ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 710-733
ตอนที่ 710 สามีภรรยาคู่ประหลาด
ไทเฮาตัวนี้ยังมีงานอดิเรกที่ต่างจากพวกคือชอบเก็บสะสมหมวกเป็นพิเศษ หมวกที่มีความหลากหลาย รังของมันกองเต็มไปด้วยหมวกและสลับใส่ทุกวัน รักสวยรักงามที่แท้
นอกจากไทเฮาแล้ว กุ้ยเฟยก็เป็นแมงมุมทารันทูล่าตัวเต็มวัยสีสวยตัวหนึ่งที่มีขนาดตัวมหึมา ขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือของมนุษย์ตัวเต็มวัย มีสีสันลวดลายทั่วตัว ลักษณะนิสัยเชื่องอ่อนโยนตามฉบับหวงกุ้ยเฟยผู้มีร่างกายอ่อนแอ้นผลักให้ล้มได้อย่างง่ายดาย
ฮ่องเต้กลับเป็นอิกัวนาตัวเต็มวัยที่มีช่วงตัวยาวถึงสองเมตร ปกติมักอยู่ในกล่องเก็บอุณหภูมิเนื่องจากฮ่องเต้ต้องการอุณหภูมิที่คงที่ อย่าเห็นแค่ว่าฮ่องเต้ตัวโตขนาดนั้นแต่มันกลับเป็นสัตว์มังสวิรัติ ไม่ทานเนื้อสัตว์และนิสัยดีอีกด้วย
เพียงแต่เจ้าตัวโตพวกนี้ต่างกลัวฉาฉากันทุกตัว ต่อให้ต่อหน้าพวกมันจะมีฉาฉาขนาดตัวที่เล็กพอที่จะมองข้ามไปได้ แต่เจ้าพวกนี้กลับไม่เคยทำตัวโอหังต่อหน้าฉาฉา เชื่องยิ่งกว่ายามอยู่กับเจ้านายพวกมันอย่างเซียวเซ่อเสียอีก
จ้าวเสวียเอ๋อร์เบะปาก ปีศาจน้อยนั่นไม่มีอะไรทำชัดๆ ดีที่พ่อแม่ของเธอหาเงินเก่ง ไม่อย่างนั้นคงแบกรับค่าใช้จ่ายของเธอไม่ไหว เพียงแต่พ่อแม่ของเธอนั้น จุจุ!
ไม่มีสามีภรรยาคู่ไหนในเมืองหลวงประหลาดไปกว่าคู่นี้อีกแล้ว!
เซียวจิ่งหมิง คุณพ่อของเซียวเซ่อเป็นศิลปินภาพวาดสไตล์ตะวันตกคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตกับมารดาที่ประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก เพราะมีพรสวรรค์ด้านศิลปะเลยถูกนักศิลปินระดับโลกชาวตะวันตกรับไว้เป็นลูกศิษย์ และเป็นลูกศิษย์ชาวเอเชียเพียงคนเดียวของอาจารย์ท่านนี้ เห็นได้ชัดว่าเซียวจิ่งหมิงมีพรสวรรค์มากขนาดไหน
เซียวจิ่งหมิงเองก็พยายามแสดงศักยภาพออกมา ท่าทางคล้ายคลึงกับเหยียนตันชิงในวันวาน ประสบผลสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยกอบโกยชื่อเสียงในแวดวงศิลปะระดับนานาชาติ จัดนิทรรศการงานศิลปะขนาดใหญ่หลายครั้ง อีกทั้งเจ้าหมอนี่ดูดีมากเหมือนพันอันกลับชาติมาเกิด มีเสน่ห์ล้นเหลือจนถึงขั้นยอมพลีชีพ ได้รับความนิยมในสังคมชั้นสูงที่ฝั่งยุโรปอย่างมาก
แน่นอนว่าเซียวจิ่งหมิงมาจากตระกูลผู้ดีของอังกฤษเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะมารดาของเขามีตำแหน่งเป็นดยุค และเขาเป็นลูกเพียงคนเดียว หากถือตามขนบธรรมเนียมในการสืบทอดตำแหน่ง อนาคตเขาจะต้องเป็นผู้สืบตำแหน่งต่อไป
ทีนี้มาพูดถึงบิดาของเซียวจิ่งหมิงอย่างท่านอาจารย์เซียวเหยี่ยน อาจารย์ท่านนี้ก็เป็นอัจฉริยะอีกคนที่ไปร่ำเรียนตำราอยู่ประเทศฝรั่งเศส นานวันเข้าก็ไปตกหลุมรักกับคุณหนูจากตระกูลผู้ดี ในวันที่เพิ่งคลอดเซียวจิ่งหมิงยังไม่ครบร้อยวันทั้งคู่ก็แยกทางกัน หนึ่งคนกลับประเทศอังกฤษ อีกคนกลับประเทศจีน เดินทางใครทางมัน
เซียวจิ่งหมิงใช้ชีวิตอยู่กับมารดามาแต่เด็ก แต่ยังติดต่อกับบิดาเซียวเหยี่ยนทางจดหมาย หลังบรรลุนิติภาวะเซียวจิ่งหมิงก็กลับมาหาครอบครัวที่ประเทศจีนอีกด้วย!
บอกได้แค่ว่าท่านอาจารย์เซียวเหยี่ยนมีความสามารถในการหลอกล่อสูงมาก วัยหนุ่มว่าหลอกล่อเอาตัวภรรยามาได้ ภายหลังก็หลอกล่อลูกชายมาได้อีก แถมยังหลอกล่อสำเร็จเสียด้วยสิ!
เหตุผลสำคัญที่ให้เซียวจิ่งหมิงตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศจีนคือคุณแม่ของเซียวเซ่อ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฝิงที่ไม่เคยน้อยหน้าใคร—เฝิงไห่ถัง หญิงประหลาดคนหนึ่งที่นิสัยตรงไปตรงมากล้ารักกล้าเกลียด และเป็นเพื่อนสนิทของคุณอาของเธออย่างจ้าวอิงหนานที่ตอนนี้ทั้งคู่ยังมีการติดต่อกันอยู่
ตระกูลเฝิงเป็นตระกูลที่ช่วยปฏิวัติประเทศเหมือนตระกูลจ้าว แต่เพราะท่านผู้เฒ่าเฝิงสุขภาพไม่ค่อยดี อยู่ในสภาพที่เหมือนใกล้หมดลมหายใจพร้อมจะจากไปเสมอ แต่อยู่ไปอยู่มาดันรอดพ้นจากสิบปีแห่งความวุ่นวาย ผู้ใหญ่และเด็กเล็กของตระกูลเฝิงเองก็อยู่รอดปลอดภัยไปตามๆ กัน
เฝิงไห่ถังกับเซียวจิ่งหมิงเป็นรักแรกพบกัน เมื่อเจอกันอีกทีก็ได้เสียกันจนได้ให้กำเนิดเซียวเซ่อออกมา สองคนนี้แต่งงานกันเพราะลูก รู้จักไม่ถึงสามเดือนก็แต่งงานกัน จากนั้นก็เกิดเรื่องทะเลาะกันไม่เคยขาด ยืดเยื้อมาได้หกปีก็หย่าขาดจากกัน
เหตุผลที่ทำไมคู่นี้ถึงประหลาดเพราะหลังจากพวกเขาหย่ากันแต่กลับยังตัดกันไม่ขาด เวลาที่ดีกันแทบจะให้คนทั้งโลกรู้ว่าพวกเขารักกัน ไม่ถึงสามวันดีก็เริ่มทะเลาะกันอีกจนได้ จากนั้นก็ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตสนุกสนานอย่างเปิดเผย เหมือนกลัวคนทั้งโลกจะไม่รู้ยังไงอย่างนั้น
…………………..
ตอนที่ 711 สำรวจตลาด
เหมยเหมยเคยได้ยินเรื่องพ่อแม่เซียวเซ่อมาบ้างจากปากของคุณอาจ้าวอิงหนาน เพราะจ้าวอิงหนานเป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กของคุณหนูใหญ่เฝิงหรือก็คือคุณแม่ของเซียวเซ่อนั่นเอง ลูกอมและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพนำเข้าของบ้านสยงมู่มู่ล้วนได้มาจากคุณหนูใหญ่เฝิงคนนี้ให้มาทั้งนั้น
หากเอ่ยถึงคุณหนูใหญ่เฝิงสามวันสามคืนก็พูดไม่จบ ประวัติส่วนตัวยิ่งกว่าตำนานเล่าขานเสียอีก!
คุณหนูใหญ่เฝิงสมกับเป็นสตรีชื่อดังที่ไม่ยอมน้อยหน้าใครในเมืองหลวง กล้ารักกล้าเกลียดและกล้าทำ เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เปิดธุรกิจสีเทาในประเทศจีน
เพราะเธอใจกล้า มีมันสมอง ทั้งมีเบื้องหลังและเงินทุนคอยสนับสนุน อีคิวสูง เจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผี
พูดได้เลยว่านอกจากอดีตสามีอย่างเซียวจิ่งหมิงแล้ว ไม่ว่ากับใครคุณหนูใหญ่เฝิงก็คุยด้วยได้อย่างราบรื่น อีกทั้งเธอเป็นคนทำงานเก่งเลยเติบโตได้ดีในแวดวงธุรกิจ กิจการใหญ่โตทั้งธุรกิจสีขาวและสีเทา
สถานบันเทิงแห่งแรกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองหลวงถูกก่อตั้งโดยคุณหนูเฝิงไห่ถังคนนี้นี่เอง ในสถานที่ที่ใช้เงินซื้อเหล้าดื่มด่ำกับความฝันแห่งนี้มีคนจากทุกประเภทแฝงตัวอยู่แต่กลับไม่มีใครกล้าก่อเรื่องนอกเสียจากว่าพวกเขาเบื่อกับการมีชีวิตอยู่ต่อไป
คนเหล่านี้เห็นแก่คุณหนูใหญ่เฝิงทั้งสิ้น จากตรงนี้ก็เห็นได้แล้วว่าเฝิงไห่ถังฝีมือฉกาจมากขนาดไหน!
แม้เซียวจิ่งหมิงไม่ทำธุรกิจแต่ภาพวาดของเขามีค่าราคาสูง หมอนี่วาดภาพสไตล์ยุโรปซึ่งได้รับความนิยมสูงทางฝั่งยุโรป ราคาขายก็ถูกตั้งไว้สูงจนแม้แต่ราชวงศ์ยุโรปยังตามซื้อภาพวาดของเขา
มีสำนวนโบราณที่ว่าร้านขายโลงศพไม่เปิดร้านสามปี พอเปิดทีก็หาเงินกินไปได้อีกสามปี ประโยคนี้ใช้กับเซียวจิ่งหมิงได้ สามปีไม่แตะต้องดินสอ พอแตะดินสอเข้าหน่อยก็หาเงินกินได้อีกสามปี
อีกอย่างเซียวจิ่งหมิงเกิดจากตระกูลผู้ดีที่มีตำแหน่งเป็นถึงดยุค มารดาของเขาเดิมทีเป็นหญิงผู้แข็งแกร่งอยู่แล้วและเริ่มช่วยดูแลกิจการครอบครัวมาตั้งแต่วัยเยาว์ พออายุมากก็ไม่อยากสนใจปล่อยให้คนอื่นมาดูแลบริษัทแทน เงินกำไรแต่ละปีมากจนน่าตกใจ
บอกได้แค่ว่าต่อให้เซียวจิ่งหมิงไม่วาดรูปเขาก็ใช้ชีวิตเป็นลูกมหาเศรษฐีได้อย่างสบายๆ มีเงินไม่ขาดมือ!
คู่นี้ใจป้ำกับลูกสาวเพียงหนึ่งเดียวอย่างเซียวเซ่อพอสมควร ไม่อย่างนั้นเซียวเซ่อคงไม่มีปัญญาเลี้ยงสัตว์ผลาญเงินเหล่านั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก แค่งูเหลือมทองกับอิกัวนาก็ไม่ใช่สัตว์ที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจะเลี้ยงไหว แค่ค่าอาหารทุกวันกับกล่องเก็บอุณหภูมิก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ แล้ว หากไม่มีเงินก็คงเลี้ยงไม่ไหว
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเซียวเซ่อกับพ่อแม่ไม่ค่อยดีนัก เธอไม่อยู่กับใครทั้งนั้น แต่เลือกใช้ชีวิตอยู่คฤหาสน์หลังโตเพียงลำพัง ข้างกายมีคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลที่คุณย่าส่งมาจึงได้มีชีวิตที่สะดวกสบาย ทว่าดันไม่มีคนให้คุยเป็นเพื่อนแม้แต่คนเดียว วันๆ ได้แต่เผชิญหน้ากับคฤหาสน์ที่แสนหนาวเหน็บกับสัตว์เลี้ยงฝูงหนึ่งที่พูดไม่ได้ มิน่าสาวน้อยผู้นี้ถึงดูหยิ่งผยองนัก
ทั้งที่เป็นหญิงสาวที่เข้าหาง่ายแท้ๆ!
จ้าวเสวียเอ๋อร์ทานไอศกรีมในมือหมดไปหนึ่งแท่งก็ยื่นมือล้วงถุงต่อ หยิบปีกไก่ทอดออกมาหนึ่งชิ้นก่อนจะเริ่มแทะเสียงดังสวบสาบ ใช้มือรองด้านล่างไว้ด้วย อย่าให้ต้องพูดเลยว่ามีความสุขแค่ไหน!
ปีกไก่ทอดหนึ่งชิ้นถูกแทะหมดภายในชั่วพริบตา จ้าวเสวียเอ๋อร์ยื่นมือล้วงเข้าไปต่อแต่โดนฝ่ามือเหมยเหมยซัดกลับไป จงใจหยอกล้อขึ้นว่า “พี่สาม ไหนว่าเป็นอาหารขยะของชาวตะวันตกไง? ทำไมถึงกินล่ะ?”
จ้าวเสวียเอ๋อร์ตอบกลับหน้าตายอย่างใจเย็น “พี่กำลังสำรวจตลาดอยู่ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เพื่อที่พี่จะได้ประสบความสำเร็จต่อให้ต้องกินอาหารขยะมากแค่ไหนก็ยอม สมัยนี้คนที่ยอมสละตัวเองอย่างพี่น้อยลงจริงๆ แล้วนะ!”
สายตาสี่คู่หันมามองอย่างเหยียดหยาม แต่จ้าวเสวียเอ๋อร์กลับทำเป็นไม่เห็น หยิบปีกไก่ทอดอีกชิ้นมาวิเคราะห์ตลาดต่อ เหมยเหมยคร้านจะสนใจเขาพลางหยิบไอศกรีมในถุงให้ฉิวฉิวกับฉาฉาอีกแท่ง สองตัวนี้กระเพาะใหญ่ไม่น้อย ทุกครั้งต้องทานไอศกรีมสองแท่งถึงจะพอ
……………………
ตอนที่ 712 สำนักงานใหญ่ที่ใจเหี้ยม
จ้าวเสวียหลินถามด้วยความสงสัย “พี่สาม พี่อยากเปิดร้านอาหารเหรอ?”
จ้าวเสวียเอ๋อร์พยักหน้าตอบ “ใช่ ฉันกะจะเปิดร้านเคเอฟซีร้านที่สองของเมืองหลวง!”
ถ้าเจ้าหมอนี่ทำยังไม่สำเร็จคงไม่พูดออกมา ทำเอาทุกคนตะลึงงันกันถ้วนหน้า เหมยเหมยได้สติเป็นคนแรกพลางถามขึ้น “พี่ได้รับคำอนุญาตจากสำนักงานใหญ่ของเคเอฟซีแล้วเหรอ?”
จ้าวเสวียเอ๋อร์มองเหมยเหมยแวบหนึ่งด้วยความชื่นชม สมแล้วที่น้องสาวเป็นคนที่ฉลาดเป็นอันดับสองของบ้าน รู้ด้วยว่าหากจะเปิดสาขาต้องยื่นคำขอ!
เขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “แน่นอน ไม่อนุญาตพี่จะเปิดยังไง อีกอย่างพี่ไม่มีสูตร อยากเปิดแค่ไหนถ้าขาดสูตรก็ทำอะไรไม่ได้”
คนอื่นได้ยินแล้วมึนไปชั่วขณะ แค่เปิดร้านอาหารเท่านั้นเองทำไมต้องขออนุญาตจากสำนักงานใหญ่ด้วย?
เหมยเหมยจึงอธิบายขั้นตอนการร่วมเป็นร้านระบบแฟรนไชส์ให้พวกเขาอย่างอดทนจนทุกคนเข้าใจ เจ้าอ้วนน้อยเอ่ยขึ้นว่า “คนต่างชาติหาเงินเก่งกันจังเนอะ ทั้งโลกมีตั้งกี่ประเทศตั้งกี่เมือง พวกเขาไม่ต้องทำงาน แค่เปิดร้านอาหารในทุกเมือง แล้วรอเก็แค่ค่าธรรมเนียมก็มากจนนับเงินไม่หวาดไม่ไหวแล้ว !”
จ้าวเสวียเอ๋อร์พูดอย่างปวดใจ “ก็ใช่ไง ใครให้พวกเขามีสูตรกันล่ะ ไหนจะสิทธิทางเครื่องหมายการค้าอีก เงินนี้ต้องปล่อยให้พวกเขากอบโกยไปล่ะ!”
แค่คิดว่าต้องเสียค่าธรรมเนียมถึงหลายหมื่นจ้าวเสวียเอ๋อร์ก็ปวดใจแทบตาย เงินที่เขาเก็บหอมรอมริบมาตลอดสิบกว่าปีจะต้องตกเป็นของสำนักงานใหญ่แสนใจเหี้ยมนั่น ไม่เหลือให้เขาแม้แต่หยวนเดียว
สยงมู่มู่มีความสุขที่สุดรีบรบเร้าให้จ้าวเสวียเอ๋อร์เปิดร้านอาหารโดยเร็ว “วันหลังถ้าฉันหิวจะไปกินที่ร้านพี่สาม อยากกินเท่าไหร่ก็กินเท่านั้น ไม่ต้องเสียเงินสักหยวน!”
จ้าวเสวียเอ๋อร์ดีดหน้าผากเขาไปทีอย่างไม่สบอารมณ์ “ฝันไปเถอะ ไปกินที่ร้านฉันต้องจ่ายเงิน อีกอย่างตอนนี้ยังไม่มีให้กิน อย่างน้อยต้องรอถึงปีหน้าถึงจะเปิดได้”
เงินที่มีอยู่ทั้งหมดเอาไปจ่ายค่าธรรมเนียมหมดแล้วจึงไม่มีเงินเหลือจ้างคนและเช่าหน้าร้าน เขาต้องเก็บเงินอีกหนึ่งปี หากโชคดีปีหน้าก็เปิดร้านได้ โชคไม่ดีคงต้องหาหุ้นส่วนแทน!
แค่คิดถึงเรื่องพวกนี้จ้าวเสวียเอ๋อร์ก็ยิ่งปวดใจ เขาเคยสำรวจตลาดมาก่อนและคำนวณกระแสความนิยมของร้านอาหาร อย่างมากหนึ่งปีครึ่งเขาก็จะได้ต้นทุนกลับคืนมา แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ถอนหายใจ ไม่มีเงินไม่มีหุ้นส่วน เขาจะทำอย่างไรได้อีก!
เหมยเหมยได้ยินแล้วก็แปลกใจ ถามกลับด้วยความฉงน “พี่สาม ทำไมพี่ไม่เปิดตั้งแต่ปีนี้เลยล่ะ? ยืดเยื้อถึงปีหน้าพี่ต้องเสียหายอีกมากขนาดไหนเนี่ย!”
จ้าวเสวียเอ๋อร์ใจเจ็บแปลบ ทำหน้ากลัดกลุ้มแล้วร้องคร่ำครวญด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “เหมยเหมย นี่เธอกำลังเอามีดแทงหัวใจพี่อยู่นะ เราไม่พูดเรื่องนี้ได้มั้ย? ถ้าพี่สามอย่างฉันมีเงิน ฉันจะปล่อยให้เงินไหลออกไปแบบนี้เหรอ?”
เหมยเหมยกลอกตาคิด พี่สามของเธอเงินหมดสิท่า!
มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเธอ ตัดสินใจว่าตกดึกค่อยไปคุยกับพี่สามดู ตอนนี้บนรถคนเยอะไม่พูดจะดีกว่า
ตลอดสองปีนี้หลังท่านผู้เฒ่าทั้งสองได้ผ่านการปรับความสมดุลจากเหมยเหมย ทั้งคู่สุขภาพกายแข็งแรง ใบหน้าสดชื่นต่างจากสภาพแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง เช้านี้ทั้งคู่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านผู้เฒ่าไปยืนส่องที่ลานหน้าบ้านหลายครา ในที่สุดช่วงมื้อเที่ยงพวกเหมยเหมยก็กลับมาสักที
เหมยเหมยแนะนำเจ้าอ้วนให้พวกท่านรู้จัก ตั้งแต่อู่เชาเห็นรถขับเข้าประตูบานใหญ่และเห็นยามหน้าประตูในชุดเครื่องแบบพร้อมกระบอกปืนของจริงสองขาก็สั่นพรึบพรับ เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าท่าทางน่าเกรงขามก็ยิ่งตกใจกลัวจนไม่กล้าหายใจเสียงดัง เอ่ยคำทักทายเสียงสั่นเทา จากนั้นก็หัวหดไม่กล้าปริปากพูดอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบแตงโมจากตู้เย็นมาหั่นชิ้นยื่นให้เจ้าอ้วนน้อยแล้วยิ้มอย่างใจดี “เสี่ยวเชากินแตงโมสิ ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
เจ้าอ้วนน้อยเป็นเพื่อนรักของหลานสาว เธอต้องต้อนรับเป็นอย่างดีอยู่แล้ว!
…………………….
ตอนที่ 713 แตงโมที่มอบให้เป็นพิเศษ
อู่เชาหยิบแตงโมมากัดคำหนึ่งดวงตาก็พลันลุกวาวขึ้นมา เปิดปากชมอย่างห้ามไม่ได้ว่า “แตงโมหวานจัง เป็นแตงโมที่หวานที่สุดในชีวิตที่ผมเคยกินมาเลย”
สยงมู่มู่แค่นเสียงหัวเราะกล่าว “ชีวิตนายนี่สั้นจริงๆ นะ!”
อู่เชาพูดอ้อมแอ้ม “ฉันพูดให้มันเกินจริง รู้มั้ย!”
เจ้าอ้วนมีข้อดีอย่างหนึ่งคือไม่ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่มากแค่ไหนขึ้นล้วนแก้ปัญหาได้ด้วยของกิน เจ้าอ้วนน้อยที่กัดแตงโมไปสามคำรวดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง คุยไปยิ้มไปไม่ได้เกร็งเหมือนก่อนหน้านี้
เหมยเหมยป้องปากแอบยิ้มแล้วกัดแตงโมคำเล็ก เจ้าอ้วนน้อยพูดไม่ผิด แตงโมบ้านคุณปู่คุณย่าของเธอรสชาติหวานกว่าปกติที่หาซื้อตามตลาดไม่ได้ เพราะแตงโมเหล่านี้เป็นบรรณาการพิเศษ รวมถึงผลไม้ชนิดอื่นด้วยเช่นกัน
ใช่ว่าทุกคนที่อยู่ในชุมชนนี้จะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันหมด มีเพียงผู้นำตระกูลอาวุโสบางท่านเท่านั้นที่จะได้รับ คุณปู่คุณย่าเธอเป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นทุกครั้งที่เธอกลับเมืองหลวงมักของโปรดปรานที่สุดก็คือผลไม้ในบ้านนี่เอง
“คุณปู่คุณย่ากินเคเอฟซีสิคะ ของพวกนี้เป็นของโปรดของชาวต่างชาติ คุณปู่คุณย่าลองทานดูสิคะว่ารสชาติเป็นยังไง!”
เหมยเหมยแกะถุงให้ปู่ย่าทั้งสองท่านเลือกทานสิ่งที่ชอบ แต่คุณย่าดูไม่ชอบเท่าไรนัก ทานแค่มันฝรั่งแท่งทอดกรอบไปคำเดียวก็หยุดทานเสียแล้ว ขณะที่คุณปู่กลับทานอย่างออกรส แฮมเบอร์เกอร์หมดไปชิ้นหนึ่งตามด้วยปีกไก่ทอดสามชิ้นและน้ำโค้กอีกหนึ่งแก้ว
“อาหารชาวตะวันตกรสชาติไม่เลวเลย วันหลังเราทำเองกันเองดู ก็แค่ชุบไข่ผสมแป้งแล้วเอาไปทอดไม่ใช่หรือไง ง่ายนิดเดียวเอง” ท่านผู้เฒ่าสาธยายออกมาราวกับมันง่ายมาก
จ้าวเสวียเอ๋อร์มุมปากกระตุก คุณปู่เขาพูดเหมือนง่ายเหลือเกิน ชุบไข่ผสมแป้งแล้วทอดในกระทะ?
ถ้าง่ายขนาดนั้นเขาจะทุ่มเงินไปตั้งมากมายทำไมล่ะ ?
เหมยเหมยไม่ได้ทักท้วงอะไรคุณปู่ เพียงแค่รับฟังหน้ายิ้มๆ อย่างไรเสียคุณปู่ก็ไม่สนใจงานภายในบ้านอยู่แล้ว เธอซื้อกลับมา คุณปู่ก็ไม่ถามหรอกว่าซื้อมาหรือทำเอง หลอกง่ายจะตายไป
สองพี่น้องจ้าวเสวียไห่กับจ้าวเสวียกงสูงขึ้นมาก พวกเขาสอบเข้าโรงเรียนทหารแห่งหนึ่งที่อยู่เมืองนานกิงได้ สองปีนี้สองพี่น้องดูสุขุมขึ้นมากไม่ได้ซนเป็นลิงเป็นค่างเหมือนแต่ก่อน
“วันเกิดเหมยเหมยคือวันที่สิบแปด วันนี้วันที่สิบ เหลืออีกแปดวัน เหมยเหมยอยากฉลองวันเกิดแบบไหน?” คุณย่าเอ่ยถาม
เหมยเหมยไม่ได้สนใจมากนักจึงตอบกลับไปอย่างนั้น “ไม่ใช่วันสำคัญอะไร คุณย่าทำบะหมี่อายุยืนให้หนูสักถ้วยก็พอ”
“ไม่ได้หรอก วันเกิดหลานสาวฉันทั้งทีต้องจัดให้ครึกครื้นหน่อย หรือว่าเราไปจัดงานที่โรงแรมดี ย่าออกเงินเอง” คุณย่าพูดอย่างตื่นเต้น
คุณปู่ก็เห็นด้วย “ตกลงตามนี้แล้วกัน ถึงตอนนั้นเราไปทานข้าวกันที่ฉวนจวี้เต๋อ!”
เหมยเหมยไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นเท่าไหร่ อีกทั้งยังดูไม่ค่อยร่าเริงนัก คุณย่าคิดว่าเธอเหนื่อยล้าเกินไปเลยให้เธอไปพักผ่อนหลังทานมื้อกลางวันเสร็จ
เหมยเหมยที่อาบน้ำเสร็จแล้วล้มตัวนอนบนเตียงยังคงอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะเธอนึกถึงจอมรังควานคนหนึ่ง นับตั้งแต่กลับจากบ้านนอกคราวก่อนหมอนั่นไม่เคยโผล่มาหาเธออีกเลย แม้แต่คืนก่อนออกเดินทางก็ไม่มาทำเอาเธอรอไปครึ่งค่อนคืน
เชอะ ทั้งที่คืนวันเกิดปีที่แล้วเขาแอบปีนกำแพงมาให้ของขวัญวันเกิดเธอด้วยซ้ำ ปีนี้กลับลืมสิ้น คนสารเลว!
เหมยเหมยก่นด่าว่าที่ผู้บังคับบัญชาการใหญ่ในอนาคตนับครั้งไม่ถ้วนก่อนจะผล็อยหลับไปทั้งที่เบะปากอยู่อย่างนั้น ในฝันตำหนิใครบางคนอีกระลอก พร้อมใช้กระทะก้นแบนไล่ฟาดเธอถึงหายโกรธได้บ้าง
เหยียนหมิงซุ่นจะลืมวันเกิดของเจ้าหญิงตัวน้อยได้อย่างไร เขาจดจำมันได้ดีกว่าใคร เพียงแต่ปีนี้เขามีแผนอื่นถึงไม่ได้ปีนกำแพงไปหา เขาตัดสินใจจะให้เซอร์ไพรส์เหมยเหมยอย่างยิ่งใหญ่
แต่ตอนนี้เขาต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้หมดก่อน!
…………………
ตอนที่ 714 เหยียนหมิงซุ่นที่ถูกอบรมสั่งสอน
แม้ข้างนอกจะอากาศร้อนระอุแต่ภายในบ้านตระกูลเหยียนกลับหนาวเหน็บยิ่งกว่าฤดูหนาว เหยียนโฮ่วเต๋อทำหน้าเย็นชา สีหน้าคุณปู่เหยียนเองก็ไม่ดีไปกว่ากันมากเท่าไร มองหลานชายคนโตที่ตั้งความหวังไว้อย่างปวดใจ
เหยียนโฮ่วเต๋อเพิ่งรู้จากการทักถามของเพื่อนร่วมงานว่าลูกชายคนโตที่เขาภาคภูมิใจมาโดยตลอดไม่ได้เข้าสอบคัดเลือกระดับมหาวิทยาลัย ทุกอย่างเป็นศูนย์คะแนน จะไปเรียนที่ไหนก็ไม่ได้
เมื่อนั้นเขาแทบสลบล้มพับลงไป ฝืนทำงานทั้งวันก็เร่งฝีเท้ากลับบ้าน เหยียนหมิงซุ่นไม่อยู่บ้าน เขาถามพ่อแม่ว่ารู้เรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งคนแก่ทั้งสองแทบไม่อยากเชื่อ กระทั่งเหยียนหมิงซุ่นกลับบ้านจึงยอมรับเองกับปาก พวกเขาถึงต้องเชื่อ
เหยียนโฮ่วเต๋อมองลูกชายคนโตอย่างผิดหวัง พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ทำไมไม่เข้าสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกที่บ้านสักคำ?”
เหยียนหมิงซุ่นตอบเสียงเรียบว่า “ไม่จำเป็น เรื่องของผม ผมตัดสินใจเองได้”
“แก…”
เหยียนโฮ่วเต๋อโกรธจนลุกยืนขึ้น ตวัดฝ่ามือหมายจะฟาดลงไป ไฟโทสะลุกโหมท่วมตัวเขาแล้ว ไอ้ลูกทรพีทำให้เขาอับอายขายหน้าเพื่อนร่วมงาน สมแล้วที่เป็นไอ้ตัวอ่อนขี้ขลาดตาขาว อ่อนแอไร้ความสามารถ!
เหยียนหมิงซุ่นยื่นมือบังฝ่ามือเหยียนโฮ่วเต๋อได้อย่างง่ายดาย แค่นเสียงหัวเราะออกมา “พ่อไม่มีสิทธิ์ตีผม และพ่อก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องของผม!”
“โอ้ หมิงซุ่นทำไมพูดแบบนี้กับพ่อเธอล่ะ? ไม่มีสิทธิ์อะไรกัน เขาเป็นพ่อของเธอเชียวนะ คนเป็นพ่อสั่งสอนลูกเป็นเรื่องปกติ!”
ถานซูฟางน้ำเสียงประชดประชันและทุกประโยคได้ยั่วยุไฟโทสะของเหยียนโฮ่วเต๋อเป็นอย่างดี เขาหน้าตึงขึ้นเรื่อยๆ หายใจหนักหน่วง ความเย็นชาจากแววตาเองก็มากขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้ลูกทรพี ไม่เข้าสอบมหาวิทยาลัยคิดจะทำอะไรในอนาคต? หรือว่าแกอยากให้ฉันเลี้ยงแกตลอดชีวิต?”
เหยียนโฮ่วเต๋อชักมือกลับหลายรอบแต่ไม่สำเร็จ ทั้งโกรธทั้งโมโหจนเส้นเลือดตรงหน้าผากปูดโปน เป็นห่วงเสียจริงว่าเขาจะเส้นเลือดในสมองแตกเอา!
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “พ่อเลี้ยงผมตั้งแต่เมื่อไหร่? คนที่เลี้ยงผมมาคือคุณปู่คุณย่า อนาคตผมจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับพ่อ พ่อสบายใจได้ ต่อให้ไปเป็นขอทานก็ไม่มีวันไปขอข้าวบ้านพ่อกินหรอก!”
คุณปู่เหยียนตวาด “หมิงซุ่น พูดแบบนี้กับพ่อได้ยังไง?”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เดินหนีเงียบๆ เหมือนอย่างเคยแต่เถียงกลับ “เขาไม่คู่ควรเป็นพ่อของผม แม่ของผมตายเพราะผู้หญิงคนนี้ยั่วโมโห ตอนเด็กผมถูกผู้หญิงคนนี้ทารุณเขาก็ไม่เคยออกมาห้าม ดังนั้นเขาไม่คู่ควร คุณปู่ครับ ที่ผมไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลเพราะเห็นแก่คุณปู่กับคุณย่า แต่ไม่ใช่เขา!”
คนตระกูลเหยียนตะลึงกับท่าทีที่แตกต่างจากอดีตของเหยียนหมิงซุ่น เมื่อก่อนแม้เหยียนหมิงซุ่นจะไม่ค่อยให้ความสนใจเหยียนโฮ่วเต๋อมากนัก แต่ยังไว้ซึ่งความเคารพ ใช่ว่าจะพูดจาไร้สัมมาคารวะเหมือนตอนนี้?
ความจริงทั้งหมดนี้เป็นคุณงามความดีของเหมยเหมย!
เดิมทีเหยียนหมิงซุ่นคิดว่าลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีก็ยังไม่สาย รออนาคตเขาประสบความสำเร็จค่อยเอาคืนเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟาง แต่เหมยเหมยมักเอาแนวความคิดเรื่องการแก้แค้นกรอกข้างหูเขาอยู่บ่อยครั้ง
สิ่งสำคัญก็คือเมื่อชาติที่แล้วเนื่องด้วยอู่เยวี่ยมีพี่ชายสามีที่ทรงอำนาจถึงได้วางท่าโอหังขนาดนี้ ไหนจะเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางที่มีหน้ามีตาในสังคมจากอำนาจของเหยียนหมิงซุ่น เธอไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชาตินี้อีกเด็ดขาด
เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางมีสิทธิ์อะไรที่จะได้เสพสุขกับผลลัพธ์ที่เหยียนหมิงซุ่นต่อสู้มาด้วยหยาดเหงื่อตัวเองเล่า
เหยียนหมิงซุ่นที่ถูกเหมยเหมยอบรมสั่งสอนมาเองก็คิดขึ้นได้ รู้สึกว่าที่เจ้าหญิงตัวน้อยพูดมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะถอยอีกต่อไปและระเบิดอารมณ์ออกมา!
…………………..
ตอนที่ 715 เกลียดจนอยากบีบคอให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอด
เหยียนโฮ่วเต๋อโกรธจนหน้ามืดตัวสั่นเพราะความไร้สัมมาคารวะของเหยียนหมิงซุ่น ทำเอาเสียทุกคนต่างเป็นห่วงเหลือเกินว่าเขาจะเส้นเลือดในสมองแตกหรือไม่!
ถานซูฟางถอดสีหน้าทันที แหวเสียงสูงกระแทกกลับไปว่า “แม่ของแกมันชีวิตสั้นเอง เกี่ยวอะไรกับฉัน? โฮ่วเต๋อคุณดูสิว่าเจ้าเด็กนี่พูดจายังไง ไม่เห็นหัวฉันเลยสักนิด!”
เหยียนหมิงซุ่นแววตาเย็นชาลงหยิบน้ำชาที่เย็นชืดบนโต๊ะสาดใส่ถานซูฟาง จนทั้งศีรษะและใบหน้าเต็มไปด้วยเศษใบชา สภาพดูไม่จืดเอาเสียเลย
“คุณกล้าสาบานต่อหน้าฟ้าดินมั้ยล่ะ? ว่าการตายของแม่ผมไม่เกี่ยวกับคุณ? คุณอย่าคิดว่าเรื่องผิดศีลธรรมที่คุณเคยทำไว้จะไม่มีใครรู้ แม่ผมป่วยหนักนอนอยู่โรงพยาบาลแต่คุณกับเขากลับนอนกกกอดกันอยู่ในบ้าน ไม่ใช่แค่นี้ ยังวิ่งแจ้นอวดความสัมพันธ์คบชู้ของพวกคุณต่อหน้าแม่ผมอีก ถานซูฟาง คุณทำแบบนี้ต้องการอะไร? ไม่ใช่ว่าคนใจอำมหิตอย่างคุณอยากให้แม่ผมอกแตกตายหรือไง?”
เหยียนหมิงซุ่นพูดฉอด ๆ ระรัวใส่ไม่เว้นช่วงให้ถานซูฟางได้หายใจ คุณปู่เหยียนกับคุณยายหยางต่างมีใบหน้าเรียบตึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเหยียนหมิงซุ่นจะรู้เรื่องทั้งหมด!
ที่คนแก่อย่างพวกเขาทั้งสองไม่ชอบใจถานซูฟางเพราะผู้หญิงคนนี้หน้าไม่อาย จิตใจชั่วช้าและบอกได้เลยว่าถานซูฟางเป็นฆาตกรทางอ้อมที่ฆ่าแม่ของเหยียนหมิงซุ่น
ถานซูฟางส่อแววพิรุธออกมา ยังคงปากแข็งเถียงกลับไป “ช่างเป็นเรื่องไม่มีต้นสายปลายเหตุอะไรเลย แม่ของเธอชีวิตสั้นเอง เขาตายไปฉันกับพ่อของเธอถึงอยู่ด้วยกัน เหล่าเหยียน รีบพูดอะไรหน่อยสิ คุณดูสิว่าเจ้าเด็กนี่พูดจาไม่มีสัมมาคารวะแค่ไหน!”
คุณปู่เหยียนตวาดเสียงดัง “แกหุบปากละไสหัวไปอยู่เฉยๆ แกไม่มีสิทธิ์พูด!”
ถานซูฟางยืนนิ่ง อารมณ์โกรธพุ่งปรี๊ดแล้วตะคอกใส่ “ทำไมฉันถึงไม่มีสิทธิ์ หลานชายที่พ่อกับแม่สอนมา ดูสิว่ามันทำอะไรกับฉันบ้าง นี่เป็นท่าทางที่ควรแสดงต่อผู้อาวุโสเหรอ?”
เหยียนหมิงซุ่นแค่นเสียงเหยียดกลับไปว่า “คุณเป็นผู้อาวุโสฝั่งไหนของผมล่ะ? คุณเป็นคู่แค้นที่ฆ่าแม่ของผมงั้นเหรอ ถ้าไม่ใช่ว่าฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ผมเกลียดจนแทบอยากจะบีบคอคุณให้ตายซะรู้แล้วรู้รอด ให้คุณไปเสิร์ฟน้ำชาให้แม่ผมที่ยมโลก กราบเท้ายอมรับผิด”
ถานซูฟางถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าที่รู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าทำให้ตกใจสะดุ้ง ตัวสั่นเทาเล็กน้อยและความหนาวเหน็บเริ่มเกาะกุมหัวใจ
เมื่อมองดวงตาที่ฉายแววเย็นชาของเหยียนหมิงซุ่นเธอ ถึงสำนึกได้ว่าลูกเลี้ยงที่ปกติทำตัวเรียบง่าย ไม่ใช่แกะน้อยที่เธอจะทำอะไรก็ได้อีกต่อไป แต่เป็นหมาป่าตัวหนึ่ง หมาป่าที่ฆ่าคนได้
“เหล่าเหยียน ลูกชายของคุณเป็นบ้าไปแล้ว เขาเป็นบ้าไปแล้ว!” ถานซูฟางพูดด้วยความหวาดกลัว
แม้คุณยายหยางจะตื่นตกใจกับหลานชายที่แปลกไปตรงหน้า แต่เธอยังยืนอยู่ข้างเดียวกับหลานชาย พอได้ยินถานซูฟางพูดจาใส่ร้ายหลานชายของเธอก็โกรธจนเด้งตัวออกมาตวัดฝ่ามือตบหน้าถานซูฟางไปทีหนึ่ง
“เหลวไหล แกต่างหากที่บ้า ถ้ากล้าพูดเหลวไหลอีกก็ไสหัวกลับบ้านตัวเองไปซะ!”
ถานซูฟางไม่ใช่คนที่จะยอมโดนทำร้ายง่ายๆ เมื่อก่อนที่ยอมอดทนเพราะกลัวเหยียนโฮ่วเต๋อโกรธ แต่ตอนนี้เธอถูกเหยียนหมิงซุ่นทำให้อารมณ์โกรธพุ่งปรี๊ด อีกทั้งปักใจเชื่อว่าต้องเป็นเพราะไอ้แก่สองคนนี้ที่ชอบนินทาว่าร้ายเธอต่อหน้าเขาแน่ ถึงทำให้เหยียนหมิงซุ่นแค้นเธอเข้ากระดูกดำเช่นนี้
ตอนที่นางแพศยานั่นตาย เหยียนหมิงซุ่นเพิ่งไม่ถึงสองขวบดี ยังจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้เรื่องละเอียดขนาดนี้ได้อย่างไร?
ถานซูฟางถลึงตาจ้องคุณยายหยางด้วยความแค้น “คนที่พูดเหลวไหลคือแม่เองหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นินทาฉันต่อหน้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กนี่จะทำตัวแบบนี้กับฉันได้ยังไง? ทำไมแม่ถึงไม่ชอบใจฉันได้ขนาดนี้?จิตใจของแม่โหดร้ายจริงๆ!”
คุณยายหยางโกรธจนตัวสั่นไม่หยุด ถึงเธอไม่ชอบถานซูฟางแต่เธอไม่เคยนินทาว่าร้ายเธอต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นเลยสักคำเดียว
————————
ตอนที่ 716 คู่ชายโฉดหญิงชั่ว
คุณย่าหยางรู้แก่ใจดีว่าในไม่ช้าก็เร็วเธอกับสามีต้องตาย ไม่มีทางอยู่ดูแลเหยียนหมิงซุ่นได้ตลอดชีวิต หากวันใดที่พวกเขาตายเร็วขึ้นมาแล้วหลานชายคนโตยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ก็เท่ากับต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้การดูแลของถานซูฟางไม่ใช่หรือ?
หากพูดถึงด้านไม่ดีของถานซูฟางต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นตั้งแต่เล็ก เด็กนี่ต้องเกิดอาการต่อต้านแม่เลี้ยงคนนี้ขึ้นมาทันที เด็กไม่มีทางเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ได้หรอก ยังไงก็ต้องแสดงออกมาทางสีหน้า แบบนี้หลานชายคนโตเธอต้องลำบากเอาวันหน้าแน่ๆ!
ดังนั้นเพื่ออนาคตที่ดีของเหยียนหมิงซุ่น คุณย่าหยางถึงอดกลั้นไว้ไม่พูดถึงเรื่องไม่ดีของถานซูฟางแม้แต่น้อย เธอเองก็สงสัยเช่นกันว่าหลานชายคนโตรู้เรื่องราวในอดีตเหล่านี้ได้อย่างไร!
เหยียนหมิงซุ่นรุดหน้าไปประคองคุณย่าหยางแล้วเอายาลดความดันให้เธอทาน คุณย่าหยางถึงผ่อนคลายลงบ้าง แต่สีหน้ากลับขาวซีดและดูอ่อนแรงลงมากทีเดียว เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกผิดอยู่เต็มอก คุณย่าก็หวังดีกับเขาเหมือนคุณยาย เขาหวังว่าคุณย่าจะอายุยืนยาวนับร้อยปี สุขภาพกายแข็งแรง
เขาเองก็รู้ว่าคุณย่าไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นที่บ้าน แต่เขาทำไม่ได้!
เขาเกลียดถานซูฟาง เกลียดเหยียนโฮ่วเต๋อคู่ชายโฉดหญิงชั่วนี้ เขาไม่อาจเพิกเฉยทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนได้ ไม่อาจเผชิญหน้ากับพวกเขาได้เหมือนปกติ!
เหยียนหมิงซุ่นหันหน้ามองไปทางถานซูฟางอย่างเย็นชา “คิดไปเองทั้งนั้นว่าคนอื่นไม่รู้ เรื่องผิดศีลธรรมที่พวกคุณเคยทำไว้คิดว่าไม่มีใครรู้งั้นเหรอ? แค่ผมไปตามสืบที่โรงพยาบาลที่คุณทำงานอยู่กับโรงพยาบาลที่แม่ผมเคยอยู่นิดหน่อยก็รู้หมดทุกอย่างแล้ว!”
คุณยายหยางส่ายหน้าถอนหายใจ เวรกรรมทั้งนั้น!
เธอสงสารหลานชายคนโตและเกลียดลูกชายที่เคยทำเรื่องเลวร้ายไว้ และยิ่งเกลียดถานซูฟางคนหน้าไม่อายคนนี้ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นในบ้านสาเหตุก็มาจากผู้หญิงคนนี้!
คนทำผิดใจหายวาบ เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางรู้ดียิ่งกว่าใคร การตายของโม่เหวินเซียงพวกเขามีส่วนต้องรับผิดชอบเต็ม ๆ เหยียนโฮ่วเต๋อแอบคบชู้กับถานซูฟางตอนที่โม่เหวินเซียงท้อง ถึงไม่มีใครจับได้แต่กลับปิดบังโม่เหวินเซียงไว้ไม่อยู่
เดิมทีโม่เหวินเซียงคิดว่าหลังคลอดสามีจะกลับตัวกลับใจได้ แต่ดันรับรู้ถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของสามีกับถานซูฟาง จึงตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าและไม่มีใครให้ระบายจนเป็นเหตุให้คลอดลูกยาก เอาชีวิตรอดจากประตูนรกได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้นร่างกายของโม่เหวินเซียงก็ทรุดลง ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับสามีที่เย็นชาทุกวี่วันเธอทำได้แค่ฝืนยิ้ม นานวันเข้าสุขภาพเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ ขณะที่เหยียนหมิงซุ่นอายุไม่ถึงสองขวบดี โม่เหวินเซียงก็ยื้อร่างกายต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่คู่ชายโฉดหญิงชั่วนี้กลับสบโอกาสที่โม่เหวินเซียงนอนโรงพยาบาลนอนกกกันที่บ้านอย่างเปิดเผย ในเมื่อกำแพงมีหูประตูมีช่อง เหยียนโฮ่วเต๋อคิดว่าปกปิดทุกอย่างได้แนบเนียน แต่กลับไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ลับๆ ล่อๆ ของเขากับถานซูฟางถูกเพื่อนบ้านเห็นเข้าไม่น้อย
แต่ธรรมชาติของคนจีนไม่ชอบยุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่น แม้พวกเขาจะเห็นใจโม่เหวินเซียงแต่ไม่มีใครยอมออกมาเรียกร้องหาความยุติธรรมให้หรอก ถ้าเป็นแบบนั้นโม่เหวินเซียงที่นอนโรงพยาบาลก็คงไม่มีทางรับรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
แต่ถานซูฟางกลับจงใจไปเยี่ยมเยียนหาโม่เหวินเซียงที่โรงพยาบาลเป็นพักๆ อวดความรักระหว่างเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อจนทำให้โม่เหวินเซียงโมโหจนอกแตกตาย
เรื่องพวกนี้มีบ้างที่คนบ้านโม่เป็นคนบอกเหยียนหมิงซุ่น มีบางส่วนที่เขาสืบได้เอง
หลังจากการตายของโม่เหวินเซียงคนบ้านโม่เคยออกมาโวยอยู่รอบหนึ่ง แต่เพราะพวกเขาไม่ใช่คนในพื้นที่อีกทั้งเป็นเพียงชาวบ้านที่ไม่มีอำนาจบาตรใหญ่ จึงสู้ตระกูลเหยียนไม่ได้อยู่แล้ว
แม้คุณปู่เหยียนกับคุณย่าหยางจะไม่ชอบใจถานซูฟางนัก แต่ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วพวกเขาจำต้องรักษาชื่อเสียงของลูกชายไว้ ต่อให้ต้องฝืนใจพวกเขาจะยอมรับกับคนภายนอกไม่ได้ว่าโม่เหวินเซียงตายเพราะลูกชายของพวกเขา
เพราะเรื่องนี้ความสัมพันธ์หลายสิบปีของคุณตาโม่กับคุณปู่เหยียนจึงขาดสะบั้น ไม่เคยติดต่อกันนับแต่นั้นมา สองครอบครัวกลายเป็นศัตรูกันไปโดยปริยาย
………………..
ตอนที่ 717 มีบุญคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระ
คุณปู่เหยียนกับคุณยายหยางกลับรู้สึกละอายใจ รู้สึกละอายใจต่อโม่เหวินเซียงลูกสะใภ้คนก่อน รู้สึกละอายใจต่อเหยียนหมิงซุ่น แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าลูกชายเองก็ผิดต่อโม่เหวินเซียง ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกชายคนอื่นพวกเขาต้องก่นด่าอย่างเจ็บปวดเป็นแน่แท้ ไอ้สารเลวชั่วช้าที่สุด!
แต่ไอ้คนสารเลวชั่วช้าคนนี้ดันเป็นลูกชายแท้ๆ ของพวกเขา พวกเขาจะทำอย่างไรได้?
ทำได้แค่บากหน้าตามล้างเช็ดสิ่งที่ลูกชายทำผิดอย่างจำใจ ขณะที่เผชิญหน้ากับคนบ้านโม่ที่ทั้งโกรธปนเสียใจ พวกเขามีเพียงเลือกที่จะปกป้องลูกชายต่อให้ต้องยอมเป็นศัตรูกับคนบ้านโม่ก็ตาม
แต่สิบกว่าปีมานี้ พวกเขามักได้ยินเสียงประณามจากจิตใต้สำนึกอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาทำดีกับหลานชายคนโตเป็นเท่าตัว ไม่อนุญาตให้เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางมาที่บ้านบ่อย ๆ ไม่เห็นถึงสบายใจกว่า
แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าหลานชายคนโตที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดกลับตามสืบเรื่องนั้นอยู่เสมอ มิน่าเหยียนหมิงซุ่นถึงไม่สนใจเหยียนโฮ่วเต๋อสักนิด!
ในเมื่อมีความชังอยู่ในใจ จะสนิทสนมกันได้อย่างไร?
เหยียนหมิงซุ่นมองคนแก่ที่ห่อตัวอย่างรู้สึกผิด เขาเองก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก ความจริงเขาก็แอบโทษคุณปู่คุณย่าเช่นกัน เพราะในใจพวกท่านอย่างไรเสียคุณแม่ของเขาก็เป็นคนนอกอยู่วันยังค่ำ สู้ลูกชายเหยียนโฮ่วเต๋อของพวกท่านไม่ได้ ฉะนั้นต่อให้เหยียนโฮ๋วเต๋อจะทำตัวเลวทรามมากแค่ไหน พวกท่านก็เข้าข้างลูกชายอยู่ดี คุณแม่ของเขาเป็นเพียงเหยื่อที่ไม่มีใครเห็นใจเธอเลยสักคน !
แต่คุณปู่คุณย่าดีกับเขามากจริงๆ ดีมากกว่าเหยียนหมิงต๋า แม้เหตุผลส่วนใหญ่จะเป็นเพราะชดใช้ความผิดแต่ความจริงใจที่แฝงอยู่นั้นเขาสัมผัสมันได้
ไม่เช้าก็เร็วเขาก็ต้องยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับเหยียนโฮ่วเต๋อ เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำร้ายท่านทั้งสอง ถึงเขาจะรู้สึกผิดแต่เขาจะไม่หยุด
เพราะนี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเหยียนติดค้างแม่ของเขา ผลจากการกระทำของเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟาง ต้องให้พวกเขารับผิดชอบ!
“พวกคุณติดหนี้ชีวิตแม่ผม คิดว่าเรื่องนี้จะจบแค่นี้เหรอ? ผมจะบอกให้ว่าไม่มีทาง!”
เหยียนหมิงซุ่นจ้องตาเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางด้วยสายตาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็ง เขาพูดเน้นทีละคำ “แม่ผมยังมีลูกชายอย่างผมอยู่ ผมไม่มีวันให้อภัยคนที่ฆ่าแม่ผม หนี้ที่ติดค้างไว้ในตอนนั้นผมจะค่อยๆ เอาคืนทีละนิด!”
เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางเหมือนจมอยู่ในธารน้ำแข็ง หนาวจนตัวสั่นสะท้าน
พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเหยียนหมิงซุ่นจะเกลียดชังพวกเขาได้มากขนาดนี้ เกลียดจนเข้ากระดูกดำ!
อย่างไรเสียเหยียนโฮ่วเต๋อก็ทำงานอยู่ในแวดวงการเมืองมานาน ไม่นานก็สงบสติอารมณ์ลงตำหนิด้วยเสียงอันดุดัน “ไอ้ลูกไม่รักดี แค้นที่ฆ่าแม่อะไรกัน? ใครพูดเหลวไหลให้แกฟัง แม่ของแกป่วยตาย ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราทั้งนั้น ฉันว่าแกโดนของมาแล้วล่ะ!”
“เกี่ยวไม่เกี่ยวพ่อรู้อยู่แก่ใจดี ฟ้ามีตา พ่อกล้าสาบานกับตัวเองแล้วพูดประโยคนี้มั้ยล่ะ? หรือสาบานกับสวรรค์ว่าตอนนั้นพ่อไม่ได้คบชู้กับผู้หญิงคนนี้? ขอแค่พ่อสาบานว่าถ้าพ่อโกหกก็จะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งอีกตลอดชีวิต แบบนี้ผมก็จะเชื่อพ่อ!”
เหยียนหมิงซุ่นมองเหยียนโฮ่วเต๋ออย่างเย้ยหยัน เห็นท่าทางหวาดกลัวของเขาทั้งที่เมื่อกี้ยังไม่ยอมรับความจริงก็เหยียดยิ้มมากกว่าเดิม ไม่ปิดบังความเหยียดหยามที่เขามีต่อเหยียนโฮ่วเต๋อ
“พ่อไม่กล้าสาบานด้วยซ้ำแล้วมีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าผม? ไม่กลัวบ้างหรือว่าแม่ผมจะมาหาพวกพ่อตอนดึกๆ ดื่นๆ เหรอ? เรื่องของผมพ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่งและยุ่งไม่ได้ด้วย พ่อสนใจตำแหน่งงานตัวเองให้ดีก่อนดีกว่า!”
เหยียนหมิงซุ่นไม่อยากต่อปากต่อคำกับชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้มากนัก พอพูดจบก็หมุนตัวเดินกลับห้องทันที สบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เหมยเหมยพูดไม่ผิด รับชำระแค้นมันรู้สึกสะใจอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!
………………….
ตอนที่ 718 ฉันไม่ใช่คนหัวอ่อน
กระทั่งเหยียนหมิงซุ่นเข้าห้องไปได้ครู่ใหญ่ เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางจึงค่อยๆ ได้สติกลับมา ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือความโกรธ ความโกรธที่ถูกเปิดโปงความจริง
ถานซูฟางกรีดเสียงร้องออกมา “เหล่าเหยียน คุณได้ยินที่เด็กนั่นพูดมั้ย? มันไม่มีสัมมาคารวะกับฉันก็ช่างแต่ไม่มีสัมมาคารวะกับคุณด้วย จะเหิมเกริมเกินไปแล้ว!”
“เพี๊ยะ”
คุณย่าหยางเดินมาเงื้อฝ่ามือแล้วตบหน้าเธอด้วยแรงทั้งหมดที่มี พูดเสียงลอดไรฟัน “ตอนนั้นฉันไม่น่าให้ตัวกาลกินีอย่างเธอเข้าประตูบ้านมาเลย!”
ถานซูฟางตะคอกกลับด้วยความโกรธ “แม่มีสิทธิ์อะไรมาตบฉัน? คนชีวิตสั้นอย่างโม่เหวินเซียงตายแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน เจ้าเด็กนั่นไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเกี่ยวอะไรกับฉัน ก็เพราะพวกคุณแม่สอนไม่ดีไง ถึงสอนให้หลานเป็นคนไม่เอาไหนแบบนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่าฉันเป็นตัวกาลกินีอีก!”
“หุบปาก!”
เหยียนโฮ่วเต๋อตวาดด้วยเสียงดุดัน แต่ถานซูฟางไม่ฟังเข้าหูเลยสักนิด แค่นเสียงพูดต่อ “หรือว่าฉันพูดผิด? เจ้าเด็กนั่นเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณพ่อคุณแม่ของคุณนั่นแหละ เรื่องของบ้านคุณอย่าคิดโยนความผิดมาให้ฉัน ฉันไม่ใช่คนหัวอ่อนอย่างโม่เหวินเซียงที่จะยอมถูกพวกคุณเหยียบย่ำง่ายๆ !”
เหยียนหมิงซุ่นที่กำลังเก็บสัมภาระในห้องได้ยินน้ำเสียงเหิมเกริมของถานซูฟางจากห้องนั่งเล่นก็หน้าเปลี่ยนสี วางสัมภาระลงพุ่งตัวออกไป ไฟโทสะที่เพิ่งระงับลงได้เริ่มเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
เขาพุ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าถานซูฟางที่ยังไม่หยุดโวยวายเสียงดัง คนข้างๆ ไม่ทันเห็นท่วงท่าเขาดีนักบนหน้าถานซูฟางก็มีรอยฝ่ามือขึ้นชัด ก่อนจะบวมปูดตามมา
“แม่ผมเป็นคนหัวอ่อน แต่ผมไม่ใช่ รอบนี้ตบแทนแม่ผม!”
น้ำเสียงเหยียนหมิงซุ่นเย็นยะเยือก ก้มมองถานซูฟางที่ยังไม่ทันตั้งสติ ตวัดฝ่ามือเล็งแก้มข้างขวาของถานซูฟางไว้อย่างแม่นยำ
“รอบนี้ตบแทนตัวผมในวัยเด็ก!”
เหยียนหมิงซุ่นชักมือกลับแล้วมองใบหน้าบวมเป่งของถานซูฟางอย่างพึงพอใจ เหมยเหมยพูดถูก มารยาท สัมมาคารวะบ้าบอ ลำดับชั้นเด็กผู้ใหญ่อะไรกัน ทิ้งมันไปให้หมด!
โลกนี้มีเพียงความแกร่ง ความอ่อนแอและความดีความชั่วเท่านั้น!
คู่ชายโฉดหญิงชั่วอย่างเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางไม่สมควรเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ แล้วมีสิทธิ์อะไรจะมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเขา?
เขาทนมาสิบแปดปีแล้ว วันนี้ได้ปลดปล่อยมันออกไปสักที!
“จากนี้ไปอย่าให้ผมได้ยินคุณเรียกชื่อแม่ของผมอีก คุณไม่คู่ควร!”
เหยียนหมิงซุ่นมองเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อด้วยสายตาหยามเหยียดดูถูกแวบหนึ่งถึงหันไปพยุงคุณย่าหยางที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่ ก่อนจะเอายาลดความดันให้คุณปู่เหยียนที่สีหน้าบูดเบี้ยวทาน วันนี้คนแก่ทั้งสองได้รับความสะเทือนใจมากที่สุด
“เวรกรรม เวรกรรมแท้ๆ!”
คุณยายหยางพึมพำอย่างเจ็บปวด สิบกว่าปีที่ผ่านมาเธอพยายามปกปิดเพื่อความสงบสุขแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ดูจากความเกลียดชังที่ฝังอยู่ในใจของเหยียนหมิงซุ่น เขาจะอยู่ร่วมกับเหยียนโฮ่วเต๋ออย่างสงบสุขได้อีกหรือ?
กลัวก็แต่จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในอนาคตอีกเป็นแน่!
ถานซูฟางกับเหยียนโฮ่วเต๋อยังคงตกใจไม่หายกับท่าทีของเหยียนหมิงซุ่น อีกทั้งคุณย่าหยางออกปากไล่ พวกเขายังไม่ทันทานข้าวเย็นก็รีบหนีกลับไปเสียก่อน
คุณยายหยางไม่มีกะจิตกะใจทำมื้อเย็นอีก เหยียนหมิงซุ่นจึงไปต้มบะหมี่ในห้องครัวแล้วเอามาให้คนแก่ทั้งสอง คุณย่าหยางทานลงเสียที่ไหนกัน เธอมองหลานชายคนโตที่ดูดีมีความสามารถอย่างละอายใจ เอ่ยเสียงพึมพำว่า “หมิงซุ่น โทษคุณย่ามั้ย?”
เหยียนหมิงซุ่นหลุบตามองต่ำ พักใหญ่ถึงตอบ “ผมซาบซึ้งในบุญคุณที่คุณปู่คุณย่าเลี้ยงดูผมมาครับ”
เขาไม่อยากโกหกคนแก่ทั้งสอง เรื่องของคุณแม่เขาบอกได้ว่าคนแก่ทั้งสองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เขาไม่อาจมองข้ามความผิดนี้ไปได้ แต่ขณะเดียวกันเขาเองก็ต้องขอบคุณพวกท่าน และอนาคตก็จะกตัญญูต่อพวกท่านเช่นกัน!
คุณปู่เหยียนถอนหายใจยาว ถามออกไปว่า “หลานไม่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วอนาคตเตรียมจะทำอะไร?”
“ไปเป็นทหาร ผมสมัครไปแล้วครับ!” เหยียนหมิงซุ่นไม่ปิดบังความจริงอีกต่อไป
……………………..
ตอนที่ 719 ความสัมพันธ์พี่น้อง
คุณปู่เหยียนถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ “เป็นทหารมันลำบากนะ หมิงซุ่นหลานต้องคิดให้ดี อย่าเสียใจทีหลังล่ะ!”
“ไม่ครับ ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของผมเอง” เหยียนหมิงซุ่นพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น
การเป็นทหารเป็นทางลัดที่ชาวบ้านธรรมดาไร้ภูมิหลังครอบครัวอย่างเขาจะไต่เต้าสู่ตำแหน่งใหญ่โตได้ เขาต้องแก้แค้นให้แม่ของเขา และต้องขอเจ้าหญิงน้อยเหมยเหมยแต่งงานให้ได้ ดังนั้นเขาต้องปีนป่ายให้สูง ปีนสู่ตำแหน่งสูงสุด อาชีพทหารจะช่วยให้เขาทำตามแผนได้
คนแก่บ้านเหยียนไม่ได้เกลี้ยกล่อมอะไรอีก ทานบะหมี่เพียงไม่กี่คำก็กลับไปพักผ่อนในห้อง เดินทรงตัวได้ไม่มั่นคงเท่าไร แผ่นหลังที่มองแล้วดูแก่ลงไม่น้อย
เหยียนหมิงต๋าปิดปากเงียบตลอดตั้งแต่เมื่อกี้ แม้แต่ตอนเหยียนหมิงซุ่นตบถานซูฟางเขาก็ไม่กระโดดออกมาห้ามปราม ถึงเขาจะสงสารแม่ของเขาแต่เขากลับไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
เพราะแม่ของเขาผิดต่อพี่ใหญ่ของเขาจริงๆ!
“พี่ จากนี้ไปพี่จะไม่สนใจผมอีกแล้วใช่มั้ย?”
เหยียนหมิงต๋าเองก็หมดอารมณ์ทานบะหมี่เพราะรู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ เขามองเหยียนหมิงซุ่นที่กำลังทานอย่างเป็นระเบียบ ก็อดถามออกไปไม่ได้ สีหน้าหวั่นเกรงและประหม่าจนเผลอกำหมัดแน่น
เหยียนหมิงซุ่นปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วตอบเสียงเรียบ “ถ้าแกไม่ทำตัวโง่ๆ ฉันก็ยังสนใจอยู่”
เหยียนหมิงต๋ารีบตอบด้วยความจริงใจไปทันทีว่า “พี่ ผมเชื่อฟังพี่แน่ๆ พี่อย่าทิ้งผมนะ”
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเสียงเบาพลางถาม “ฉันกับแม่แกเป็นศัตรูกันขนาดนี้ แน่ใจนะว่าแกจะเชื่อฟังฉัน?”
เหยียนหมิงต๋าทำหน้าบูดชั่วขณะ ความรู้สึกในใจเหมือนได้ซดน้ำอึ่งโน้ย ขมฝาดถึงปลายลิ้น
“พี่ เราเป็นพี่น้องแท้ๆ กันนะ แม่ผมเธอ…เธอจะเป็นยังไงผมไม่สนใจ ผมสนใจได้แค่เรื่องตัวเอง พี่ ผมไม่อยากผิดใจกับพี่ เรายังเป็นเหมือนเดิม ได้มั้ย?” เหยียนหมิงต๋าพูดเสียงสะอื้น
เหยียนหมิงซุ่นมองน้องชายที่ตาแดงก่ำอยู่พักใหญ่ถึงตอบกลับไป “ได้!”
เหยียนหมิงต๋าหัวเราะแทนร้องไห้ทันที ซูดบะหมี่เข้าปากคำใหญ่ เขาเป็นคนคิดอะไรง่ายๆ ไม่ซับซ้อนมาก แค่แก้ปัญญาตรงหน้าได้ก็พอ ส่วนอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง!
“แกยังติดต่อกับอู่เยวี่ยหรือเปล่า?” เหยียนหมิงซุ่นถามขึ้นกะทันหัน
เหยียนหมิงต๋ามือชะงักกึก กำลังจะตอบว่า ‘ไม่มี’ เหยียนหมิงซุ่นพูดแทรกขึ้นอีกว่า “อย่าโกหกฉัน ฉันเกลียดคนโกหกที่สุด”
“เยวี่ยเยวี่ยไม่สนใจผมแล้ว พี่ ผมไม่ได้โกหกพี่นะ”
เหยียนหมิงต๋าตอบกลับทันควันว่าเขาไม่ได้โกหกจริงๆ ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเยวี่ยเยวี่ยเป็นอะไรไปถึงตีตัวออกห่างจากเขา หลายครั้งที่เจอกันในโรงเรียนก็แสร้งเป็นไม่เห็นและหลีกเลี่ยงที่จะเจอเขา เขาเองที่เป็นฝ่ายรุกเข้าไปชวนคุยก่อน ซึ่งอู่เยวี่ยก็ทำสีหน้าเรียบนิ่ง เย็นชาเมินเฉย ทำเอาเขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
เหยียนหมิงซุ่นแค่นเสียงในลำคอก่อนจะพูดเตือนว่า “รู้มั้ยว่าทำไมอู่เยวี่ยไม่สนใจแก?”
เหยียนหมิงต๋าส่ายศีรษะอย่างงงงวย มองพี่ใหญ่ด้วยความหวัง หวังว่าจะช่วยไขความข้องใจแก่เขาได้
“เพราะเธอมีเป้าหมายที่ดีกว่าเดิม รวยกว่าแก ดูดีกว่าแก ทำงานเก่งกว่าแก แล้วจะสนใจแกอีกทำไม?”
เหยียนหมิงซุ่นพูดแทงใจน้องชายตัวเองอย่างโหดเหี้ยม ไม่ดูสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนเสียพ่อเสียแม่ของเหยียนหมิงต๋าพลางทานบะหมี่ต่ออย่างอารมณ์ดี
“พี่ ใครกัน? พี่รีบบอกผมสิว่าเป็นใครกันแน่?” เหยียนหมิงต๋าถามด้วยความร้อนใจ
“แกไม่มีตาหรือไง? ไม่หัดไปดูเองบ้าง? มีสมองหน่อย อย่าเหมือนเมื่อก่อนที่ทำตัวโง่เง่า”
เหยียนหมิงซุ่นตอกกลับอย่างไม่ปรานี น้องชายคนนี้ของเขาไม่รู้เหมือนใคร ไม่ได้สืบทอดความเจ้าเล่ห์ของพ่อแม่มาสักนิด โง่เขลายิ่งกว่าหมูตัวหนึ่ง มิน่าถึงถูกอู่เยวี่ยปั่นจนหัวหมุน
เหยียนหมิงซุ่นทานบะหมี่เสร็จก็ไม่สนใจน้องชายจอมซื่อบื้ออีกต่อไป แล้วกลับไปเก็บสัมภาระในห้องต่อ พรุ่งนี้เขาต้องไปเมืองหลวง ไปฉลองวันเกิดให้เจ้าหญิงตัวน้อยของเขา
………………………..
ตอนที่ 720 ดูแลดีทุกด้าน
เหมยเหมยที่พักผ่อนมาตลอดช่วงบ่ายตื่นมาอย่างสดชื่น พ่อครัวที่เบื้องบนส่งมาครั้งนี้ฝีมือไม่เลวเลย พอจะทำอาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้บ้างและรสชาติถือได้ว่าคล้ายต้นตำรับดั้งเดิม อีกทั้งยังทำของหวานรสชาติยอดเยี่ยม อาหารเช้าไม่เคยซ้ำในแต่ละวัน ไม่ใช่เพียงแค่เหมยเหมยที่พึงพอใจ ทั้งคุณปู่และคุณย่าต่างก็พึงพอใจเช่นกัน
ความจริงพ่อครัวหลักถูกส่งตัวมาจากทีมพ่อครัวพลาธิการที่มีใบรับรองสำหรับเชฟระดับสองของประเทศ มิน่าฝีมือถึงเลิศรสขนาดนี้ ยังเหนือชั้นกว่าเชฟใหญ่ของโรงแรมด้วยซ้ำ!
ระดับศักดินาของท่านผู้เฒ่าทั้งสองจึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากรัฐบาล มีหน่วยรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะ อีกทั้งพ่อครัวและหน่วยรักษาพยาบาลระดับผู้เชี่ยวชาญ ล้วนถูกมอบหมายงานมาจากรัฐบาล รับเงินเดือนจากรัฐบาล คนที่ได้รับการปฏิบัติดูแลเหล่านี้ต้องเป็นผู้อาวุโสที่มีความสำคัญระดับประเทศเท่านั้น ซึ่งนับว่ามีน้อยมาก
รวมถึงน้ำวิเศษและชาวิเศษที่ตระกูลจ้าวมอบให้เมื่อสองปีก่อน ทำให้สุขภาพร่างกายของเจ้านายใหญ่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น ย่อมพอใจต่อตระกูลจ้าวมากกว่าเดิม
ผลจากการที่ทำให้เจ้านายใหญ่พึงพอใจก็คือผู้เฒ่าทั้งสองได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด อีกพี่น้องจ้าวอิงสยงยังได้รับการเลื่อนยศ บอกได้เลยว่าตระกูลจ้าวกำลังไปได้ดีเหมือนน้ำมันที่ราดบนกองไฟ มาแรงเสียจนคนอื่นพากันอิจฉาไม่หวาดไม่ไหว
เหมยเหมยดื่มด่ำกับอาหารมื้อเย็นที่พ่อครัวหลักตระเตรียมให้เป็นพิเศษอย่างมีความสุข พ่อครัวคนนี้แซ่หยวนเพิ่งมาทำงานที่บ้านจ้าวเมื่อปีที่แล้ว เป็นชายอายุราวสี่สิบปี มาจากซานตงจึงทำอาหารถิ่นซานตงได้ตามมาตรฐานรสชาติที่สุด แต่คืนนี้เขากลับทำอาหารถิ่นเจียงหนานแทบทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าทุ่มเทเพื่อพวกเหมยเหมยโดยเฉพาะ
“ขอบคุณอาหารเย็นของคุณลุงหยวนค่ะ รสชาติดีมาก”
หลังมื้ออาหารเย็นเหมยเหมยกล่าวขอบคุณลุงหยวนเป็นการส่วนตัว วันอากาศร้อนแบบนี้ หมกตัวทำอาหารแต่ในครัวมากมายขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างลุงหยวนถูกรัฐบาลส่งตัวมาเพื่อดูแลคนแก่ทั้งสองเท่านั้น
เธอโชคดีแค่ไหนที่ได้ทานอาหารที่ทหารยศร้อยเอกอย่างลุงหยวนเตรียมไว้เพื่อเธอ?
ต่อให้เห็นแก่ศักดิ์ศรีของผู้อาวุโสทั้งสองท่าน แต่เธอจะมองข้ามเจตนาดีของเขาไม่ได้
ลุงหยวนยิ้มอย่างจริงใจ คำชมของเหมยเหมยสร้างกำลังใจแก่เขาอย่างมากและรู้สึกอบอุ่นจับใจ
เมื่อครั้นที่เขาเพิ่งถูกส่งตัวมาทำงานบ้านตระกูลจ้าวเขาค่อนข้างไม่ชอบใจเท่าไร เพราะตระกูลจ้าวมีเจ้าหญิงตัวน้อยคนหนึ่งแถมต้องมาทำงานปีละตั้งสามเดือน มันทำให้เขาเกิดความลังเลใจ
อดีตสหายเขาเคยไปทำงานที่บ้านผู้บัญชาการมาก่อน ผู้บัญชาการเป็นคนใจดีและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เว้นเสียแต่หลานสาวเพียงคนเดียวของผู้บัญชาการท่านนั้นที่นิสัยหยิ่งยโส ชอบชี้นิ้วสั่งสหายเขาให้ทำนู่นทำนี่ วางท่าเป็นคุณหนูใหญ่และมองสหายเขาเป็นคนรับใช้โดยสิ้นเชิง
ครั้งหนึ่งถึงขั้นพูดต่อหน้าสหายเขาว่าสหายเขาก็คือคนรับใช้ที่บ้าน แม้ผู้บัญชาการอาวุโสได้ตำหนิหลานสาวไปแล้วแต่สหายของเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
พวกเขาเป็นทหาร งานที่บ้านผู้บัญชาการเป็นภารกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายมา แล้วจะเรียกได้ว่าเป็นคนรับใช้ได้อย่างไร?
เหตุผลที่ลุงหยวนไม่อยากมาบ้านตระกูลจ้าวก็เพราะเป็นห่วงจุดนี้ กลัวว่าเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวจะเป็นคุณหนูจอมเอาแต่ใจอีกคน เขาปรนนิบัติตามใจไม่ไหวหรอกนะ แต่ความจริงกลับสร้างความประหลาดใจแก่เขาเสียมาก
ผู้บัญชาการอาวุโสสองท่านเป็นกันเองมาก คนอื่นๆ ต่างก็ให้ความเคารพนับถือเขาเช่นกัน สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดอย่างเจ้าหญิงตัวน้อยก็ไม่เคยวางท่า เรียกคุณลุงๆ ติดปากและไม่เคยให้เขาทำงาน มีอะไรเธอลงมือทำเอง นอกจากนี้ยังเอาของฝากมาให้เขาทุกครั้ง น้ำใจตรงส่วนนี้เรียกให้ลุงหยวนซาบซึ้งใจเหลือเกิน
“เหมยเหมยชอบกินก็พอ พรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไรบ้าง?” ลุงหยวนยิ้มถาม
“หนูกินอะไรก็ได้ ง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อนหรอกค่ะ อากาศร้อน ลุงหยวนอย่าลำบากมากเลย”
เหมยเหมยว่าแล้วยื่นถุงในมือให้ลุงหยวน ยิ้มกล่าว “อันนี้เสื้อผ้าที่แม่หนูฝากมาให้ป้าสะใภ้แล้วก็พี่หยวน แล้วก็บุหรี่อีกกล่องให้ลุงหยวนค่ะ”
“โอ้ จริงๆ เลยนะ คราวหลังอย่าให้คุณแม่ต้องลำบากเลย”
ลุงหยวนเกรงอกเกรงใจ หลายปีมานี้ภรรยาและลูกสาวของเขาไม่เคยซื้อเสื้อผ้าเองอีกเลยเพราะใส่ที่เหมยเหมยให้ตลอด มันน่าลำบากใจจริงๆ
เหมยเหมยอมยิ้ม ก่อนจะพูดทิ้งท้ายกับลุงหยวนอีกไม่กี่ประโยคแล้วไปดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนคุณย่าที่ห้องนั่งเล่น
…………………
ตอนที่ 721 ทัศนคติบิดเบี้ยว
ผู้เฒ่าทั้งสองทะเลาะกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ท่านปู่จ้าวอยากดูละครสงคราม แต่คุณหญิงย่าอยากดูละครรักน้ำเน่า คนแก่ทั้งสองจึงกำลังถกเถียงกันอยู่หน้าโทรทัศน์แหนะ!
“ละครสงครามมีอะไรน่าดูนักหนา หนุ่มๆ ยังสู้ไม่พอหรือไง?”
คุณหญิงย่าว่าอย่างไม่พอใจและทำท่าดูถูกละครสงครามที่กำลังฉายอยู่ ไม่สมจริงเลยสักนิด การทำสงครามเป็นแบบนี้เสียที่ไหน แค่ดูก็รู้ว่าแล้วผู้กำกับไม่เคยทำสงครามมาก่อน
ท่านปู่จ้าวโวยกลับจนปีกหนวดกางออก “ต่อให้ไม่สนุกยังไงก็ดีกว่าละครรักน้ำเน่าพวกนี้แล้วกัน กอดจูบลูบไล้อยู่นั่นมันเหมาะสมตรงไหน ละครแบบนี้ผ่านการคัดกรองมาได้ยังไง? แต่ละคนเอาแต่เงินเดือนไปแต่รู้จักไม่ทำงาน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าคำรามใส่อย่างโมโห “คุณจะหลีกหรือไม่หลีก? ถ้าไม่หลีกอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจนะ!”
“ไม่หลีก! ผมกลัวคุณหรือไงกัน!” ท่านปู่จ้าวยืดอกอย่างไม่คิดจะถอย
คุณหญิงย่าโมโหจนแทบบ้า เห็นว่าละครรักน้ำเน่าใกล้เริ่มอยู่รอมร่อ ถ้าปล่อยให้ตาแก่โวยวายต่อไปต้องพลาดฉากสำคัญแน่ๆ คุณหญิงย่าที่ร้อนรนจึงยื่นมือไปผลักท่านปู่จ้าวเพราะอยากไล่ตาแก่น่ารำคาญนี้ออกไปให้พ้น
เพียงแต่ท่านปู่จ้าวที่ผ่านการดูแลมาอย่างดีตัวกำยำหนักแน่นดั่งภูเขา ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ทำเอาคุณหญิงย่าเหนื่อยหอบ ร้อนใจจนใกล้จะกระอักเลือดออกมาแล้ว
เหมยเหมยที่กำลังยืนดูอย่างสนุกสนานรีบปรี่เข้าไปแยกทั้งสองคนออกจากกัน ไม่อย่างนั้นคนแก่ทั้งสองต้องตบตีกันแหง
“คุณปู่คะ เราต้องให้สุภาพสตรีก่อน ท่านปู่จ้าวเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ เรื่องดูทีวีเล็กๆ แค่นี้ก็ยอมให้คุณหญิงย่าเถอะ!” เหมยเหมยพูดยกยอ เกลี้ยกล่อมท่านผู้เฒ่าจนยิ้มหน้าบาน เขม่นตาใส่คุณหญิงย่าด้วยความเย่อหยิ่งพลางแค่นเสียงที
“ลูกผู้ชายไม่รังแกผู้หญิง ครั้งนี้ฉันจะยอมเธอสักครั้งแล้วกัน ฉันไปฟังวิทยุก็ได้!”
คุณหญิงย่าเองก็พ่นลมใส่ รีบเปลี่ยนกลับช่องละครรักน้ำเน่าอย่างร้อนรน พบว่ามาได้ทันเวลาพอดีที่พระเอกเหอมู่เทียนกำลังนัดเจอกับคนรักเก่าของนางเอกหลี่เมิ่งจู๋
หากต้องพูดถึงฉินฮั่นกับหลิวเสวี่ยหัวสมัยวัยหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการเสียจนแม้ว่าหนึ่งคนได้แสดงบทชายชั่วกับอีกคนแสดงบทชู้ ก็ไม่อาจทำให้เหมยเหมยเกลียดลงได้
ท่านปู่จ้าวปากบอกว่าไปฟังวิทยุแต่กลับไม่เคลื่อนตัวสักนิด มองโทรทัศน์ตาไม่กะพริบ ปากยังคงพร่ำบ่นไม่หยุด
“ถ่ายละครบ้าอะไรเนี่ย ผู้ชายมีเมียแล้วยังไปหาชู้ ผู้หญิงคนนี้ก็ชั่วช้า รู้อยู่ว่าคนเขามีเมียแล้วยังเสนอตัวเข้าหาอีก คู่ชายโฉดหญิงชั่วจริงๆ!”
ท่านปู่จ้าวยิ่งด่ายิ่งฮึกเหิมและยิ่งเสียงดังจนเกือบกลบเสียงโทรทัศน์ ทำเอาคุณหญิงย่าสีหน้าถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ เหอมู่เทียนเป็นไอดอลของเธอเชียว จะยอมให้ตาแก่พูดจาใส่ร้ายได้อย่างไรกัน!
“เขาคือรักแท้ คุณเข้าใจบ้าอะไรบ้าง!ถ้ายังไม่หยุดเจื้อยแจ้วก็ไปเลยไป!” คุณหญิงย่าเปิดปากด่า
“นี่คุณทำไม่ถูกนี่ ตอนนั้นผมแค่พูดกับผู้หญิงคนอื่นไม่กี่ประโยค คุณก็เอามีดไล่ฟันเขาแล้ว ตอนนี้พอไอ้สารเลวนี่กล้าไปมีชู้ลับหลังเมีย คุณกลับบอกว่าเป็นรักแท้!”
ท่านปู่จ้าวฉุกคิดถึงเรื่องวันวานไฟโทสะก็พุ่งกระฉูด เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษแต่มีฉายา ‘คนกลัวเมีย’พ่วงตามเขามาตลอดชีวิต อับอายขายขี้หน้า จะไม่โกรธได้ไง?
คุณหญิงย่าเถียงคอเป็นเอ็น “ดูทีวีก็ดูทีวีสิ คุณจะพูดถึงเรื่องนั้นทำไม?”
เห็นคนแก่ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันอีกหนเหมยเหมยก็รีบแทรกตัวเข้าไปนั่งคั่นกลางระหว่างพวกเขา จับคนแก่ทั้งสองแยกออกจากกัน
“คุณย่าคะ ครั้งนี้หนูอยู่ฝั่งคุณปู่นะ ละครเรื่องนี้ทัศนคติไม่ถูกต้อง คุณปู่พูดถูก ก็แค่คู่ชายโฉดหญิงชั่ว!”
เหมยเหมยกัดฟันกรอด รักแท้จอมปลอม แต่ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายชายก็เป็นคนทอดทิ้งก่อนอยู่ดี ฝ่ายหญิงยั่วยวนผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว ไม่ว่าใครก็ถือว่าไม่ใช่คนดี เหมือนเหมยซูฟานกับอู่เยวี่ยเมื่อชาติที่แล้ว คู่ชายโฉดหญิงชั่ว!
ตอนที่ 722 หนูซื้อโทรทัศน์ให้อีกเครื่อง
หลานสาวช่วยพูดอีกเสียง ท่านปู่จ้าวดูจะได้ใจเสียเหลือเกิน เชิดหน้ามองคุณหญิงย่าอย่างได้ใจ
คุณหญิงย่าไม่พอใจกับการแปรพรรคของเหมยเหมยอย่างมาก กระชากเธอมาแล้วพูดโน้มน้าวว่า “เหมยเหมยอย่าไปฟังคุณปู่พูดเหลวไหล หลานดูสิว่าคุณลุงคุณน้าในนี้น่าสงสารขนาดไหน รักกันขนาดนั้นแต่กลับถูกคนร้ายพรากจากกันไปตั้งหลายปี ไหนจะทำให้ลูกสาวต้องแยกจากคุณพ่ออีก หลานไม่เห็นใจพวกเขาเหรอ?”
เหมยเหมยส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น “ไม่เห็นใจเลยสักนิด หนูเห็นใจภรรยาของเหอมู่เทียนมากกว่า”
ยุคนี้เป็นยุคที่ละครของนักเขียนท่านหนึ่งได้รับความนิยมสูงสุด อีกทั้งล้วนเป็นหนังสือที่เธอแต่งในช่วงแรก จึงเห็นได้ชัดว่าทัศนคติค่อนข้างบิดเบี้ยว ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นตัวร้าย ส่วนชู้ดันเป็นบุคคลที่น่าสงสาร พระเอกกับชู้ต้องเป็นรักแท้และได้รับคำยินดีจากคนรอบข้าง ทั้งตำหนิกล่าวโทษภรรยาที่ไม่ควรพรากรักแท้ออกจากกัน
บอกได้แค่ว่านักเขียนท่านนี้มีความสามารถด้านการแต่งนิยายอย่างมาก ดึงดูดความสนใจจากผู้ชมอย่างล้นหลาม บวกกับพระเอกละครหน้าตาหล่อเหลา นางเอกละครหน้าตาสวยงาม ทัศนคติที่ว่าอะไรนั่นก็ถูกโยนทิ้งไป!
ยิ่งไปกว่านั้นคนติดตามละครส่วนมากคือผู้หญิง ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวที่สุดเฉกเช่นเดียวกับคุณหญิงย่า หลงใหลฉินฮั่นเสียจนลืมตัว วันๆ ทำตัวเหมือนสาววัยแรกแย้มอยู่นั่น พอถึงเวลาก็รีบมาเฝ้าโทรทัศน์และไล่ตามจับจ้องฉินฮั่นหรือไม่แม้แต่กะพริบตาเลยสักครั้ง
มิน่าท่านปู้จ้าวถึงต้องทะเลาะกับคุณหญิงย่าทุกวี่วัน!
คงกำลังหึงอยู่ล่ะสิ!
ท่านปู้จ้าวได้ยินถ้อยคำของหลานสาวก็รู้สึกปลื้มใจ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “หลานสาวของฉันแยกแยะได้ดีจริงๆ ไม่เหมือนยายแก่ตาบอดบางคน ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี วันๆ เอาแต่ดูคู่ชายโฉดหญิงชั่ว!”
เหมยเหมยเห็นท่าคุณหญิงย่ากำลังจะอาละวาดอีกครั้ง รีบอธิบายเหตุผลที่ตนไม่ชอบทันที “คุณย่าคะ คุณย่าลองคิดดูสิ ถ้าเปลี่ยนเหอมู่เทียนคนนี้เป็นพ่อของหนูแล้วเปลี่ยนภรรยาเหอเป็นแม่ของหนู มีผู้หญิงอย่างหลี่เมิ่งจู๋มาตามตอแยพ่อของหนู ย่าจะทำยังไง?”
คุณหญิงย่าทำหน้าโหดทันที พูดเสียงดุดัน “ถ้าพ่อของหลานกล้านอกลู่นอกทาง ย่าจะตัดขามันทิ้ง!”
เหมยเหมยลอบถอนหายใจโล่งอก คุณย่าตนยังคงไว้ซึ่งทัศนคติที่ถูกต้องอยู่ เพียงแต่บทละครมันเย้ายวนเกินไป ไม่เป็นไร!
คุณหญิงย่าไม่รอให้เหมยเหมยเอ่ยปากก็รู้ตัวทันทีว่าความคิดตนกำลังขัดแย้งกัน กระแอมไอแก้เก้อหลายทีพลางชี้ไปที่ฉินฮั่นในจอว่า “ย่าก็แค่เห็นว่าพ่อหนุ่มที่แสดงเป็นเหอมู่เทียนหน้าตาดี ดูนั่นสิ หล่อตั้งแต่หัวจรดเท้า โอ๊ย เหมยเหมยดูตอนที่เขาใส่เสื้อโค้ทสิ ย่าไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนใส่เสื้อโค้ทแล้วดูดีเท่าเขามาก่อน!”
ท่านปู้จ้าวหน้าถมึงทึงขึ้นมากกว่าเดิม อดพูดกระแนะกระแหนไม่ได้ “ลองให้มันใส่ชุดทหารดูสิ? เนื้อหนังเนียนละเอียดอย่างกับผู้หญิง!”
เหมยเหมยรีบตอบทันควัน “จะใส่ชุดทหารก็ต้องเป็นอย่างคุณปู่ของหนู ดูดีน่าเกรงขาม ไม่มีใครใส่แล้วน่าเกรงขามเท่าคุณปู่แล้ว!”
ท่านปู้จ้าวสีหน้าดูดีขึ้นถนัดตาและคิดว่าหลานสาวสายตาหลักแหลมใช้ได้ ไม่เหมือนยายแก่ หน้ามืดตามัว ตาบอดไปแล้วล่ะมั้ง!
คุณหญิงย่ายังไม่หยุดชื่นชมความหล่อของฉินฮั่น แน่นอนว่าพระเอกละครของนักเขียนท่านนี้หน้าตาหล่อจริงๆ แต่เหมยเหมยกลับคิดว่า–
“คุณย่าคะ เฉยๆ แหละ ไม่หล่อเท่าพี่หมิงซุ่นด้วยซ้ำ!”
เหมยเหมยพูดจี้ใจคุณหญิงย่าได้สำเร็จ เชิดปลายคางขึ้นอย่างได้ใจ คร้านจะดูละครน้ำเน่าเสียแล้วจึงลุกขึ้นไปหาจ้าวเสวียเอ๋อร์ พร้อมทั้งบอกกับท่านปู้จ้าวว่า “คุณปู่คะ พรุ่งนี้หนูจะซื้อทีวีเครื่องใหม่ให้ คุณปู่อยากดูอะไรก็ดูได้เลย จะได้ไม่ต้องคอยแย่งกับคุณย่าแล้ว!”
ว่าแล้วเธอก็ไขว้มือไว้ด้านหลังพลางเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างสบายใจ ทิ้งคนแก่ทั้งสองเบิกตาอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
………………………
ตอนที่ 723 ฉันให้เงินหนึ่งหมื่นหยวน
คุณหญิงย่ากระทุ้งศอกใส่ท่านปู่จ้าวที่ยังไม่ได้สติ “เหมยเหมยเมื่อกี้บอกว่าจะซื้ออะไรนะ?”
สยงมู่มู่ที่กำลังเล่นหมากรุกกับอู่เชาอยู่ตะโกนแทรกเข้ามา “ซื้อทีวี เหมยเหมยบอกว่าเธอจะซื้อทีวีให้คุณตาอีกเครื่อง!”
“เธอเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ? ทีวีเครื่องหนึ่งตั้งหลายร้อยหยวนแหนะ!” คุณหญิงย่าถามขึ้นตามสัญชาตญาณ
สยงมู่มู่กลอกตาไปมาแล้ววิ่งมากระซิบข้างหูคุณหญิงย่า “คุณยาย เหมยเหมยรวยมากเลยล่ะ อย่าว่าแต่ทีวีเครื่องเดียว ถึงจะซื้อสองเครื่องก็ไม่มีปัญหาหรอก หรือว่าคุณยายจะให้เหมยเหมยซื้อสองเครื่องดีล่ะ?”
หนึ่งเครื่องไว้ที่ห้องเขา แบบนี้เขากับเจ้าอ้วนก็จะได้ดูการ์ตูนทุกวันแล้ว จะได้ไม่ต้องคอยแย่งกับคุณหญิงย่าให้เปลืองแรง อึดอัดใจชะมัด!
“ซื้อมาเยอะทำไม? ไม่เกี่ยวกับแก อยู่เฉยๆ ไป!”
คุณหญิงย่าถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่งแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนลูกสะใภ้คนเล็กเคยพูดให้เธอฟังครั้งหนึ่ง คล้ายว่าหลานสาวเป็นคนหาเงินเก่ง ตอนนั้นเธอคิดว่าลูกสะใภ้คงหมายถึงเงินจำนวนเล็กน้อยจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ตอนนี้ดูท่าทางหลานสาวเธอจะหาเงินได้ก้อนใหญ่เชียว!
สมแล้วที่เป็นหลานสาวของเธอซ่างกวนจินเยี่ยน หากเมื่อนั้นเธอไม่ได้เข้าร่วมการปฏิวัติ ตอนนี้อาจจะได้สืบทอดร้านขายของชำของบิดาจนกิจการขายดีเป็นเทน้ำเทท่า!
เธอฉุกคิดอีกเรื่องได้จึงรีบหันไปเรียกสยงมู่มู่ที่ทำหน้าเศร้าสร้อยเหมือนลูกหมามาถามว่า “ช่วงนี้เหมยเหมยกับเหยียนหมิงซุ่นอะไรนั่นเป็นยังไงบ้าง?”
“จะยังไงได้อีก สองคนนั้นดีกันจะตาย สองวันก่อนเรายังไปเที่ยวที่บ้านคุณยายของเหยียนหมิงซุ่นด้วย ของฝากกลับมาคราวนี้ก็ได้คุณยายของเหยียนหมิงซุ่นเตรียมให้ทั้งนั้น” สยงมู่มู่พูดตามความจริง
คุณหญิงย่าครุ่นคิด โบกมือไล่สยงมู่มู่เหมือนลูกหมาอีกครั้ง
สยงมู่มู่เดินห่อไหล่กลับไปเล่นหมากรุกกับเจ้าอ้วนต่อ คุณยายก็เป็นแบบนี้เสียทุกครั้ง บทจะเรียกก็เรียกบทจะไล่ก็ไล่ เห็นเขาเป็นลูกหมาหรือไงกัน?
คุณหญิงย่าไม่มีกะจิตกะใจดูคนหล่ออีกต่อไป กระซิบกระซาบกับท่านปู่จ้าว “นี่คุณ เหมยเหมยของเรากำลังคบกับพ่อหนุ่มชื่อเหยียนหมิงซุ่นอะไรนั่นอยู่หรือเปล่า?”
“พูดบ้าอะไร? เหมยเหมยเพิ่งอายุเท่าไหร่เองจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ผมว่าคุณเป็นบ้าเพราะละครผิดศีลธรรมพวกนี้ไปแล้ว วันๆ เอาแต่คิดเรื่องเหลวไหล ไม่ต้องดูมันแล้ว!”
ท่านปู่จ้าวตวาดใส่อีกระลอก เดินตึงตังไปหน้าโทรทัศน์แล้วกดเปลี่ยนช่องหลายทีจนหาช่องละครสงครามสุดโปรดของเขาได้ในที่สุด แล้วเริ่มนั่งดูอย่างออกรส
คุณหญิงย่ากลับยังคงเหม่อลอยไม่รู้ตัวสักนิด เธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลานสาวกับเหยียนหมิงซุ่นต้องไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา ไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นลักษณะนิสัยอย่างไร เมื่อไรถึงจะมาให้คนแก่อย่างเธอเห็นหน้าค่าตาสักที!
จ้าวเสวียเอ๋อร์พักอยู่ชั้นสองที่เวลานี้กำลังปรึกษาเรื่องเปิดร้านกับเหล่าพี่น้องจ้าวเสวียหลิน ถือเครื่องคิดเลขคิดแล้วคิดอีก ยอดเงินที่คิดออกมาได้ทำเอาทุกคนหน้าสลดลงทันที
“พี่สาม ตั้งหนึ่งหมื่นแหนะ เราจะไปหาเงินมาจากไหนเยอะแยะ?” จ้าวเสวียกงถามด้วยท่าทีเกินจริง
จ้าวเสวียไห่เองก็อดพยักหน้าตามไม่ได้ เงินหนึ่งหมื่นสำหรับเขาแล้วเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งเขาไม่แม้แต่จะกล้าคิด ช่างน่าสงสาร เงินค่าขนมของเขาตลอดทั้งปีก็แค่เกือบร้อยเดียวเท่านั้นเอง!
“ไอ้ขี้ขลาดตาขาว เงินหมื่นเดียวเอง แค่ร้านอาหารของฉันเปิดบริการ เงินแสนก็ไม่ใช่ปัญหา” จ้าวเสวียเอ๋อร์ทำท่าเหยียดใส่สองพี่น้องตนที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
จ้าวเสวียไห่ตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “แม้แต่เงินหมื่นเดียวพี่ยังไม่มีด้วยซ้ำ จะเปิดร้านอาหารได้ยังไง หาเงินสักหยวนยังทำไม่ได้เลย!”
จ้าวเสวียเอ๋อร์เหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะลมในชั่วขณะ ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างโศกเศร้าพร้อมทำหน้ากลัดกลุ้ม
“ถ้าใครให้เงินฉันหนึ่งหมื่นตอนนี้ ฉันจะแบ่งกำไรร้อยละสามสิบให้เลย” จ้าวเสวียเอ๋อร์พูดเสียงพึมพำ
“พี่สาม ฉันให้พี่หนึ่งหมื่น!”
เหมยเหมยผลักประตูเข้ามา ยิ้มตาหยีมองพี่ชายจอมบื้อทั้งสี่คนที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
……………………………
ตอนที่ 724 คิดว่าพี่ไม่เอาหน้าหรือไง
จ้าวเสวียหลินได้สติเป็นคนแรกถามด้วยความตกใจ “เหมยเหมยออกเงินได้หนึ่งหมื่นเลยเหรอ? เธอฟังผิดไปหรือเปล่า?”
เขารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวมีเงิน แค่ไม่กี่ร้อยน่าจะไม่ใช่ปัญหาแต่ตอนนี้ต้องการหนึ่งหมื่นเชียวนะ พ่อของเขาอย่างจ้าวอิงหัวเงินเดือนทั้งปีรวมกันยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นด้วยซ้ำ น้องสาวเขาจะเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ!
จ้าวเสวียกงก็พูดเสริมขึ้นว่า “นั่นสิ หนึ่งหมื่นเชียวนะ พี่สามขาดเงินอีกหนึ่งหมื่นหยวน เหมยเหมยต้องฟังผิดแน่ๆ!”
เหมยเหมยป้องปากขำ “หูของหนูยังใช้การได้ดีอยู่ จะฟังผิดได้ยังไง? ก็เงินหนึ่งหมื่นไง หนูให้ได้หนึ่งหมื่น พี่สามจะเอาเมื่อไหร่?”
จ้าวเสวียเอ๋อร์เห็นเหมยเหมยไม่เหมือนว่ากำลังล้อเล่นเลยสะดุ้งลุกพรวดด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“ยิ่งเร็วยิ่งดี ฉันตกลงราคากับเจ้าของร้านไว้แล้ว ค่าเช่าต่อปีอยู่ที่หกพันหยวน เหลืออีกสี่พันไว้จ้างคนมาอบรม ไหนจะต้องโฆษณาอีก ขอแค่มีเงิน ทุกอย่างจะเสร็จภายในหนึ่งเดือน ถึงปีใหม่ต้องได้ต้นทุนคืนมาแน่”
จ้าวเสวียเอ๋อร์พูดยาวเหยียดน้ำลายกระจุยกระจาย มองเหมยเหมยราวกับกำลังมองบ่อขุมทรัพย์ด้วยสายตาตื่นเต้น
พระเจ้า!
น่าสงสารที่เขาต้องเครียดเรื่องเงินอยู่ทุกวัน โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าน้องสาวคนนี้เป็นเหมือนตู้ถอนเงินเคลื่อนที่ เงินหนึ่งหมื่นบอกจะให้ก็ให้ไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักที บ่งบอกว่าบนตัวน้องสาวไม่ได้มีเงินแค่หนึ่งหมื่นเท่านั้น
หลังจากนี้เขาต้องตีสนิทกับน้องสาวให้ดี ถ้าโครงการไหนขาดเงินก็ไปหาน้องสาวแล้วกัน!
เหมยเหมยเองก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล “ได้ พรุ่งนี้หนูจะให้พี่หนึ่งหมื่นหยวน แต่พี่สามต้องเซ็นหนังสือตกลงค่าตอบแทนกับหนูก่อน”
จ้าวเสวียเอ๋อร์ตาวาววับฉายแววชื่นชมน้องสาวมากกว่าเดิม รู้กฎระเบียบในแวดวงธุรกิจดีเหมือนกันนี่!
“ได้ ฉันจะเขียนตอนนี้เลย เหมยเหมยได้ร้อยละสามสิบไม่ขาดแน่นอน เราจะเขียนบนกระดาษไว้ละเอียดยิบเลย” จ้าวเสวียเอ๋อร์ตบอกรับปาก
ต่อให้ใจเขาจะเจ็บปวดมากขนาดไหนก็ตาม ตั้งร้อยละสามสิบแหนะ ยังไม่ทันเปิดร้านเงินก็หายไปแล้วร้อยละสามสิบ ทั้งที่เขาออกค่าธรรมเนียมร้านไปตั้งสามหมื่นหยวน!
เหมยเหมยห้ามจ้าวเสวียเอ๋อร์ที่เตรียมลงปากกาเขียนหนังสือสัญญาไว้ ยิ้มกล่าว “พี่สามเขียนอย่างนี้แล้วกัน พี่หกส่วน หนูสองส่วน พี่ชายหนู พี่สี่พี่ห้าแล้วก็มู่มู่แบ่งกันหนึ่งส่วน”
ความจริงเรื่องนี้เธอคิดไว้แล้วล่วงหน้า แม้ค่าขนมปกติของพวกจ้าวเสวียหลินไม่ได้น้อยแต่ก็ไม่พอใช้อยู่ดี เธอให้ครั้งสองครั้งยังพอว่า พอให้บ่อยครั้งไปเหล่าพี่ชายก็ไม่รับไว้อีก ต่อให้ทำยังไงก็ไม่ยอมรับไว้
เงินสดไม่รับ ถ้าอย่างนั้นมีแต่แบ่งกำไรให้ ถือว่าเป็นของขวัญวันบรรลุนิติภาวะล่วงหน้าที่เธอให้พวกพี่ชายแล้วกัน!
พวกจ้าวเสวียหลินชะงักก่อนครู่หนึ่งจากนั้นก็ได้สติ รีบพูดค้านกันอย่างพร้อมเพรียง จะพูดอย่างไรก็รับส่วนแบ่งนี้ไว้ไม่ได้
พวกเขาเป็นพี่ชาย ตามเหตุผลแล้วพวกเขาต้องหาเงินค่าสินเดิมของฝ่ายหญิงให้น้องสาวต่างหาก จะรับเงินของน้องสาวได้อย่างไร? มันไม่ถูกต้องนี่นา!
เพียงแต่เหมยเหมยมีวิธี หลังอ้อนไปยกหนึ่งพวกจ้าวเสวียหลินก็รับไว้อย่างมึนงง เหมยเหมยพูดอีกว่า “เงินพวกนี้ถือว่าเป็นทุนที่หนูสนับสนุนให้พวกพี่ตามจีบสาวแล้วกัน วันหน้าอย่าหาพี่สะใภ้ที่เข้าหายากกลับมาให้หนูนะ”
“สบายใจได้ ถ้ากล้าทำไม่ดีกับเหมยเหมย พี่ห้าจะหย่ากับเธอทันที!” จ้าวเสวียกงตบอกรับปาก แม้ว่าอนาคตจะไม่เห็นแม้แต่เงาภรรยาเขาเลยก็ตาม
จ้าวเสวียเอ๋อร์ลังเลอยู่พักใหญ่ มือที่กำปากกาสั่นแล้วสั่นอีก สุดท้ายได้แต่กัดฟันหลับตาฉีกสัญญาที่เพิ่งเขียนได้ครึ่งทางอย่างห้าวหาญ
“พี่สามฉีกทำไม?” เหมยเหมยถามอย่างสงสัย
“เขียนใหม่อีกฉบับ!”
จ้าวเสวียเอ๋อร์พูดเล็ดลอดไรฟันแถมยังถลึงตาใส่เหมยเหมยแวบหนึ่ง ยายนี่ใจกว้างเชียว ทำไมถึงไม่คิดเผื่อเขาบ้าง? เขาไม่ขายหน้าหรือไงกัน?
…………………………..
ตอนที่ 725 เสียเงินก้อนใหญ่
จ้าวเสวียเอ๋อร์แปรเปลี่ยนความโกรธเป็นพลัง ตวัดปากกาจรดเขียนบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ได้สัญญาฉบับสมบูรณ์ที่เพิ่งเขียนใหม่ออกมา เพียงแต่–
“พี่สามเขียนผิดหรือเปล่า? เราแค่แบ่งกันส่วนเดียว ไม่ใช่คนละส่วน!”
จ้าวเสวียหลินแวบเดียวก็จับผิดสิ่งปกติได้ มองจ้าวเสวียเอ๋อร์อย่างแปลกใจ
หัวใจที่เป็นรูพรุนของจ้าวเสวียเอ๋อร์บีบรัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออก เขาถลึงตาใส่เหมยเหมยอีกที ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร “ไม่ผิด อีกครึ่งถือว่าฉันให้พวกนายแล้วกัน”
คนเป็นน้องสาวยังใจป้ำขนาดนี้ คนเป็นพี่ใหญ่อย่างเขาถ้าไม่ทุ่มอะไรให้เลย แล้ววันหน้าจะเหลือความน่าเกรงขามตอนอยู่ต่อหน้าพวกน้องชายอีกหรือ?
อีกอย่างศักดิ์ศรีของเขาก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้!
ความผิดของยายนี่คนเดียว รู้อยู่แล้วเชียวว่าอย่าได้ร่วมมือกับยายนี่ สุ่มเสี่ยงไม่พอยังต้องขาดทุนอีก ตั้งสองส่วน ทำเขาปวดใจเสียจริง!
พวกจ้าวเสวียหลินไม่รู้สึกลำบากใจกับของขวัญชิ้นนี้จากจ้าวเสวียเอ๋อร์สักนิด รับไว้อย่างสบายใจ “ขอบคุณพี่สามนะ วันหลังถ้ามีเรื่องอะไรบอกได้นะ เราไม่มีเงินแต่มีแรง ช่วยทำงานไม่มีปัญหาแน่นอน”
จ้าวเสวียเอ๋อร์ฉีกยิ้มทั้งที่ใจข่มขื่น ลอบก่นด่าในใจว่ามีเงินตั้งมากเขาจะหาลูกจ้างไม่ได้เลยเหรอ ถึงขนาดต้องต้องให้พวกนายไปทำงานเชียวหรือ?
เหมยเหมยป้องปากแอบขำ ครั้งนี้พี่สามของเธอเสียเงินก้อนใหญ่เสียแล้ว นานทีปีหน!
เช้าวันรุ่งขึ้นเหมยเหมยแสร้งไปเบิกเงินที่ธนาคาร แต่ความจริงเอามาจากช่องเก็บของฉิวฉิว เงินธนบัตรใบละร้อยจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนถ้วน ดูไม่หนาเท่าไร ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่เงินหมื่นเอามากองเป็นภูเขาลูกเล็กได้
เหมยเหมยส่งเงินหนึ่งหมื่นให้จ้าวเสวียเอ๋อร์ทำ เขาดีใจยกใหญ่ อุ้มเหมยเหมยหมุนวนไปมาหลายรอบก่อนจะวิ่งแจ้นไปเซ็นสัญญากับเจ้าของร้าน และพยายามจะเปิดบริการให้ทันตั้งแต่ปิดเทอมนี้
จ้าวเสวียเอ๋อร์เองก็มีข้อสงสัย ตัดสินใจว่าจะหาเวลาว่างมาถามจ้าวเสวียหลินทีหลังว่าน้องสาวเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ หากมีช่องทางหาเงินง่ายๆ เขาจะได้หน้าด้านมาขอให้น้องสาวพาเขารวยไปด้วย!
เหมยเหมย สยงมู่มู่และอู่เชาสามคนไม่ได้กลับบ้านแต่เลือกไปห้างสรรพสินค้าแทนเพื่อเตรียมซื้อโทรทัศน์ เมื่อวานสัญญากับท่านปู่จ้าวไว้แล้ว วันนี้จึงต้องทำตามสัญญา
แต่ประเภทโทรทัศน์ในห้างสรรพสินค้ามีน้อย ส่วนใหญ่เป็นโทรทัศน์จอขาวดำไร้สีสัน พอถามพนักงานก็บอกว่าโทรทัศน์จอสีต้องสั่งจอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสินค้าจะเข้าเมื่อไร ไม่แน่อาจต้องรอถึงปีหน้า
เหมยเหมยที่เคยชินกับโทรทัศน์จอสีจะดูโทรทัศน์จอขาวดำอย่างไรไหว เธอไปห้างสรรพสินค้าอีกห้างซึ่งก็เจอปัญหาเดียวกันต่างไม่มีสินค้าพร้อมขาย ขณะนี้เธอถึงรู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่ว่ามีเงินแต่ก็ซื้อของไม่ได้
มิน่ายุคสมัยนี้ค้าขายอะไรก็รวยกันหมด ผลิตสินค้าที่มีความต้องการสูงในปริมาณน้อย ขอแค่สินค้าคุณภาพดีไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก
“หรือว่าเราซื้อทีวีขาวดำเถอะ ทีวีที่คุณปู่คุณย่าเธอดูตอนนี้ก็ขาวดำเหมือนกันนี่!” อู่เชาว่า
“ขาวดำน่าดูตรงไหน ไม่มีสีสันเลยสักนิด ดูแล้วหมดอารมณ์” สยงมู่มู่คัดค้าน
เหมยเหมยเองก็มีความคิดเดียวกัน เธอครุ่นคิดสักพักก็วิ่งไปใช้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรหาเหยียนหมิงซุ่นบอกว่าที่เมืองหลวงไม่มีสินค้าพร้อมขาย เหยียนหมิงซุ่นต้องมีแน่ๆ มีปัญหาอะไรก็หาพี่หมิงซุ่นลูกเดียว
เหยียนหมิงซุ่นแบกเป้เตรียมออกเดินทาง เขาบอกพวกคุณยายหยางว่าไปเที่ยวโดยที่คนแก่ทั้งสองก็ไม่พูดอะไร บอกแค่ว่าให้เขาระวังตัวให้ดี
ได้ยินเสียงใสของเหมยเหมยจากโทรศัพท์เหยียนหมิงซุ่นก็อดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ “ไม่มีปัญหา สามวันหลังจากนี้น่าจะถึง ฉันจะไปเลือกให้เอง”
ผู้บัญชาการอาวุโสสองท่านที่มีความสำคัญยิ่งกว่าท่านพ่อตาอยากดูโทรทัศน์ เขาจะกล้าชักช้าได้อย่างไรเล่า ต้องเลือกโทรทัศน์จอสีที่ดีที่สุดในร้านให้อยู่แล้ว!
…………………………
ตอนที่ 726 อย่ากลัวจนฉี่ราดล่ะ
ทันทีที่เหมยเหมยวางสายไปก็อมยิ้มอย่างมีความสุข เธอรู้อยู่แล้วว่าต่อให้เรื่องยากแค่ไหน ถ้ามีพี่หมิงซุ่นซะอย่างมันก็เป็นแค่เพียงเรื่องจิ๊บจ๊อย!
แต่เมื่อกี้พี่หมิงซุ่นบอกว่าจะถึงในสามวันนี่หน่าหมายความว่าอย่างไรกัน?
ระบบขนส่งในสมัยนี้รวดเร็วขนาดนี้แล้วหรือ?
เธอไม่ได้เสียเวลาคิด ทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่า OK ให้สยงมู่มู่ “พี่หมิงซุ่นจะซื้อแล้วส่งมาให้”
สยงมู่มู่อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “เหมยเหมยเธอมีเงินไม่ใช่เหรอ หรือว่าเราซื้อสองเครื่องดี? ฉันกับเจ้าอ้วนไม่ได้ดูทีวีเลยตั้งแต่เช้ายันค่ำ แย่งคุณตาคุณยายไม่เคยได้สักที พวกเขาคือโจรป่าชัด ๆ”
“พูดจาอย่างนี้ได้ไง ไร้สัมมาคารวะ คุณปู่คุณย่าดูทีวีหน่อยจะเป็นไรไป นายไม่เห็นต้องไปแย่งพวกท่านเลย? อีกอย่างนายยังมีเวลามาดูทีวีอีกเหรอ? นายไม่แต่งเพลงแล้วเหรอ? แล้วก็อู่เชานายไม่เขียนบทความแล้วเหรอ? แต่ละคนว่างไม่มีอะไรทำสินะ?”
เหมยเหมยไล่ตบคนละที ตะคอกใส่เจ้าสองคนนี้จนชักสงสัยในชีวิต
เมื่อวานบนเครื่องบินยังสาบานอยู่เลยว่าจะพยายาม จะหาเงิน สุดท้ายพอลงเครื่องก็ลืมจนหมดสิ้น เหมือนผายลมแล้วลอยกระจายหายไปในพริบตา
สองคนสยงมู่มู่ไม่กล้าทักท้วงสักแอะ เดินตามหลังเหมยเหมยหัวหด
น้องสาวที่เมื่อก่อนขี้อ้อนนุ่มนวล บัดนี้กลายเป็นสาวแกร่งไปเสียแล้ว เฮ้อ!
เหมยเหมยเตรียมตัวไปเที่ยวหาเซียวเซ่อโดยไม่ต้องโทรหา เด็กสาวผู้นี้ชอบหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน แม้สมัยนี้จะไม่มีอินเตอร์เน็ต เขาก็สามารถหมกตัวอยู่บ้านได้ตลอดทั้งวัน ไม่ออกบ้านทั้งปียังได้
อีกทั้งยายนี่ไม่ต้องไปโรงเรียนเพราะจ้างครูส่วนตัวมาสอนที่บ้าน แค่โผล่หน้าไปสอบปลายภาคเป็นครั้งคราวเท่านั้น เวลาอื่นหากเธอเลือกไม่ออกบ้านได้ก็จะไม่ออก เพราะ–
“ข้างนอกไม่มีใครที่เห็นแล้วสบายตา!”
เซียวเซ่อเคยบอกเหมยเหมยไว้เช่นนี้โดยเฉพาะขณะที่พูดทำหน้าเท่ๆ เรียกให้เหมยเหมยชื่นชมจากใจ
แม่หญิงเซียวต่างหากที่ใช้ชีวิตได้เป็นอิสระที่สุด!
“เหมยเหมยไม่กลับบ้านเหรอ?”
หลังเปลี่ยนมาสองสถานีสยงมู่มู่ถึงสังเกตถึงความผิดปกติ นี่ไม่ใช่ทิศทางกลับบ้านนี่นา
“ฉันจะไปเที่ยวบ้านเซ่อเซ่อ ไม่งั้นพวกนายกลับบ้านก่อนเถอะ!” เหมยเหมยกล่าว
“ไม่ได้ พี่หกให้เราตามติดเธอไม่ให้ห่าง” สยงมู่มู่ปฏิเสธหนักแน่น น้องสาวหน้าตาสวยขนาดนี้ถ้าเจอคนไม่ดีเข้าจะทำอย่างไร
“แล้วแต่พวกนาย แล้วเดี๋ยวอย่าตกใจจนฉี่ราดก็พอ” เหมยเหมยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“หมายความว่ายังไง? หรือว่าเพื่อนที่ชื่อว่าเซียวเซ่อของเธอหน้าตาน่าเกลียดจนใครๆ ก็กลัว?” สยงมู่มู่ถามอย่างแปลกใจ
เหมยเหมยกลอกตาใส่เขาที “ไอ้บ้า เซ่อเซ่อดูดีกว่านายร้อยเท่า”
จะว่าไปพระเจ้าสลับตัวสองคนนี้หรือเปล่า คนหนึ่งดูเย้ายวนยิ่งกว่าผู้หญิงแต่ดันเป็นเด็กผู้ชาย อีกคนมาดเท่ยิ่งกว่าผู้ชายแต่ดันเกิดเป็นเด็กผู้หญิงซะงั้น ถ้าสลับร่างกันก็คงดี
สยงมู่มู่แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ บนโลกใบนี้เขายอมรับแค่น้องสาวคนนี้กับคุณป้าสะใภ้ที่ดูดีกว่าตัวเอง คนอื่นหรือจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
คฤหาสน์ของเซียวเซ่ออยู่แถบชานเมือง ซึ่งเป็นเก่าแก่ขนาดใหญ่ ได้ยินว่าอดีตเป็นจวนของจวิ้นอ๋อง พื้นที่โดยรวมประมาณเกือบยี่สิบไร่ คฤหาสน์ขนาดใหญ่มีเพียงเซียวเซ่อและคนรับใช้ประจำอีกประมาณสิบกว่าคนอาศัยจึงดูว่างเปล่าไปบ้าง
“โอ้โห บ้านหลังนี้ใหญ่จริงๆ เป็นคฤหาสน์หลังโตของจริง เหมยเหมย เพื่อนของเธอคนนี้รวยมาก” สยงมู่มู่เห็นกำแพงด้านนอกของคฤหาสน์ตระกูลเซียวก็พูดชมไม่ขาดปาก
เหมยเหมยไม่สนใจเขาพลางยู่ปากใส่ฉิวฉิวในอ้อมแขน เจ้าตัวเล็กเข้าใจความหมายจึงแวบไปที่หลังคาและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานประตูบานใหญ่สีแดงฉานก็เปิดออก เซียวเซ่อที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำจับคู่กับกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ผมตัดสั้นวิ่งออกมากอดเหมยเหมยแล้วหวีดร้องอย่างดีอกดีใจ
………………………..
ตอนที่ 727 ที่เปรียบเสมือนจวนอ๋อง
สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดในสองปีนี้ของแม่หญิงเซียวก็คือส่วนสูง เธอเกิดปีเดียวกับเหมยเหมยแต่กลับสูงกว่าเธอกว่าคืบ คาดว่าน่าจะสูงถึงร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรได้ ถ้ายังสูงต่อไปคาดว่าต้องถึงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรแน่นอน
“โอ้ เซ่อเซ่อเธอสูงขึ้นอีกแล้วเหรอ? ถ้าเธอยังสูงขึ้นต่อไปแบบนี้ฉันจะไม่เป็นเพื่อนกับเธอแล้ว”
เหมยเหมยเขย่งปลายเท้าวัดส่วนสูงจึงพบว่าไม่ถึงปลายคางอีกคนด้วยซ้ำ ทั้งที่ชาตินี้ตัวเธอสูงขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก ตอนนี้สูงตั้งร้อยห้าสิบหกเซนติเมตร คาดว่าอนาคตจะสูงสักร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรคงไม่ใช่ปัญหา ชาติที่แล้วกระทั่งวันตายเธอยังสูงแค่ร้อยหกสิบเซนติเมตรด้วยซ้ำ!
แต่ส่วนสูงที่เธอภาคภูมิใจมากที่สุดกลับถูกเซียวเซ่อบดขยี้เป็นผุยผงในชั่วพริบตา
เซียวเซ่อโอบไหล่เหมยเหมยอย่างสนิทสนม พูดเสียงเท่ “ตอนนี้ฉันกำลังสูงพอดี โอบไหล่เธอไม่เหนื่อยเลยสักนิด เมื่อก่อนฉันเปลืองแรงแทบแย่!”
เหมยเหมยยิ้มขบขัน ล้วงหมวกลวดลายสีสันสดใสจากกระเป๋าออกมาพลางพูดว่า “ดูสินี่หมวกที่ฉันเอามาให้ไทเฮา มันต้องชอบแน่ๆ”
เซียวเซ่อฉีกยิ้มที่มุมปาก ดีใจมากที่เพื่อนสามารถเปิดใจยอมรับเหล่าสัตว์เลี้ยงของเธอได้ เธออมยิ้มน้อยๆ “ไทเฮากลัวร้อนเลยไปอาบน้ำในสระแล้ว ถ้าเล่นเสร็จคงกลับมา”
“งั้นฉันไปดูฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยก่อน ฉาฉาก็คิดถึงพวกมันจะแย่”
“ดีเลย ตอนนี้ช่วงกลางวันฮ่องเต้ไม่อยู่ในกล่องเก็บอุณหภูมิแล้ว ชอบวิ่งไปขโมยดอกไม้ในสวนกินจนดอกไม้เสียหายไปตั้งเยอะ ว่าก็ไม่ฟัง เดี๋ยวให้ฉาฉาสั่งสอนมันที”
เซียวเซ่อพูดถึงก็โมโห สวนดอกทานตะวันที่เธอโปรดปรานมากที่สุดใกล้ถูกฮ่องเต้ทำลายหมดแล้ว เธอทำใจอบรมสั่งสอนฮ่องเต้ไม่ได้ เหมยเหมยมาพอดี ฮ่องเต้กลัวฉาฉาที่สุด ไม่แน่อาจจะช่วยกู้ชีวิตดอกทานตะวันได้บางส่วน!
เพื่อนสนิทสองคนเดินไปคุยไปอย่างออกรส หลงลืมสองคนด้านหลังอย่างสิ้นเชิง สยงมู่มู่กับเจ้าอ้วนน้อยได้ยินก็ยืนงง
ฮ่องเต้ ไทเฮาแล้วก็กุ้ยเฟย?
ไทเฮาชอบแช่น้ำ ฮ่องเต้ชอบเด็ดดอกไม้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
แล้วก็เด็กผู้หญิงสกุลเซียวคนนี้ พวกเขายืนมองตาโตก็ไม่เห็นว่าเธอคนนี้จะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าหลังแบนราบเหมือนกัน แตกต่างจากพวกเขาตรงไหน?
ทั้งสองบ่นกระปอดกระแปด แต่ไม่วายที่จะรู้สึกอิจฉาบ้านของเจ้าทอมเซียวเซ่อว่าใหญ่โตมากจริงๆ เหมือนจวนอ๋องในละครเลย ภูเขาปลอม สวนดอกไม้ ศาลาพักร้อนและระเบียงยาวราวกับสวนสาธารณะ เกรงว่าต้องใช้คนทำความสะอาดหลายคน!
“สยงมู่มู่ เจ้าของบ้านนี้คือใคร? ทำไมฉันเหมือนเดินเข้าวังเลย!” อู่เชาถามเสียงเบา แอบทึ่งในใจว่าสมแล้วกับเมืองหลวงที่เป็นดินแดนหลบซ่อนของเหล่ามังกรเสือสิงโต ดูท่าทางตระกูลเซียวนี้คงไม่ใช่ตระกูลขนาดเล็กด้วยเช่นกัน!
“รู้จักอาจารย์เซียวเหยี่ยนสินะ? เป็นปู่ของเซียวเซ่อไง พ่อของเธอโด่งดังกว่า เซียวจิ่งหมิง เคยได้ยินมั้ย?” สยงมู่มู่ลดเสียงอธิบายพื้นหลังครอบครัวตระกูลเซียวให้ฟังคร่าว ๆ
อู่เชาไม่เคยได้ยินชื่อเซียวจิ่งหมิงมาก่อนจริงๆ เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องราวฝั่งตะวันตกเท่าไรและไม่ติดตาม แต่เซียวเหยี่ยนเขารู้จัก!
อาจารย์ท่านนี้สุดยอดจริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างชื่อเสียงในแวดวงศิลปะสไตล์จีนมาหลายปี แต่ได้สร้างผลงานด้านดนตรี พู่กันจีน เพลงประกอบละครเวที ด้านโบราณคดีต่างๆ ไว้อย่างลึกซึ้ง มีตำแหน่งในวงการศิลปะดนตรี โบราณคดีและศิลปะพู่กันจีนที่ยากจะสั่นคลอนได้ เจ้าอ้วนไม่รู้จักสิแปลก!
อู่เชาเงียบไปชั่วอึดใจ ยืดหลังตรงสง่าขณะเดินในบ้านของอาจารย์เซียว เขาจะทำตัวไม่มีมารยาทไม่ได้!
สยงมู่มู่ไม่สนใจท่าทางนอบน้อมของเพื่อนเลยสักนิด หลุดขำทีพลางเอ่ยขึ้นว่า “นายจะประหม่าไปทำไม อาจารย์เซียวอยู่บ้านดีขนาดนี้ไม่ไหวหรอก เขาอาศัยอยู่สวนชิงหัว”
อู่เชาผ่อนคลายลงทันทีพลันกล่าวตามที่ตนเข้าใจ “ฉันรู้แล้ว ที่นี่เป็นบ้านของเซียวเซ่อกับพ่อแม่ของเธอ”
“เปล่า ที่นี่มีแค่เซียวเซ่ออยู่คนเดียว พ่อแม่เธอมีบ้านเป็นของตัวเอง โอ๊ย เรื่องตระกูลเซียวจะพูดให้เข้าใจสั้นๆ ไม่กี่คำไม่ได้หรอก ไว้คืนนี้ฉันค่อยเล่าให้ฟังละเอียด กลัวว่าสามวันสามคืนก็พูดไม่จบเนี่ยสิ!”
สยงมู่มู่พูดไปส่ายศีรษะไป ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณหนูใหญ่เฝิงและเซียวจิ่งหมิงเท่าไร!
……………………….
ตอนที่ 728 ไม่ใช่พี่สาวหรือ
สยงมู่มู่รู้เรื่องตระกูลเซียวมากกว่าเหมยเหมยเสียอีก เพราะหนึ่งเขาโตที่เมืองหลวง ต้องเคยฟังข่าวซุบซิบในแวดวงนี้มาไม่น้อย สองคือแม่ของเขาเป็นเพื่อนสนิทกับคุณหนูใหญ่เฝิง จ้าวอิงหนานมักพูดถึงเรื่องตระกูลเซียวให้คุณพ่อฟังบ่อยครั้ง พอนานวันเข้าเขาเลยรู้เรื่องตระกูลเซียวพอสมควร
พูดถึงสยงมู่มู่ก็แอบเห็นใจแม่หญิงเซียวที่มีพ่อแม่ไม่ปกติแบบนี้ เป็นเรื่องน่าลำบากใจจริงๆ!
จู่ๆ สยงมู่มู่ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเซียวเซ่อถึงไม่ยอมออกจากบ้านมาตลอดหลายปี!
น่าจะเหนื่อยใจสินะ!
หรือบางทีไม่อยากสนใจพวกคนธรรมดาและโง่เขลาบางกลุ่มสินะ!
เหมยเหมยกับเซียวเซ่อไปที่สวนด้านหลังเสียแล้ว สยงมู่มู่กับอู่เชาจำต้องคอยติดตามไปด้วย พวกเขาเองก็อยากรู้ว่าฮ่องเต้เป็นสัตว์วิเศษมาจากไหน ไหนจะไทเฮากับกุ้ยเฟยอีก!
สวนหลังบ้านใหญ่กว่าสวนหน้าบ้านมากโข มีสระบัวขนาดไม่เล็ก ใบบัวที่กำลังบานสะพรั่งปกคลุมทั่วผิวน้ำ คลื่นน้ำซัดมาเป็นระลอกๆ แต่งแต้มหยดน้ำลงบนดอกบัวสีชมพูและสีขาว ภาพงามเช่นนี้เรียกให้สยงมู่มู่กับอู่เชามองตาค้าง
“ถ้าฉันใช้ชีวิตอยู่คฤหาสน์แบบนี้ล่ะก็ไม่ออกบ้านหนึ่งปีก็ยังได้!” อู่เชาพึมพำเองอย่างนึกอิจฉา
บ้านของเซียวเซ่อให้กลิ่นอายความเป็นโบราณเก่าแก่ สวนหลังบ้านขนาดใหญ่ถูกตาต้องใจเจ้าอ้วนน้อยเข้าเต็มเปา กระแทกโดนใจเขาและสร้างเป้าหมายไว้สู้ต่อไปในอนาคต
สิบกว่าปีผ่านไปอู่เชาที่ประสบความสำเร็จได้ออกแบบคฤหาสน์แสนงามละลานตาที่สวนเจียงหนานด้วยตัวเอง นอกจากออกไปดูงานนอกสถานที่ ช่วงเวลาอื่นเขาจะอยู่แต่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ ต่อให้เอาวัวนับสิบมาก็ลากไม่ไหว
“เซ่อเซ่อ ที่นี่มีเรือมั้ย? ไม่งั้นเราพายเรือไปพักผ่อนกลางสระบัวดีกว่า”
พอเห็นสระบัวเหมยเหมยก็อดนึกถึงค่ำคืนที่อยู่หมู่บ้านโม่คืนนั้นอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าก็ร้อนผ่าว
“มีเรือ รอเดี๋ยวนะ ฉันจะให้คนลากเรือออกมาแล้วเอาน้ำชาของว่างบนเรือ”
เซียวเซ่อเองก็ใจเต้นตุบ ๆ จึงกวักมือเรียกสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ห่างๆ มาแล้วสั่งให้เธอไปเรียกคนจัดเตรียมเรือให้เสร็จสรรพ
คนงานที่คอยปรนนิบัติเซียวเซ่อมีถึงสิบกว่าคน สองคนในนั้นคือพ่อบ้านและแม่ครัวที่ถูกส่งตัวมาจากคุณย่าของเซียวเซ่อเองซึ่งเป็นสามีภรรยากันและเป็นคนรับใช้ประจำตระกูลคุณย่าเซียวเซ่อ ส่วนคนงานอื่นๆ ถูกอบรมโดยพ่อบ้านเอง พอดูออกว่าคุณพ่อบ้านของเซียวเซ่อเก่งกาจไม่น้อย คฤหาสน์เซียวถูกจัดไว้เป็นระบบระเบียบ อีกทั้งคนงานเองก็ต่างทำตามกฎกันดี
ประสิทธิภาพยิ่งเหนือชั้นกว่า ไม่นานคุณพ่อบ้านก็พาคนงานเป็นกลุ่มเพื่อลากเรือออกมา มีแม่ครัวร่างอวบอ้วนแต่ดูใจดีนำคุกกี้เนยสดที่เพิ่งออกจากเตาร้อนๆ พร้อมชาแดงหอมกรุ่นมาจัดวางไว้บนเรืออย่างดี
ตระกูลเซียวมีคนพายเรือโดยเฉพาะและเป็นคนงานดูแลสวนในเวลาเดียวกัน เป็นชายวัยประมาณสี่สิบห้าสิบปี พาคนทั้งครอบครัวมาทำงานอยู่คฤหาสน์เซียว ท่วงท่าพายเรือดูชำนาญมือ สักพักพาพวกเหมยเหมยไปส่งที่กลางสระบัวก่อนที่เขาจะนั่งอยู่อีกมุมของเรือ ไม่เอ่ยส่งเสียงใดๆ ดูเป็นคนรักษากฏระเบียบอย่างดี
อู่เชาคอยรับลมอ่อนที่สัมผัสเข้ามาอย่างแผ่วเบา เชยชมคลื่นน้ำสีครามและดอกบัวที่ประดับประดาตามธรรมชาติ สร้างแรงบันดาลใจในการแต่งกลอนขึ้นมาทันทีจึงรังสรรค์ผลงานกลอนหนึ่งบท แถมยังเป็นกลอนเจ็ดเสียด้วย!
เซียวเซ่อเงยหน้าเห็นสยงมู่มู่กับอู่เชาสองคนก็ชะงักไปชั่ววูบ หลุดปากถามออกมา “สองคนนี้คือใคร? พวกเขาตามขึ้นมาได้ยังไง?”
สยงมู่มู่ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที คนสกุลเซียวนี่ก็ทำเกินไปจริงๆ ทั้งที่เขากับเจ้าอ้วนวนเวียนอยู่หน้าเธอมาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วตอนนี้กลับบอกว่าไม่รู้จัก?
พวกเขาไร้ตัวตนขนาดนี้เชียวหรือ?
เหมยเหมยตบกบาลตัวเองที “โอ๊ย ฉันลืมแนะนำพวกนายให้เธอรู้จัก นี่พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องฉันสยงมู่มู่ ส่วนนี่เพื่อนฉันอู่เชา คนนี้คือเซียวเซ่อ จะว่าไปก็บังเอิญดีนะ เราสี่คนเกิดปีเดียวกันหมดเลย!”
เซียวเซ่อจ้องสยงมู่มู่อยู่พักใหญ่ อยู่ๆ ก็พูดขึ้น “เหมยเหมย เธอแน่ใจนะว่าพี่ชายไม่ใช่พี่สาว?”
……………………
ตอนที่ 729 ความรู้สึกเหมือนกำลังโบยบิน
พอสิ้นเสียงเซียวเซ่อ สยงมู่มู่ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที กระเด้งตัวสูงสามคืบพลางตะคอกใส่เธอ “โดนหมากัดตามาหรือไง? ถึงแยกแยะชายหญิงไม่ได้!”
แม่หญิงเซียวมองเขาค้างอยู่หลายวินาทีถึงค่อยๆ พูดขึ้น “ตอนนี้ดูคล้ายผู้ชายหน่อยแล้ว”
สยงมู่มู่โกรธจนแทบกระอักเลือด พูดด้วยเสียงขุ่นเคือง “เธอไม่ลองส่องกระจกบ้างล่ะ? ตัวเองก็หน้าตาแยกแยะไม่ออกว่าเพศไหน มิน่าถึงมองคนอื่นแบบนั้น”
เหมยเหมยรู้ว่าสยงมู่มู่ไม่ใช่คนใจแคบ หากปล่อยให้ทั้งคู่ทะเลาะกันต่อ กลัวก็แต่จะยิ่งขัดบรรยากาศทั้งแล้วเสียความรู้สึกกันไปเปล่า ๆ เธอจึงออกหน้ารับเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ความขัดแย้งถึงปิดฉากลง แต่สยงมู่มู่กลับกลอกตาใส่เป็นระยะๆ และปัดเซียวเซ่อให้อยู่ในบัญชีดำ
“คุกกี้นี้รสชาติไม่เลวเลย อร่อยกว่าที่ซื้อกินอีก กลิ่นเนยเข้มข้นมาก ชาแดงนี่ก็ต้มได้ดี รสชาติดั้งเดิม”
เหมยเหมยทานคุกกี้ชิ้นเล็ก แล้วดูดชาแดงตามเข้าไปเอ่ยปากชมไม่หยุด
“ขนมที่คุณป้าซูซือทำต้องอร่อยอยู่แล้ว ไว้คราวหน้าให้คุณป้าซูซือทำขนมสไตล์จีนให้เธอกิน ช่วงนี้เธอกำลังหัดทำขนมสไตล์จีนอยู่ รสชาติใช้ได้เลย” ขณะที่เซียวเซ่อเอ่ยถึงแม่ครัวประจำบ้านหน้าตานั้นไม่ได้เย็นชาเฉกเช่นเวลาปกติ กลับดูอบอุ่นขึ้นบ้างเล็กน้อย
พ่อบ้านสตีเฟนกับแม่ครัวซูซือเป็นสามีภรรยากัน แปดปีก่อนได้รับคำสั่งจากเจ้านายเก่าให้บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาดูแลเจ้านายคนเล็กที่ประเทศจีนอย่างจงรักภักดี
เหมยเหมยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซียวเซ่อกับสองสามีภรรยาคู่นี้อาจลึกซึ้งกว่าความสัมพันธ์กับพ่อแม่แท้ๆ ด้วยซ้ำ!
กับพ่อแม่แท้ๆ ร้อยวันพันปีถึงเจอกันสักครั้ง แต่กลับใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกับแม่ครัวพ่อบ้านทั้งวัน อีกทั้งตอนเซียวเซ่อป่วยก็ได้สองสามีภรรยาคู่นี้คอยดูแลประคบประหงมไม่ห่าง บอกได้เลยว่าเซียวเซ่อถูกเลี้ยงมาด้วยมือของสองสามีภรรยาคู่นี้ ความสัมพันธ์ต้องสนิทสนมปกติอยู่แล้ว
“โอเค ไว้กลับมาคราวหน้าค่อยชิมขนมสไตล์จีนของคุณป้าซูซือ เอ๊ะ นั่นไทเฮาใช่มั้ย?”
เหมยเหมยทอดมองแสงสีทองที่หมุนขึ้นลงอยู่บนผิวน้ำ แค่ดูก็รู้ว่าไทเฮากำลังเล่นน้ำอยู่
“ใช่ ตอนกลางวันมันจะเล่นอยู่ตรงนี้ทั้งวัน ฉันจะเรียกมันมานะ!”
เซียวเซ่อสอดนิ้วเข้าปากแล้วใช้แรงเป่าออกมาเป็นเสียงนกหวีดดังกังวาน ฟังแล้วแสบแก้วหู สยงมู่มู่กับอู่เชาเบิกตากว้างจับจ้องผิวสระน้ำไม่ละสายตา อยากเห็นตัวตนแท้จริงของพระนางไทเฮาชัดเต็มสองตา
เสียงคลื่นน้ำขยับเข้ามาใกล้ ใบบัวที่นิ่งสงบเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สยงมู่มู่เกิดอาการตื่นเต้นเล็กน้อยและกลืนน้ำอายดังเอือก ทันใดนั้น–
สายน้ำตรงหน้าสาดกระเซ็นไปรอบตัวรวมถึงบนเรือลำเล็กด้วย มีบางส่วนที่สาดกระทบใส่หน้าสยงมู่มู่ เขาหลับตาลงโดยอัตโนมัติและไม่ทันเห็นเจ้าอ้วนน้อยข้างกายที่แสนน่าสงสาร ใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทาราวกับถูกคนจับเขย่าตัว
สยงมู่มู่ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำบนหน้าก่อนจะได้ยินเสียง ‘กึกกึกกึก’ดังข้างหู เลื่อนสายตาไปพลางเห็นอู่เชาที่ฟันบนกระทบฟันล่าง ใบหน้าใกล้เขียวช้ำเต็มที
“เจ้าอ้วนเป็นอะไรน่ะ? คงไม่ได้ป่วยใช่ไหม?”
สยงมู่มู่พูดหยอกล้อพลางกลั้วหัวเราะ แต่เมื่อเห็นอู่เชาไม่คล้ายว่ากำลังล้อเล่นอยู่ ตัวสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ ตาวอกแวกไปทั่ว เสียงอึกดังมาจากลำคอแต่กลับไม่หลุดเสียงกรีดร้องออกมาแม้แต่เสียงเดียว
อู่เชาขวัญเสียจริงๆ สงสารเขาที่อยากวิ่งหนีแต่สองขาดันอ่อนแรงจนไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ ทั้งอยากเตือนเพื่อนด้วยความหวังดีสักหน่อยแต่กลับเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ดวงตาจับจ้องสัตว์ประหลาดน่าสะพรึงคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อู่เชาหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง
เพื่อน ไปให้สบายนะ!
สยงมู่มู่เห็นอู่เชาไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อยู่พักใหญ่ จึงหันหันหน้ากลับมา อยากจะดูให้ชัดว่าหยดน้ำที่กระเซ็นจากผิวน้ำตรงหน้ามันคืออะไรกันแน่ แต่อยู่ๆ เจ้าตัวก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่เหนือฟ้า
…………………
ตอนที่ 730 เกิดมาดูดีก็มีความผิด
สยงมู่มู่สะดุ้งเฮือกรีบก้มมองไปด้านล่างกลับเห็นว่าตนลอยอยู่เหนือเรือลำเล็กเกือบสูงเท่าตึกหนึ่งชั้น อู่เชากับเหมยเหมยอยู่เบื้องล่างใต้เท้าตัวเอง นี่มันอะไรกัน?
เขาเผลอลูบจับเอวที่คล้ายถูกเชือกพันรอบตามสัญชาตญาณ สัมผัสเย็นเฉียบเปียกๆ ลื่นๆ แล้วก็เกล็ดละเอียดอีกชั้น เกิดลางสังหรณ์ใจไม่ดีทันใด เขาก้มมองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังพันรอบตัวอยู่คืออะไรก็แทบลมจับ
งูเหลือมสีทองยักษ์ขนาดหนาเท่าแขนพ่อของเขากำลังรัดตัวเขาไว้แน่น เล่นเกมโยนตัวขึ้นฟ้ากับเขาอยู่!
เท่าที่โผล่พ้นผิวน้ำงูเหลือมยักษ์ตัวนี้คาดว่ายาวราว ๆ สามถึงสี่เมตรได้ ยังไม่รวมส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ สยงมู่มู่ไม่อยากคิดต่อไป ขนาดตัวเล็กๆ อย่างเขาไม่พอจะเป็นของว่างให้งูเหลือมยักษ์ตัวนี้ด้วยซ้ำ!
ถ้ารู้แต่แรกว่าบ้านเซียวเซ่อมีสัตว์อันตรายแบบนี้ ตีให้ตายเขาก็ไม่มาหรอก!
อีกอย่างงูเหลือมตัวนี้สายตาไม่ดีหรืออย่างไรกัน บนเรือมีคนตั้งมากมาย เจ้าอ้วนเนื้ออวบอั๋นที่สุด เหมยเหมยเนื้อเนียนนุ่มที่สุด จะเลือกอย่างไรก็ไม่น่าเลือกเขาได้ นี่เขาซวยอะไรขนาดนี้!
อู่เชาผ่อนลมหายใจได้ทั้งที่พอเห็นเพื่อนสุดรักถูกสัตว์ประหลาดรัดตัวไว้ก็ตกใจกลัวน้ำตาคลอเบ้า คลานไปอยู่ข้างๆ เหมยเหมยที่ทำหน้านิ่งไม่เปลี่ยน (ช่วยไม่ได้ ขาอ่อนเปลี้ยอยู่ เดินไม่ไหว)
“เหมยเหมย ทีนี้จะทำยังไง? มู่มู่ใกล้ถูกเจ้างูยักษ์เขมือบแล้ว!”
เหมยเหมยมองเจ้าอ้วนน้อยที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าอย่างขบขัน หยิบคุกกี้ชิ้นเล็กยัดใส่ปากเขาเพื่ออุดเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเขาไว้
“สบายใจได้ ไทเฮากำลังเล่นกับมู่มู่อยู่ อีกอย่างไทเฮาเลือกกินจะตาย ไม่ชอบกินเนื้อคน”
อาหารของไทเฮาล้วนเป็นอาหารชั้นดีไม่ว่าจะเป็นไก่ตัวเป็นๆ แกะตัวเป็นๆ หรือเนื้อวัวสด ไม่มีอันไหนที่ราคาถูกสักอย่าง สยงมู่มู่ตัวผอมเหลือแค่กระดูกซี่โครงแบบนี้ไทเฮาไม่ถูกใจหรอก!
อู่เชากะพริบตาปริบ พระนางไทเฮา?
หรือว่างูเหลือมยักษ์สีทองตัวนี้คือพระนางไทเฮาที่เหมยเหมยพูดถึงบ่อยๆ และเป็นสัตว์เลี้ยงของเซียวเซ่อ!
เจ้าอ้วนน้อยถอนลมหายใจด้วยความโล่งใจ ในเมื่อเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านน่าจะไม่ดุร้ายอะไร สยงมู่มู่ไม่น่ามีอันตรายหรอก!
เพียงแต่–
เขาแหงนหน้ามองสยงมู่มู่ที่ถูกพระนางไทเฮารัดตัวลอยอยู่เหนือผิวสระน้ำ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเกิดมาหน้าตาน่าเกลียดสักหน่อยอ้วนสักหน่อยก็ดีอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ปลอดภัยนี่นา!
ขนาดเจ้างูยังเลือกเล่นกับคนหน้าตาดีเลย!
เจ้าอ้วนน้อยที่โล่งอกแล้วนั่งจิบน้ำชายามบ่ายตามสไตล์อังกฤษอย่างสบายใจ เหลือบมองเพื่อนที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่กลางอากาศเป็นพักๆ ก่อนจะรู้สึกโชคดีอีกครั้ง
“อ๊ากกก…จ้าวเหมยคนไร้หัวใจ ยังไม่เรียกคนมาช่วยฉันอีก!”
ไทเฮาพาสยงมู่มู่หมุนวนรอบสระบัว พอหมุนมาถึงเรือลำเล็กสยงมู่มู่ที่วิงเวียนศีรษะเห็นพวกเหมยเหมยสามคนนั่งดื่มน้ำชายามบ่ายอย่างใจเย็นก็ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ตะโกนร้องโวยวายขึ้นมา
ถ้าปล่อยให้งูบ้าตัวนี้หมุนต่อไป เขาต้องขย้อนอาหารมื้อสามวันก่อนออกมาจนหมดท้องแน่ๆ!
เหมยเหมยเห็นสยงมู่มู่หน้าเขียวช้ำ รู้ว่าหมอนี่ทักษะการทรงตัวไม่ดีเป็นทุนเดิม หากหมุนต่อไปต้องเวียนหัวแน่ๆ ตบฉาฉาที่กำลังแทะคุกกี้ชิ้นเล็กบนข้อมือเบาๆ ร่างเล็กของฉาฉาพุ่งออกไปอยู่บนตัวไทเฮา ไม่นานไทเฮาก็ว่ายกลับมา วางตัวสยงมู่มู่ลงอย่างเชื่อฟัง
สยงมู่มู่ทรุดตัวลงข้างฝีพายอย่างหมดแรง อาการคลื่นไส้ตีขึ้นมาแต่ดันอาเจียนอะไรไม่ออก ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นรังนกเหมือนผีตัวหนึ่งก็มิปาน
เซียวเซ่อปรายตามองเขาเชิงดูถูกแวบหนึ่ง กระซิบคุยกับเหมยเหมยเสียงเบาว่า “พี่ชายคนนี้ของเธอไก่อ่อนชะมัด มิน่าถึงดูคล้ายผู้หญิง”
…………………..
ตอนที่ 731 รักแรกพบ
พระนางไทเฮาคล้ายจะชอบเจ้าเด็กสยงมู่มู่มากถึงแสดงความรักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากวางสยงมู่มู่ลงก็ไม่ยอมไปไหนแต่ซบอยู่ขอบเรือ เอียงหัวใช้สายตาจับจ้องมนุษย์หน้าตาหล่อเหล่าอย่างประหลาดใจ
สยงมู่มู่อาเจียนจนหน้ามืดตามัว น้ำตาเอ่อล้น รู้สึกไม่สบายกระเพาะ พิงหัวเรือในสภาพตายแหล่มิตายแหล่ แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม
ณ เวลานี้มีเพียงท้องนภาแสนงามอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้เท่านั้นที่จะปลอบประโลมหัวใจอันบอบช้ำของเขาได้!
ยิ่งนานวันยิ่งเห็นธาตุแท้ ยิ่งช่วงลำบากก็ยิ่งรู้ถึงจิตใจคน วันนี้นับว่าเขาได้เห็นธาตุแท้ของน้องสาวกับเพื่อนซี้คู่หูคนนี้แล้ว!
จิตใจมนุษย์ช่างชั่วร้าย!
ช่างเจ็บหัวใจจริงๆ!
ราวกับว่าไทเฮาจะรู้สึกถึงหัวใจที่เจ็บปวดของมนุษย์ตัวน้อยตรงหน้าได้ มันค่อยๆ เลื้อยมา ปลายลิ้นสองแฉกนั่นเรียกให้คนที่เห็นต่างเสียวสันหลังวาบ แต่ในสายตาเหมยเหมยกับเซียวเซ่อกลับรู้ว่านี่เป็นการแสดงความดีใจของพระนางไทเฮา เหมือนลูกหมาตัวเล็กแลบลิ้น
สยงมู่มู่ยังไม่หยุดสงสารชีวิตอันแสนเศร้าของตัวเอง แหงนหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศาเห็นว่าพระนางไทเฮากำลังอยู่ในตำแหน่งที่สี่สิบห้าองศาพอดี สยงมู่มู่รู้สึกแค่เย็นๆ ตรงแก้มชั่ววูบเหมือนมีคนเอาน้ำแข็งมาถูตรงหน้าเขา สยงมู่มู่ตวาดด้วยความโมโหอย่างไม่ต้องคิด “เจ้าอ้วนนายไสหัวไปเลย ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์เล่นกับนาย!”
อู่เชาเหลือบมองเพื่อนที่โดนพระนางไทเฮาตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบอย่างเห็นใจ มือป้อมยัดคุกกี้ชิ้นเล็กใส่ปากแล้วจิบน้ำชาอีกคำ ถอนหายใจอย่างปลื้มปริ่ม
ชีวิตของคนรวยนี่ช่างสะดวกสบายดีจริง!
เขาจะต้องหาเงินให้เยอะๆ แล้วใช้ชีวิตแบบนี้ในอนาคต ให้คนอื่นอิจฉาเขาบ้าง!
เจ้าอ้วนน้อยที่วาดฝันชีวิตอนาคตไว้ เพื่อนซี้ยังสาดคำด่าออกมาอย่างไม่รู้ตัว คิดว่าคงเป็นแพะรับบาปไม่ได้จึงเอ่ยเตือนอย่างหวังดี “ฉันกินคุกกี้อยู่ตรงนี้ นายลืมตาดูให้ดี!”
สยงมู่มู่ที่ตัวสั่นสะท้านสะดุ้งเฮือกรีบเปิดตาขึ้น หางตาเหลือบเห็นเพื่อนซี้ที่ทานขนมคุกกี้อย่างเอร็ดอร่อย ส่วนอีกข้างเหมยเหมยกับเซียวเซ่อสองคนยังคุยกันอย่างออกรส พลันจึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
แล้วไอ้สารเลวที่ไหนมาคลอเคลียร์แก้มเขากันล่ะ?
หรือว่าจะเป็นตัวเมื่อกี้…
ไทเฮาไม่ชอบใจที่ของเล่นใหม่ของมันดิ้นพล่านไปมา จึงยื่นหัวขนาดใหญ่เข้าไปหา สยงมู่มู่ที่นอนเอนกายอย่างว่าง่ายพลันนึกขึ้นได้ลุกขึ้นสำรวจให้เห็นเต็มสองตาว่าใครกันที่มาคลอเคลียร์แก้มเขาเมื่อครู่ !
“อ๊าก!”
สยงมู่มู่ผู้น่าสงสารตกใจสะดุ้งโหยง หัวใจดวงน้อยๆ ของเขาจะรับความกดดันแบบนี้ได้อย่างไร กรีดร้องเสียงหลงและตะเกียกตะกายเหมือนปลาขาดน้ำอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับไม่เลือกทางผิดจนหัวคะมำลงสระบัวไป
เหมยเหมยที่มัวคุยกับเซียวเซ่ออย่างออกรสไม่ทันสังเกตสยงมู่มู่ แม้ไทเฮาจะซุกซนไปหน่อยแต่ไม่มีทางทำอะไรสยงมู่มู่ เพียงแต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะให้ความสนใจสยงมู่มู่มากมายขนาดนี้ตั้งแต่แรกพบ
สยงมู่มู่ที่เพิ่งตกสระน้ำไปคิดแค่อยากว่ายน้ำขึ้นบกให้เร็วที่สุด ในสระน้ำอันตรายเกินไป บนบกปลอดภัยกว่า ถึงทักษะการทรงตัวของเจ้าหมอนี่ค่อนข้างแย่แต่ด้านกีฬายังนับว่าดีไม่หยอก
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ความสามารถจะถูกขยายออกอย่างไร้ขีดจำกัด สองแขนสองขาราวกับถูกไขลาน ไม่ได้ว่ายช้าไปกว่าไทเฮาแต่อย่างไร
ไทเฮาถึงขั้นคิดว่าสยงมู่มู่อยากเล่นน้ำเป็นเพื่อนมันเสียอีก ส่ายหัวไปมาอย่างดีอกดีใจและลดความเร็วลงอย่างอบอุ่น ว่ายไปสักพักก็หยุดรอสยงมู่มู่อีกพักหนึ่ง ทั้งคู่ดูรักใคร่กลมเกลียวกันเหลือเกิน
ในที่สุดสยงมู่มู่ก็ว่ายมาถึงขอบสระ แอบดีใจอยู่ลึกๆ แล้วกระโดดขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว เปรียบตัวไทเฮาที่เอียงหัวจับจ้องมองตัวเองอยู่ในน้ำว่าเล็กเท่านิ้วก้อย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมา
แต่ใครกันที่กระแทกก้นเขาอยู่นะ?
…………………
ตอนที่ 732 รสนิยมคล้ายกัน
จู่ๆ สยงมู่มู่ก็ชักสังหรณ์ใจไม่ดี ทันใดนั้นบั้นท้ายของเขาก็ถูกวัตถุบางอย่างกระแทกใส่อีกครั้ง ส่วนไทเฮาที่อยู่ในน้ำกลับทำท่าดีใจอีกหน ร่างใต้น้ำเกลือกกลิ้งไปมาจนเกิดระลอกคลื่นซัดสาด และมีบางส่วนกระเซ็นมาโดนตัวสยงมู่มู่
สยงมู่มู่กลอกตาใส่ ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นงูโง่ขนาดนี้ ตอนนี้เขาไม่ค่อยกลัวไทเฮาแล้ว เขาไม่ได้โง่สักหน่อยสัมผัสได้อยู่แล้วว่าไทเฮาไม่มีเจตนาร้ายกับเขา น่าจะแค่อยากเล่นด้วยเท่านั้น
อีกอย่างเวลาผ่านไปตั้งนานเหมยเหมยกลับไม่คิดทำอะไร บ่งบอกว่าเหมยเหมยรู้ว่าเจ้างูยักษ์โง่ตัวนี้ไม่มีทางทำร้ายเขาได้ ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้เขาเสี่ยงชีวิตได้อย่างไรกันเล่า!
ต้องบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหมยเหมยดีไม่น้อย อีกอย่างช่วงนี้ไม่ได้ทะเลาะกัน เหมยเหมยไม่มีทางเพิกเฉยไม่ยอมช่วยชีวิตเขาอยู่แล้ว!
เพียงแต่ว่าตัวอะไรกำลังจิ้มบั้นท้ายเขาอยู่ตอนนี้นะ?
คงไม่ใช่งูยักษ์อีกตัวหรอกมั้ง?
ไม่อย่างนั้นเจ้างูโง่ในน้ำจะดีใจขนาดนั้นทำไม ไม่แน่อาจเป็นพวกของมันก็ได้!
คิดได้ดังนั้นสยงมู่มู่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากทีเดียว ทำใจดีสู้เสือหมุนตัวกลับไป
เจ้าอ้วนน้อยที่กินคุกกี้ไปพลางดูเรื่องสนุกไปจู่ ๆ ก็ชี้นิ้วไปบนฝั่งตะโกนขึ้นว่า “ด้านหลังสยงมู่มู่คือตัวอะไรน่ะ? ตัวเขียวๆ ไม่เหมือนต้นไม้เลย!”
เจ้าอ้วนหรี่ตามองอยู่พักใหญ่ น่าสงสารเขาที่สายตาสั้นมองอย่างไรก็มองไม่ชัดว่าตัวสีเขียวนั่นคือตัวอะไร อดถามพวกเหมยเหมยไม่ได้
เซียวเซ่อหันหน้าไปมองแล้วหัวเราะเสียงเบา “ฮ่องเต้มาได้ยังไง!”
เหมยเหมยเองก็ยิ้มตาม “น่าจะเป็นฉิวฉิวที่ล่อมันมา ฉิวฉิวชอบหยอกมันเล่นที่สุดเลย เอ๊ะ ว่าแต่ฮ่องเต้กำลังทำอะไรน่ะ?”
เซียวเซ่อขมวดคิ้วเล็กน้อยและเริ่มไม่พอใจที่เหล่าสัตว์เลี้ยงของตนกำลังรายล้อมตัวสยงมู่มู่อย่างสนุกสนาน ความรู้สึกเหมือนของรักของเธอถูกคนแย่งไป เธอกำลังเตรียมเป่าปากเรียกสัตว์เลี้ยงกลับมาแต่สยงมู่มู่ดันกรีดร้องอย่างตกใจ เจ้าตัวกระโดดสูงสามคืบ อีกครั้ง–
หัวคะมำลงสระน้ำแหวกว่ายมาทางเรือลำเล็กราวกับปลานกกระจอก และด้านหลังมีไทเฮาตามมาอย่างร่าเริง บนตัวมีอีกัวนาขนาดใหญ่สีเขียวหนึ่งตัว บนหัวอีกัวนากลับสวมหมวกสีขาวใบหนึ่ง นั่นคือฉิวฉิวที่ขยุกขยิกตัวไม่หยุด โบกมือเต้นรำอย่างมีความสุข ส่ายหางจ้ำม้ำไปมาไม่หยุด
สยงมู่มู่ที่ปวดใจได้แสดงศักยภาพอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่นานก็ว่ายมาถึงขอบเรือแล้วปีนขึ้นตามแนวเรือในสภาพตัวเปียกโชกดูไม่จืด
ในขณะนี้เจ้าอ้วนน้อยได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวเขียวชัดเต็มสองตาแล้ว นั่นคืออีกัวนาสีเขียวที่ขนาดตัวยาวเกือบสองเมตร ช่วงลำตัวไม่ค่อยยาวเท่าไร แต่หางกลับยาวถึงหนึ่งเมตร กระโดดลงจากตัวไทเฮาแล้วย่างกรายมาข้างสยงมู่มู่เหมือนเป็นนายท่านยื่นกรงเล็บหน้าเหยียบลงบั้นท้ายของสยงมู่มู่เหมือนเหยียบลูกบอล เห็นได้ชัดว่ามันเห็นสยงมู่มู่เป็นของเล่นไปอีกตัว
เหมยเหมยที่มองอยู่ก็เอะใจ เหล่าสัตว์เลี้ยงของเซียวเซ่อเข้าหาคนง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เมื่อก่อนเธอใช้เวลาไปตั้งเกือบครึ่งเดือนถึงจะเล่นกับพวกไทเฮาฮ่องเต้ได้!
แต่สยงมู่มู่เพิ่งมาถึงวันแรกก็ได้รับการต้อนรับจากไทเฮาและฮ่องเต้เป็นอย่างดี การปฏิบัติมันแตกต่างกันเกินไปแล้วนะ!
เซียวเซ่อเองแสดงสีท่าไม่พอใจ กระแทกเสียงเบาใส่ “ฮ่องเต้มานี่!”
ไขมันบนตัวเจ้าอ้วนน้อยสั่นเทิ้ม โอ้โห ที่แท้อีกัวนายักษ์ตัวนี้ก็คือฮ่องเต้นี่เอง!
ก็ได้ เขาไม่อยากรู้แล้วว่าคนสวยอย่างกุ้ยเฟยคือตัวอะไร คิดว่าคงไม่ใช่ตัวที่น่าประทับใจเท่าไร เด็กผู้หญิงที่ชื่อเซียวเซ่อนี่มีงานอดิเรกที่ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ!
เป็นคนประเภทเดียวกับเหมยเหมยอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด รสนิยมเข้ากันดี ซึ่งต่างก็ชอบสัตว์เลือดเย็นพิสดารเหมือนกัน!
………………..
ตอนที่ 733 ดูถูก
ฮ่องเต้ได้ยินเสียงเรียกขานจากเจ้าของพลางชักขากลับอย่างจำใจ มนุษย์พวกนี้เล่นด้วยสนุกออก
เซียวเซ่อหยิบเศษกลีบดอกไม้สีทองเหลืองที่ติดอยู่บนตัวฮ่องเต้ออก อยากจะฟาดมือลงบนตัวเขาแรงๆ สักที พลางสบถด่า “ไปแอบกินดอกทานตะวันของฉันอีกแล้วสินะ อยากให้ฉันลงไม้ลงมือนักเหรอ!”
ฮ่องเต้เอาหัวถูตัวเซียวเซ่อเหมือนสุนัขพันธุ์ปั๊กอย่างเอาอกเอาใจ เซียวเซ่อจะทำใจตีเขาลงได้อย่างไรเล่า แค่ตีหน้าขรึมอยู่ครู่เดียวเท่านั้นก็ใจอ่อนอย่างห้ามไม่ได้ หยิบลูกแอปเปิ้ลสีแดงฉ่ำบนโต๊ะโยนใส่ปากฮ่องเต้
รอฮ่องเต้เดินมาเจ้าอ้วนน้อยก็รีบคลานไปอยู่ข้างๆ สยงมู่มู่ ในใจลึกๆ นึกแอบทึ่งเซียวเซ่อกับเหมยเหมย ทั้งที่เป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่น่าสะพรึง แต่สองคนนี้กลับหยอกล้อมันเล่นราวกับเป็นลูกหมาตัวน้อย
สยงมู่มู่เหนื่อยจนหมดสภาพ ไม่อยากขยับตัวสักนิด ความรู้สึกโกรธปนเศร้าอัดจุกอยู่ในใจ!
งูเหลือมยักษ์มาก่อนแล้วตามมาด้วยอีกัวนายักษ์ แต่ละตัวจ้องแต่จะรังแกเขา!
คนตั้งมากมีแค่เขาที่ดูอ่อนแอน่ารังแกหรือไงกัน!
“เพื่อนยากยังสบายดีใช่มั้ย? หายใจได้มั้ย?” เจ้าอ้วนน้อยยื่นนิ้ววัดลมหายใจใต้จมูกสยงมู่มู่ รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่หนักหน่วงก็เบาใจลง งับคุกกี้ชิ้นเล็กต่อไป
“เจ้าอ้วนอย่ามัวแต่กินเอง ป้อนฉันหน่อยสิ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!” สยงมู่มู่ว่าอย่างขุ่นเคือง
กินอิ่มถึงจะมีแรง เขาต้องรักษาพลังงานไว้ ใครจะรู้ว่าเซียวเซ่อที่ไม่รู้เป็นเพศไหนจะปล่อยตัวสัตว์ประหลาดอะไรออกมาอีก!
เมื่อครู่สยงมู่มู่เข้าใจทุกอย่างแล้ว งูเหลือมยักษ์กับอีกัวนาเป็นสัตว์เลี้ยงของเซียวเซ่อ เช่นนั้นสัตว์สองตัวนี้ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าของมัน เช่นนั้นเป็นการบ่งบอกอะไรได้อีก?
บ่งบอกว่าสภาพดูไม่จืดของเขาเมื่อครู่เป็นเพราะยัยเซี่ยวเซ่อนี่ทั้งนั้น เหอะ ต้องแก้แค้นที่เขาเพิ่งบอกว่าเธอหน้าตาเหมือนผู้ชายเลยจงใจให้สัตว์เลี้ยงของเธอมาหยอกล้อตัวเขา ผู้หญิงนี่ช่างคิดเล็กคิดน้อยเสียจริงๆ!
เหมยเหมยเริ่มกังวลว่าสยงมู่มู่ที่ตัวเปียกโชกจะเป็นหวัดเลยให้เซียวเซ่อสั่งให้พายเรือกลับฝั่งเพื่อให้พ่อบ้านพาสยงมู่มู่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ตอนนี้ฤดูร้อน ถึงจะแช่ในน้ำทั้งวันก็ไม่เป็นหวัดหรอก เราเล่นกันอีกสักแป๊บเถอะ” เซียวเซ่อไม่ยินยอมนัก เธอยังสนุกไม่พอเลย!
“ไม่ได้หรอก พี่ชายของฉันสุขภาพไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ถ้าเป็นหวัดเข้าต้องไอเป็นเดือน หายยากมากนะ เซ่อเซ่อเชื่อฟังหน่อยนะ ให้คุณลุงพายเรือกลับฝั่งเถอะ!”
เหมยเหมยว่าอย่างใจเย็น เห็นว่าสยงมู่มู่ตัวสูงขนาดนี้แต่ความจริงก็เป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอก พอถึงช่วงผลัดเปลี่ยนฤดูจากฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูใบไม้ร่วง หากไม่ระวังก็จะเป็นหวัดได้ง่ายๆ คนอื่นเป็นหวัดอย่างมากแค่น้ำมูกไหลหรือจามนิดหน่อย ทานยาไม่กี่วันก็หาย
แต่สยงมู่มู่กลับไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เป็นหวัดก็ไม่เป็นอะไร แต่พอเป็นหวัดก็วุ่นวายกันถ้วนหน้า ไข้ขึ้น พอไข้ลดก็ไอต่อ แถมไม่ใช่ไอธรรมดา ไอชนิดที่แทบเป็นแทบตาย ทานยาอะไรก็ไม่หายจนต้องยืดเวลาไปอย่างน้อยหนึ่งเดือน
จึงเป็นสาเหตุที่ถึงช่วงเปลี่ยนฤดูทุกครั้งจ้าวอิงหนานกับคุณพ่อสยงจะกังวลยิ่งกว่าใคร หนึ่งวันพูดวนซ้ำไปมาสามสิบรอบว่าให้สยงมู่มู่ใส่เสื้อหนาๆ อย่าไปโดนลม
ต่อให้เหมยเหมยให้หมอนี่ทานยาที่ชงด้วยหญ้าวิเศษก็ไม่หายเร็วไปกว่าปกติ ใครให้หมอนี่ร่างกายอ่อนแอล่ะ!คงต้องคอยปรับให้เขาค่อยๆ แข็งแรงขึ้น!
เซียวเซ่อได้ยินว่าสยงมู่มู่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่กล้าประมาท รีบสั่งให้พายเรือกลับขึ้นฝั่งแล้วชำเลืองมองสยงมู่มู่ที่สภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำแวบหนึ่ง เบะปากเล็กน้อย พูดอย่างไม่ใส่ใจ “พี่ชายของเธออ่อนแอเกินไป แค่นิ้วเดียวของฉันก็สู้ชนะเขาได้สบายๆ”
เหมยเหมยกลอกตาใส่เธอแวบหนึ่งเป็นเชิงตำหนิ ก็แหงสิ แม่หญิงเซียวทั้งเรียนเทควันโดทั้งเรียนฟันดาบ จะไปเทียบกับคนที่ไม่เคยเรียนอะไรมาก่อนได้อย่างไรกัน?
……………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น