หมอดูยอดอัจฉริยะ 714-717

 ตอนที่ 714 เร้นกาย (2)

ทางเข้าออกจากหุบเขาถูกเยี่ยเทียนปิดผนึกไว้จากด้านนอกแล้ว ส่วนด้านในเขาก็ใช้ศิลาก้อนใหญ่ปิดทางไว้ และเยี่ยเทียนยังส่งกระแสจิตไปบอกมังกรดำด้วยว่าอย่ามารบกวน ยามนี้ทั่วทั้งหุบเขาจึงมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่สายลม


เมื่อพิจารณาดูหยกที่อยู่ในมือชิ้นนั้น และเห็นลวดลายสีครามลักษณะเหมือนลายไม้เด่นชัดขึ้นมา เยี่ยเทียนก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้น ถ้าจะจัดประเภทให้ละก็ หยกชิ้นนี้และหยกดำนั้นก็น่าจะเป็นธาตุไม้


เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิ สองมือซ้อนกันวางไว้ที่จุดตันเถียน หายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาลง ประกายสีขาวสว่างวาบขึ้นมาที่จุดอิ้นถัง จิตดั้งเดิมแผ่ซ่านออกมาจางๆ ตามแขนขา


“หยินสูงสุดคือหก ไฉนจึงเรียกเก้าหยิน ไท่จี๋กำเนิดสองลักษณ์ ฟ้าดินแยกจากกัน สรรพสิ่งในฟ้าดินนั้นไซร้ ประกอบด้วยหยินและหยาง เหตุและผลแห่งการเปลี่ยนแปลง ลางเป็นตายปรากฏ พบร่องรอยโดยมิต้องเสาะแสวง ปรากฏโดยมิต้องนัดหมาย…”


เมื่อจิตดั้งเดิมเริ่มโคจรตามวิถี พลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินอันหนาแน่นภายในหุบเขาก็พุ่งเข้าสู่จิตดั้งเดิมเหมือนผึ้งกลับรัง รอบกายเยี่ยเทียนราวกับมีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง จนร่างของเขาดูเลือนรางไป


ขณะเดียวกันนั้นเอง หยกที่อยู่ในฝ่ามือชิ้นนั้นก็แผ่ปราณวิเศษออกมาทีละน้อย แล้วถ่ายเทเข้าสู่จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนกลับใช้จิตดั้งเดิมเป็นสื่อนำ ถ่ายเทพลังปราณชีวิตทั้งหมดเข้าสู่กายเนื้อ


ในช่วงที่เกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 นั้น เยี่ยเทียนเดิมก็บาดเจ็บภายในอยู่แล้ว แต่เพื่อที่จะช่วยชีวิตมารดา สุดท้ายจึงปลดปล่อยพลังที่แฝงเร้นอยู่ในกายออกมาได้


แต่ระหว่างที่เยี่ยเทียนไม่ทันได้ป้องกันตัว แรงกระแทกที่หลังครั้งนั้นก็ทำให้จุดตันเถียนตำแหน่งกลางและตำแหน่งล่างของเขาเสียหายหมด และพลอยทำให้เส้นลมปราณทั่วร่างเปราะขาดไปด้วย แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจรวบรวมพลังปราณให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกเลย


แต่หลังจากที่ปราณวิเศษอันอบอุ่นนี้ถ่ายเทเข้าสู่ร่าง ร่างกายของเยี่ยเทียนก็ราวกับไม้แห้งที่ฟื้นคืนชีพในฤดูใบไม้ผลิ เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายต่างพยายามดูดซับปราณวิเศษเหล่านั้นไว้ เส้นลมปราณที่เคยเปราะแตกเสียหายก็เหมือนจะกำลังฟื้นฟูอย่างช้าๆ


แต่กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างแสนเชื่องช้า ถ้าจะเปรียบร่างกายของเยี่ยเทียนเป็นดั่งศิลาแกร่ง ปราณวิเศษที่แผ่ออกมาจากหยกชิ้นนั้นก็จะเปรียบเหมือนน้ำที่หยดใส่ศิลา ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกายเนื้อของเยี่ยเทียนไปทีละน้อย จนประสบผลเหมือนน้ำที่หยดลงมาอย่างต่อเนื่องจนเกิดรูบนหินในที่สุด


การฝึกหลอมจิตดั้งเดิมนั้นแตกต่างจากการดูดซับปราณวิเศษมาบำรุงกายเนื้อในระดับขั้นหลอมปราณสู่จิต ในสถานการณ์เช่นนี้ จะต้องใช้ปราณวิเศษเป็นปริมาณมหาศาลอย่างยิ่ง


“มิน่าล่ะพวกผู้บำเพ็ญพรตถึงได้หายสาบสูญไปกันหมด ในโลกของปุถุชนฆราวาสนี่ไม่มีทางจะฝึกได้สำเร็จอยู่แล้วละ!”


หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ปราณวิเศษจากฟ้าดินที่สะสมอยู่ในหุบเขามานานไม่รู้กี่ปีแล้วนั้นก็ถูกเยี่ยเทียนดูดรับไปจนหมดไม่มีเหลือ เยี่ยเทียนจึงทำหน้าเจื่อนๆ ขึ้นมาเล็กน้อย


พลังฝีมือของเยี่ยเทียนเพิ่งจะเริ่มแตะถึงระดับเซียนเท่านั้น แต่ปราณวิเศษในฟ้าดินกลับไม่เพียงพอให้เขาใช้เสียแล้ว แล้วถ้าเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีวิทยายุทธสูงส่งพวกนั้นล่ะ เวลาหายใจแต่ละทีมิสูบพลังปราณชีวิตเหล่านี้จนหมดเกลี้ยงไปเลยหรือ?


“เอ๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจะหยุดการดูดรับปราณวิเศษจากภายนอกไปก่อน เพื่อที่จะตั้งจิตกับการดูดปราณวิเศษจากหยกมาบำรุงร่างกาย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่า ปราณวิเศษชนิดร้อนในบ่อน้ำร้อนซึ่งมีไอน้ำลอยคลุ้งอยู่นั้นกำลังถูกจิตดั้งเดิมดูดเข้าไปทีละน้อย


นี่เป็นปราณวิเศษชนิดหนึ่งที่เยี่ยเทียนยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน ซึ่งมีความบริสุทธิ์มากกว่าปราณวิเศษที่ล่องลอยอยู่ตามธรรมชาติมากนัก และก็มีแต่ปราณวิเศษของหยกที่อยู่ในฝ่ามือชิ้นนี้และหยกดำนั่นเท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงได้


“หรือว่าปราณวิเศษนี่จะแผ่ออกมาจากสิ่งที่อยู่ในบ่อน้ำร้อนนั่น?”


เยี่ยเทียนความคิดโลดแล่น แบ่งจิตดั้งเดิมออกมาส่วนหนึ่ง แล้วส่งไปตรวจดูหยกดำขนาดเท่ากำปั้นทารกที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อชิ้นนั้น เขาอยากจะเปรียบเทียบดูเสียหน่อยว่า ปราณวิเศษสองชนิดนี้แตกต่างกันตรงไหนบ้าง!


แต่ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงคือ เมื่อดวงจิตส่วนนั้นสัมผัสถูกหยกดำ ปราณวิเศษที่เย็นสุดขั้วสายหนึ่งก็สืบสาวตามดวงจิตนั้นเข้าไปในจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน


“แย่ละ น้ำไฟไม่เข้ากัน!” เยี่ยเทียนตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ขณะที่เขากำลังจะตัดขาดจากดวงจิตส่วนนั้น ก็สายเกินไปเสียแล้ว


ปราณวิเศษจากบ่อน้ำร้อนที่เก็บไว้ในจิตดั้งเดิมของเขา ตอนแรกยังนิ่งๆ อยู่นั้น กลับระเบิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับว่ามันอยากจะขับปราณวิเศษอันเย็นเฉียบนั้นออกจากจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน


แต่หยกดำที่อยู่ในอกเสื้อของเยี่ยเทียนก็ไม่ยอมแพ้ ส่งปราณวิเศษออกมามากขึ้นในเวลาเดียวกัน ปราณวิเศษที่มีธาตุแตกต่างกันทั้งสองชนิดจึงเริ่มต่อสู้กันภายในจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน


“บัดซบ ทำไมเราถึงได้ทำผิดพลาดไปแบบนี้นะ?!”


เยี่ยเทียนร่ำร้องอยู่ในใจ ตอนนี้ถึงเขาจะอยากหยุดก็หยุดไม่ได้แล้ว ปราณวิเศษทั้งสองชนิดนั้นราวกับจะเห็นจิตดั้งเดิมของเขาเป็นสมรภูมิรบ จะต้องสู้กันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งให้ได้


เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกทรมานอย่างเกินบรรยาย แต่ละครั้งที่ปราณวิเศษสองกลุ่มนั้นปะทะกัน ก็จะทำให้เขาปวดศีรษะราวกับจะระเบิด เพียงแต่ว่าการต่อสู้นั้นเกิดขึ้นภายในจิตดั้งเดิม เยี่ยเทียนอยากจะกู่ร้องออกมาก็ยังทำไม่ได้


และที่ทำให้เยี่ยเทียนตื่นตระหนกสุดขีดก็คือ บ่อน้ำร้อนที่อยู่ตรงหน้านั้นเหมือนจะรู้สึกว่าถูกยั่วยุหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงปล่อยพลังปราณชีวิตที่เข้มข้นจนแทบจะจับต้องได้ออกมา พลังปราณชีวิตทั้งหมดถ่ายเทเข้าสู่จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน จนจิตดั้งเดิมของเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว


เมื่อถึงระดับเซียนแล้ว แม้จะต้องการปราณวิเศษเป็นปริมาณมาก แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน เหมือนกับแก้วใบหนึ่งที่ใส่น้ำไว้จนเต็มแล้ว ถ้าเทน้ำลงไปอีก น้ำในแก้วก็จะล้นออกมา


ยามนี้จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนก็เปรียบได้กับแก้วใบหนึ่ง หลังจากพลังปราณชีวิตปริมาณมหาศาลนั้นไหลบ่าเข้ามา ก็บีบอัดปราณวิเศษที่แผ่ออกมาจากหยกดำไปรวมกันที่มุมหนึ่ง นอกจากนี้ปราณวิเศษที่เหลือยังแผ่ซ่านเข้าไปทางรูขุมขนบนผิวหนังของเยี่ยเทียนอีกด้วย


“บ้าเอ๊ย นี่จะเอาให้ถึงตายกันเลยใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนรู้สึกว่าร่างกายเป็นเหมือนลูกโป่งที่พองขึ้นมา ในทุกๆ เซลล์เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณชีวิตเหล่านั้น แต่เขายังไม่ทันจะคิดหาหนทางออกมาได้ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอีก


บนผาหินสูงสิบกว่าเมตรที่อยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน มีคลื่นของปราณวิเศษแผ่ออกมาโดยไม่ทราบที่มา เยี่ยเทียนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ ปราณวิเศษซึ่งมีลักษณะเหมือนกับปราณของหยกดำนั้นทุกประการ ก็เข้าไปร่วมสมรภูมิในจิตดั้งเดิมด้วยอย่างฉับพลัน


“อ้าว อยู่ๆ มันโผล่มาจากไหนเนี่ย?”


ยามนั้นเยี่ยเทียนแทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว ถ้ามีแค่พลังปราณชีวิตจากบ่อน้ำร้อนนั่น เมื่อปราณวิเศษของหยกดำขับมันออกไปได้แล้วทุกอย่างก็น่าจะสงบลงได้ แต่นี่จู่ๆ ก็มีปราณวิเศษมาจากไหนก็ไม่รู้ จึงยิ่งทำให้การต่อสู้คุกรุ่นมากขึ้นไปอีก


เคราะห์ซ้ำกรรมซัดของเยี่ยเทียนยังไม่จบเท่านั้น ปราณวิเศษกลุ่มนั้นซึ่งก็มีปริมาณมหาศาลเช่นกันไม่เพียงแต่ร่วมการต่อสู้ในจิตดั้งเดิมเท่านั้น ยังแบ่งตัวออกมาส่วนหนึ่งแล้วเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียนอีกด้วย


หนึ่งเย็นหนึ่งร้อน หนึ่งน้ำแข็งหนึ่งไฟ จากจิตดั้งเดิมไปจนถึงกายเนื้อ การปะทะชนกันแต่ละครั้งทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกองเพลิงและน้ำแข็งที่สลับกันรุมเร้า สีหน้าเดี๋ยวก็ดำเดี๋ยวก็ขาว รู้สึกทรมานจนเขานึกอยากจะตายไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย


“จบเห่แล้ว เราจะต้องมาจบสิ้นที่นี่จริงๆ รึเนี่ย?”


สติของเยี่ยเทียนเริ่มเลอะเลือนไปแล้ว ตอนนี้เขาสูญเสียการควบคุมทั้งจิตดั้งเดิมและกายเนื้อ ต่อให้อยากจะเรียกจิตดั้งเดิมกลับมาก็ทำไม่ได้แล้ว


เดิมทีจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนก็ไม่ได้รวมเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อถูกปราณวิเศษร้อนและเย็นกระทบกระเทือนอีก จึงเริ่มคลายตัวออกจากกันอย่างช้าๆ


ส่วนการกระทบกระเทือนจากปราณวิเศษในกายเนื้อนั้น ก็ยิ่งทำให้ร่างกายของเยี่ยเทียนบาดเจ็บเสียหายอย่างเละเทะ เส้นลมปราณที่หินวิเศษสีเทาครามก้อนนั้นช่วยฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว ก็ถูกทำลายไปจนหมดในชั่วพริบตา


เคราะห์ดีที่ตอนนี้จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนไม่อยู่กับร่าง ไม่เช่นนั้นแล้ว ความเจ็บปวดภายในร่างกายระดับนี้ แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็คงไม่อาจทนทานได้เช่นกัน


“ตูม!” หลังจากการปะทะครั้งหนึ่ง เยี่ยเทียนรู้สึกราวกับจิตดั้งเดิมถูกค้อนหนักทุบใส่ จนเขาไม่อาจทนต่อไปได้อีก จึงหมดสติไปทันที


แต่แม้ว่าเยี่ยเทียนจะสลบไปแล้ว ปราณวิเศษสองชนิดนั้นก็ยังไม่หยุดปะทะกันเลย ยังคงใช้เยี่ยเทียนเป็นสื่อกลาง ต่อสู้ชิงชัยกันอย่างเต็มที่ ปราณวิเศษที่เริ่มบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้นนั้นทำให้มีโลหิตซึมออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างของเยี่ยเทียน


เยี่ยเทียนในตอนนี้ไม่สามารถจะประคองร่างอยู่ในท่านั่งได้แล้ว ร่างจึงล้มฟุบลงไปกับพื้น และชักกระตุกเป็นครั้งคราวเนื่องจากการปะทะกันของปราณภายในกาย แต่อุ้งมือข้างขวาของเขากลับยังกำหยกสีครามชิ้นนั้นไว้แน่น


และในขณะนั้นหยกชิ้นนี้ก็ได้เข้าไปสู่จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนแล้วเช่นกัน ปราณวิเศษที่มันแผ่ออกมาดูเหมือนจะไม่ได้ถูกปราณวิเศษสองชนิดนั้นปฏิเสธขับไล่เลย และก็เป็นเพราะว่ามีมันอยู่ จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนจึงยังไม่สลายตัวไป


ขณะนี้ภายในจิตดั้งเดิมและในกายเนื้อของเยี่ยเทียนเปรียบได้กับการโรมรันระหว่างสองแคว้น นอกจากนี้ยังมีอีกฝ่ายหนึ่งคอยไกล่เกลี่ยประนีประนอมอยู่ แต่ฝ่ายที่เข้ามาไกล่เกลี่ยนั้นอ่อนแอเกินไป การต่อสู้จึงยังคงดำเนินต่อไป


เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ หยกที่อยู่ในกำมือของเยี่ยเทียนก็ระเบิดปราณวิเศษอันแข็งแกร่งออกมา ขณะเดียวกันปราณนั้นก็ถ่ายเทเข้าสู่จิตดั้งเดิมและกายเนื้อของเขา


ในขณะที่กำลังแผ่ปราณวิเศษออกมา หยกในกำมือชิ้นนั้นก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นผุยผง แต่ปราณวิเศษที่แข็งแกร่งเหนือธรรมดานั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงสมดุลของการต่อสู้นั้นไปแล้ว


เพราะผ่านการโรมรันกันมาเป็นเวลานาน ปราณวิเศษธาตุน้ำและธาตุไฟซึ่งไม่เข้ากันนั้นจึงสงบลงกว่าเมื่อก่อนหน้านี้เล็กน้อย


เมื่อปราณวิเศษธาตุไม้แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงกับสามารถแยกปราณวิเศษสองชนิดนั้นออกจากกันได้อย่างชัดเจนราวกับการแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้น และยังโคจรตามวิถีในจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนได้เองโดยไม่ต้องควบคุมอีกด้วย


ภายในกายเนื้อของเยี่ยเทียนก็กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกัน ปราณวิเศษสองชนิดที่อาละวาดไปทั่วภายในร่างของเขานั้น ถูกบีบอัดไปไว้ที่จุดตันเถียนตำแหน่งล่างของเขาจนหมด และก่อตัวเป็นรูปสัญลักษณ์หยินหยาง


เส้นแบ่งที่ตรงกลางสัญลักษณ์หยินหยางนั้น ก็ก่อขึ้นจากปราณวิเศษของหินวิเศษธาตุไม้นั่นเอง ปราณวิเศษชนิดนี้ไม่ได้สลายหายไปเลย กำลังดูดพลังงานจากปราณวิเศษสองกลุ่มนั้นอย่างช้าๆ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มผสมผสานกลมกลืนขึ้นมา


ตอนแรกรูปสัญลักษณ์หยินหยาง หนึ่งดำหนึ่งขาวนั้นก็ยังมีสภาพไม่คงที่ แต่เมื่อจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมา มันก็เริ่มเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของเขาอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็แผ่ปราณแท้ออกมาสายหนึ่ง หล่อเลี้ยงร่างกายของเยี่ยเทียนไว้


บนท้องฟ้าเหนือหุบเขานั้นดวงอาทิตย์ขึ้นและตกสลับกันไปเป็นวัฏจักร เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปครึ่งเดือน จิตดั้งเดิมที่ยังคงอยู่นอกร่างของเยี่ยเทียนนั้น ตอนนี้ก็มีตา จมูก ใบหู และเค้าโครงหน้าที่สมบูรณ์แล้ว ซึ่งจะเรียกว่าเป็นเยี่ยเทียนขนาดพกพาเลยก็ว่าได้


ขณะเดียวกัน ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงราวกับพลิกฟ้าดินเช่นกัน เนื่องจากปราณแท้ที่กำเนิดมาจากรูปสัญลักษณ์หยินหยางนั้น ได้ปรับเปลี่ยนกายเนื้อของเยี่ยเทียนไปทั้งหมด


ที่น่าตกตะลึงมากที่สุดคือ จุดสีดำและจุดสีขาวในรูปสัญลักษณ์หยินหยางที่จุดตันเถียนนั้น กลับก่อตัวขึ้นเป็นเม็ดพลังเน่ยตัน (ตันภายใน) สองดวงที่กำลังหมุนโคจรอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปราณแท้ที่ล่องลอยอยู่ในกายของเยี่ยเทียนเริ่มโคจรไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง


ตอนที่ 715 ระดับเซียนเทียน

“อ้าว ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย?”


เยี่ยเทียนค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เมื่อได้กลิ่นหอมของพื้นหญ้าติดอยู่ที่ปลายจมูก สมองก็กลับทำงานลัดวงจรไปชั่วขณะ “เราคงไม่ได้ตาฝาดไปนะ ในแดนปรภพก็มีทิวทัศน์แบบนี้ด้วยรึ? หรือว่าเพราะเราสั่งสมคุณธรรมไว้มาก ก็เลยได้ขึ้นตรงสู่สวรรค์เลย?”


เนื่องจากเยี่ยเทียนนอนตะแคงอยู่บนพื้น จึงมองไม่เห็นบึงน้ำลึกแห่งนั้น เบื้องหน้าเห็นเพียงเมฆหมอกล่องลอย รอบด้านมีปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์ ราวกับเป็นแดนเซียนก็ไม่ปาน


“แปลกจริง นี่…นี่ก็ยังอยู่ที่หุบเขานั่นเหมือนเดิมนี่นา เรายังไม่ตายรึเนี่ย?!”


หลังจากเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนถึงจะได้สติกลับมา และรีบลุกขึ้นมานั่ง แต่เขายังไม่ทันได้ดีใจที่รอดพ้นคราวเคราะห์มาได้ ก็กลับได้กลิ่นเหม็นโชยมาจากร่างของตัวเอง


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”


เมื่อเยี่ยเทียนก้มหน้ามองลงไปก็พบว่า บนมือและเท้าซึ่งอยู่นอกชายเสื้อและกางเกงนั้นมีโคลนสีดำเคลือบอยู่จนทั่ว กลิ่นเหม็นก็โชยมาจากจุดนี้นั่นเอง ช่างเป็นกลิ่นที่ชวนคลื่นไส้อาเจียนเหลือทน


เมื่อลองใช้มือเช็ดดู ขี้โคลนก้อนหนึ่งก็หลุดร่วงลงมาทันที แต่กลิ่นเหม็นนั้นก็อบอวลขึ้นมาจนเยี่ยเทียนต้องรีบกลั้นหายใจ เยี่ยเทียนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว กระโดดลงไปในสระน้ำที่อยู่ตรงหน้าทันที


“เอ๊ะ อุณหภูมิเหมือนจะไม่ได้ร้อนขนาดนั้นแล้วนี่?”


แม้ว่าในสระน้ำนั้นจะยังคงเดือดพล่านจนมีฟองน้ำผุดขึ้นมา แต่หลังจากที่เยี่ยเทียนลงไปอยู่ในน้ำแล้ว กลับรู้สึกสบายเป็นที่สุด เพราะน้ำในสระที่มีไอน้ำร้อนลอยขึ้นมาตลอดเวลานั้นมีอุณหภูมิพอเหมาะพอดีเลย


“อ้าวเฮ้ย ทำไมผิวเรากลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?” หลังจากโคลนบนร่างถูกเยี่ยเทียนขัดจนหลุดไปหมดแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า ผิวหนังของตัวเองกลายเป็นสีขาวเปล่งปลั่งดั่งหยก และเรียบลื่นผิดจากปกติ แม้แต่ผิวของเด็กสาวก็ยังเทียบผิวเขาไม่ติดเลย


“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”


เมื่อถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะคิดได้ว่าน่าจะลองตรวจร่างกายของตัวเองดู หลังจากความคิดนี้แล่นเข้ามาในสมอง จิตดั้งเดิมก็แสดงภาพของทุกๆ ตำแหน่งในกายเนื้อของเขาขึ้นมาในห้วงสมองทันที


“รูปหยินหยาง? จู่ๆ มันโผล่มาได้ยังไงกันน่ะ?”


เมื่อเห็นรูปสัญลักษณ์หยินหยางที่จุดตันเถียนใต้ท้องน้อย เยี่ยเทียนก็ตะลึงไปทันที


มีปราณแท้สองชนิดที่แตกต่างกันสุดขั้วอยู่ภายในกายของเยี่ยเทียนโดยที่ไม่ได้ปะปนกัน แต่กลับไปหลอมรวมเข้าด้วยกันที่รูปสัญลักษณ์หยินหยางนั้น กำเนิดเป็นปราณแท้ชนิดหนึ่งที่เยี่ยเทียนไม่เคยพบมาก่อน ไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงกายเนื้อของเขา


เยี่ยเทียนไม่สนใจจะชำระล้างร่างกายอีกต่อไปแล้ว เขาโดดออกมาจากสระน้ำไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นทันที จิตดั้งเดิมเคลื่อนไหว ประกายสีขาวพุ่งออกมาจากจุดอิ้นถังของเขา แล้วล่องลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าเยี่ยเทียน


“จิตแห่งหยาง นี่…นี่มันจิตแห่งหยางที่แท้จริงนี่นา เราเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว!”


เมื่อเห็นคนขนาดจิ๋วที่ก่อตัวขึ้นมาจนแทบจะจับต้องได้นั้นแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ฉายความตื่นเต้นยินดีออกมา แม้ว่าตอนนี้จิตแห่งหยางจะอยู่นอกร่าง แต่กายเนื้อของเขาก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ ซึ่งนับว่าแตกต่างจากก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก


“ไป!”


จิตของเยี่ยเทียนโลดแล่น จิตแห่งหยางซึ่งมีขนาดประมาณสี่สิบเซนติเมตรที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนั้นพลันอันตรธานหายไป และร่างฉบับจิ๋วของเยี่ยเทียนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือกระหม่อมของเยี่ยเทียนที่ระดับความสูงราวสามร้อยกว่าเมตร


เมื่อเห็นภูเขาฉางไป๋ซานซึ่งยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และเห็นรูปสัญลักษณ์หยินหยางเบื้องล่างที่ก่อขึ้นเองตามธรรมชาติแล้ว จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงจิตวูบไหว แล้วกลับเข้าสู่ห้วงความคิดในชั่วพริบตา


ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้ชัดแล้วว่า เขาได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้วจริงๆ และจิตดั้งเดิมก็ก่อตัวขึ้นอย่างมั่นคงอย่างยิ่ง กระแสพลังปราณชีวิตอันรุนแรงตามธรรมชาติจึงไม่อาจส่งผลกระทบต่อมันได้เลย


เพียงแต่เกี่ยวกับรูปสัญลักษณ์หยินหยางภายในกายนั้น เขากลับไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะเยี่ยเทียนยังไม่เคยได้รู้จักกับผู้บำเพ็ญเต๋าที่แท้จริงมาก่อน เขาจึงไม่รู้ว่าสภาพแบบนี้ถือว่าเป็นปกติหรือไม่


แต่ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านคลื่นลมมาก่อน จึงเข้าใจว่าในเวลาเช่นนี้ไม่สมควรที่จะเกิดอารมณ์เสียใจหรือดีใจอย่างรุนแรง ยามนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ ให้จิตใจของตนสงบลง แล้วกระตุ้นจิตดั้งเดิมให้สำรวจดูร่างกายของตนอย่างละเอียด


ความตกตะลึงค่อยๆ ฉายขึ้นมาบนใบหน้าของเยี่ยเทียน เนื่องจากเขาพบว่า ภาพโครงสร้างแต่ละจุดในร่างกายของเขามาปรากฏอยู่ในห้วงสมองอย่างละเอียดยิบ ราวกับว่าเขากำลังใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องขยายดูระบบโครงสร้างต่างๆ ของร่างกายอยู่ก็ไม่ปาน


หัวใจห้องบนซ้ายและบนขวากำลังเต้นดัง “ตุบๆ” ปอดทั้งสองข้างพองและยุบตามจังหวะการหายใจเข้าออก โลหิตไหลอยู่ในเส้นโลหิตราวกับแม่น้ำไหลบ่า กระทั่งเยี่ยเทียนยังได้ยินเสียงโลหิตไหลดัง “ซ่าๆ” อีกด้วย


และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ก่อขึ้นจากเซลล์ต่างๆ เหล่านั้นก็แทบจะโปร่งใสเลยทีเดียว ภายในไม่มีสิ่งปนเปื้อนอยู่เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ภาพไขกระดูกที่อยู่ในกระดูกทั่วร่างก็ยังปรากฏขึ้นภายในห้วงสมองของเยี่ยเทียนด้วย


นอกจากนี้รูขุมขนตลอดร่างของเยี่ยเทียนก็ปิดสนิทหมดแล้ว ร่างกายของเขาจึงเปรียบเหมือนโลกเล็กๆ ที่แยกออกจากโลกภายนอก จนเลือดลมและปราณแท้ไม่อาจรั่วซึมออกสู่ภายนอกได้อีกเลย ไม่ว่าเขาจะใช้พลังไปมากแค่ไหน ก็จะไม่ทำให้ฐานพลังของเขาได้รับความเสียหายใดๆ


เยี่ยเทียนเชื่อว่า หากตอนนี้เขาต้องประสบเหตุวินาศกรรม 9/11 อีกครั้ง ชิ้นส่วนพื้นอาคารชิ้นนั้นก็คงจะไม่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บใดๆ แก่เขาได้เลย เพราะตอนนี้อวัยวะภายในทั้งหมดของเขาถูกหล่อหลอมจนแข็งแกร่งดั่งทองคำเหล็กกล้าไปแล้ว


“นี่แหละระดับเซียนเทียน!” เยี่ยเทียนไม่อาจข่มกลั้นความยินดีไว้ในใจได้อีกต่อไป เปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น


ขณะที่แต่ละคนอยู่ในครรภ์ของมารดานั้น จะได้รับพลังหล่อเลี้ยงชีวิตจากมารดาเพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่ได้สัมผัสถูกวัตถุภายนอกใดๆ เลย และพลังจากมารดานั้นก็เรียกว่าแหล่งพลังก่อนกำเนิด ดังนั้นคนเราจึงมักจะใช้คำว่า บริสุทธิ์ ไปบรรยายถึงทารกแรกเกิด


แต่หลังจากที่คนได้กำเนิดมาแล้ว ก็จะเปลี่ยนจากการรับปราณภายในครรภ์เป็นการหายใจทางปากและจมูกแทน และเปลี่ยนผ่านจากระยะก่อนกำเนิดเป็นระยะหลังหลังกำเนิด


ระหว่างที่เติบโตขึ้นตามอายุ สิ่งปนเปื้อนในอากาศรวมถึงอาหารที่ได้รับหลังกำเนิดก็จะค่อยๆ สะสมขึ้นมาในร่างกาย จนกระทั่งถึงในวัยชรา ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายก็จะเสื่อมสภาพลง และโรคภัยต่างๆ ก็จะเริ่มรุมเร้า นี่เป็นสาเหตุและขั้นตอนทั้งหมดของการเกิดแก่เจ็บตายของคน


และสิ่งที่ผู้ฝึกวิชาบู๊และผู้บำเพ็ญพรตตั้งแต่อดีตกาลเสาะแสวงหามาตลอดก็คือ การทำให้ร่างกายของตนกลับสู่สภาพเดียวกับสมัยที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้ง ซึ่งก็คือการบรรลุถึงระดับเซียนเทียนนั่นเอง


ตอนนี้เซลล์ทุกๆ เซลล์ในร่างกายของเยี่ยเทียนล้วนสุกใสแวววาว แม้จะมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง แต่ระดับความเร็วในการเสื่อมสภาพของเซลล์ก็จะยังคงช้าลงกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว


ซึ่งก็หมายความว่า เยี่ยเทียนจะแก่ช้ากว่าคนทั่วไปมาก บางทีอีกสามสิบสี่สิบปีให้หลัง เขาอาจจะยังสามารถคงรูปลักษณ์หน้าตาให้มีสภาพเช่นเดียวกับในตอนนี้ก็เป็นได้


นอกจากนี้ อวัยวะภายในต่างๆ ระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง เส้นผมและขน เส้นโลหิตและเส้นลมปราณของเยี่ยเทียนก็ผ่านการหล่อหลอมขึ้นใหม่เช่นกัน ทั่วสรรพางค์กายเปล่งประกายอันอิ่มเอิบออกมาอย่างอ่อนๆ หากจะเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนร่างใหม่ ก็ถือว่าไม่ได้เกินไปเลย


หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างแท้จริง ตั้งแต่จิตดั้งเดิมไปจนถึงกายเนื้อของเยี่ยเทียนก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกฟ้าดิน หลังจากชำระล้างคราบสกปรกที่เกาะอยู่บนร่างกายไปหมดแล้ว เยี่ยเทียนยังถึงขนาดดมได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากภายในร่างกายของตัวเองอีกด้วย


“เอ๋? นี่มันออกมาจากในเลือดรึเปล่านะ?”


ตั้งแต่นี้ไปเยี่ยเทียนจะไม่มีเหงื่อออกอีกเลย เมื่อเขาลองสัมผัสดูอย่างละเอียดก็พบว่า โลหิตของเขาที่เดิมเป็นสีแดงเข้มนั้น กลับมีประกายสีทองปนอยู่ด้วยเล็กน้อย


“ล้างไขกระดูกเปลี่ยนโลหิต? เข้าใจแล้วละ ที่แท้การหลอมจิตสู่ความว่างก็คือการกลั่นสกัดกายเนื้อ พัฒนาไปถึงระดับที่สูงที่สุดที่มนุษย์จะไปถึงได้ จากนั้นก็หล่อเลี้ยงจุดตันเถียนต่อไปจนกระทั่งบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรค!”


ในใจของเยี่ยเทียนพลันเกิดการรู้แจ้งอย่างหนึ่ง ความสงสัยต่างๆ ระหว่างการฝึกครั้งก่อนๆ นั้น บัดนี้ก็พลันเข้าใจกระจ่างขึ้นมา บางทีหลังจากที่โลหิตในกายของเขากลายเป็นประกายสีทองไปจนหมดแล้ว ตอนนั้นก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้บรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคในที่สุด


หลังจากสัมผัสดูความเปลี่ยนแปลงในร่างกายเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็หลับตาลง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยจิตดั้งเดิมออกมา แต่ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น ดอกไม้ทุกดอก ผลไม้ทุกผลในหุบเขานี้ก็อยู่ภายในการรับรู้ของเขาทั้งหมดแล้ว


ขณะนี้โลกทั้งใบได้กระจ่างชัดแจ่มแจ้งขึ้นมาในใจของเยี่ยเทียน ถึงขั้นที่เขาสามารถสัมผัสถึงพลังชีวิตของต้นหญ้าที่เพิ่งจะแตกหน่อขึ้นมาในรอยแยกบนหน้าผาได้เลยทีเดียว


ดวงจิตโลดแล่น เน่ยตันสองดวงสีดำและสีขาวที่จุดตันเถียนนั้นเริ่มลอยโคจรหมุนเวียนในฉับพลัน เยี่ยเทียนขนลุกชันทั่วร่าง ปราณวิเศษในรูปของหมอกสีขาวปรากฏที่ใต้ร่างของเยี่ยเทียนเป็นสาย


ร่างกายของเยี่ยเทียนไม่ได้กระดุกกระดิกเลย แต่ร่างของเขากลับล่องลอยขึ้นมากลางอากาศ


สองเท้าออกแรงเพียงเบาๆ เยี่ยเทียนยืนอยู่บนหมอกขาวที่ก่อตัวกันเหมือนกลุ่มเมฆ เมื่อเขาก้าวเท้าขวาออกไป ปราณแท้กลุ่มหนึ่งก็พยุงยกฝ่าเท้าของเขาขึ้นมาเอง พาให้ร่างของเยี่ยเทียนลอยสูงขึ้นไปทีละนิด


เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณแท้ที่กำเนิดจากจุดตันเถียนอย่างไม่ขาดสาย เยี่ยเทียนก็เชื่อว่า ต่อให้เขาเหาะเหินไปไกลหลายร้อยกิโลเมตรภายในชั่วอึดใจเดียว ปราณแท้ก็จะไม่หมดไปแน่นอน คำกล่าวของคนโบราณที่ว่า เดินทางแปดร้อยลี้ในวันเดียวนั้น ก็นับว่าไม่ใช่คำกล่าวที่ไร้ต้นสายปลายเหตุเลย


เยี่ยเทียนค่อยๆ ลดร่างให้ลอยต่ำลง ปราณแท้ในรูปหมอกที่ก่อตัวอยู่ใต้ร่างของเขานั้น ก็ย้อนกลับเข้าสู่ร่างทันทีโดยผ่านทางรูขุมขน จึงไม่ได้สูญเสียพลังปราณไปเลยแม้แต่น้อย


“มิน่าล่ะในตำนานต่างๆ ถึงได้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเหาะเหินโดยขี่เมฆวิเศษ ที่แท้พอปราณแท้นี่แผ่ออกมาแล้ว ก็ดูเหมือนกับเมฆหมอกบนท้องฟ้าไม่มีผิด ถ้าใช้ปราณแท้ปกคลุมไว้ทั่วร่าง ถึงจะเหาะเหินอยู่บนฟ้าในเวลากลางวัน ก็คงจะไม่มีใครเห็นแล้วสินะ?”


การเข้าสู่ระดับเซียนเทียนนั้น ทำให้เยี่ยเทียนได้เข้าใจสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ทางเต๋าจากมุมมองใหม่ ผู้ที่มาถึงระดับนี้อย่างเขานั้น ในสายตาของคนธรรมดาก็ดูไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนแล้ว


อย่าว่าแต่สามารถขี่เมฆเหาะเหินได้เลย ลำพังแค่กายเนื้อของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำเหล็กกล้าเสียอีก แม้แต่ลูกกระสุนถ้าไม่ได้ยิงถูกจุดอ่อนอย่างเช่นดวงตาของเขา ก็จะไม่มีทางทำร้ายเขาได้เลยแม้แต่น้อย


เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ตอนที่หูหงเต๋อยิงปืนใส่นักพรตรูปนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าหูมีฝีมือยิงปืนแม่นยำ แต่ละนัดล้วนพุ่งเป้าไปที่ดวงตาทั้งคู่และจุดอิ้นถังแล้วละก็ ฝ่ายนั้นก็คงไม่คิดจะหลบหลีกปัดป้องหรอก


“ระหว่างที่เราสลบไปเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?”


แม้ว่าจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังรู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน เขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อ แต่หยกดำขนาดเท่ากำปั้นทารกนั้นกลับหายไปแล้ว หยกที่อยู่ในกำมือชิ้นนั้น ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมามันก็หายสาบสูญไปแล้วเช่นกัน


“หรือว่าเพราะเราดวงดี มีสวรรค์คอยช่วย?”


หลังจากขบคิดไปหลายตลบแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ เยี่ยเทียนจึงได้แต่ยกให้ทุกอย่างเป็นผลจากโชคชะตาของตัวเอง เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า ระหว่างตำแหน่งที่ตั้งของบึงน้ำมังกรดำและบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ มีหน้าผาที่สูงถึงร้อยเมตรอยู่แห่งหนึ่ง


หน้าผาแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนเส้นแบ่งระหว่างสองขั้วในรูปสัญลักษณ์หยินหยาง ปกติทั้งสองขั้วจึงแยกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีการข้องเกี่ยวปะปนกันเลยแม้แต่น้อย


แต่ขณะที่เขากำลังดูดรับปราณวิเศษธาตุไฟจากในบ่อน้ำร้อนนั้น ประสาทในสมองเกิดทำงานผิดพลาดขึ้นมาอย่างไรก็ไม่ทราบ ถึงได้ดูดรับปราณวิเศษธาตุน้ำนั้นเข้าสู่จิตดั้งเดิมด้วย


จุดวิเศษทั้งสองแห่งนี้ก่อกำเนิดขึ้นมานานเท่าใดแล้วก็ไม่ทราบ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการข้องเกี่ยวกันเลย สุดท้ายความสมดุลนี้กลับถูกเยี่ยเทียนทำลายไป


ขณะที่ปราณวิเศษธาตุน้ำกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จุดวิเศษในบึงน้ำมังกรดำที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของหน้าผานั้นก็เกิดการตอบสนองขึ้นมา จนถึงขั้นเริ่มต่อสู้กับปราณวิเศษธาตุไฟทั้งๆ ที่มีหน้าผาขวางกั้นอยู่


ตอนที่ 716 พลอยวิเศษก้นบ่อน้ำร้อน

การปะทะกันระหว่างปราณวิเศษสองชนิดนี้แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงอะไรนัก แต่กลับสร้างความทรมานให้แก่เยี่ยเทียนที่เป็นตัวกลาง


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขายังมีหินวิเศษธาตุไม้ในกำมือคอยเป็นตัวไกล่เกลี่ยให้ เยี่ยเทียนก็คงจะมอดม้วยมรณาไปเพราะการขับเคี่ยวกันระหว่างปราณวิเศษธาตุน้ำและธาตุไฟเสียนานแล้ว


และก็เป็นเพราะความโชคดีของเขา หินวิเศษธาตุไม้นั้นเดิมทีก็มีพลังปราณชีวิตในตัวมันเองอยู่แล้ว เมื่อมันมาช่วยปรับสมดุล ปราณวิเศษธาตุน้ำและธาตุไฟที่ตอนแรกไม่เข้ากันนั้น ก็ก่อรูปสัญลักษณ์หยินหยางขึ้นมาที่จุดตันเถียน ของเยี่ยเทียน แบบเดียวกับลักษณะภูมิประเทศของที่นี่


สองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วย เดิมทีผู้บำเพ็ญพรตจะสามารถสร้างเม็ดพลังเน่ยตัน (ตันภายใน) ได้เพียงดวงเดียว แต่ในจุดตันเถียนของเยี่ยเทียนกลับกำเนิดขึ้นมาได้สองดวง


ปรากฏการณ์เช่นนี้อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนที่รู้สึกสับสนงงงวยเลย ต่อให้เป็นยอดบุคคลสมัยโบราณเหล่านั้น ถ้าได้มาเห็นก็คงจะหาข้อสรุปไม่ได้เหมือนกัน


แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ เมื่อจุดตันเถียนอันแสนพิสดารของเยี่ยเทียนเริ่มรับและปล่อยปราณวิเศษ กระบวนการทั้งหมดก็จะดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก


แม้ว่าขณะนี้เยี่ยเทียนจะไม่ได้ตั้งจิต แต่ปราณวิเศษแห่งฟ้าดินก็กำลังถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเขาทีละน้อย ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ หลังจากไปหลอมรวมกันที่จุดตันเถียนแล้ว ก็กลายสภาพเป็นปราณแท้บริสุทธิ์ หล่อเลี้ยงร่างกายของเยี่ยเทียนไว้


“เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้นะ?”


หลังจากเยี่ยเทียนตรวจสภาพร่างกายเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ลับลงหลังภูเขาไปแล้ว เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีสัญญาณเครื่องนั้นออกมาจากกระเป๋า ก็พบว่าแบตเตอรี่หมดไปแล้ว


แม้แต่นาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังระดับโลกที่ซ่งเวยหลันให้มานั้น ก็หยุดเดินโดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน วันและเวลาจึงหยุดอยู่ที่วันที่เยี่ยเทียนเริ่มเร้นกายฝึกปราณนั่นเอง


“คงไม่ได้ผ่านไปนานเท่าไหร่หรอกมั้ง?” แตกต่างจากครั้งก่อนที่มีอาการหิวโหยหลังเสร็จจากการฝึกปราณที่เรือนสี่ประสานที่ปักกิ่ง เยี่ยเทียนในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกหิวโหยเลยแม้แต่น้อย


แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า หลังจากที่พลังปราณกลายสภาพเป็นปราณแท้แล้ว จะสามารถดูดรับปราณวิเศษที่ล่องลอยอยู่ตามธรรมชาติไว้ได้ทั้งหมด และใช้เป็นพลังงานเสริมกำลังให้แก่ร่างกายได้


การงดเว้นธัญญาหารที่คนโบราณกล่าวถึงนั้น ที่จริงแล้วยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเสวยปราณ


แต่บุคคลที่มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์เหล่านั้น ก็ยังคงต้องรับประทานของจำพวกหวงจิง (อึ่งเจ็ง) หรืออวี้จู๋ (เง็กเต็ก) ที่พบตามป่าเขาเป็นอาหารอยู่ดี มีเพียงผู้ที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จึงจะสามารถกินลมดื่มน้ำค้าง ตัดขาดจากโลกีย์ได้อย่างแท้จริง


อย่างเยี่ยเทียนในตอนนี้ ก็อยู่ในสภาพเดียวกับเซียนผู้หลุดพ้น หากรับประทานพืชพรรณธัญญาหารเหล่านั้นเข้าไป ก็จะกลับกลายเป็นว่าต้องใช้พลังขับอาหารเหล่านั้นออกไปอีก นับว่าเหนือชั้นยิ่งกว่าการงดเว้นธัญญาหารของคนโบราณเสียอีก


“ลองไปดูดีกว่าว่าในบ่อน้ำร้อนนี่มีอะไรอยู่กันแน่”


หลังจากตรวจดูความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปทางบ่อน้ำร้อนที่ลึกและมีไอน้ำลอย ขโมงขึ้นมา ตอนนี้พลังฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นมาก จึงรู้ว่าสามารถทนทานอุณหภูมิของน้ำในสระได้แล้ว


หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียน จิตแห่งเต๋าของเยี่ยเทียนก็เข้าใกล้ความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งเน้นการปล่อยให้เป็นไปตามที่ใจต้องการ เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่ไปขบคิดให้มากความอีก ก้าวเท้าเดินลงไปในบ่อทันที


“ปราณวิเศษในบ่อนี่ยังเข้มข้นยิ่งกว่าพลังปราณชีวิตในหุบเขาอีกนะเนี่ย!”


คราวก่อนเขาลงไปในบ่อเพียงเพื่อชำระล้างร่างกายเท่านั้น แต่คราวนี้เมื่อลงไปแล้ว เยี่ยเทียนก็กลับเริ่มเข้าใจมากขึ้น เขารู้สึกได้ว่า ปราณวิเศษจากน้ำในบ่อกำลังซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังอย่างไม่ขาดสาย


เยี่ยเทียนเคยเห็นสภาพของหูหงเต๋อที่เกือบจะถูกต้มจนสุกมาแล้ว เขาจึงไม่กล้าประมาท หายใจลึกๆ เข้าปอด แล้วปิดรูขุมขนทั่วร่าง เข้าสู่สภาพกักลมปราณไว้ภายในร่างกาย


ขณะเดียวกัน รอบกายเยี่ยเทียนก็มีรัศมีแพรวพราวเปล่งออกมาหนึ่งชั้น ราวกับว่ามีม่านคุ้มกันปรากฏขึ้นเหนือผิวกายของเขา แม้จะดูเหมือนว่าเขาอยู่ในบ่อ แต่ที่จริงแล้วน้ำในบ่อทั้งหมดถูกกั้นไว้ภายนอกด้วยม่านคุ้มกัน จึงไม่อาจสัมผัสถูกผิวกายของเขาได้เลย


บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ลักษณะเหมือนกับหลุมลึก หลังจากก้าวออกไปได้สามก้าว ร่างของเยี่ยเทียนก็จมลงไปในฉับพลัน ยามนี้ดวงอาทิตย์ตกลับหลังภูเขาไปแล้ว เมื่อเยี่ยเทียนจมลงไปในน้ำจนมิดถึงศีรษะ เบื้องหน้าสายตาก็มืดมิดไปทันที


ในคัมภีร์ทางเต๋าเคยบันทึกไว้ว่า หลังจากพลังฝีมือไปถึงที่ระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถใช้ตาแทนจมูก ใช้หูแทนตา ใช้ปากแทนหู ประสาทการรับรู้ทั้งหกสามารถแลกเปลี่ยนทดแทนกันได้หมด


ดังนั้นสำหรับเยี่ยเทียนแล้ว เพียงส่งจิตออกไปเล็กน้อย สภาพแวดล้อมรอบกายภายในรัศมีสิบกว่าเมตรก็จะปรากฏขึ้นในสมองของเขาอย่างชัดเจน กระทั่งยังแจ่มแจ้งยิ่งกว่ามองด้วยตาโดยตรงเสียอีก


“เอ๊ะ? มีแรงพยุงมากขนาดนี้เลยรึ?”


ไม่ว่าจะเป็นน้ำในทะเลหรือน้ำในแม่น้ำทั่วไป ต่างก็มีแรงพยุงสูงมากด้วยกันทั้งนั้น หากต้องการจะดำลงไปในน้ำ ก็จะต้องมัดวัตถุที่มีน้ำหนักมากไว้กับตัว หลังจากที่ร่างของเยี่ยเทียนจมลงไปได้ประมาณสามสี่เมตร ก็เริ่มจะลอยกลับขึ้นมาแล้ว


แม้จะยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระดับเซียนเทียนได้อย่างสมบูรณ์ แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับเยี่ยเทียนเลย เมื่อตั้งจิตถ่ายปราณแท้ไปไว้ที่เท้าทั้งสองข้างแล้ว ร่างกายของเยี่ยเทียนก็หนักขึ้นมาในทันใด จมดิ่งลงสู่ก้นบ่อราวกับลูกเกาทัณฑ์


“มังกรดำเคยบอกว่า ในบึงน้ำมังกรดำนั่นมีจุดรวมกระแสพลังอยู่ ท่าทางในบ่อน้ำร้อนนี่ก็คงจะมีเหมือนกันละนะ!”


ยิ่งจมลงไปลึกเท่าไร เยี่ยเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่าปราณวิเศษรอบด้านเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดำลงไปได้ห้าสิบกว่าเมตร ปราณวิเศษที่นั่นก็มีระดับความเข้นข้นสูงกว่าที่เมืองโบราณเสินหนงเจี้ยแล้ว


เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่าในบ่อแห่งนี้เหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร ยามนั้นจึงส่งจิตดั้งเดิมออกมา หลังจากคนขนาดย่อส่วนที่มีความสูงไม่เกินสามสิบเซนติเมตรนั้นปรากฏออกมาแล้ว ปราณวิเศษในสระน้ำก็แห่กรูเข้าไปในจิตดั้งเดิม


ระหว่างที่พลังปราณชีวิตปริมาณมหาศาลกำลังหล่อเลี้ยงจิตดั้งเดิมอยู่ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเทเข้าสู่กายเนื้อของเขาด้วย เน่ยตันทั้งสองดวงในจุดตันเถียนเริ่มหมุนเวียนด้วยความเร็วที่สูงขึ้นมากทันที และแปลงสภาพปราณวิเศษเหล่านี้ให้กลายเป็นปราณแท้ เติมเต็มเซลล์ทุกเซลล์ในร่างของเยี่ยเทียน


เมื่อเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ทั้งจิตดั้งเดิมและกายเนื้อต่างก็สามารถจุปราณวิเศษได้ในปริมาณที่สูงขึ้นมาก


แม้ว่าในบ่อนี้จะอุดมไปด้วยปราณวิเศษ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามากเกินไปเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสบายไปทั่วร่างจนเกือบจะครางออกมาแล้ว


“ให้ตายสิ แล้วหลังจากนี้จะไปหาดินแดนสวรรค์แบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะเนี่ย?”


เยี่ยเทียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจ “ถ้าสร้างถ้ำใต้น้ำไว้ที่ก้นบ่อนี่ แล้วอยู่ฝึกบำเพ็ญเสียที่นี่เลยมิยิ่งดีเข้าไปใหญ่รึ?”


แต่เขาก็เพียงแต่คิดดูเท่านั้น เพราะที่บ้านก็ยังมีทั้งพ่อแม่และภรรยาอยู่ เยี่ยเทียนไม่มีทางสละโลกไปมุ่งแสวงการบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้อยู่แล้ว ตอนแรกเขาก็ตั้งใจไว้แล้วว่า หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้แล้ว ก็จะกลับบ้านไปคอยดูแลบุพการี


“เอาเถอะ คนที่จะมาบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้ ก็คงจะมีแต่ยอดคนผู้บรรลุจินตัน หรือไม่ก็สิ่งมีชีวิตอย่างมังกรดำนั่นแหละนะ!”


เมื่อดำลึกลงไปอีกยี่สิบกว่าเมตร รอยยิ้มแห้งๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน เพราะแรงกดดันรอบด้านพลันเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณ แม้แต่ม่านคุ้มกันรอบกายที่ก่อขึ้นจากปราณแท้นั้นก็เริ่มสั่นคลอนขึ้นมาแล้ว


และตอนนี้เยี่ยเทียนก็เริ่มเข้าใจมังกรดำขึ้นมาแล้วเช่นกัน ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของเจ้าสัตว์ตัวนี้ ไม่ใช่ระดับที่มนุษย์คนใดจะเทียบเคียงได้เลย


ถ้าไม่ใช่เพราะถูกนักพรตรูปนั้นลอบโจมตี ใช้เชือกรัดมังกรดำไว้ก่อน ในบึงน้ำที่มีความลึกระดับนั้น ต่อให้นักพรตรูปนั้นมีพลังฝีมือสูงส่งแค่ไหน เมื่อลงมาอยู่ในน้ำแล้วก็จะต้องแบ่งพลังส่วนใหญ่ไปใช้ต้านทานแรงกดดัน ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของมังกรดำได้อยู่แล้ว


เยี่ยเทียนตั้งจิต ส่งปราณแท้ที่กำเนิดและโคจรอยู่ในจุดตันเถียนส่วนใหญ่ออกสู่ภายนอกร่างกาย แล้วม่านคุ้มกันที่กำลังคลอนแคลนใกล้จะพังทลายนั้นก็มั่นคงขึ้นมาทันที


“เอ๊ะ? ทำไมมีแสงสว่างล่ะ?” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพยายามต้านทานแรงกดดันใต้น้ำ ทันใดนั้นแสงสว่างดวงหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา


“นี่…นี่มันปากปล่องภูเขาไฟหรือว่าจุดรวมปราณวิเศษกันแน่เนี่ย?” เยี่ยเทียนมองไปตามทิศทางที่เปล่งแสงสว่างออกมา แล้วก็ตะลึงไปทันที รีบหยุดร่างไว้กับที่ ไม่กล้าดำดิ่งลงไปอีก


เยี่ยเทียนไม่ทันรู้ตัวว่า เขาได้ดำลงไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของบ่อแล้ว ภาพที่ปรากฏแก่สายตานี้จึงอยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง


บ่อน้ำแห่งนี้กินเนื้อที่ในหุบเขาเป็นบริเวณกว้างหลายร้อยตารางเมตร แต่เมื่อลงไปถึงก้นบ่อแล้ว กลับแคบลงจนเหลือเพียงสามสิบกว่าตารางเมตรเท่านั้น


ที่ตำแหน่งใจกลางของก้นบ่อ มีหลุมกลมขนาดราวสิบเมตรอยู่หลุมหนึ่ง ในหลุมนั้นเต็มไปด้วยลาวาสีแดงเพลิง ราวกับเป็นเหล็กหลอมเหลวที่ถูกเผาอยู่ก็ไม่ปาน เป็นภาพที่น่าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง


นอกจากนี้ลาวาสีแดงเพลิงนั้นยังเดือดพล่านขึ้นมาเป็นครั้งคราว จนมีลูกไฟกระเด็นจากก้นบ่อขึ้นมาที่ผนังด้านข้างหลายลูก เห็นแล้วให้ความรู้สึกราวกับว่ามันพร้อมที่จะระเบิดปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ


อุณหภูมิที่นั่นสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แม้จะมีระยะห่างจากก้นบ่ออีกยี่สิบกว่าเมตร แต่เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเบาๆ ตามผิวหนัง ความรู้สึกแบบนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับถูกแขวนอยู่เหนือเตาไฟเลย


“แม่เจ้าโวย นี่…นี่ถ้ามันปะทุออกมาละก็ ต่อให้เราเป็นเทพเซียนก็คงหนีไม่รอดหรอก”


เยี่ยเทียนใจหายเฮือก ตอนแรกเขานึกว่าที่ก้นบ่อจะมีจุดรวมปราณวิเศษอยู่ แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้น เรียกว่าเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่งที่ยังไม่ปะทุขึ้นมายังจะใกล้เคียงเสียกว่า


แต่เพราะสาเหตุใดลาวานี้ถึงไม่ปะทุขึ้นมา และก็ไม่ดับมอดไปทั้งที่อยู่ใต้น้ำนั้น เยี่ยเทียนกลับไม่อาจเข้าใจได้เลย สภาพที่ก้นบ่อนั้นขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด


แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนย่อมไม่มีจิตใจจะไปทำการสำรวจทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามถ้าได้รู้ว่าใต้ก้นของตัวเองมีปากปล่องภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่ออยู่ ก็คงจะต้องรู้สึกขนลุกขนชันกันทั้งนั้น


ตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็กำลังมึนอยู่เหมือนกัน เขาไม่กล้าแม้แต่จะใช้เท้าถีบไปที่ผิวน้ำ ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะลอยตัวกลับขึ้นไปเงียบๆ สายตาก็พลันสะกดนิ่งไปที่ผนังในบ่อนั้น


“หินนั่นสีแดงเป็นประกาย มีปราณวิเศษเต็มเปี่ยม หรือว่าจะเป็นพลอยวิเศษธาตุไฟ?” แม้จะไม่รู้ว่าหยกดำและพลอยสีเทาครามนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร แต่ในศิลาทั้งสองมีปราณวิเศษแฝงอยู่ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงตั้งชื่อให้พวกมันว่าพลอยวิเศษ


ขณะนั้นเยี่ยเทียนพบว่า บนผนังหินเหนือจาก ‘ปากปล่องภูเขาไฟ’ ขึ้นไปราวเจ็ดแปดเมตร มีหินพลอยที่เปล่งประกายแวววาวฝังติดอยู่เจ็ดแปดดวง หินพลอยเหล่านี้เป็นสีแดงล้วน และดูโดดเด่นสะดุดตาราวกับเป็นเพชรอัคคี


นอกจากนี้ จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนยังสัมผัสถึงไอปราณบางอย่างที่คุ้นเคยได้จากหินพลอยเหล่านั้น ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในหินพลอยเหล่านั้นเหมือนกับปราณวิเศษในบ่อน้ำลึกแห่งนี้ไม่มีผิด แต่กลับบริสุทธิ์เข้มข้นยิ่งกว่า


“พลอยวิเศษนี่ขนาดกับหูหงเต๋อยังใช้ได้ผลเลย บางทีอาจจะเอาไปช่วยพวกศิษย์พี่ใหญ่ได้ก็ไม่แน่นะ”


เมื่อเห็นหินพลอยเจ็ดแปดดวงนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็หยุดร่างที่กำลังจะลอยกลับขึ้นไปทันที ถึงเขาจะไม่รู้ว่า ตัวเองพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนได้อย่างไร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลอยวิเศษสองดวงนั้นและปราณวิเศษในหุบเขาแห่งนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญอย่างยิ่งยวดแน่นอน


สำหรับเยี่ยเทียนเองแล้ว การดูดรับปราณวิเศษจากพลอยวิเศษโดยตรง ยังได้ผลดียิ่งกว่าการดูดรับปราณวิเศษที่ล่องลอยอยู่ตามธรรมชาติเสียอีก ในเมื่อเขาพบมันแล้ว จะยอมกลับจากขุมสมบัติไปมือเปล่าๆ ได้อย่างไรกัน?


เยี่ยเทียนค่อยๆ เคลื่อนร่างไปหาผนังหินด้านหนึ่ง เพราะเขากลัวว่าความเคลื่อนไหวของตัวเองจะไปกระตุ้น ‘ปากปล่องภูเขาไฟ’ นั่นเข้า ถ้าต้องมาทิ้งชีวิตไปเพราะพลอยวิเศษเหล่านี้ แบบนั้นมันก็ไม่คุ้มกันเลย


หลังจากเข้าไปอยู่ชิดกับผนังหินอันร้อนฉ่าแล้ว ร่างของเยี่ยเทียนก็จมลงไปอีก และทุกๆ หนึ่งเมตรที่จมลงไป เขาก็จะรู้สึกว่าอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นทวีคูณ


ตอนที่ 717 การทดสอบจากอัสนีสวรรค์

เยี่ยเทียนอาจไม่รู้ว่า การเต้นระบำบนปลายมีดนั้นมีความรู้สึกเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เขากลับรู้แล้วว่า การเคลื่อนไหวอยู่เหนือปากปล่องภูเขาไฟนั้น ช่างเป็นรสชาติที่ย่ำแย่จริงๆ


อย่าว่าแต่อุณหภูมิที่สูงจนพอที่จะต้มคนให้สุกได้เลย แค่ภาพพื้นลาวาสีแดงฉานที่อยู่เบื้องล่างนี้ ก็พอที่จะทำให้ผู้พบเห็นแตกตื่นขวัญกระเจิงได้แล้ว แม้แต่เยี่ยเทียนที่เป็นคนใจกล้าบ้าบิ่น ตอนนี้ก็กำลังพยายามเคลื่อนไหวให้เชื่องช้าที่สุด เคลื่อนตัวทีละนิดๆ จนไปถึงผนังบ่อตำแหน่งที่มีหินพลอยอยู่


“เอ๊ะ? ติดแน่นขนาดนี้เลยรึ?” เยี่ยเทียนใช้มือแงะหินพลอยเม็ดหนึ่ง แต่หินพลอยนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย ราวกับมีรากฝังอยู่ก็ไม่ปาน


เยี่ยเทียนขบคิดดู แล้วหยิบมีดสั้นที่ได้มาจากนักพรตรูปนั้นออกมา ขุดลงไปบนผนังสระรอบๆ หินพลอยนั้น มีดสั้นเล่มนี้คมกริบเหนือธรรมดา เขาจึงได้หินพลอยนั้นมาอยู่ในมือทันที


หินพลอยนี้มีขนาดเท่ากำปั้นของเยี่ยเทียน เมื่อถูกแสงสีแดงเพลิงจากก้นสระสาดส่อง ก็ดูราวกับมีประกายสีแดงแพรวพราวอยู่ในหิน ทำให้ระยิบระยับจ้าตายิ่งขึ้นไปอีก


“ของดีนะเนี่ย สงสัยในบึงน้ำมังกรดำนั่นก็คงไม่มีเม็ดโตขนาดนี้หรอก!”


เมื่อถือหินพลอยอยู่ในมือแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่า อุณหภูมิรอบกายเหมือนจะสูงขึ้นมาอีกมาก ซึ่งก็ไม่ทราบว่าสาเหตุเป็นเพราะปากปล่องภูเขาไฟที่ก้นสระ หรือว่าพลังงานที่แผ่ออกมาจากพลอยวิเศษนี้กันแน่


ความแตกต่างของที่นี่และบึงน้ำมังกรดำคือ สถานที่นี้ไม่เคยมีมนุษย์ลงมาเลยนานนับร้อยนับพันปีแล้ว ที่ด้านข้างหินพลอยเม็ดนี้ยังมีพลอยวิเศษที่มีขนาดค่อนข้างเล็กอยู่อีกหกเจ็ดเม็ด เยี่ยเทียนย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว ยามนั้นจึงใช้มีดสั้นขุดพลอยเหล่านั้นออกมาทีละเม็ด


“บางทีอีกร้อยปีพันปีให้หลัง ที่นี่อาจจะให้กำเนิดหินพลอยแบบนี้ออกมาอีกก็ได้ละมั้ง?”


เยี่ยเทียนมองดูปากปล่องภูเขาไฟก้นบ่อที่เหมือนกับพร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อนั้นอีกครั้งหนึ่ง ในใจเริ่มกระจ่างขึ้นมาเล็กน้อย ที่นี่อาจดูเหมือนเป็นสถานที่อันเลวร้าย แต่กลับสามารถให้กำเนิดสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้


ถึงแม้ว่าตอนนี้เยี่ยเทียนจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว แต่ถ้าเขายังจะดำลงไปอีก คลื่นความร้อนนั้นก็อาจจะทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก จึงได้แต่เก็บหินพลอยไว้ แล้วลอยร่างขึ้นสู่ผิวน้ำ


“ฮ่า!” ศีรษะของเยี่ยเทียนโผล่ขึ้นมาพ้นผิวน้ำ แล้วอ้าปากพ่นลมหายใจ ปราณอันขุ่นมัวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไปจนเกิดคลื่นเป็นทางยาว


ขณะที่อยู่ใต้น้ำนั้นนอกจากจะต้องกักลมปราณไว้ในกายแล้ว ยังต้องต้านทานแรงกดดันอันมหาศาลและอุณหภูมิที่ร้อนจนเดือดเบื้องล่างนั้นอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับหูหงเต๋อ ดำลงไปได้สิบกว่าเมตรก็ทนไม่ไหวแล้ว


“ในเมื่อเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วละนะ!”


หลังจากขึ้นมาบนฝั่ง เยี่ยเทียนก็เริ่มคิดที่จะกลับออกไป ในหุบเขานี้แม้จะเป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญที่ดีเยี่ยม แต่สุดท้ายแล้วเยี่ยเทียนก็ยังคงเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่มีพันธะในโลกภายนอกอยู่มากมายเหลือเกิน


เยี่ยเทียนหาเสื้อผ้าชุดใหม่จากในกระเป๋ามาเปลี่ยน ใส่หินพลอยเหล่านั้นไว้ในกระเป๋าแล้วแบกขึ้นหลัง เขาไม่ได้เปิดศิลาใหญ่ที่ผนึกทางเข้าหุบเขาไว้ แต่ตั้งจิตเรียกไอหมอกให้ก่อตัวขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า


ผ่านไปไม่นาน ปราณแท้ก็ปกคลุมไปทั่วร่างของเยี่ยเทียน เมื่อก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างของเยี่ยเทียนก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศราวกับขึ้นบันไดสวรรค์


ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนเพียงแต่ส่งจิตดั้งเดิมออกจากร่างลอยขึ้นสู่ฟ้า แต่ตอนนี้กายเนื้อกำลังเหาะเหินด้วยเมฆวิเศษ จึงเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


เมื่อกระตุ้นปราณแท้ที่ใต้ฝ่าเท้า ร่างของเยี่ยเทียนก็ทะยานขึ้นราวกับหลุดจากแรงโน้มถ่วงของโลก เพียงชั่วพริบตาก็ไปอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูงสองร้อยถึงสามร้อยเมตรแล้ว


ขณะที่อยู่บนฟ้าสูง กระแสปราณอันรุนแรงจากรอบด้านไม่สามารถพัดเมฆที่ก่อขึ้นจากปราณแท้กลุ่มนี้ให้กระจายไปได้เลย จิตวิญญาณของเยี่ยเทียนราวกับจะคล้อยตามกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่งในจักรวาล จึงนึกอยากจะท่องไปในดินแดนอันไพศาลไร้ขอบเขต


“เลี่ยจื่อสามารถขี่ลมเหาะเหิน ลอยลิ่วตามลมน่าชมเชย หากเขายึดถือสัจธรรมแห่งฟ้าดินเป็นพาหนะ แลใช้ปราณทั้งหกเป็นแรงขับเคลื่อน ท่องไปในอนันต์อันไร้ที่สิ้นสุดแล้วไซร้…”


เยี่ยเทียนก้มหน้าลงไปมองดูผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ในใจพลันนึกถึงประโยคหนึ่งจากบทอิสระจรในคัมภีร์ ‘จวงจื่อ’ การที่ยอดคนท่านนี้สามารถกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ บางทีอาจเป็นเพราะท่านเคยผ่านประสบการณ์นั้นมากับตนเองก็เป็นได้


ตั้งแต่เยี่ยเทียนได้รู้ความลับบางอย่างจากปากของวานรขาว และตัวเขาเองได้ไปถึงระดับเซียนเทียนแล้ว ตำนานจากคัมภีร์เต๋าที่เคยได้ยินในอดีตเหล่านั้น ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ดูห่างไกลเกินเอื้อมถึงอีกต่อไป


“เอ๊ะ ลักษณะภูมิประเทศตรงนี้ดูแปลกๆ อยู่นะ”


ขณะที่กำลังทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง เยี่ยเทียนก็เปล่งเสียงอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะเขาพบว่า บึงน้ำมังกรดำนี้และบ่อน้ำพุร้อนแห่งนั้นมีหน้าผากั้นแยกจากกัน คล้ายกับรูปสัญลักษณ์หยินหยางที่จุดตันเถียนของเขาอย่างยิ่ง


“อาจจะเป็นเพราะเราได้รับพลังจากฮวงจุ้ยของที่นี่ก็ได้นะ!”


ในใจเยี่ยเทียนเหมือนจะตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ การที่ทั้งสองสิ่งคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้ หากจะกล่าวว่าเป็นความบังเอิญก็คงจะดูเกินจริงเกินไป เพียงแต่ว่าคราวนี้เยี่ยเทียนก็สลบไปเช่นเดียวกับเมื่อครั้งอดีตที่เขาได้รับถ่ายทอดศาสตร์สำนักเสื้อป่าน จึงไม่อาจสืบเสาะหาคำตอบได้


ร่างของเยี่ยเทียนหยุดอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง แล้วลอยต่ำลงไปที่ริมบึงน้ำมังกรดำ และส่งจิตเข้าไปในสระนั้น


“โฮก…”


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ศีรษะที่มีเขาแหลมงอกอยู่บนกระหม่อมศีรษะหนึ่งก็ผลุบขึ้นมาเหนือผิวน้ำเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงมังกรคำรามอันกึกก้องเปล่งออกมาจากปากอันใหญ่โตนั้น จนเกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่วหุบเขาโดยรอบเป็นทอดๆ


เสียงมังกรคำรามนั้นดังกระหึ่มจนแม้แต่เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ริมบึงยังรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “โอ้โฮ มังกรดำ ตกลงพลังฝีมือของแกอยู่ขั้นไหนแล้วล่ะเนี่ย?”


ตอนนี้เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างแท้จริงแล้ว พลังฝีมือเหนือกว่าแต่ก่อนชนิดที่ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย แต่ขณะที่เขามองดูมังกรดำ ก็กลับยังคงมีความรู้สึกอ่อนแอบางอย่างอยู่


นอกจากนี้ บนศีรษะของมังกรดำที่ตอนแรกมีเพียงตุ่มโหนกนูนออกมาหนึ่งจุดนั้น ตอนนี้กลับมีเขางอกออกมาหนึ่งเขา รูปโครงศีรษะก็ดูดุดันมากขึ้น ดูราวกับมังกรในตำนานไม่มีผิด


“เยี่ยเทียน ออกมาแล้วเหรอ?!”


หลังจากได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ร่างของมังกรดำก็ทะยานจากในสระขึ้นไปกลางอากาศ หมอกดำกลุ่มหนึ่งปกคลุมไปทั่วร่างอันมหึมาของมัน ลอยค้างอยู่เหนือสระน้ำแห่งนั้น


“แก…แกหัดเหาะเหินได้แล้วรึนี่?” เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยเทียนก็อึ้งไป แต่เมื่อขบคิดอย่างละเอียด เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที


เดิมทีมังกรดำก็มีพลังฝีมือสูงพออยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่เคยได้รับการถ่ายทอดวิชาใดๆ เลย จึงมีหลายศาสตร์ที่มันไม่สามารถใช้ออกมาได้ แต่หลังจากที่ได้รับวิชาฝึกบำเพ็ญสำหรับสัตว์วิเศษจากเขาแล้ว พลังฝีมือของมันก็คงจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด


ตามความรู้สึกของเยี่ยเทียน มังกรดำในตอนนี้ดูแตกต่างจากแต่ก่อนมาก แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความประสงค์ร้ายใดๆ ต่อเขาเลย แต่เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกได้ว่ามีพลังอันน่าเกรงขามปกคลุมลงมาเหนือร่างของเขา


“ใช่แล้ว ถ้าตอนนี้ไปเจอกับนักพรตนั่นละก็ มังกรดำงับคำเดียวก็กลืนมันลงไปได้ทั้งตัวแล้วละ!”


มังกรดำผงกศีรษะโตๆ ของมัน ดวงตาฉายแววภาคภูมิออกมา แต่เมื่อมันกวาดสายตาดูร่างของเยี่ยเทียนแล้ว ก็มีท่าทางยินดีขึ้นมาทันที “เยี่ยเทียน นายแก้ไขปัญหาร่างกายได้แล้วเหรอ?”


“ใช่ ตอนนี้ฉันไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วละ” เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วถามว่า “มังกรดำ ตกลงการบำเพ็ญของแกอยู่ระดับไหนกันแน่น่ะ?”


มังกรดำท่าทางลังเล เหมือนกับกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงจะตอบว่า “ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าเรียกตามที่มนุษย์อย่างพวกนายเรียกกัน ก็คงใกล้จะก่อจินตันขึ้นมาได้แล้วละมั้ง?”


“ก่อจินตันขึ้นมาได้?”


เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ตาเบิกโพลงจนแทบจะถลนออกมา เขารู้อยู่ว่ามังกรดำนั้นร้ายกาจมาก แต่ก็ไม่นึกเลยว่า มันจะเกือบไปถึงระดับบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคแล้ว เพราะตามที่วานรขาวกล่าวไว้ ในโลกนี้จะมียอดคนระดับ จินตันอยู่หรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย


“อสูรบำเพ็ญอย่างเราน่ะเรียกว่าระดับตันอสูร พอไปถึงระดับนั้นแล้ว ก็จะสามารถจำแลงแปลงกายได้แล้วละ!” มังกรพยักหน้า และส่งคลื่นพลังสายหนึ่งเข้าสู่ห้วงความคิดของเยี่ยเทียน


“ตันอสูร? แกก็มีตันอสูรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เยี่ยเทียนงงงัน เพราะเขาเคยเห็นมังกรดำปล่อยตันภายในออกมาต่อสู้กับนักพรตรูปนั้นกับตาตัวเองมาแล้ว


มังกรดำส่ายศีรษะอันใหญ่โตของมัน “นั่นน่ะน่าจะเรียกว่าตันปลอม หลังจากผ่านการทดสอบจากอัสนีสวรรค์แล้ว ตันอสูรถึงจะก่อตัวอย่างสมบูรณ์ มนุษย์อย่างพวกนายถ้าอยากจะก่อจินตันขึ้นมา ก็ต้องทำแบบเดียวกันนั่นแหละ!”


“ตันปลอม? อย่างนั้นก็หมายความว่า ตันที่อยู่ในรูปหยินหยางในร่างของฉันก็เป็นของปลอมเหมือนกันงั้นสิ?” หลังจากได้ฟังคำตอบของมังกรดำ เยี่ยเทียนก็มีสีหน้าครุ่นคิด


วานรขาวเคยบอกว่า หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ก็จะต้องหล่อหลอมปราณแท้ของตนเองไปเรื่อยๆ และบีบอัดจนเกิดเป็นเม็ดพลังตัน จนกระทั่งบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคในที่สุด


แต่เห็นได้ชัดว่า วานรขาวไม่ได้รู้เกี่ยวกับปริศนาข้อนี้ ความรู้ความเข้าใจของมันยังไม่เท่ากับที่เจ้ามังกรดำนี้รู้เลย


“แปลกจริง มังกรดำทำไมแกถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ล่ะ?” เยี่ยเทียนพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ วิชาที่เขาถ่ายทอดให้มังกรดำไปนั้น เขาเองก็เคยอ่านมาแล้ว จึงรู้ว่าในนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย


มังกรดำมีแววตางงงวย ส่ายศีรษะแล้วตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็ฝึกบำเพ็ญไปตามวิชานั่นแหละ พอบนหัวมีเขางอกออกมา ความรู้พวกนี้ก็ปรากฏขึ้นมาในสมองเลย”


เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “แกคงใกล้จะกลายเป็นมังกรเต็มตัวแล้วละมั้ง? ข้อมูลบางอย่างที่ถูกผนึกไว้เลยถูกเปิดออกมาก็อาจจะเป็นไปได้นะ”


ที่จริงสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ก็ถือว่าเดาถูกอยู่เหมือนกัน แต่เดิมมังกรดำเป็นเพียงงูหลามบนเขาตัวหนึ่ง แม้จะจัดว่าเป็นชนิดกลายพันธุ์ แต่ก็ยังแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตประเภทมังกรอย่างลิบลับอยู่ดี


แต่เพราะโอกาสประจวบเหมาะ มังกรดำจึงบำเพ็ญเพียรอย่างงงๆ จนมาถึงระดับนี้ได้ และสลัดคราบงูหลามออก กลายเป็นมังกรน้ำตัวหนึ่ง


หลังจากที่การบำเพ็ญของมังกรดำพัฒนาไปอีกขั้นจนกระทั่งมีเขางอกออกมา มันก็อยู่ในสถานะกึ่งมังกรเต็มตัว เหลือเพียงแต่ผ่านอัสนีสวรรค์ให้ได้เท่านั้น ทีนี้มันก็จะกลายเป็นมังกรเต็มตัว ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏแต่ในตำนาน


“จริงสิ มังกรดำ ถ้าแกผ่านอัสนีสวรรค์แล้ว จะแปลงร่างเป็นคนได้รึเปล่าล่ะ?”


ในเมื่อเป็นคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ เยี่ยเทียนก็จะไม่ไปขบคิดถึงมันอีก ยามนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างพวกปีศาจในเรื่อง ‘ไซอิ๋ว’ ก็แปลงกายเป็นคนได้ทั้งนั้นเลยนี่


“ไม่ได้หรอก ทำได้แค่ขยายร่างนี้ให้ใหญ่ขึ้นหรือไม่ก็ย่อส่วนลงเท่านั้นแหละ” มังกรดำส่ายหน้า “มีเสียงหนึ่งบอกฉันไว้ว่า จะต้องผ่านอัสนีสวรรค์ให้ได้เก้าครั้ง ฉัน…ฉันยังไม่กล้าหรอก!”


แม้ว่ามังกรดำจะมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว แต่ความคิดจิตใจก็ยังคงบริสุทธิ์เหมือนเด็กคนหนึ่ง มันมีความหวาดกลัวต่อการทดสอบจากอัสนีสวรรค์โดยสัญชาติญาณอยู่ จึงไม่ได้อยากจะไปผ่านอัสนีสวรรค์อะไรนั่นเลยสักนิด


“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกน่า!”


เยี่ยเทียนตบศีรษะมังกรดำเบาๆ “แกตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ไปก่อน หลังจากนี้ฉันก็จะมาเยี่ยมแกทุกปี ถ้าแกจะทดสอบอัสนีย์สวรรค์เมื่อไร ฉันก็จะมาช่วยคุ้มกันให้เอง!”


“นายจะไปแล้วเหรอ?” เมื่อฟังจากที่เยี่ยเทียนพูดแล้ว มังกรดำจึงอ้าปากอันใหญ่โตงับอกเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ ดวงตาฉายแววอาลัยอาวรณ์ออกมา


“อืม ฉันต้องกลับไปแล้วละ!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดต่อไปว่า “คราวหน้าที่เราจะได้พบกัน หวังว่าแกจะได้ผ่านอัสนีย์สวรรค์แล้วนะ ถึงตอนนั้นฉันจะได้พาแกไปดูโลกมนุษย์เสียหน่อย!”


การเดินทางของเยี่ยเทียนครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว ที่เขาเรียกมังกรดำออกมานั้น ก็เพราะอยากจะบอกลามัน เมื่อเห็นว่านอกจากการบำเพ็ญของมังกรดำจะก้าวหน้าไปมากแล้ว ยังรู้ศาสตร์วิชาต่างๆ เพิ่มขึ้นมากอีกด้วย


อีกทั้งมังกรดำยังเร้นกายอยู่ในบึงน้ำมังกรดำ คาดว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตระดับเซียนเทียนช่วงปลาย ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของมังกรดำได้ เยี่ยเทียนจึงจากมันไปได้อย่างวางใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)