ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 710-719

 ตอนที่ 710 เผ่าทราย

โดย

Ink Stone_Fantasy

บริเวณที่พายุทรายเคลื่อนตัวผ่าน ทำให้เกิดฝุ่นทรายสูงหลายสิบจั้ง และม้วนเอาอากาศบริเวณนั้นไปจนหมด ทั้งยังส่งเสียงดังโครมครามอย่างน่าตกใจ


หลิ่วหมิงยกมือปล่อยดาบบินสีเทาออกไปทันที แต่พอสัมผัสกับพายุทราย มันก็ถูกปั่นจนแตกกระจายท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน


 ภายใต้ความตกใจ หลิ่วหมิงก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ระหว่างทาง เขายังเพิ่มเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่มันกลับเร็วกว่าเม็ดทรายที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


หลังจากเขาวิ่งหนีออกไปได้ร้อยกว่าลี้ภายในอึดใจเดียว พายุทรายที่ตามติดมาด้านหลังถึงหายไปอีกครั้ง


หลิ่วหมิงนั่งลงพื้นด้วยลมหายใจที่เหนื่อยหอบ และนำหินจิตวิญญาณระดับสูงขึ้นมาเสริมพลังเวท ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในเส้นทางของการฝึกฝนเซียน โดยพื้นฐานจะขี่เมฆขับเคลื่อนหมอกเสียมากกว่า ไหนเลยจะต้องวิ่งหนีตายเช่นนี้


หลังจากพักไปหนึ่งชั่วยาม เขาถึงฟื้นฟูพลังเวทและพลังกายที่สูญเสียมาได้เจ็ดแปดส่วน แต่เมื่อเขาลุกขึ้นและพยายามหมุนตัวจากไปอีกครั้งนั้น พายุทรายด้านหลังก็ระเบิดตัวขึ้นมาอีกครั้ง และพายุฝุ่นทรายสีดำก็พุ่งเข้ามา


หลิ่วหมิงได้แต่วิ่งหนีอย่างสุดฝีเท้าอีกครั้ง และขณะที่ลองกระตุ้นวิชาโจมตีพายุทรายนั้น กลับค้นพบว่าไม่ว่าจะใช้คมวายุ ลูกเปลวไฟ หรือว่ากระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ล้วนไม่มีผลกระทบใดๆ กับมันเลยแม้แต่น้อย การโจมตีทั้งหมดถูกฝุ่นทรายกลืนไปจนหมดสิ้น โดยที่ไม่อาจทำให้มันสั่นสะเทือนได้เลยแม้แต่น้อย


ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่วิ่งไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง


แต่ทว่าเมื่อเขาวิ่งออกไปร้อยกว่าลี้นั้น พลันรับรู้ได้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนแปลกประหลาดที่ม้วนตัวมาทางด้านหน้า จากนั้นพลังเวทในร่างก็เกาะตัวกันแน่น ทำให้ไม่อาจโคจรพลังในร่างได้ และพลังแท้จริงก็ร่วงลงจากระดับผลึกขั้นกลางไปสู่ระดับของเหลวขั้นกลาง


ครั้งนี้หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาพยายามหันกลับไปสองสามครั้ง และทุกครั้งที่ค้นพบว่าพายุทรายเข้ามาถึง เขาก็ได้แต่กัดฟันวิ่งไปยังส่วนลึกของทะเลทรายต่อ


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในระหว่างทางเขายังคงเผชิญกับพายุทรายขนาดเล็กอยู่หลายครั้ง และบีบบังคับให้เขาต้องวิ่งอย่างบ้าคลั่งอยู่หลายหน


ทะเลทรายสีดำนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นสีดำไปทั้งแถบแล้ว ท้องฟ้าเหนือศีรษะกลับเป็นสีเหลืองจางๆ ตลอดวัน หากไม่ใช่ว่าหลิ่วหมิงไวต่อการเปลี่ยนของเวลาในแต่ละวัน คงไม่อาจรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนกันแน่


หลังจากมุ่งหน้าไปสองวันเต็มๆ เขาก็พลันมองเห็นว่า ท่ามกลางทะเลทรายที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง มีเงามนุษย์สองเงากำลังเดินเท้าไปยังทิศทางบางแห่ง


มองออกไปไกลๆ ทั้งสองมีรูปร่างใกล้เคียงกับหลิ่วหมิง ซึ่งไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย บนตัวสวมชุดคลุมยาวขนาดใหญ่ที่ถักทอมาจากผ้าแพร และบนศีรษะก็มีผ้าสีขาวมัดผมอยู่


ขณะนั้นเอง ห่างจากด้านหลังของทั้งสองไปไม่ไกล พายุบ้าระห่ำก็พัดเข้ามา และม้วนเอาฝุ่นทรายสีดำไปยังทั้งสอง


เงาร่างทั้งสองกลับพร่ามัวกลายเป็นจุดๆ และจมไปในดินทรายตรงใต้เท้า


พายุทรายที่มีอานุภาพดุดันโหมกระหน่ำผ่านพื้นที่ที่ทั้งสองหายไป ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็พุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง


บนทะเลทรายสีดำ เนินดินสองแห่งที่มีลักษณะคล้ายกรวดทรายกองรวมกัน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และก่อตัวเป็นเงาร่างมนุษย์สองเงาเดินไปด้านหน้าต่อ


ภายใต้ความประหลาดใจ หลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ว่าในคัมภีร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้กล่าวถึงมนุษย์เผ่าทรายที่สามารถทำให้ร่างกลายเป็นดินทรายได้


มนุษย์เผ่าทรายเหล่านี้อาศัยอยู่ในทะเลตลอดทั้งปี พอแต่ละคนเกิดมาก็จะมีร่างทรายจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ


เพียงแต่ไม่รู้ว่ากี่หมื่นปีแล้ว ที่มนุษย์เผ่าทรายกลับหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบๆ และก็ไม่มีใครพบเจออีก


คิดไม่ถึงว่าท่ามกลางทะเลทรายสีดำแห่งนี้ เขากลับได้เจอครั้งเดียวถึงสองคน


หลังจากหลิ่วหมิงกวาดจิตดู และค้นพบว่าทั้งสองมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น เขาก็คิดไตร่ตรองเล็กน้อย และเดินไปยังตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่


“สหายทั้งสอง กรุณาหยุดฝีเท้าก่อน ข้าน้อยบังเอิญหลงเข้ามาในทะเลทรายแห่งนี้ เดินวนมาหลายวันแล้วกลับหาทางออกไม่เจอ ท่านทั้งสองพอจะทราบไหมว่าจะไปจากสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร?” พอหลิ่วหมิงมาถึงด้านหลังของทั้งสองไม่ไกล ก็ถามด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด


ชายเผ่าทรายทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็หันกลับมามอง พอเห็นหลิ่วหมิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นทรายก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย พอได้ยินหลิ่วหมิงบอกว่าหาทางออกไม่เจอกลับมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา


“ข้าน้อยชื่อถูลา ท่านนี้คือพี่ชายข้าถูเอ่อร์” ทั้งสองเอามือข้างหนึ่งวางขวางไว้บนหน้าอกและโค้งคารวะ จากนั้นชายเผ่าทรายที่มีรูปร่างค่อนข้างเตี้ยก็กล่าวด้วยรอยยิ้มซื่อๆ


“ข้าน้อยหลิ่วหมิง” หลิ่วหมิงเลียนแบบการทำความเคารพของทั้งสองแล้วกล่าวออกมา


“ที่แท้ก็คือพี่หลิ่ว คนที่ไม่คุ้นเคยกับทะเลทรายแห่งนี้ จะหลงทางได้โดยง่าย ดูจากการแต่งกายของท่านคงเป็นคนที่มาจากที่อื่นสินะ มักจะมีผู้ฝึกฝนจากภายนอกจำนวนหนึ่งบุกรุกเข้ามาที่นี่อยู่บ่อยๆ เพียงแต่ว่าพวกเราสองคนพี่น้องไม่เคยไปจากที่นี่มาก่อน จึงไม่รู้วิธีการออกไปจริงๆ พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นจากการออกไปล่าสัตว์ และเตรียมจะกลับไปที่เผ่า หากพี่หลิ่วอยากจะไปจากที่นี่ ไม่ลองตามพวกเราทั้งสองกลับไปที่เผ่าก่อน บางทีผู้เฒ่าในเผ่าอาจจะรู้วิธีก็ได้” ชายอีกคนที่มีรูปร่างสูงกำยำยิ้มและกล่าวอย่างอบอุ่น


“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนสหายทั้งสองแล้ว” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าตกลง


ทั้งสองค่อนข้างเป็นมิตรเป็นอย่างมาก น้ำเสียงดูจริงใจ ลองตามพวกเขากลับไปที่พักก็ดีเหมือนกัน จะได้สอบถามเกี่ยวกับทะเลทรายแปลกประหลาดนี้ด้วย


ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะหลอกเขา แต่ขอแค่เผ่าที่พวกเขาเอ่ยถึงไม่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายขึ้นไป เขาก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดาย


พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิงพยักหน้า ก็พาหลิ่วหมิงเดินไปทางทิศตะวันตกทันที


ในระหว่างทาง หลิ่วหมิงเดินตามรอยทั้งสองด้วยความระมัดระวัง และไม่ค่อยพูดอะไรเกี่ยวกับตนเองมาก เพียงแค่พูดคุยแก้เขินไปพลางๆ ขณะเดียวกันก็มองไปรอบๆ ทะเลทรายสีดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด และให้ความสนใจกับวัตถุพิเศษรอบๆ ทั้งยังแอบจดจำเส้นทางที่เดินผ่าน


ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงค้นพบด้วยความตกใจว่า ห่างจากตรงหน้าพวกเขาทั้งสามไปหลายลี้ กลับมีแหล่งพื้นที่สีเขียวขนาดราวๆ หนึ่งพันกว่าหมู่ปรากฏอยู่อย่างรำไร


“พี่หลิ่วพวกเราใกล้จะถึงแล้ว พื้นที่สีเขียวตรงด้านหน้าก็คือเมืองซาม่าน” ถูลาหันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วชี้ไปยังพื้นที่สีเขียวด้านหน้า


หลิ่วหมิงได้ยินก็หรี่ตาทั้งคู่มองพื้นที่สีเขียวตรงหน้าอย่างละเอียด


จะเห็นว่ามีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ครอบครองพื้นที่หนึ่งในสามของพื้นที่สีเขียว กำแพงเมืองที่ล้อมรอบด้าน สร้างขึ้นจากดินทรายสีดำ ซึ่งสูงราวๆ เจ็ดแปดจั้ง


เนื่องจากอยู่ห่างค่อนข้างไกล และกำแพงรอบเมืองก็ค่อนข้างสูง หลิ่วหมิงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ในเมืองได้อย่างชัดเจน แต่สามารถมองเห็นคนจำนวนมากที่แต่งตัวคล้ายกับถูลากับถูเอ่อร์เดินเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลา


ก่อนหน้านั้น เขาเผชิญหน้ากับทะเลทรายสีดำมาหลายวัน และต้องเผชิญหน้ากับพายุร้ายและพายุทรายตลอดเวลา ทั้งยังต้องป้องกันไม่ให้เลี่ยเจิ้นเทียนตามมาอีก หลังจากหลิ่วหมิงมองเห็นพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ สายธนูที่ตึงอยู่ในหัวใจถึงคลายลงเล็กน้อย


ขณะนั้นเอง พลันได้ยินเสียง “ซู่ๆ!” ดังมาจากด้านหลัง


“แย่แล้ว พายุทรายมาแล้ว!” หลิ่วหมิงหยุดฝีเท้าลงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที


ขณะที่ตามพี่น้องสกุลถูมาในก่อนหน้านั้น เขาได้ยินมาว่าเสียงทรายเป็นสัญญาก่อนพายุทรายจะมา


ที่แท้ห่างจากด้านหลังไปไม่ไกล พายุบ้าระห่ำกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากพัดเนินทรายสีดำแต่ละลูกแล้ว บริเวณที่มันพุ่งผ่านก็เกิดเป็นฝุ่นทรายสีดำจำนวนมาก


ภายใต้พายุบ้าระห่ำที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง มันได้ม้วนตัวทรายสีดำจนกลายเป็นคลื่นน้ำวนสีดำ


และบริเวณที่พายุทรายพัดผ่านล้วนดูเรี่ยราดไปหมด หลังจากคลื่นน้ำวนกวาดผ่านไปแล้ว ก็เกิดหลุมขนาดใหญ่แต่ละหลุมที่ค่อนข้างดูสะดุดตา


หลิ่วหมิงพุ่งไปทางพื้นที่สีเขียวทันที


เห็นได้ชัดว่าพี่น้องสกุลถูดูสงบกว่ามาก พอร่ายคาถา ร่างของพวกเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นทราย เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็ม้วนตัวเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งไปด้านหน้า


ไม่นานทั้งสามก็มาถึงพื้นที่สีเขียว


และที่น่าประหลาดใจก็คือ พอพายุทรายอันน่าตกใจสัมผัสกับขอบพื้นที่สีเขียว มันก็หายไปอย่างเงียบๆ


สิ่งนี้ทำให้หลิ่งหมิงอุทานจุ๊ๆ ด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


พอชายเฝ้าประตูเมืองที่มีรูปร่างผอมแห้งเห็นสองพี่น้องสกุลถู ก็รีบทักทายทั้งสองด้วยความดีใจ


“ท่านนี้คือ…” ต่อมาชายเฝ้าประตูก็มองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และเอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


“คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนภายนอกที่พวกข้าสองพี่น้องพบเจอในระหว่างทาง พวกเราคิดจะพาเขาไปคารวะท่านผู้เฒ่า” ถูลาอธิบายออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าอยู่ในที่พัก หากพวกเจ้าไปหาตอนนี้ ก็จะได้พบกับท่านพอดี” ชายเฝ้าประตูได้ยินก็เข้าใจในทันที และสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยความสนใจ


ถูเอ่อร์เห็นเช่นนี้ ก็พาหลิ่วหมิงเข้าไปในเมือง และถูลาก็พูดคุยเรื่องการเก็บเกี่ยวในวันนี้กับชายผู้นี้


“พี่หลิ่วอย่าได้ถือสา เผ่าทรายของเราไม่ได้ใหญ่โต มีคนแค่สามสี่ร้อยคนเท่านั้น ในนี้สกุลถูกับสกุลซุนเป็นแซ่ที่ใช้กันมากที่สุด ตอนนี้พี่หลิ่วลองเดินดูสักเล็กน้อย เพื่อเป็นทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม แต่พี่หลิ่วอย่าเดินไปไกลมากนัก ข้าจะไปเรียนท่านผู้เฒ่าก่อน หากท่านผู้เฒ่าตกลง ข้าค่อยพาพี่หลิ่วไปคารวะท่าน” ถูเอ่อร์กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ถูแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวขอบคุณอีกครั้ง


หลังจากถูเอ่อร์ไปแล้ว หลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองดูสิ่งต่างๆ ในเมือง


บ้านเรือนของเผ่าทรายแตกต่างกับสิ่งก่อสร้างของมนุษยทั่วไปมาก ส่วนมากจะเป็นกระโจม มีเสาหินที่ก่อตัวขึ้นจากหินทรายค้ำยันต์อยู่ทั้งสี่ด้าน ซึ่งสูงราวๆ สองสามจั้ง


ผู้คนที่สัญจรไปในสถานที่แห่งนี้ล้วนแต่งตัวคล้ายกับมนุษย์เผ่าทราย ส่วนมากมีกลิ่นไอระดับของเหลวขึ้นไป ในนั้นยังมีบางส่วนที่มีการฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปด้วย


หลิ่วหมิงเห็นว่าท่าทีของพวกเขาล้วนดูธรรมชาติมาก ดูเหมือนว่าพลังที่แท้จริงจะไม่ได้รับความกดดันเลยแม้แต่น้อย จนเขาต้องรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้


ขณะนั้นเอง หญิงเผ่าทรายที่มีแผ่กลิ่นไอระดับผลึก ก็เดินออกมาจากกระโจมที่ดูโอ่อ่าหลังหนึ่ง และเดินมาทางหลิ่วหมิง


พอหญิงสาวเผ่าทรายผู้นี้ปรากฏตัว ก็ดึงดูดความสนใจของหลิ่วหมิงในทันที และเขาก็สังเกตดูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


หญิงสาวผู้นี้มีอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ เอวบางเล็กโผล่ออกมา ใบหน้างดงามถูกผ้าสีขาวบางปิดบังไว้ เหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่ดูใสแจ๋วราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิ


ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสงบราวกับมีน้ำพุภูเขาไหลผ่านหัวใจ นางดูแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมาก่อน


ตอนที่ 711 ผู้เฒ่าเผ่าทราย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พี่หลิ่ว กำลังมองดูอะไรอยู่?” คนที่พูดคือถูเอ่อร์ที่เดินเข้ามานั่นเอง


“อ้อ! ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่ดูไปเรื่อยเปื่อย” พอหลิ่วหมิงเห็นหญิงสาวเผ่าทรายเดินเข้าไปในกระโจมอีกหลังแล้ว ถึงหันไปตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ท่านผู้เฒ่ารับปากจะพบท่านแล้ว รีบตามข้ามาเถอะ” ถูเอ่อร์กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“ถ้าอย่างนั้ยต้องรบกวนพี่ถูให้นำทางแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมกล่าวด้วยความดีใจ


เมืองในทะเลทรายแห่งนี้ดูเหมือนจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลิ่วหมิงเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามถูเอ่อไปครู่หนึ่ง ก็มาถึงบ้านดินสองสามหลังที่อยู่ตรงหน้า


ระหว่างที่เขาเดินมา ล้วนพบเห็นกระโจมเป็นหลัก บ้านดินสีดำเหล่านี้ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่แสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่ข้างในอยู่เหนือผู้คนใดๆ ในสถานที่แห่งนี้


“ดูท่าพี่หลิ่วก็คงมองออกว่าสิ่งก่อสร้างในสถานที่แห่งนี้ดูไม่ธรรมดาแล้ว บ้านสองสามหลังนี้เป็นของผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่หลงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เมื่อหมื่นกว่าปีก่อน เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณที่เผ่าเราช่วยชีวิตไว้ จึงสร้างมันขึ้นมา ความแข็งแกร่งพอจะเทียบกับอาวุธจิตวิญญาณธรรมดาได้ จากนั้นก็กลายเป็นที่พักของผู้เฒ่าในเผ่าในแต่ละยุคที่ผ่านมา” ดูเหมือนถูเอ่อร์จะสังเกตเห็นสีหน้าฉงนของหลิ่วหมิง จึงอธิบายออกมาอย่างละเอียด


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงพยักหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินตามเข้าไปในบ้านดินที่อยู่ตรงหน้าสุด


ด้านในค่อนข้างกว้างขวาง ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย มีโต๊ะเก้าอี้หินจัดวางอยู่ไม่กี่ตัว บนโต๊ะมีชาวางอยู่กาหนึ่งกับแก้วชาที่จัดวางเป็นวง และมีไอร้อนพุ่งออกมาเล็กน้อย บนผนังห้องมีผ้าม่านหลากสีย้อยลงมา ดูเหมือนจะนำไปสู่บ้านดินหลังอื่นๆ


หลังจากถูเอ่อร์แสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงนั่งลงแล้ว ตนเองก็เดินเข้าไปยังห้องโถงที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสร่างอวบที่มีผ้าสีขาวคลุมศีรษะ สวมชุดคลุมยาวผู้หนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาจากห้องโถงด้านหลัง และถูเอ่อร์ก็เดินตามมา


“พี่หลิ่ว ท่านนี้ก็คือถูเก๋อเอ่อร์ ท่านผู้เฒ่าของเผ่าเรา!” ถูเอ่อร์แนะนำผู้อาวุโสให้กับเขา


“ผู้น้อยคารวะผู้เฒ่าถู!” หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูผู้อาวุโสร่างอวบเล็กน้อย พอไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนของฝ่ายตรงข้ามได้ เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย จึงรีบกุมมือคารวะแล้วโค้งตัวกล่าว


“ท่านนี้คือสหายหลิ่วที่เจ้าพูดถึงในก่อนหน้านั้นสินะ ไม่ต้องเกรงใจไป นั่งลงเถอะ!” ผู้อาวุโสร่างอวบสังเกตหลิ่วหมิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา และเอ่ยปากออกมาเบาๆ


“ขอบคุณท่านผู้เฒ่า!” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม


“ได้ยินว่าสหายหลิ่วจับพลัดจับผลูหลงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่?” ผู้อาวุโสร่างอวบเดินมาข้างเก้าอี้ตัวหนึ่ง และค่อยๆ นั่งลงไปก่อนถามเขาด้วยรอยยิ้ม


“เป็นเช่นนี้จริงๆ ผู้น้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของเผ่าท่าน ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามีวิธีทำให้ข้าน้อยไปจากสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่ บอกท่านอย่างไม่ปิดบัง ผู้น้อยมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้” พอหลิ่วหมิงเห็นผู้เฒ่าเผ่าทรายนั่งลงแล้ว เขาก็นั่งลงตาม และเอ่ยปากถามขึ้นมา


“สถานที่แห่งนี้เป็นแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง ภายในหลายหมื่นปีมานี้มีแต่คนเข้ามา มีคนออกไปได้น้อยมาก หากคิดจะออกไปเกรงว่าคงเป็นเรื่องยากเป็นอย่างยิ่ง สหายหลิ่วลองอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง หากโอกาสอันดีมาถึง ก็พอจะมีโอกาสออกไปจากสถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง” ผู้อาวุโสร่างอวบเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบกลับมาเช่นนี้


“ท่านผู้เฒ่า โอกาสอันดีที่ท่านพูดถึงคือ……” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบถามด้วยความตกใจ


“พอโอกาสอันดีมาถึง สหายก็จะรู้เอง ก่อนวันนั้นจะมาถึงข้าไม่อาจพูดอะไรมากได้ ถูเอ่อร์จัดการที่พักให้สหายหลิ่วผู้นี้ให้ดีๆ” ผู้อาวุโสร่างอวบหัวเราะแล้วหันไปสั่งถูเอ่อร์


“ย่อมเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ท่านผู้เฒ่าวางใจได้เลย สหายหลิ่วลองไปอยู่ที่ที่พักของข้าสองสามวันก่อน หลังจากนั้นข้าจะหาสถานที่ดีๆ ให้ท่าน และเตรียมกระโจมให้หลังหนึ่ง” ถูเอ่อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนพี่ถูแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นท่าทีส่งแขกของผู้อาวุโสเช่นนี้ แม้ว่าในใจจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ทำได้แต่ลุกขึ้นมากล่าวลาเท่านั้น


เวลาต่อมา ภายใต้การนำทางของถูเอ่อร์ หลิ่งหมิงก็มาถึงที่พักของเขา


ที่พักของถูเอ่อร์เป็นกระโจมที่มีขนาดค่อนข้างกว้างขวาง ด้านนอกดูโกโรโกโส แต่ด้านในกลับมีข้าวของครบครัน


คืนวันนั้น หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเนินทรายแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากกระโจมของถูเอ่อร์ไปไม่ไกล เขามองไปบนท้องฟ้าสีเหลืองสลัวๆ ด้วยสีหน้าลังเล


จะว่าไปมันก็แปลก สถานที่แห่งนี้กลางวันและกลางคืนเหมือนกันหมด แต่คนเผ่าทรายกลับยังคงทำงานและพักผ่อนตามเวลา ค่อนข้างจะมีกฎเกณฑ์มาก


แต่ไม่นานหลิ่วหมิงก็เรียกสติกลับมา พอนึกถึงคำพูดของผู้เฒ่าเมื่อหลายชั่วยามก่อน เขาก็เผยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


ดูท่าในตอนนี้ แม้ว่าทะเลทรายแห่งนี้จะเต็มไปด้วยความลึกลับ เขาก็คงได้แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ชั่วคราว และค่อยๆ ไตร่ตรองถึงแผนในการไปจากที่นี่


ต่อมา เขาค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลง และนั่งพักผ่อนเอาแรงอยู่บนเนินทรายเล็กๆ ก่อนหน้านั้นเขาถูกปีศาจสายฟ้าตามล่ามาหนึ่งเดือนกว่าๆ ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้ากายใจเป็นอย่างยิ่ง


เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงเดินเตร่อยู่ในเมืองของเผ่าทราย ด้านหนึ่งเพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ อีกด้านหนึ่งก็สอบถามข้อมูลต่างๆ ของสถานที่แห่งนี้ ช่วงเวลาเหล่านี้ เขาค้นพบว่าคนเผ่าทรายส่วนมากค่อนข้างซื่อ ไม่มีความระแวงหลิ่วหมิงที่เป็นคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะรู้อะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา และดูเหมือนจะสนใจเรื่องราวภายนอกเป็นอย่างมาก ถามตั้งแต่การดำรงชีวิตภายนอก ไปจนถึงเรื่องการกระจายอิทธิพลของผู้ฝึกฝน ทั้งยังถามแบบสะเปะสะปะ นึกเรื่องอะไรได้ก็ถามเรื่องนั้น


หลังจากหลิ่วหมิงสอบถามไปรอบหนึ่ง ถึงรู้ว่าคนเผ่าทรายเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายสีดำมาหลายชั่วคนแล้ว


และทะเลสีดำแห่งนี้ ก็ถูกคนเผ่าทรายขนานนามว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด


ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงตั้งชื่อว่าแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น มันมีสาเหตุมากมาย แต่กลับไม่มีคำพูดใดที่ถูกยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง


ชาวเผ่าทรายตั้งถิ่นฐานอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานหลายหมื่นปี แต่ไม่มีใครเคยเดินออกไปจากทะเลทรายสีดำแปลกประหลาดแห่งนี้เลย ทะเลทรายเป็นเหมือนกับกำแพงเมืองที่กั้นโลกภายนอกไว้ ขณะเดียวกันก็กักขังคนเผ่าทรายไว้ และก็คุ้มครองพวกเขาไว้ด้วยเช่นกัน


และผู้ที่บุกเข้ามาจากภายนอกอย่างหลิ่วหมิง แต่ก่อนก็มีเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากเข้ามาในดินแดนแห่งนี้แล้ว ระดับการฝึกฝนก็ถูกจำกัดอยู่ในระดับที่แตกต่างกัน พลังเวทก็ค่อยๆ สลายไป สุดท้ายก็กลายเป็นคนธรรมดา และแก่ตายในสถานที่แห่งนี้เหมือนกับคนทั่วๆ ไป


หลังจากหลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


หากจะให้เขามีจุดจบเหมือนกับผู้ฝึกฝนที่มาจากด้านนอกเหล่านี้ เขาย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน


หลังจากตอบคำถามของคนเผ่าทรายเหล่านี้อย่างผ่านๆ แล้ว เขาก็กลับมายังที่พักใหม่ที่ถูเอ่อร์จัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็นั่งคิดพิจารณาถึงแผนการออกไปจากสถานที่แห่งนี้อยู่ภายในกระโจมที่ค่อนข้างเงียบสงบหลังหนึ่ง


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งคิดพิจารณาวางแผนอยู่ในพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ด้วยความขมขื่นนั้น ท่ามกลางทะเลทรายสีดำที่อยู่ห่างจากพื้นที่สีเขียวไปหลายพันลี้ ท้องฟ้าถูกเมฆดำปกคลุมจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด


และท่ามกลางเมฆดำ บางครั้งก็มีสายฟ้าสีฟ้าแลบออกมา ทำให้พื้นที่บริเวณรอบๆ สว่างขึ้นมา


ภายใต้เมฆดำ พายุทรายกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง พายุหมุนสีดำจำนวนมากม้วนตัวเม็ดทรายสีดำขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เม็ดทรายค่อยๆ รวมตัวกันเป็นกระแสน้ำวนสีดำนับไม่ถ้วน และกลืนกินหมอกทรายสีดำที่พุ่งขึ้นมารอบด้านอยู่ไม่หยุด ขนาดของพายุทรายในสถานที่แห่งนี้ รุนแรงกว่าที่หลิ่วหมิงพบเจอไม่รู้ตั้งกี่เท่า


ท่ามกลางกระแสน้ำวนสีดำ มีภูเขาหินขนาดต่ำๆ ตั้งตระหง่านอยู่หลายลูก ทำให้พอที่จะหลบพายุอันน่ากลัวที่อยู่ด้านนอกได้


ขณะนี้ ชายฉกรรจ์สวมชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่งกับชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงกำลังยืนคุมเชิงอยู่ท่ามกลางภูเขาหินเหล่านี้


ซึ่งก็คือปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้านั่นเอง


แม้ว่าก่อนหน้านั้นทั้งสองจะเข้ามาในทะเลทรายแปลกประหลาดจากคนละทิศละทาง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงมาพบกันในสถานที่แห่งนี้ และยังเผชิญกับพายุทรายขนาดใหญ่เช่นนี้ด้วย


ขณะที่พายุรอบด้านส่งเสียงดังอยู่ไม่หยุด กระแสน้ำวนสีดำก็โจมตีภูเขาหินต่ำๆ ที่นูนขึ้นจากพื้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าภูเขาหินเหล่าจะถูกดึงออกมาในไม่ช้า


ภูเขาหินต่ำๆ เหล่านี้สั่นไหวเบาๆ ฝุ่นทรายสีดำร่วงลงตรงหน้าปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้า


ในขณะนี้ทั้งสองมองไปยังอีกฝ่ายที่อยู่ไม่ไกล ราวกับว่าไม่ได้ยินปรากฏการณ์อันน่าตกใจที่เกิดขึ้นด้านนอก และมีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย


 หลังจากปีศาจวายุเลิกคิ้วเล็กน้อย แสงสีเขียวก็เปล่งประกายทันที กระสวยหยกสีเขียวจางๆ พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ


กระสวยหยกสีเขียวหมุนวนขึ้นฟ้า และปล่อยแสงสีเขียวออกมานับหมื่นลำ ทั้งยังทะยานฟ้ากลายเป็นมังกรวายุสีเขียวที่มีขนาดยาวหลายจั้ง


พอปีศาจวายุเคลื่อนไหว ก็พุ่งขึ้นไปอยู่บนนั้น และเอาเท้าแตะหัวมังกรพายุสีเขียวเบาๆ


มังกรวายุสีเขียวแหงนหน้าส่งเสียงคำรามออกมา ร่างขนาดใหญ่หดตัวเป็นวงกลมปกป้องปีศาจวายุที่ยืนอยู่บนหัวมังกรไว้ได้พอดี


 พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย ปีศาจวายุก็ขี่มังกรวายุสีเขียวพุ่งไปนอกพายุทรายสีดำ


หลังจากมังกรวายุฝ่ากระแสทรายสีดำจำนวนมากออกมาได้ กลับต้องปะทะกับเสาพายุขนาดใหญ่อย่างไม่อาจเลี่ยงได้


“ฟู่!”


พริบตาที่มังกรวายุสีดำสลายตัวนั้น เงาร่างสีเขียวก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นมังกรวายุก็ร้องโหยหวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสลายตัวไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นกระสวยหยกสีเขียวจางๆ หนึ่งอันถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป


ดูเหมือนว่าเสาพายุขนาดใหญ่นี้จะแฝงไปด้วยพลังแปลกประหลาดอันแข็งแกร่ง ต่อให้ปีศาจวายุที่แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้


มองไปที่หมอกทรายสีดำรอบๆ ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว สีหน้าของปีศาจวายุก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และไม่กล้าพุ่งออกไปด้านนอกต่อ พอโบกมือเรียกกระสวยหยกสีเขียวกลับมา แสงสีเขียวคุ้มกันตัวก็เปล่งประกายเจิดจ้าบนพื้นผิว พอเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ถอยกลับไปอยู่ท่ามกลางภูเขาต่ำๆ เหมือนเดิม


ปีศาจวายุเพิ่งจะยืนทรงตัวได้ แสงสายฟ้าสีม่วงเจิดจ้าลำหนึ่งก็พุ่งผ่านด้านข้างเขาไป และชนเข้าใส่กระแสน้ำวนสีดำ


เกิดเสียงเปรี๊ยะๆ!


แสงสายฟ้าสีม่วงเพิ่งจะพุ่งออกไปได้สิบกว่าจั้ง ก็สลายตัวท่ามกลางกำแพงทรายอันแกร่งกร้าวจนหมดสิ้น และกลายเป็นสะเก็ดแสงสีม่วงระยิบระยับนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกัน เงาร่างสีม่วงก็พุ่งออกมาจากในนั้น และหล่นอยู่ห่างจากปีศาจวายุไปไม่ไกล


พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของปีศาจสายฟ้าที่มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


พวกเขาทั้งสองถูกขังอยู่ในนี้มาครึ่งค่อนวันแล้ว และพายุทรายด้านนอกไม่เพียงแต่จะไม่ลดกำลังลงเท่านั้น ยังคงดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างเวลานี้ ไม่ว่าทั้งสองจะใช้วิธีการใดๆ ก็ไม่อาจฝ่าพายุทรายออกไปได้


ที่ทำให้ทั้งสองรู้สึกตกใจยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาเข้ามาในทะเลทรายแปลกประหลาดได้ไม่นาน ก็ค้นพบว่าระดับการฝึกฝนของตนเองลดลงไปมาก ตอนนี้ระดับการฝึกฝนของทั้งสองต่างก็ลดลงไปอยู่ที่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางกับขั้นต้น และพลังเวทก็ค่อยๆ หายไปอย่างต่อเนื่อง


ตอนที่ 712 เสียงขลุ่ยในทะเลทรายที่เงียบวิเวก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทะเลทรายกุ่ยโม่น่ากลัวกว่าที่เล่าลือกันมาก แต่หากจะเอาของจากคนผู้นั้นมาให้ได้ ไหนเลยจะไม่ยอมเสี่ยงอันตรายเล็กน้อย ที่สำคัญก็คือด้านข้างยังมีศัตรูตัวฉกาจคอยจ้องเขมือบอยู่ ทำให้ไม่อาจปล่อยมือไปทำได้จริงๆ”


ขณะที่ปีศาจสายฟ้าแอบรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจนั้น พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง พอเหลือบตามองออกไปกลับค้นพบว่าปีศาจวายุหมัวเจี๋ยกำลังมองมาทางเขาด้วยดวงตาที่คุโชน


“หมัวเจี๋ย สายตาของเจ้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังมีกะใจจะแลกมือกับข้าอยู่หรือ?” ปีศาจสายฟ้าหรี่ตาทั้งคู่ลง และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ฮึ! รอผ่านเรื่องนี้ไปได้ก่อน แค้นที่สังหารบุตรชายข้า จะต้องค่อยๆ คิดบัญชีกับเจ้าอย่างแน่นอน” ปีศาจวายุยิ้มอย่างเยือกเย็น จากหันก็หน้าไป และไม่สนใจเขาอีก


 “ไม่ต้องพูดคำพูดที่ฝืนความรู้สึกเช่นนี้ การฝึกฝนระดับข้ากับเจ้า กะอีแต่ทายาทแค่คนเดียวจะนับประสาอะไร ในเมื่อข้ากับเจ้ามีโอกาสอันดีมาถึงทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว ไม่สู้มาร่วมมือกันชั่วคราวจะดีกว่าไหม?” ปีศาจสายฟ้าหัวเราะเหอะๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน


“ร่วมมือ ร่วมมืออย่างไร? หากข้าบอกตกลง เจ้าจะวางใจจริงๆ หรือ?” หมัวเจี๋ยเผยแววตาเฉียบขาดออกมา สีหน้าดูประชดประชันเล็กน้อย


“เกี่ยวกับตำนานของทะเลทรายกุ่ยโม่ ข้ากับเจ้าต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี ในเมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว ก็ไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า เชื่อว่าพี่หมัวเจี๋ยก็คงคิดเช่นนี้ หากสหายยอมร่วมมือล่ะก็ ข้าผู้แซ่เลี่ยจะมีอะไรที่ไม่สามารถวางใจได้เล่า” เลี่ยเจิ้นเทียนได้ยินก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย และกล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง


แต่หลังจากหมัวเจี๋ยได้ยินคำพูดนี้แล้ว กลับครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ


ชื่อของทะเลทรายกุ่ยโม่ ความจริงแล้วในแผ่นดินทางตอนใต้นี้ มีคนรู้จักชื่อของทะเลทรายกุ่ยโม่ไม่น้อย


จะว่าไปแล้ว ทะเลทรายสีดำแห่งนี้ราวกับเป็นมิติลี้ลับที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เคยปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ ในดินแดนทางตอนใต้อยู่หลายครั้ง


ที่แต่ทว่าที่ทำให้ชื่อเสียงของกุ่ยโม่เป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดนทางตอนใต้นั้น กลับเป็นเรื่องเล่าลือเมื่อหลายพันปีก่อน


ในเวลานั้นว่ากันว่า มีคนบุกเข้าไปในทะเลทรายกุ่ยโม่ และเก็บสมบัติส่วนตัวของขุยตี้ อดีตประมุขของหนานฮวงมาได้ชิ้นหนึ่งตรงขอบทะเลทราย และนำกลับมาอย่างปลอดภัย


พอเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็ทำให้ดินแดนรกร้างทางตอนใต้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาทันที ผู้ฝึกฝนทั่วทั้งดินแดนทางตอนใต้ต่างก็รู้สึกสั่นไหว ขณะเดียวกันยังพัวพันไปถึงกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ หลังจากผ่านกลิ่นคาวเลือดไปหลายร้อยปี ถึงค่อยๆ สงบลง


แต่ว่าหลังจากผ่านเรื่องนี้มา แม้ว่าจะมีคนสืบหาร่องรอยทะเลทรายกุ่ยโม่นับไม่ถ้วน แต่เบาะแสของมันก็ยังคงเป็นปริศนามาโดยตลอด


ทะเลทรายกุ่ยโม่มักจะปรากฏตัวหนึ่งครั้งในรอบหลายสิบปีไปจนกระทั่งนับร้อยปี ทั้งยังมีตำแหน่งที่ไม่แน่นอน และหายไปอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆ


บางครั้งก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ได้ข่าวคราวมาแล้ว แต่พอส่งคนไปดู ทะเลทรายก็หายไปอย่างแปลกประหลาด


ด้วยเหตุนี้ พอผ่านไปหลายพันปี สามารถพูดได้ว่า ผู้ฝึกฝนระดับสูงที่สามารถเข้าไปในทะเลกุ่ยโม่ได้จริงๆ มีอยู่น้อยมาก


แม้ว่าจะมีผู้ฝึกฝนอิสระจำนวนน้อยที่เข้าไปได้ แต่นอกจากคนผู้นั้นที่โชคดีนำสมบัติกลับมาได้ในตอนแรกแล้ว ก็ไม่มีคนที่สองที่สามารถออกมาได้อีก


ดังนั้นจึงมีคนพูดว่าทะเลทรายกุ่ยโม่เป็นแดนอันตรายแห่งหนึ่ง


และผู้โชคดีเพียงหนึ่งเดียวผู้นั้น กลับถูกคนสังหารปิดปากและชิงสมบัติไปนานแล้ว ด้วยเหตุนี้สถานการณ์แท้จริงของทะเลทรายกุ่ยโม่เป็นอย่างไรนั้น ในหลายปีมานี้ไม่มีใครรู้เลย


แต่เกือบทุกกลุ่มอิทธิพลต่างก็เชื่อกันว่า มันจะต้องเกี่ยวข้องกับขุยตี้แห่งหนานฮวงที่หายตัวไปอย่างฉับพลันเมื่อหลายหมื่นปีก่อน และยังมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่เขาละสังขารและสืบสานในตอนท้าย


แต่ในมันเมื่อพัวพันถึงซากวัตถุโบราณของขุยตี้ที่เป็นผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แห่งหนานฮวง ต่อให้จะอันตรายแค่ไหน ก็ยังมีคนกระโจนเข้าหาอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์อย่างปีศาจสายฟ้ากับปีศาจวายุ ก็ไม่อาจต้านทานการล่อลวงของมันได้


“ร่วมมือกันชั่วคราวก็ได้ แต่นั่นแค่เพื่อให้พ้นไปจากสถานที่แห่งนี้เท่านั้น ส่วนจะหาซากโบราณของขุยตี้แห่งหนานฮวงในตอนท้ายได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่วาสนาของแต่ละคนเถอะ” หมัวเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ได้! สหายหมัวเจี๋ยช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้!” ปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนตกปากรับคำแล้วแหงนหน้าหัวเราะออกมา


แต่ว่าทั้งสองต่างก็รู้แก่ใจดีว่า พันธมิตรในครั้งนี้ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ อยู่แล้ว เพียงแค่รอค้นพบซากโบราณแล้ว ก็อาจจะแตกคอกันได้ตลอดเวลา


จะว่าไปแล้ว แม้จะเล่าลือกันว่าทะเลทรายกุ่ยโม่อันตรายเป็นอย่างมาก แต่ว่าทั้งสองกลับไม่ใส่ใจแต่อย่างใด


เพราะผู้ฝึกฝนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ในก่อนหน้านั้น ว่ากันว่ามีระดับการฝึกฝนสูงสุดก็แค่ระดับแก่นแท้เท่านั้น


“ดูท่าพายุทะเลทรายนี้ยังต้องรออีกสักระยะหนึ่งถึงจะสงบลง พวกเราอาศัยโอกาสนี้ฟื้นฟูพลังเวทก่อน จากนั้นค่อยร่วมมือกันฝ่าออกไป” เลี่ยเจิ้นเทียนมองดูพายุทรายที่อยู่ด้านนอกแล้วเสนอแนะขึ้นมา


“ก็ดีเหมือนกัน” หมัวเจี๋ยพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้


จากนั้นทั้งสองก็ทานโอสถฟื้นฟูพลังโดยไม่ต้องบอกกล่าว และหามุมนั่งขัดสมาธิลงไป


……


นอกเมืองซาม่านที่คนเผ่าทรายรวมตัวอาศัยอยู่ มีพายุทรายม้วนตัวขึ้นมาเป็นระยะๆ แต่ไม่ว่าพายุจะรุนแรงแค่ไหน พอมาถึงบริเวณเขตพื้นที่สีเขียว มันก็สลายตัวไปเอง หรือไม่ก็อ้อมผ่านไป


ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งค่อยๆ เดินออกจากเมืองซาม่าน หลังจากกวาดสายตามองดูรอบๆ แล้ว ก็เดินไปนั่งขัดสมาธิลงบนเนินทรายแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล


เขาก็คือหลิ่วหมิงที่หลงเข้ามาในทะเลทรายสีดำแห่งนี้นั่นเอง


พริบตาเดียว เขาก็มาอยู่ในเขตพื้นที่สีเขียวแห่งนี้เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว สำหรับสถานการณ์ในสถานที่แห่งนี้ เขาก็ทำความเข้าใจมาไม่น้อยแล้ว


โดยเฉพาะหลังจากที่ได้อ่านบันทึกของผู้ฝึกฝนท่านหนึ่งที่ระเหเร่ร่อนมาถึงสถานที่แห่งนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของทะเลทรายแปลกประหลาด และตำนานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ถึงค่อยๆ แจ่มชัดในสมองของหลิ่วหมิง


แต่ก่อนเขาไม่เคยได้ยินตำนานของทะเลทรายกุ่ยโม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะมาถึงดินแดนทางตอนใต้มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่ส่วนมากล้วนปรุงโอสถกับทำการฝึกฝน มีเวลาสัมผัสกับคนอื่นไม่มาก ไหนเลยจะมีเวลาไปสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานเหล่านี้


ถึงตอนนี้หลิ่วหมิงก็ยังไม่ได้สนใจซากโบราณของขุยตี้แห่งหนานฮวงมากนัก ที่เขาสนใจที่สุดก็คือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้


เพราะขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นั้นเป็นผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ต่อให้จะมีสิ่งของถูกทิ้งอยู่ที่นี่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝนระดับผลึกคนหนึ่งจะสามารถเข้าไปเอี่ยวด้วยได้ เพียงแค่ชั้นจำกัดที่วางไว้อย่างไม่ใส่ใจ ก็อาจจะสังหารเขาจนเสียชีวิตได้แล้ว


และตามสิ่งที่เขาได้ยินได้เห็นในหลายวันมานี้ ดูเหมือนว่าคนเผ่าทรายเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นี้ ในคำพูดยังแฝงไปด้วยความเคารพผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ละสังขารไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน


น่าเสียดายที่เขาไม่อาจซักถามข้อมูลที่เป็นรูปธรรมได้อย่างละเอียด


หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้วก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และหลับตาเข้าฌาน


หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาก็ลืมตาทั้งสองและถอนหายใจออกมาเบาๆ


ที่คนเผ่าทรายพูดมานั้นไม่มีผิด ปราณจิตวิญญาณฟ้าดินของสถานที่แห่งนี้เบาบางเป็นอย่างมาก ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ฝึกฝนที่มาจากภายนอกทำการฝึกฝน


คนเผ่าทรายในสถานที่แห่งนี้อาศัยร่างที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามาถดูดซับพลังปราณจากพื้นที่ใต้ดินลึกเพื่อทำการฝึกฝนได้ แต่สำหรับผู้ฝึกฝนที่มาจากภายนอกแล้ว ความเร็วในการดูดซับลดลงไปร้อยกว่าเท่า เสมือนน้ำน้อยที่แพ้ไฟ แม้กระทั่งอยู่ไปนานๆ เข้าพลังเวทในร่างก็จะค่อยๆ สลายไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระดับการฝึกฝนลดลง


ดีที่เขายังมีโอสถแฝงจิตวิญญาณกับโอสถจินหยวนติดตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ แต่หากต้องอยู่ที่นี่หลายปีตามที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายบอกล่ะก็ ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่อยากจะนึกถึง


ในเมื่อการฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้มันยากลำบากนัก หลิ่วหมิงก็ขี้เกียจจะทำเรื่องที่มันไร้ประโยชน์ เขาจึงนอนหงายลงบนเนินทราย เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเหลืองสลัวๆ ด้วยท่าทีเหม่อลอยเล็กน้อย


ตั้งแต่เหยียบเท้าเข้ามาในโลกของการฝึกฝน ความคิดของเขาไม่เคยห่างจากคำว่าฝึกฝนไปเลย ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาเล็กน้อย


ทะเลทรายตรงหน้าเต็มไปเม็ดทรายสีดำ ท้องฟ้าก็ขมุกขมัวอึมครึมไปทั้งแถบ สามารถพูดได้ว่าไม่มีทัศนียภาพอะไรให้ดูเลย แต่ในสายตาหลิ่วหมิงกลับเป็นทิวทัศน์มหัศจรรย์ที่หาได้ยากยิ่ง


ทะเลทรายสีดำเปล่าเปลี่ยวสุดลูกหูลูกตา กว้างใหญ่หมื่นลี้ กว้างไพศาลหาที่สุดไม่ได้ ภายใต้การสะท้อนของท้องฟ้าสีเหลืองขมุกขมัว แลดูอันสง่างามเป็นอย่างยิ่ง!


ภาพบรรยากาศเช่นนี้ ทำให้ผู้ที่มองออกไปรู้สึกอ้างว้างและโศกาอาดูรเป็นอย่างยิ่ง


หลิ่วหมิงเหม่อมองอยู่พักหนึ่ง จิตใจของเขาล่องลอยออกไป


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เขาถึงดึงสติกลับมาและพลิกฝ่ามือขึ้นมาข้างหนึ่ง และหินแร่สีขาวเงินก้อนหนึ่ง ก็ปรากฏบนฝ่ามือในทันที


“พรึ่บ!”


เปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ในมือทันที มันห่อหุ้มหินแร่ไว้ พริบตาเดียวก็หลอมเหลวจนกลายเป็นของเหลวสีเงินกลุ่มหนึ่ง


เพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้เบาๆ ของเหลวก็เกาะตัวเป็นรูปร่าง ครู่เดียวก็กลายเป็นขลุ่ยยาวสีเงินที่ยาวราวๆ สองฉื่อ


แววตาหลิ่วหมิงหวนคิดในเรื่องอดีต และนำขลุ่ยสีเงินขึ้นมาเป่าเบาๆ


เสียงขลุ่ยบรรเลงขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเงียบวิเวก ราวกับเมฆหมอกที่ลอยขึ้นฟ้าไร้ที่พึ่งพิง เลื่อนลอยไปยังที่ไกลแสนไกล


เสียงขลุ่ยประเดี๋ยวนุ่มนวลเย็นเยือก ประเดี๋ยวเศร้ารันทดดังก้องกระหึ่ม ประเดี๋ยวทุ้มต่ำจนแทบจะขาดหาย ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกสั่นสะเทือนใจ และมีสีหน้าห่อเหี่ยวอย่างช่วยไม่ได้


ฝีมือการเปล่าขลุ่ยนี้ เขาเรียนมาจากนักโทษที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ในตอนที่อยู่บนเกาะมฤตยู แม้ว่าเขาจะมีเวลาเป่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหยียบเข้ามาในโลกผู้ฝึกฝน แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน


เสียงขลุ่ยแฝงไปด้วยอารมณ์คิดถึงบ้านเกิดโดยไม่ตั้งใจ เสียงขลุ่ยแผ่วเบาลงเรื่อยๆ


ขณะนั้นเอง หญิงสาวที่สวมชุดคลุมสีขาวหิมะ มีผ้าสีขาวบางปิดหน้าก็มาปรากฏตัวด้านหลังหลิ่วหมิงอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งก็คือหญิงสาวเผ่าทรายที่มีการฝึกฝนระดับผลึกที่เขาสังเกตเห็นในตอนที่มาถึงที่นี่นั่นเอง


หญิงสาวในตอนนี้ยืนเอามือขาวราวกับหิมะวางไขว้ไว้ด้านหลัง ดวงตางดงามทั้งคู่มองดูชายหนุ่มชุดที่อยู่บนเนินทรายเล็กๆ


สายลมเบาๆ ที่พัดมาไกลๆ ค่อยๆ เลิกผ้าขาวบางขึ้นมาเป็นระยะๆ เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงาม ขณะเดียวกันก็พัดฝุ่นทรายสีดำขึ้นมาจางๆ ภายใต้เสียงขลุ่ยที่บางครั้งก็สูง บางครั้งก็แผ่วโผย ทำให้ลมที่ปะทะบนใบหน้า ดูเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นมา


หลิ่วหมิงดูราวกับไม่รับรู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป่าขลุ่ยยาวสีขาวเงินในมือประดุจดังว่าในโลกนี้มีแค่ขลุ่ยยาวเลานี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก


และหญิงสาวก็ยืนฟังเสียงขลุ่ยอย่างเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน สายตาค่อยๆ ดูเลื่อนลอยขึ้นมาเล็กน้อย


ราวกับว่าเวลาหยุดลงไปชั่วขณะ


ทะเลทรายเวิ้งว้าง  เนินทรายโดดเดี่ยว บุรุษที่แหงนหน้าเป่าขลุ่ยมองท้องฟ้า โฉมสะคราญที่สดับฟังอย่างเงียบๆ ทั้งหมดนี้วาดเค้าโครงม้วนภาพที่งดงามเศร้าสร้อย และเปล่าเปลี่ยววังเวงเป็นอย่างมาก เผยให้เห็นความรู้สึกล่องลอยไร้ซึ่งตัวตน


ในที่สุดบทเพลงก็บรรเลงมาถึงช่วงท้าย เสียงขลุ่ยค่อยๆ เบาลง และหายไป


“แม่นางมานานแค่ไหนแล้ว มีเรื่องอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงค่อยๆ วางขลุ่ยลง หลังจากลุกขึ้นจากพื้นทรายแล้ว ถึงหันกลับไปถามอย่างสงบ


ตอนที่ 713 ซาฉู่เอ๋อร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ที่ถืออยู่ในมือท่านคือสิ่งใด?” หญิงสาวเผ่าทรายไม่ได้ตอบคำถามของหลิ่วหมิง แต่กลับมองดูขลุ่ยยาวสีขาวเงินในมือหลิ่วหมิงด้วยความสนใจ


เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงได้ยินนางเอ่ยปาก น้ำเสียงแจ่มชัดไพเราะนุ่มนวลราวกับอัญมณี


“ขลุ่ยยาว เป็นเครื่องดนตรีธรรมดาชนิดหนึ่ง” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างราบเรียบ คนเผ่าทรายถูกขังอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่จนเกือบจะตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่รู้จักขลุ่ยยาว


“เครื่องตนตรีที่นี่ก็มี ขลุ่ยยาวนี้ข้ากลับพบเห็นเป็นครั้งแรก แต่ว่าเสียงของมันไพเราะยิ่งนัก ข้าชอบมาก!” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาอันงดงามเปล่งประกายราวกับดวงดาราบนท้องฟ้า ทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบด้านดูหมดสีสันไปในทันที


“แม่นางชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าสงบ แต่ในใจกลับรู้สึกสงสัยเล็กน้อย


หลังจากสังเกตอย่างรอบคอบในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ค้นพบตั้งนานแล้วว่าแม่นางผู้นี้ดูเหมือนจะมีตำแหน่งค่อนข้างสูงในเผ่าทราย และก็ไม่มีการคลุกคลีใดๆ กับเขา เหตุใดถึงเป็นฝ่ายมาสนทนาพาทีกับเขาก่อน


“ได้ยินคนอื่นบอกว่า เจ้าเดินทางไปหลายที่ในโลกภายนอก นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” หญิงสาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที


“ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ประการใด ผู้แซ่หลิ่วเคยไปสถานที่ต่างๆ มาแล้วไม่น้อยจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับ แต่ก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์การมาของฝ่ายตรงข้าม


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สามารถพูดเรื่องราวภายนอกกับข้าได้หรือไม่ ไม่ต้องพูดเรื่องที่เคยพูดกับคนอื่นๆ แล้ว เล่าเรื่องที่เจ้าไม่เคยเล่าให้ข้าฟังหน่อย” หญิงสาวเผ่าทรายโปรยยิ้มออกมา จากนั้นก็รวบกระโปรงแล้วนั่งลงข้างๆ หลิ่วหมิง ขณะเดียวกัน ดวงตางดงามก็มองมาด้วยความรอคอยเล็กน้อย


หลิ่วหมิงได้กลิ่นหอมเย็นๆ ของสาวพรหมจารีลอยมาจางๆ ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่นางทีหนึ่ง แต่พอเห็นดวงตาใสแจ๋ว ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย


“เฮ่อๆ! แม่นางอยากรู้อะไร เรื่องที่ข้ารู้ ข้าจะตอบให้หมด” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


แม้ว่าหญิงสาวเผ่าทรายผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น แต่ทว่าบุคลิกค่อนข้างไร้เดียงสา พอได้ยินเช่นนี้นางก็เผยสีหน้าดีใจออกมา และสอบถามเรื่องราวมากมายภายนอกอย่างไม่เกรงใจ นางสอบถามสับสนปนเปไปหมด แต่เมื่อเทียบกับคนเผ่าทรายคนอื่นๆ แล้ว นางถามละเอียดกว่ามาก


นอกจากเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวเองที่ไม่สะดวกพูดแล้ว หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ บอกนางทีละเรื่อง


หลังจากทั้งสองถามตอบกันอยู่เช่นนี้ ก็ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว


“นี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้ต้องขอบคุณพี่หลิ่วมาก ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องขอตัวกลับไปก่อนแล้ว” แม้ว่าหญิงสาวจะยังมีสีหน้าสนใจอยู่ แต่หลังจากมองไปทางขอบฟ้าแล้ว ก็ลุกขึ้นมากล่าวคำลา


“ที่ไหนกัน ได้พูดคุยกับแม่นาง ข้าเองก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


ตอนที่พูดคุยกันในเมื่อครู่ เขาเองก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องราวจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับทะเลทรายกุ่ยโม่ และก็ได้รู้เรื่องที่อยากรู้มาบ้าง


หญิงสาวเผ่าทรายยิ้มให้เล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา พอแสงจิตวิญญาณเปล่งประกายบนตัว นางก็กลายเป็นพายุทรายม้วนตัวไปทางพื้นที่สีเขียว


หลิ่วหมิงมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวจากไปด้วยตาที่เป็นประกาย ไม่รู้ว่าในใจเขาคิดเรื่องอะไรอยู่


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงดังซ่าๆ ของเม็ดทรายดังขึ้นไม่ไกล


ห่างจากเนินทรายที่เขานั่งไปหลายสิบลี้ ม่านทรายสีดำกว้างไพศาลกำลังม้วนตัวมาทางด้านนี้ และปกคลุมท้องฟ้าเกือบครึ่งหนึ่งไว้


“เกิดพายุทรายอีกแล้ว…” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำอย่างช่วยไม่ได้


ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ต้องเผชิญหน้ากับทรายสีดำที่โจมตีเข้ามาตลอดเวลา ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจแบกรับได้


จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในพื้นที่สีเขียว


เวลาในสองเดือนต่อมา ความถี่ของพายุทรายนอกเมืองซาม่านไม่เพียงแต่จะไม่ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงค่อยๆ เพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่จำนวนครั้งที่คนเผ่าทรายออกไปล่าสัตว์ในวันปกติ ก็ลดน้อยลงด้วย


แต่ว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเดินเตร่ไปตามสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่สีเขียวทุกๆ วัน ยามเย็นก็จะมาเป่าขลุ่ยยาวบนเนินทรายนอกเมืองเพื่อปลดปล่อยอารมณ์


ทุกครั้งหญิงสาวงดงามผู้นั้นก็จะมาปรากฏตัวตรงเวลา และยืนฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมา


หลิ่วหมิงบรรเลงเพลงคนเดียว ก็รู้สึกน่าเบื่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ มีคนฟังเพิ่มมาหนึ่งคนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก


หลังจากไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ ทั้งสองก็ค่อยๆ เริ่มสนิทสนมกันขึ้นมา


หลังจากหญิงสาวเผ่าทรายฟังจบ ก็จะสอบถามเรื่องราวของโลกผู้ฝึกฝนในภายนอก แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจก็คือ นางไม่ค่อยสนใจเรื่องราวในดินแดนทางตอนใต้สักเท่าไหร่ แต่มักจะถามเรื่องราวแปดตระกูลใหญ่ในแผ่นดินจงเทียนอยู่บ่อยๆ


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ย่อมไม่สืบราวราวเรื่องแต่อย่างใด


วันนี้ เสียงขลุ่ยที่บางครั้งก็แผ่วโผย บางครั้งก็กระชั้นถี่ ค่อยๆ ล่องลอยไปในทะเลทรายไร้ขอบเขต หลังจากจบไปหนึ่งเพลง หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา และเก็บขลุ่ยยาวในมือเข้าไป


หญิงสาวเผ่าทรายยืนมองเขาจากด้านหลังอย่างเงียบๆ ดวงตาใสแจ๋วเปล่งประกายแวววาว ทันใดนั้นนางก็พูดออกมาเบาๆ


“ข้าชื่อซาฉู่เอ๋อร์”


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปตอบด้วยรอยยิ้ม


“จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็ยังไม่ได้บอกชื่อแซ่ ข้าชื่อหลิ่วหมิง……”


พอพูดยังไม่ทันจบ พลันเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” บนพื้นทะเลทรายสีดำที่อยู่ห่างจากทั้งสองไปสิบกว่าจั้ง เม็ดทรายสีดำกระเด็นไปทั่วทิศ เงาร่างสีเหลืองพุ่งออกมาจากในนั้น


เงาร่างสีเหลืองกระโดดขึ้นมา และกระโจนมาทางซาฉู่เอ๋อร์


การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เงาร่างสีเหลืองอยู่ใกล้ทั้งสองขนาดนี้ ในก่อนหน้าทั้งสองกลับไม่ค้นพบเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเยือกเย็นในทันที แสงแวววาวเปล่งประกายระหว่างคิ้ว กระบี่เล็กสีทองที่ยาวหนึ่งชุ่นกว่าๆ พุ่งยิงออกมา มันขยายตัวจนมีขนาดหลายฉื่อ และแผ่ปราณกระบี่ดุเดือดรุนแรงม้วนออกไปทั่วทิศ


แม้ซาฉู่เอ๋อร์จะมีการฝึกฝนระดับผลึก แต่เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์รับมือกับศัตรูนั้นไม่โชกโชนเท่าหลิ่วหมิง ปฏิกิริยาตอบกลับจึงช้าไปหน่อย เมื่อนางหันหน้ากลับมานั้น แสงสีเหลืองก็พุ่งมาประชิดตัวแล้ว


“ฟู่!”


เงาสีเหลืองส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา และหล่นลงบนพื้นทรายบริเวณนั้นท่ามกลางแสงสีเลือดอย่างรุนแรง


ซาฉู่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ และแสดงสีหน้าขอบคุณหลิ่วหมิง พอนางมองเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นอย่างชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


จะเห็นว่าบนพื้นมีปีศาจอสูรรูปหมาป่าที่มีขนสีเหลืองเต็มตัว หูแหลมตั้งตรง โหนกแก้มปูดออกมา ร่างของมันถูกแสงกระบี่กรีดหน้าท้องจนเลือดสีแดงเข้ม และอวัยวะภายในไหลนองเต็มพื้น หัวใจสีเลือดที่มีไอร้อนแผ่ออกมายังคงเต้นอย่างช้าๆ


คิ้วและตาของอสูรตัวนี้ลู่ต่ำลง มองผ่านๆ ยังคิดว่าเป็นสุนัขผอมโซตัวหนึ่ง แต่ทว่าพอมองดูหางยาวสีน้ำตาลเทาของมันกับคมเขี้ยวเต็มปาก ถึงรู้ว่ามันจะต้องเป็นอสูรร้ายที่กระหายเลือดชนิดหนึ่ง


หลิ่วหมิงมองดูศพปีศาจอสูรตรงพื้น และดวงตาของเขาก็ฉายแววสงสัยอย่างอดไม่ได้


แม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีรูปร่างไม่น่ากลัว แต่ทว่าร่างกายทุกส่วนล้วนแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ การลงมือของหลิ่วหมิงในเมื่อครู่ดูเหมือนจะไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ความจริงแล้วกลับใช้พลังไปสี่ถึงห้าส่วน ทั้งยังกระตุ้นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ถึงพอที่จะทำลายเกราะป้องกันของอสูรตัวนี้ได้


“นี่คือหมาไนทราย พี่หลิ่วระวังหน่อย ปีศาจอสูรชนิดนี้จะอยู่รวมกันเป็นฝูง จะไม่ปรากฏตัวเพียงตัวเดียวอย่างแน่นอน” ซาฉู่เอ๋อร์พูดออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ทรายสีดำรอบด้านรวมตัวกันในมือของนางจนกลายเป็นดาบทรายที่ยาวจั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันก็จ้องมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง


หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา และเรียกกระบี่บินกลับมาถือไว้ในมือ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามออกไปนั้น


พลันเกิดเสียงดังฟู่ๆ รอบด้าน เงาร่างสีเหลืองหลายเงาเคลื่อนไหวไปมา จากนั้นหมาไนทรายหลายตัวก็พุ่งออกพื้นทราย และล้อมรอบทั้งสองพร้อมส่งเสียงคำรามอยู่ไม่หยุด


หมาไนทรายตัวหนึ่งที่มีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ยกกรงเล็บคู่หน้าขึ้นมาพร้อมกับแหงนหน้าส่งเสียงเห่าหอน และเคลื่อนไหวมาตรงหน้าของทั้งสอง


สายตาของปีศาจอสูรตัวนี้มองข้ามทั้งสอง ไป หลังจากมองดูศพหมาไนที่อยู่ด้านหลังซาฉู่เอ๋อร์ทีหนึ่งแล้ว ก็แหงนหน้าส่งเสียงหอนอย่างโหยหวน


“บรู๊ววว!”


เสียงหอนเศร้ากำสรดเป็นอย่างยิ่ง ประจักษ์ชัดว่าหมาไนตัวที่ถูกสังหารอาจจะเป็นลูกของมันก็ได้


ขณะที่ปีศาจอสูรตัวนี้ก้มหน้ามองทั้งสองนั้น สายตาก็ดูเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง


จากนั้นเส้นสีเขียวเล็กๆ ก็โผล่ขึ้นบนระหว่างคิ้วของมัน และดวงตาสีเขียวตั้งตรงดวงหนึ่งก็ค่อยๆ เปิดออกมา ลำแสงสีเขียวแปลกประหลาดพุ่งออกจากในนั้น และพุ่งใส่หลิ่วหมิงทั้งสอง


หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ขณะที่กำลังจะทำการต้านทานนั้น ดูเหมือนว่าซาฉู่เอ่อร์ที่อยู่ด้านข้างจะรับรู้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว นางทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว จากนั้นกำแพงทรายก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้าของทั้งสอง


จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นคนเผ่าทรายทำการต่อสู้ ซาฉู่เอ๋อร์ไม่ได้ร่ายคาถาออกมา เพียงแค่ทำท่ามือและโบกมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า ครู่เดียวกำแพงทรายก็ก่อตัวขึ้นมาแล้ว


“ตู๊ม!”


ลำแสงสีเขียวปะทะใส่กำแพงทรายสีดำโดยตรง จากนั้นก็สลายตัวเป็นหมอกเมฆ และหมอกเมฆก็สลายตัวกลายเป็นจุดสีเขียวแนบชิดติดกับกำแพงทรายราวกับวิญญาณที่ล่องลอย และค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในช่องว่างระหว่างเม็ดทรายสีดำอยู่ไม่หยุด


ภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีเขียว ทำให้กำแพงทรายสั่นสะเทือนขึ้นมา พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย กำแพงทรายก็เกาะตัวเป็นหินสีดำเขียวในพริบตา ครู่ต่อมาก็ระเบิดกระจายออกมา


เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวาง ลำแสงสีเขียวก็ทะลวงผ่านกำแพง และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงทั้งสอง


ซาฉู่เอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง “ฮึ!” ดาบทรายสีดำในมือตวัดใส่แสงสีเขียวแปลกประหลาดเบาๆ พอแสงดาบเปล่งประกาย แสงสีเขียวเหล่านี้ก็ถูกฟันจนสลายไปในพริบตา


“แม้ว่าหมาไนทรายเหล่านี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น แต่พลังป้องกันกลับน่าตกใจเป็นยิ่งนัก อีกทั้งหมาป่าไนที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง ยังสามารถอาศัยดวงตาที่สามตรงหน้าผาก ยิงแสงที่ทำให้วัตถุกลายกลายเป็นหินได้ ทำให้ต้องป้องกันไม่หวาดไม่ไหว พี่หลิ่วจะต้องระวังให้มาก” ซาฉู่เอ่อร์นำดาบทรายสีดำมาตั้งขวางไว้ตรงหน้า และพูดเตือนหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนนางจะมีประสบการณ์ต่อสู้ไม่มาก แต่กลับรู้จักหมาไนทรายเหล่านี้เป็นอย่างดี


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง นางก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวด้านหลังหมาไนทรายตัวที่มีขนาดใหญ่สุดตัวนั้น และฟันดาบในมือออกไปอย่างโหดเหี้ยม


ดวงตาของอสูรตัวนี้เป็นประกาย ดูเหมือนมันจะมองเห็นถึงความร้ายกาจของดาบทรายสีดำเล่มนี้ จึงไม่กล้ารับมือโดยตรง ทำได้แค่บิดตัวอย่างรวดเร็ว และหลบดาบทรายไปได้อย่างหวุดหวิด


ในที่สุดซาฉู่เอ๋อร์ก็แสดงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกออกมา เพียงแค่สะบัดข้อมือ ดาบทรายสีดำก็หลุดออกจากมือ และสั่นสะท้านก่อนแยกร่างออกเป็นสาม และพุ่งออกไปปิดกั้นทางถอยของหมาไนทรายที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ตัวนี้ไว้


ตอนที่ 714 หมาไนทรายล้อมเมือง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หมาไนทรายเห็นเช่นนี้ ดวงตาของมันก็ฉายแววดุร้ายออกมา พอออกแรงที่ขาหลังทั้งสอง มันก็ลุกขึ้นยืนราวกับคนปกติ ภายใต้การโบกสะบัดของขาหน้า เงากรงเล็บสีเหลืองจำนวนมากก็ปรากฏออกมาห่อหุ้มร่างของมันไว้


ภายใต้การหมุนวนของเงาดาบสีดำ มันฟันลงบนเงากรงเล็บอยู่ตลอดเวลา แสงสีเหลืองกับสีดำประสานกันไปมา จนร่างของหมาไนทรายเกือบจะจมอยู่ในนั้น


ขณะที่ซาฉู่เอ๋อร์ต่อสู้กับหมาไนทรายขนาดใหญ่นั้น หมาไนทรายอีกสามตัวที่เหลือก็เคลื่อนตัวมาล้อมรอบหลิ่วหมิงไว้ ขณะเดียวกันก็มีแสงเปล่งประกายบนหน้าผาก จากนั้นแสงสีเขียวแต่ละลำก็พุ่งออกจากดวงตาดวงที่สาม


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อย ไอดำพวยพุ่งรอบตัว แสงลำหนึ่งกะพริบผ่านด้านข้าง ร่างของเขาพร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามเงาและกระจายกันออกไป สองเงาในนั้นถูกลำแสงโจมตีจนเกินเสียงดัง “ฟู่ๆ!” และแตกสลายไปในพริบตา


เงาร่างที่สามถือโอกาสนี้กระโดดขึ้นกลางอากาศ และกลายเป็นร่างจริงขึ้นมา ภายใต้การควบแน่นของไอดำรอบตัวมันก็กลายเป็นพยัคฆ์หมอกสี่ตัวอยู่ตรงด้านหลัง


พองอแขนทั้งสองแล้วยืดออกไป ก็มีเสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้นจนหูแทบจะหนวก พยัคฆ์หมอกสามตัวกระโจนใส่หมาไนทรายสามตัวในทันที


เกิดฝุ่นควันฟุ้งเต็มฟ้า และคลื่นอากาศพุ่งขึ้นฟ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


“ปัง!” “ปัง!” เกิดเสียงดังขึ้นพร้อมกัน หมาไนทรายทั้งสามไม่ทันได้ระวัง จึงถูกพยัคฆ์หมอกทั้งสามที่พุ่งเข้ามาโจมตีจนกระเด็นขึ้นฟ้า หลังจากกลิ้งไปมาบนอากาศสองสามรอบแล้วถึงทรงตัวไว้ได้


และพอหลิ่วหมิงเห็นหมาไนทรายตกลงพื้น แววตาของเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา และรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้


หมาไนทรายเหล่านี้ผิวหนังแข็งแกร่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถรับการโจมตีของพลังมังกรพยัคฆ์ทมิฬด้วยพลังทั้งหมดได้


แต่ครู่ต่อมาหลิ่วก็ยืนอยู่กลางอากาศ พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงสีทองก็หมุนวนรอบตัว ทันใดนั้น เงากระบี่สีทองเป็นวงๆ ก็พุ่งออกมาราวกับสายฝนกระหน่ำ และกวาดไปยังหมาไนทรายสามตัวตรงหน้า


เป็นเพราะสหายของหมาไนทรายเหล่านี้เสียชีวิตในก่อนหน้า พวกมันต่างก็หวาดกลัวกระบี่บินว่างเปล่าตั้งแต่แรกแล้ว พอเห็นแสงกระบี่พุ่งเข้ามาถึง ก็พากันพุ่งถอยออกไป


แม้ว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก แต่ก็อย่างที่รู้ว่ากระบี่บินกลางอากาศรวดเร็วแค่ไหน หลังจากแสงกระบี่สีทองม้วนตัวผ่านไป มันก็ฟันหมาไนทรายหนึ่งในนั้นออกเป็นเจ็ดแปดส่วน


หลังจากอีกสองตัวที่เหลือหลบแสงกระบี่ไปได้ มันกลับส่งเสียงหอนออกมา และกลายเป็นเงาร่างสีเหลืองพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงยิ้มอย่างเยือกเย็น พอชี้มือข้างหนึ่งออกไป กระบี่บินว่างเปล่าก็สั่นสะท้านกลายเป็นแสงกระบี่สีทองหลายสิบลำ แสงกระบี่ถักทอประสานกันไปมาจนกลายเป็นตาข่ายกระบี่สีทองผืนหนึ่ง และม้วนตัวกลับไปอีกครั้ง


หลังจากหมาในทรายทั้งสองส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา และถูกฟันเป็นสิบกว่าชิ้นก่อนร่วงลงมาจากอากาศ


ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงโบกมือเรียกกระบี่บินกลับมา และปราดตามองดูกลุ่มการต่อสู้อีกด้านอย่างไม่ใส่ใจ


พอร่างของซาฉู่เอ๋อร์เปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด และดาบทรายสีดำในมือโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง หมาไนทรายที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ตัวนั้นก็มีบาดแผลเต็มตัว กลิ่นไอก็ลดลงไปไม่น้อย ไม่ได้มีพลังเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว และเห็นได้ชัดว่ามันมีความคิดที่จะถอยแล้ว


แต่ว่าภายใต้การโจมตีอย่างถี่ยิบของซาฉู่เอ๋อร์ ทำให้มันไม่มีโอกาสหนีออกไปได้


เห็นได้ชัดว่าคนเผ่าทรายมีความสามารถพอที่จะจัดการกับหมาไนทรายเหล่านี้ได้


ยังมีหมาไนทรายขนาดใหญ่อีกสองตัวที่วางท่าจะโจมตี แต่พอเห็นพลังของหลิ่วหมิงเช่นนี้ ก็สบตากับด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้น พวกมันก็หมุนตัววิ่งหนีไปไกลๆ


หลิ่วหมิงยิ้มอย่างเยือกเย็น พอร่างของเขาเคลื่อนไหว ก็ไล่ตามไปจนทัน และชกกำปั้นใส่หมาไนทรายตัวหนึ่งทันที


“ตู๊ม!”


หมาไนทรายตัวนี้ถูกเงากำปั้นยักษ์โจมตีผ่านอากาศจนหงายหลัง แต่ก็พลิกตัวกระโดดขึ้นมา และวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง


แต่ครู่ต่อมา มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีทองพุ่งเข้ามาถึง หลังจากหมุนวนรอบคอของหมาไนทรายตัวนี้ไปหนึ่งรอบแล้ว หัวของมันก็หมุนติ้วๆ ขึ้นด้านบน และร่างไร้หัวก็ยังคงวิ่งต่อไปสิบกว่าจั้ง จากนั้นถึงล้มลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง


หมาไนทรายตัวสุดท้ายเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาหวาดกลัวออกมา และมุดลงพื้นทรายอย่างรวดเร็ว


ขณะนั้นเอง แสงสีดำลำหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง!


“ฟิ้ว!”


พอแสงสีดำดับลง จะเห็นว่าหมาไนทรายถูกดาบทรายสีดำเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวใจไป และร่างของมันก็จมปลักอยู่บนพื้นโดยไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย


หลังจากซาฉู่เอ๋อร์สังหารหมาไนทรายขนาดค่อนข้างใหญ่ตัวนั้นแล้ว ถึงหันมาโจมตีจากระยะไกล!


แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็หยุดชะงักลงในฉับพลัน และเรียกกระบี่บินว่างเปล่ากลับมา


พอเงาร่างสีขาวเคลื่อนไหว ซาฉู่เอ๋อร์ก็มาปรากฏตัวข้างศพปีศาจอสูรทราย พอนางดึงดาบทรายออก เสาโลหิตสีแดงดำก็พุ่งขึ้นมา และสาดกระจายเต็มพื้นทรายสีดำบริเวณนั้น


นางมองดูศพหมาไนทรายอีกสามตัวที่อยู่ไม่ไกลทีหนึ่ง และมองดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจ ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น กลับมีเสียงหอนแว่วๆ ดังมาจากส่วนลึกของทะเลทราย คล้ายกับว่ามีหมาไนทรายจำนวนมากกำลังพุ่งมาทางด้านนี้อย่างบ้าคลั่ง


“แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เป็นฝูงหมาไน พวกเราจำต้องรีบกลับเมืองโดยเร็ว!” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงนี้ นางก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ย่อมไม่คัดค้านอย่างแน่นอน ทันใดนั้นก็พุ่งไปทางพื้นที่สีเขียวพร้อมกับนาง


ไม่นานพวกเขาก็มาถึงประตูเมืองซาม่าน


พอมองจากที่ไกลๆ จะเห็นว่ากำแพงเมืองสูงขึ้นมาหลายจั้ง มีเงาคนเคลื่อนไหวไปมาบนกำแพง คนเผ่านทรายจำนวนมากกำลังเร่งมือกันทำงาน บ้างก็กำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กำแพง บ้างก็ดูเหมือนจะเตรียมการป้องกัน ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ


“ดูท่าคนของเผ่าท่านจะค้นพบความเคลื่อนไหวผิดปกติของหมาไนทรายเหล่านั้นแล้ว” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วกล่าวเบาๆ


ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็พยักหน้า แต่คิ้วงดงามยังคงขมวดอยู่


“โครมคราม!”


ประตูเมืองที่ปิดสนิทค่อยๆ แง้มออกมาเล็กน้อย รอจนหลิ่วหมิงทั้งสองเข้าไปแล้ว ก็ปิดสนิทอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


“พี่หลิ่ว ดูท่าที่นี่จะเลี่ยงการต่อสู้อย่างดุเดือดไม่พ้น ข้าพาท่านไปที่ปลอดภัยก่อนเถอะ” พอทั้งสองเข้าไปในเมือง ซาฉู่เอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ไม่ต้องแล้ว คิดว่าแม่นางซาคงจะรู้ถึงพลังของข้าอยู่บ้าง คงรับมือกับอสูรทรายเหล่านี้ได้ไม่มีปัญหา พวกเราขึ้นไปดูบนกำแพงเมืองกันก่อนเถอะ” หลิ่วหมิงยิ้มบางๆ ก่อนกล่าวออกมา


“พี่หลิ่วมีพลังไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ก็ดีเหมือนกัน ขึ้นไปดูพร้อมกันเถอะ” ซาฉู่เอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดเกลี้ยกล่อมหลิ่วหมิงอีก


จากนั้นนางและหลิ่วหมิงก็ขึ้นกำแพงเมืองพร้อมกัน


ขณะนี้ทุกคนทั้งด้านบนและด้านล่างกำแพงต่างก็มีสีหน้าตึงเครียด แต่กลับทำงานอย่างเป็นระเบียบ มีลำดับขั้นตอนราวกับได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี


คนเผ่าทรายที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ กำลังใช้เคล็ดวิชานำทรายมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กำแพงอยู่ไม่หยุด ทางด้านคนที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างสูง ก็พากันยืนอยู่บนปีกกากำแพง และทำท่าเตรียมพร้อมรับศึก


ขณะนี้ เสียงหอนก็เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


หลิ่วหมิงเขม้นตามองดูสถานการณ์ที่อยู่ไกลๆ


จะเห็นว่าสถานที่ที่อยู่ห่างจากหน้าเมืองไปหลายร้อยจั้ง ท่ามกลางทรายสีดำที่ปลิวว่อน กองทรายสีดำหนาแน่นนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งเข้าหากำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว


กองทรายเหล่านี้มีขนาดสูงต่ำไม่เท่ากัน กองที่มีขนาดเล็กสูงแค่ครึ่งจั้ง กองที่มีขนาดใหญ่หน่อยก็สูงสองสามจั้ง


บริเวณที่กองทรายเคลื่อนตัวผ่านล้วนเต็มไปด้วยเม็ดหินดินทรายที่ปลิวว่อน ฝุ่นคลุ้งเต็มฟ้า และพื้นด้านล่างก็ค่อยๆ สั่นสะเทือนขึ้นมา


พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่าพวกมันมีราวๆ หนึ่งพันตัว


หมาไนทรายที่ล่วงล้ำเข้ามานี้มีจำนวนมากจนน่าตกใจ แม้แต่หลิ่วหมิงก็รู้สึกสมองตื้อไปหมด!


หากหมาไนทุกตัวต่างก็มีพลังระดับเดียวกับสามสี่ตัวที่เขาพบเจอในก่อนหน้านั้น คนเผ่าทรายจะสามารถโจมตีอสูรฝูงนี้ให้ล่าถอยไปได้หรือไม่นั้น ก็ยังไม่อาจพูดได้


หมาไนทรายสองสามตัวที่อยู่ไกลๆ ไม่ได้มุดลงพื้น แต่กลับส่งเสียงหอนอยู่ไม่หยุด “บรู๊ววว!” ราวกับว่ากำลังนำทางให้พวกพ้องของมันอยู่


จะเห็นว่าอสูรทรายที่อยู่ท่ามกลางกองทรายทางด้านหลัง ได้ทำการก่อตัวเป็นค่ายกลต่างๆ อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างเป็นระเบียบมาก


ไม่นาน หมาไนทรายกับกองทรายเหล่านี้ ก็มาปรากฏตัวห่างจากกำแพงเมืองไปราวๆ หลายสิบจั้ง


ขณะเดียวกัน ก็เกิดเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” ท่ามกลางทรายสีดำ ภายใต้การรวมตัวของกองทรายแต่ละกอง มันก็กลายเป็นหมาไนทรายสามตาจำนวนมาก


หมาไนทรายเหล่านี้มีรูปร่างคล้ายกับกองทราย ซึ่งมีขนาดแตกต่างกันไป ขนาดเล็กสุดสูงแต่ห้าถึงหกฉื่อ และขนาดใหญ่สุดก็สูงสองถึงสามจั้ง


ตัวที่มีขนาดใหญ่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างสูงกว่าหน่อย ส่วนมากอยู่ที่ระดับของเหลวแล้ว และหมาไนทรายที่สูงห้าหกฉื่อก็ดูเหมือนจะมีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น


“มันคือหมาไนทราย ใช้หอกทรายโจมตี อย่าให้พวกมันเข้ามาใกล้ได้” ไม่รู้ว่ามีเสียงใครตะโกนมาจากด้านหลังหลิ่วหมิง


คนเผ่าทรายที่อยู่บนกำแพงก็ค่อยๆ พากันทำท่ามือทันที ทันใดนั้นหอกทรายสีดำแวววาวก็ปรากฏขึ้นในมือของพวกเขา และหลังจากมีคำสั่งออกมา ก็เกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ก่อนที่หอกทรายแต่ละเล่มจะม้วนตัวพายุตัวขึ้นมา เขวี้ยงเข้าใส่ฝูงอสูรอย่างบ้าคลั่ง


เกิดเสียงดังไปทั่วทิศ พอหอกทรายโจมตีโดนหมาไนทรายแล้ว มันก็ระเบิดตัวออกมาเป็นทรายสีดำ และทรายสีดำเต็มฟ้าก็ปกคลุมฝูงอสูรทรายพันกว่าตัวไว้ จนไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านในไปชั่วขณะหนึ่ง


“แม่นางซา แม้จะบอกว่าหมาไนทรายเหล่านี้มีจำนวนมาก แต่ระดับฝึกฝนก็ไม่สูง ในเผ่าของท่านก็มีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอยู่หลายคน คงจะโจมตีให้มันล่าถอยไปไม่ยาก เหตุใดจึงต้องทำราวกับว่ามีศัตรูตัวฉกาจมาเยือนเช่นนี้” พอมองมาจนถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็หันไปถามซาฉู่เอ๋อร์


“ก่อนหน้านั้นพี่หลิ่วเองก็เคยเห็นมาแล้ว แม้ว่าหมาในทรายเหล่านี้จะมีระดับการฝึกฝนไม่สูง แต่กลับมีพลังมหาศาล และความเร็วก็สูงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง พลังการป้องกันก็น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็สามารถดูดซับพลังปราณของพื้นทรายมาทำการฟื้นฟูร่างได้ ดังนั้นหากไม่สามารถโจมตีหัวหรือหัวใจได้ ก็จะสังหารพวกมันได้ยากนัก เผ่าทรายของเราก็มีเคล็ดมีวิชาเพียงไม่กี่อย่าง ถึงทำให้พวกมันได้รับบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตได้! หลายปีมานี้ เผ่าทรายเราสังหารหมาไนทรายมานับไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะสังหารไปเท่าไหร่ เมื่อผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง พวกมันก็จะฟื้นฟูพลังขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อรอจนจำนวนเพิ่มทวีขึ้นมาระดับหนึ่ง ก็จะรวมตัวกันมาโจมตีพื้นที่สีเขียว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยเผ่าเราจะไม่ให้ความสำคัญกับอสูรทรายเหล่านี้” พอซาฉู่เอ๋อร์กล่าวมาถึงจุดนี้ น้ำเสียงของนางก็หยุดลง


“อ๋อ! ถ้าอย่างนั้นเคยมีครั้งไหนหรือไม่ที่เผ่าของท่านไม่สามารถต้านทานฝูงหมาไนทรายได้?” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็ขมวดคิ้ว และถามออกมา


ตอนที่ 715 การต่อสู้ดุเดือดในเมือง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ว่ากันว่าแต่ก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถโจมตีพวกมันจนล่าถอยไปได้อยู่ครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นพวกเราต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันมาก และเสียชีวิตไปหลายคน สุดท้ายท่านผู้เฒ่าถึงเสี่ยงชีวิตกระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่างถึงโจมตีจนมันล่าถอยไป และรักษาเผ่าเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเมืองซาม่านจะยังคงดำรงอยู่หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก” ซาฉู่เอ๋อร์พูดมาถึงจุดนี้ ดวงตาของนางก็ดูเศร้าโศกขึ้นมา


พอหลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด


ขณะนี้มีเสียงหอน “บรู๊ววว!” ดังเข้ามาอีกครั้ง และฝุ่นทรายปกคลุมเต็มฟ้าที่เกิดจากการระเบิดตัวของหอกทรายก็ค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นร่างของหมาไนทรายแต่ละตัว


กว่าครึ่งหนึ่งของหมาไนทรายเหล่านี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ มีส่วนน้อยที่มีบาดแผลจากระเบิดปรากฏอยู่บนตัว แต่หลังจากดินทรายม้วนตัวผ่านไป มันก็กลับมาสมานกันดังเดิม


พอหลิ่วหมิงกวาดจิตออกไป ก็ค้นพบว่านอกจากหมาไนทรายระดับศิษย์จิตวิญญาณหลายสิบตัวถูกหอกทรายโจมตีโดนจุดสำคัญจนกลิ่นไอหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ที่เหลือล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก


ขณะนี้หมาไนจำนวนแน่นขนัดได้เคลื่อนตัวมาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่กี่จั้งแล้ว แต่ละตัวที่อยู่ตรงหน้าสุดต่างก็มีทรายม้วนตัวขึ้นใต้เท้า กรงเล็บคู่หน้ากลายเป็นกรงเล็บแหลมคมที่ยาวฉื่อกว่าๆ และเสียบลงบนผนังกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พุ่งตรงไปบนกำแพงเมือง


“ต้านทานเข้าไว้ รักษากำแพงให้ดี อย่าให้พวกมันบุกขึ้นมาได้” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะทรายสีดำ และถือดาบทรายสีดำอยู่ในมือตะโกนบอกคนร่วมเผ่าที่อยู่ด้านหลัง


“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ……ฆ่า!” คนเผ่าทรายแต่ละคนต่างก็มีสีหน้าตึงเครียด แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็พากันคำรามออกมาด้วยความโมโห


ภายใต้การร่ายคาถาของพวกเขา ทรายสีดำก็ก่อตัวขึ้นมา ครู่เดียว มือข้างหนึ่งก็จับดาบคมกริบที่ก่อตัวจากทรายไว้ ส่วนอีกข้างก็ยกโล่ทรายสีดำที่สูงครึ่งตัวขึ้นมา และพากันออกไปรับมือ


เกิดความวุ่นวายบนกำแพงเมืองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คนเผ่าทรายปะทะกับหมาไนทรายเหล่านี้


สำหรับหมาไนทรายเหล่านี้แล้ว มีเพียงแค่การเข้าต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ถึงจะสร้างความเสียหายสูงสุดให้กับพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้พอหมาไนทรายปีนขึ้นบนกำแพง ชาวเผ่าทรายย่อมละทิ้งการโจมตีในระยะไกลทันที


และคนเผ่าทรายอีกส่วนหนึ่ง ยังคงก่อตัวหอกทรายขึ้นมา และเขวี้ยงออกไปด้านล่างอยู่ไม่หยุด เพื่อต้านทานไม่ให้พวกมันปีนกำแพงขึ้นมามากเกินไป


“พี่หลิ่ว ท่านระมัดระวังให้มากสักหน่อย” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์พูดกับหลิ่วหมิงไปหนึ่งประโยคแล้ว นางก็เข้าไปต่อสู้กับหมาไนทรายที่กระโดดขึ้นมาบนกำแพงทันที


พริบตาเดียวเสียงคำรามและเสียงปะทะกันก็ดังไปทั่วทิศ คนเผ่าทรายกับหมาไนทรายเกิดการตะลุมบอนกันขึ้นมา


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด แต่กลับกวาดสายตามองดูกลุ่มการต่อสู้ต่างๆ ที่อยู่บริเวณนั้น


จะเห็นว่าบนกำแพงที่อยู่ห่างออกไปสามสี่จั้ง ชาวเผ่าทรายที่ถือกระบี่ทรายสีดำผู้หนึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับหมาไนทรายระดับของเหลวสามตัวอยู่


ชายผู้นี้มีสีหน้าเคร่งขรึม มือทั้งสองเปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด ทันใดนั้น ร่างของเขาก็กลายเป็นเม็ดทรายปลิวว่อนในทันที  และมุดเข้าไปในกำแพงเมืองที่เกิดจากทรายที่กองรวมกัน พอเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่ห่างจากหมาไนทรายตัวหนึ่งในระยะห่างหนึ่งจั้งกว่าๆ ภายใต้การสะบัดกระบี่ทรายในมือเบาๆ มันก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าหาหมาไนทราย


แม้ว่าหมาไนทรายตัวหนึ่งจะหลบไปได้หลายกระบี่ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง ยังคงถูกแทงทะลุหัวใจไปหนึ่งกระบี่ หลังจากกระตุกอยู่บนพื้นสองสามทีแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก


ขณะนี้ หมาไนทรายสองตัวต่างก็ขนาบหน้าหลังของชายผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว พอมันส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน แสงแวววาวก็เปล่งประกายออกจากกรงเล็บคู่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็กระโจนเข้าหาชายเผ่าทรายผู้นี้


หลังจากผ่านการโจมตีในเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าชายเผ่าทรายผู้นั้นจะสูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย และมีสภาพหายใจเหนื่อยหอบแล้ว พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้แต่เอียงตัวไปด้านหน้า และยกโล่ทรายสีดำบนมือซ้ายมาต้านทานไว้


“ฟิ้วๆ!”


ภายใต้การต้านทานกรงเล็บของหมาไนทราย ทำให้เกิดรอยกรงเล็บสี่รอยที่ลึกชุ่นกว่าๆ บนผิวของโล่ทราย จากนั้นมันก็แตกสลายไป


ขณะที่หมาไนทรายตัวที่อยู่ด้านหลังกระโจนเข้ามาถึงนั้น แสงดาบสีดำที่อยู่ไม่ไกลก็เปล่งประกายผ่านไป ทำให้หมาไนทรายตัวนี้ถูกฟันเป็นสองส่วน และกลายเป็นกรวดทรายก่อนสลายไปตามลม


ขณะเดียวกัน เงาร่างที่หลิ่วหมิงคุ้นเคยเล็กน้อย ก็กะพริบขึ้นไปรับมือกับหมาไนทรายที่อยู่ตรงหน้าชายเผ่าทรายผู้นั้น


ผู้ที่ลงมือก็คือถูลาที่พาหลิ่วหมิงเข้าเมืองในตอนนั้นนั่นเอง


“ถูสือ เจ้าถอยไปพักผ่อนก่อน ที่นี่มอบให้ข้าจัดการเถอะ” ถูลากำหมัดทั้งสองต่อสู้กับหมาไนทรายตรงหน้า ขณะเดียวกันก็กล่าวกับชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว


ชายเผ่าทรายได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็กระโดดลงจากกำแพงอย่างไม่ลังเล และถอยกลับไปยังฝูงชนก่อนนั่งขัดสมาธิลงไป


จะเห็นว่ามีพลังปราณสีดำที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าคละเคล้าด้วยดินทรายค่อยๆ พุ่งขึ้นจากใต้เท้า และจมหายไปในร่างของเขา


ขณะนั้นเอง มีหมาไนทรายอีกตัวพุ่งขึ้นบนกำแพง และกระโจนเข้าหาถูลาอย่างรวดเร็ว


ถูลาโยนโล่ในมือออกไป และถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว


“เพล้ง!” โล่สีดำต้านทานได้เพียงครู่เดียวก็ถูกกรงเล็บอันแหลมคมคู่หนึ่งตะกุยจนแตกกระจาย


หลังจากถูลาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ย่อเข่าลง ขาขวาของเขากระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง พื้นทรายใต้เท้าสั่นสะเทือนเบาๆ ภายใต้การม้วนตัวของดินทราย มันก็กลายเป็นดาบทรายสีดำที่ยาวสองถึงสามจั้ง


และถูลาก็สะบัดดาบนี้ออกไปรับมือ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจในทันที


จากการคาดเดาของเขา เคล็ดวิชาดาบทรายที่คนเผ่าทรายใช้นี้ จะทำให้สูญเสียพลังเวทเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จำเป็นต้องถอยไปผ่อนคลายก่อน และดูดซับพลังปราณใต้ดินจำนวนหนึ่งเพื่อฟื้นฟู หลังจากนั้นถึงปล่อยดาบทรายออกมาอีกครั้ง หรือพุ่งเข้าไปรับมือกับศัตรูโดยตรง


“ท่านพี่ระวังด้านหลัง!” มีเสียงตะโกนด้วยความตกใจดังมาจากการต่อสู้อีกกลุ่ม


หลิ่วหมิงปราดตามองไปทันที จะเห็นว่าดวงตาที่สามของหมาไนทรายตัวหนึ่งกำลังยิงแสงสีเขียวเจิดจ้าออกมา และโจมตีลงบนแขนขวาของชายเผ่าทรายผู้หนึ่ง


ทันใดนั้น บริเวณแขนขวาที่ถูกโจมตีก็มีบุปผาหินสีเทาเบ่งบานออกมาหนึ่งดอก จากนั้นแขนของเขาก็กลายเป็นหินจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ และค่อยๆ ลามออกไป


“รีบตัดแขนทิ้งซะ!” คนที่เตือนในก่อนหน้านั้น ตะโกนเตือนสติอีกครั้ง


ขณะนั้นเอง ชายที่โดนวิชากลายร่างเป็นหินกลับมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กัดฟันสะบัดกระบี่ทรายในมือซ้ายตัดแขนที่กลายเป็นหินออกมา


“เต๊ง!” สะเก็ดไฟสีเทากระเด็นไปทั่วทิศ กระบี่ทรายสั่นสะท้านเบาๆ ก่อนร่วงลงพื้น แขนขวาที่กลายเป็นหินกลับถูกฟันเป็นรอยแผลลึกๆ ที่มองเห็นกระดูกเท่านั้น และมองเห็นผลึกหินสีเทาอยู่ในนั้นอย่างรำไร


ขณะนี้แขนกว่าครึ่งหนึ่งได้กลายเป็นหินสีเทาแล้ว และกำลังจะขยายไปที่ไหล่ของเขา


ชาวเผ่าทรายรูปร่างสูงที่เตือนเขา กำลังจะเข้าไปช่วย แต่กลับมีหมาไนทรายอีกตัวพุ่งออกมาขวางทางไว้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมา พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง กระบี่เล็กสีทองอร่ามก็พุ่งยิงออกไป “ฟิ้ว!” และกะพริบไปตัดแขนขวาของชายผู้นั้นจนหลุด


“ฟู่!”


แขนหินตกกระแทกพื้นจนแตกกระจุย และชายผู้นั้นก็รู้สึกเจ็บปวดจนเหงื่อผุดเต็มศีรษะ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองมาทางหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าซาบซึ้ง


หลิ่วหมิงกลับไม่สามารถตอบสนองต่อความรู้สึกซาบซึ้งของชายผู้นั้นได้ หลังจากกระบี่เล็กสีทองหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว มันก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปยังหมาไนทรายที่ยิงลำแสงสีเขียวออกมาตัวนั้น


“ฉึก!” กระบี่เล็กสีทองหมุนวนเข้ามาถึง พริบตาเดียวก็เจาะทะลุหัวของหมาไนทรายไป


หมาไนทรายส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน และสลายตัวเป็นกลุ่มทรายสีเหลืองในทันที


ขณะนี้ชายร่างสูงก็แสดงท่าไม้ตายจนหมาไนทรายตรงหน้าสลายไป และพุ่งเข้ามาถึง หลังจากร่ายคาถาลึกลับออกมา ฝุ่นทรายก็ม้วนตัวขึ้นมาห่อหุ้มชายที่ได้รับบาดเจ็บ และผลักไปข้างหลิ่วหมิง


“เมื่อครู่ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือเข้าช่วย หากช้ากว่านี้ล่ะก็ รอจนอวัยวะภายกลายเป็นหินแล้ว ต่อให้จะตัดแขนของมันมา ก็ไม่อาจชดเชยได้” แม้ชายที่ได้รับบาดเจ็บจะมีสีหน้าซีดขาว แต่ก็รีบกล่าวขอบคุณออกมาอย่างรวดเร็ว


“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร นี่คือโอสถรักษาบาดแผล หวังว่าจะช่วยทำให้บาดแผลของสหายท่านเบาลงได้” หลิ่วหมิงถือโอกาสหยิบโอสถสีเขียวออกจากแหวนย่อส่วน และโยนให้ฝ่ายตรงข้าม


 “ขอบคุณท่านมาก!” ชายที่ได้รับบาดเจ็บมีสีหน้าดีใจมาก และรีบรับโอสถมาทานโดยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด


ชายร่างสูงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าซาบซึ้งกับหลิ่วหมิง


ด้วยเหตุที่ว่าพื้นที่สีเขียวกับทะเลทรายกุ่ยโม่แห่งนี้ขาดแคลนทรัพยากรมาก ต่อให้เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บที่ธรรมดาที่สุด ก็ล้ำค่าสำหรับคนเผ่าทรายเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงโบกมือเล็กน้อย หลังจากมองดูอสูรทรายรอบด้านที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา พอมือข้างหนึ่งชักนำ แสงกระบี่สีทองก็พุ่งขึ้นฟ้า และม้วนตัวไปทางอสูรทรายที่อยู่บริเวณนั้น


แม้เขาจะไม่ใช่คนเผ่าทราย แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถเพิกเฉยได้ มิเช่นพอเมืองถูกทำลาย เขาก็มีอันตรายเช่นกัน


แม้ว่าพลังเวทของหลิ่วหมิงจะถูกควบคุมอยู่ที่ระดับของเหลว แต่อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้ แม้แต่ระดับผลึกเขาก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะเกรงกลัวหมาไนทรายเหล่านี้


จะเห็นว่าเขาทำท่ามืออยู่ไม่หยุด สายรุ้งสีทองกวาดออกไปจากบนกำแพง บริเวณที่มันพุ่งผ่านเกิดแสงเย็นสะท้านอันน่าครั่นคร้าม ผ่านไปครู่หนึ่ง หมาไนทรายสิบกว่าตัวก็ถูกแสงกระบี่ฟันเป็นสองชิ้น


“ดี! กระบี่บินของสหายท่านนี้คมกริบจริงๆ ทุกคนอย่าได้น้อยหน้าสหายท่านนี้ล่ะ ไปฆ่ามันซะ!” ชายกรรจ์เผ่าทรายระดับผลึกที่บัญชาการอยู่เห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาทันที พอโบกแขนข้างหนึ่ง ทรายในมือก็กลายเป็นแสงสีดำจำนวนมากก่อนม้วนตัวออกไป ทำให้หมาไนทรายที่อยู่บริเวณนั้นถูกสังหารไปหลายตัว


ทันใดนั้น คนเผ่าทรายก็ฮึกเหิมขึ้นมา เกิดเสียงตะโกนเข่นฆ่าติดต่อกัน


ขณะนี้ ซาฉู่เอ๋อร์ก็สังหารหมาไนทรายหลายตัวที่อยู่บริเวณนั้นจนหมดสิ้น จากนั้นก็พุ่งกลับมาด้านข้างของหลิ่วหมิง หลังจากยิ้มหวานให้หลิ่วหมิงแล้ว ก็ร่อนลงไปในสถานที่ปลอดภัยใต้ล่าง และนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวท


แต่ว่าในใจหลิ่วหมิงกลับรู้สึกหงุดหงิดมาก


แม้เขาจะอาศัยพลังเวทบริสุทธิ์ที่สูงกว่าคนทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการสูญเสียพลังเวท แต่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณในกลางทะเลกุ่ยโม่แห่งนี้ ก็ถูกควบคุมไม่น้อย อานุภาพที่แสดงออกมาไม่ถึงหนึ่งในสามของเมื่อก่อนแล้ว


ที่ทำให้หลิ่วหมิงเป็นทุกข์ยิ่งกว่าก็คือ ขณะนี้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณไม่อาจออกห่างจากตัวได้มากนัก อยู่ห่างได้แค่ระยะสิบกว่าจั้งเท่านั้น พอเลยไปจากนี้การเชื่อมต่อกับกระบี่ก็จะอ่อนแอลงมาก ส่งผลให้ไม่อาจควบคุมได้ดั่งใจ


เขากวาดสายตามองดูหมาไนทรายที่กระโดดขึ้นบนกำแพงเมืองอยู่ไม่หยุด และตัดสินใจโบกมือข้างหนึ่งออกไป กระบี่บินพลังจิตวิญญาณแกว่งไปแกว่งมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งกลับมาหาเขา


นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงชี้ออกไปติดต่อกันราวกับล้อรถ พลังเวทภายในร่างพุ่งเข้าใส่กระบี่บินสีทองตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง


ตอนที่ 716 อสูรทรายร่างยักษ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทันใดนั้น ภายใต้การเปล่งแสงสีทองของตัวกระบี่ พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้ง และแผ่อานุภาพอันน่าตกใจพุ่งขึ้นฟ้า


หลิ่วหมิงหยุดทำท่ามือและรวมร่างเป็นหนึ่งกับกระบี่ยักษ์ในทันที จากนั้นก็กระตุ้นแสงกระบี่สีทองให้พุ่งลงไปด้านล่างโดยตรง และแสงสีทองที่เปล่งประกายเจิดจ้าก็กวาดไปท่ามกลางฝูงอสูรทราย


พอเห็นฉากเช่นนี้ ซาฉู่เอ๋อร์ก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ลุกขึ้นมาม้วนตัวเป็นฝุ่นทรายพุ่งลงด้านล่าง และเข้าร่วมต่อสู้อย่างดุเดือด


คนเผ่าทรายระดับผลึกหลายคน ก็กลายเป็นทรายม้วนตัวลงไปด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น ฝูงอสูรที่อยู่ด้านล่างก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา ทำให้คนเผ่าทรายที่อยู่บนกำแพงลดความกดดันไปได้มาก


“แย่แล้ว! รีบไปรายงานท่านผู้เฒ่า มีอสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏตัวออกมาแล้ว” คนเผ่าทรายที่ยืนอยู่บนที่สูงของกำแพงเพื่อสังเกตการณ์โดยเฉพาะตะโกนออกมาในฉับพลัน


ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงดัง “โครมคราม!” มาจากด้านหลังฝูงอสูรทราย พอมองออกไป จะเห็นว่ามียอดเขาทรายขนาดใหญ่ที่สูงร้อยกว่าจั้งกำลังเคลื่อนตัวมาทางเมืองอย่างช้าๆ


ขณะเดียวกัน พลังกดดันจิตวิญญาณก็แผ่ออกจากยอดยอดเขาทราย สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอระดับแก่นเสมือนอยู่ลางๆ


คนเผ่าทรายบนกำแพงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที


“พี่หลิ่ว รีบไป! อสูรทรายร่างยักษ์ตัวนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา” ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มการต่อสู้หน้าเมือง มองดูยอดเขาทรายทีหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที หลังจากกดดันหมาไนทรายตรงหน้าจนล่าถอยออกไปแล้ว นางก็ม้วนตัวเป็นพายุทรายถอยขึ้นไปบนกำแพง


พอหลิ่วหมิงนึกถึงขนาดกองทรายที่กลายร่างเป็นหมาไนทรายธรรมดาในก่อนหน้า ก็ต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็กระตุ้นกระบี่บินม้วนตัวกลับขึ้นไปบนกำแพงทันที หลังจากสับหมาไนทรายบริเวณนั้นเป็นชิ้นๆ แล้ว แสงกระบี่ถึงดับลงเผยให้เห็นร่างจริงของเขา และจ้องมองสถานการณ์ที่อยู่ไกลๆ


ขณะนั้นเอง ชายเผ่าทรายระดับผลึกหลายคนที่ลงไปต่อสู้ด้านล่าง ก็พากันถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว


พริบตาเดียว ยอดเขาทรายก็เคลื่อนตัวมาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองสามสิบกว่าจั้งแล้ว ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองทะลุหมอกทรายสลัวๆ ไปเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของอสูรทรายร่างยักษ์


อสูรยักษ์เป็นสีเหลืองทั้งตัว รูปร่างภายนอกไม่เหมือนกับหมาไนทรายเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยขาหลังขนาดใหญ่ค้ำยันร่างไว้ราวกับคนทั่วไปที่ใช้ขาเดิน และขาหน้าทั้งคู่เมื่อเทียบกับร่างของมันแล้วดูสั้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยหนามอันแหลมคม ตรงก้นยังมีหางยาวสีเหลืองที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเช่นกัน


อสูรตัวนี้มีตาสามดวง สองดวงติดอยู่บนฝ่ามือ ดวงที่สามติดอยู่บนหัว ตาแต่ละดวงมีขนาดใหญ่เท่าแผ่นโม่ ในขณะที่วิ่งไปด้วย มันก็มองรอบด้านอยู่ไม่หยุด แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก


หลังจากมีเสียงบัญชาการดังขึ้นบนกำแพง หอกทรายสีดำแน่นขนัดก็เขวี้ยงลงไปอย่างบ้าคลั่ง เป้าหมายคืออสูรทรายร่างยักษ์ตัวนี้


หลังจากมีเสียงระเบิดดังตู๊มต๊ามอยู่ครู่หนึ่ง หมอกดำที่กลายร่างมาจากหอกทรายก็ปกคลุมอสูรยักษ์ไว้


แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียงคำรามดังขึ้น อสูรทรายขนาดใหญ่วิ่งออกจากหมอกทรายอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งเข้าหากำแพงทันที โดยที่ไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างของมันเลย


หมาไนทรายที่อยู่บริเวณนั้นเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงหอนและถอยออกไปสองข้างเพื่อเปิดทางให้อสูรทรายร่างยักษ์


ครู่เดียว อสูรทรายร่างยักษ์ก็พุ่งมาอยู่ห่างจากประตูเมืองไม่ไกล ทันใดนั้นมันก็สะบัดหัวขนาดใหญ่ และอ้าปากพ่นของเหลวสีเขียวที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวออกมา พริบตาเดียว ก็โจมลงบนปีกกาแห่งหนึ่งบนกำแพงเมือง


“ฟู่ๆ!” ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว


บริเวณที่ของเหลวสีเขียวหล่นใส่ ดินทรายที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ก็ค่อยๆ สลายตัวเป็นควันสีเขียว


“ไม่ดี! รีบหลบไป”


ผู้เฒ่าเผ่าทรายหลายคนที่มีประสบการณ์มาก่อนเห็นเช่นนี้ ก็รีบตะโกนบอกให้คนที่อยู่รอบข้างหลบออกไป


“ตู๊ม!”


กำแพงเมืองบริเวณนั้นพังทลายลงมา ผู้ฝึกฝนเผ่าทรายสองคนที่กำลังต่อสู้กับหมาไนทรายอยู่หลบหนีไม่ทัน จึงถูกฝังไปพร้อมกับหมาไนทรายท่ามกลางเสียงร้องอย่างน่าเวทนา


และพอมีช่องโหว่ หมาไนทรายจำนวนมากที่ติดอยู่นอกกำแพงเมือง ก็พุ่งเข้ามาบริเวณที่กำแพงเมืองพังทลายอย่างบ้าคลั่ง


แม้ว่าจะมีคนเผ่าทรายสิบกว่าคนกระโดดลงมาต้านทานไว้ แต่มันก็ดูล่อแหลมเป็นอย่างมาก


ขณะเดียวกัน หลังจากอสูรทรายยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมา ร่างขนาดมหึมาก็พุ่งไปข้างหน้า และปะทะใส่กำแพงเมืองอีกส่วนหนึ่ง ทำให้กำแพงส่วนนี้สั่นสะเทือนเล็กน้อย และมีรอยร้าวยาวๆ ปรากฏออกมา


ฉากเช่นนี้ทำให้คนเผ่าทรายรู้สึกหวาดผวายิ่งกว่าเดิม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที หลังจากกระบี่บินในมือสั่นสะท้านเบาๆ และกำลังจะถูกปล่อยออกไปนั้น พลันมีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากในเมือง มนุษย์ทองแดงสีเขียวที่สูงสิบกว่าจั้ง กำลังพุ่งมาทางกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว


และบนหัวของมนุษย์ทองแดงสีเขียว กลับมีผู้เฒ่าเผ่าทรายที่หลิ่วหมิงพบเจอในวันนั้นยืนอยู่


แต่ขณะนี้ผู้อาวุโสร่างอวบไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยืนเอามือไขว้หลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววสังหาร


“รีบดู ท่านผู้เฒ่ามาแล้ว!”


“มีผู้พิทักษ์คอยคุ้มครองอยู่ จะต้องสังหารอสูรยักษ์ตัวนั้นได้แน่!”


ชั่วขณะนั้น ดูเหมือนว่าคนเผ่าทรายจะมีความหวังขึ้นมา ทันใดนั้นพวกเขาก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน


ตอนที่หลิ่วหมิงเห็นมนุษย์ทองแดงสีเขียวนั้น เขาก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ


ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือรูปลักษณ์ภายนอกของมนุษย์ทองแดงสีเขียวผู้นี้ ล้วนมีส่วนคล้ายกับหุ่นมนุษย์ทองแดงที่เผิงเยวี่ยจากนิกายเทียนกงควบคุม เพียงแต่ว่าบนตัวของมันเป็นหลุมเป็นบ่อราวกับผ่านศึกมานาน


ขณะนั้นเอง มนุษย์ทองแดงสีเขียวยักษ์ก็กระทืบเท้าทั้งสองลงพื้นในฉับพลัน และกระโดดขึ้นมา ร่างขนาดมหึมาของมันกระโดดแค่เดียว ก็พุ่งออกไปไกลหลายสิบจั้ง และพุ่งผ่านกำแพงไปปะทะลงบนตัวของอสูรทรายร่างยักษ์อย่างรุนแรง


“เต๊งๆ!”


หลังจากอสูรทรายร่างยักษ์ถูกชนจนร่นถอยออกไปสองสามก้าว และรู้สึกมึนงงเล็กน้อยนั้น มนุษย์ทองแดงสีเขียวก็ถือโอกาสสะบัดแขนทั้งสองโจมตีหัวของมันติดต่อกันหลายหมัด


อสูรทรายร่างยักษ์ส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด หนามบนตัวพุ่งออกมาราวกับเข็มอันแหลมคม และแทงเข้าไปในร่างของมนุษย์ทองแดงสีเขียว


มนุษย์ทองแดงก็ทำราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ยังคงปล่อยหมัดโจมตีราวกับสายฝนกระหน่ำ จนอสูรยักษ์ตรงหน้าส่งเสียงร้องอยู่ไม่หยุด


ผู้อาวุโสร่างอวบบนหัวมนุษย์ทองแดงทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวเปล่งประกายบนตัวเป็นเส้นๆ ในระหว่างที่แสงสีเขียวเปล่งประกายในดวงตานั้น หมัดของมนุษย์ทองแดงก็หนักกว่าเดิม ทุกหมัดที่โจมตีออกไปต่างก็ส่งเสียงดังตู๊มต๊าม ทำให้อากาศบริเวณนั้นสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวขึ้นมา


และดวงตาทั้งสามที่อยู่บนฝ่ามือกับบนหัวของมัน ต่างก็พ่นลำแสงสีเขียวออกมา แต่พอโจมตีลงบนตัวมนุษย์ทองแดงกลับมีผลเพียงเล็กน้อย มันจึงได้แต่ใช้กรงเล็บคู่หน้าสร้างเงากรงเล็บขึ้นมาต้านทานไว้เป็นชั้นๆ


“สมกับเป็นท่านผู้เฒ่าจริงๆ” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์กระตุ้นดาบทรายตัดหัวหมาไนทรายตัวหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นแล้ว ก็หันไปมองมนุษย์ทองแดงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยสีหน้าดีใจ


ขณะนี้ ผู้ฝึกฝนเผ่าทรายระดับผลึกหลายคนก็พากันกระตุ้นเคล็ดวิชา บ้างก็ก่อตัวดาบทรายยาวเจ็ดแปดจั้ง บ้างก็ก่อตัวมือทรายยักษ์ขนาดเท่าบ้าน เพื่อโจมตีอสูรทรายร่างยักษ์อย่างบ้าคลั่ง


เกิดเสียงดังก้องฟ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ภายใต้การผลัดการโจมตีของมนุษย์ทองแดงยักษ์ และฝูงคนจำนวนมาก ทำให้อสูรทรายร่างยักษ์ไม่มีแรงโต้ตอบ ทำได้แต่กระตุ้นฝุ่นทรายสีดำบริเวณนั้นให้กลายเป็นม่านทรายสีดำห้อหุ้มร่างไว้


ขณะที่หลิ่วหมิงคิดที่จะเข้าไปร่วมโจมตีนั้น พลันมีกลิ่นไอมหาศาลแผ่ออกมาจากฝูงอสูรนอกเมืองที่อยู่ด้านหลัง


“แย่แล้ว! อสูรทรายร่างยักษ์อีกตัวมาแล้ว!”


“เป็นได้อย่างไร การที่อสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏตัวพร้อมกันสองตัวเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อยมาก” คนเผ่าทรายที่อยู่บนกำแพงเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที


ครู่เดียวหลิ่วหมิงก็ทะยานขึ้นฟ้าไปสิบกว่าจั้ง และมองออกไปไกลๆ


จะเห็นว่าเกิดพายุบ้าระห่ำท่ามกลางทะเลทรายที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้ สามารถมองเห็นยอดเขาทรายยักษ์อีกลูกได้อย่างรำไร และมันกำลังเคลื่อนตัวมาทางพื้นที่สีเขียวอย่างรวดเร็ว


ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเป็นประกายแวววาว และมองทะลุหมอกทรายไปเห็นอสูรยักษ์ตัวนี้อย่างชัดเจน


อสูรยักษ์ตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าตัวก่อนหน้าเล็กน้อย แต่รูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีขนแข็งสีเหลืองปกคลุมเต็มตัว ราวกับหมีสีเหลืองที่มีขนาดใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่มีดวงตาแปลกๆ สี่ดวงอยู่บนใบหน้า


เหนือดวงตาคู่เดิมยังมีดวงตาสองข้างที่มีเส้นเลือดสีเขียวปกคลุมอยู่ในลูกตา แลดูน่าหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง


อสูรยักษ์ตัวนี้พุ่งมาบนพื้นทรายสีดำอย่างบ้าคลั่ง ทุกย่างก้าวของมันทำให้เกิดหลุมลึกหนึ่งจั้งกว่าๆ จำนวนสี่หลุม มันยังพุ่งมาไม่ถึงบริเวณกำแพงเมือง กลิ่นไอพิฆาตอันน่าตกใจก็ม้วนตัวมาถึงก่อน


“พวกเจ้าไปรับมือกับอสูรยักษ์อีกตัว จำไว้ให้ดี เพียงแค่ถ่วงเวลาไว้ก็พอ” ผู้เฒ่าเผ่าทรายที่อยู่บนมนุษย์ทองแดงเห็นเช่นนี้ กลับสั่งออกไปโดยไม่ต้องคิด


พอได้ยินเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนเผ่าทรายระดับผลึกคนอื่นๆ ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็มีสามคนรีบออกไปจากกลุ่มการต่อสู้ และกลายร่างเป็นพายุทรายพุ่งลงจากกำแพงเมือง จากนั้นก็พุ่งออกจากฝูงอสูรที่สกัดกั้น และพุ่งตรงไปยังอสูรยักษ์ตัวที่สอง


ซาฉู่เอ๋อร์ก็อยู่ในนั้นด้วย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา ในฐานะที่เป็นคนนอก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดอะไรมากได้ พอทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็กระโดดลงไปเปิดฉากสังหารฝูงอสูรที่อยู่ด้านล่างทันที


ไม่นานผู้แข็งแกร่งระดับผลึกทั้งสามก็กลายเป็นเนินทรายพุ่งไปหาหมีทรายยักษ์ตัวนั้นย่างรวดเร็ว


“ฟู่!”


ทั้งสามพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกัน จากนั้นก็ยืนเป็นรูปสามเหลี่ยมล้อมหมีทรายตัวนั้นไว้


หมีทรายร่างยักษ์หยุดวิ่งด้วยความตกใจ หลังจากกวาดสายตามองไปทั่วทิศแล้ว กลับไม่ทำการโจมตีแต่อย่างใด


ซาฉู่เอ๋อร์ทั้งสามต่างก็สบตากันทีหนึ่ง หลังจากสร้างผนึกร่วมกันกลางอากาศแล้ว ก็ส่งเสียงคำรามออกมาในทันที และกลายเป็นดาบทรายสีดำสามเล่มที่ยาวห้าหกจั้ง จากนั้นดาบทรายก็หมุนตัวติ้วๆ และพรุ่งเข้าหาหมีทรายพร้อมกัน


หมีทรายร่างยักษ์เห็นฉากเช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น และไม่คิดจะหลบดาบทรายแต่อย่างใด


เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้เกิดขึ้นแล้ว!


เดิมทีดาบทรายสีดำสามารถกรีดร่างของหมาไนทรายได้อย่างง่ายดาย แต่พอโจมตีลงบนร่างหมีทรายยักษ์ มันก็ดูราวกับดินเหนียวที่จมลงไปในท้องทะเล พอมันสัมผัสกับร่างของหมีทราย ก็แตกกระจายเป็นเม็ดทรายและถูกร่างของหมีทรายดูดเข้าไปในผิวหนังของมัน


ตอนที่ 717 หมีทราย

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอผู้อาวุโสเผ่าทรายที่มีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดเห็นเช่นนี้ ก็ร่นถอยออกไปสองก้าวด้วยความตกใจ หลังจากดูดซับพลังในดินทรายเข้าไปเสริมจำนวนหนึ่งแล้ว มือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่บริเวณหน้าอก ทันใดนั้นพื้นทรายตรงหน้าก็เกิดการสั่นสะเทือน เสาทรายสีดำขนาดเท่าแผ่นโม่หมุนวนขึ้นจากพื้น และพุ่งไปบริเวณคอของปีศาจหมี


ซาฉู่เอ๋อร์กับชายฉกรรจ์ระดับผลึกขั้นต้นอีกคนก็กระโดดขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองทำท่ามือในทันที พอเปลี่ยนท่ามือ ต่างก็สร้างฝ่ามือทรายขนาดหลายจั้ง และฟาดลงบนหลังของหมีทราย


“ปัง! ปัง! ปัง!” เกิดเสียงระเบิดดังออกมา


ฝ่ามือทราย เสาทราย พากันโจมตีลงบนตัวหมีทราย ทันใดนั้นมันก็ระเบิดออกมาทันที หมอกทรายปกคลุมไปทั่วทิศจนมองไม่เห็นสถานการณ์ภายในไปชั่วขณะหนึ่ง


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะพุ่งไปมาท่ามกลางฝูงอสูร จนหมาไนทรายเสียชีวิตภายใต้กระบี่ของเขาไปราวๆ สามสิบสี่สิบตัวภายในพริบตา แต่เขาก็ใช้วิชาหนึ่งจิตสองพลังระแวดระวังกลุ่มการต่อสู้ทางด้านซาฉู่เอ๋อร์ตลอดเวลา


ท่ามกลางหมอกทรายสีดำ ภายใต้การส่งเสียงคำรามของหมีทรายยักษ์ ทำให้หมอกทรายบริเวณนั้นถูกพลังบางอย่างสั่นสะเทือนจนแตกกระจาย เผยให้เห็นร่างของอสูรยักษ์ตัวนี้อีกครั้ง


อสูรยักษ์เพียงแค่กวาดลูกตาสีเขียวสองลูก ลำแสงสีเขียวขนาดเท่าถังน้ำจำนวนสองลำก็พุ่งออกจากลูกตาในทันที


ลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า พริบตาเดียวก็กวาดไปทางชายเผ่าทรายทั้งสอง


ร่างของผู้อาวุโสเผ่าทรายคนหนึ่งพร่ามัวด้วยความตกใจ หลังจากเกิดเสียงดัง “ปัง!” เขาก็กลายเป็นพายุทรายหลบลำแสงที่กวาดเข้ามาได้


และชายฉกรรจ์เผ่าทรายระดับผลึกขั้นต้นผู้นั้น กลับช้าไปเล็กน้อย จึงถูกลำแสงสีเขียวโจมตี หลังจากส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ร่างของเขาก็กลายเป็นรูปปั้นหินสีเขียวในทันที


จากนั้นพออสูรทรายยักษ์อ้าปาก คลื่นเสียงไร้รูปสีขาวก็ม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง


ผู้อาวุโสเผ่าทรายที่ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ถูกคลื่นม้วนตัวเข้าใส่จนกระเด็นออกไปราวกับถุงกระสอบ


ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งด้วยความตกใจ ทันใดนั้น กำแพงทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเป็นชั้นๆ แต่ภายใต้การสั่นสะเทือนของคลื่นสีขาว มันก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา


แต่ว่านางอาศัยจังหวะนี้กลายเป็นพายุทรายม้วนตัวกลับไป จนหลบการโจมตีอันน่ากลัวนี้ได้


แต่ชายฉกรรจ์ที่กลายเป็นหินกลับไม่ได้โชคดีเช่นนี้ หลังจากคลื่นเสียงสีขาวม้วนตัวผ่านไป ผลึกสีเขียวบนผิวของเขาก็ค่อยๆ แตกกระจายเป็นผงสีเขียวระยิบระยับ และถูกพัดไปตามลม


“หมิ่นเอ๋อร์ ข้าจะฆ่าเจ้า!”


หลังจากผู้อาวุโสเผ่าทรายโอนเอนไปมาสองสามทีแล้ว ก็ยืนทรงตัวได้อีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะมีความสัมพันธ์กับชายฉกรรจ์ที่กลายเป็นหิน พอเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้สึกเศร้าโศกเสียใจด้วยความเจ็บแค้นเป็นอย่างมาก


เขาคำรามออกมาทันที แสงสีเลือดเปล่งประกายในดวงตาทั้งสอง แสงสีเหลืองเปล่งประกายออกจากร่าง พอแสงทรายม้วนตัว ร่างของเขาก็กลายเป็นกระบี่ทรายสีดำยาวสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็ฟันไปที่หัวของอสูรยักษ์ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ


หมีทรายเห็นเช่นนี้กลับดวงตาเป็นประกาย แสงสีเหลืองพุ่งออกจากตัว ร่างของมันหมุนกลับไปอย่างรวดเร็ว แขนขวาขนาดใหญ่ตบใส่กระบี่ทรายยักษ์อย่างรุนแรง


“ไม่ดี!” หลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง


การโจมตีของฝ่ามือนี้ทำให้ลมและเมฆสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าการโจมตีของระดับแก่นแท้เลย แม้แต่หลิ่วหมิงที่มีกายเนื้ออันแข็งแกร่ง ก็ไม่กล้ารับการโจมตีนี้โดยตรง


ภายใต้การครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาแสดงวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งอีกครั้ง ครู่เดียวก็จัดการอสูรทรายสองสามตัวที่อยู่ด้านข้างจนสิ้นซาก จากนั้นก็กลายร่างเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งไปทางซาฉูเอ๋อร์


“ตู๊ม!”


กระบี่ทรายขนาดใหญ่ถูกฝ่ามือของหมีทรายตบจนแตกกระจาย และกลายเป็นหมอกทรายสีดำขนาดหลายจั้งกลุ่มหนึ่ง เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากหมอกทราย ซึ่งก็คือผู้อาวุโสเผ่าทรายคนนั้นนั่นเอง


ตอนนี้ร่างเกือบครึ่งหนึ่งของเขามีเลือดเนื้อพร่ามัว และตกลงบนเนินทรายบริเวณนั้นราวกับถุงกระสอบ จนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ส่วนตัวเขาก็ไม่อาจลุกขึ้นได้อีก


ครู่ต่อมา ลำแสงสีเขียวขนาดใหญ่สองลำก็พุ่งออกจากลูกตาสีเขียวบนหน้าผากของหมีทราย และตัดสลับกันก่อนพุ่งไปหาซาฉู่เอ๋อร์


แม้ว่าหญิงสาวจะกลายร่างเป็นพายุทรายหลบหนีอย่างสุดชีวิต แต่ก็หลบหลีกลำแสงไปได้ลำหนึ่งเท่านั้น ลำแสงลำที่สองกลับพร่ามัวมาปรากฏตรงหน้า ทำให้นางไม่อาจหลบหลีกได้


ซาฉู่เอ๋อร์มีใบหน้าซีดเผือดในทันที นางคิดว่าตนเองคงยากที่จะหลบหนีด่านเคราะห์ในครั้งนี้ได้


แต่ในขณะที่ชีวิตราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น สายรุ้งสีทองก็ม้วนตัวเข้ามา พอแสงสีทองดับลงก็เผยให้เห็นเงาร่างสีเทาของคนผู้หนึ่ง


ขณะที่ค้นพบว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนั้น หลิ่วหมิงที่รีบร้อนเข้ามาถึงก็สะบัดแขนทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มังกรหมอกดำสี่ตัวพุ่งออกมาท่ามกลางเสียงร้อง และพุ่งออกไปรับมือกับลำแสงสีเขียว


หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น มังกรหมอกก็ปะทะกับลำแสงอย่างรุนแรง


อากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แสงสีเขียวเปล่งประกาย หมอกดำก็พวยพุ่ง!


“ขอบคุณพี่หลิ่วที่เข้าช่วย!” พอซาฉู่เอ๋อร์เห็นหลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาวออกมา ในที่สุดสีหน้าของนางก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากกล่าวขอบคุณหลิ่วหมิงแล้ว มือข้างหนึ่งก็คว้าออกไป และดาบทรายสีดำเล่มหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง


“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน” หลิ่วหมิงมองดูซาฉู่เอ๋อร์แล้วกล่าวอย่างราบเรียบ


ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้กลับส่ายหัวอย่างดื้อรั้น นางพุ่งออกจากแขนของหลิ่วหมิงที่ขวางอยู่ เพื่อที่จะพุ่งออกไปต่อ


หลิ่วหมิงมองดูเงาร่างอรชรของซาฉู่เอ๋อร์แล้วก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็กะพริบไปอยู่ด้านหน้าซาฉู่เอ๋อร์


“เจ้าฝืนบุกไปเช่นนี้ มีแต่เสียชีวิตเปล่าเท่านั้น มอบให้ข้าจัดการเถอะ!”


“ท่านหรือ? ข้าไม่ได้คิดจะดูถูกแต่อย่างใด เพียงแต่หากท่านเพียงคนเดียวล่ะก็…” ในที่สุดซาฉู่เอ๋อร์ก็หยุดเท้าลง แต่ยังคงส่ายหน้ากล่าว


“ไม่เป็นไร แม้ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่พอจะรู้วิชาขี่กระบี่อยู่บ้าง สามารถก่อกวนมันได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากแม่นางซาฉู่เอ๋อร์ไม่กลับไปล่ะก็ เกรงว่าเมืองทั้งเมืองคงจะต้องถูกทำลายแล้ว” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อะไรนะ! แย่แล้ว! มีหมาไนทรายบุกเข้าเมืองไปแล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่หลิ่วต้องระวังตัวให้มาก” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่หลังจากหันหน้ากลับไปดู ใบหน้าของนางก็ถอดสีในฉับพลัน หลังจากกัดฟันกำชับไปหนึ่งประโยคแล้ว ก็กลายเป็นพายุทรายม้วนตัวไปทางเมืองทันที


บนกำแพงเมืองในขณะนี้ ด้วยเหตุที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกถูกอสูรยักษ์ตัวแรกหลอกล่อไปหมด ชาวเผ่าทรายคนอื่นๆ จึงไม่อาจปิดกั้นช่องโหว่ไว้ได้ ทำให้หมาไนทรายสิบกว่าตัวพุ่งเข้าไปในเมืองแล้ว


ส่วนสตรีและเด็กที่มีการฝึกฝนค่อนข้างต่ำกับผู้ฝึกฝนเผ่าทรายที่สูญเสียพลังเวทไปมาก กำลังรวมตัวอยู่ที่ใจกลางเมือง ซึ่งไม่มีแรงตอบโต้เลยแม้แต่น้อย


ปีศาจทรายยักษ์ที่มาถึงหน้าเมืองในขณะนี้ ได้ถูกมนุษย์ทองแดงยักษ์ที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายควบคุมกับผู้แข็งแกร่งระดับผลึกควบคุมเอาไว้ได้ แม้ว่าจะอาศัยการป้องกันอันแข็งแกร่งของตนเอง จึงไม่ได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจแสดงฤทธิ์เดชใดๆ ออกมาได้อีก


แต่หากจะให้ผู้เฒ่าเผ่าทรายกับคนอื่นๆ แยกตัวออกไป ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด


ด้วยเหตุนี้ ซาฉู่เอ๋อร์จะไม่รู้สึกร้อนใจได้อย่างไร นางจึงได้แต่บุกกลับไปแล้ว


พอหมียักษ์เห็นว่าซาฉู่เอ๋อร์จากไปแล้ว มันกลับส่งเสียงคำรามออกมา และคิดจะไล่ตามไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กวาดสายตามองดูอสูรยักษ์อย่างราบเรียบ พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง แสงสีดำก็เปล่งประกายบนตัว และกลายเป็นเงาร่างสามเงา ภายใต้การเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็หมุนวนล้อมรอบอสูรยักษ์ไว้


หมีทรายยักษ์เห็นหลิ่วหมิงพุ่งเข้ามา ดวงตาของมันก็ฉายแววโหดร้าย หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็โบกสะบัดฝ่ามือยักษ์ทั้งสองเบาๆ พายุบ้าระห่ำม้วนตัวขึ้นมา และกวาดออกไปทั่วทิศ


“ฟู่!” “ฟู่!” เงาร่างสองเงาถูกฝ่ามือยักษ์พัดผ่านจนแตกกระจายกลายเป็นจุดสีดำ


ชั้นทรายลึกหลายฉื่อบนพื้นทรายบริเวณนี้ถูกตัดออกไป


หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลังอสูรยักษ์กลับพร่ามัวพุ่งออกไปด้านหลัง จนพอที่จะหลบเงาฝ่ามือยักษ์ไปได้


เกิดเสียงมังกรร้องก้องฟ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มังกรหมอกสีดำสี่ตัวที่ยาวเจ็ดแปดจั้งพุ่งออกจากร่างหลิ่วหมิง และกระโจนเข้าใส่หลังหมีทรายยักษ์ท่ามกลางเสียงดัง “ฟู่ๆ!”


ขณะเดียวกัน พอร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหว เขาก็กลายเป็นเงาร่างสามเงาพุ่งออกไป


หมีทรายยักษ์คำรามด้วยความโมโห พอมันหมุนตัวกลับมา ลูกตาสีเขียวสองลูกบนหน้าผากก็หมุนวนอยู่ไม่หยุด ลำแสงสีเขียวแต่ละลำพุ่งเข้าใส่เงาร่าง


“ปัง!” “ปัง!”


ลำแสงสีเขียวพุ่งเข้ามาถึงในพริบตา ทำให้เงาร่างทั้งสองของหลิ่วหมิงกลายเป็นก้อนหินสีเขียวอย่างน่าประหลาดใจ และแตกสลายไปในพริบตา


ขณะนั้นเอง เงาดำสี่เงาก็ปรากฏตัวตรงหน้าหมีทรายยักษ์ มันคือมังกรหมอกสี่ตัวนั่นเอง!


จะเห็นว่าแสงสีเหลืองเปล่งประกายบนผิวหมีทราย จุดแสงสีเหลืองปรากฏออกมา และก่อตัวเป็นเกราะป้องกันสีเหลืองห่อหุ้มร่างของมันไว้ แม้แต่ลมฝนก็ไม่อาจทะลุเข้าไปได้


ครู่ต่อมา มังกรหมอกทั้งสี่ก็โจมตีลงบนนั้นพร้อมกัน!


เกิดเสียงดัง “โครมคราม!”


แสงสีเหลืองบนผิวหมีทรายไหลวนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สลายไป แต่อานุภาพของมังกรหมอกทั้งสี่ก็ถูกต้านทานไปเจ็ดแปดส่วน มีมังกรเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถโจมตีลงบนหลังของหมีทรายยักษ์ได้


ภายใต้สถานการณ์ที่หมีทรายยักษ์ไม่ทันได้ระวัง มันจึงถูกโจมตีจนโซซัดเซออกไป แต่หลังจากไอดำสลายไปแล้ว กลับไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลยแม้แต่น้อย


ขณะนั้นเอง ร่างของหลิ่วหมิงก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวด้านข้างหมีทรายยักษ์ พออ้าปาก กระบี่เล็กสีทองก็พุ่งออกมาในพริบตา และขยายใหญ่ตามลมจนกลายเป็นกระบี่บินขนาดสองฉื่อแปดชุ่น จากนั้นก็กะพริบไปตัดหัวหมีทรายยักษ์


หมีทรายยักษ์ถูกหลิ่วหมิงโจมตีในระยะใกล้เช่นนี้ มันก็รู้สึกโมโหจนถึงขีดสุดตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากส่งเสียงร้องออกมา ลูกตาแปลกประหลาดบนหน้าผากก็จ้องมองกระบี่บินสีทองที่ร่วงลงมาตาไม่กะพริบ


ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดแล้ว!


แสงสีเขียวเกาะตัวบนผิวกระบี่ ทำให้มันหยุดชะงักกลางอากาศ และไม่อาจร่วงลงมาได้ จากนั้นหมีทรายยักษ์ก็ละสายตามามองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้าง


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ขณะที่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นั้น ก็รู้สึกชาไปทั้งตัวจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน ผลึกหินสีเขียวจำนวนหนึ่งก็ปรากฏบนหน้าอก และขยายไปทั่วร่างอย่างน่าตกใจ


หลิ่วหมิงถูกหมีทรายมองผ่านอากาศ ก็กลายร่างเป็นหินแล้ว


หมีทรายยักษ์เห็นเช่นนี้ ดวงตาดุร้ายของมันก็เป็นประกาย พอยกมือยักษ์ขึ้นมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มันก็กลายเป็นเงาฝ่ามือยักษ์ค้ำฟ้า และฟาดเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม


“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น


บริเวณที่หลิ่วหมิงอยู่พังทลายลงมาทันที รอยฝ่ามือยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งปรากฏออกมา


ตอนที่ 718 สนทนากลางราตรี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะนั้นเอง พลันเกิดเสียงดัง “ฟู่!” เงาดำเงาหนึ่งพุ่งออกจากด้านล่างรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวด้านหลังหมีทรายอย่างน่าประหลาดใจ พอสะบัดข้อมือ เงากำปั้นที่ห่อหุ้มมุกสีดำกลมๆ ก็โจมตีออกไป


“ตู๊ม!”


ภายใต้สถานการณ์ที่หมีทรายไม่ได้ป้องกันตัวไว้ก่อน แม้ว่ามันจะอาศัยกำแพงทรายที่อยู่ด้านหลังต้านทานเงากำปั้นเกือบครึ่งหนึ่งไว้ได้ แต่ยังคงถูกมุกกลมๆ เจาะทะลุเข้ามา ทันใดนั้นมันก็เซไปด้านหน้าสองสามก้าวจนเกือบล้มลงพื้น


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อสูรยักษ์ตัวนี้ก็หน้ามืดตาลายไปชั่วขณะหนึ่ง


เงาดำที่ปรากฏออกมาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง คิดไม่ถึงว่าในระหว่างที่เงาฝ่ามือยักษ์ยังเข้ามาไม่ถึงตัวนั้น เขาก็สลัดตัวหลุดจากการกลายร่างเป็นหินได้ และมุดลงไปในพื้นทรายจนสามารถหลบการโจมตีนี้ไปได้


ตอนนี้บริเวณหน้าอกของหลิ่วหมิงยังคงมีผลึกหินสีเขียวอยู่จำนวนหนึ่ง แต่หลังจากไอดำม้วนตัวผ่านไป มันก็แตกกระจายและหลุดออกจากร่าง พอดวงตาของเขาเปล่งประกายแวววาว มือทั้งสองก็กำกำปั้นไว้แน่น ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างในทันที มังกรหมอกดำสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกดำสี่ตัวพุ่งออกมา มันแค่หมุนวนบนหัวอสูรยักษ์หนึ่งรอบ ก็ระเบิดเป็นแสงสีดำพร้อมกัน


มันคือพลังคุกมืดของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั่นเอง


หมีทรายยักษ์รู้สึกแค่ว่ามีแสงสีดำเปล่งประกายตรงหน้า จากนั้นก็ถูกพื้นที่ว่างเปล่าสีดำกักขังไว้ ทันใดนั้น มันก็คำรามออกมาด้วยความตกใจในทันที ฝ่ามือยักษ์คู่หนึ่งโบกสะบัดไปรอบด้าน ทั้งยังมีลำแสงสีเขียวปะปนไปด้วยเป็นครั้งคราว ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง


หลิ่วหมิงอาศัยพลังของคุกมืดเข้าใกล้อสูรยักษ์อย่างรวดเร็ว ลวดลายสายฟ้าสีเงินเปล่งประกายบนมือขวา จากนั้นเส้นสายฟ้าสีเงินก็พุ่งออกจากฝ่ามือ และประสานกันไปมาจนกลายเป็นหอกสายฟ้าสีเงินที่ยาวจั้งกว่าๆ ภายในพริบตา


เกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!


แขนข้างหนึ่งของเขาขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ จากนั้นก็โยนหอกสายฟ้าในมือออกไป


ครั้งนี้เขาใช้พลังสายฟ้าที่มีเหลืออยู่ในร่างไม่มาก ซึ่งรวบรวมมาจากพลังสายฟ้าในคืนฟ้าร้องนั่นเอง


แม้อสูรยักษ์จะมีพลังไม่ธรรมดา แต่ภายใต้ระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ ทำให้ไม่อาจหลบหลีกได้เลยแม้แต่น้อย


แสงสายฟ้าสีเงินพุ่งทะลุแสงสีดำ และกะพริบไปโจมตีลงบนตัวหมีทราย


เกิดเสียงดัง “เปรี้ยงปร้าง!”


หอกสายฟ้าระเบิดออกมาทันที สายฟ้าสีเงินพุ่งออกมาเป็นเส้นๆ และกลายเป็นไหมสายฟ้าเปล่งประกายบนตัวหมีทรายอยู่ไม่หยุด ทำให้ร่างขนาดมหึมาของมันเกิดอาการชาจนสูญเสียการควบคุม และไม่อาจดิ้นรนได้เลยแม้แต่น้อย


ขณะนั้นเอง พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนบนฝ่ามือ กระบี่บินว่างเปล่าที่ยาวสองฉื่อกว่าๆ ปรากฏออกมา หลังจากสั่นไหวหนึ่งที มันก็กลายเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งยิงออกไป


หมีทรายส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา!


ดวงตาสีเขียวข้างหนึ่งถูกสายรุ้งสีทองเจาะทะลุไป และพุ่งออกทางท้ายทอย หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็หมุนวนรอบตัวอสูรยักษ์หลายรอบอย่างรวดเร็ว


“ตุ๊บ!”


ร่างขนาดมหึมาของหมีทรายถูกฟันเป็นเจ็ดแปดส่วนก่อนร่วงลงพื้น โลหิตพวยพุ่งออกมาจำนวนมาก ทำให้ทะเลทรายบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงไปทั้งแถบ


หลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่งเรียกกระบี่บินกลับมา พอโบกแขนอีกครั้ง แสงสีดำบริเวณนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็ว


จากนั้นเขานำโอสถจินหยวนออกจากแหวนย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ด หลังจากกวาดสายตามองดูเมืองทีหนึ่งแล้ว ก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


ขณะที่เขาสังหารหมีทรายยักษ์ไปได้นั้น อสูรทรายร่างยักษ์ที่ถูกปิดล้อมอยู่หน้าเมืองก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ มันจึงส่งเสียงคำรามออกมาทันที หนามแหลมบนตัวทั้งหมดกลายเป็นหนามทรายที่ยาวจั้งกว่าๆ และพุ่งยิงออกไปเต็มฟ้า


ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขารีบควบคุมมนุษย์ทองแดงยักษ์ให้โบกสะบัดแขนทั้งสองจนกลายเป็นเงากำปั้นไปทั้งแถบ และปกคลุมชาวเผ่าทรายคนอื่นๆ ไว้


เกิดเสียงดังกึกก้องราวกับโลหะกระทบกันดังถี่ๆ!


หนามทรายสีเหลืองถูกแขนทั้งสองของมนุษย์ทองแดงยักษ์ต้านทานไว้ได้ จนมันส่งเสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น และกลายเป็นหมอกทรายสีเหลืองก่อนแผ่กระจายออกมา


อสูรทรายร่างยักษ์กลับอาศัยช่องว่างนี้มุดลงพื้น และกลายเป็นยอดเขาทรายขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง มันหลบหนีไปทางส่วนลึกของทะเลทรายท่ามกลางเสียงร้องแปลกประหลาด


ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นให้มนุษย์ทองแดงยักษ์ตามไปแต่อย่างใด


และหมาไนทรายที่กำลังต่อสู้กับผู้ฝึกฝนเผ่าทรายคนอื่นๆ อยู่ พอได้ยินเสียงแผดร้อง พวกมันก็พากันหันหลังจากไปทันที


มีหมาไนทรายเพียงยี่สิบกว่าตัวที่ถูกซาฉู่เอ๋อร์และชายเผ่าทรายคนอื่นๆ ปิดล้อมอยู่ในเมือง และถูกฝูงชนรุมสังหารจนหมดสิ้น คนเผ่าทรายบางส่วนยังคงมองดูหมาไนทรายที่หนีไปด้วยความคันไม้คันมือ


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะชนะแล้วไล่ตาม พาคนบาดเจ็บกลับไปรักษาตัวก่อนสำคัญกว่า คนอื่นๆ ที่เหลือรีบไปสร้างกำแพงทรายขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด” ผู้อาวุโสร่างอวบกระตุ้นมนุษย์ทองแดงยักษ์ให้กลับเข้าไปในเมือง และตะโกนสั่งชาวเผ่าทรายคนอื่นๆ


แม้จะบอกว่าอสูรทรายได้ล่าถอยไปแล้ว แต่ศึกในครั้งนี้ยังคงสร้างความเสียหายไว้ไม่น้อย ลำพังแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็เสียชีวิตไปถึงสามคนแล้ว คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็สุดจะคณานับ


หลังจากหลิ่วหมิงหลบหมาไนทรายจำนวนหนึ่งที่วิ่งหนีเตลิดไปแล้ว เขาก็รีบกลับเข้ามาในเมือง พอเห็นสงครามในที่นี้สิ้นสุดลงชั่วคราว เขาก็กวาดสายตามองดูรอบด้าน และหยุดอยู่ที่หุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์ที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายควบคุมตัวนั้น


ภายใต้การสังเกตดูในระยะใกล้เช่นนี้ นอกจากรูปร่างภายนอกแล้ว โครงสร้างกับลวดลายจิตวิญญาณของมนุษย์ทองแดงยักษ์ตัวนี้เหมือนกับหุ่นมนุษย์ทองแดงที่เผิงเยวี่ยควบคุมไม่มีผิด


แต่ภายใต้การโจมตีกลับของอสูรทรายร่างยักษ์ ดูเหมือนว่ามนุษย์ทองแดงยักษ์ในขณะนี้ จะได้รับความเสียหายไม่น้อย บริเวณหน้าอกของมันมีรูขนาดใหญ่หนึ่งชุ่นกว่าๆ เพิ่มขึ้นมาใหม่หลายสิบรู


หลังจากคนเผ่าทรายที่อยู่บริเวณนั้นเห็นหลิ่วหมิง สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง


เพราะฉากที่หลิ่วหมิงสังหารเดี่ยวอสูรยักษ์ในก่อนหน้า ก็ถูกคนเผ่าทรายจำนวนมากมองเห็นจากที่ไกลๆ


ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสร่างอวบก็กระโดดลงจากหัวของมนุษย์ทองแดงยักษ์ เขาเดินมาด้านข้างหลิ่วหมิง และประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม


“คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะมีอสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏถึงสองตัว ช่างเหนือความคาดหมายของข้ายิ่งนัก โชคดีที่สหายหลิ่วลงมือ มิเช่นนั้นโชคชะตาของเผ่าข้าคงน่าเป็นห่วงแล้ว ในนามของเผ่าทรายทั้งหมด ข้าขอขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง”


“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ หากหมาไนทรายเหล่านี้ทำลายเมืองขึ้นมาจริงๆ ข้าเองก็ไม่อาจรอดได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พลังของสหายหลิ่วก็น่าตกใจจริงๆ ครั้งนี้นับว่าช่วยเผ่าของเราไว้ได้มาก ข้าและคนในเผ่าจะต้องจดจำไว้ในใจมิรู้ลืม หลังจากผ่านศึกอย่างดุเดือด คิดว่าสหายก็จำเป็นต้องพักผ่อนให้มาก รอข้าจัดการที่พักให้เรียบร้อยแล้ว ตอนกลางคืนค่อยเชิญสหายหลิ่วมายังที่พักของข้า ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะหารือด้วย” ผู้อาวุโสร่างอวบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาเช่นนี้


พอเห็นว่าผู้เฒ่าเผ่าทรายพูดจาเกรงใจเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่อาจปฏิเสธแต่อย่างใด ทำได้แค่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น


คืนวันนั้น หลิ่วหมิงนั่งเข้าฌานอยู่ในที่พักของตนเอง เขากำลังกลั่นพลังของโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งที่เพิ่งทานเข้าไปไม่นาน และ สัมผัสถึงความชุ่มชื้นของพลังเวทในร่างกาย สีหน้าของเขาดูนิ่งสงบเป็นอย่างมาก


ทันใดนั้น มีเสียงเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นเสียงของถูลาก็ดังเข้ามา ที่แท้ผู้เฒ่าเผ่าทรายก็เชิญเขาไปหานั่นเอง


หลังจากหลิ่วหมิงตอบรับไปแล้ว ก็รีบเก็บพลังและลุกขึ้นเดินออกไป


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็เดินเข้าไปท่ามกลางบ้านหินหลายหลังที่ดูธรรมดาเหล่านั้น และผู้อาวุโสร่างอวบก็รออยู่ที่นั่นนานแล้ว


พอเขาเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็เชิญนั่งด้วยรอยยิ้ม หลังจากเขาปรบมือ หญิงสาวเผ่าทรายที่มีใบหน้างดงามก็ยกถาดไม้นำชาจิตวิญญาณมาส่งสองถ้วย


“วันนี้ลำบากพี่หลิ่วแล้ว เชิญนั่งชิมชาจิตวิญญาณของเผ่าทรายเราก่อน” ผู้อาวุโสร่างอวบประคองถ้วยชาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ท่านผู้เฒ่าเกรงใจเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงรับชาจิตวิญญาณมาหนึ่งถ้วย กลิ่นดินเหนียวเข้มข้นโชยเข้ามา ทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย แต่หลังจากจิบชาในถ้วยไปคำหนึ่ง กลับค้นพบว่ามีกลิ่นไอหอมกรุ่นไหลลงท้องพร้อมกับน้ำชา จากนั้นก็มีกระแสอุ่นๆ ไหลเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ จนดูเหมือนว่าพลังเวทจะฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้


“ครั้งนี้โจมตีหมาไนทรายจำนวนมากกับอสูรทรายร่างยักษ์สองตัวจนล่าถอยออกไปได้ ยังคงเป็นเพราะความช่วยเหลือของสหายหลิ่ว โดยเฉพาะวิชาขี่กระบี่บินของสหายหลิ่วมีอานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าเองก็นับถือเป็นยิ่งนัก” หลังจากผู้อาวุโสร่างอวบจิบชาเสร็จแล้ว ก็กล่าวออกมาเช่นนี้


“ท่านผู้เฒ่าชมเกินไปแล้ว ต่อหน้าผู้อาวุโสแล้ว การฝึกฝนอันน้อยนิดของผู้น้อยไม่นับประสาอะไร ที่สามารถสังหารอสูรยักษ์ตัวนั้นได้ ก็เพราะโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงย่อมกล่าวอย่างนอบน้อม


“เฮ่อๆ! สหายหลิ่วถ่อมตัวเกินไปแล้ว ที่ครั้งนี้ข้าเรียกสหายมานั้น ประการแรกก็เพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือในก่อนหน้า ประการที่สองยังอยากให้สหายหลิ่วช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ หนึ่งเรื่อง” ผู้อาวุโสร่างอวบกล่าวชมเชยหลิ่วหมิงสองสามประโยค จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน


“เรื่องเล็กๆ ? ไม่ทราบว่าที่ผู้อาวุโสหมายถึงคือ…” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่กลับถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน


สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย และมองหลิ่วหมิงด้วยความชื่นชมมากขึ้น หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้วก็กล่าวออกมาอีกครั้ง


“บอกสหายอย่างไม่ปิดบัง ศึกในวันนี้ หุ่นทองแดงที่ข้าควบคุมสามารถต้านทานอสูรไว้ได้ตัวหนึ่ง แต่ร่างของมันก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก บาดแผลอื่นๆ สามารถซ่อมแซมได้ สำคัญคือชิ้นส่วนแกนหลักของมันใช้งานมานานเกินไป สุดที่จะแบกรับได้แล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ มิเช่นนั้นไม่อาจรับศึกใหญ่ในครั้งหน้าได้ คิดว่าสหายหลิ่วก็คงรู้ดี หากไม่มีมนุษย์ทองแดงยักษ์คอยช่วย ด้วยพลังของเผ่าทรายเรา คงรับมือกับอสูรทรายร่างยักษ์ได้ยากเป็นอย่างยิ่ง หากครั้งหน้ายังมีอสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏอีกสองตัว เกรงว่าต่อให้จะมีสหายหลิ่วคอยช่วย เผ่าเราก็อาจจะต้องเผชิญกับอันตรายจนดับสูญได้” ในที่สุดรอยยิ้มของผู้อาวุโสร่างอวบก็หายไป และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เกิดปัญหากับชิ้นส่วนแกนหลัก ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ผู้น้อยรู้เรื่องวิชาหุ่นแค่งูๆ ปลาๆ เกรงว่าคงช่วยอะไรมากไม่ได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


“เฮ่อๆ! สหายหลิ่วเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ให้ท่านซ่อมแซมแกนสำคัญ แต่รู้มาว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งๆมีชิ้นส่วนแกนหลักแบบสำเร็จรูปอยู่ เพียงแค่สหายเข้าไปในนั้น และช่วยหยิบออกมาชิ้นหนึ่งก็พอแล้ว” ผู้อาวุโสร่างอวบรีบอธิบายออกมา


“อ๋อ! ทะเลทรายกุ่ยโม่มีสถานที่เช่นนี้ด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติในทันที หลังจากจิบชาไปคำหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ


“แน่นอนว่าข้าจะไม่ให้สหายหลิ่วช่วยเปล่า เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าสามารถเสนอโอกาสให้สหายไปจากที่นี่ได้” ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง


“โอกาสในการไปจากที่นี่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านผู้เฒ่าลองพูดมาก่อน จะให้ข้าไปหาชิ้นส่วนแกนหลักของหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์ได้จากที่ใด? และโอกาสในการไปจากที่นี่คือสิ่งใด?” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา เขาค่อยๆ วางถ้วยชาลงก่อนกล่าวออกมา


ตอนที่ 719 ขุยตี้แห่งหนานฮวง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ใจกลางทะเลทรายมีซากโบราณแห่งหนึ่ง เป็นพระราชวังที่ไม่รู้ว่ามีมากี่ปีแล้ว ในวังมีหุ่นชนิดต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายเก็บไว้มากมาย และหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์นี้เป็นหนึ่งในชนิดที่มีความเก่งกาจมากที่สุด หุ่นชนิดที่คล้ายกันก็คงมีอยู่ไม่น้อย เพียงแค่สหายหลิ่วนำแกนหลักของหุ่นที่สมบูรณ์แบบมาหนึ่งชิ้นก็พอแล้ว ส่วนวิธีการไปจากทะเลทรายแห่งนี้นั้น ต้องขออภัยที่ข้าไม่อาจบอกได้ในตอนนี้ จำเป็นต้องรอให้สหายหลิ่วนำแกนหลักกลับมาก่อนถึงจะบอกได้” ผู้อาวุโสร่างอวบกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


หลิ่วหมิงฟังจบก็ยิ้มออกมา


ผู้อาวุโสร่างอวบกลับมีสีหน้าปกติ ดูเหมือนว่าจะรอหลิ่วหมิงเอ่ยปากอย่างเงียบๆ


“ผู้อาวุโสล้อข้าเล่นแล้ว ท่านไม่บอกวิธีการไปจากที่นี่คร่าวๆ ให้ผู้น้อยก่อน ผู้น้อยจะไม่ไปหาแกนหลักของหุ่นที่ซากโบราณเด็ดขาด หากผู้น้อยนำแกนหลักของหุ่นกลับมาได้ แล้วผู้อาวุโสไม่บอกวิธีการไปจากที่นี่ ทั้งยังให้ผู้น้อยไปทำงานอื่นล่ะก็ ผู้น้อยจะทำอย่างไร อีกอย่างซากพระราชวังที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวถึงจะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นคงส่งคนเข้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะให้คนนอกอย่างข้าเป็นคนลงมือ? ถึงอย่างไรก็ตาม ข้อแก้ต่างของท่านไม่สามารถทำให้ผู้น้อยเชื่อถือได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการไปจากที่นี่ที่แน่นอน เกรงว่าผู้น้อยคงไม่อาจรับปากในเรื่องนี้ได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ


“ช่างเถอะ! การแสดงออกของสหายหลิ่วในวันนี้ ข้าก็ไม่อาจทำเหมือนท่านเป็นคนนอกได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกท่านสักหนึ่งเรื่องก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสร่างอวบคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงย่อมสดับตรับฟังด้วยความตั้งใจ


“โลกภายนอกเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าทะเลทรายกุ่ยโม่ แต่ในสายตาของชาวเผ่าทรายเรากลับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ แท้ที่จริงแล้วมันเป็นสมบัติสวรรค์ของผู้ทรงพลังเมื่อหลายพันปีก่อน ก่อนผู้ทรงพลังจะเสียชีวิตในปีนั้น ได้ย้ายสมบัตินี้ไปที่รอยแยกมิติ และทุกๆ สิบปี สมบัตินี้จะเปิดรอยแยกมิติออกมาหนึ่งครั้ง ตอนที่มาปรากฏตัวในสถานที่บางแห่งของดินแดนทางตอนใต้ พายุทรายตรงรอยแยกจะอ่อนกำลังลงมาก คนภายนอกถึงมีโอกาสเข้ามาได้ แต่ช่วงเวลานั้นก็โอกาสอันดีในการจากไป แต่ว่าจะต้องอยู่ในสถานที่เฉพาะถึงจะได้”


“พวกเราเผ่าทรายล้วนเป็นลูกหลานของผู้ติดตามผู้ทรงพลังผู้นั้น อสูรทรายที่สหายหลิ่วเห็นในก่อนหน้า คือสายเลือดของอสูรจิตวิญญาณที่ผู้ทรงพลังเลี้ยงในปีนั้น และซากโบราณที่ข้ากล่าวถึงในเมื่อครู่ ก็เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงพลังในขณะที่ยังมีชีวิต แม้ว่าผู้ทรงพลังท่านนี้จะเสียไปหลายปีแล้ว ซากโบราณที่คนระดับนี้ทิ้งไว้ไหนเลยจะไม่ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้? เป็นเพราะด้านในซากโบราณยังมีกลไกลอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีหุ่นเดินเตร่ไปมาอยู่ในวังไม่น้อย หากใครก็ตามที่เข้าใกล้ก็จะถูกโจมตีทันที”


“แต่ก่อนบรรพบุรุษของเผ่าทรายเรา ยังมีวิธีการควบคุมหุ่นที่เดินเตร่ไปมาเป็นบางส่วน แม้กระทั่งยังสามารถสั่งการอสูรทรายเหล่านั้นได้ แต่หลังจากผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี วิธีการควบคุมหุ่นในปีนั้นก็ได้สาบสูญไป ภายใต้การหมุนเวียนของสายเลือด อสูรทรายเหล่านั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้ แต่กลับกลายเป็นภัยใหญ่ของเผ่าทรายเรา”


“แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ บรรพบุรุษของเผ่าทรายเราเคยทำสาบานโลหิตว่า ลูกหลานรุ่นหลังห้ามเหยียบเข้าไปในส่วนลึกของซากโบราณแม้แต่ก้าวเดียว มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลสะท้อนกลับของการสาบาน คนในเผ่าทั้งหมดจะถูกกำจัดจนสูญสิ้น ชิ้นส่วนหุ่นที่สามารถหาได้บริเวณรอบนอกของซากโบราณ ล้วนถูกนำไปใช้จนหมดแล้ว หากจะหาต่อล่ะก็คงได้แต่เข้าไปในส่วนลึกของซากโบราณเท่านั้น แม้กระทั่งอาจต้องเข้าไปในพระราชวังด้วย นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าได้แต่ขอให้สหายไปสักรอบ เพียงแค่สหายหลิ่วสามารถหาแกนหลักมาได้ ข้าจะอาศัยสมบัติของเผ่า และยอมเสียพลังจำนวนหนึ่งส่งท่านออกไปอย่างปลอดภัยเมื่อสิบปีหน้ามาถึงอีกรอบ”


ผู้อาวุโสร่างอวบค่อยๆ พูดให้หลิ่วหมิงฟังทีละคำทีละประโยค แสดงให้เห็นถึงความจริงใจเป็นอย่างมาก


หลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้ว แม้ว่าจะไม่เชื่อคำพูดของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด แต่ก็เข้าใจขึ้นมามาก


ดูจากวิธีการพูดของผู้เฒ่าเผ่าทรายท่านนี้ ตอนที่เขาเข้ามาในทะเลทรายกุ่ยโม่นั้น เป็นช่วงเวลาที่สมบัติแห่งสวรรค์เกิดรอยแยกมิติในดินแดนทางตอนใต้ เช่นนี้ก็เท่ากับว่าตนเองต้องอยู่ในมิติแห่งนี้สิบปีถึงจะออกไปได้หรือ?


แต่ดีที่บนตัวของเขายังมีโอสถอยู่จำนวนหนึ่ง เวลาสิบปีก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรอได้


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยจะรับปากเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าเสนอ แต่ว่าท่านผู้เฒ่าจะต้องทำสาบานโลหิตรับรองว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้ว จะต้องช่วยผู้น้อยออกไปจากที่นี่” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากออกมา


“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ายินดีที่จะสาบานด้วยชีวิตของคนทั้งเผ่า หลังจากเสร็จเรื่องแล้วข้าผู้แซ่ถูจะต้องช่วยสหายหลิ่วไปจากที่นี่อย่างสุดความสามารถ หาไม่แล้วก็ขอให้เผ่าพันธุ์สูญสิ้น” ผู้อาวุร่างอวบได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ


จากนั้นเขาก็กัดนิ้วบีบโลหิตออกมาสองสามหยด และทำการสาบานโลหิตต่อหน้าหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย นับว่าเขาตอบรับในเรื่องนี้แล้ว


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายหลิ่วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะให้ซาฉู่เอ๋อร์พาท่านไปยังซากโบราณตรงใจกลางทะเลทราย ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมของสถานที่แห่งนั้น เจ้าหนูน้อยคนนี้ก็ค่อนข้างรู้ดีอยู่แล้ว จะต้องช่วยท่านได้อีกแรงอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ


“ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยต้องขอลาแล้ว”


หลิ่วหมิงลุกขึ้นมาประสานมือคารวะ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป


พอเขากลับถึงที่พักของตัวเอง ก็นอนหลับเป็นการใหญ่


ศึกในวันนี้เขาสูญเสียพลังเวทกับพลังจิตไปไม่น้อย เกรงว่าการเดินทางในวันพรุ่งนี้จะต้องอันตรายยิ่งกว่า ดังนั้นจำเป็นต้องฟื้นฟูร่างกายให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด


วันที่สอง หลิ่วหมิงนอนจนเกือบเที่ยงถึงตื่นมา


เมื่อเขาเปิดม่านประตูกระโจมด้วยท่าทางสะลึมสะลือนั้น กลับค้นพบว่าซาฉู่เอ๋อร์ได้รออยู่นานแล้ว


“พี่หลิ่ว ท่านตื่นแล้ว” ซาฉู่เอ๋อร์ยังคงใส่ผ้าขาวบางปิดหน้าอยู่ พอเห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ทำให้แม่นางซาต้องรอนานแล้ว ดูท่าท่านผู้เฒ่าคงได้บอกแม่นางฉู่เอ๋อร์ไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ” หลิ่วหมิงกล่าว


“ดี! ใจกลางซากโบราณยังอยู่ห่างจากที่นี่หลายร้อยกว่าลี้ พี่หลิ่วเองก็ไม่อาจเดินทางใต้พื้นดินทรายเหมือนคนเผ่าทรายเราได้ เกรงใจว่าคงไม่อาจไปถึงได้โดยเร็ว ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น พวกเราก็เดินทางไปด้วยพูดไปด้วยก็แล้วกัน” ซาฉู่เอ๋อร์พยักหน้ากล่าว


ต่อมา ภายใต้การนำทางของซาฉู่เอ๋อร์ หลิ่วหมิงก็ออกไปจากเมืองซาม่าน และรีบไปยังใจกลางทะเลทราย


ระหว่างทาง เนื่องจากทั้งสองต่างก็รู้จักกัน บวกกับเคยเคียงไหล่ต่อสู้ศึกดุเดือดในเมื่อวาน ทำให้ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรส


หลังจากทั้งสองพูดคุยกันเรื่องมโนสาเหร่แล้ว หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาทันที


“เกี่ยวกับผู้ทรงพลังที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึง แม่นางซาสามารถเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่?”


“ผู้ทรงพลังผู้นั้นก็เป็นเจ้าของสมบัติสวรรค์นี้ด้วย คิดว่าพี่หลิ่วเองก็คงรู้แล้ว เขาก็คือขุยตี้แห่งหนานฮวง ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ว่ากันว่าเดิมทีผู้อาวุโสท่านนี้มาจากนิกายเทียนกงที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ในแผ่นดินจงเทียน ต่อมาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงออกจากนิกายเทียนกง และกลายเป็นศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกจากนิกาย แต่ต่อมาพลังของเขาก็ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และสร้างกองทัพหุ่นขนาดใหญ่จำนวนมหาศาล อาศัยแค่พลังของหุ่น ก็เคยครอบครองดินแดนทางใต้อยู่ช่วงหนึ่ง” ซาฉู่เอ๋อร์เดินไปอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็อธิบายให้หลิ่วหมิงฟังไปด้วย


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็พูดพึมพำออกมา


“คำพูดของพี่หลิ่วหมายถึง?” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกฉงนเล็กน้อย


“ข้ารู้จักคนอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งก็เป็นคนนิกายเทียนกงเหมือนกัน มนุษย์ทองแดงยักษ์สีทองที่เขาควบคุมค่อนข้างคล้ายกับหุ่นทองแดงสีเขียวที่ท่านผู้เฒ่าควบคุมมาก ที่แท้ก็มาจากนิกายเดียวกัน” หลิ่วหมิงเองก็เอ่ยปากอธิบายโดยไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด


“ที่แท้พี่หลิ่วก็รู้จักกับคนนิกายเทียนกง ที่จริงข้าก็ไม่ได้เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าทราย ท่านพ่อของข้าไม่คนในเผ่าทราย แต่เป็นนอกที่เข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เมื่อหลายปีก่อนเหมือนกับพี่หลิ่ว เดิมทีท่านก็เป็นศิษย์ตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งในแผ่นดินจงเทียน ถูกขังอยู่ในนี้ย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ต่อมาได้รู้จักกับท่านแม่ ทั้งสองต้องใจกันจนผูกพันเป็นสามีภรรยา ตั้งแต่นั้นมาท่านพ่อของข้าก็ไม่เคยคิดที่จะไปจากที่นี่อีกเลย”


“แต่เนื่องจากการฝึกฝนของท่านพ่อถึงขีดจำกัด ไม่อาจฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ได้ เวลานานเข้าก็กลายเป็นคนธรรมดา ไม่นานก็ละสังขารไป” ซาฉู่เอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าสงบ ดวงตาดูเศร้าสลดเล็กน้อย


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอนึกถึงเรื่องราวของแปดตระกูลใหญ่ที่นางชอบถามอยู่บ่อยๆ ก็เข้าใจขึ้นมาทันที


เขาพูดปลอบใจนางไปสองประโยค จากนั้นก็จงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับซากโบราณแทน


ซาฉู่เอ๋อร์ย่อมบอกทุกสิ่งที่นางรู้


ซากโบราณไม่ได้อยู่ใกล้กับพื้นที่สีเขียว ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน โชคดีที่ยังไม่ได้พบเจอกับพายุทราย ส่วนหมาไนทรายสองสามตัวที่พบเจอในระหว่างทาง ต่างก็ถูกพวกเขาสังหารอย่างง่ายดาย โดยไม่ถ่วงเวลาพวกเขามากนัก


ผ่านไปหนึ่งวัน ทั้งสองก็มาถึงบริเวณเนินทรายแห่งหนึ่งที่ดูคล้ายภูเขาลูกเล็กๆ ที่นี่ไม่นับว่าเป็นทะเลทรายบริสุทธิ์ มีหินแปลกประหลาดขนาดต่างๆ ผุดอยู่เต็มพื้น


“ผ่านเนินทรายแห่งนี้ไปก็ใกล้จะถึงตำแหน่งของซากโบราณแล้ว” พอซาฉู่เอ๋อร์เห็นเนินทราย ก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงพยักหน้า และเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย


ตอนนี้เขาค้นพบแล้วว่า ยิ่งเข้าใกล้ซากโบราณที่พูดถึง ทะเลทรายกุยโม่ยิ่งจำกัดพลังเวทของเขามากขึ้น ตอนอยู่ที่พักในพื้นที่สีเขียว เขายังมีพลังระดับของเหลวขั้นกลางอยู่ แต่พอมาถึงสถานที่แห่งนี้ กลับอยู่ที่ขั้นต้นเท่านั้น


ไม่เพียงแต่เท่านี้ จิตรับรู้ของเขาก็ถูกจำกัดด้วยเช่นกัน ซึ่งออกจากร่างไปได้ไม่กี่จั้งเท่านั้น


ชั้นจำกัดอันร้ายกาจเช่นนี้ ดูท่าสถานที่แห่งนี้คงเป็นที่อยู่อาศัยของขุยตี้แห่งหนานฮวงอย่างไม่ต้องสงสัย


“มาถึงที่นี่แล้ว จะไม่มีพายุทรายกับอสูรทรายโจมตีอีก แต่ว่าพวกเราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น มีหุ่นวนเวียนอยู่มากมายในพื้นที่รอบๆ ซากโบราณ พวกมันจะโจมตีใครก็ตามที่คิดจะบุกเข้าไปในซากโบราณแห่งนั้น” ซาฉู่เอ๋อร์เร่งความเร็วฝีเท้าขึ้นอีกเล็กน้อย และเดินนำไปทางเนินทรายก่อน


หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับแล้วก็เดินตามนางไปติดๆ


ด้วยพลังของทั้งสอง ไม่นานก็เดินข้ามเนินทรายไป และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน


“ที่นี่คือซากโบราณที่พวกเจ้าพูดถึง……สมกับเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ในปีนั้น!”


สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือซากโบราณขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่เกือบหนึ่งหมื่นหมู่ พอทอดสายตามองออกไป ภายใต้การส่องสะท้อนของท้องฟ้าสีเหลืองสลัวๆ กำแพงที่ปรักหักพังตรงหน้าดูเตะตายิ่งนัก


ส่วนต่างๆ ของกำแพงเมืองโบราณที่เป็นจุดด่างดำเต็มไปด้วยรอยยุบที่ทิ้งไว้ตั้งแต่โบราณกาล อิฐเคลือบสีดำที่พังทลาย กระเบื้องที่แตกหัก เสาหยกสีขาวที่หักโค่นมา ทั้งหมดนี้สามารถพบเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง


ดูจากสิ่งที่พบเห็นในตอนนี้แล้ว สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ในปีนั้นจะยิ่งใหญ่มโหฬารเพียงใด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)