หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 712-715
บทที่ 712 คนรักจากอดีต!
หวังเป่าเล่อถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหรือเฉินโม่เฟิงจู่โจม ชายหนุ่มใช้เมล็ดดอกบัวทั้งหมดที่เขามีในการปลุกวิญญาณที่แท้จริงของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมา ดังนั้น…ความลังเลของเฉินโม่เฟิงจึงทำให้หวังเป่าเล่อทั้งกังวลและกลัดกลุ้มใจ….
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มวัดระดับปราณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงได้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังที่อยู่ภายในนิ้วมายาของเฉินโม่เฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเสียอีก ความจริงแล้วมันอาจจะเกินขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วยซ้ำไป แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่ของหวังเป่าเล่อ แต่พลังที่ชายหนุ่มสัมผัสได้นั้นคล้ายคลึงกับพลังที่เขารู้สึกระหว่างบรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณ แทบจะเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ว่าได้!
หรือว่าสิ่งนี้จะเป็น…พลังจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์!
แต่การคาดคะเนนี้นั้นไม่อาจวัดระดับพลังที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงได้ ชายในร่างยักษ์ยังคงงุนงงและได้รับเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณดั้งเดิมของตนกลับมาเท่านั้น กายเนื้อและระดับพลังปราณยังอ่อนแอยิ่งนัก แม้กระนั้น เขาก็ยังสามารถปล่อยพลังที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ คงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าเฉินโม่เฟิงแข็งแกร่งเพียงใดเมื่อมีพลังเต็มเปี่ยม!
ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ควรจะเป็นหนึ่งในผู้นำของสำนักวังเต๋าไพศาลอันเลื่องลือเสียด้วยซ้ำ เขาควรมีอนาคตอันสดใสเฝ้ารออยู่ โชคชะตาผกผันและพาเอาความเป็นไปได้นั้นหลุดจากเงื้อมมือเขาไปโดยสิ้นเชิง
ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อขณะที่จ้องมองไปยังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สีหน้าของอีกฝ่ายฉาบเคลือบไปด้วยความตื่นกลัว ในขณะที่กำลังล่าถอยหลบหลีกนิ้วมือยักษ์อย่างเร่งรีบ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อขณะนี้เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารรุนแรง
“ข้าสังหารเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ข้าย่อมสังหารเจ้าอีกครั้งได้แน่ มาดูกันเสียว่าเจ้าจะฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่” จิตสังหารในสายตาหวังเป่าเล่อถูกแต่งแต้มด้วยความสงสัย ความสงสัยของเขาขณะนี้…เกี่ยวของกับการฟื้นคืนชีพของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า…มีความลับอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้การฟื้นคืนชีพนั้น!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าตนเองได้ตายไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ชายชราจึงทำได้เพียงตัวสั่นและล่าถอยพร้อมขนศีรษะที่ลุกชัน
ความเกรงกลัวความตายและอันตรายแทบจะทำให้โยวหรันเป็นบ้า ขณะกำลังล่าถอย เขาก็ประกบฝ่ามือก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เรือบินรบมรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นปลดปล่อยแสงสว่างจ้าที่แปรสภาพเป็นผนึกขนาดมหึมา ผนึกปรากฏขึ้นตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ทำหน้าที่เป็นโล่ป้องกันการโจมตีของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี
ชายชราสัมผัสได้ว่าการป้องกันเท่านี้นั้นไม่เพียงพอ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่สนใจดาวศุกร์อีกต่อไป เขาดึงผนึกที่ปิดกั้นดาวศุกร์ออกมา เปลวไฟสีดำและผนึกที่ล่องลอยอยู่เหนือดาวศุกร์จางหายไปก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าชายชรา และแปรสภาพเป็นผนึกหนาแน่นที่ยืดยาวร่วมสามกิโลเมตร!
ผนึกนั้นเป็นผนึกโบราณที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแต่ก็ปฏิเสธการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลไปพร้อมๆ กัน มันเป็นความรู้สึกขัดแย้งที่ไม่อาจอธิบายได้ ที่ทำให้รู้สึกว่า…เป้าหมายถูกผนึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ผนึกนั้นขับไล่พื้นที่ของจักรวาลออกไปและทำหน้าที่ได้สำเร็จ ทำให้เรือบินรบอยู่ร่วมกับจักรวาลได้อย่างสมบูรณ์!
สิ่งนี้เองที่ทำให้เรือบินรบเต๋ามรณะพิเศษ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่แม้จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงอยู่ ณ ขณะนี้ ได้ละทิ้งแผนการทั้งหมดและพร้อมจะเสี่ยงทุกสิ่งอย่าง ชายชรารวบรวมพลังสูงสุดของเรือบินรบเพื่อช่วยต่อกรกับพลังดัชนีจากเฉินโม่เฟิง หรือราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
จักรวาลสั่นสะเทือน ผนึกสะท้อนแสงสว่าง ก่อนจะหยุดพลังดัชนีของเฉินโม่เฟิงเอาไว้ ขณะที่หยุดพลังโจมตีของดัชนีนั้น ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็รีบเร่งฝีเท้าก่อนจะล่าถอยด้วยความตั้งใจที่จะหนีไปจากสนามรบ!
แม้ว่าชายชราจะรวดเร็วสักเพียงใด และแม้ว่าการป้องกันจะทรงพลังสักแค่ไหน แต่…ก็ยังไม่เพียงพอ!
นิ้วของเฉินโม่เฟิง ที่สร้างขึ้นมาจากการรวบรวมสรรพชีวิตบนดวงจันทร์ ปะทะกับผนึกสีดำที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปลดปล่อยออกมาจากเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างรุนแรง
เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้นในจักรวาลก่อนที่จะสะท้อนกระจายออกไป พัดพาเอาคลื่นพลังวิญญาณให้ไหลบ่าไปทั่วสนามรบ นิ้วของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ที่สร้างขึ้นจากการรวบรวมดวงแสงจำนวนมหาศาล กระแทกเข้าไปในผนึกสีดำทมิฬราวกับเป็นดาวตก การกระแทกทำลายพลังของดัชนีลงไปกว่าครึ่งและฉีกทำลายผนึกสีดำเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนที่เหลืออยู่ของดัชนีพุ่งผ่านผนึกสีดำและกระแทกใส่ร่างของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างจัง
ไม่สำคัญว่าชายชราจะล่าถอยไปรวดเร็วเพียงใด เพราะอย่างไรเขาก็ไม่อาจหนีพ้นได้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำได้เพียงมองนิ้วมือและความตายพุ่งตรงเข้ามาหา ความบ้าคลั่งฉาบเคลือบอยู่ในแววตา เขาตะโกนลั่น “เต๋าสวรรค์!”
ผลึกรูปร่างประหลาดในดวงตาส่องแสงสว่าง ก่อนจะก่อตัวและขยายขนาดขึ้น ก่อนที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะพุ่งตัวออกไปหาดัชนีของเฉินโม่เฟิงและกระแทกเข้าไปอย่างจัง
เสียงระเบิดดังสนั่นจักรวาลขึ้นอีก ผลึกนั้นไม่ได้สลายไปจากพลังอันมหาศาลของนิ้วเฉินโม่เฟิง แต่กระนั้น พลังปราณของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะรักษาสภาพของผลึกเอาไว้ได้ แม้มันจะดูไร้รอยขีดข่วนจากแรงกระแทก แต่ก็ยังหลุดกระเด็นกลับไปหาตัวโยวหรัน ก่อนที่แรงปะทะจะพุ่งเข้าใส่ร่างของโยวหรันเต็มๆ
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกระอักเลือดออกมากองใหญ่ ก่อนที่แขนทั้งหกซึ่งอ่อนเปลี้ยจะประกบเข้าหากันเพื่อสร้างผนึกมือท่วงท่าต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นกระบวนเวทที่ใช้เคลื่อนย้ายอาการบาดเจ็บได้ บาดแผลทั้งร่างถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ตามแขนขาแทน ผลก็คือ…แขนหักไปสี่ข้างจากหกข้าง และศีรษะก็ยุบสลายไปสองจากสาม รอยปริแตกปรากฏขึ้นทั่วทั้งร่างของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และเลือดก็ยังไหลซึมออกมาจากบาดแผลไม่หยุด
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงรอดชีวิตมาได้ด้วยทักษะในการใช้กระบวนเวทแม้จะรับการโจมตีจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไปเต็มๆ นัยน์ตาของชายชราแสดงความอ่อนแอและตื่นกลัว เขาล่าถอยอย่างบ้าคลั่งและพยายามจะหนีให้ห่างจากนิ้วมือของเฉินโม่เฟิงให้ไกลที่สุด ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรู้ดีว่าสภาพของเฉินโม่เฟิงในตอนนี้จะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ชายชราต้องอยู่รอดให้ได้จนกว่าจะพ้นอันตราย
แล้วก็เป็นจริงตามนั้น หลังการโจมตีนั้น สายตาลุ่มลึกในดวงตาของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยแสงสีแดงแทน พลังของเมล็ดบัวจากหวังเป่าเล่อเริ่มจะเสื่อมสลาย ชายหนุ่มมีเวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่วิญญาณอันแท้จริงของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะกลับไปหลับใหลอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น นิ้วมือที่เกิดจากอสูรบนดวงจันทร์ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน
หวังเป่าเล่อเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพยายามจะชะลอการปะทะครั้งต่อไปเพื่อจะถอยให้ห่างจากนิ้วของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกไป ด้วยการเพิ่มความเร็วจากเกราะจักรพรรดิและอาวุธเทพที่ส่องสว่างอยู่บนแขน ชายหนุ่มใช้ความเร็วสูงสุดและพุ่งเข้าไปหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยความเร็วราวกับเป็นดาวหาง
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขณะนี้มีสีหน้าตื่นตกใจ การรักษาระยะห่างจากนิ้วใช้พลังงานที่เหลือของเขาไปจนหมด หวังเป่าเล่อพุ่งตัวเข้ามาในช่วงเวลาที่ล่อแหลมที่สุด ไม่มีทางเลยที่ชายชราจะหลบการโจมตีได้พ้น!
“ข้าไม่มีวันยอมแพ้!” นัยน์ตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฉาบเคลือบได้ด้วยความบ้าคลั่ง ร่างจริงของชายชรายังคงอยู่ในเรือบินรบเต๋ามรณะ แต่วิญญาณของเขาผสานรวมไปกับเสื้อคลุมรบเต๋าเรียบร้อยแล้ว หากร่างวิญญาณได้รับความเสียหาย เขาก็จะบาดเจ็บไปด้วย ผลกระทบของอาการบาดเจ็บอาจทำลายกายเนื้อของเขาไปเลยก็เป็นได้!
ในวินาทีเดียวกันนั้น สายตาของต้วนมู่ฉีเองก็ฉาบเคลือบไปด้วยความบ้าคลั่งเช่นกัน ตอนที่ชายชราออกคำสั่งให้ระเบิดดาวพุธนั้น เขาทำพลาดจนเสียความได้เปรียบไป จากนั้นพอมาถึงดาวศุกร์ เขาก็ทำพลาดอีก ความเลวร้ายนั้นดูราวกับจะฉายภาพซ้อนขึ้นมา ขณะนี้ต้วนมู่ฉีมีสองทางเลือก ทางแรกคือรอ บางทีการต่อสู้อาจจะจบลงได้โดยที่เขาไม่ต้องระเบิดดาวศุกร์ทิ้ง ทางเลือกที่สองคือฉวยโอกาสนี้ระเบิดดาวศุกร์เสีย เป็นการเสียสละเพื่อให้แผนการรบเดิมดำเนินต่อไปตามที่ตั้งใจไว้!
“ถ้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังมีไพ่ตายหลงเหลืออยู่ เขาก็คงต้องใช้เพื่อปกป้องตนเองก่อน เขาไม่มีแรงเหลือจะแทรกแซงดาวศุกร์อีกแล้ว ข้าจึงคิดว่าพวกเราควร…ทำลายตัวเองเสีย!” ต้วนมู่ฉีที่ตาแดงก่ำส่งเสียงคำราม หลังจากที่ตัดสินใจเด็ดขาด
ดาวศุกร์ทั้งดวงสั่นไหวเมื่อระเบิดต้านทานวิญญาณที่ฝังอยู่ใต้ดินหลุดออกจากผนึกและถูกสั่งใช้งานอีกครั้ง การระเบิดเริ่มต้นขึ้น เสียงกัปนาทดังสนั่นกึกก้องอยู่ในอากาศ ดาวศุกร์สั่นคลอนอย่างหนัก หลี่ซิงเหวินเปิดใช้งานวงแหวนปราณระบบสุริยะและปลดปล่อยพลังสูงสุดออกมาเพื่อทำการเคลื่อนย้ายแบบวงกว้าง ในทันใดนั้น ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนบนดาวศุกร์ก็เริ่มเลือนรางก่อนจะหายวับไป
ผู้ฝึกตนเหล่านั้นจากงทีละกลุ่มขณะที่คลื่นพลังทำลายล้างบนดาวศุกร์รุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลถึงกับผงะด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครพยายามจะหยุดการระเบิดตนเองนั้น ต่างก็พากันวิ่งหัวซุกหัวซุกด้วยความกลัวไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็ไม่มีแรงจะยุ่งกับดาวศุกร์อีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะต้องการเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะแทรกแซงได้ ในเมื่อตัวเองยังต้องเผชิญอันตรายร้ายแรงอยู่เช่นนี้!
ดาวศุกร์กำลังถูกทำลายในที่สุด ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกำลังหนีอย่างลนลาน และก่อนที่หวังเป่าเล่อจะเข้าถึงตัวชายชรานั่นเอง ก็มีเสียงทอดถอนใจดังออกมาจากเรือบินรบเต๋ามรณะเบื้องหลังโยวหรัน เสียงนั้นเป็นของสตรีนางหนึ่ง มันแฝงไปด้วยความถวิลหาและอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย เสียงถอนใจสะท้อนไปทั่วสนามรบ นิ้วมือมายาปรากฏขึ้นตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ก่อนจะเอียงเข้าไปหานิ้วมือของเฉินโม่เฟิงแล้วสัมผัส!
ไม่มีเสียงระเบิดดังสนั่น ไม่มีแรงกระแทกรุนแรง นิ้วของเฉินโม่เฟิงสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเมื่อถูกสัมผัส มันแตกกระจายกลายเป็นแสงไฟดวงเล็กจิ๋วที่ลอยลับหายไปในจักรวาล
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อถึงกับกระตุกเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มล่าถอยทันที ความตื่นตะลึงไหลบ่าขึ้นมาในใจ พลังของเมล็ดบัวของเขาสลายไปจนหมดแล้ว แต่เฉินโม่เฟิง ผู้ที่ควรจะกลับไปหลับใหล กลับพึมพำขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่า เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากพูดตั้งแต่ตื่นขึ้นมาบนสนามรบแห่งนี้
“จื่อเยว่…”
บทที่ 713 ท่านหญิง ข้าสาบานว่าได้ไม่ใ...
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงเห็นได้ถนัดตาเมื่อได้ยินชื่อที่ออกมาจากปากของเฉินโม่เฟิง นัยน์ตาของชายหนุ่มกระตุก เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้จักชื่อนั้นดี อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้ดีทีเดียวว่าชื่อนั้นมีความสำคัญอย่างไรกับราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
เนื้อคู่แห่งเต๋าของเฉินโม่เฟิง ผู้ที่แยกสมองเขาออก ควักหัวใจเขา และทำลายเต๋าของเขา ตอนนี้อยู่บนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น! หวังเป่าเล่อผงะเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ โชคยังดีที่ระบบการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ถูกเปิดขึ้นมาเสียก่อน แรงระเบิดและคลื่นพลังทำลายล้างส่งเสียงดังกระหึ่มไม่หยุดหย่อนอยู่บนดาวศุกร์ พลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะครอบคลุมสนามรบเอาไว้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังการเคลื่อนย้ายที่มองไม่เห็นซึ่งโอบล้อมกายเขาเอาไว้ หากต้องการ ชายหนุ่มก็สามารถเคลื่อนย้ายออกจากที่นี่ได้เลยทันที!
ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเบาใจลงไปมาก ขณะที่ยังถอยหนีต่อไป ชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปจ้องมองนิ้วมือที่ลอยอยู่ตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง นิ้วมือนั้นก็ส่องประกาย ก่อนที่ร่างของสตรีนางหนึ่งจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น นิ้วมือนั้นขยายกลายเป็นฝ่ามือ แขน อะไรต่อมิอะไรจนกระทั่งกลายมาเป็นสุภาพสตรีรูปร่างงดงามในชุดคลุมเต๋า
ราวกับว่าจักรวาลเป็นภาพวาด และสตรีนางนี้ก็เดินออกมาจากภาพนั้น ความงามกระจ่างตาของนางคืนความสดใสให้กับผืนแผ่นดิน!
กายของนางโปร่งใส ทำให้ไม่อาจเห็นรูปร่างได้ชัดเจนนัก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้ความงดงามของนางเสื่อมถอยลงได้ อันที่จริงแล้ว ความโปร่งใสมองไม่ชัดนี้เองที่สะกดทุกๆ สายตาที่มองมาหานาง พวกเขาทุกคนดูจะสับสนงงงวยกับสิ่งที่ได้พบเห็นอยู่เล็กน้อย
ดูเหมือนว่าอาจไม่ใช่แค่ความงดงามของนาง แต่เพราะรัศมีประหลาดที่นางแผ่ออกมาที่สะกดสายตาของสรรพชีวิตเอาไว้
“ในที่สุด…เจ้าก็ปรากฏตัวเสียที…” ดวงจิตของเฉินโม่เฟิงที่กำลังจะผล็อยหลับไปเมื่อครู่ มาบัดนี้ สภาพจิตใจกลับปลอดโปร่ง ราวกับการปรากฏของนิ้วมืออีกนิ้วและเสียงถอนหายใจเป็นการตบหน้าเขาให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่อย่างไรอย่างนั้น
ความสับสนงุนงงในแววตาของเฉินโม่เฟิงจางหายไปขณะเปิดปากพูด ดูเหมือนว่าเขาจะพูดความคิดที่แท้จริงได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความคิดนั้นสะท้อนสิ่งที่เขาพึมพำไปเมื่อครู่ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเกลียดชัง มีแต่ความถวิลหาอันลุ่มลึก
สตรีที่งดงามนางนั้นเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของเฉินโม่เฟิงก่อนจะมองเข้าไปในตาอีกฝ่ายด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นนางก็ถอนสายบัวและพูดออกมาอย่างนุ่มนวล “สามีที่รักของข้า นานเหลือเกินแล้วที่เราไม่ได้พบกัน ท่านต้องพานพบกับหายนะอันใหญ่หลวง แต่ก็ยังส่งเสียงเรียกชื่อข้า ในฐานะภรรยาของท่าน…ข้าจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าท่านได้อย่างไรเล่า”
การได้ยินเสียงของเนื้อคู่แห่งเต๋าเป็นครั้งแรกในระยะเวลายาวนานอาจไปกวนความทรงจำของเฉินโม่เฟิงขึ้นมา ร่างกายอันใหญ่โตของเขาสั่นเทา ลึกลงไปภายใต้ดวงตากระจ่างใสนั้น ปรากฏเปลวไฟสีแดงขึ้นมาอีกครา วิญญาณที่ก่อตัวใหม่ภายหลังการตายของเขากำลังพยายามชิงร่างกายคืนจากดวงวิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิง
พลังของเมล็ดบัวจางหายไปนานแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้วิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงยังตื่นอยู่คือความถวิลหาอันรุนแรง เฉินโม่เฟิงต่อสู้เพื่อให้สติสัมปชัญญะยังคงอยู่ เขาจ้องมองไปยังจื่อเหว่ พยายามทำสายตาให้อ่อนโยนและนุ่มนวล ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังเท่าการกระซิบ “จื่อเยว่…ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ข้าไม่ถือโทษโกรธเคืองในสิ่งที่เจ้าทำ มา…กลับบ้านกับข้าเถิด”
เฉินโม่เฟิงยกมือขวาขึ้นขณะที่พูด สีหน้าของเขาอ่อนโยน เต็มไปด้วยความถวิลหาและความหวัง มันคือสีหน้าของคนที่หลงมัวเมาในรัก
จื่อเยว่มองสบตาเฉินโม่เฟิง ประกายสีในแววตาของนางจางหายจนเหลือเพียงความรักใคร่อันเจือจาง นางกล่าวตอบอย่างแผ่วเบา “สามีที่รักยิ่งของข้า ภรรยาของท่านคิดถึงท่านแทบจะขาดใจเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่ข้าคิดถึงท่าน ข้าจะหยิบสิ่งนี้ขึ้นมา…”
ขณะที่จื่อเยว่พูด มือขวาของนางก็กวาดออกไปในความเวิ้งว้างตรงหน้า หัวใจชุ่มเลือดดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในมือข้างนั้น
หัวใจนั้นยังคงเต้นอยู่ พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งไหลบ่าออกมาท่วมจักรวาล เฉินโม่เฟิงตัวสั่น ริมฝีปากของเขาขยับอย่างยากลำบาก
“จื่อเยว่ อย่า…”
“มีสิ่งนี้ด้วย…” ราวกับว่าไม่ได้รับรู้อาการของสามี จื่อเยว่ยิ้มก่อนจะขัดจังหวะคำขอร้องของอีกฝ่าย นางปล่อยมือจากหัวใจเฉินโม่เฟิงและกวาดมือไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาต่อจากนั้นเป็นก้อนสีขาวก้อนหนึ่ง มันก็คือ…สมองของเฉินโม่เฟิง!
“สามีที่รักของข้า ดูเถิด ความคิดถึงของข้าบรรเทาลงได้เมื่อมีสองสิ่งนี้อยู่ข้างกาย”
“จื่อเหว่…โปรดหยุดเถิด ข้าขอร้อง…”
“ข้าคิดว่า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความคิดถึงที่ข้ามีต่อท่าน ได้โปรดอย่ากลัวไปเลย ขอให้ภรรยาผู้นี้ไปหามันมาให้ท่านดู…” สายตาของจื่อเยว่จับจ้องไปยังเฉินโม่เฟิง ขณะที่อาการสั่นเทาของผู้เป็นสามีรุนแรงขึ้น และความเจ็บปวดบนใบหน้าก็ทวีคูณขึ้นเช่นกัน นางอมยิ้มไปด้วยขณะที่พูด
น้ำเสียงของนางชัดใสและน่าฟัง ราวกับเป็นเสียงของภูติกระนั้น ในน้ำเสียงมีความงดงามอ่อนช้อยแฝงอยู่ ไม่ว่าใครได้ยินจิตใจก็จะได้รับการเยียวยา แต่หากใครก็ตามได้เห็นการกระทำ และความอาฆาตร้ายในถ้อยคำของนางแล้ว ต่างก็ต้องผงะถอยหลังด้วยความกลัวด้วยกันทั้งสิ้น!
โดยเฉพาะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ที่ตัวสั่นงันงกขณะจับจ้องสายตาไปยังสตรีที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ดูเหมือนว่าชายชราจะเคยพบหน้านางมาก่อน แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็นึกได้ว่าไม่เคย ความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่นางแผ่ออกมาเจือปนไปด้วยบางสิ่งที่คุ้นเคย ความแตกต่างกันของความรู้สึกนั้นทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันถึงกับตื่นตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ชายชราจ้องมองนาง เขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงทาสที่อยู่ต่อหน้าเจ้านาย ช่างเป็นความรู้สึกที่สับสนและชวนให้กระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนดูราวกับว่ากำลังตื่นตะลึงขีดสุด ฝ่ายหวังเป่าเล่อยังคงถอยหนีออกมาจากสตรีนางนั้น ชายหนุ่มกลับไปถึงปราการดวงจันทร์ ก่อนจะจ้องมองออกไปยังเฉินโม่เฟิงและจื่อเยว่ และเบนสายตาไปหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สายตาของชายหนุ่มกราดเกรี้ยวขึ้นเมื่อเข้าใจสิ่งที่เกิดขึเนตรงหน้า
นางกำลังพยายามจะยั่วโมโหเฉินโม่เฟิง!
แม่นางน้อยเคยพูดถึงเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ามาก่อน…บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่จื่อเยว่ไม่ยอมสังหารเฉินโม่เฟิง การที่นางมายั่วยุเขาเช่นนี้อาจเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ากระมัง หวังเป่าเล่อไม่ได้คำตอบ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาเดาได้ใกล้เคียงแล้ว
เช่นนี้ก็หมายความว่า…จื่อเยว่เป็นผู้ชุบชีวิตศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขึ้นมา! อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายท่วมท้มอยู่บนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ความเครียดที่ชายหนุ่มรู้สึกมาตลอดพุ่งสูงขึ้นทันที
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ผสานร่างเข้าเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นนับเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงสำหรับสหพันธรัฐแล้ว ใครจะไปล่วงรู้ได้…ว่าเบื้องหลังนั้นยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเร้นกายอยู่อีก!
สำหรับสหพันธรัฐแล้ว สิ่งนี้นับเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง หวังเป่าเล่อรู้รายละเอียดเรื่องของเฉินโม่เฟิงและจื่อเยว่ นางไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา แม้ว่าจะเป็นการพบกันครั้งแรกก็ตาม
นางคือผู้ที่ขโมยเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของเฉินโม่เฟิงไป ซ่อนตัวอยู่ในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น แอบควบคุมศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ลับๆ และเป็นผู้เริ่มสงครามนี้ขึ้น! แววอาฆาตส่องประกายอยู่ในตาของหวังเป่าเล่อ มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ปรากฏขึ้นในใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าโอกาสของสหพันธรัฐยังไม่ดีขึ้นเท่าใดแม้จะทำลายดาวศุกร์ไปแล้วก็ตามที
หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่คิดเรื่องนี้อยู่ ขณะที่คลื่นพลังทำลายล้างของพลังวิญญาณยังคงไหลบ่าออกไปทั่วดาวศุกร์และแรงระเบิดมหาศาลยังส่งเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งจักรวาลอยู่นั้น ขณะที่สายใยของจักรวาลและดวงดาวต่างก็บิดเบี้ยว และผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าหายตัวและถูกเคลื่อนย้ายไปยังจุดปลอดภัยผ่านวงแหวนปราณระบบสุริยะ ผู้ฝึกตนที่ยังเหลืออยู่ต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน!
ต้วนมู่ฉีเองก็เช่นกัน ขณะนั้นชายชรายืนตระหง่านอยู่ในศูนย์บัญชาการ พลางจับจ้องไปยังจื่อเยว่ที่ยืนอยู่หน้าโยวหรันตาไม่กะพริบ เขาไม่รู้ความหลังระหว่างจื่อเยว่และราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีแม้แต่น้อย แต่ก็ยังบอกได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ต้วนมู่ฉีบัดนี้รู้แล้วว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสงครามครั้งนี้มิใช่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แต่เป็น…สตรีที่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเรียกว่าจื่อเยว่ผู้นี้!
คนอื่นๆ ที่เหลืออยู่คือเฟิ่งชิวหรันและหลี่อู๋เฉิน พวกเขานิ่งเงียบ แต่นัยน์ตาของทั้งคู่มีความรู้สึกมากมายฉาบเคลือบอยู่
ขณะที่ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าค่อยๆ ถูกเคลื่อนย้ายออกไป จื่อเยว่ก็ทอดถอนใจยาว
“ข้าหาไม่พบ!”
“สามีที่รักของข้า เหตุใดท่านไม่ช่วยเยว่เอ๋อร์ที่รักของท่านหาเสียหน่อยเล่า” จื่อเยว่ปล่อยมือจากสมองและกวาดมือไปในอากาศ สิ่งที่ปรากฏบนฝ่ามือนางต่อมา…คือกระดิ่งมายาลูกหนึ่ง!
กระดิ่งนั้นมีสีดำสนิท และแม้ว่าจะอยู่ในรูปมายา มันก็ยังแผ่รัศมีของดวงดาวที่เจือจางจนแทบสัมผัสไม่ได้ออกมา ชัดเจนว่าสิ่งนี้เป็นวัตถุเวทที่มหัศจรรย์ยิ่ง!
“สามีที่รักของข้า กระดิ่งนี้อยู่ที่ใดหรือ ข้ากลืนกินสมองของท่านและบดขยี้หัวใจท่าน แต่ข้าก็ยังหากระดิ่งไม่พบ เป็นความผิดของท่านแท้ๆ เหตุใดท่านจึงต้องผนึกมันเอาไว้ก่อนตายด้วย ข้าไม่อาจสัมผัสถึงมันได้เลย โปรดบอกเยว่เอ๋อร์ที่รักของท่านว่ามันอยู่ที่ใดด้วยเถิด” จื่อเยว่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเฉินโม่เฟิงในขณะที่พูด มีรอยยิ้มพาดอยู่บนใบหน้า เฉินโม่เฟิงไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขายกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะ ก่อนจะส่งเสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้ หยุดพูด!”
แสงสีแดงปะทุขึ้นอีกครั้งในดวงตาทั้งสองของเขา วิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงที่พยายามอย่างมากในการคงตัวอยู่ ในที่สุดก็ถูกเบียดบังออกไป ยักษ์ใหญ่บ้าคลั่งแล้ว เขายกมือทั้งสองขึ้นเอื้อมไปหาจื่อเยว่
“น่าเบื่อเสียจริง” จื่อเยว่โคลงศีรษะอยู่ไปมา ก่อนที่ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะจับนางได้ นางก็ยกมือขวาขึ้นโบกเบาๆ มีเสียงระเบิดดังกึกก้องมาจากในกายของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ชุดเกราะของเขาแตกร้าว อักขระโบราณบนร่างส่องสว่างขึ้นก่อนจะกดเขาเอาไว้ราวกับเป็นผนึก ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีส่งเสียงดังลั่นและล้มตัวลงทับปราการดวงจันทร์อย่างแรง
จื่อเยว่หันหน้าออกจากเฉินโม่เฟิง สายตาของนางมาจับจ้องที่หวังเป่าเล่อแทน มีรอยยิ้มอันชั่วร้ายแต่งดงามอยู่บนใบหน้า
“เจ้า เจ้าผู้มีดวงตาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ข้าต้องการอยู่กับเจ้าใช่หรือไม่”
หวังเป่าเล่อขนหัวลุก ชายหนุ่มสั่นศีรษะอย่างบ้าคลั่งก่อนจะละล่ำละลักออกมา “ไม่ใช่เลยขอรับ แม่นางผู้ซึ่งเป็นสตรีที่สวยงามและแข็งแกร่งที่สุดในจักรภพ หากท่านไม่เชื่อ โปรดใช้จิตสัมผัสวิญญาณของท่านเพื่อตรวจสอบข้าได้เลยขอรับ!”
บทที่ 714 อย่าชะล่าใจให้มากไปนัก!
“ช่างเป็นชายหนุ่มที่ปากหวานอะไรอย่างนี้ มิน่าเล่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์จึงได้ชอบพอเจ้านัก หากเจ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร บางทีธิดาศักดิ์สิทธิ์คงจะรู้อะไรบ้างกระมัง” จื่อเยว่ซ่อนรอยยิ้มของนางเอาไว้หลังฝ่ามือขณะที่พูด ก่อนจะยกมือขวาขึ้นหมายจะจับตัวหวังเป่าเล่อ
แต่ทันใดนั้นเองคลื่นพลังจากการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ก็รุนแรงถึงขีดสุด เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ดาวศุกร์สั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนจะ…ระเบิด!
แรงระเบิดช่างมหาศาลยิ่ง มันพวยพุ่งออกมาจากตำแหน่งที่ลึกลงไปในแผ่นดินของดาวศุกร์ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่ว ลำแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งทะลุออกมาจากแก่นของดาวศุกร์ เหมือนจะตัดดาวศุกร์ให้แหลกเป็นชิ้นๆ!
คลื่นพลังน่าสะพรึงกลัวเดินทางออกมาพร้อมกับแสงดังกล่าว มันท่วมท้นจนไหลบ่าออกไปไกล ทุกๆ สิ่งถูกดูดจนแห้งกรังและเหี่ยวเฉา ก่อนจะค่อยๆ ย่อยสลายกลายเป็นฝุ่นไปสิ้น!
สิ่งปลูกสร้าง ภูเขา ทุกสิ่ง โชคยังดีที่ต้วนมู่ฉี เฟิ่งชิวหรัน และคนอื่นๆ ต่างก็เลือกจะเคลื่อนย้ายตนเองออกไปก่อนการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ ไม่มีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐคนไหนหลงเหลืออยู่บนดาวศุกร์ในวินาทีของการระเบิด เหลืออยู่เพียงแค่…ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้น!
ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเหล่านั้นกำลังประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ พวกเขาส่วนมากไม่มีวิธีทางและสถานที่ที่จะหนี ไม่ว่าจะวิ่งหนีเร็วเพียงใด หรือเริ่มหนีก่อนเพื่อนนานเท่าใด ก็ไม่อาจหนีความตายได้พ้น
หลายคนถูกคลื่นพลังวิญญาณจากการระเบิดล้อมรอบ ก่อนที่ร่างกายอันสั่นเทาจะถูกพัดพาและสลายกลายเป็นฝุ่นไป การทำลายดวงดาวทั้งดวงดูคล้ายว่าจะสร้างหลุมดำชั่วคราวขึ้นมา หลุมดำนั้นดูดกลืนเอาทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไป!
ทุกสิ่งและทุกคน…ยกเว้นจื่อเยว่ ผู้ที่ดูจะไม่อนาทรร้อนใจกับการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังสนั่นก้องจักรวาล มือขวาของนางยังคงยื่นออกมาหวังจะจับตัวหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อตกใจจนศีรษะชา ชายหนุ่มนึกเสียดายที่ไม่ได้ตัดสินใจเคลื่อนย้ายหนีไปตั้งแต่ต้น
“ข้ามันช่างโง่เขลานัก! ทำไมถึงไม่รีบหนีออกไปกันนะ ปัญหานี้เป็นเรื่องของเขาสองคน ข้าไปสอดเรื่องส่วนตัวของคนอื่นทำไมกัน” หวังเป่าเล่อตะโกนดั่งลั่นด้วยความแตกตื่นและหวาดกลัว
“จื่อเยว่ เจ้ากล้าทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ ศิษย์พี่ของข้าคือราชันย์สวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ศิษย์พี่ มาช่วยข้าเร็วเข้า!” หวังเป่าเล่อพูด จากนั้นก็ท่องบทสวดอยู่ในใจ ดวงจิตปริศนาจากฟากฟ้าปล่อยรัศมีอันน่าอัศจรรย์ลงมาอีกครั้ง จื่อเยว่ยิ้มบางๆ
“ทรงพลังดีนี่ แต่น่าเสียดาย เจ้าใช้ลูกไม้นี้กับหุ่นเชิดของข้าไปแล้ว” มีแสงเจือจางส่องประกายอยู่ในแววตาของจื่อเยว่ มือขวาที่ยื่นยาวออกมาของนางบัดนี้มาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว และเคลื่อนที่เข้าใกล้คอเขาเรื่อยๆ
ขณะที่นางกำลังจะกำรอบคอของชายหนุ่มเอาไว้นั้นเอง แขนมายาผอมบางข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ เข้าไปตีแขนของจื่อเยว่อย่างรวดเร็ว
แม่นางน้อยนั่นเอง!
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้น หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อรู้สึกถึงสายลมรุนแรงที่มาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งพัดกระทบตัวเขา หากชายหนุ่มเป็นกองไฟ สายลมก็คงจะทำให้เขาดับมอดไปในทันที แรงลมรุนแรงพอจะที่บดขยี้เขาได้ในพริบตา
มีม่านแสงเรืองอ่อนส่องสว่างจากแขนมายาข้างที่ยื่นออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ มันแปรสภาพไปเป็นเกราะป้องกันการโจมตีไม่ให้ถึงตาย แต่แรงสะท้อนกลับนั้นยังมีอยู่ เกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อแหลกสลาย วิญญาณจุติของเขาเหี่ยวเฉาลงจนแทบสลายไป เลือดทะลักออกมาจากปากชายหนุ่มลงเปรอะเปื้อนร่างกายหลายต่อหลายจุด
หวังเป่าเล่อกระโจนถอยหลังราวกับว่าวที่หลุดจากเชือก กระเด็นชนสิ่งก่อสร้างหลายแห่งที่ถล่มลงในพริบตาก่อนจะไปชนเข้ากับปราการดวงจันทร์
“วิ่งไป เร็ว!” เสียงอันอิดโรยของแม่นางน้อยเตือนสติเขาอย่างบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อกัดลิ้นตนเองอย่างแรงเพื่อบังคับให้สติไม่หลุดลอยจากอาการบาดเจ็บสาหัส ชายหนุ่มปล่อยให้วงแหวนปราณระบบสุริยะปล่อยพลังการเคลื่อนย้ายล้อมรอบกาย ดวงจันทร์ทั้งดวงและตัวเขาเริ่มพร่าเลือน เมื่อแสงสะท้อนจากกระบวนเวทเคลื่อนย้ายส่องสว่าง ประกายแสงประหลาดก็สะท้อนขึ้นในดวงตาของจื่อเยว่เช่นกัน นางก้าวออกมาข้างหน้าขณะที่ทั้งดวงจันทร์และหวังเป่าเล่อกำลังจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป
นางวางเท้าลง ก่อนจะฝ่าแสงของการเคลื่อนย้ายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ริมฝีปากของจื่อเยว่ม้วนขึ้นไปเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อมองเห็นความตื่นตกใจบนใบหน้าของชายหนุ่ม นิ้วมือของนางยื่นออกมาสัมผัสหน้าผากของหวังเป่าเล่อ
“เจ้าหนุ่มน้อย เรียกศิษย์พี่ของเจ้าออกมาสิ ขอให้เขามาปกป้องเจ้า”
นิ้วของนางแตะเข้าที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ มันราวกับว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชายหนุ่มในอีกอึดใจคือการที่กระดูกทั้งร่างป่นสลายพร้อมกับร่างกายและวิญญาณถูกทำลายสิ้น การเคลื่อนย้ายจะล้มเหลว แม่นางน้อย ปราการดวงจันทร์ รวมถึงราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะติดอยู่ที่นี่
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ทันทีที่นิ้วของจื่อเยว่สัมผัสที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ…นิ้วนั้นก็เริ่มละลายหายไป ราวกับว่ามันเป็นหิมะและกายของหวังเป่าเล่อทำมาจากโลหะที่ร้อนระอุกระนั้น!
ขณะที่นิ้วของนางละลายไป มันก็แปรสภาพกลายเป็นแสงไฟดวงเล็กจ้อยที่พุ่งเข้าไปสู่กายของหวังเป่าเล่อ พวกมันเหมือนสารอาหารที่ร่างกายของเขาดูดซับเข้าไปโดยไม่มีผลข้างเคียง อาการบาดเจ็บบนกายชายหนุ่มหายเป็นปลิดทิ้ง และพลังปราณของเขาก็พุ่งสูงขึ้นทันที!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา กระทั่งจื่อเยว่เองก็ยังตกลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าของนางแสดงอารมณ์อันรุนแรงออกมา เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมานานแล้วตั้งแต่ที่นางได้รับเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าไป นางรีบล่าถอย ก่อนจะใช้เคล็ดเวทสะบั้นนิ้วนั้นออกจากร่างอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นระรัวขณะถอนตัวไป
หวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน แต่เขาไม่มีโอกาสได้แสดงความตื่นเต้นยินดีนี้ ร่างกายของเขา และปราการดวงจันทร์ เริ่มพร่าเลือนจากพลังการเคลื่อนย้าย ก่อนจะหายวับไป!
แรงระเบิดของดาวศุกร์มาถึงจุดสูงสุดในตอนนั้นเอง คลื่นแห่งการทำลายก็ยังคงไหลบ่าออกมา จนกระทั่งมาถึงจุดที่จื่อเยว่เคยยืนอยู่ ดาวศุกร์ทั้งดวงกำลังแปรสภาพกลายเป็นหลุมดำ ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าวังเต๋าไพศาลรอบตัวนางหากไม่บาดเจ็บก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดก่อนตายถูกกลบด้วยเสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดมาจากการทำลายตัวเองของดวงดาว
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตัวสั่น ความพยายามทั้งหมดของเขามลายหายไปในพริบตา ความวิตกกังวลเข้าเกาะกุมจิตใจของชายชรา แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูด สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าสำหรับเขาแล้วน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ไร้ค่า” จื่อเยว่พูดด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราดก่อนจะตวัดสายตาไปมองโยวหรันอย่างเกลียดชังและหันกลับไปจ้องดาวศุกร์อีกครั้ง นางยกมือขวาขึ้นซัดออกไปข้างหน้า เข้าปะทะกับคลื่นพลังทำลายตัวเองที่กระจายออกมาจากดาวศุกร์
คลื่นยักษ์รุนแรงดูราวจะถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ ราวกับมีกำแพงขนาดยักษ์มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าสตรีผู้นี้ และแม้แต่แรงกระแทกจากดวงดาวที่ระเบิดเป็นจุณก็ยังไม่อาจเจาะทะลุกำแพงดังกล่าวเข้ามาได้
มือขวาของจื่อเยว่เอื้อมผ่านความว่างเปล่าไปคว้ากระเป๋าถือออกมาจากอากาศธาตุ กระเป๋านั้นทำมาจากผ้าสีดำที่มีลายลูกไม้แปลกตาปักแซมอยู่ ความกลัวแล่นเข้ามาจับหัวใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเมื่อได้เห็นกระเป๋าใบนั้น ชายชราสัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลบ่าออกมาจากมัน เป็นพลังที่น่ากลัวกว่าสตรีตรงหน้าเขาเสียอีก
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่มีเวลาคาดเดาว่าสิ่งที่อยู่ข้างในกระเป๋าคืออะไร จื่อเยว่เปิดกระเป๋าเปิดอย่างระมัดระวัง เมล็ดสีดำสนิทเจ็ดเมล็ดลอยออกมาจากกระเป๋า นางสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ส่งพวกมันไปทางดาวศุกร์ที่กำลังระเบิดด
เมล็ดสีดำเหล่านั้นเข้าไปในดาวศุกร์แทบจะทันที คลื่นพลังงานจากแรงระเบิดไม่อาจทำอันตรายเมล็ดเหล่านี้ได้ อันที่จริงแล้ว เมล็ดพวกนั้นดูดซับพลังเอาไว้ พวกมันส่องแสงสีทองออกมาขณะเข้าไปในดาวศุกร์ และเริ่มเจริญเติบโตเป็นเถาวัลย์พันเกี่ยวออกมาด้านนอกและปกคลุมดาวศุกร์…ก่อนจะรับพลังระเบิดเอาไว้ แล้วแปรสภาพพลังงานเหล่านั้นให้เป็นสารอาหารของตนเอง!
ขนบนศีรษะของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลุกชันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า กิ่งไม้ปรากฏออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นาน ดาวศุกร์ทั้งดวงก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเถาวัลย์แน่นหนานับสิบชั้น รูปโฉมของมันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แรงระเบิดถูกควบคุมเอาไว้ราวกับถูกผนึก ไม่มีทางเล็ดรอดออกมาได้อีก!
จุดโป่งพองมากมายปรากฏขึ้นบนกิ่งไม้เหล่านั้น พวกมันไหลเข้ามารวมกันจนทั้งกิ่งมีแต่จุดเหล่านี้ จุดโป่งพองดังกล่าวกระดิกไปมา และหลายจุดก็ระเบิด มีผู้ฝึกตระกูลไม่รู้สิ้นปีนออกมาจากจุดพวกนี้!
ผู้ฝึกตนเหล่านั้นกระโจนขึ้นไปในอากาศเข้าไปสมทบกับจื่อเยว่ จำนวนของพวกเขามากขึ้นทุกทีๆ จนกระทั่งจุดโป่งพองทั้งหมดระเบิด ผู้ฝึกตนจำนวนมากกระโจนออกมา จื่อเยว่มีกองทัพผู้ฝึกตนนับแสนอยู่ตรงหน้าแล้ว!
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านี้ไม่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรู้สึกมึนงงกับภาพที่เห็น ชายชราตัวสั่นอย่างรุนแรง สิ่งนี้ช่างบ้าคลั่งเกินจิตนาการของเขาไปมาก เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น!
“จับตัวพวกมันเอาไว้และทำลายอารยธรรมของพวกมันให้สิ้น จากนั้น…ก็ไปจับเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วพาตัวมาให้ข้า!” จื่อเยว่ออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น
ใบหน้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันซีดขาว ชายชราค้อมศีรษะลงตามสัญชาติญาณเพื่อรับคำสั่ง จากนั้นก็เริ่มจัดแจงผู้ฝึกตนที่รอดชีวิต ก่อนจะนำกองทัพผู้ฝึกตนหุ่นเชิดนับแสนพร้อมเรือบินรบเต๋ามรณะแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นมุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร!
จักรวาลในส่วนนี้เงียบลงเมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเดินทางจากไป จื่อเยว่เป็นคนเดียวที่ยังอยู่ นิ้วของนางลากผ่านเป็นผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ราวกับว่ากำลังทำการทดลองอยู่ ผ่านไประยะหนึ่งนางก็หยุดชะงักลง นางหลับตานิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานานแล้วจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจ้องไปในจักรวาลอันห่างไกล
ข้าจำได้เพียงว่า ผู้ที่มีพลังมหาศาลคนหนึ่งได้เปลี่ยนชีวิตของข้าไป…ข้าควบคุมและเปลี่ยนชะตาชีวิตของผู้อื่นราวกับมดปลวก…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งควบคุมชีวิตของข้าอยู่เช่นกัน แล้วก็ทำกับข้าเหมือนเป็น…สิ่งใดกัน มดหรือ หรือว่าใครคนนั้นกำลังใช้ข้าเพื่อเพิ่มพลังให้หวังเป่าเล่อกันแน่ จื่อเยว่ตัวสั่น ประกายเย็นยะเยือกส่องสะท้อนแรงกล้าอยู่ในดวงตานาง
ราชันสวรรค์ลำดับแรกเช่นนั้นหรือ
บทที่ 715 การกลับมาของบุตรแห่งความมืด!
ประกายเยือกเย็นสะท้อนอยู่ในดวงตาของจื่อเยว่ ในวินาทีเดียวกันนั้น ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็นำทัพหุ่นเชิดไร้จิตใจนับแสนและผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดจากแรงระเบิดของดาวศุกร์มุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร จิตใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดชีวิตเต็มไปด้วยความกลัวและไม่อยากเข้าร่วมสงครามนัก แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือก ขณะที่มุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนับพันบนดาวอังคารก็เริ่มส่องแสง พวกมันถูกหลอมขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อให้ทำงานร่วมกับการเคลื่อนย้ายหมู่ของวงแหวนปราณระบบสุริยะ
ผู้ฝึกตนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจากดาวศุกร์มาปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงระยิบระยับนั้น ทุกคนต่างก็บาดเจ็บมากน้อยต่างกันไป
พวกเขาถูกผู้ฝึกตนจากดาวอังคารที่เฝ้ารออยู่ล้อมทันที ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือ และพาตัวออกไปจากบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เหล่าหมอที่ชำนาญการนับพันเริ่มมาตรวจรักษาอาการบาดเจ็บทันที
แต่มีผู้ฝึกตนจากดาวศุกร์เข้ามามากเกินไป ทำให้บรรดาหมอไม่อาจช่วยดูอาการได้ทันทั้งหมด เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารเตรียมการรับมือเรื่องนี้โดยการจัดสรรค์ผู้ฝึกตนนับหมื่นเอาไว้รอช่วยงานบรรดาหมอ
“อาการบาดเจ็บภายใน มีอวัยวะสามถึงห้าส่วนเสียหาย ส่งสหายเต๋าไปที่บริเวณจุดพักรักษาทันที!”
“สหายเต๋าเอ๋ย อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่รุนแรงนัก เจ้าเพียงแต่เสียพลังวิญญาณมากเกินไป ใครช่วยพาสหายท่านนี้ไปนอนพักรักษาตัวในห้องก่อน!”
“วิญญาณของเจ้าแสดงอาการว่าจะแตกสลาย ส่งโอสถรักษาวิญญาณมาทางนี้หน่อย!”
ฐานที่มั่นดาวอังคารยังคงรักษาผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามอย่างรวดเร็วและมีวินัย มีการจัดการดูแลผู้ฝึกตนที่เพิ่งเคลื่อนย้ายมาจากดาวศุกร์ไปยังฐานที่มั่นอย่างเหมาะสมและว่องไว ในบรรดาผู้ที่ถูกเคลื่อนย้ายมา มีเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าด้วย พวกเขาต่างก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัสและร่างกายที่อ่อนแรง ทั้งคู่ไม่ได้เคลื่อนย้ายเพื่อไปรับการรักษา หากแต่ยืนอยู่ข้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย พลางเฝ้ารออย่างกังวล
พวกเขารอหวังเป่าเล่อ ต้วนมู่ฉี และหลี่ซิงเหวินปรากฏกาย
ผู้ที่ยืนรออยู่เคียงข้างพวกเขาคือ…ผู้ฝึกตนจากนครอาวุธเทพใหม่แห่งดาวอังคาร นำโดยหลิวต้าวปิน!
พัฒนาการของนครอาวุธเทพใหม่นั้นก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาหลายปีที่หวังเป่าเล่อไปอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล นครแห่งนี้เติบโตขึ้น และจำนวนผู้ฝึกตนที่อยู่ในนครก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ กลุ่มอำนาจการเมืองหลายกลุ่มอยากครอบครองตำแหน่งเจ้าเมือง กลายเป็นปัญหากวนใจบรรดาผู้ติดตามของหวังเป่าเล่อที่ชายหนุ่มมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลนครยิ่งนัก
หลิวต้าวปินถูกกีดกันและเกือบจะถูกขับออกจากนคร แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะพิสูจน์ตนเองและทำคุณูปการให้กับสหพันธรัฐอย่างแข็งขัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยป้องกันเหล่ากลุ่มอำนาจการเมืองที่หวังจะฮุบนครนี้เพื่อสนองความโลภของตนแม้แต่น้อย
โชคยังดีที่ชายหนุ่มได้รับการหนุนหลังจากเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารแหละหลี่ซิงเหวิน จึงช่วยให้เขารักษาสถานะเจ้าเมืองไว้ได้
จากนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อได้ไต่เต้าขึ้นสูงในสำนักวังเต๋าไพศาล การที่ชายหนุ่มได้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดทำให้ทั้งสหพันธรัฐพากันแซ่ซ้องยินดี เมื่อนั้นสถานการณ์บนดาวอังคารจึงค่อยคลี่คลายลง บรรดากลุ่มอำนาจการเมืองทั้งหลายต่างก็ต้องทำการอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สนใจหากจะทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาหวังเป่าเล่อ เพราะไม่ว่าชายหนุ่มจะทำดีกับสหพันธรัฐมากเพียงใด เขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบและต้องเล่นตามกติกาที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นมา แต่ทันทีที่หวังเป่าเล่อเป็นผู้อาวุโสสูงสุด สถานการณ์ก็พลิกผัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายอีกต่อไป
หลิวต้าวปินและหลี่หว่านเอ๋อร์ต่างก็ถอนหายใจด้วยคามโล่งอก จากนั้นจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเมื่อเกิดสงคราม และหวังเป่าเล่อหายตัวไป ในช่วงเวลานั้นบรรดากลุ่มอำนาจการเมืองก็ไม่สนใจจะชิงอำนาจกันอีก พวกเขาไม่ได้เสียอำนาจไปมากนักในช่วงที่หวังเป่าเล่อหายตัวไป จากนั้นเมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งและสังหารผู้ฝึกตนรขั้นเชื่อมวิญญาณได้ ฉากความเชี่ยวชาญในการรบพุ่งของเขาทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองของชายหนุ่มในนครตื่นเต้นกันไม่หยุด พวกเขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาฉวยโอกาสนี้กุมอำนาจในนครเอาไว้ได้ทั้งหมด ขณะนี้ทั้งคู่ต่างพาบรรดาผู้ฝึกตนแห่งนครใหม่ออกมารอต้อนรับเจ้าเมืองกลับมา!
เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้อยู่ที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย หากแต่ไปอยู่บริเวณศูนย์กลางของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร นางและผู้บริหารระดับสูงของดาวอังคารไปเปิดวงแหวนปราณนั้นขึ้น เพื่อเตรียมการป้องกันดาวในกรณีที่เกิดสงครามขึ้น
มีเรือบินรบนับแสนลำลอยพร้อมอยู่นอกวงโคจรของดาวอังคาร และมีผู้ฝึกตนจำนวนมหาศาลยืนตั้งแถวเป็นระเบียบเพื่อเฝ้ารอคำสั่ง ทันทีที่เจ้านครอาณานิคมสั่ง วัตถุเวทเพื่อการสงครามทั้งหมดบนดาวจะถูกเปิดใช้งานพร้อมกัน บรรยากาศที่คุกรุ่นไปด้วยไฟสงครามปกคลุมไปทั่วดาวอังคาร
เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารนั้นต่างจากต้วนมู่ฉีหรือหลี่ซิงเหวิน นางอาจเป็นผู้ฝึกตนสตรี แต่นิสัยใจคอทั้งแข็งแกร่งและเถรตรง แถมยังดุดันราวกับเปลวเพลิงคลั่ง หากไม่มีสิ่งใดมาแหย่เปลวเพลิง สันติสุขก็จะปกคลุมอยู่ทั่วไป แต่หากเปลวไฟจุดติดขึ้นมาเมื่อใด มันก็จะแผดเผาทุกสิ่งให้ราบเป็นหน้ากลอง
กลยุทธ์ของนางต่างกับกลยุทธ์ของดาวศุกร์ ฝ่ายหลังนั้นยอมเสียแนวป้องกันในอวกาศถึงเก้าแนว ถือเป็นการรับมือเชิงตั้งรับและปรับตัวเข้ากับศัตรู แต่กลยุทธ์ของนาง..คือการเอาต้นกำเนิดดาราของดาวอังคารออกมาและใช้ระเบิดต้านทานวิญญาณคู่กับอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารและวงแหวนปราณระบบสุริยะ ดาวอังคารจะค่อยๆ รับมือกับกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นระลอกๆ ก่อนจะบังคับให้บรรดาผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลต้องลงมาสู้กันบนพื้น เป็นการต่อสู้ที่ตัดสินชะตาครั้งสุดท้าย!
“ระบบทำลายตนเองของวงแหวนปราณระบบสุริยะถูกตั้งค่าใหม่ พวกเรายังไม่มีสิทธิ์การเข้าถึงตรงนั้น หากได้สิทธิ์นั้นมา พวกเราก็สามารถเริ่มวงจรการทำลายตนเองห้าส่วนได้ทันที!”
“การเตรียมการอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารสำเร็จแล้ว พวกเราสามารถใช้ปราณยับยั้งลงไปบนพื้นผิวดาวสามครั้งเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ!”
“บริเวณทำลายตัวเองสามแสนเจ็ดหมื่นจุดเตรียมการพร้อมแล้ว!”
การรายงานความพร้อมหลั่งไหลเข้ามาในห้องบังคับการ เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารดูใจเย็นขณะที่เงยหน้าขึ้นมองไปในอวกาศ มีแม่ทัพจากกองทัพดาวอังคารยืนอยู่ข้างนาง เขาดูร้อนรนก่อนจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้เบา
“ท่านเจ้านคร เรื่องสิทธิ์การเข้าถึงวงแหวนปราณระบบสุริยะ…หลี่ซิงเหวินอาจจะไม่มอบให้เราก็ได้ เขายังต้องการเก็บสิ่งนั้นไว้เป็นแนวป้องกันสุดท้ายสำหรับผู้รอดชีวิตในสหพันธรัฐ”
“เจ้าแก่นั่น!” เจ้านครพูดอย่างเยือกเย็น พลังปราณขั้นจุติวิญญาณมอบความรู้สึกถึงอำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ให้กับนาง
“เราจะเสียเปรียบหากเป็นการต่อสู้บนอวกาศ! การต่อสู้บนพื้นดินเท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้เปรียบที่สุด แถมยังใช้พลังของวิทยาศาสตร์การวิญญาณได้สูงสุดอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากสหพันธรัฐพ่ายแพ้ แม้จะมีผู้รอดชีวิตแต่ก็ต้องล่องลอยไปในอวกาศ จะมีประโยชน์อย่างไรกัน หากใครสักคนจะรอดชีวิตไปได้ เขาก็คงไม่เหลืออะไรนอกจากจะต้องใช้ชีวิตภายใต้ร่มเงาของอารยธรรมต่างดาวไปตลอด!”
“ถึงกระนั้น วิธีนี้ก็ต้องมีการเสียสละชีวิตเป็นจำนวนมาก…” แม่ทัพพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“พวกเราส่วนมากมาจากอารยธรรมทางตะวันออกของโลกมนุษย์ พวกเขามีภาษิตอยู่บทหนึ่ง…มีเพียงผู้บ้าคลั่งเท่านั้นที่มีชีวิตรอด!
“การเสียเลือดเนื้อนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดาวอังคารเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของสหพันธรัฐ หากดาวอังคารยังคงอยู่ สหพันธรัฐก็จะคงอยู่ด้วย หากเราพ่ายแพ้…ครอบครัวทั้งสามคนของข้าจะสู้จนลมหายใจสุดท้ายบนสนามรบ ขอให้สิ่งนี้เป็นการแสดงความภักดีต่อสหพันธรัฐครั้งสุดท้ายของเรา!
“ข้าจะพูดกับหลี่ซิงเหวินและขอสิทธิ์การควบคุมมาเอง…ออกคำสั่งมาได้เลย!”
แม่ทัพที่ได้ฟังคำพูดอันแข็งแกร่งและเด็ดขาดของเจ้านครทำได้เพียงนิ่งเงียบไป จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้ารับคำสั่ง และออกคำสั่งต่อไปทันที เสียงกัมปนาทดังสนั่นสะท้อนไปทั่วดาวอังคารทันที ทุกอย่างพร้อมแล้ว
ขณะที่การเตรียมการสู้รบบนดาวอังคารกำลังดำเนินอยู่นั้น สถานการณ์ที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็กำลังเข้าสู่ช่วงท้าย ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินปรากฏกายขึ้น ตามด้วยเฟิ่งชิวหรันและหลี่อู๋เฉิน คนสุดท้ายที่โผล่มาคือหวังเป่าเล่อ!
ชายหนุ่มเดินทางมาพร้อมดวงจันทร์ แต่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่อาจบรรจุทั้งสองได้ไหว ในท้ายที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ดวงจันทร์ก็มาปรากฏอยู่ข้างๆ ดาวอังคาร ก่อให้เกิดระลอกพลังวิญญาณกระจายออกไปในจักรวาล
ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลับไปหลับใหลอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่มีเวลากระทั่งจะกล่าวทักทายเจ้าเยี่ยเหมิง หลิวต้าวปิน หรือหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ชายหนุ่มมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยเลยสักนิด เขาหันไปมองว่าทุกคนปลอดภัย ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งครั้ง แล้วจึงกล่าวอำลาหลี่ซิงเหวินกับต้วนมู่ฉี หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวไปทางนครของเขาทันที!
เขาได้คุยกับทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินก่อนเล็กน้อย
“ท่านผู้นำ ผู้อาวุโสสูงสุด โปรดถ่วงเวลาให้ข้าสักหน่อย ข้าต้องไปเอาสิ่งหนึ่งออกมา…มันอาจจะเป็นอาวุธที่ช่วยให้เราพลิกสถานการณ์ในสงครามนี้ได้ก็เป็นได้!” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็วิ่งเต็มฝีเท้าจากไป
หวังเป่าเล่อนั้นทั้งควบคุมราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ประมือกับโยวหรัน แถมยังต้องเผชิญหน้ากับจื่อเยว่ผู้ลึกลับ ชายหนุ่มสร้างคุณูปการมหาศาลในการต่อสู้บนดาวศุกร์ คำพูดของเขามีน้ำหนักใหญ่หลวงกับทั้งหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี และเหล่าบรรดาผู้ฝึกที่อยู่ในเหตุการณ์การปะทะที่ดาวศุกร์
ยิ่งไปกว่านั้น ดาวอังคารก็เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเป็นศูนย์รวมอำนาจและความโด่งดังทั้งในนครเก่าและนครใหม่ไม่ต่างกัน
เป็นเหตุให้คำพูดสุดท้ายของเขาแพร่สะพัดไปทั่วดาวอังคารอย่างรวดเร็ว เมื่อหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีมาถึงห้องบังคับการก็ได้พบเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร และบอกสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดให้นางฟังเช่นกัน
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้ หลี่ซิงเหวินที่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ยอมกัดฟันตกลงทำตามแผนของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารที่จะให้ระเบิดวงแหวนปราณระบบสุริยะ!
ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็มาถึงนครอาวุธเทพใหม่ดาวอังคาร ชายหนุ่มจ้องมองไปที่นครซึ่งใหญ่โตขึ้นกว่าตอนที่เขาจากไปหลายเท่า แต่ก็ยังมีความคุ้นเคยอยู่ในความแปลกใหม่นั้น ทำให้ความทรงจำหลายหลากพวยพุ่งขึ้นมาในใจก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อขยี้หน้าผากก่อนจะนึกย้อนไปถึงตอนที่นิ้วของจื่อเยว่สลายกลายเป็นฝุ่นไป
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนคราวนี้แม่นางน้อยจะผล็อยหลับไปจริงๆ ทำให้คำถามของหวังเป่าเล่อไร้ซึ่งคนตอบอยู่เช่นเดิม
หวังเป่าเล่อทำได้เพียงปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อนและพุ่งตัวไปหาแท่นสังเวยบูชาตรงกลางเมือง ตรงนั้น…คือทางเข้าถ้ำนั่นเอง!
คลื่นพลังวิญญาณที่คุ้นเคยไหลบ่าออกมาจากถ้ำลึกทันทีที่เขาก้าวเข้าไป ราชครู ชายร่างกำยำ และเด็กชายปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
“ยินดีต้อนรับกลับมา บุตรแห่งความมืด!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น