยกัน สร้างทะเลเพลิงให้อุบัติขึ้นทั่วบริเวณ ปิดตายพื้นที่เอาไว้เพื่อกันไม่ให้ศัตรูเคลื่อนย้ายออกไปได้!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา เมื่อเปลวเพลิงระเบิดออกจากร่างของอสูรร้าย ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นในแววตาของร่างอวตารขณะที่สร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้ง เปลวไฟสีดำพุ่งออกจากร่าง กระจายตัวออกไปข้างนอกและรวมตัวกับทะเลเพลิงสีเขียว กักขังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ภายใน!
แต่ไม่จบเพียงเท่านั้น ขณะที่เพลิงกำลังโอบล้อมศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่นั้นเอง เสียงระเบิดดังต่ำก็สนั่นขึ้น ส่งให้ทะเลเพลิงเปลี่ยนสภาพไปอีกครั้ง!
“กักขัง!”
เมื่อสิ้นสุดคำสั่ง หอกทั้งสิบเอ็ดเล่มที่ถูกผนึกอักขระหยุดไว้ก่อนหน้านี้ก็ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา พวกมันแหวกทำลายผนึกและพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยความเร็วกะทันหัน จนมาปรากฏอยู่ต่อหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในฉับพลัน หอกทั้งสิบเอ็ดเล่มลอยอยู่เหนือทะเลเพลิงกระจายตัวเป็นวงกลมล้อมรอบศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ จากนั้นฝูงหอกก็พุ่งเข้าเสียบ ไม่ต่างจากดาบคมที่แทงทะลุกรงขังเหล็ก การโจมตีแต่ละครั้งมาพร้อมเสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นปะทุจากทะเลไฟ!
ทั้งหมดนี้คือแผนการที่หวังเป่าเล่อวางไว้ เขารู้ว่าร่างอวตารของตนต่อกรกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้แน่ๆ การเริ่มเปิดฉากโจมตีครั้งนี้จึงมีเพียงเป้าหมายเดียว คือการสละร่างอวตารของเขาเพื่อกักขังโยวหรันเอาไว้ และซื้อเวลาให้ตนเองเพิ่มขึ้น!
หอกทั้งสิบเอ็ดพุ่งเข้าใส่เป้าหมาย เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง พวกมันปลดปล่อยพลังถึงขีดสุดออกมา เพื่อแปรเปลี่ยนพลังนั้นให้เป็นพลังกดดันที่ส่งให้ทะเลเพลิงเดือดพล่าน เมื่ออุณหภูมิพุ่งขึ้นถึงจุดที่สูงจนวัดไม่ได้ อากาศโดยรอบก็เริ่มบิดเบี้ยวตามความร้อนมหาศาล ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังดิ้นทุรนทุรายทรมานด้วยความเจ็บปวดจากทะเลไฟประลัยกัลป์!
หวังเป่าเล่อวางหมากไว้อย่างแยบยล และแผนการนั้นก็เดินหน้าไปอย่างราบรื่น ราบรื่นจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรู้สึกตกใจที่ทุกอย่างเข้าทางตนเองถึงขนาดนี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
ตอนนั้นเองที่แขนขนาดมหึมาพุ่งออกจากทะเลเพลิง และคว้าหอกด้ามหนึ่งเอาไว้ แขนยักษ์นั้นเต็มไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์มากมาย เป็นภาพที่น่าขนลุกยิ่ง แขนยักษ์กระชากอย่างรุนแรงจนหอกสะบั้นลง!
หอกที่โดนทำลายส่งเสียงกึกก้องสะท้อนไปในอากาศ เสียงหัวเราะน่าสยดสยองดังออกมาจากทะเลเพลิง แขนอีกข้างพร้อมศีรษะยักษ์ผุดขึ้นมาจากเปลวไฟทำลายล้าง!
ศีรษะนั้นทั้งดูเหมือนศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แต่ก็ไม่ใช่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยเช่นกัน ศีรษะทั้งสองและแขนทั้งสี่ที่ถูกราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำลายสิ้นกลับมาสภาพดีดังเดิมแล้ว และดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วย ใบหน้านับไม่ถ้วนปกคลุมทั้งแขนและศีรษะที่โผล่พ้นไฟออกมา เป็นภาพที่น่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง!
“ข้ารู้ว่าคนร้อยเล่ห์อย่างเจ้ามีกลลวงมากมายซ่อนอยู่ ข้าจึงจัดการสังเวยหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นไปเสียหมื่นตนก่อนจะมาถึงที่นี่ เพื่อรักษาร่างกายของตัวเองให้กลับมาอยู่ในจุดสูงสุดดังเดิม แถมยังดูเหมือนจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ บัดนี้ข้ามีพลังชีวิตของวิญญาณหมื่นตนอยู่ในกาย แล้วเจ้า…จะล้มข้าลงได้อย่างไรหรือ” เสียงของโยวหรันเต็มไปด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมของชัยชนะ ความย่ามใจนี้สะท้อนก้องไปทั่วผืนฟ้า เขากระโจนออกจากทะเลเพลิงในทันที หอกทั้งหมดที่เหลือแตกสลายกลายเป็นผุยผง ทะเลเพลิงถูกพัดกระจาย เผยให้เห็นรูปลักษณ์อันน่าพรั่นพรึงของชายชรา!
ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งนั่งอยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืดก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มโชติช่วงด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้า
“ดูเหมือนจะไม่มีเวลาซ่อมให้เสร็จเสียแล้ว…เริ่มเลยก็แล้วกัน!”
บทที่ 719 วัตถุเวทแห่งความมืดถือกำเนิด!
หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนขณะเอื้อนเอ่ย ชายหนุ่มกระโจนก้าวเดียวเข้าไปในความว่างเปล่าอันมืดมิดและอันตรธานหายไป ท้องฟ้าและพื้นดินของโลกภายนอกแปรเปลี่ยนโดยฉับพลัน ลมพายุพัดโหมกรีดร้อง หมู่เมฆหมุนวนถอยกลับ หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เหนือนครอาวุธเทพใหม่!
ชายหนุ่มไม่ได้เรียกชุดเกราะจักรพรรดิออกมา ไม่เรียกแม้กระทั่งดวงตาปีศาจ ไม่แม้แต่จะใช้เคล็ดเวทใดๆ เพียงแต่ลอยอยู่บนอากาศด้วยสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็นเท่านั้น สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากยามปกติ…คือเปลวไฟสีดำที่โชติช่วงอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ปลดปล่อยตนเองออกจากสถานการณ์อันตรายก่อนหน้านี้ได้ กลืนกินเลือดเนื้อของหุ่นเชิดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นนับไม่ถ้วนเข้าไป และกลับมามีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยมจนดียิ่งกว่าเดิม กลับผงะถอยหลังไปเมื่อเห็นเปลวไฟสีดำนั้น!
พลังที่ร่างของหวังเป่าเล่อปล่อยออกมาทำให้ชายชรารู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่มีชุดเกราะจักรพรรดิ ไม่มีดวงตาปีศาจอยู่เบื้องหลัง พลังปราณก็อยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณ ทว่า…หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรง พร้อมด้วยเปลวไฟสีดำที่โชติช่วงอยู่ในดวงตา กลับทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรงที่กำลังจะมาเยือน เลือดในกายของชายชราเดือดพล่านปั่นป่วน ร่างกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พาลสั่นสะท้านบอกเขาว่าไม่มีทางเลย…ที่เขาจะเอาชนะชายตรงหน้าได้!
เมื่อไม่มีศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันคอยเสริมกำลัง การต่อสู้บนสมรภูมิก็กลับมาสูสีคู่คี่กันอีกครั้ง การเตรียมตัวของกองทัพดาวอังคารและการโต้กลับอย่างแข็งแกร่งก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่การแปรพักตร์ของผู้ฝึกตนฝ่ายหนึ่งจากสำนักวังเต๋าไพศาลและมาช่วยผู้ฝึกตนบนดาวอังคารก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเสมอกัน ฝ่ายที่แปรพักตร์นำโดยตู้กูหลินนั่นเอง พวกเขาร่วมสู้กับสหพันธรัฐ และเริ่มโจมตีหุ่นเชิดผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น
ความช่วยเหลือที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว และคำพูดที่ฝ่ายของตู้กูหลินประกาศต่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมีผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขามากเช่นกัน ความเหนื่อยล้าจากการสู้รบ ทำให้พวกเขาเริ่มสงสัยในการกระทำของตนเอง การปรากฏตัวของเฟิ่งชิวหรันและคำบัญชาการที่ตามมาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ ทำให้ทุกคนเริ่มสองจิตสองใจ…แม้จะไม่เปลี่ยนข้าง แต่ก็เริ่มถอยร่นไปโดยสัญชาตญาณ และเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แทน
ผู้ฝึกตนชั้นนำของสหพันธรัฐ รวมถึงเจ้านครดาวอังคาร หลี่ซิงเหวิน และต้วนมู่ฉี เฝ้าสังเกตการณ์การต่อสู้อย่างดุเดือดผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ตอนนี้ทุกคนสังเกตเห็น…อีกการต่อสู้หนึ่งที่กำลังอุบัติขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครอาวุธเทพใหม่แล้ว!
ทุกคนเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าปะทะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เห็นความพยายามที่ไร้ผลของร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ เห็นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่แหกกรงขังออกมาได้สำเร็จและร่างใหม่ของเขาที่แข็งแกร่งกว่าเดิม รวมถึงวินาทีที่…ร่างจริงของหวังเป่าเล่อปราฏตัวขึ้น!
การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อเป็นห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของสงครามในครั้งนี้ การต่อสู่ระหว่างชายหนุ่มและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันคือการต่อสู้นัดที่สำคัญที่สุด หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และเจ้านครดาวอังคารมองเห็นทุกอย่างผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ในตอนนั้นเอง…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็เริ่มเปิดฉากโจมตี!
ความรู้สึกประหลาดที่หวังเป่าเล่อมอบให้เขา ทำให้ความหวาดกลัวถึงขีดสุดก่อตัวขึ้นในจิตใจ ส่งให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเริ่มใจเย็นไม่ลง เขารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แรงสังหารเข้ากัดกินดวงตา ขณะที่ร่างพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ใบหน้าทั้งหมดที่ปกคลุมร่างกายส่งเสียงกู่ร้องออกมาพร้อมๆ กัน พลังที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปล่อยออกมานั้นพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ผ่านขีดจำกัดของขั้นเชื่อมวิญญาณไปในที่สุด
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ที่โถมเข้าหาแพน้อยกลางทะเล เขาตั้งใจจะทำลายหวังเป่าเล่อให้สิ้นซาก ไม่เหลือไว้แม้กระทั่งร่างกายและวิญญาณให้ดูต่างหน้า!
ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำในดวงตาของชายหนุ่มก็สั่นระริก เขาดูไม่ยี่หระกับอันตรายที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่กลับยกมือขวาขึ้นชี้นิ้วลงไปที่ผืนดินแทน!
“เรือสำปั้นแห่งความมืด เข้าประจำที่!”
พื้นดินสั่นสะเทือนเมื่อสิ้นสุดคำพูด หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากใต้ดินรอบกายชายหนุ่ม กระจายขึ้นไปบนผืนฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง
หมอกสีดำเหล่านี้ปล่อยพลังงานรุนแรงออกมา เข้าห้อมล้อมร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้จนมิด เกราะกำบังปรากฏขึ้นเพื่อกันศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ให้ทะลวงเข้ามาได้ สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่จะทันได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางสิ่งก็ทำให้เขาต้องก้มลงไปมองที่พื้นเบื้องล่างเสียก่อน
พื้นดินดาวอังคารสั่นสะเทือน ผู้ที่มีพลังปราณสูงพอจนสามารถปล่อยจิตสัมผัสวิญญาณออกไปสำรวจ โดยมองข้ามพลังงานที่วัตถุเวทแห่งความมืดปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ที่ใต้ดิน สิ่งที่ถูกฝังอยู่ลึกลงไปในดินสีแดงของดาวอังคารใต้นครอาวุธเทพใหม่ คือวัตถุเวทขนาดยักษ์!
วัตถุเวทนั้นหน้าตาเหมือนเรือสำปั้นที่ดูเก่าแก่และอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ กระนั้นก็ยังมองเป็นรูปเป็นร่างอยู่ หากพินิจดูใกล้ๆ อาจสัมผัสได้ว่าเรือสำปั้นนี้อายุมากเพียงใด แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือพลังอันแข็งแกร่งที่ตัวเรือปล่อยออกมา
เรือสำปั้นสั่นไหวจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวในนครใหม่และพื้นที่โดยรอบเป็นบริเวณกว้าง หมอกสีดำยังคงพวยพุ่งขึ้นจากใต้พื้นดินไม่ขาดสายและมุ่งหน้าขึ้นสู่สวรรค์เบื้องบน จำนวนของมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ดูราวกับว่า…เรือสำปั้นนั้นหมายมั่นจะทำลายพื้นดินให้แหลกสลายลงเพื่อโผล่ขึ้นมา และกลับไปสู่ห้วงจักรวาลไพศาลที่มันจากมาให้ได้!
“นั่นมัน…” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ที่ใต้ดิน แต่ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล หัวใจของเขาเต้นระส่ำอยู่ในอก ความไม่อยากเชื่อเข้าจับจองดวงตาทั้งสองข้าง ในตอนนั้นเอง…พื้นดินเบื้องล่างก็ระเบิดราวกับโดนสายฟ้าฟาด ส่งเสียงดังลั่นกังวานไปในอากาศ
พื้นดินรอบนครอาวุธเทพใหม่ยุบตัวลง เรือสำปั้นแยกส่วนตนเองออก กลายร่างเป็นพลังปราณมืดเข้มข้นที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนทะเลหมอกสีดำ พลังปราณมืดวิ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างใต้เท้าของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง หมอกมืดก็กลายสภาพเป็น…เรือสำปั้นสีดำในที่สุด!
นี่คือ…หนึ่งในสมบัติเวทที่ไม่เคยห่างกายบุตรแห่งความมืด…เรือสำปั้นแห่งความมืดนั่นเอง!
การปรากฏตัวของมันทำให้ทั้งท้องฟ้าและพื้นดิน รวมถึงดาวอังคารทั้งดวงสั่นสะเทือน ห้วงอวกาศกระเพื่อมเป็นระรอก กระแสพลังปราณระเบิดพวยพุ่งสู่โลกภายนอก พร้อมพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน แม้กระทั่งคนที่แข็งแกร่งอย่างศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังรู้สึกตกใจกลัว เขากู่ร้องขณะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตรึงที่มั่นของตนเองไว้ แต่อำนาจอันยิ่งใหญ่ของเรือสำปั้นก็ทำให้ชายชราต้องล่าถอยไปในที่สุด
พลังของเรือสำปั้นแข็งแกร่งจนราวกับเป็นกำปั้นที่ทุบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าและทุกชีวิตให้แหลกเป็นผุยผงได้!
ไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นเรือสำปั้นที่กำลังก่อรูปร่างขึ้นใต้ฝ่าเท้าของหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมัน พลังอำนาจของสมบัติเวทนี้ทำให้ผู้ฝึกคนจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลที่เลือกไม่สู้ต่อ ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เช่นกัน!
แม้กระทั่งหุ่นเชิดจากตระกูลไม่รู้สิ้นยังสั่นไหว รับรู้ได้ถึงอำนาจที่กดทับลงบนกายของพวกมัน จนเริ่มแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด อำนาจที่ควบคุมพวกมันอยู่เริ่มอ่อนกำลังลง เมี่ยเลี่ยจื่อและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน คำสาปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสาปไว้เพื่อล้างสมองเมี่ยเลี่ยจื่ออ่อนแอลงทันทีที่เรือสำปั้นแห่งความมืดปรากฏขึ้น ในตอนนั้นเองประกายความแจ่มแจ้งก็กลับมาปรากฏในดวงตาของเขาอีกครั้ง!
ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้ที่กำลังสังเกตการณ์ทุกสิ่งผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารอย่างเจ้านครดาวอังคาร หลี่ซิงเหวินจำเรือสำปั้นแห่งความมืดได้ในทันทีที่มันเผยโฉมสู่สาธรณชน มันคือ…อาวุธเทพลึกลับบนดาวอังคารนั่นเอง!
“ข้าว่าแล้ว! เป่าเล่อเป็นผู้ครอบครองอาวุธเวทนี้มาตลอด!” ความดีใจและความตื่นเต้นเอ่อล้นดวงตาของหลี่ซิงเหวิน ตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวังเป็นครั้งแรกตลอดสงครามที่ยืดเยื้อนี้!
ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และเจ้านครดาวอังคารต่างพากันตื่นเต้นดีใจถ้วนหน้า แน่นอนทุกคนเดาได้ว่าเรือสำปั้นนี้คืออาวุธเทพแห่งดาวอังคาร แต่ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขากลับอุทานด้วยความตกใจ
“เรือสำปั้นประจำสำนักแห่งความมืด!” ผู้ที่อุทานนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก…ผู้ที่เป็นหัวใจหลักของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การวิญญาณแห่งสหพันธรัฐ ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด เจ้าผินฟางนั่นเอง!
แต่พวกเขาก็ไม่มีเวลาซักถามเจ้าผินฟางเพิ่มเติมว่าอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีมองหน้ากันและตัดสินใจได้ในทันที หลี่ซิงเหวินสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โดยไม่ลังเลเพื่อปลุกอำนาจของวงแหวนปราณระบบสุริยะที่กำลังเดินหน้าทำงานต่ออย่างยากลำบาก แต่หลี่ซิงเหวินก็เชื่อมต่อพลังของมันเข้ากับพลังของอภิมหาวงแหวนปราณแห่งดาวอังคาร เพื่อถ่ายทอดภาพการต่อสู้นี้ไปทั่วสหพันธรัฐ!
สหพันธรัฐกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจนอาจถึงคราวล่มสลาย และกำลังต้องการวีรบุรุษ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทั้งอาณาจักรต้องการที่สุดในเวลานี้ คือความหวัง!
หวังเป่าเล่อคือวีรบุรุษที่สหพันธรัฐต้องการเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้ เขาคือความหวังเพียงหนึ่งเดียว และชายหนุ่มตรงหน้าก็กำลังต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของทุกคนเอาไว้!
ไม่ว่าผลจะออกมาว่าแพ้หรือชนะ… การต่อสู้นี้ต้องการสักขีพยานจากทุกภาคส่วนในอาณาจักร ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเห็นด้วยตาของตนเอง!
ด้วยเหตุนี้ ในวินาทีถัดมา ทุกหน้าจอบนโลก ดาวอังคาร และที่อื่นๆ ในระบบสุริยะที่มีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอาศัยอยู่ จึงถ่ายทอดฉากการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น!
ดวงตาทุกคู่กำลังจับจ้องภาพที่เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าของนครอาวุธเทพใหม่ผ่านหน้าจอมากมายหลายล้านจอ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านพักอาศัย บนถนนหนทาง ทั้งในในและนอกตึกรามต่างๆ!
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังระงมขึ้นทั่วโลก ขณะที่เสียงเคร่งขรึมจริงจังของหลี่ซิงเหวินประกาศก้องไปทั้งอาณาจักร
“ท่านผู้นี้คือเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐ เจ้าเมืองนครอาวุธเทพใหม่ประจำดาวอังคาร ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้บัญชาการแห่งดวงจันทร์ และผู้ฝึกตนที่ทรงพลังที่สุดในสหพันธรัฐ!
“นามของเขาก็คือ…หวังเป่าเล่อ!
“บทสรุปของการต่อสู้นี้ จะเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตของสหพันธรัฐและอารยธรรมของเรา!”
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมทั่วทั้งระบบสุริยะในชั่วอึดใจ ก่อนที่ทั้งอาณาจักรจะกึกก้องด้วยเสียงอุทานและเสียงตะโกนร้อง ผู้คนมากมายทะยานออกจากที่พักของตนเอง บ้างก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าจอที่อยู่เหนือศีรษะ บ้างก็กำลังตกใจอย่างถึงขีดสุด บ้างก็กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวกระวนกระวาย…
ผู้คนทั้งสหพันธรัฐและทั้งโลกรวมตัวกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกถนนและทุกตรอกซอกซอย… ในห้วงเวลานั้น เป็นห้วงเวลาของหวังเป่าเล่ออย่างแท้จริง!
บิดามารดาของเขา อาจารย์ที่เคยสั่งสอนกันมา สหายมากมาย รวมถึงตู้หมินและกระต่ายน้อย ศิษย์น้องร่วมสำนักทั้งชายหญิงจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนกระจัดกระจายอยู่ทั่วสหพันธรัฐในเวลานั้น แต่ก็มองไปที่ดาวอังคารอย่างพร้อมเพรียงกัน!
“เป่าเล่อ!”
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ!”
“เจ้าอ้วน…”
“พี่เป่าเล่อ …”
ดวงตาทุกคู่ในสหพันธรัฐมองชายหนุ่มไม่กะพริบตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนเหยียบเรือสำปั้นแห่งความมืด โอบล้อมด้วยพลังปราณมืดหนาแน่นบนท้องฟ้าเหนือนครอาวุธเทพใหม่ ผู้ที่กำลังสำแดงอำนาจให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องล่าถอย ยืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้นเหมือนผู้ที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เขากางกั้นหยินและหยาง รวมถึงชีวิตและความตาย… เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงในดวงตาอีกครั้ง สีหน้าของชายหนุ่มสงบราบเรียบ เขายกมือขวาขึ้นและชี้ลงไปที่พื้นดินเบื้องล่างอีกครั้ง!
“ชุดคลุมแห่งความมืด เข้าประจำที่!”
บทที่ 720 บุตรแห่งความมืดถือกำเนิด!
ดวงตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่ม!
สีหน้าของหวังเป่าเล่อขณะกำลังยืนอยู่บนเรือนั้นเรียบเฉย เปลวไฟสีดำในดวงตาครอบครองอำนาจที่แก่กล้าจนราวกับจะเผาไหม้ได้ทุกสิ่งที่อยู่บนสวรรค์และผืนดิน ราวกับครอบครองพลังที่ล้างโลกได้ทั้งใบ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเรือสำปั้นนั้นดูยิ่งใหญ่ราวเทพเจ้า อำนาจของเขาเข้าเกาะกุมหัวใจของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
พลังที่เรือสำปั้นปล่อยออกมาทำให้โยวหรันล่าถอยด้วยความตกใจ เขารีบถอยหนีในทันที การล่าถอยนั้นก็อยู่ในสายตาของคนทั้งอาณาจักร ซึ่งทำให้คำสั่งที่สองของหวังเป่าเล่อดูทรงพลังมากขึ้นไปอีก!
พื้นดินสั่นสะท้านด้วยความแรงที่มากกว่าครั้งแรก และทรุดตัวลงอีกหลายแห่งจนเกิดแอ่งหลุมยักษ์ ปฐพีร้องคำราม เสียงกรีดร้องอู้อี้ลอยออกมาจากใต้ดิน ขณะที่สิ่งมีชีวิตที่แหกกฎแห่งธรรมชาติทุกอย่างปรากฏตัวขึ้นจากพื้นดิน!
กระแสปราณมืดระเบิดออกอีกครั้งจากรอยแยกบนพื้นดิน มันหลบหนีออกจากรอยแตกนั้น และพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน!
พวกมันรวมตัวเป็นสายหมอกสีดำ ย้อมให้อากาศรอบกายหวังเป่าเล่อมัวหม่น ก่อนพุ่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์!
เสียงท้องฟ้าคำรามกังวานในอากาศ ฟากฟ้าแปรเปลี่ยนขณะที่ลมพัดกรรโชกรุนแรง เมฆเคลื่อนที่ย้อนกลับ!
แท่งค้ำยันสีดำสูงตระหง่านจากหมอกมืดเชื่อมท้องฟ้าและผืนดินเข้าด้วยกัน ราวกับวันสิ้นโลกกำลังอุบัติขึ้นต่อหน้า ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผงะตกใจ ความตื่นกลัวของเขาทวีความรุนแรงขึ้นอีกเมื่อพลังกดดันทับโถมลงมาบนร่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม!
ท้องฟ้าเบื้องบนยังคงถูกหมอกสีดำย้อมป้าย แสงสว่างและความมืดหลอมรวมกันเหมือนในวันที่โลกถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก ลมหมุนยักษ์อุบัติขึ้นกลางอากาศพัดกระพืออย่างบ้าคลั่ง สายฟ้าฟาดกระหน่ำก้องไปไกล หมอกดำกระจายตัวออกปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนมืดมิด!
ชายหนุ่มยืนตระหง่านเหมือนยักษ์ใหญ่ มือขวาของเขาที่ชี้ลงเบื้องล่างค่อยๆ ยกขึ้น และชี้ไปที่พายุหมุนสีดำขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ก่อนจะกดขึ้นด้านบน
อสนีบาตรวมตัวกันฟาดพื้นดินอีกครั้งด้วยเสียงดังลั่น พายุหมุนสีดำค่อยๆ ลดลงมาหาชายหนุ่ม ล้อมร่างของเขาเอาไว้มิด ไม่มีใครเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่ตาพายุ พายุหดตัวลงฉับพลัน วินาทีถัดมา ร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง พายุหมุนหดตัวกลายเป็นชุดคลุมสีดำที่ปิดบังร่างกายของเขาไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า!
แทบเท้าของชายหนุ่มมีเรือสำปั้นแห่งความมืด และทั่วร่างก็ปกคลุมด้วยชุดคลุมแห่งความมืด หวังเป่าเล่อคนใหม่ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอันมาก ผู้ที่มีจิตสัมผัสวิญญาณแก่กล้ากว่าคนอื่นจะรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม ราวกับกำลังจ้องมองเทพแห่งความตายด้วยดวงตาของตนเองกระนั้น!
นั่นคือ…สัญชาตญาณภายในของทุกสิ่งมีชีวิต ที่เกิดมาจากความกลัวตายโดยธรรมชาติ!
พลังของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อชุดคลุมสีดำปรากฏ จนทำให้เลือดไหลออกจากริมฝีปากของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชรารู้สึกตัวแล้วว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ไม่ว่าจะดิ้นรนเท่าใดก็ไม่มีทางตอบโต้กลับได้เลย ความพยายามทุกอย่างของเขาไร้ซึ่งความหมาย
“ยังเล่นสกปรกเจ้าเล่ห์เพทุบายเหมือนเดิม! หวังเป่าเล่อ เจ้าเป็นใครกันแน่” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตัวสั่นขณะคำรามใส่หวังเป่าเล่อ คำตอบค่อยๆ ผุดขึ้นในจิตใจ แต่ชายชราก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี สำหรับเขาเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
ข้าจะมากลัวหัวหดเช่นนี้ไม่ได้ นี่มัน…ยังไม่เหมือนกับที่ข้าเคยอ่านเจอ ยังขาดไปอีกสิ่งหนึ่ง…
แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบตนเองในหัวว่าสิ่งใดที่ขาดไป ความตกใจก็ฉายขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งขณะกำลังล่าถอย ทันทีที่ได้ยิน…คำพูดต่อไปของหวังเป่าเล่อ!
“ไม้พายตะเกียง… เข้าประจำที่!”
หวังเป่าเล่อในชุดคลุมสีดำบนเรือสีดำ ลดมือลงชี้ที่พื้นดินอีกครั้ง ดาวทั้งดวงสั่นอย่างรุนแรง เสียงกรีดร้องดังออกมาจากพื้นดินใต้โลกกรีดแทงอากาศเบื้องบน ราวกับถูกปิดปากให้สงบเงียบมาชั่วอายุขัย หลังจากที่รอมานานแสนนาน มันก็เป็นอิสระอีกครั้ง พลังอำนาจแก่กล้าเต็มเปี่ยมระเบิดออกมาในทันที!
ปราณมืดพุ่งออกจากโลกใต้ดินอีกครั้งด้วยพลังอำนาจที่เหนือกว่าครั้งก่อนหน้า ท้าทายสวรรค์ให้สยบราบคาบอยู่แทบเท้า ปราณมืดนั้นไม่ได้พุ่งไปที่ใต้เท้าของหวังเป่าเล่อ หรือเปลี่ยนเป็นพายุหมุนเบื้องบน หากแต่…พุ่งตรงเข้าหาเขา และลอยอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มห่างไปเพียงชั่วแขน!
ทะเลหมอกสีดำก่อตัวขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ และเพิ่มความแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างก่อนเป็นอันดับแรก คือด้ามจับที่ขยายยาวขึ้นขณะที่หมอกเริ่มจับตัวเป็นของแข็ง และในที่สุดก็กลายสภาพไปเป็นไม้พาย!
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น หมอกมืดยังคงเปลี่ยนรูปร่างต่อไป สายโซ่ปรากฏขึ้นที่ปลายไม้พาย ที่ปลายโซ่นั้น…คือตะเกียงแห่งความมืดที่ส่องแสงสีดำเรืองออกมา!
พลังที่ก่อตัวในอากาศทวีความแข็งแกร่งขึ้นอีก ส่งให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหมดสิ้นซึ่งความคิดใดๆ !
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อโผล่พ้นหมวกชุดคลุมออกมาเพียงเสี้ยวเดียว จึงทำให้ไม่มีใครหยั่งสีหน้าที่แท้จริงของเขาได้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น นิ้วมือกำรอบไม้พายตะเกียงที่อยู่ข้างหน้าตนแน่น!
เขาพลิกมือเพื่อจัดไม้พายซึ่งอยู่ในแนวขวางให้กลายมาเป็นแนวตั้ง และดึงไม้พายตะเกียงเข้ามาไว้ข้างขวาของตัวเอง ปลายไม้พายแตะเข้าที่เรือสำปั้นแห่งความมืด เสียงกระแทกดังขึ้นอย่างแรงทันทีที่สัมผัส!
เสียงนั้นใสกังวานไปทั่วท้องฟ้า ส่งให้พื้นดินสั่นสะท้าน ดาวอังคารสะเทือน กระแสพลังกระเพื่อมออกสู่ห้วงอวกาศภายนอก เสียงพึมพำแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินกระจายไปในห้วงมิติเวลาและอวกาศ ภาพนี้ฉายให้เห็นบนหน้าจอทั่วสหพันธรัฐ
ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก!
เสียงที่เกิดจากการกระทบกันของไม้พายและเรือสำปั้น สะท้อนทั่วอวกาศเหมือนเสียงระฆังกังวานที่ปลุกความรู้สึกบางอย่างในใจของผู้ชมทั่วสหพันธรัฐให้ตื่นขึ้น เสียงนั้นก้องสะท้อนอยู่ในหัวของทุกคน รวมถึงศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่กระอักเลือดออกมาอีกครั้งและถอยร่นไปในทันที การคาดเดาของเขากลายเป็นความจริงขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างปะติดปะต่อเข้าด้วยกันจนกลายเป็นภาพสมบูรณ์ในที่สุด ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในจิตใจ ชายชราจมอยู่ในความไม่อยากเชื่อจนแทบสติหลุด เขาอุทานเสียงดัง
“บุตรแห่งความมืด!”
เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเต็มไปด้วยความกังขา กดทับโดยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ดูเหมือนว่าเขาจะเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืดจากบันทึกมากมายในตระกูลไม่รู้สิ้นมาก่อน สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่เมื่อนานนมมาแล้ว ขณะยังเรืองอำนาจนั้น สำนักได้รับอำนาจจากเต๋าสวรรค์และถือเป็นขั้วอำนาจที่น่ากลัวที่สุด ข้อมูลที่เขาเคยอ่านเจอมานั้นตราตรึงอยู่ในความคิดจนยากจะลบเลือน!
เฟิ่งชิวหรันเองก็ตกใจเช่นกัน ร่างของนางสั่นสะท้าน ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงและเจ้าผินฟางผู้เป็นบิดาก็ประสบกับสภาวะอารมณ์เดียวกัน!
อีกบุคคลหนึ่งที่ผงะด้วยความตกใจไม่แพ้กัน คือผู้ที่กำลังกำบังกายอยู่ในความว่างเปล่า…จื่อเยว่นั่นเอง!
เป็นเพราะ…รูปลักษณ์ในตอนนี้ของหวังเป่าเล่อ ทั้งชุดคลุมสีดำ เรือสำปั้นแห่งความมืด ไม้พายตะเกียง และเปลวไฟสีดำที่ซัดสาดออกจากตัว ทำให้เขาดูเหมือนความตายในร่างคน!
ปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อที่มีต่ออาการตกใจขนหัวลุกของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นประหลาดมาก เขาไม่ได้เข้าโจมตีในทันที หากแต่เงยหน้าขึ้นมองผ่านชุดคลุมที่ปิดบังใบหน้า ไปยัง…หมู่ดวงดาว!
มีใบหน้าเพียงครึ่งเดียวของเขาเท่านั้นที่เผยลอดชุดคลุมออกมา ดวงตาของชายหนุ่มยังคงถูกบดบังไว้ไม่มีผู้ใดเห็น ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังมองไปที่สิ่งใด
“เป็นดาวพลูโตเองหรอกหรือ…” เขาหลับตาลงและพึมพำเสียงแผ่วจนมีเพียงตนเองที่ได้ยิน ความรู้สึกหนึ่งฟาดเข้ามาในจิตใจทันทีที่มือกำไปบนไม้พายตะเกียง และวัตถุเวทแห่งความมืดอยู่ประจำตำแหน่งครบองค์สมบูรณ์ ตอนนั้นเองชายหนุ่มเหมือนจะหมดสิ้นซึ่งความรู้สึกใดๆ ไม่มีทั้งความยินดี ไม่มีทั้งความโกรธเกรี้ยว ไม่มีแม้กระทั่งความเศร้าสร้อย เขาไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้นต่อชีวิต และไม่สนใจแม้ความตาย
ความว่างเปล่าในจิตใจนั้นทั้งน่ากลัวและง่ายดายที่จะถูกครอบงำ ราวกับเป็นแพน้อยที่ลอยอย่างไร้ทิศทางในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ทำได้เพียงพัดพาไปตามกระแสน้ำ เคราะห์ดีที่…ในตอนนั้นเอง มีบางสิ่งส่งกระแสพลังออกมาจากดาวพลูโต บางสิ่งที่เปรียบเสมือนประภาคาร หรือไม่ก็สมอเรือ ที่คอยดึงเขาเอาไว้ให้หันหน้าไปหาแสงสว่าง
“มันคือเสียงเพรียก…” หวังเป่าเล่อกระซิบกับตนเอง หากเป็นยามปกติ ตัวเขาคงไม่รับรู้สึกเสียงเพรียกนี้ แต่ทันทีที่วัตถุเวทแห่งความมืดถือกำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์แบบ ชุดคลุม เรือสำปั้น และไม้พายตะเกียงที่ประสานพลังเข้าด้วยกัน ทำให้ชายหนุ่มได้ยินเสียงปริศนานี้!
มีบางสิ่งซ่อนอยู่ที่ดาวพลูโต บางสิ่งที่สำคัญยิ่ง สิ่งนั้นเก่าแก่มากเสียจนคะเนไม่ได้ ราวกับมีอยู่มานานแสนนานชั่วกัปชั่วกัลป์
หวังเป่าเล่อเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหายใจเข้าลึกและหันกลับมามองภาพเบื้องหน้าดังเดิม ดวงตาของเขามองไปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผู้ที่ยังคงพยายามเรียกสติตนเองจากอาการตกใจ และพยายามถอยหนีออกจากหวังเป่าเล่อ ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงช้าๆ มือขวาที่ถือไม้พายตะเกียงอยู่ค่อยๆ ยกขึ้น ก่อนตกลงมาขณะชี้ไปยังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
“ดวงวิญญาณ จงออกมา!”
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกู่ร้องด้วยความตกใจในทันที ความรู้สึกถึงภัยอันตรายทำให้เขาสลัดความคิดทุกอย่างออกจากหัว ใบหน้าบนร่างระเบิดออกมาพร้อมๆ กัน เปลี่ยนสภาพไปเป็นพลังงานล้นเหลือที่เข้าครอบงำอากาศโดยรอบ มือของเขาตั้งผนึกรวดเร็วจนเห็นเป็นภาพพร่าเลือน ขณะปล่อยทุกเคล็ดเวทที่ตนเองรู้ออกมา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยอมผลาญพลังชีวิตของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง แต่ไม่ใช่เอาไว้ต่อสู้…หากแต่เป็นการหลบหนี!
สัญชาตญาณที่ลึกที่สุดของชายชราบอกว่าเขาไม่ควรสู้กลับ แต่ควรจะหนีไปให้ไกลแสนไกล!
กระนั้น…ก็ยังไม่มีประโยชน์!
กระแสเสียงของหวังเป่าเล่อกระเพื่อมไปในอากาศ ใบหน้าของชายร่างหนาปรากฏขึ้นบนเรือสำปั้น ใบหน้าของราชครูปรากฏขึ้นบนชุดคลุม และโครงร่างของเด็กชายลอยออกจากตะเกียง วิญญาณวุธทั้งสามหันไปมองศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ก่อนเริ่มขับขานบทเพลงแห่งวิญญาณ!
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”
บทที่ 721 ร่างที่แท้จริงของโยวหรัน!
เสียงขับขานของวิญญาณทั้งสามสะท้อนไปทั่วท้องฟ้า ผืนนภามืดมิด ลมปีศาจที่หอบมาจากแห่งหนใดไม่มีผู้ใดทราบ กรรโชกเข้าสู่ดินแดนแห่งนั้นในทันที ลมนั้นทำให้หมอกสีดำอันกำเนิดจากวัตถุเวทแห่งความมืดปั่นป่วน และเข้าปกคลุมทุกแห่งหน!
หมอกกระจายตัวเข้าปกคลุมทุกพื้นผิวของดาวอังคารอย่างรวดเร็ว มันกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว ทุกคนจ้องมองท้องฟ้ารอบหวังเป่าเล่อที่กลายสภาพเป็นทะเลหมอกสีดำ!
มันคือทะเลหมอกแห่งความตายที่พวยพุ่งออกจากโลกแห่งความตายใต้พิภพ หรืออีกนามหนึ่งก็คือทะเลแห่งความมืด!
ทะเลแห่งความมืดเข้าครอบครองทั้งท้องฟ้าและผืนดิน คลื่นแรงซัดโหมไปทั่วดาว จนดาวอังคารทั้งดวงกลายเป็นเพียงภาพเงาทรงกลม เปลวไฟสีดำในกายหวังเป่าเล่อรุนแรงขึ้น หากการเกิดใหม่ขึ้นอยู่กับประภาคารแล้วละก็ ไฟในกายของชายหนุ่มก็เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงในตะเกียงที่ส่องให้ประภาคารสว่างไสว เปลวเพลิงเย็นเยือกที่เผาไหม้ได้ทุกสิ่ง อัดแน่นไปด้วยพลังอันแสนยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล
เปลวเพลิงมรณะปลุกให้ทะเลแห่งความมืดปล่อยพลังอีกครั้ง คลื่นพลังปราณโหมไปข้างหน้าเต็มกำลัง ซัดเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหมายทำลายเขาให้สิ้นซาก!
สายฟ้าฟาดลงมาอีกครั้งด้วยเสียงกึกก้องน่าหวาดหวั่น!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหนีทะเลแห่งความมืดไปให้ได้ พลังของมันยิ่งใหญ่มากเสียจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นสะเทือน แต่ก็ไม่เป็นผล ความตื่นตระหนกและความสิ้นหวังเข้าเกาะกุมจิตใจของเขา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกรีดร้อง เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้หลุดพ้น พยายามสุดความสามารถที่จะสู้กลับ
คลื่นทะเลแห่งความมืดสูงตระหง่านเหมือนเสาค้ำฟ้า พร้อมซัดลงเบื้องล่างเพื่อทำให้ทุกสิ่งดำดิ่งสู่ความมืดมน ขณะคลื่นยักษ์ทมิฬกำลังจะกระแทกใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราก็ระเบิดใบหน้าทุกหน้าบนร่างของตนเองออก อันเป็นความพยายามสุดท้ายที่จะป้องกันตัวเอง เขาเปรียบเสมือนฟองสบู่ที่สิ้นหวัง เปราะบาง พร้อมจะแตกสลายตลอดเวลา!
แรงระเบิดจากใบหน้าทั้งหมดส่งผลกระทบมหาศาลต่อร่างกายของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เลือดไหลทะลักออกจากริมฝีปาก ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงพัดกระจายไปในอากาศ เสื้อผ้าขาดวิ่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความสิ้นหวังและความบ้าคลั่ง เสียงของเขาดุดัน อัดแน่นไปด้วยความเกลียดและชิงชัง
“หวังเป่าเล่อ ข้าไม่ยอมศิโรราบต่อเจ้าหรอก!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันประกาศก้อง ละทิ้งซึ่งความพยายามที่จะหนี เขากระแทกเท้าขวาลงบนพื้นอย่างแรงเพื่อยืนให้มั่น มือทั้งหกสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง ชายชรากำลังเผาพลังชีวิตตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่เหนือกว่า เขาจะสู้จนตัวตาย จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดันพลังเกินขีดจำกัดไปถึงร้อยละยี่สิบ ผลึกรูปร่างประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาอีกครั้ง ผลึกนี้เป็นของล้ำค่าเหลือคณานับสำหรับเขา และมันก็เริ่มแสดงทีท่าว่าจะแตกสลาย!
หวังเป่าเล่อทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างแท้จริง ความอันตรายนี้มากกว่าทุกสิ่งที่ตัวเขาเคยเจอมาทั้งชีวิต ชายชราจึงโยนทุกสิ่งทิ้งไปกับสายลม ด้วยหวังว่าโชคชะตาจะนำพาเขาให้รอดชีวิตออกจากทะเลแห่งความมืดไปได้
เสียงระเบิดดังสะท้อนไปในอากาศ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงปักหลักอยู่กับที่ แสดงให้เห็นถึงพลังใจและความแข็งแกร่งของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรง ชายชรายังคงปล่อยพลังปราณของตนออกมาโดยใช้พลังชีวิตเข้าแลก ผลึกประหลาดในดวงตายิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นศิลายักษ์ที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ปกป้องเขาจากคลื่นร้ายของทะเลแห่งความมืดที่ถาโถมเข้าใส่ คลื่นยักษ์หยุดลงตรงหน้าเขาราวกับถูกศิลายักษ์สกัดไว้ ไม่อาจซัดไปข้างหน้าต่อเพื่อทำลายชายชราให้สิ้นชีพได้!
ทุกคนที่ดูการต่อสู้อยู่ตัวสั่นเมื่อเห็นภาพนี้ พลังของหวังเป่าเล่อนั้นยิ่งใหญ่มากเสียจนไม่มีสิ่งใดอธิบายได้ การที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังมีชีวิตอยู่ ปักหลักแน่วแน่อยู่กับพื้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากเหลือประมาณ แต่ในความเป็นจริง… ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเดินทางมาถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ร่างของเขาสั่นเทิ้ม รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นที่แขน ทะเลแห่งความมืดกดทับลงบนตัวเขาด้วยน้ำหนักของดาวทั้งดวง จนชายชราแทบจะต้านไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าพรากวิญญาณไป ก็ดับสลายไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อยังคงสงบนิ่ง เขายืนอยู่บนเรือสำปั้น มองดูศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่กำลังทุรนทุรายต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่า เสียงของชายหนุ่มแหบพร่า มือขวาที่ถือไม้พายตะเกียงอยู่ยกขึ้นสูง ชี้ไปที่อีกฝ่าย ก่อนวาดตวัดลงเบื้องล่าง!
ทะเลแห่งความมืดขยับออกจากเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที คลื่นพุ่งสูงตระหง่านถึงสวรรค์ เปลี่ยนรูปร่างเป็นนิ้วขนาดยักษ์ ตามมาด้วยนิ้วที่สองและนิ้วที่สาม ภายในพริบตา…ฝ่ามือขนาดใหญ่กว้างหลายพันกิโลเมตรก็ปรากฏขึ้นในอากาศ!
มือยักษ์นั้นซัดเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที!
ดวงตาของชายชราเบิกกว้างแดงฉาน ท่วมท้นด้วยความสิ้นหวังที่จะมีชีวิตรอดกลับไป
“แม่นางจื่อเยว่ โปรดช่วยข้าด้วย!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกรีดร้องด้วยความกลัว ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าใด มือยักษ์นั้นก็เข้ามาประชิด ฟาดลงบนกายด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง มือทั้งหกของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกลายเป็นเศษเนื้อ ขาอัดเละลงกับพื้นด้วยแรงกระแทก
ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสให้ชายชรากรีดร้องอีกครั้ง มือยักษ์ฟาดลงมาด้วยความเร็ว…ทำลายร่างเขาจนไม่เหลือชิ้นดี
มือนั้นกำหมัดอย่างรวดเร็ว ร่างแข็งแกร่งของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน รวมถึงดวงวิญญาณของเขา…ถูกทำลายสิ้นซากภายในพริบตาเดียว!
แต่การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น ประกายในดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกโชน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสิ้นชีพ ชายหนุ่มรู้ดีว่าการต่อสู้ของเขากับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!
“หรือจะเรียกว่าการต่อสู้ระหว่างข้ากับจื่อเยว่ดี…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยกมือขวาขึ้นในอากาศและชี้ไปยังจุดที่ไกลออกไป ฝ่ามือของชายหนุ่มหันหน้าหาพื้นดิน เรือสำปั้นแทบเท้าเริ่มสั่นสะเทือน ก่อนพุ่งตรงไปข้างหน้าผ่านท้องฟ้า โดยมีเขาเป็นผู้โดยสาร
มือยักษ์ที่ทำลายศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจนสิ้นซากไปเมื่อครู่ทะยานมาอยู่ข้างกายเขา ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครดาวอังคาร เบื้องหน้า…คือเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้น
เรือบินรบเต๋ามรณะทำงานทันทีที่หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึง ไม่มีใครรู้ว่ามันทำได้อย่างไร แต่เรือออกคำสั่งให้หุ่นเชิดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ในนครดาวอังคารระเบิดตนเอง พวกมันดิ้นเร่า เศษเลือดเนื้อลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า รวมร่างกันเบื้องหน้าเรือบินรบเต๋ามรณะ จากนั้นก็ก่อรูปก่อร่างเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้าหมายกระแทกหวังเป่าเล่อ!
ใบหน้ามากมายผุดออกมาจากก้อนเนื้อ ต่างพากันกรีดร้องสาปแช่งหวังเป่าเล่อในภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจ เสียงร้องแหลมพ่นคำหยาบนี้ดังระงมในอากาศ ก่อนที่พวกมันจะปล่อยพลังออกมาเป็นแรงระเบิด
ม่านตาของชายหนุ่มหดแคบ มือซ้ายสร้างผนึกฝ่ามือก่อนส่งพลังไปข้างหน้า มือยักษ์ที่สร้างมาจากทะเลแห่งความมืดกระโจนเข้าใส่ก้อนเนื้อและจับมันเอาไว้
เสียงปะทะดังกัมปนาท ก่อให้เกิดแรงกระแทกที่ทำให้ดาวทั้งดวงสั่นไหว ก้อนเนื้อระเบิดในทันที เปลี่ยนสภาพไปเป็นก้อนเลือดเนื้อไร้รูปร่าง มือยักษ์ที่ก่อกำเนิดมาจากทะเลแห่งความมืด ซึ่งเป็นรูปร่างชั่วคราวของพลังจากวัตถุเวทแห่งความมืด เริ่มแสดงอาการแตกร้าวให้เห็นเช่นกัน
การใช้งานมือยักษ์อย่างต่อเนื่องทำให้มันอ่อนกำลังลง นอกจากนี้พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้งานวัตถุเวทแห่งความมืดซึ่งยังอยู่ในสภาพเสียหาย ในที่สุดวัตถุเวทแห่งความมืดที่ฟื้นฟูกลับมาได้เพียงส่วนเดียวก็เริ่มแสดงอาการไม่สมบูรณ์ออกมาในรูปแบบพลังที่อ่อนแอลงของมือยักษ์
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อดูซีดเซียวเล็กน้อย อวัยวะภายในเริ่มปั่นป่วน เขากัดฟันปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาเพื่อควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดต่อไป มือยักษ์ที่เริ่มแตกสลายพุ่งเข้าหาเรือบินรบเต๋ามรณะในทันที!
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเรือบินรบคือกุญแจหลักของสงครามในครั้งนี้!
ตอนนั้นเองเรือบินรบเต๋ามรณะก็สั่นสะท้าน พลังแข็งแกร่งรุนแรงที่ทำให้หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นรัวสาดออกมาจากเรือบินรบ พลังของมันรุนแรงมากเสียจนกระทั่งเรือบินรบเองก็เริ่มแตกสลาย ชิ้นส่วนของเรือหดลงอย่างรวดเร็ว เถาวัลย์สีดำพุ่งออกจากเรือบินรบก่อนเข้ารัดรึงชิ้นส่วนของเรือเอาไว้ ดูเหมือนว่าเถาวัลย์นี้จะกำลังดูดพลังชีวิตจากดาวอังคารเพื่อทำให้ตนเองขยายขนาดขึ้น นครดาวอังคารเริ่มยุบตัวลง เมืองทั้งเมืองถล่มลงต่อหน้าต่อตาทุกคน!
ไม่ว่าจะยืนอยู่ข้างใด ผู้ฝึกตนบนดาวอังคารก็พบเจอชะตากรรมเดียวกัน พลังชีวิตและพลังปราณของพวกเขาถูกดูดออกจากร่างจนแห้งเหี่ยว พื้นดินเองก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน พลังชีวิตของทุกสิ่งทั่วทั้งดาวอังคารล้วนหลุดออกจากร่าง ลอยขึ้นไปบนอากาศ และมุ่งตรงไปหาเรือบินรบเต๋ามรณะที่กำลังเล็กลงเรื่อยๆ!
สถานการณ์ที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้ทุกคนตกใจเป็นอันมาก ผู้ฝึกตนทุกคนตัวสั่นเทิ้ม พยายามอย่างเต็มที่ที่จะสู้กลับแต่ก็ไม่เป็นผล ความพยายามที่จะรักษาชีวิตของพวกเขาแสดงอยู่บนหน้าจอที่ฉายไปทั่วสหพันธรัฐ ประชาชนทุกคนจ้องภาพตรงหน้าค้างด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ความตระหนกผ่านเข้ามาบนใบหน้าหวังเป่าเล่อ เขาไม่มีเวลาคิดอีกแล้ว ขณะมองภัยร้ายที่กำลังจ้องทำลายดาวทั้งดวง เปลวไฟสีดำระเบิดออกจากร่างกาย ชายหนุ่มคำรามก่อนควบคุมมือยักษ์ให้คว้าเรือบินรบที่กำลังหดตัวลงเรื่อยๆ ตามแรงที่โดนสูบพลัง ตอนนั้นเองวัตถุเวทแห่งความมืดก็ระเบิดพลังออกมา มือยักษ์เหวี่ยงโยนเรือบินรบทิ้งไปในห้วงอวกาศไกลโพ้น!
แรงระเบิดมหาศาลปะทุออกมาจนทำให้ท้องฟ้าและดาวทั้งดวงสั่นสะท้าน เรือบินรบเต๋ามรณะที่ค่อยๆ หดตัวลงเรื่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นเส้นสายรุ้งที่พุ่งทะยานออกไปในอากาศ แรงเหวี่ยงส่งให้มันพุ่งตัดท้องฟ้า แหวกชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเข้าไปในอวกาศไกลลับตา!
แรงดูดที่ส่งมาจากเรือบินรบอ่อนกำลังลงเมื่อมันหลุดออกจากดาวอังคาร แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ทันมีเวลาได้พักหายใจ เขาพุ่งทะยานตามออกไปเช่นกัน เมื่อเห็นบางสิ่งที่ทำให้ต้องเสียวสันหลังวาบ!
เรือบินรบแทบจะสูญสิ้นทุกชิ้นส่วนจากการถูกดูดพลังงานและการถูกโดนไปในอวกาศ สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแก่นกลางของมันที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์หนา เถาวัลย์เหล่านี้ยังคงขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมร่างปรากฏเป็นแขนขาและศีรษะมนุษย์ ใบหน้านั้น…เป็นของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างชัดเจน!
ใบหน้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันใหญ่ยักษ์จนเหลือคณนา!
ดวงตาของโยวหรันปิดอยู่ ใบหน้าปกคลุมด้วยเถาวัลย์สีดำเหมือนเส้นเลือด ใต้หน้าผากของเขามีก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ โดยไม่หยุดพัก ภาพนี้ดูน่าสะพรึงกลัวขนหัวลุกเป็นอย่างมาก พลังรุนแรงส่งออกมาเป็นกระแสคลื่นจากร่างใหม่ของโยวหรัน
หวังเป่าเล่อมองการรวมตัวของร่างยักษ์แสนประหลาดที่ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้า เสียงเตือนภัยกรีดก้องอยู่ในหัว ในตอนนั้นเองที่ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเปิดออกโดยฉับพลัน
“ต้องขอบคุณอาจารย์ของข้าและเจ้า หวังเป่าเล่อ ที่ทำให้ข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรือบินรบเต๋ามรณะได้สำเร็จในที่สุด!”
“เพื่อตอบแทนความช่วยเหลือนี้ ข้าจะทำลายบ้านเกิดของเจ้าให้สิ้นซากและนำพลังนี้ไปบำรุงปราณท่านอาจารย์ข้า เป็นของขวัญสำหรับสิ่งที่ท่านมอบให้ข้าในวันนี้”
บทที่ 722 ปลายทางก็คือ ดาวพลูโต
ประชาชนสหพันธรัฐทุกคนตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว ผู้ฝึกตนทุกคนบนดาวอังคารตกใจจนแทบสิ้นสติ ความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจเข้าเกาะกุมจิตใจอย่างไร้ความควบคุม แม้แต่ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ถูกจองจำด้วยความพรั่นพรึงจนหยุดนิ่งอยู่กับที่!
ทุกคนสูญสิ้นซึ่งแรงใจในการสู้ต่อ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สนใจผู้ฝึกตนและหุ่นเชิดจากตระกูลไม่รู้สิ้นแม้แต่น้อย แต่เมื่อเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้น และเมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันประกาศว่าตนได้รวมเข้าเป็นหนึ่งกับเรือบินรบเต๋ามรณะเรียบร้อย ทุกคนก็ทำเป็นเพิกเฉยต่อสถานการณ์ร้ายแรงนี้ไม่ได้อีกต่อไป
นอกจากนี้…หากไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อ ก็มีโอกาสสูงมากที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะดูดพลังของพวกเขาทั้งหมดจนไม่เหลือซาก ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้ามาในดวงตาของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขายืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น ตาก็จ้องมองไปยังอวกาศ
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของพวกเขา และดวงตาของผู้ฝึกตนจากดาวอังคารรวมถึงสหพันธรัฐ…คือร่างใหญ่ยักษ์น่าสะพรึงกลัวของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน พลังของร่างประหลาดที่ตระหง่านอยู่หน้าหวังเป่าเล่อนั้นยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้อวกาศและโลกสั่นสะเทือน ไอพลังที่ชายชราปล่อยออกมาดูเหนือธรรมชาติจนน่าขนลุก…แตกต่างจากพลังของเขาก่อนหน้านี้ชนิดกลับตาลปัตร!
จื่อเยว่… หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขารู้ดีว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกลายร่างไปเป็นเช่นนี้ได้ด้วยพลังอำนาจของจื่อเยว่ เขาได้ยินน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากโยวหรันคนเดิมด้วยเช่นกัน เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟังดูเหมือนเครื่องจักรที่แฝงไปด้วยเสียงเหล็กกระทบกันอยู่ภายใน ราวกับว่าตัวตนของอีกฝ่ายได้เปลี่ยนไปเป็นอื่นเรียบร้อยแล้ว
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องจ่ายอะไรไปบ้างจึงได้ร่างทรงพลังน่ากลัวนี้มาครอบครอง แต่ก็รู้ดีว่าบัดนี้โยวหรันกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวกว่าเดิมมากนัก ต่อให้เขามีวัตถุเวทแห่งความมืดอยู่ในครอบครอง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ถึงอันตรายเบื้องหน้า!
ทันทีที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรวมร่างเข้ากับเรือบินรบเต๋ามรณะ สถานการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
ยังไม่ทันได้คิดหาทางหนีทีไล่ ขณะที่เสียงประกาศยังสะท้อนก้องไปในอวกาศเวิ้งว้าง อสูรกายตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นชี้มาที่ชายหนุ่มและเริ่มเปิดฉากโจมตีทันที!
การโจมตีนั้นไม่ได้มาพร้อมแสงสว่างเจิดจ้า แต่ก็ยังทำให้ชายหนุ่มตกใจ เขารีบโบกไม้พายตะเกียงข้างหน้าตน เปลวไฟสีดำกระจายออกแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงมืดมิด เรือสำปั้นแห่งความมืดไหลไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้นเอง อวกาศเบื้องหน้าเขาก็ยุบตัวลง เสียงระเบิดดังเหมือนสายฟ้าฟาด เถาวัลย์มากมายพุ่งออกจากบริเวณที่ทรุดลงทะยานเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูง
เมื่อเถาวัลย์พาดผ่าน ห้วงอวกาศโดยรอบก็เหี่ยวย่นเหมือนดอกไม้ไร้ชีวิต ในที่สุดเถาวัลย์ก็ปะทะเข้ากับเปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อ
เปลวไฟที่ดำที่เป็นจุดจบของทุกสิ่งในห้วงอวกาศ พบคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเป็นครั้งแรก เปลวไฟเผาไหม้เถาวัลย์เหี้ยนเตียนไปมาก แต่ก็มีบ้างที่ถูกดับลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ภายในไม่กี่วินาที เปลวไฟสีดำก็ดับสิ้น เถาวัลย์ที่เหี่ยวย่นมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงพลันมีต้นอ่อนถือกำเกิดขึ้นจากเศษซากดำเมี่ยม ต่างพากันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อเพื่อโจมตีเป็นครั้งที่สอง
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหรี่ตาลง มือขวาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เพื่อปล่อยเถาวัลย์ออกจากร่างให้พุ่งแหวกอวกาศออกไป เถาวัลย์นั้นดูเหมือนหมวดของหมึกมากมายที่ดิ้นเร่าอยู่ในอากาศ ทั้งหมดเหวี่ยงเข้าหาหวังเป่าเล่อ หมายล้อมชายหนุ่มเพื่อกักขังเอาไว้ภายใน!
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ประกายสังหารอาบอยู่ในแววตาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ขณะที่เขาก้าวมาข้างหน้าพร้อมยกมือซ้ายขึ้น มือนั้นกำแน่น หมัดลุ่นๆ พุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง ราวกับสามารถกำจัดทุกสิ่งที่ขวางทางให้หายไปจากโลกนี้ได้!
เถาวัลย์มากมายกระจายไปในอากาศด้วยความว่องไว พวกมันเข้าล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้จนแทบจะกักขังเขาได้มิด หมัดทรงพลังของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันใกล้จะถึงตัวชายหนุ่ม
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมจริงจัง ขณะที่อันตรายใหญ่หลวงยืนทะมึนทาบทับอยู่บนกาย
เถาวัลย์แต่ละเส้นเต็มไปด้วยพลังต้านและความยืดหยุ่นทนทาน เปลวไฟสีดำของชายหนุ่มอาจเผามันให้มอดไหม้ได้ แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำลายให้เหี้ยนเตียนทั้งหมด
สิ่งที่แย่ที่สุดคือเถาวัลย์เหล่านี้จะงอกใหม่เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังทำลายได้ไม่หมด ความสามารถในการเกิดใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ทำให้หวังเปาเล่อหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม พลังที่โยวหรันแผ่ออกมายิ่งทำให้เขาเครียดมากขึ้น
สู้กันตรงนี้ต่อไปเห็นจะไม่ได้แล้ว… ความเคร่งขรึมจริงจังวาบเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่ม เขารู้ดีว่าหากยังดึงดันขับเคี่ยวกันตรงนี้ต่อไป ดาวอังคารอาจเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ การโจมตีของทั้งเขาและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจก่อภัยพิบัติทำลายล้างดาวเคราะห์สีแดงเสียหมดสิ้น และในขณะเดียวกัน…แม้ดาวอังคารจะจัดได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับระบบสุริยะทั้งหมดแล้ว… มันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะปล่อยพลังทั้งหมดของตนเองออกมาได้เช่นกัน
ข้าต้องออกไปจากที่นี่! ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้ต่อน้อย ดวงตาจ้องมองเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวรอบตัวซึ่งกำลังตั้งท่าจะโถมเข้าใส่อีกครั้ง เขาวางไม้พายตะเกียงลงบนเรือสำปั้น เสียงกระทบกันของวัตถุเวททั้งสองดังกังวานในอากาศ จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ร่ายเวทลึกลับของสำนักแห่งความมืด
ทันทีที่ร่ายเวทเสร็จสิ้น ใบหน้าของราชครูก็ปรากฏขึ้นบนชุดคลุมสีดำ พร้อมกับร่างของเด็กชายที่ลอยออกมาจากไม้พายตะเกียง ใบหน้าของเด็กชายเสี่ยวเป่ามืดมนน่ากลัว อัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยวอำมหิต เขากรีดร้องเสียงแหลม ไม้พายตะเกียงพลันเกิดรอยปริแตก!
เปลวไฟสีดำภายในตะเกียงพุ่งกระจาย กินวงกว้างกว่าเปลวไฟสีดำที่หวังเป่าเล่อมีอยู่ในกายมากนัก ชายหนุ่มยอมสละไม้พายตะเกียงเพื่อปลดปล่อยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเปลวไฟสีดำอีกครั้ง!
เพลิงมืดไหลบ่าออกจากตะเกียงที่แตกร้าวเข้าล้อมร่างของชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะพุ่งพรวดไปข้างหน้าในพริบตาเดียว และเข้าปะทะกับหมู่เถาวัลย์ราวกับเป็นภูเขาไฟระเบิด
เสียงอึกทึกจากแรงปะทะกังวานไปทั่วในห้วงอวกาศ แม้เถาวัลย์จะแข็งแกร่งแน่นหนา แต่ราคาที่หวังเป่าเล่อต้องจ่ายไปกับการโจมตีครั้งที่สองนั้นมากเสียจนทำให้กองเถาวัลย์เองยังต้องมอดม้วยจนกลายเป็นตอตะโกไปเกือบหมด กระนั้นทะเลเพลิงของหวังเป่าเล่อก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน จึงทำให้หมัดของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ตามมาทำลายมันได้โดยง่าย เปลวไฟกระจัดกระจายตามแรงกระแทกจากหมัดของโยวหรัน ปลิวว่อนไปในห้วงอวกาศเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวในฤดูใบไม้ร่วง หมัดอันทรงพลังของโยวหรันพุ่งทะลุเปลวไฟสีดำเหล่านั้น และมุ่งตรงมายังหวังเป่าเล่อ
ก่อนที่หมัดจะกระแทกตัวชายหนุ่ม ราชครูก็ร้องเสียงดังก้อง ชุดคลุมแห่งความมืดขยายขนาดพองออกจนใหญ่มหึมา ล้อมชายหนุ่มเอาไว้เหมือนเกราะป้องกันอันแข็งแกร่ง หมัดยักษ์เข้าปะทะชุดคลุมของราชครูในทันที
แรงระเบิดส่งให้ชุดคลุมแตกสลายเป็นชิ้นๆ ใบหน้าของราชครูพร่าเลือน ส่วนหวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ แรงจากหมัดซัดเข้าไปที่เรือสำปั้นใต้เท้าของเขา…ส่งให้เรือพุ่งออกจากทะเลเพลิงในบัดดล เรือสีดำพุ่งทะลุกำแพงเถาวัลย์ที่รายล้อม ไปปรากฏอีกครั้ง…บนท้องฟ้าระยิบระยับด้วยแสงดาวในระยะไกล
แต่มันก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เรือยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ สู่หมู่ดาวอันไกลโพ้น
“จะหนีรึ” โยวหรันหรี่ตาลง เขาไม่ได้ถอนหมัดกลับ แต่มือนั้นกลับยืดยาวออกไปอย่างไม่น่าเป็นไปได้ หมายไล่ล่าชายหนุ่มบนเรือมืดที่กำลังทะยานไปไกล!
นิ้วของโยวหรันก็ยืดออกด้วยความเร็วเช่นกัน ภาพนั้นดูน่าขนลุกเป็นอันมาก แต่หวังเป่าเล่อที่ผ่านประสบการณ์การรบพุ่งมาอย่างโชกโชนตั้งแต่เริ่มเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน ไม่แม้แต่จะหันไปมองเบื้องหลัง แววตาของเขาแน่วแน่ด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
“เจ้าไม้พายตะเกียง ข้าขอสัญญาว่าจะสร้างเจ้าขึ้นมาใหม่ในอนาคตแน่นอน!” เด็กชายตัวน้อยที่ลอยอยู่เหนือซากไม้พายตะเกียงน้ำตาปริ่ม ทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับนายของตนเท่านั้น เด็กชายหันหลังไปเผชิญหน้ากับมือยักษ์ที่กำลังไล่ล่ามา แววกระหายเลือดเคียดแค้นปรากฏขึ้นในดวงตาคู่น้อย เขาเริ่มร่ายคำสาปตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มก็ปล่อยไม้พายตะเกียงของตนออกจากมือ เด็กชายเสี่ยวเป่ากลับเข้าวัตถุเวทประจำตัว ไม้พายหมุนรอบตัวและพุ่งเข้าใส่มือยักษ์ของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันในทันที!
คลื่นพลังงานทำลายตนเองระเบิดออกมาจากไม้พายตะเกียงสีดำ แรงต้านรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของขีดความสามารถ พริบตาต่อมาไม้พายตะเกียงก็พลันระเบิด แรงระเบิดแปรเปลี่ยนเป็นเกราะคุ้มกันล่องหนที่หยุดมือยักษ์ของโยวหรันเอาไว้กับที่!
แม้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะต้องการไล่ล่าหวังเป่าเล่อต่อ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น แม้ไม้พายตะเกียงจะได้รับความเสียหายรุนแรง แต่มันก็ยังเป็นถึงอาวุธเทพระดับสูง การทำลายตนเองที่ทันท่วงทีและถูกจังหวะ ทำให้การโจมตีที่แม้จะรุนแรงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังต้องถอยหนีเพื่อลดความเสียหายจากแรงปะทะ!
เสียงระเบิดดังก้องอวกาศ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันชะงักค้างอยู่กลางความเวิ้งว้างด้วยพลังการทำลายตนเองของไม้พายตะเกียง หวังเป่าเล่อกระอักเลือดเต็มปาก ขณะที่เรือสำปั้นแห่งความมืดปล่อยพลังเต็มที่ พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงหายไปในห้วงอวกาศไกล ดวงตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขารู้ดีว่าตนเองสู้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้ในตอนนี้ ทางเดียวที่จะพลิกกลับมาเอาชนะได้คือการเพิ่มขีดจำกัดพลังของตนจากดาวดวงสุดท้ายในระบบสุริยะ มีบางสิ่ง…กำลังร้องเรียกเขาจากดาวพลูโต!
ชายหนุ่มกำลังเดิมพันครั้งใหญ่ เขาเดิมพันความสำคัญของตนที่มีต่อจื่อเยว่ โดยคาดการณ์ว่าตัวเขามีความสำคัญต่อหญิงสาวมากกว่าสหพันธรัฐ แม้ไม่มั่นใจว่าตนเองจะเอาชนะนางได้ แต่หลังจากที่ดูดซึมพลังจากนิ้วของนางเข้าไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็มั่นใจพอตัวว่าตนเองเดาพฤติกรรมของนางถูก
ชายหนุ่มหวังว่าตนจะเดานิสัยของนางได้ไม่ผิดเพี้ยน ผู้ที่เห็นแก่ตัวจนสนใจเพียงความต้องการของตนเองเช่นนาง คงไม่คิดเอาความอยู่รอดของอารยธรรมมาขู่เขา เพราะในสายตาของนาง มันจะดูเหมือนเด็กอมมือเล่นขายเกินไป
บทที่ 723 สมรภูมิที่สร้างมาเพื่อหวังเ...
แล้วหวังเป่าเล่อเดาถูกจริงเสียด้วย!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นเพียงหุ่นเชิดหนังหน้าไฟเท่านั้น ความคิดของชายชราจึงไม่สำคัญแม้แต่น้อย สิ่งที่สำคัญคือความคิดจิตใจของจื่อเยว่ต่างหาก เมื่อสูญเสียนิ้วของตนเองไป นางก็พลันมองว่าหวังเป่าเล่อสำคัญกว่าสหพันธรัฐ!
ทั้งหมดนี้ถูกต้องตามตรรกะทุกอย่าง แผนการทำลายสหพันธรัฐของหญิงสาวเป็นเพียงการทดลองที่นางสร้างมาสำหรับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และเป็นเสี้ยวหนึ่งของการเพิ่มพูนพลังปราณด้วยกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของนาง ความตั้งใจของนางคือใช้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันให้ทำตามแผนที่ตนเองวางไว้ ส่วนนางจะทำตัวเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ และใช้สงครามนี้เพื่อเพิ่มพูนพลังปราณให้ตนเอง
มันก็เหมือนกับการเล่นว่าวที่ต้องคอยดูทิศทางลม นางไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าสหพันธรัฐจะอยู่หรือตายกับเหตุการณ์นี้ ผิดกับหวังเป่าเล่อที่กลายมาเป็นภัยร้ายซึ่งอาจทำลายตัวตนของนางได้จริงๆ นางรู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ตรงๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร จื่อเยว่ก็ไม่มีวันปล่อยให้หวังเป่าเล่อหนีไปได้แน่นอน!
นอกจากนี้สถานการณ์ยังเดินทางมาถึงจุดที่ออกนอกความควบคุมของนางไปแล้ว เวทที่หญิงสาวร่ายใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นความพยายามที่จะทดสอบกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเสริมสร้างพลังปราณของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้เวลาเตรียมการเรื่องนี้นานมาก ทันทีที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยึดครองสหพันธรัฐได้สำเร็จตามแผนการ ขั้นปราณของนางในฐานะผู้ควบคุมเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าก็จะก้าวหน้าไปอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้จื่อเยว่จึงยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด อีกเหตุผลที่นางยังล่าถอยตอนนี้ไม่ได้คือนางได้คำนวณมาเรียบร้อยแล้ว ว่านี่คือโอกาสเดียวที่นางจะค้นหาสิ่งที่เฉินโม่เฟิงซ่อนเอาไว้ไม่ให้นางพบ สิ่งที่จำเป็นต่อการฝึกวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า
นอกจากนี้…ในแผนการดั้งเดิมของนาง การทำลายสหพันธรัฐและใช้ระบบสุริยะทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวย จะทำให้นางมีพลังงานมากพอที่จะพัฒนาขั้นปราณของตนเองได้ นางจะสามารถควบคุมกระบี่สำริดโบราณและฝังเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าเข้าไปในกายของบรรดาผู้อาวุโสที่หลับใหลอยู่ได้ ระบบสุริยะจะกลายเป็นรากฐานให้นางก้าวข้ามขีดจำกัดขั้นปราณของตน เพื่อที่จะบรรลุไปยังระดับดารานิรันดร์ได้ในระยะเวลาอันสั้น!
แผนการของนางจัดได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างเดินหน้าไปอย่างราบรื่น จนกระทั่ง…หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น!
การปรากฏตัวของเขาส่งผลกับนางมาก เนื่องจากนางลงทุนลงแรงไปไม่น้อย จนใกล้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวผลลัพธ์อันแสนหอมหวานอยู่รอมร่อ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ จื่อเยว่คงหนีไปตั้งแต่ตอนเผชิญหน้ากับราชันสวรรค์ลำดับแรกนานแล้ว เพราะแบบนี้…นางจึงทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากกัดฟันเดินหน้าต่อ!
จื่อเยว่ไม่สนใจที่จะสังหารหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่ด้วยสถานการณ์พาไป นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจบชีวิตเขาเสีย และกำจัดเขาออกจากวงจรเหตุการณ์ทั้งหมด นางได้ข้อสรุปนี้มาหลังจากที่ใช้พลังของเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าคำนวณความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมด การสังหารหวังเป่าเล่อจะช่วยปลดปล่อยนางออกจากกงกรรมกงเกวียนนี้เช่นกัน!
เมื่อความมาดหมายของจื่อเยว่ถูกส่งผ่านเข้ามาในร่างของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ดวงตาของชายชราก็สว่างวาบ โยวหรันไม่สนใจสนามรบบนดาวอังคารอีกต่อไป แต่กลับติดตามหวังเป่าเล่อไปในทันที ทั้งสองหายออกจากอาณาเขตของดาวอังคาร พากันท่องอวกาศไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นท่ามกลางแสงดาวระยับ
ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของทั้งสองทำให้ผู้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น วงแหวนปราณระบบสุริยะที่อ่อนแรงลงจากการทำลายตัวเองก่อนหน้านี้ จึงไม่สามารถจับเหตุการณ์ระยะไกลเพื่อถ่ายทอดความเคลื่อนไหวต่อได้ ชาวโลกและชาวดาวอังคารทำได้เพียงเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวายเท่านั้น เมื่อเห็นทั้งสองทะยานหายลับสายตาไป
แต่ยังโชคดี…ที่สมรภูมิบนดาวอังคารกลับมาสมดุลกันอีกครั้งเมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจากไป ทุกคนรู้ดีว่าการต่อสู้บนดาวสีแดงไม่ใช่สนามหลักอีกต่อไป สนามที่จะชี้เป็นชี้ตายชะตาของสหพันธรัฐ คือการขับเคี่ยวกันระหว่างผู้ฝึกตนทั้งสองคนที่กำลังทะยานจากไปต่างหาก!
ชัยชนะของสหพันธรัฐในสงครามครั้งนี้ขึ้นอยู่กับชัยชนะของหวังเป่าเล่อในศึกกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน หากชายหนุ่มชนะ อารยธรรมของพวกเขาก็จะคงอยู่ต่อไป แต่หากเขาพ่ายแพ้…ทุกอย่างก็จะดับสลายลง กลายเป็นเพียงเถ้าธุลีในอวกาศเวิ้งว้าง
หวังเป่าเล่อแบกชะตากรรมของทั้งอารยธรรมไว้บนบ่า แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมเต็มร้อยในตอนนี้ ริมฝีปากของชายหนุ่มอาบไปด้วยเลือดสดๆ เขาพยายามเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่ตนเองจะทำได้ เบื้องหลังของชายหนุ่มคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ว่องไวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงเป็นการยากที่เขาจะทิ้งระยะห่างออกไป
ชายหนุ่มยังคงร้องเรียกดาวพลูโต และตอบรับเสียงเพรียกก่อนหน้านี้อย่างกระวนกระวายขณะมุ่งหน้าไปสู่ปลายระบบสุริยะ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังอยู่ไกลเกินไป นอกจากนี้ ต่อให้เขาจับเสียงเรียกได้ พลังปราณที่จำกัดของเขาก็ยากจะประสานกับเสียงเรียกนั้น หรือกระทั่งเดินทางไปถึงอีกปลายด้านหนึ่งของระบบสุริยะ!
เรื่องระยะทางนั้นแก้ง่าย แต่เรื่องพลังปราณของข้าที่ต่ำต้อยเกินไปจะแก้อย่างไรดี ความกระวนกระวายคืบคลานไปทั่วร่างชายหนุ่ม ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปลดปล่อยอำนาจของกระบวนเวทลึกลับบางอย่างออกมา ทำให้ความเร็วของชายชราเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเครียดขึ้นอีก
เขารู้ดีว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะไล่เขาทันในที่สุด หากไม่รีบหาวิธีมาต้านการโจมตีของโยวหรัน ตัวเขาคงต้องสิ้นชีพเป็นแน่!
ดาวพฤหัสบดีก็แล้วกัน! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเด็ดเดี่ยวชัดเจน ขณะมุ่งหน้าไปยังดาวพฤหัสบดีแทน ระยะทางระหว่างเขากับดาวพลูโตก็จะยังหดสั้นลงต่อให้เขาเปลี่ยนทิศการเดินทาง นอกจากนี้อำนาจพิเศษของวิญญาณจุติดวงดาราจะทำให้เขาได้รับพลังที่เพิ่มมากขึ้นจากดาวพฤหัสบดี จนสามารถทดแทนพลังปราณที่น้อยนิดเกินไปของเขาอีกด้วยเรือสำปั้นแห่งความมืดแทบเท้าเริ่มเผาไหม้พลังชีวิตของตนเอง ในเวลานี้หวังเป่าเล่อยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับชัยชนะ เขาทะยานตัดผ่านระบบสุริยะไปด้วยความเร็วสูงจนมองไม่เห็น ราวกับกำลังเคลื่อนย้ายไปโผล่ที่อีกจุดหนึ่งมากกว่าการเดินทางด้วยความเร็วปกติ เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็อยู่ในวิถีของดาวพฤหัสบดีเรียบร้อยแล้ว
ราคาที่เขาจ่ายให้กับการท่องอวกาศด้วยความเร็วสูงนั้นมากล้น ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกยกใหญ่ แทบจะล้มหมดสติลงกับพื้น ร่างกายของเขามาถึงขีดสุดจนแทบจะทานทนการเดินทางด้วยความเร็วขนาดนี้ไม่ไหว เค้าโครงของเรือสำปั้นแห่งความมืดเริ่มเลือนรางเนื่องจากใช้พลังงานไปมาก จนกลายเป็นเพียงม่านหมอกบางเบาเท่านั้น!
ด้วยความที่เรือสำปั้นยังไม่ได้รับการซ่อมแซมโดยสมบูรณ์ มันจึงได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลาและพลังงานพอที่จะมาสนใจมัน เขาใช้พลังของสำนักแห่งความมืดอีกครั้งเพื่อเดินหน้าเข้าไปใกล้ดาวพฤหัสบดีมากยิ่งขึ้น จุดหมายปลายทางยังอยู่ห่างออกไปพอสมควร กระนั้นวิญญาณจุติดวงดาราในร่างกายของชายหนุ่มก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น
ความเชื่อมโยงระหว่างตัวเขาและดาวพลูโตทวีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ซึ่งทำให้ตัวเขามั่นใจขึ้นไม่น้อยว่าตนเองจะทำได้สำเร็จ
แค่ดาวพฤหัสบดีอาจจะยังไม่เพียงพอ… ดวงตาของหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ด้วยความบ้าคลั่ง เขาคิดไปถึงสถานที่ที่จะเพิ่มพลังวิญญาณจุติดวงดาราของตนเองให้ไปอยู่ในจุดที่น่ากลัวจนทนไม่ได้
เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ใกล้หรือไกลออกไปเพียงใด จากการคำนวณของชายหนุ่ม เขาเพียงแต่ต้องไปถึงดาวพฤหัสบดีให้ได้เท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจไม่มีหวังว่าตนจะกำชัยในการสู้รบกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตัวต่อตัว แต่เขาแน่ใจว่าจะทะลุผ่านไปถึงดาวพลูได้แน่นอน!
เรือสำปั้นแห่งความมืดผลาญพลังชีวิตของตนเองอีกครั้งเพื่อเพิ่มความเร็วให้มากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีเข้าไปทุกที ในตอนนั้นเองแรงระเบิดก็อุบัติขึ้นที่เบื้องหลังเขา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทะยานผ่านห้วงอวกาศมาปรากฏอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ ชายชราขยับตัวเพื่อปล่อยเถาวัลย์ออกจากหลัง เถาวัลย์นั้นพันเกี่ยวกันไปมาและแปรเปลี่ยนเป็นปีกยักษ์สองข้าง พัดกระพือเพียงครั้งเดียวก็ส่งกระแสพลังปราณให้กระเพื่อมไปในอวกาศ ซึ่งช่วยให้โยวหรันเพิ่มความเร็วได้มากขึ้นไปอีก อสูรกายโยวหรันทะยานไปข้างหน้า มือใหญ่สร้างผนึกฝ่ามือ อักขระโบราณส่องสว่างขึ้นทั่วร่างกายชายชรา
“หวังเป่าเล่อ ระบบสุริยะนั้นเล็กนัก เจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปได้พ้นหรือ” เสียงของชายชราดังก้องไปทั่วจักรภพ อักขระเวทโบราณผละออกจากร่าง ลอยค้างอยู่ในอวกาศ พวกมันพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วที่มากเสียยิ่งกว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเสียอีก ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดแคบลงเรื่อยๆ อักขระย่นย่อระยะทางลงมาอย่างรวดเร็ว อักขระสามตัวในนั้นไล่หวังเป่าเล่อทันในที่สุด อักรขระทั้งสามพลันระเบิดก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ!
กระแสพลังระเบิดทรงอำนาจจนทำให้ห้วงอวกาศแทบแตกสลาย มันพัดพาไปทั่วจนก่อให้เกิดพายุร้ายที่พุ่งเข้าทำลายหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เขาโบกมือส่งชุดคลุมแห่งความมืดให้พองออกอีกครั้งเพื่อป้องกันร่างของตนจากแรงระเบิด เลือดไหลทะลักออกจากปาก แต่ความเร็วยังคงที่โดยการใช้พลังชีวิตของเรือสำปั้นแห่งความมืดเข้าแลก ชายหนุ่มพุ่งเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีเข้าไปทุกที และวิญญาณจุติดวงดาราของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
จิตเชื่อมโยงระหว่างเขาและดาวพลูโตทวีความเข้มข้นขึ้นด้วยเช่นกัน จนเขาสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกจากดาวเคราะห์ที่อยู่แสนไกลในที่สุด เสียงเพรียกนั้นถือกำเนิดมาจากบางสิ่งที่ยังมองเห็นไม่ชัดเจนสำหรับเขา
ยังไม่พอ! หวังเป่าหรี่ตาลง กัดฟันแน่น ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาหนีต่อไป อักขระโบราณของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงระเบิดอย่างต่อเนื่องเบื้องหลังเขา ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บมากขึ้นอีก กระนั้นเขาก็ยังคงหนีเพื่อไปให้ถึงดาวพฤหัสบดี วิญญาณจุติดวงดาราเริ่มเอ่อล้นด้วยพลังเต็มเปี่ยม พลังปราณที่เพิ่มสูงขึ้นไหลบ่าทั่วร่างกายของชายหนุ่ม ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาหายไปแทบจะในฉับพลัน
ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เห็นดาวพฤหัสบดีอยู่ไกลลิบๆ วิญญาณจุติดวงดาราของเขาลืมตาขึ้นในวินาทีนั้น พลังของมันเต้นตุบอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง พลังประหลาดที่ดาวพฤหัสบดีส่งออกมาไหลเข้าสู่กายหวังเป่าเล่อ นี่คืออำนาจที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน พลังนี้ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มสว่างไสวด้วยความตื่นเต้น
หวังเป่าเล่อพยายามเป็นอย่างมากที่จะซ่อนพลังใหม่ของเขาให้มิดชิด กระนั้นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดแผกไป สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปอีกครั้ง สัญชาตญาณประหลาดส่งออกมาจากอวัยวะภายใน แต่ก็ไม่มีเวลามาคิดหาคำตอบ ประกายเด็ดเดี่ยววาบเข้ามาในดวงตาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เขายกมือขวาขึ้นกระชากแขนซ้ายของตนเองทิ้ง ก่อนตะโกนก้อง “วิชาแปรเปลี่ยนดาราเทพ!”
แขนซ้ายที่ถูกกระชากออกดิ้นเร่า ภายในพริบตาก็กลายสภาพเป็นแมลงกิ่งไม้สีดำร่างอ้วนตัวใหญ่สามร้อยเมตร มันกรีดร้องเสียงแหลมก่อนกระโจนไปในอากาศพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ปากของมันอ้ากว้างหมายกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัวในคราวเดียว ชุดคลุมสีดำของหวังเป่าเล่อพองใหญ่อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ คมเขี้ยวของแมลงยักษ์เจาะทะลุชุดคลุมมาอย่างง่ายดาย!
เมื่อแมลงกิ่งไม้ยักษ์เข้าใกล้ ความอำมหิตก็ทาบทับดวงตาของหวังเป่าเล่อ ร่างของเขาพร่าเลือน ร่างอวตารปรากฏกายขึ้นนับสิบอย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ได้เข้าโจมตีแมลงกิ่งไม้ แต่ระเบิดโดยพลัน แรงระเบิดส่งให้หวังเป่าเล่อทะยานไปข้างหน้าใกล้ดาวพฤหัสบดีมากขึ้นไปอีก ในที่สุดเขาก็เข้าสู่อาณาเขตของแถบดาวเคราะห์น้อยที่กั้นระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดไว้!
นี่คือเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ เป็นความคิดที่จะช่วยเพิ่มพูนพลังปราณของตนเองให้พุ่งสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่ากลัวจับใจ!
แถบดาวเคราะห์น้อยประกอบไปด้วยดาวเคราะห์ขนาดเล็กนับแสนดวง และเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ คือดาวเคราะห์พิเศษที่สหพันธรัฐค้นพบเมื่อล้านปีก่อน…ดาวเคราะห์แคระซีรีส ดาวเคราะห์แคระหนึ่งเดียวในแถบดาวเคราะห์น้อยนั่นเอง!
ในที่แห่งนี้ พลังของวิญญาณจุติดวงดาราจะแข็งแกร่งที่สุดจนยากจะหาใดเทียบ และพลังที่แท้จริงของมันก็จะปรากฏให้เห็น!
บทที่ 724 โลงศพแห่งดาวพลูโต!
เรือสำปั้นยังคงเผาไหม้พลังชีวิตตัวเองอย่างต่อเนื่อง ขับหวังเป่าเล่อให้พุ่งทะยานไปในอวกาศอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงกึกก้องครึกโครม ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนดาวซีรีส!
ดาวเคราะห์สีเทาอยู่แทบเท้าหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้กำลังพยายามหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรือสำปั้นของเขา หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่บนดาวซีรีส ก่อนหันขวับในทันที ดวงตาโชติช่วงด้วยแสงแรงกล้า เขาเลิกผนึกระดับพลังปราณภายในกายและปลดปล่อยออกอย่างเต็มพิกัด วิญญาณจุติของชายหนุ่มเดินเครื่องเต็มที่ ปลดปล่อยพลังที่สั่งสมไว้ภายในออกมา!
พลังมหาศาลนี้ได้รับแรงเสริมจากทั้งดาวซีรีสและดาวพฤหัสบดี รวมถึง…ดาวเคราะห์น้อยทั้งแสนดวงในอาณาบริเวณนี้!
มันเป็นพลังที่…ขับเคลื่อนได้แม้กระทั่งดาวทั้งดวง!
คุณสมบัติพิเศษของวิญญาณจุติดวงดารา ทำให้ผู้ใช้งานแข็งแกร่งยิ่งขึ้นตามระยะทางที่เข้าไปใกล้ดาวเคราะห์ ขนาดของดาวเคราะห์เองก็มีผลต่อพลังที่เพิ่มขึ้นของผู้ครอบครองวิญญาณจุติชนิดนี้เช่นกัน
รวมถึง…จำนวนดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้เจ้าของวิญญาณจุติดวงดาราด้วย แม้ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจะไม่ได้ช่วยเสริมพลังให้มากมายถึงเพียงนั้น แต่เมื่อพวกมันมารวมตัวกันนับแสนดวง ก็ย่อมส่งให้ผู้ครอบครองวิญญาณจุติแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนัก
ดาวซีรีสเองก็เป็นขุมพลังขนาดใหญ่ที่เสริมพลังของหวังเป่าเล่อให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ส่วนดาวเคราะห์อีกดวงที่เป็นกำลังสำคัญในระบบสุริยะ…คือดาวพฤหัสบดี!
พลังที่รอให้หวังเป่าเล่อเข้าเก็บเกี่ยวโดยไม่ต้องเสียอะไรไปนั้นมีมากเหลือเกิน นี่เป็นการเพิ่มพลังปราณที่สูงที่สุดเท่าที่ตัวเขาเคยสัมผัสมาตั้งแต่ที่ได้วิญญาณจุติดวงดารามาไว้ในครอบครอง!
สถานที่แห่ง…เป็นสองรองจากดาวพลูโตเพียงเท่านั้น สำหรับตัวชายหนุ่มแล้ว นี่คือสนามรบที่อันดับสองที่ดีที่สุดสำหรับเขาในระบบสุริยะ!
พลังปราณของชายหนุ่มระเบิดออกมาอย่างไร้จำกัด ก่อให้เกิดพายุหมุนที่พัดวนไปในอากาศ กระแสพลังปราณสีขาวมากมายไหลวนจากดาวซีรีส ดาวพฤหัสบดี และดาวเคราะห์ดวงเล็กดวงน้อยมากมาย และตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ ราวกับทุกสิ่งถูกแรงดึงดูดจากกายของชายหนุ่มดูดเข้ามา พลังปราณสีขาวโอบล้อมร่างของเขา เปลี่ยนสภาพไปเป็นพายุหมุนสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ใจกลางพายุเหมือนบุตรแห่งจักรวาล ดุจดั่งเทพเจ้าที่ลงมาเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์กระนั้น!
พลังที่ชายหนุ่มปล่อยออกจากร่างในตอนนี้เลยผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไปถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือความจริงอาจทรงพลังมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตเสถียรแล้วในที่สุด แม้จะยากลำบากนักกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ตาม!
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่า…ภายใต้พื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งเย็นเยือกของดาวพลูโต ซึ่งเย็นจัดเสียจนแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดใช้ชีวิตอยู่ได้ มีบางสิ่งบางอย่างฝังอยู่ และสิ่งนั้น…ก็คือโลงศพ!
ความตกใจวาบผ่านเข้ามาในใจหวังเป่าเล่อ เขาพยายามแตะโลงศพผ่านจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตแต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มต้องการพลังมากกว่านี้ และคงทำไม่สำเร็จในคราวเดียว เขาต้องสะสมพลังให้ได้มากกว่านี้ก่อนจะลองดูอีกครั้ง
ข้าต้องการเวลามากกว่านี้ ประกายดุดันวาบเข้ามาในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขายังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะปลุกพลังของโลงศพ ขณะที่มือขวาก็ชี้ไปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตระหนก!
“โยวหรัน มาสู้กันดีกว่า!”
หวังเป่าเล่อคำรามด้วยความกระหายสงคราม เสียงคำรามของเขาส่งผลไปถึงดาวซีรีส ดาวพฤหัสบดี และทะเลดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมายรอบกาย ราวกับห้วงอวกาศที่แต่งแต้มไปด้วยดวงดาวกำลังคำรามไปพร้อมกับชายหนุ่ม!
ชายหนุ่มเหวี่ยงแขนตัวเองไปแนบลำตัว เกราะจักรพรรดิปรากฏขึ้นบนกายในทันที ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เกราะจักรพรรดิในคราวนี้หน้าตาแตกต่างไปจากทุกที มันเป็นสีขาวผ่อง เฉกเช่นเดียวกับพายุรอบกาย!
ชุดคลุมแห่งความมืดที่เคยขาดวิ่น กลายเป็นผ้าคลุมไหล่ให้ชุดเกราะและโบกสะบัดอยู่ในอากาศ ดวงตาปีศาจเองก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาเช่นกัน!
พลังที่เพิ่มขึ้นจากดาวเคราะห์ไม่เพียงแต่เปลี่ยนหน้าตาของเกราะจักรพรรดิไป แต่ยังมีผลต่อดวงตาปีศาจด้วย แม้มันจะยังหลับอยู่ แต่ก็ดูสมจริงเหมือนลูกตาจริงไม่มีผิด ราวกับเป็นดวงตาแห่งดาวเคราะห์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรากระนั้น!
ภาพนี้น่าพรั่นพรึงเป็นอย่างมาก แม้แต่กับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังชะงักงันอยู่กับที่ ชายชราจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาระแวดระวัง รู้สึกได้ถึงอันตรายที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างเรื่อยๆ
ทั้งสองประสานสายตากัน ดวงตาปีศาจของหวังเป่าเล่อลืมตาตื่นอย่างฉับพลัน พลังที่มองไม่เห็นฟาดลงมาจากสวรรค์เบื้องบน ดูดเอาพลังจากดาวเคราะห์ที่อยู่รายรอบ ก่อนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบางสิ่งที่จับต้องได้ แสงสว่างที่มีฤทธิ์ทำให้ทุกอย่างนิ่งราวหยุดเวลาฟาดใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และล้อมร่างกายของเขาเอาไว้หมดสิ้น
โยวหรันตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่จะได้แหกกรงขังแห่งแสงออกมา หวังเป่าเล่อก็กระโจนไปข้างหน้าเหมือนลูกศรที่พุ่งทะยาน เขารวบรวมพลังจากดวงดาวเอาไว้ในหมัดขวา ปลุกอำนาจของวิญญาณจุติดวงดาราขึ้น แขนอาวุธเทพของชุดเกราะจักรพรรดิปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า แสงนั้นโชติช่วงราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่พุ่งตรงเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
แรงปะทะทำให้เกิดเสียงดังอึกทึกสะท้อนไปทั่วอวกาศ โยวหรันกระอักเลือดชุดใหญ่ การรวมร่างของเขากับเรือบินรบเต๋ามรณะทำให้ชายชราแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ในยามที่ต้องเผชิญการโจมตีของหวังเป่าเล่อซึ่งรวมเอาพลังจากดวงดาว และอำนาจของดวงตาปีศาจเข้ามาแล้ว ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็เพียงแค่กระอักเลือดออกมาเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด อาการบาดเจ็บของเขาหายเป็นปลิดทิ้งในทันที ราวกับว่าแก่นในที่ส่งพลังให้เขามีพลังชีวิตอยู่อย่างมหาศาลจนร่างกายแทบจะไร้เทียมทาน!
การโต้กลับของชายชรายังดุดันรวดเร็ว เถาวัลย์สีดำมากมายเต้นเร่าอยู่ในอากาศ ขณะที่เขาสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ร่างกายกลายเป็นอาวุธที่เข้าผนึกกำลังกับเถาวัลย์และเคล็ดเวท พลังปราณกระเพื่อมผ่านห้วงอวกาศ เข้าปะทะกับหวังเป่าเล่อในแถบดาวเคราะห์น้อย
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟื้นฟูร่างกายเร็วก็จริง แต่หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน การฟื้นสภาพร่างกายของเขานั้นเร็วกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมากนัก ด้วยพลังเสริมจากดวงดาวโดยรอบ อาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันทีเช่นเดียวกับโยวหรัน
ทั้งสองใช้ร่างกายแข็งแกร่งของตนเองเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใครแม้แต่นิด การปะทะแต่ละครั้งทำให้ทั้งสองบาดเจ็บทุกครั้ง แต่ก็ยังกระโจนเข้าใส่กันต่อ…กระนั้นก็ไม่มีใครล้มอีกคนลงได้!
แม้หวังเป่าเล่อจะดูเหมือนเสียเปรียบกว่า เพราะดูเทียบโยวหรันไม่ติดตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดฉากโจมตี และตอนนี้ก็กำลังเป็นฝ่ายตั้งรับ ทว่า…โยวหรันก็ล้มชายหนุ่มลงไม่ได้เสียที
สถานการณ์เลยเถิดเกินกว่าชายชราจะควบคุมได้ ทั้งสองต่อสู้กันยืดเยื้อ แม้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะทำลายดาวเคราะห์ขนาดเล็กรอบกายไป แต่ก็ทำให้หวังเป่าเล่ออ่อนกำลังลงในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ความกังวลใจเริ่มพองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในหัวใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เขาอธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้มีที่มาจากสิ่งใด แต่มันเป็นลางบอกเหตุตามสัญชาตญาณในกายของเขา เขารู้สึกได้ว่าหากการต่อสู้ยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นตัวเขาเองที่พ่ายแพ้และเสียชีวิตในที่สุด
ไอ้วิญญาณจุติดวงดาราในตำนานนี่…ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นเพราะสิ่งนี้เท่านั้น! เหตุใดข้าจึงรู้สึกกังวลใจถึงเพียงนี้กันนะ! ข้าต้องพลาดบางสิ่งไปแน่
จื่อเยว่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ความจริงแล้ว ความไม่สบายใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นมีต้นตอมาจากจื่อเยว่ นางเป็นผู้ใช้กระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า ผู้ควบคุมกงกรรมแห่งจักรภพ ซึ่งแปลว่าความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงของนางนั้นรุนแรงกว่าของโยวหรันเสียอีก นางรู้สึกเหมือนมีเคียวยมทูตกำลังพาดอยู่บนคอ พร้อมที่จะฟันลงมาได้ทุกวินาที
กระนั้น จื่อเยว่เองก็ยังเปิดหน้ามาโจมตีหวังเป่าเล่อไม่ได้ นางทำได้เพียงกัดฟันต่อสู้กับความต้องการที่จะเปลี่ยนแผนที่วางเอาไว้อย่างแยบยลเท่านั้น ความคิดนี้หยั่งรากลึกในจิตใจของนางขึ้นเรื่อยๆ จื่อเยว่ตัดสินใจได้ทันที นางจะทำตามแผนการขั้นสุดท้าย เพื่อพัฒนาพลังแห่งเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของตนเองให้เร็วที่สุด นางจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันหอมหวาน และพัฒนาขั้นปราณของตนให้รุดหน้าไปอีก จากนั้นนางจึงจะค่อยตัดสินใจว่าจะอยู่ที่แห่งนี้ต่อหรือจากไป!
นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่ง เนื่องจากตัวนางเองต้องละทิ้งหลายสิ่งไป แผนการสำหรับอนาคตต้องถูกชะลอลงเช่นกัน แต่ความรู้สึกได้ถึงภัยร้ายทำให้นางต้องตัดใจเลือกทางนี้ จื่อเยว่ตะโกนออกคำสั่งโยวหรันในทันที คำสั่งของนางสะท้อนก้องในหัวของชายชรา!
“เลิกต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ใช้พลังชีวิตของเจ้าเป็นเชื้อเพลิงและเปลี่ยนมันเป็นพลังงานให้หมด ข้าจะเพิ่มพลังให้กับเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ทำลายสหพันธรัฐ เปิดประตูแห่งกรรมออก ทำโชคชะตาของเจ้าให้เป็นจริง! โยวหรัน ตั้งแต่ที่เจ้าได้พบข้า โชคชะตาของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เจ้าต้องทำลายอารยธรรมนี้ให้สิ้นซาก นี่คือ…ชะตาชีวิตที่ข้า จื่อเยว่ กำหนดให้เจ้า!”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ ห้วงอวกาศใหญ่โตก็เริ่มบิดเบี้ยวเหนือความควบคุม ไม่มีใครรู้ว่านางทำได้อย่างไร แต่ลมหมุนคล้ายหลุมดำปรากฏขึ้นในอวกาศอย่างฉับพลัน!
ในลมหมุนนั้นมีอีกห้วงอวกาศอยู่ รวมถึงดวงดาวสีฟ้าสดใส…ดาวโลกนั่นเอง!
หลุมดำนั้นคือประตูที่เปิดไปสู่จุดอื่นในจักรวาล!
ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อผงะด้วยความตกใจ!
ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเดือดพล่านด้วยแสงแรงกล้า เขาเริ่มพึมพำกับตนเอง
“ข้าจะทำตามโชคชะตาของข้าและทำลายอารยธรรมนี้เสีย นี่คือชะตาชีวิตข้า…ข้าต้องทำมันให้เสร็จสิ้นให้ได้!” เสียงพึมพำของเขาลอยสะท้อนไปในอากาศ ร่างกาย แก่นใน วิญญาณ และพลังปราณกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ตัวเขาจุดให้โหมลุกเป็นไฟโดยไม่ลังเล ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้ซึมซับคำพูดของโยวหรัน ชายชราก็กลายร่างไปเป็นทะเลเพลิงพิโรธ
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและคำรามอย่างบ้าคลั่ง ร่างของเขากำลังเผาไหม้อยู่ในทะเลเพลิง มือมายายักษ์ยื่นออกมาจากไฟทำลายล้าง ยืดยาวขึ้นจากสามร้อยเมตรไปเป็นสามร้อยกิโลเมตร ก่อนจะกลายเป็นสามแสนกิโลเมตร และสามล้านกิโลเมตร มันขยายขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่เท่าดาวเคราะห์ พุ่งเข้าไปยังพายุหมุนหลุมดำ มุ่งหน้าไปยังโลก…หมายจะคว้าดวงดาวสีฟ้าเอาไว้ในอุ้งมือ!
สถานการณ์ที่พลิกผันนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ภาพในพายุหมุนแสดงให้เห็นดาวโลกที่เริ่มไร้ซึ่งสีสัน ดาวเคราะห์บ้านเกิดหวังเป่าเล่อกำลังถูกดูดพลังชีวิต ดาวที่เขาเกิดและเติบโต ที่ที่บิดามารดาของเขาอาศัยอยู่ ที่ที่มีทุกสิ่งที่เขารัก!
ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้าในดวงจิต ทำให้ขีดความสามารถที่แท้จริงของเขาถูกปลดออก ตราสัญลักษณ์เปลวไฟสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของชายหนุ่ม ก่อนกระจายไปทั่วทุกพื้นที่บนร่าง ตรานั้นมาพร้อมอาการปวดร้าว หวังเป่าเล่อกรีดร้อง ดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน จิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตมั่นคงสมบูรณ์ในที่สุด!
ห้วงเวลาไพศาลที่ถือกำเนิดมาเนิ่นนานและไร้จุดสิ้นสุด กระโจนผ่านอวกาศกว้างใหญ่เข้ามาในใจของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ถึงโลงศพและสิ่งที่อยู่ภายใน นี่คือพลังอำนาจของสำนักแห่งความมืด พลังที่แข็งแกร่งเกินจินตนาการแต่ก็ยินยอมให้เขารับไปได้ ความรู้สึกนี้นำมาซึ่งความอบอุ่นที่คุ้นเคย!
ราวกับเป็นความอบอุ่นของฝนที่ตกลงมาในฤดูใบไม้ผลิ มันเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจและวิญญาณของเขา ปลดเปลื้องเขาออกจากพันธนาการของความเจ็บปวด และภัยอันตรายของการดันขีดจำกัดตนเองเพื่อปลดปล่อยพลังสูงสุด มันทำให้หวังเป่าเล่อมีแรงยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่มือยักษ์ของโยวหรัน ซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาโลกอันเป็นที่รัก!
“ดวงวิญญาณ จงมา!”
ในตอนนั้นเอง ดาวพลูโตก็เริ่มสั่นสะท้าน พื้นผิวที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งยุบตัวลง รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนผิวดาว กระแสพลังปราณพวยพุ่งออกจากรอยแยกนั้น พลังที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ใต้ดินมาหลายหมื่นหลายพันปีหรืออาจนานกว่านั้น บัดนี้กำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบนด้วยปีกแห่งความเป็นอิสระเสรี!
บทที่ 725 กำจัดให้สิ้นซาก!
ห้วงจักรภพสั่นสะท้านด้วยกระแสพลังปราณที่พวยพุ่งออกจากดาวพลูโต กระจายไหลหลากไปทั่วระบบสุริยะ!
ในวินาทีนั้น ดาวพลูโตกลายเป็นศูนย์กลางระบบสุริยะไปชั่วขณะ กระทั่งแสงอาทิตย์ยังอ่อนลงไปไม่น้อยเมื่อกระแสปราณมหาศาลไหลบ่าออกจากดาวพลูโต พื้นผิวของดาวดวงสุดท้ายในระบบสุริยะสั่นสะเทือนราวกับกำลังจะพังทลาย รอยแยกปรากฏขึ้นบนพื้นน้ำแข็ง แตกร้าวลึกและขยายอาณาเขตออกเรื่อยๆ เหมือนเป็นใยแมงมุมยักษ์ ภายในพริบตา…รอยแตกเหล่านั้นก็คลุมไปทั่วผิวดาว
หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากทุกซอกทุกมุมของรอยแตก เข้าห่อหุ้มดาวเอาไว้ทั้งดวง ดาวพลูโตมืดมิดหายไปจากสายตา สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ให้มอง…คือก้อนหมอกสีดำยักษ์ในอวกาศ!
หมอกมืดปั่นป่วนสะท้าน เริ่มเปลี่ยนรูปร่างจากทรงกลมไปเป็นบางสิ่งที่ยาวกว่า เมื่อการกลายสภาพสิ้นสุดลง…สิ่งเดียวที่เหลืออยู่บนห้วงอวกาศคือโลงศพยักษ์ขนาดมหึมา!
โลงศพนี้เก่าแก่จนนับเวลาไม่ได้ กลิ่นอายแห่งความโบราณเหนือกาลเวลาแผ่ออกมาทันทีที่มันอุบัติขึ้นในอวกาศมืดมิด พลังปราณหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงจักรวาลโดยรอบ เสียงเพลงโบราณของสำนักแห่งความมืดลอยจากโลงศพมาเข้าหู!
เพลงนี้แปลกประหลาดและแพร่กระจายไปได้ไกล ภายในชั่วอึดใจเดียว ทั้งระบบสุริยะก็เสนาะไปด้วยท่วงทำนองนี้ ทั้งบนดาวอังคารและโลก สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในจักรภพ กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังนิทราอยู่ที่ปลายกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังหลบบทเพลงนี้ไม่พ้น…ท่วงทำนองนี้สดับเข้าโสตประสาทของทุกสิ่งทุกอย่าง ชัดเจนแจ่มแจ้งทุกถ้อยคำ!
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”
ท่วงทำนองแห่งความตายกังวานไปทั่วดาราจักร ดวงเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกมันหยุดโคจรรอบดวงอาทิตย์และหยุดหมุนรอบตนเอง ดาวหางและมวลฝุ่นในห้วงอวกาศปราศจากการเคลื่อนไหว ทุกกฎของจักรวาลตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบทเพลงนี้ ไม่อาจกลับไปทำหน้าที่ของตนเองตามปกติได้อีกต่อไป
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ภายใต้วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ล้วนถูกบทเพลงจากโลงศพเข้าครอบงำทั้งสิ้น ทั้งระบบสุริยะกลายเป็นภาพเขียนที่ถูกหยุดนิ่งอยู่ในห้วงหนึ่งของกาลเวลา!
ในภาพเขียนนี้มีสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีดาวทุกดวง มีทุกจิตวิญญาณ และแน่นอนว่าย่อมมีทั้งโยวหรันและจื่อเยว่…อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน!
แต่กลับไม่มีหวังเป่าเล่อ
ในฐานะบุตรแห่งความมืด เขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติทั้งปวง หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดวิจิตร หากแต่เป็นผู้ที่ยืนพินิจมัน
ชายหนุ่มยืนอยู่บนดาวซีรีส มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ประสาทสัมผัสของเขาทอดยาวลึกซึ้งตามอำนาจบทเพลงที่แพร่กระจายออกไปไกล ราวกับเขาสามารถมองเห็นทั้งระบบสุริยะได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว
ชายหนุ่มเห็นดาวเคราะห์ เม็ดฝุ่น และชีวิตมากมายหลายล้านชีวิต ในทุกชีวิตนั้น เขาเห็นเงามืดพร่าเลือนที่หมุนวนรอบกายพวกเขา เงามืดพร่าเลือนนั้น…คือสิ่งที่สำนักแห่งความมืดรู้จักดีในฐานะดวงวิญญาณ เป็นสิ่งที่บอกถึงการมีชีวิตอยู่!
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหากเขาต้องการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณนับล้านล้านด้วงในระบบสุริยะนี้ เขาก็แค่ต้องคิดเท่านั้น ไม่มีกฎใดในจักรภพอันกว้างใหญ่นี้ที่จะหยุดเขาไม่ให้ทำเช่นนั้นได้ กระทั่งเต๋าสวรรค์ยังทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งอำนาจที่จะหยุดยั้งเขา!
“ข้าอาจไม่ทรงพลังพอที่จะทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้ แต่…ทางที่ข้าเลือกเดินจะทำให้ข้าใช้พลังนี้ได้สำเร็จในวันหนึ่งแน่นอน ข้ามั่นใจว่าจะทำได้ก่อนที่จะพัฒนาขีดความสามารถของตนเองไปจนสุดด้วยซ้ำ!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะมองภาพวาดระบบสุริยะเบื้องหน้า เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าหากพลังปราณของตนสูงกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาอาจทำได้แม้กระทั่ง…เปลี่ยนกฎที่ควบคุมจักรภพนี้ได้เสียด้วยซ้ำ
เขาสามารถเปลี่ยนที่ตั้งของดวงดาว ตัดสินใจได้ว่าดวงใดควรอยู่นิ่ง ดวงใดควรโคจรรอบดวงอาทิตย์ เขาจะทำได้แม้กระทั่งสั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดฉายแสง ทำลายมันเป็นชิ้นๆ เปลี่ยนโครงสร้างของมันจากแก่นใน เขาจะเปลี่ยนได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ ทุกสิ่งในระบบสุริยะแห่งนี้!
“แบบนี้เองสินะ สำนักแห่งความมืดถึงได้น่าเกรงขามเหนือใคร” หวังเป่าเล่อกระซิบกับตนเอง เข้าใจอำนาจที่แท้จริงของสำนักแห่งความมืดอย่างแจ่มแจ้ง
สำนักแห่งความมืดเปรียบเสมือนปากกาที่มอบอำนาจในการเปลี่ยนความจริงให้ผู้ที่ถือมัน!
พวกเขาไม่ได้มีเพียงอำนาจควบคุมความตายของคนในฐานะเต๋าสวรรค์เท่านั้น…แต่ยังมีอำนาจเปลี่ยนเต๋าสวรรค์ได้ด้วย แม้สำนักแห่งความมืดจะดูเหมือนกลุ่มอำนาจที่ทำงานรับใช้เต๋าสวรรค์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…เต๋าสวรรค์ต่างหากที่เป็นวัตถุเวทของสำนักแห่งความมืด วัตถุเวทที่มอบอำนาจการเปลี่ยนกฎแห่งจักรวาลได้ตามใจนึก!
แม้แต่สำนักแห่งความมืดที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ยังจบสิ้นลงได้ แต่ต่อให้สำนักกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ไปแล้ว พลังของมันที่ยังคงอยู่ในจักรวาลแห่งนี้ ก็ยังมีอำนาจเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างได้เช่นกัน… โลงศพที่ฝังอยู่ในดาวพลูโตมานานเท่าใดก็ไม่มีใครทราบโลงนี้ ถือเป็นหนึ่งในขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ของสำนักแห่งความมืด!
ชายหนุ่มตกอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ดีว่าพลังที่โลงศพแผ่ออกมานั้นเป็นของใคร มันจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากอาจารย์ของเขานั่นเอง!
ความทรงจำของเขาในมิติมืดทำให้เขารู้ความจริงข้อนี้ดี โลงศพนี้เป็นหนึ่งในแผนการที่อาจารย์วางไว้ให้เขา สำหรับเขาแต่เพียงผู้เดียว อาจารย์ของเขาบิดอำนาจแห่งเต๋าด้วยวิธีการใดก็ไม่อาจทราบได้ เพื่อส่งโลงศพนี้ผ่านเวลาและอวกาศมาอุบัติขึ้นภายในดาวพลูโต
หวังเป่าเล่อที่จิตใจหนักอึ้งด้วยความรู้สึกขอบคุณและความเศร้าโศก เริ่มสำรวจดูผู้คนในภาพระบบสุริยะเบื้องหน้า ดวงตาของเขากวาดผ่านทุกคน มาหยุดอยู่ที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน
ชายหนุ่มมองดวงวิญญาณของโยวหรัน เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่สิงสู่อยู่ในดวงวิญญาณนั้น เป็นจื่อเยว่นั่นเอง!
การมีอยู่ของจื่อเยว่แตกต่างจากผู้อื่น นางไร้ซึ่งกายหยาบ เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์วิญญาณมายาบางเบาที่เร้นกายอยู่ภายในวิญญาณของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน
หวังเป่าเล่อกวาดตามองทั่วทั้งระบบสุริยะอีกครั้ง เขาพิจารณาเรือบินรบเต๋ามรณะและกระบี่สำริดเขียวโบราณ ร่างจริงของจื่อเยว่ไม่ได้อยู่ในที่ใดจากทั้งสองที่ แต่สิ่งที่เขาเจอ…กลับเป็นเส้นด้ายที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นที่เชื่อมโยงเข้ากับเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของนาง และยืดขยายออกไกลนอกระบบสุริยะ
ข้าเข้าใจแล้ว จื่อเยว่ตัวจริงไม่ได้อยู่ที่นี่ สิ่งที่เรากำลังต่อกรด้วยคือเมล็ดพันธุ์วิญญาณของนางต่างหาก!
หวังเป่าเล่อหรี่ตา สายตาคมกริบไล่ตามเส้นด้ายพยายามที่จะมองไปยังจักรวาลอันไกลโพ้น แต่เขาก็จับไม่ได้ว่าปลายทางของเส้นด้ายนั้นอยู่ที่ใด แววเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตาของชายหนุ่ม เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปที่โยวหรัน!
โลงศพบนดาวพลูโตสั่นสะท้าน ฝาโลงค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย บทเพลงที่ขับขานยิ่งทวีความดังขึ้นอีก ตามมาด้วยแขนสีดำสนิทที่ยื่นออกจากโลงศพนั้น มันขยายขนาดจนมโหฬาร ยื่นเข้าไปในภาพวาดระบบสุริยะหมายจะคว้าตัวโยวหรัน!
แขนยักษ์สีดำนั้นรวดเร็วมาก มันข้ามจักรวาลกว้างใหญ่ในพริบตามาปรากฏตรงหน้าเป้าหมาย มันยื่นเข้าไปในกายโยวหรัน จับวิญญาณของเขาและเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของจื่อเยว่ที่อยู่ในวิญญาณเอาไว้โดยไร้ซึ่งความลังเล!
ทั้งโยวหรันและเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของจื่อเยว่หมดสิ้นซึ่งอำนาจเมื่อเผชิญหน้ากับมือยักษ์ ไร้ซึ่งความสามารถในการขัดขืน จนหลุดออกจากร่างของโยวหรันได้โดยง่าย ก่อนจะถูกดึงหายเข้าไปในโลงศพ
ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในพริบตา ชั่วครู่เดียวมือยักษ์ก็กลับไปอยู่ในโลงศพอีกครั้ง ฝาโลงปิดลงเสียงดังตึง และหมอกมืดหนาก็เริ่มจางหาย โลงศพกลายสภาพกลับเป็นหมอกดำ แทรกซึมชอนไชเข้าไปในดาวพลูโตดังเดิมตามทางที่มันออกมา จากนั้นรอบแตกใยแมงมุมบนดาวก็ปิดสนิทราบเรียบอีกครั้ง
ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น!
ดาวพลูโตกลับไปอยู่ในสภาพเดิม ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ในระบบสุริยะเริ่มโคจรอีกครั้ง ฝุ่นธุลีเริ่มลอยอย่างไร้จุดหมายในห้วงความเวิ้งว้าง แสงอาทิตย์กลับมาสว่างเจิดจ้าไปทั่วดาราจักร ทุกสิ่งกลับมาอยู่ในถ่วงทำนองแห่งการมีชีวิตดังเดิม!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจเป็น…ความจริงที่ว่าไม่มีใครสักคนเดียวล่วงรู้ ว่าเวลาได้หยุดลงชั่วขณะ ไม่แน่ว่าสิ่งเดียวที่ได้รับรู้ความจริงข้อนี้ และได้เห็นความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในระบบสุริยะ ก็คือร่างของโยวหรันที่ชีวิตดับลงแล้วนั่นเอง!
ร่างของโยวหรันเหี่ยวย่นลงในทันที และดับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านพัดกระจายไปทั่วอวกาศ รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแถบดาวเคราะห์น้อย
ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาดับสลายอย่างไร้ร่องรอย!
ความตายของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำให้แสงในดวงตาของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นบนดาวอังคารดับวูบลง พวกเขาร่วงลงกลับพื้นกลายเป็นเศษธุลี เพราะชีวิตถูกผูกติดอยู่กับการมีอยู่ของโยวหรัน
เมี่ยเลี่ยจื่อและคนอื่นๆ ที่ถูกควบคุมจิตใจตัวสั่นเทิ้ม สติกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง!
อำนาจที่อ่อนแอลงของอภิมหาวงแหวนปราณระบบสุริยะ ทำให้ไม่มีใครได้เห็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างหวังเป่าเล่อและโยวหรัน กระนั้นเมื่อผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่อยู่บนดาวอังคารทุกคนเห็นคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกลายเป็นธุลีดิน และเห็นเมี่ยเลี่ยจื่อกับคนอื่นๆ กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ความตื่นเต้นปีติก็ล้นเอ่อขึ้นมาในดวงตา พวกเขาเดาได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
แต่ก็ไม่มีทางยืนยันได้ทันทีว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกหรือไม่ กระนั้นสิ่งเดียวที่แน่นอนก็คือ สงครามที่อาจทำให้สหพันธรัฐต้องสูญสิ้น…ได้ปิดฉากลงแล้วในที่สุด!
ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็กระอักเลือดออกมาและร่วงลงบนพื้น อาการบาดเจ็บที่แบกรับเอาไว้บนบ่าทั้งหมดจากการใช้พลังเกินตัว เบาบางลงเมื่อได้รับการเยี่ยวยาจากอาจารย์ก็จริง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสไม่มีชิ้นดี ดังนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ความตึงเครียดตื่นตัวจากการรบก็ไหลออกจากร่าง ชายหนุ่มทนยืนอยู่ไม่ได้อีกต่อไปและหมดสติไปในทันที
ในตอนนั้นเอง…ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลแสนไกลจากระบบสุริยะ มีดาราจักรหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของดวงดาวแปลกประหลาดดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ เลือด และเนื้อปกคลุมอยู่ทั่วทุกพื้นผิว เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าจุดหนึ่งบนผิวดาวที่อยู่ท่ามกลางกองเถาวัลย์ เลือด และเนื้อ มีใบหน้าหนึ่งที่หลับตาพริ้มปรากฏอยู่
แม้ใบหน้านั้นจะดูไม่แจ่มชัดนัก แต่มองปราดเดียวก็รู้ทันที…ว่าเป็นจื่อเยว่!
ดวงตาของนางเปิดออก ในดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยมิติมากมาย และดวงตาอีกหลายหมื่นคู่ซ้อนทับกันอยู่ภายใน ในดวงตาแต่ละดวงมีร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ทันใดนั้นร่างๆ หนึ่งก็เกิดรอยร้าวและแตกสลาย
“หวังเป่าเล่อหรือ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น