หมอดูยอดอัจฉริยะ 710-713

 ตอนที่ 710 ที่มาที่ไป

“น่าแปลก ทำไมฉันไม่เคยได้ยินว่ามีเงินธนบัตรสามหยวนมาก่อนเลย?”


พลิกธนบัตรในมือไปมาอยู่นาน เยี่ยเทียนมองอย่างฉงน ยุคที่เขามีชีวิตอยู่นี้ยังหลงเหลือเงินธนบัตรของปี 50 อยู่อีก เขาเกิดมาเพิ่งเคยเห็นธนบัตรสามหยวนเป็นครั้งแรก


นอกจากธนบัตรสามหยวน สิ่งที่กระจายทั่วอยู่บนพื้นคือตั๋วแลกอาหาร ของสิ่งนี้เยี่ยเทียนยังพอรู้จัก เพราะตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความตั๋วแลกอาหารแบบนี้ยังมีใช้กันอยู่ จนปี 1987 ถึงจะถูกยกเลิกไป


“เจ้านี่คงไม่ได้ออกจากเขามาหลายสิบปี?”


เยี่ยเทียนหยิบธนบัตรและตั๋วแลกอาหารมานับดู มีเงินทั้งหมดหกสิบกว่าหยวนกับตั๋วแลกข้าวสามสิบห้ากิโลกรัม เมื่อมองดูสิ่งของที่ตกยุคไปนานแล้วพวกนี้ เขาอดยิ้มฝืดไม่ได้


ถ้าคนที่เข้าใจการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องพกพาของเหล่านี้อีกแล้ว คนๆนี้จะต้องไม่ได้กลับมาสู่โลกภายนอกเป็นเวลาหลายสิบปีทีเดียว


“เดี๋ยวค่อยถามเหล่าหูดู ยังไงต้องทำลายศพนักพรตให้เรียบร้อยก่อน!” เยี่ยเทียนตัดสินใจ เก็บเอาธนบัตรและตั๋วแลกอาหารพวกนั้นเข้ากระเป๋า แล้วโยนศพลงไปในสระ


ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังโยนหัวกับร่างนั้นลงน้ำ น้ำในสระมังกรดำเกิดคลื่นใหญ่ซัดขึ้น มังกรดำผุดขึ้นมาจากน้ำ


“แว้ก แว้ก!” มันมองเห็นเยี่ยเทียนแล้วก็รีบว่ายเข้ามาทางขอบสระ ร้องเสียงดังอย่างดีใจ ร่างกายอันเทอะทะดีดส่ายไปมา ซุกหัวมหึมาลงในอ้อกอกของเยี่ยเทียน


“หายดีแล้วหรือ?”


เห็นเจ้ามังกรดำเข้ามาใกล้ เยี่ยเทียนก็ดีใจ ยื่นมือออกไปสัมผัสที่ศีรษะของมัน “แกกับนักพรตนั่นเกิดสู้กันขึ้นมาได้อย่างไร? ฉันเคยบอกแกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าออกมาปรากฏตัว?”


“แว้ก!” เห็นร่างของนักพรตในมือเยี่ยเทียนแล้ว มังกกรดำตาลุกด้วยความโกรธ เอียงหัวเข้ามาคาบเอาหัวของนักพรตไป


“อย่า อย่ากินคนจนเป็นนิสัยสิ ไม่อย่างนั้นต่อไปเวลาแกสู้กับใครฉันจะไม่ช่วยแล้วนะ!”


สำหรับเยี่ยเทียนแล้วการช่วยมังกรดำจัดการกับนักพรต นั่นเป็นเพราะนักพรตจิตใจอำมหิต แต่ถ้ามันจะกินคนต่อหน้าเขา เยี่ยเทียนก็ทนดูไม่ได้เหมือนกัน


“แว้ก แว้ก!”


เยี่ยเทียนเอ่ยปากห้าม มันไม่ได้ตั้งใจจะกินคนแต่แรกอยู่แล้ว จึงสะบัดหางทีหนึ่งปัดเอาร่างนักพรตในมือของเยี่ยเทียนให้กระเด็นออกไปไกลเกือบสิบเมตร เป็นการแสดงความจงเกลียดจงชัง ไม่ต้องการให้เยี่ยเทียนโยนศพลงในสระน้ำของมัน


“คนตายแล้วเรื่องก็จบ อย่าใจแคบไปหน่อยเลย!” เยี่ยเทียนพูดต่อว่า “คนๆนี้มีที่มา ไม่แน่ว่ายังมีศิษย์ร่วมสำนักอีกหลายคน มีแต่โยนศพลงในสระน้ำเท่านั้นถึงจะทำลายศพได้”


สระน้ำแห่งนี้ลึกสุดบรรยาย สายน้ำเย็นจัด ทั้งยังอยู่ห่างจากความสนใจของมนุษย์ ต่อให้บนร่างของนักพรตมีร่องรอยผิดปกติบางอย่าง เยี่ยเทียนก็เชื่อว่าศิษย์ร่วมสำนักของเขาไม่อาจตามมาพบได้


“แว้ก!” ฟังที่เยี่ยเทียนพูดจบ เจ้ามังกรดำหันหัวไปทางร่างไร้วิญญาณนั้นแล้วพ่นของเหลวที่ทั้งเหม็นทั้งคาวออกมาจากปาก


ของเหลวสีเขียวเมื่อสัมผัสถูกศพ เกิดเสียง “ฉี่ ฉี่” ดังขึ้น ร่างของนักพรตชั่วเหม็นเน่าคละคลุ้ง เน่าเปื่อยลงกับที่อย่างรวดเร็ว


มังกรดำพ่นเอาน้ำย่อยออกมาจากกระเพาะอาหารของมันต่อเนื่อง จนศพนั้นถูกกัดกร่อนเร็ว หลังจากนั้นห้านาที บนพื้นหลงเหลือแต่กลิ่นเหม็นคาวของน้ำย่อย ส่วนร่างของนักพรตหายไปไม่เหลือสักชิ้นส่วน


“แกทำลายศพได้ดีนี่!”


เยี่ยเทียนตาค้างมองดูวิธีการของเจ้ามังกรดำ กรดในกระเพาะของมันรุนแรงกว่าน้ำกรดธรรมดาหลายเท่า แม้แต่กระดูกสักชิ้นยังไม่เหลือ ย่อยจนหมดราบคราบทีเดียว


“แว้ก แว้ก!” หลังจากย่อยสลายร่างนักพรตหมดแล้ว มันยังสำรอกออกมาหลายครั้ง แต่ไม่ใช่น้ำย่อยกรดอีกแล้ว มันแสดงท่าทีรังเกียจเหมือนคนถ่มน้ำลาย


“ใช่แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมแกถึงไปสู้กับเขาได้? เขามาพบตัวแกได้อย่างไร?”


เยี่ยเทียนถามเป็นชุดอย่างสงสัย เจ้ามังกรดำถึงมันจะเข้าใจภาษาคน แต่ไม่อาจใช้ภาษาคนตอบกลับได้ มันจึงส่ายหัวไปมาแล้วร้องเสียงดัง “แว้ก แว้ก”


“ลืมไปเลยว่าแกพูดไม่ได้!” เยี่ยเทียนหยุดคิดแล้วบอกว่า “ฉันสอนวิชาแกให้อย่างหนึ่ง แกลองดูว่าทำได้ไหม?”


จิตดั้งเดิมของเจ้าเหมาโถวยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่อาจใช้ดวงจิตสื่อสารได้ แต่มังกรดำตัวนี้ฝึกวิชาได้ไม่ด้อยไปกว่าวานรขาวเลย คิดว่าจะต้องใช้วิชาที่ว่านี่เป็นแน่นอน เยี่ยเทียนสื่อสารถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้มังกรดำทางจิต


เมื่อถ่ายทอดจบแล้ว มังกรดำตกตะลึงนิ่งค้าง แล้วแสดงความดีอกดีใจออกมา


เยี่ยเทียนตบที่หัวของมันเบาๆ “ลองดูสิ แกลองคุยกับฉันได้ไหม?”


“นาย คือเยี่ยเทียน? ฉันคือมังกรดำ?” การสัญญาณทางจิตถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของเยี่ยเทียน


“ฮ่าฮ่า ใช้ได้จริงด้วย!” เยี่ยเทียนดีใจไปกับมัน พยักหน้าหงึกหงัก “ไม่ผิดหรอก แกก็คือมังกรดำ ฉันคือเยี่ยเทียน!”


“คนเลวนั่น รังแกฉัน!” มังกรดำใช้ดวงจิตอธิบายให้เยี่ยเทียนเข้าใจ ดูคล้ายกับเด็กน้อยที่ถูกแกล้งแล้วมาฟ้องผู้ปกครอง


“มังกรดำ แกค่อยๆพูด” เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว “ที่นี่กลิ่นเหม็นตลบอบอวล ให้ฉันจัดการครู่หนึ่ง!”


กลิ่นเน่าเปื่อยของศพนักพรตเหม็นชวนอาเจียน ทั้งกลิ่นก็ไม่ยอมจางไปเสียที จนเยี่ยเทียนชักจะทนไม่ไหว


“จัดการ?”


เห็นเยี่ยเทียนเดินไปทางกองน้ำย่อยนั่น มังกรดำเข้าใจทันที จึงหันหัวกลับสูบเอาน้ำเย็นจัดในสระเข้าไปสู่ปากของมันคำใหญ่


แล้วงอตัวเกร็งท้องพ่นน้ำออกมาใส่บริเวณที่เคยมีศพอยู่เบื้องหน้าของเยี่ยเทียน หิมะแข็งตรงนั้นถูกชะล้างจนเกลี้ยง


“แว้ก แว้ก” ทำสำเร็จแล้ว มังกรดำลืมไปว่าตัวเองใช้ดวงจิตสื่อสารกับเยี่ยเทียนได้แล้ว เผลอร้องออกมา


“ดีมาก แกเก่งมาก!”


เห็นท่าทางมังกรดำเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง เยี่ยเทียนยิ้มอย่างเอ็นดู ครั้งก่อนที่ได้รู้จักกับมันเป็นเวลาเพียงชั่วครู่ เยี่ยเทียนทั้งเกรงทั้งกลัวมังกรดำมาก มาตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นหายไปหมด


“มา บอกหน่อยซิว่านักพรตนั่นมาหาเรื่องอะไรแก? แล้วก็ แกรู้ที่มาของเขาไหม?”


แม้จะจัดการศพไปหมดแล้ว เยี่ยเทียนยังกังวลอยู่ เขาไม่คุ้นเคยกับโลกของนักพรตเต๋าเลย ไม่รู้จักใคร แล้วคนพวกนั้นใช้วิธีการแบบไหนบ้าง สามารถทำนายออกถึงการตายของนักพรตคนนี้ได้ไหม?


มังกรดำเอียงศีรษะคิดเล็กน้อย แล้วสื่อสารบอกทางจิตกับเยี่ยเทียนว่า “ฉัน ฝึกเน่ยตัน คนๆนั้น จะเอาเน่ยตันของฉัน ให้ฉันเฝ้าประตู ฉันไม่ยอม เลยสู้กัน….”


“ถ้าแกถูกริบเอาเน่ยตันไป แกจะตายไหม?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตะลึง


“ไม่หรอก แต่ไม่มีทางเป็นมังกรได้ ความสามารถ หายไปหมด…” มังกรดำส่ายหน้า ค่อยๆถ่ายทอดถ้อยคำที่ไหลลื่นขึ้น


คนกับมังกรถามตอบกันไปมา แม้เวลามังกรตอบไม่ตรงกับคำถาม แต่เยี่ยเทียนได้เข้าใจถึงเหตุการณ์ต่างๆชัดเจนขึ้น


ตั้งแต่ที่มังกรดำได้รับคำเตือนจากเยี่ยเทียน มันก็ไม่ค่อยสลายควันพิษในหุบเขาเพื่อฝึกเน่ยตันอีก แต่หลายวันก่อนหิมะตกหนักปิดทางขึ้นเขา มันรู้สึกปลอดภัยจึงเริ่มทำการดูดซับพลังสุริยันจันทรา


บังเอิญว่านักพรตคนนั้นผ่านมาทางด้านบนของหุบเขา มองเห็นมังกรดำกำลังฝึกวิชาเน่ยตันอยู่พอดี จึงเป็นต้นเหตุให้เกิดการต่อสู้ตามมา


จะว่าไปนักพรตนั่นคงมีเคราะห์กรรมหนัก สิ่งมีชีวิตอย่างมังกรดำนี้ ในดินแดนที่เขาอยู่อาศัยอาจจะมีไม่มาก แต่ไม่ถึงกับเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ ด้วยความโลภเขาจึงต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่


ฟังมังกรดำเล่าจบ เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปแล้วถามต่อว่า “เขามีที่มาอย่างไร มาจากไหน กำลังจะไปที่ใด แกพอจะรู้ไหม?”


“ไม่รู้ เขาไม่ได้บอก แต่ฉันเคยพบคนพวกนี้มาก่อน….”


มังกรดำบอกไม่ได้ว่านักพรตมีที่มาอย่างไร แต่ชีวิตของมันอายุยืนยาว ยังพอจำเรื่องราวในวัยเด็กของตนได้ ในเขาแห่งนี้มักจะมีคนบินไปบินมา แต่ตอนนั้นมันยังเด็กนัก ทำได้แต่เพียงหลบซ่อนตัวไม่กล้าออกไปปรากฏตัวให้ใครเห็น


ร้อยปีที่ผ่านมาฟ้าดินเกิดเปลี่ยนแปลงพลิกผัน คนเหล่านั้นหายไปหมด มังกรดำถึงกล้าออกมาอยู่ในเขาฉางไป๋ซานแห่งนี้ ตั้งตนเป็นราชาแห่งหุบเขา


เยี่ยเทียนรู้ว่ามังกรดำเดิมทีเป็นเพียงมังกรที่อาศัยอยู่บนเขาฉางไป๋ซาน มันอยู่ที่นี่มาช้านาน ได้รับผลของพลังธรรมชาติ ทำให้ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น และเพราะมันนี่เองที่ทำให้เกิดตำนานบึงน้ำมังกรดำขึ้น


“ใช่ละ มังกรดำ ครั้งก่อนก้อนหินที่แกให้ฉันน่ะ ในบึงน้ำยังมีอีกไหม?”


พอพูดถึงบึงน้ำมังกรดำ เยี่ยเทียนนึกถึงจุดประสงค์เดิมที่ทำให้เขาดั้นด้นมาถึงที่นี่ การต่อสู่ที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ ทำให้เขาเกือบลืมไปเลยว่าเขาต้องการจะมาตามหาหยกอ่อนสีดำ


“มี แต่มีไม่มากแล้ว เหลือแค่สามก้อนเท่านั้น!” มังกรดำอ้าปาก คาบแขนเสื้อของเยี่ยเทียนไว้แล้วทำท่าจะลากเขาลงน้ำให้ได้


“อย่านะ น้ำในบึงเย็นจะตาย ฉันไม่ลงไปหรอก!”


เยี่ยเทียนรีบดึงแขนเสื้อออก ล้ออะไรกันเล่นแบบนี้ ตอนนั้นเขายังมีพลังปราณแท้คุ้มครองกายอยู่ยังไม่กล้าลงบึงน้ำเลย ขืนลงไปตอนนี้คงได้แข็งตายอยู่ในบึงน้ำนั่นเอง


“เดี๋ยวก่อน!” มังกรดำรู้ภาษา มันพลิกตัวกลับลงไปในน้ำ ดำลงไปข้างใต้อย่างรวดเร็ว


หลังจากนั้นประมาณห้านาที คลื่นน้ำซัดขึ้นมาจากในบึง ร่างอันใหญ่ของมันผุดขึ้นเหนือน้ำอีกครั้ง เข้ามาที่ข้างกายของเยี่ยเทียน อ้าปากคายเอาของสองสิ่งออกมา


“หยกอ่อนสีดำ?!”


เห็นหินหยกที่คุ้นเคยแล้วเขาก็รู้สึกดีใจ หยกชิ้นที่มังกรดำนำมาให้คราวนี้ขนาดเท่ากำปั้นเด็กทีเดียว เยี่ยเทียนเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เขาฝึกจิตดั้งเดิมจนสำเร็จ


“ก้อนนี่เป็นก้อนที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ในบึงยังมีอีกสองก้อนเล็ก!”


แววตาของมังกรดำฉายแววเสียดายออกมา มันฝึกวิชามาจนถึงขนาดนี้ ก็เพราะอาศัยอานุภาพของหยกอ่อนสีดำ แต่มันก็ยังอ้าปากมอบหยกให้เยี่ยเทียน


“เอ๋ นี่เป็นเชือกที่รัดแกไว้ไม่ใช่หรือ?” เยี่ยเทียนมองวัตถุอีกสิ่งที่มันนำมาด้วย


บ่วงเชือกสีเหลืองอ่อนเป็นเชือกที่เมื่อครู่รัดตัวมังกรดำเอาไว้แน่น เพียงแต่ตอนนี้มันพันกระจุกกันเป็นก้อน มองดูเหมือนเชือกเด็กที่ใช้กระโดดเล่นมากกว่า


ตอนที่ 711 บ่อพลังยินหยาง

“ของสิ่งนี้วิเศษมากเลย!”


มองดูเชือกตรงหน้าแล้วมังกรดำออกอาการหวาดกลัว มันถูกเชือกเส้นนี้บาดลึกลงเกล็ด ถ้าไม่ใช่เพราะการฝึกวิชาของนักพรตไม่สูงพอ เกรงว่าเมื่อใช้ของสิ่งนี้อาจจะทำให้มันถึงแก่ชีวิตได้


“ของสิ่งนี้ใช้ทำอะไร?” เยี่ยเทียนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขามองเห็นกับตา แต่เมื่อหยิบเอาเชือกเส้นนี้ขึ้น เขาก็เกาหัวด้วยความงุนงง


จะใช้เป็นแส้ฟาดก็ดูจะนิ่มเกินไป เยี่ยเทียนไม่รู้คาถาวิธีของนักพรตจึงใช้มันไม่ถูกวิธี ของสิ่งนี้อยู่ในมือเขาเป็นของไม่มีประโยชน์ แต่จะทิ้งก็เสียดาย


“ใช้จิตดั้งเดิมสั่งมันดีไหม?” พอคิดถึงกระดิ่งที่เก็บอยู่ในอกเสื้อ เขาคิดอะไรบางอย่างออก มองไปที่เชือกเส้นนั้น


“โอ้โห อะไรมันจะขนาดนี้?”


เมื่อดวงจิตของเยี่ยเทียนสัมผัสถูกเชือก เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ระเบิดออกมา จิตดั้งเดิมของเขาลอยเข้าไปตามแรงดูดทันที เยี่ยเทียนตกใจถอนดวงจิตกลับคืนแทบไม่ทัน


ภายในเวลาชั่วครู่ มันกลืนกินพลังดวงจิตเยี่ยเทียนไปไม่น้อยจนรู้สึกวิงเวียน สีหน้าซีดขาว


“ให้ตายเถอะ นี่ไม่เรียกว่าเชือกแล้ว เรียกกับดัก ดีกว่า!”


เยี่ยเทียนโยนเชือกทิ้งราวกับมันเป็นของสกปรก จิตดั้งเดิมของเขายังไม่มั่นคง ถ้าถูกเชือกเส้นนี้ดูดพลังงานเข้าไปอาจทำให้ดวงจิตแตกสลายในที่สุด


“ของสิ่งนี่ร้ายกาจเกินไป แต่นักพรตใช้จิตดั้งเดิมสั่งการมัน จากนั้นก็ใช้พลังปราณแท้ควบคุมมันอีกที”


มังกรดำเห็นเยี่ยเทียนโยนเชือกทิ้งก็มองอย่างประหลาดใจ มันไม่เหมือนกับสัตว์วิเศษอื่น ตั้งแต่เริ่มจับพลัดจับผลูฝึกวิชาเน่ยตัน จิตดั้งเดิมของมันไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นแล้วมันคงบังคับเชือกเส้นนี้ได้


“ฉันยังฝึกวิชาไม่ถึงขั้น ทั้งเส้นลมปราณในร่างกายยังบาดเจ็บอีก น่าจะใช้มันไม่ได้ ถึงถูกมันดูดเอาพลังไป”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขารู้ดีว่าตัวเองกับระดับชั้นเซียนนั้นยังมีเหวลึกสุดแกนโลกกั้นกลางอยู่


คิดได้ดังนี้เขาจึงเก็บเชือกขึ้นมา มันเป็นอาวุธที่ร้ายแรงชิ้นหนึ่งตั้งแต่เยี่ยเทียนเคยพบเห็น ถ้าทิ้งไปเฉยๆคงจะน่าเสียดาย


ต่อให้การฝึกวิชาของเยี่ยเทียนสูงพอ เขาก็ไม่อยากใช้ของสิ่งนี้อยู่ดี หากบังเอิญให้นักพรตร่วมสำนักนั้นพบเข้า จะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรือ?


เยี่ยเทียนไม่รู้เลยว่า เชือกเส้นนั้นไม่ได้เป็นอาวุธร้ายอย่างที่เขาคิด มันเป็นเพียงของวิเศษชิ้นหนึ่งที่หาได้ยากในบรรดาผู้ฝึกเต๋า มีอานุภาพสูงกว่ากระดิ่งของเยี่ยเทียนเป็นไหนๆ


เพียงแต่นักพรตชั่วยังฝึกวิชาไม่ถึงขั้น เขาอยู่ในขั้นกลางของระดับเซียนจึงทำได้เพียงฝืนใช้มัน พลังที่ส่งออกมาจากเชือกมีแค่หนึ่งหรือสองส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น


ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกจนถึงขั้นปลายของระดับเซียน เกรงว่าจะใช้เชือกรัดมังกรดำและจัดการฆ่ามังกรดำได้อย่างไม่ยากเย็น


เมื่อคลี่เชือกออกมา ความยาวประมาณหลายสิบเมตร แต่เมื่อเก็บกลับมาจะเป็นก้อนกลมๆเล็กๆเท่านั้น เยี่ยเทียนจับมันยัดลงในกระเป๋าเป้ หันไปทางมังกรดำแล้วพูดว่า “แกรู้ไหมว่านอกหุบเขานี้มีที่ราบที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ที่นั้นมีจุดที่มีพลังธรรมชาติเข้มข้นอยู่?”


มังกรดำใช้ชีวิตอยู่บนเขามาหลายร้อยปี เขาเชื่อว่าสถานที่ที่เจ้าบอดเมิ่งหาจนพบได้ มันจะต้องรู้จักแน่นอน เยี่ยเทียนรู้สึกว่าที่ราบที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาแห่งนั้นมีความแปลก จึงสอบถามจากมังกรดำ


“ตรงนั้น? ฉันรู้ แต่ฉันชอบตรงที่มันเย็นกว่า ไม่ชอบอยู่ในที่แบบนั้น!”


มันผงกหัวตอบ คิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ที่นั่นมีบึงน้ำเหมือนกัน ฉันรู้สึกว่าที่นั่นมีของบางอย่างคล้ายกับที่นี่ เพียงแต่มีฤทธิ์ไม่เหมือนกัน!”


“แกรู้เรื่องฤทธิ์ธาตุด้วยหรือ?”


เยี่ยเทียนยิ้มดีใจ แต่แล้วก็หุบยิ้มลงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันใด เพราะเขาคิดถึงหยกที่ตอนนี้หูหงเต๋อใช้เดินพลังอยู่ พลังวิเศษในหยกนั้น ช่างแตกต่างจากหยกอ่อนสีดำตรงหน้ายิ่งนัก


หยกอ่อนสีดำมีฤทธิ์เย็นจัด หากตอนที่เดินพลังอยู่เกิดไปสัมผัสถูกมันเข้า อาจจะส่งผลร้ายแรงถึงขั้นถูกแช่แข็งไปเลยก็ได้ แม้แต่ตอนที่เขาใช้จิตดั้งเดิมดูดกลืนพลังในหยกยังรู้สึกได้ถึงกระแสความเย็น


แต่หยกชิ้นนั้นไม่เหมือนกัน พลังที่ซ่อนอยู่ภายในกลับเป็นพลังลมหายใจของชีวิต ซึ่งสามารถกระตุ้นการมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้มันถึงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของหูหงเต๋อได้


“หรือจะเป็นห้าธาตุ?”


เยี่ยเทียนนึกออก ห้าธาตุถูกเรีกอีกอย่างว่าห้าสี ธาตุน้ำสีดำ หรือหยกอ่อนสีดำนี้จะเป็นหยกธาตุน้ำ? ส่วนธาตุไม้สีเขียว หยกสีเทาที่อยู่กับหูหงเต๋อดูมีสีเขียวปน หรือมันจะเป็นหยกธาตุไม้


เจ้าบอดเมิ่งอยู่ในหุบเขานี้จนเห็นเหมือนบ้านไปแล้ว ในสภาพอากาศติดลบหลายสิบองศา แต่ยังคงอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ หรือว่าที่บึงน้ำแห่งนั้นจะมีหินที่มีพลังวิเศษธาตุไฟ?


คิดถึงตรงนี้แล้วเยี่ยเทียนใจร้อนขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะหูหงเต๋อกำลังใช้มันฝึกวิชาอยู่และต้องการคนคอยคุ้มครองละก็เยี่ยเทียนอยากจะรีบออกเดินทางไปในหุบเขาเสียเดี๋ยวนั้น


ตอนนั้นเอง เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นเพราะเขารู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ออกมาจากตัวของหูหงเต๋อพร้อมกับที่หูหงเต๋อเปล่งเสียงคำรามออกมาด้วยพลังอันท่วมท้น


“หรือว่าจะสำเร็จแล้ว?” เยี่ยเทียนดีใจ ตอนแรกคิดว่าจะให้เขาไปพักอยู่ที่ฮ่องกงกับบรรดาศิษย์พี่เพื่อฝึกวิขา ตอนนี้เห็นจะไม่ต้องแล้วเพราะหูหงเต๋อได้สำเร็จวิชาไปอีกขั้น


จากขั้นหลอมจิตเป็นปราณจนถึงขึ้นหลอมปราณสู่จิต เป็นการแสดงว่าผู้ฝึกวิชาเต๋าได้ก้าวขึ้นสู่ชั้นปรมาจารย์แล้ว สำหรับคนพวกนี้ความก้าวหน้าเทียบเท่ากับที่เยี่ยเทียนฝึกจนถึงระดับเซียน


หลายร้อยปีมานี้ ในยุคสาธารณรัฐที่การฝึกวิทยายุทธก้าวสู่จุดสูงสุด แต่มีคนเพียงไม่กี่คนที่ฝึกถึงขั้นนี้ เช่นเทพปืนหลี่ซูเหวิน เสินลู่ถัง ตู้ซินอู่ หยางลู่ฉานเป็นต้น


จนถึงปัจจุบันนอกจากตนและพวกศิษย์พี่รวมถึงหนานไหวจิ่น เยี่ยเทียนไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เยี่ยมยุทธคนไหนสามารถฝึกจนบรรลุขั้นหลอมปราณสู่จิตได้อีก


“เหล่าหู คุณนี่มาอวดดีต่อหน้าผมหรือ?”


หูหงเต๋อเปล่งเสียงเป็นเวลานานเกือบห้านานที เสียงดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา ทำให้หิมะบนไหล่เขาถล่มลงมา ฟ้าดินเกิดเปลี่ยนสี


“ฮ่าฮ่า เยี่ยเทียน ฉันได้เป็นปรมาจารย์แล้วใช่ไหม?”


หูหงเต๋อหัวเราะอย่างเปรมปรี พลังเพิ่มขึ้นล้นเหลือ แต่เมื่อมองเห็นมังกรดำที่อยู่ข้างกายเยี่ยเทียน เหมือนความกำเริบฮึกเหิมหดกลับลงฉับพลัน ยิ้มแหยพลางพูดว่า “ทำไมเจ้านี่ถึงออกมาอีกเล่า? มันบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ?”


หูหงเต๋อยืนรีรอลังเลไม่กล้าเข้าไปใกล้ ในหัวจู่ๆผุดถ้อยคำบางอย่างขึ้นมา “แกเป็นคนดี เข้ามาเถอะ ฉันไม่กินแกหรอก!”


เจ้ามังกรดำฉลาดหลักแหลม แต่มันไม่ค่อยได้สัมผัสกับมนุษย์ ในความคิดของมัน มีเพียงศัตรูกับมิตร คนดีกับคนเลวเท่านั้น


ตอนที่หูหงเต๋อยิงปืนหวังจะสังหารนักพรต ก็เพื่อจะช่วยมัน มันถึงจัดให้เขาอยู่ในกลุ่มมิตรของมันไปแล้ว


“ใคร? ใครกำลังพูดกับฉันอยู่?” หูหงเต๋อนิ่งค้างไป ฟังเสียงดูไม่ใช่เสียงของเยี่ยเทียน?


“เหล่าหู ฉันเอง ฉันคือมังกรดำ!” เสียงดังสะท้อนเข้ามาให้หัวอีกครั้ง หูหงเต๋อตกใจผงะถอยหลังลื่นล้มลงไปบนพื้น


“มัง…กรดำ?”


หูหงเต๋อนั่งงงอยู่กับพื้นไม่ขยับไปหลายนาที แล้วอุทานออกมา “ให้ตายสิ นี่มันอะไรกันเนี่ย มันพูดได้ด้วย?”


“เหล่าหู มานี่เถอะ” เยี่ยเทียนกวักมือเรียก แล้วถามอย่างเคร่งเครียด “หยกสีเทาชิ้นนั้นยังอยู่หรือเปล่า?”


แม้ตอนที่อยู่เมืองหลวงเยี่ยเทียนใช้เวลาถึงห้าวันเต็มๆในการดูดกลืนพลังวิเศษจากหยกอ่อนสีดำ ตามหลักแล้วหูหงเต๋อไม่น่าใช้เวลาเพียงน้อยนิดแค่ชั่วโมงกว่าในการฝึกวิชาสำเร็จ


หยกสีเทาหม่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อเขาจริงๆ เยี่ยเทียนเกรงจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ด้วยเพราะหินหยกทั้งสองธาตุไม่เหมือนกัน ไม่แน่ว่าพลังในหยกอาจจะเพียงพอแค่หูหงเต๋อใช้ฝึกวิชาคนเดียว


“เฮ้ เฮ้ อยู่นี่ไง!”


หูหงเต๋อเห็นท่าทางเคร่งเครียดของเยี่ยเทียนแล้วหัวเราะ ยื่นมือซ้ายแบออกมา กลางฝ่ามือของเขามีหยกสีเทาหม่นขนาดเท่าหัวนิ้วก้อยวางอยู่ดูไม่ได้ต่างจากเดิมเลย


“เอามานี่ เส้นมปราณในร่างกายของฉันอาจจะต้องใช้ของบางอย่างกระตุ้นเพื่อซ่อมแซม!”


เยี่ยเทียนคว้าเอาหยกไป ใช้จิตดั้งเดิมตรวจสอบดูอีกครั้ง แล้ววางมันลง ดูท่าการฝึกวิชาที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดของหูหงเต๋อไม่ได้ทำให้พลังในหยกสูญหายไปมากนัก


มองดูมังกรดำที่หมอบอยู่แทบเท้าตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนลังเลเล็กน้อย “มังกรดำ ของสิ่งนี้ใช้รักษาอาการบาดเจ็บทางร่างกายได้ แกจะดูดซับพลังเอาไว้หน่อยไหม?”


พูดตามตรงถ้าไม่เพราะเจ้ามังกรดำมอบหยกอ่อนสีดำขนาดเท่ากำปั้นเด็กให้เยี่ยเทียน เขาคงไม่อยากให้หยกชิ้นนี้กับมันเหมือนกัน


สัตว์เดรัจฉานยังรู้จักการแบ่งปัน เขาเป็นคนทำไมจะต้องใจแคบด้วย ถึงเลือดของมันหยุดไหลแล้ว แต่บาดแผลยังไม่สมานกันดี


มังกรดำส่ายหัว มันถ่ายทอดความคิดมาว่า “ไม่ต้อง ในบึงน้ำมีจุดหนึ่งที่แผ่พลังวิเศษออกมาได้ ก้อนหินพวกนี้กำเนิดมาจากตรงนั้นนั่นแหละ เดี๋ยวฉันไปรักษาตัวตรงนั้นก็ได้”


“บ่อพลัง? ไม่ถูกสิ ปกติบ่อพลังจะไม่ให้กำเนิดหินหยกแบบนี้นี่!”


เยี่ยเทียนงุนงง ที่เขาจำได้ว่าบ่อพลังมีเอาไว้หล่อเลี้ยงเครื่องราง ถ้าบ่อพลังสามารถให้กำเนิดหินวิเศษได้ จะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน


ด้วยพลังปราณแท้ของเยี่ยเทียนสูญสลายไปเขาจึงไม่อาจลงไปในบึงน้ำเองได้ ไม่อย่างนั้นแล้วคงต้องลงไปดูให้เห็นกับตา


เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าที่ก้นบึงน้ำมีบ่อพลังอยู่แห่งหนึ่ง เป็นแหล่งพลังยินหยาง ที่ตาบ่อเป็นพลังหยินเย็น ส่วนอีกฝากของบึงน้ำมังกรดำมีน้ำพุร้อนใต้ดิน และเป็นตำแหน่งหยางร้อน


แหล่งพลังทั้งสองแห่งนี้เกื้อหนุนซึ่งกันและกันกลายเป็นรูปปากว้ายินหยางที่สร้างโดยธรรมชาติ ที่รวบรวมเอาพลังจักรวาลที่ครอบคลุมภูเขาฉางไป๋ซานแห่งนี้มารวมอยู่ ณ ก้นบึงน้ำบังเกิดเป็นหินวิเศษที่เยี่ยเทียนได้รับมา


ส่วนนักพรตชั่วคนนั้นมีวิชาสูงกว่าเยี่ยเทียน เขาล่วงรู้ตั้งแต่แรก จึงตัดสินใจสู้ตายกับมังกรดำ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีบุคคลที่สามเข้ามาทำให้เขามีอันเป็นไป


ตอนที่ 712 กลับสู่หุบเขา

“ใช่แล้วหละ เยี่ยเทียน ศพของนักพรตนั่นล่ะ?”


หูหงเต๋อเหลียวซ้ายแลขวา ในความคิดของเขานักพรตคนนั้นไม่ต่างอะไรกับเซียน ถ้าหากรอดตายหนีไปได้ ในอนาคตจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา


“ถูกมังกรดำจัดการไปแล้ว” เยี่ยเทียนถูกคำพูดของหูหงเต๋อปลุกจากห้วงความคิด การฝึกวิชาของเขาตอนนี้ยังมองไม่เห็นบ่อพลังหยินหยางได้


“ถูกมันจัดการไปแล้ว? หรือว่าจะกินเข้าไป?”


หูหงเต๋อมองมังกรดำด้วยสายตาแปลกประหลาด เขาเหมือนกับเยี่ยเทียนตรงที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา แต่การกินคนนี่เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน


เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เปล่า ถูกมังกรดำพ่นกรดใส่จนย่อยสลายไปหมดแล้ว กระดูกสักชิ้นยังไม่เหลือ!”


“เยี่ยเทียน นักพรตนั่นร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าเกิดข่าวการตายของเขาแพร่ออกไป…”


แม้ว่าฝึกวิชาก้าวหน้ามาก แต่เมื่อเทียบกับนักพรตที่ใช้มีดปัดกระสุนออกนั้น หูหงเต๋อยังกลัวจนขนลุกไม่หาย หากพลาดไปแค่นิดเดียวคงต้องพบจุดจบเดียวกับนักพรตแล้ว


“ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องกังวล!”


เยี่ยเทียนยิ้มเย็น “การฝึกเต๋าเป็นการฝึกที่ฝืนกฎธรรมชาติ ต่อให้ฝึกขั้นสูงกว่านี้ก็ทำได้แค่ทำนายชะตาของคนอื่นว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ไม่ล่วงรู้มาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้”


ระดับขั้นของเยี่ยเทียนยังไม่ขึ้นแท่น แต่เขาเรียนรู้ลึกซึ้งในศาสตร์การทำนาย จึงค่อนข้างมั่นใจ ผู้ที่ฝึกวิชายิ่งสูงขึ้น พลังงานในร่างกายยิ่งแข็งแกร่ง เวลาคนอื่นทำนายจะเป็นไปอย่างยากเย็น


วิชาของนักพรตต้องถึงขั้นกลางของระดับเซียนเป็นอย่างต่ำ ถ้าอยากจะทำนายว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างในวันนี้ เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกวิชาจินตันขั้นสูงก็ยังทำนายไม่ได้


ตามที่วานรขาวได้บอกไว้ ขั้นสูงของระดับเซียนนั้นเป็นผู้ที่มีวิชาสูงที่สุดในโลกมนุษย์ ส่วนจะมีไหมนั้นยังไม่รู้ได้ เยี่ยเทียนจึงไม่กังวลเลยว่าเรื่องราวจะถูกเผยแพร่ออกไป


เยี่ยเทียนตัดสินใจแล้วว่าถ้าตัวเขาฝึกไม่ถึงระดับเซียนขั้นสูง เชือกมัดมังกรดำที่อยู่ในกระเป๋าตอนนี้จะไม่มีทางได้นำออกมาใช้ ไม่เช่นนั้นแล้วเท่ากับเป็นการปล่อยข่าวออกไปเอง


“ให้ตายเถอะ คนๆนี้มีที่มายังไงกันแน่นะ?” หูหงเต๋อได้ยินที่เยี่ยเทียนพูดแล้วสบถด่าออกมา เขาอยู่บนภูเขาฉางไป๋ซานมาทั้งชีวิตยังไม่เคยเจอกับคนประเภทนี้มาก่อน


“ใช่แล้ว เหล่าหู ฉันเก็บของบางอย่างมาจากร่างของนักพรตด้วย!”


เยี่ยเทียนนึกขึ้นได้ รีบควักเอาธนบัตรกับตั๋วอาหารออกมา “นายดูซิว่าเงินแบบนี้ตั้งแต่ยุคสมัยไหน ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?”


“ธนบัตรสามหยวน?”


หูหงเต๋อหยิบเงินขึ้นดูแล้วขมวดคิ้ว เป็นเงินที่ใช้ในปี 1955 ห่างจากปัจจุบันตั้งเกือบครึ่งศตวรรษ ความทรงจำที่ผ่านมานานเหลือเกิน


นึกอยู่นานในที่สุดหูหงเต๋อเอ่ยขึ้นมา “ฉันคิดออกแล้ว เงินแบบนี้มีใช้กันจริง แต่เหมือนใช้กันแค่ไม่ถึงสิบปีก็ถูกเรียกคืนหมดแล้ว”


ดูจากรูปภาพบนธนบัตรแล้ว เขาพูดต่อว่า “ตอนนั้นประเทศของเรามีสัมพันธ์อันดีกับสหภาพโซเวียต เจ้าพวกนั้นยังมีธนบัตรสามรูเบิลเลย ประเทศเราเลยทำธนบัตรสามหยวนขึ้นมาบ้าง


อีกทั้งพวกโซเวียตยังช่วยพิมพ์ธนบัตรพวกนี้ออกมาใช้ด้วย ผ่านมาอีกไม่นาน เรื่องมันก็เป็นแบบที่เรารู้กันพวก โซเวียตทะเลาะกับพวกเรา เลยสั่งให้คนของเขากลับประเทศตัวเองไปจนหมด


เพราะกลัวว่าพวกนั้นจะใช้เครื่องพิมพ์ธนบัตรผลิตธนบัตรปลอมออกมาใช้ เหมือนกับว่าตอนต้นปี 60 ธนบัตรพวกนี้เลยโดนเรียกเก็บคืนจนหมด!”


หลังจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรม หูหงเต๋อเคยเข้าทำงานในกรมป่าไม้ ตอนนั้นทางตงเป่ยมีบุคคลที่เชื่อมโยงกับ โซเวียตอยู่หลายคน เมื่อเห็นเงินพวกนี้ เรื่องราวในอดีตถูกชักนำถ่ายทอดออกมาเป็นระลอก


“เงินพวกนี้ใช้กันทั่วไปในประเทศ?” เยี่ยเทียนถาม เขายังคิดว่าจะหาเบาะแสจากธนบัตรพวกนี้ได้อีกเพื่อดูว่านักพรตคนนั้นมาจากที่ไหน


“แน่นอนว่าต้องใช้กันทั่วประเทศสิ ทำไม่เธอไม่ดูพวกตั๋วแลกอาหาร ไปสนใจธนบัตรพวกนี้ทำไมกัน?”


หูหงเต๋อสามารถฝึกวิชาบรรลุขั้นหลอมปราณสู่จิตได้นั้นเขาย่อมไม่เป็นคนโง่ เขาเดาออกถึงความคิดของเยี่ยเทียนจึงพูดต่อว่า “บนนี้มันเขียนอยู่ชัดเจนไม่ใช่หรือว่ากลุ่มการค้าอาหารแห่งปักกิ่ง ตั๋วพวกนี้ต้องมาจากเมืองหลวงแน่นอน!”


“นั่นน่ะสิ ทำไมฉันคิดไม่ถึงนะ?”


เยี่ยเทียนตบหัวตัวเอง ความสนใจของเขาถูกดึงดูดไปจดจ่ออยู่ที่ธนบัตรสามหยวนจนหมด ลืมไปเลยว่าตั๋วแลกอาหารบ่งบอกที่มาได้ดีกว่าเงินเสียอีก


ตั้งแต่ปี 1955จนถึงปี 1987 ประเทศจีนใช้ตั๋วแลกอาหารอยู่สามสิบปีเต็ม ชนิดที่มีอยู่ถูกเรียกว่า “ที่สุดของโลก”


ทั้งประเทศกว่า 2500 เมืองและตำบล ยังมีอำเภอ หมูบ้านต่างแจกจ่ายตั๋วอาหารแบบนี้ใช้กันแพร่หลาย โดยแบ่งตามประเภทของสายอาชีพ ได้แก่ กิจการการค้า เหมืองแร่ เกษตรกรรม โรงเรียน รัฐบาล ช่างกลเป็นต้น


ตามข้อความที่ระบุไว้บนตั๋วจะสามารถคำนวณได้ว่าเงินและตั๋วอาหารมาจากที่ไหน ถ้าเยี่ยเทียนยินยอม เขายังสืบหาต่อได้ว่าบัตรอาหารพวกนี้ใครเป็นคนแจกจ่ายออกมาได้ด้วย


ยุคสมัยนั้นไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพนักรบหรือชาวบ้านตาดำๆ ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก คนที่สามารถนำตั๋วอาหารและเงินจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ หากจะสืบค้นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก


หยุดคิดเล็กน้อยแล้วเยี่ยเทียนเอ่ยต่อว่า “เหล่าหู ขอยืมไฟแช็คของคุณหน่อย”


“จะเอาไฟแช็คไปทำอะไร?” หูหงเต๋อสงสัย แต่ก็ล้วงไฟแช็คออกมาส่งให้เยี่ยเทียน


“ตั๋วอาหารพวกนี้เก็บไว้ได้ แต่ธนบัตรห้ามเหลือ เผาทิ้งให้หมด!”


เยี่ยเทียนพูดพลางจุดไฟลนธนบัตรสามหยวนทั้งปึก ธนบัตรพวกนี้ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ถ้ามาอยู่ในมือเขา ไม่แน่อาจจะทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของผู้ไม่หวังดี


อำนาจของเยี่ยเทียนนั้นบางเบา ไม่อาจทนรับกับเหตุผิดพลาดใดๆได้ ไม่เช่นนั้นถ้ามีคนมาตามหาเขาถึงบ้าน ผลร้ายที่เกิดขึ้นเยี่ยเทียนรับไม่ไหว


“เยี่ยเทียน พวกเราจะไปทำอะไรต่อ ลงจากเขาไหม?” หูหงเต๋อรู้ว่าเยี่ยเทียนได้ครอบครองหยกอ่อนสีดำชิ้นใหม่ที่ได้จากมังกรดำ บรรลุวัตถุประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้แล้ว


แต่หูหงเต๋อเคยลิ้มลองฤทธิ์ความเย็นสุดขั้วของหยกอ่อนสีดำแล้ว ถึงตอนนี้จะฝึกวิชาสำเร็จ เขายังไม่ค่อยอยากเข้าใกล้มันเท่าไหร่


“ไม่ต้องรีบออกไปหรอก เหล่าหู พวกเราไปเยี่ยมชมที่พักอาศัยของเจ้าบอดเมิ่งดู ตามที่มังกรดำบอก ที่นั่นมีอะไรแปลกๆด้วย!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า ก้มตัวลงลูบหัวมังกรดำแล้วถามว่า “แกจะไปด้วยกันไหม?”


ร่างกายของมังกรดำใหญ่โตมโหฬาร แต่ลำตัวส่วนที่หนาที่สุดของมันหนากว่าเอวของเยี่ยเทียนเพียงเล็กน้อย สามารถผ่านเข้าไปในโพรงถ้ำเล็กๆได้


“ได้ ฉันไปดูกับพวกนายด้วย แต่ฉันไม่ลงไปในสระน้ำนั้นนะ!”


มันร่วมเป็นร่วมตายกับเยี่ยเทียนมาครั้งหนึ่งแล้ว อีกทั้งยังใช้จิตสื่อสารกันได้อีก เจ้ามังกรดำรู้สึกติดใจเยี่ยเทียนเข้าแล้ว แม้จะไม่ชอบอากาศแถวนั้น แต่มันไม่อยากแยกจากเขา


“ได้ งั้นเราไปดูกัน!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า สำรวจพื้นที่โดยรอบแล้วจัดการร่องรอยที่เหลือให้หมดก่อนออกเดินทาง นำหูหงเต๋อกับมังกรดำมาถึงโพรงถ้ำที่ซ่อนเร้นอยู่ใกล้ๆปากหุบเขา


เจ้าบอดเมิ่งได้เสียแรงลงทุนกับหุบเขานี้มากมาย ปากถ้ำมีประตูกลออกแบบไว้อย่างดี เยี่ยเทียนสำรวจอย่างระมัดระวัง ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ตัวใดเข้าไปได้


เดินเข้าไปในโพรงถ้ำหกเจ็ดสิบเมตร อุณหภูมิของอากาศโดยรอบสูงขึ้น เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อเดินไปถอดเสื้อผ้าไป เมื่อไปถึงกลางหุบเขา ทั้งสองคนเหลือแต่เสื้อตัวในตัวเดียว


“ให้ตายสิ มีสถานที่ดีขนาดนี้แล้ว เสี่ยวเซียนยังไปพักร้อนที่เกาะไหหลำ ที่นี่ดีกว่าเป็นไหนๆ?”


หูหงเต๋อผิวปากเสียงยาว ทางเข้าที่แคบเล็กทอดยาวร้อยกว่าเมตร ทำให้พวกเขาอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก


“เหล่าหู สถานที่นี้ห้ามบอกใครเป็นอันขาด”


เยี่ยเทียนหน้าตึงขึ้นมา เข้าได้ตั้งให้ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามส่วนตัวไปแล้ว นอกจากพวกศิษย์พี่ แม้แต่คนในครอบครัวเขายังไม่คิดจะบอก หากเกิดอะไรขึ้น ที่นี่จะเป็นสถานที่หลบภัยของเขาได้


“ฉันก็แค่ล้อเล่นน่ะ!”


เห็นเยี่ยเทียนโกรธ หูหงเต๋อรีบถอนคำพูด จะว่าไปก็แปลก ในใจของหูหงเต๋อมีความเกรงกลัวเยี่ยเทียนอยู่เหมือนกัน ตอนที่อยู่ต่อหน้าโก่วซินเจียกลับไม่มีความรู้สึกแบบนี้


“เยี่ยเทียน หินก้อนนั้น อยู่ในบ่อน้ำร้อนนี้แหละ!”


มังกรดำสื่อสารบอกคนทั้งสอง ตั้งแต่มาเข้ามาถึงในที่ราบกลางหุบเขานี้รู้สึกว่าพลังจะอ่อนแอลงมาก มันชอบอยู่ในที่อากาศหนาวเย็น ถึงมันจะมีญาณวิเศษ แต่ก็ไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมละแวกนี้


“หิน ในบ่อน้ำร้อนนี้ก็มี?” ตอนแรกที่เจ้ามังกรดำสื่อสารบอกเยี่ยเทียน หูหงเต๋อยังไม่รู้เรื่อง จึงหันมามองเยี่ยเทียน


เยี่ยเทียนพยักหน้า “มังกรดำบอกว่ามี ทั้งยังมีพลังที่ไม่เหมือนกับหยกอ่อนสีดำด้วย แต่บ่อน้ำร้อนนี้ฉันลงไปไม่ได้ เหล่าหู คุณลองดูเป็นไง?”


เมื่อเดินมาถึงขอบบ่อ เยี่ยเทียนยื่นมือลงไปทดสอบอุณหภูมิน้ำ น่าจะอยู่ที่ประมาณห้าถึงหกสิบองศา


นี่อยู่แค่ที่ขอบบ่อ ไม่รู้ว่าตรงกลางบ่อที่มีฟองผุดขึ้นมาเรื่อยๆนั้น จะเหมือนกับน้ำที่เดือดหรือเปล่า เยี่ยเทียนไม่มีพลังปราณแท้ป้องกันตัว ไม่กล้าลงน้ำไปทดสอบ


“ฉัน? ก็ได้ ฉันจะลองดู!”


หูหงเต๋อมองดูฟองที่ผุดขึ้นมาที่เหนือน้ำแล้วถอดเสื้อผ้าออกอย่างไม่เต็มใจนัก แม้เมื่อครู่เขาจะฝึกวิชาจนก้าวกระโดด ยังต้องสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้พลังปราณแท้ไหลเวียนทั่วร่างกาย


“ได้อยู่ น้ำอุ่นกำลังสบาย” เมื่อย่ำลงไปในบ่อน้ำร้อน หูหงเต๋อรู้สึกถึงความอบอุ่นสบายแผ่ซ่าน


“ให้ตายเถอะ ที่นี่ต้องมีเจ็ดถึงแปดสิบองศาได้!”


พอหูหงเต๋อเดินลงไปลึกขึ้น ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เขายังมีพลังปราณแท้คุ้มกันเขาอยู่จึงทนได้


ในยุทธภพมีการใช้มือเปล่าจุ่มลงไปในน้ำมันเดือดงมหาเหรียญ นั่นไม่ใช่การแสดงปาหี่หลอกตา แต่ผู้กระทำต้องฝึกวิชามีพลังดั้งเดิมคุ้มครอง ใช้พลังครอบคลุมมือเอาไว้ น้ำมันเดือดก็ไม่อาจทำอันตรายได้


หูหงเต๋อฝึกวิชาถึงขั้นนี้ พลังดั้งเดิมแผ่ปกคลุมทั้งตัว ต่อให้นั่งอยู่ในน้ำเดือด อาจจะบ่นนิดหน่อยแต่ค่อยๆหย่อนตัวลงไปในน้ำลึก


“เหล่าหู ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นมา น้ำในบ่อมันร้อนเกินไป!”


เห็นกระหม่อมของหูหงเต๋อยังไม่จมลงไปในน้ำ เยี่ยเทียนรู้สึกกังวล เสียงเดือดปุดๆกลางสระฟังแล้วน่าหวั่นใจเสียจริง


ตอนที่ 713 เร้นกาย (1)

“มังกรดำ เหล่าหูคงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”


หลังจากหูหงเต๋อดำลงไปในบ่อน้ำร้อน เยี่ยเทียนก็มองไม่เห็นสภาพใต้ผิวน้ำอีก เพราะบ่อน้ำร้อนแห่งนี้ดูเหมือนจะสามารถตัดขาดจิตสัมผัสจากภายนอกไม่ให้เข้าไปสืบค้นได้ จิตดั้งเดิมของเขาจึงไม่อาจเข้าไปในนั้นได้


เยี่ยเทียนมองดูฟองอากาศที่ผุดขึ้นมาบนผิวน้ำในบ่อน้ำร้อน ในใจเริ่มจะรู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว หูหงเต๋อเพิ่งจะเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตได้ไม่นาน ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา หลังจากลงภูเขาแล้วเขาจะไปอธิบายกับพวกหูเสี่ยวเซียนว่าอย่างไรล่ะ?


“ไม่เป็นไรหรอก ฉันสัมผัสถึงพลังชีวิตของเขาได้ ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน!”


ถึงมังกรดำจะไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่ร้อนแผดเผาของที่นี่ แต่มันก็มีพลังฝีมือสูงกว่าเยี่ยเทียนมาก อีกทั้งยังรู้เกี่ยวกับน้ำเป็นอย่างดี จึงสามารถบอกสภาพใต้น้ำโดยดูจากลักษณะของคลื่นได้


เมื่อได้ยินคำตอบของมังกรดำ สีหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยเทียนก็ผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มังกรดำ แกส่งกระแสจิตเรียกให้เขากลับขึ้นมาเถอะนะ!”


“บ้าเอ๊ย แทบจะโดนต้มสุก ทนไม่ไหวแล้ว!”


ใครเลยจะรู้ว่า เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ ผิวน้ำก็กระเพื่อมขึ้นมาในฉับพลัน เงาร่างของหูหงเต๋อพุ่งกระโจนออกมาจากบ่อน้ำร้อน ระหว่างที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็เริ่มเอะอะโวยวายขึ้นมาแล้ว


หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว หูหงเต๋อก็โบกมือให้เยี่ยเทียนรัวๆ “ไม่ได้หรอกเยี่ยเทียน อุณหภูมิน้ำข้างล่างนั่นน่าจะสูงกว่าร้อยองศาแล้วละ ฉันลงไปอีกไม่ได้แล้วจริงๆ!”


“เหล่าหู แล้วร่างกายคุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”


เมื่อเห็นสภาพร่างกายของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็ตะลึงอึ้งไป เนื่องจากหูหงเต๋อใช้ชีวิตอยู่บนภูเขากลางแจ้งมาเป็นปีๆ จึงมีผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ตอนนี้เขากลับแดงไปทั้งตัว จนแทบจะไม่แตกต่างอะไรกับกุ้งที่ถูกต้มจนสุก


“ตอนนี้น่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าลงไปอีกละก็ได้เป็นแน่!”


หูหงเต๋อมองเยี่ยเทียนอย่างขุ่นเคือง “ที่นี่มีปล่องภูเขาไฟที่ยังคุอยู่รึเปล่าเนี่ย? ทำไมอุณหภูมิข้างล่างมันถึงได้สูงขนาดนั้น?”


คนที่มีอายุประมาณหูหงเต๋อนี้ ปกติเวลาไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำก็มักจะชอบแช่น้ำร้อน ซึ่งอย่างต่ำก็มีอุณหภูมิสูงกว่าห้าสิบหรือหกสิบองศาแล้ว พวกคนหนุ่มสาวคงลงไปแช่ไม่ไหวแน่


แต่ตอนนี้ต่อให้ใช้พลังปราณคุ้มกายไว้แล้วลงไปในบึงนี้ เขาก็คงจะไม่อาจทนทานได้อยู่ดี ความรู้สึกแบบนั้นราวกับถูกจับย่างบนเตาก็ไม่ปาน จนอวัยวะภายในแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว


“เหล่าหู ได้ลงไปจนถึงก้นบ่อรึเปล่า?” หลังจากรอจนหูหงเต๋อหยุดหอบแล้ว เยี่ยเทียนจึงเอ่ยถามขึ้น อุตส่าห์ลงไปแล้ว ก็น่าจะได้ประโยชน์อะไรมาบ้างสิน่า


“เปล่า ลงไปสิบกว่าเมตรฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว กว่าจะถึงก้นบ่อต้องไปอีกลึกแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย”


หูหงเต๋อส่ายหน้า แล้วพูดกับเยี่ยเทียนว่า “ฉันไม่ลงไปแล้วนะ ให้หนาวจนแข็งตายยังจะสบายกว่าหน่อย ถ้าโดนบ่อนี่ต้มสุกไปละก็ มันจะตายอนาถเกินไปแล้วนะ!”


“ก็ไม่ได้ว่าจะให้คุณลงไปนี่”


เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วหันหน้าไปพูดกับมังกรดำว่า “บึงน้ำมังกรดำนั่นมันลึกขนาดไหนกันนะ? แกคิดว่า ต้องมีแกมาต่อกันสักกี่ตัว ถึงจะเท่าความลึกของบึงนั่นน่ะ!”


เยี่ยเทียนรู้ว่า มังกรดำเพิ่งจะหัดใช้กระแสจิตถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ไม่นาน ถ้าจะให้มันเปรียบเทียบให้ฟังอย่างละเอียด ก็คงจะเหมือนไปถามทางกับคนตาบอด


“สิบกว่าตัวละมั้ง!” มังกรดำส่งกระแสจิตออกมา “ต่อให้เป็นน้ำที่หนาวเย็นขนาดไหนฉันก็ลงไปได้ทั้งนั้น แต่ที่นี่คงไม่ได้หรอก มันขัดกับธาตุของฉัน!”


“สิบกว่าตัว?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป แล้วขมวดคิ้วขึ้นมา “ถึงจะลงไปได้ ก็คงทนแรงกดดันในน้ำนั่นไม่ได้อยู่ดีแหละ!”


มังกรดำมีลำตัวยาวประมาณแปดเมตร ถ้ามีสิบกว่าตัวต่อกันก็เป็นความลึกมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรแล้ว ซึ่งก็แทบจะเกินกว่าขีดจำกัดของการดำน้ำในทะเลลึกระดับสากลแล้ว เยี่ยเทียนไม่มีพลังปราณคุ้มกาย เกรงว่ายังไปไม่ถึงก้นบึง อวัยวะภายในก็คงจะถูกกดดันจนแหลกไปหมดแล้ว


“เยี่ยเทียน ของที่อยู่ก้นบ่อนั่นน่ะ เลิกนึกถึงมันไปเถอะน่า”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางยังไม่ยอมแพ้ หูหงเต๋อก็เบะปาก “ตามความเห็นของฉันนะ เธอต้องมีฝีมือเหมือนนักพรตนั่นเท่านั้นแหละ ถึงจะลงไปที่ก้นบึงได้ ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดไปได้เลย!”


“ถ้าฝึกปราณแท้ออกมาได้ ก็น่าจะลงไปได้จริงๆ นั่นแหละนะ” ตอนแรกหูหงเต๋อตั้งใจจะพูดหยอกเยี่ยเทียนเฉยๆ แต่เยี่ยเทียนได้ยินแล้วกลับตาลุกวาวขึ้นมา


“พอเถอะเยี่ยเทียน หินนั่นเธอก็ได้มาแล้วนี่ หรือว่า…พวกเราลงเขากันก่อนไหม? ถ้าดีไม่ดีเกิดมีนักพรตโผล่มาอีกสองคน เราก็ไม่มีปัญญาไปสู้กับพวกนั้นได้หรอก!”


กล่าวตามตรง หลังจากได้ประจักษ์ฝีมือของนักพรตรูปนั้นแล้ว หูหงเต๋อก็รู้สึกหวาดหวั่นจริงๆ จนไม่อยากจะอยู่บนภูเขานี่ต่อไปอีกแล้ว


“ลงเขา?” เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เหล่าหู ผมจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะ คุณกลับไปก่อนก็แล้วกันนะ!”


แม้ว่าปราณวิเศษของที่นี่จะด้อยกว่าของค่ายกลชุมนุมพลังที่ฮ่องกงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ อยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมารบกวน เยี่ยเทียนจึงสามารถทุ่มเทกับการฝึกปราณได้อย่างเต็มที่


เยี่ยเทียนคิดไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้าสามารถนำหยกดำมาจากมังกรดำได้ เขาก็จะฝึกปราณอยู่ในหุบเขานี่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง


ตอนนี้นอกจากจะได้หยกดำมาแล้ว ยังได้ศิลาสีครามก้อนนั้นมาจากนักพรตอีกด้วย และพลังที่อยู่ในนั้นก็เหมือนจะมีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูจุดตันเถียนมาก เยี่ยเทียนจึงยิ่งไม่อยากกลับออกไปเป็นธรรมดา


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่ยอมลงเขา หูหงเต๋อก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า “เอาเถอะ ฉันจะอยู่ช่วยเธอที่นี่ก็แล้วกัน!”


“เหล่าหู ไม่ต้องคอยช่วยผมหรอก คุณลงเขาไปบอกข่าวกับทางบ้านผมก่อนดีกว่า พวกเขาจะได้ไม่เป็นห่วงกัน!” เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าเขาไม่ได้ติดต่อกับที่บ้านเลยเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือนละก็ แม่ของเขาจะเป็นห่วงขนาดไหนก็ไม่รู้


หูหงเต๋อถามอย่างคลางแคลงใจ “แล้ว…แล้วจากนี้เธอจะไปหาอาหารหาน้ำจากที่ไหนล่ะ?”


“ไอ้บอดเมิ่งทิ้งข้าวกับแป้งไว้ที่นี่ตั้งเยอะแยะ แล้วในหุบเขานี่ก็มีแต่ต้นผลไม้ทั้งนั้น ยังกลัวว่าผมจะหิวอีกรึ?”


เยี่ยเทียนยิ้มขึ้นมา แต่แล้วหุบยิ้มลงทันที “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผลนะ มังกรดำ ช่วงนี้แกอย่ากลับไปที่บึงน้ำมังกรดำเลยนะ อยู่ที่นี่กับฉันดีกว่าไหม?”


แม้เยี่ยเทียนจะเชื่อมั่นว่าตัวเองทำลายหลักฐานไปจนหมดแล้ว แต่เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญเลย ลึกๆ ในใจจึงยังคงรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ที่ตั้งของหุบเขาแห่งนี้เร้นลับอย่างยิ่ง และยังสามารถสกัดกั้นจิตสัมผัสจากภายนอกได้อีกด้วย จึงนับว่าเป็นสถานที่เร้นกายที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง


“ไม่เป็นไร ต่อไปตอนกลางวันฉันก็จะอยู่แต่ที่ก้นบึงนั่นแหละ ไม่กลัวหรอก!”


มังกรดำส่ายศีรษะของมันไปมา มันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปอีก เพราะเวลาอยู่ในหุบเขานี้แล้วมันรู้สึกไม่เป็นอิสระเลย


และขอเพียงมังกรดำไม่ออกจากบึงลึกแห่งนั้น ต่อให้มีนักพรตแบบนั้นมากันอีกกี่คนมันก็ไม่กลัว ถึงอย่างไรมังกรดำก็มีชีวิตอยู่ในบึงน้ำมาหลายร้อยปีแล้ว ทำให้มันได้ครอบครองชัยภูมิที่ดี


“ก็ได้ อย่างนั้นแกก็ระวังตัวหน่อยล่ะ หลังจากฉันเสร็จจากการเร้นกายแล้วจะไปหานะ!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบส่งข้อความตอนหนึ่งเข้าสู่สมองของมังกรดำ แล้วถามว่า “นี่เป็นตอนหนึ่งของวิชาฝึกบำเพ็ญสำหรับสัตว์ที่ฉันได้มาน่ะ แกลองดูนะว่าจะฝึกได้ไหม?”


วิชาที่อยู่ในจี้หยกซึ่งถูกเยี่ยเทียนทำลายไปแล้วนั้น แทนที่จะเรียกว่าข้อความ น่าจะเรียกว่าเป็นกระแสคลื่นทางจิตอย่างหนึ่งมากกว่า เยี่ยเทียนจึงไม่กลัวเลยว่ามังกรดำจะไม่เข้าใจความหมายของมัน


ขณะที่วิชานั้นถ่ายเข้าสู่สมองของมังกรดำ ดวงตาคู่โตเท่าหลอดไฟของมังกรดำก็เหมือนจะสว่างวาบหนึ่ง แล้วจากนั้นก็หลับตาลงสนิทแน่น ราวกับกำลังทำความเข้าใจกับบางสิ่งบางอย่าง


ผ่านไปสิบกว่านาที ไอปราณบนร่างของมังกรดำเริ่มอ่อนลงอย่างกะทันหัน พลังที่ในตอนแรกสามารถรู้สึกได้ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนนั้น ก็เก็บงำไว้ภายในกายจนหมดแล้ว


“ได้ ฉันฝึกได้ เยี่ยเทียน ฉันก็จะกลับไปเร้นกายบ้างละนะ!”


คงเพราะวิชานั้นเป็นประโยชน์ต่อมันอย่างมาก เมื่อมังกรดำลืมตาขึ้นอีกครั้ง จึงส่งกระแสจิตต่อเยี่ยเทียนอย่างรีบร้อนลนลาน แล้วกระโจนร่างหายไปในปากถ้ำที่เป็นทางเข้าหุบเขาทันที


“มันนี่โผงผางจริงแฮะ บทจะไปก็ไปเฉยเลยรึ?”


จนกระทั่งมังกรดำจากไปได้พักหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนถึงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา แม้ว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้จะมีสติปัญญา แต่ความคิดของมันก็แตกต่างจากมนุษย์อย่างสุดขั้ว และทำอะไรตรงไปตรงมาเสียจนเยี่ยเทียนปรับตัวไม่ทันเลย


เยี่ยเทียนหันหน้าไปพูดกับหูหงเต๋อว่า “เอาละ เหล่าหู คุณก็ลงเขาไปเถอะนะ อย่าลืมโทรศัพท์บอกที่บ้านผมให้ด้วยล่ะ บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ!”


หูหงเต๋อพยักหน้า “ได้ พอลงจากเขาแล้วฉันจะไปที่ปักกิ่งก่อน จากนั้นก็ไปอยู่กับคุณลุงที่ฮ่องกงสักระยะหนึ่ง ถ้าเธอออกจากการเร้นกายแล้ว ก็ตรงไปที่สถานีป่าไม้นอกภูเขาเลยนะ แล้วเสี่ยวซ่งจะส่งคุณเข้าเมืองเอง!”


หูหงเต๋อเพิ่งจะเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิต แต่เขาไม่มีวิชายุทธที่เหมาะสมกับระดับนี้เลย และในใจก็ยังมีปมที่ไม่ได้คลี่คลายอีกมากมาย จึงตั้งใจว่าจะไปหาโก่วซินเจียที่ฮ่องกงเพื่อพัฒนาพลังฝีมือของตน


เยี่ยเทียนส่งหูหงเต๋อออกจากหุบเขา แล้วไปหามีดสั้นที่นักพรตซัดออกมาในป่าแห่งนั้นจนพบ


มีดสั้นเล่มนี้มีความยาวเพียงสามชุ่นเศษ ซึ่งเท่ากับประมาณสิบกว่าเซนติเมตร จึงสามารถวางไว้บนฝ่ามือได้ วัสดุไม่ใช่ทั้งเหล็กและทอง แต่กลับคมกริบเหนือธรรมดา กรีดเบาๆ ก็สามารถทิ้งรอยไว้บนหินผาอันแข็งแกร่งได้แล้ว


หูหงเต๋อเกือบจะต้องจบชีวิตลงใต้คมมีดสั้นเล่มนี้แล้ว ส่วนเขาเองก็ไม่อยากจะสร้างเวรกรรมอะไรกับนักพรตรูปนั้นอีก เยี่ยเทียนจึงนำมีดสั้นเล่มนี้เข้าไปในหุบเขาด้วย


“สมัยโบราณเคยมีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับกระบี่เซียนหรือมีดเซียนอยู่ แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดตัดหัวข้าศึกในระยะพันลี้ได้นี่ นักพรตรูปนั้นก็คงทำไม่ได้หรอก แต่ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ในระยะสักลี้สองลี้ก็น่าจะทำได้ไม่มีปัญหา หรือว่านี่จะเป็นมีดบินในตำนาน?


“อ้าว? ส่งจิตดั้งเดิมเข้าไปไม่ได้ แล้วทีนี้จะปลุกเสกยังไงล่ะเนี่ย?”


เมื่อวางมีดสั้นเล่มนั้นลงบนฝ่ามือแล้ว เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงปราณสังหารอันเย็นเยียบ จนปลายแขนของเขารู้สึกชาขึ้นมา ยามนั้นจึงแผ่จิตดั้งเดิมออกมา เพื่อที่จะลองสำรวจตรวจดู กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกมีดสั้นเล่มนั้นดีดสะท้อนกลับมา


นี่เป็นเพราะเยี่ยเทียนไม่รู้ว่า หากต้องการจะร่ายอาคมปลุกเสกอาวุธวิเศษ ไม่เพียงแต่ต้องใช้จิตดั้งเดิมเท่านั้น ปราณแท้เองก็มีความสำคัญเช่นกัน


อย่างมีดเซียนที่อยู่ในตำนานเหล่านั้น ก็ต้องนำปราณแท้จากจุดตันเถียนไปใช้เสมือนเป็นลมหายใจของมีด โดยถ่ายพลังปราณในกายเข้าสู่ตัวมีด จากนั้นก็โคจรพลังซ้ำหลายๆ รอบ แล้วจึงจะถ่ายปราณมีดไปเก็บไว้ในจุดตันเถียนของตัวเอง


หลังจากทำเช่นนี้ต่อเนื่องไปปีแล้วปีเล่า จิตใจของคนกับมีดก็จะเชื่อมโยงถึงกัน เช่นนี้จึงจะสามารถใช้มีดได้ราวกับเป็นแขนของตัวเอง ไม่มีความติดขัดใดๆ เลยแม้แต่น้อย


แน่นอนว่า ตอนนี้เยี่ยเทียนยังไม่รู้หลักการเหล่านี้เลย เขาเพียงแต่รู้สึกสนใจเกี่ยวกับมีดสั้นเล่มนี้อยู่บ้างเท่านั้นเอง ในเมื่อหาหนทางไม่ได้ เขาจึงไม่ไปขบคิดถึงมันอีก และเก็บมีดสั้นไว้กับตน


“ไอ้บอดเมิ่งนี่มันรู้จักหาที่ดีจริงๆ นะ สงสัยว่า แม้แต่สมัยที่ยอดคนรุ่นก่อนๆ ยังไม่หายไปจากแผ่นดินนี้ ก็คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะหาทำเลที่เหมาะแก่การเร้นกายฝึกบำเพ็ญถึงขนาดนี้ได้น่ะ!”


ในหุบเขาเต็มไปด้วยไอร้อน ปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์ ราวกับเป็นแดนเซียนก็ไม่ปาน ลำพังแค่ภาพที่เห็นจากภายนอก ก็ไม่เป็นรองเมืองโบราณที่เขตป่าเสินหนงเจี้ยแล้ว


เยี่ยเทียนไม่ได้รีบร้อนที่จะฝึกบำเพ็ญ เขานั่งเตรียมตัวปรับสภาพที่ริมบ่อน้ำร้อนเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลงก่อน จากนั้นจึงจะหยิบหยกขนาดเท่านิ้วก้อยชิ้นนั้นออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)