ลำนำบุปผาพิษ 703-718
บทที่ 703 ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น!
เรื่องที่เขาพูดต่อให้เป็นหลงซือเย่ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้อย่างสมบูรณ์
หากว่าทั้งหมดที่ตี้ฝูอีกล่าวเป็นความจริงเล่า?!
เขาไม่อาจนำชีวิตของซีจิ่วมาเสี่ยงได้!
แต่ปล่อยไว้เช่นนี้หรือ? ต้อปล่อยให้เธอกลายเป็นสวะไร้ค่าอย่างสิ้นเชิงหรือ?
อย่าว่าแต่เธอที่ไม่ยอมรับเลย เขาก็ไม่ยอมรับเหมือนกัน!
เขาไม่สนใจว่าเธอจะเป็นสวะไร้ค่าหรือไม่ ไม่สนใจตำหนิเล็กๆ น้อยๆ บนหน้าเธอ ทว่าไม่สนใจชีวิตเธอที่จะไม่ยืนยาวไม่ได้…
หากชั่วชีวิตนี้เธอกลายเป็นสวะไร้ค่าอย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ไม่อาจฝึกฝนพลังวิญญาณได้อีก เมื่อไม่มีพลังวิญญาณก็ฝึกฝนวิชายืดอายุขัยไม่ได้ เช่นนั้นเธอก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่มีชีวิตได้มากสุดหนึ่งร้อยแปดสิบปี จากนั้นก็จะกลายเป็นหญิงชราแล้วตายจากไป…
เขาไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้!
เขากำมือแน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่าวิชาแพทย์ของตนยังไม่เก่งกาจพอ ยามนี้คนรักที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเช่นนี้ ทว่าเขากลับช่วยอะไรไม่ได้…
“หลงซือเย่ ข้าอยากได้คำยืนยันอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าไม่มีวิธีถอนกระบี่นี้ออกภายในครึ่งชั่วยามใช่หรือไม่?” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเขาที่กำลังเสียใจและแค้นใจตนเองอยู่
หลงซือเย่ส่ายศีรษะ “ไม่…ไม่มี”
ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วอีกครั้ง “เจ้าไม่อยากกลายเป็นสวะไร้ค่าอีกครั้งใช่ไหม?”
พูดจาไร้สาระ!
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ ไม่เอ่ยตอบ
“ข้ามีวิธีช่วยนาง!” ตี้ฝูอีสูดหายใจเบาๆ ปาระเบิดลูกหนึ่งออกมา
สองคนที่อยู่บนเตียงเงยหน้ามองเขาพร้อมกัน
“วิธีใด?” หลงซือเย่รีบถาม
ตี้ฝูอีมองคนทั้งสองที่ประคับประคองกัน ก้นบึ้งดวงตาคล้ายมีกระแสความมืดมิดพาดผ่าน “ไม่สำคัญว่าข้าจะใช้วิธีใด สรุปคือข้าสามารถทำให้นางฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ เพียงแต่ ถ้าต้องการให้ข้าลงมือข้าก็มีเงื่อนไขเช่นกัน ถ้าพวกเจ้าตกลงข้าจะลงมือทันที หากไม่ตกลงข้าก็จะจากไปทันที ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออีก!”
เห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นนึกไม่ถึงว่าเขาจะยื่นเงื่อนไขในยามนี้ กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อทันที
หลงซือเย่สุดหายใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “ตี้ฝูอี หนนี้ที่นางได้รับบาดเจ็บเช่นนี้เดิมทีก็มีสาเหตุมาจากเจ้า! หากมิใช่เจ้ากล่าวบนเวทีว่าสองฝ่ายต้องสู้โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน บาดเจ็บตกตายไม่มีโทษ อวิ๋นชิงหลัวจะกล้าใช้กระบี่เช่นนี้ทำร้ายคนได้อย่างไร?! ตอนนี้เจ้ามีวิธีช่วยเหลือซีจิ่วยังจะคิดยื่นเงื่อนไขอีกหรือ?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง ยกยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “เจ้าสามารถพูดจาไร้สาระกับข้าต่อได้ เจ้ากับข้าโอ้เอ้ต่อไปได้ แต่กู้ซีจิ่ว…นางโอ้เอ้ต่อได้หรือ? ยามนี้นาวได้รับบาดเจ็บมาครึ่งเค่อแล้ว…”
หลงซือเย่พูดไม่ออก
ตอนนี้ในใจของกู้ซีจิ่วก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เธอรู้ว่าตี้ฝูอีผู้นี้น่าชิงชัง ไร้ขีดกำจัดล่าง เพียงแต่นึกไม่ว่าจะไร้ยางอายและเลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้…
ในใจเธอบอกไม่ถูกว่าผิดหวังหรือว่าอะไร พูดจาเข้าประเด็นทันที “เงื่อนไขอะไร?”
ตี้ฝูอีมองนาง ย่อมสัมผัสได้ถึงความดูหมิ่นชิงชังในก้นบึ้งดวงตาของนาง ในใจดั่งถูกเข็มแหลมทิ่มแทง ทว่ารอยยิ้มตรงมุมปากกลับไม่แปรเปลี่ยน “เจ้าต้องแต่งกับข้า!”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
คนผู้นี้ป่วยเป็นโรคประสาทหรือ?! บ้าไปแล้วกระมัง?! มาบังคับให้แต่งงานในยามนี้!
กู้ซีจิ่วถลึงตามองด้วยสายตาที่ใช้มองคนบ้า กล่าวออกมาเพียงสามคำ “ฝันไปเถอะ!”
หากว่าเขาวิ่งมาขอเธอแต่งงานก่อนหน้าเทศกาลความรักเมื่อคืนนี้ เธออาจจะนึกว่าเขาชอบเธอด้วยใจจริง ดังนั้นถึงได้ทำทุกทางเพื่อบังคับให้แต่งงาน
แต่หลังจากผ่านคืนนั้นไป เขาขอเธอแต่งงานอีกครั้งเธอกลับมีแค่ความรู้สึกรังเกียจ!
คนผู้นี้เมื่อคืนยังอี๋อ๋อกับอวิ๋นชิงหลัวอยู่เลย วันนี้อวิ๋นชิงหลัวถูกซัดจนไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาไม่เพียงแต่ไม่ไปดูสักแวบเท่านั้น กลับมาข่มขู่ให้ตัวเธอกู้ซีจิ่วตอบรับคำขอแต่งงานของเขางั้นหรือ?
วงจรสมองเขาสวนกระแสกับคนทั่วไปหรือ? สรุปแล้วเขาชอบใครกันแน่?
————————————————————————————-
บทที่ 704 สิ้นชีพใต้โบตั๋นบานสะพรั่ง มอดม้วยเป็นผีก็สุขสำราญ
หรือว่าเขาจะต้องการทั้งกุหลาบขาวและกุหลาบแดง? เมื่อคืนจัดการกับอวิ๋นชิงหลัว วันนี้เลยคิดจะมาจัดการตัวเธอกู้ซีจิ่วสินะ? จากนั้นก็โอบกอดโฉมงามทั้งสองไว้ใช่หรือไม่?
ขยะ! เดนมนุษย์!
ตอนนี้กู้ซีจิ่วเจ็บจนไม่มีแรงแล้ว หากว่าเธอยังมีเรี่ยวแรงอยู่บ้างคงอยากยื่นเท้าไปถีบคนผู้นี้ให้กระเด็น ทำให้เขาไสหัวไปไกลๆ ซะ!
คิ้วคมของหลงซือเย่ขมวดแน่น “ตี้ฝูอี ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น!”
รอยยิ้มตรงมุมปากตี้ฝูอีเลือนหายไป กล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าก็ไม่ได้ล้อเจ้าเล่นเหมือนกัน!”
“เหตุใดต้องเป็นนาง? ตี้ฝูอี ด้วยเงื่อนไขของเจ้าสตรีแบบไหนเล่าที่จะต้องการ? เหตุใดต้องบังคับนางในยามนี้? เจ้าก็รู้อยู่ชัดเจนว่านางไม่ได้รักเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้รักนาง เหตุใดต้องฝืนใจผู้อื่น?” หลงซือเย่กำหมัด
“เจ้าสำนักหลง ข้ารักนางหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า! ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นนาง…” สายตาตี้ฝูอีหยุดอยู่ที่ใบหน้ากู้ซีจิ่ว ยิ้มบางๆ “บางทีอาจเป็นเพราะข้าชอบนางกระมัง?”
บางที?
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าโทสะพวยพุ่งขึ้นศีรษะ เธอสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง ไม่สนใจความเจ็บปวดที่กระบี่เล่มนั้นเชือดเฉือนทรวงอก กล่าวออกไปทีละคำ “ตี้ฝูอี ข้า จะ ไม่ แต่ง ให้ เจ้า เด็ด ขาด! ข้า ยอม กลาย เป็น สวะ ไร้! ค่า! ขอ เป้น คน ธรรมดา ไป ชั่ว ชีวิต!”
รอยยิ้มตรงมุมปากตี้ฝูอีคล้ายจะแข็งทื่อไป “ชังข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“ใช่!” เธอตอบอย่างไม่ลังเล
ชั่วชีวิตนี้ตี้ฝูอีตามหาผู้ที่จะมาสร้างสีสันให้ชีวิตที่น่าเบื่อของตนมาตลอด ทว่าความโหดร้ายเช่นนี้เพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก
รอยยิ้มที่มุมปากของเขาคลี่แย้มอีกครั้ง ยื่นมือไปเชยคางกู้ซีจิ่ว “ปณิธานช่างเด็ดเดี่ยวนัก…ทำอย่างไรดี? ดูเหมือนข้าจะต้องการเจ้ายิ่งกว่าเดิมแล้ว”
กู้ซีจิ่วรวยรวมกำลังยกมือขึ้นปัดอุ้งเท้าหมาป่าของเขาออกไป “ต้องการข้า? ตี้ฝูอี เจ้าไม่เกรงกลัวว่าวันหน้าข้าจะสังหารเจ้าข้างหมอนหรือ?”
“สิ้นชีพใต้โบตั๋นบานสะพรั่ง มอดม้วยเป็นผีก็สุขสำราญ มิใช่หรือ? นับประสาอะไรกับเจ้าที่ตอนนี้ยังไม่มีฝีมือถึงเพียงนั้น” ตี้ฝูอีคล้ายว่าจะไม่ใส่ใจ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องวงหน้าเฉิดฉันของเธอ “กู้ซีจิ่ว ตอนนี้เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว!”
กู้ซีจิ่วโกรธจัด หน้าเธอซีดเผือด กระอักโลหิตออกมาเสียงดังอั่ก…
หลงซือเย่ตื่นตระหนก “ซีจิ่ว!”
กู้ซีจิ่วกระอักครั้งนี้สะเทือนไปถึงบาดแผล เจ็บปวดเจียนตายขึ้นมาในทันใด ร่างกายที่อยู่ในอ้อมแขนหลงซือเย่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ตี้ฝูอีปราดเข้ามา มือไม้ว่องไวปานสายฟ้า กดลงบนร่างกู้ซีจิ่วอย่างต่อเนื่อง กดจุดบนร่างเธอเจ็ดแปดจุดในชั่วพริบตา
ความเร็วของเขาว่องไวนัก หลงซือเย่ไม่มีทางขวางไว้ทัน จึงขึงตามองเขาอย่างขุ่นเคือง “เจ้าทำอะไร?!”
ตี้ฝูอีถอยหลังไปเล็กน้อย น้ำเสียงเยียบเย็นนิดๆ “นางกระอักคำนี้ออกมาก็ดีขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้นางสะกดกลั้นไว้ตลอด ถึงทำให้บาดแผลเจ็บปวดเช่นนี้”
หลงซือเย่ถามอย่างไม่แน่ใจ “…เจ้าพูดจริงหรือหลอก?”
ตี้ฝูอีคร้านจะสนใจเขา สายตาทอดมองใบหน้ากู้ซีจิ่ว “ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร?” น้ำเสียงจริงจังขึ้นมาอย่างที่พบเห็นได้ยาก
กู้ซีจิ่วทึ่มทื่ออยุ่หลายวินาที สำรวจร่างกายตามสัญชาตญาณ ดูเหมือนความเจ็บตรงทวงอกนั้นจะทุเลาลงบ้างแล้วจริงๆ การหายใจก็ราบรื่นขึ้นไม่น้อย
หลงซือเย่มองท่าทีของกู้ซีจิ่ว ก็ทราบเช่นกันว่าเธอดีขึ้นมา จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เมื่อครู่เจ้าพูดจาน่ารังเกียจเช่นนั้นเพื่อกระตุ้นให้นางกระอักโลหิตหรือ?”
ตี้ฝูอีตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ถ้านางไม่กระอักโลหิตคำนี้ออกมาคาดว่าเทพเซียนก็ช่วยเหลือนางไม่ได้แล้ว”
ที่แท้คำพูดบัดซบพวกนั้นที่เขากล่าวออกมาเมื่อครู่ก็เพื่อกระตุ้นให้เธอกระอักเลือด กู้ซีจิ่วก็ไม่รู้ว่ารู้สึกโล่งใจหรือว่ารู้สึกอย่างไร เธอสูดลมหายใจเข้าไปนิดๆ มองเขาพลางกล่าว “เช่นนั้นขั้นต่อไปต้องทำอย่างไร?”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว ราวกับนางเอ่ยคำถามโง่ๆ ออกมา “ขั้นต่อไปย่อมต้องตอบรับเงื่อนไขของข้า จากนั้นข้าถึงจะช่วยเจ้า”
บทที่ 705 ตอนนี้ไม่ผลักข้าออกแล้วหรือ?
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
หลงซือเย่มุ่นคิ้ว “ตี้ฝูอี อย่าล้อเล่นอีก! เจ้าก็พูดแล้ว ว่าที่ยื่นเงื่อนไขเช่นนั้นเพราะจะทำให้นางกระอักโลหิต ตอนนี้นางกระอักออกมาแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้อง…”
“ทำให้นางกระอักโลหิตเป็นเพียงด้านหนึ่ง เงื่อนไขขอนั้นก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน” ตี้ฝูอีตัดบทเขา
หลงซือเย่เดือดดาล “เจ้า…”
ตี้ฝูอีกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุน ในเมื่อต้องเปลืองแรงช่วยผู้อื่น ก็ย่อมต้องให้พวกเจ้าจ่ายด้วยการตอบรับเงื่อนไข”
หลงซือเย่นิ่งไปครู่หนึ่ง “ตี้ฝูอี เจ้าพอจะมีเงื่อนไขที่สองบ้างหรือไม่? เห็นแก่มิตรภาพของข้าและเจ้าที่มีมาหลายปี…”
ในที่สุดสายตาของตี้ฝูอีก็หันเหไปทางเขา “เจ้ากับข้ามีมิตรภาพด้วยหรือ?”
หลงซือเย่กระอักกระอวน “…เจ้า…”
ตี้ฝูอียิ้มบางๆ แววตาคล้ายจะเย็นชาและเยาะหยัน “เอาเถิด ถึงอย่างไรข้าก็รู้จักกับเจ้ามาหลายสิบปี จะไว้หน้าเจ้าสักหนแล้วกัน เงื่อนไขที่สองน่ะมี จะตกลงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
ดวงตาหลงซือเย่สาดแสงแวบหนึ่ง “เงื่อนไขอะไร?”
“เจ้าต้องรับปากข้า ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งกับนาง!” ตี้ฝูอีชี้ไปที่กู้ซีจิ่ว
หลงซือเย่ตะลึง เขาทึ่มทื่อไปแล้ว “เพราะ…เหตุใด?”
กู้ซีจิ่วก็ตกตะลึงจนหลงลืมความเจ็บปวด ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรได้ ทว่าพูดไม่ออกไปชั่วขณะเช่นกัน
ตี้ฝูอีเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง น้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่มีเหตุผล คนที่ข้าไม่ได้ครอง เจ้าก็อย่าได้หวัง”
“ตี้ฝูอี เจ้าจะเห็นแก่ตัวเช่นนี้ไม่ได้…เปลี่ยนเงื่อนไขอีกครั้ง!”
หลงซือเย่เดือดดาล ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะสะสางความเข้าใจผิดกับกู้ซีจิ่วได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้นางเปิดใจให้เขาอีกครั้ง ยามนี้ตี้ฝูอีกลับยื่นข้อเรียกร้องเช่นนี้กับเขา ไม่ต่างกับการถูกกระบองตีแสกหน้าเลย! แถมกระบองนี้ยังเป็นกระบองเขี้ยวหมาป่าอีกต่างหาก…
“เอาล่ะ ให้นางแต่งกับข้า! หรือว่า เจ้าจะไม่แต่งกับนางชั่วชีวิต! มีเงื่อนไขให้พวกเจ้าเลือกเพียงสองข้อเท่านั้น!” ตี้ฝูอีไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนปรนเลยสักนิด เขาจ้องหลงซือเย่เขม็ง “นางจะเป็นสวะไร้พลังหรือว่าจะเป็นคนปกติก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
….
หลงซือเย่โกรธจนสองมือสั่นเทา ทว่าไม่มีหนทางใดเลย สีหน้าเขาซีดเซียวจนน่ากลัว จ้องตี้ฝูอีอย่างเอาเป็นเอาตาย “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเลวทรามเช่นนี้!”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ เขาคร้านจะโต้แย้ง สายตาเหลือบมองกู้ซีจิ่ว
นางเจ็บปวดมาก หยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดซึมม่ขาดสาย ไหลย้อยลงมาตามขมับของนาง แต่นางกลับกัดริมฝีแน่นอยู่ตลอด ไม่ส่งเสียงร้องเลยสักคำ กลีบปากถูกนางกัดจนปรากฏหยาดโลหิต…
เขาผละสายตาออกมาทันที รอยยิ้มน่าชังยิ่งกว่าเดิม “ว่ายังไง? เจ้าจะยอมให้นางกลายเป็นสวะไร้พลังหรือ?” จากนั้นก็มองนาฬิกาทรายตรงมุมห้อง “ผ่านไปครึ่งเค่อแล้ว”
กู้ซีจิ่วพลันเอ่ยแทรกขึ้นมา “หากว่า…ข้ายินดีกลายเป็นสวะไร้ค่าและต้องการแต่งให้เขาเล่า?”
แววตาาตี้ฝูอีสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าไม่สนใจเธอ มองดูหลงซือเย่ “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากเจ้าไม่ยอมตกลง เช่นนั้นข้าก็…”
“ข้าตกลง!” ในที่สุดหลงซือเย่ก็เปิดปากเอ่ย ประโยคนี้ดั่งมีน้ำหนักมหาศาล ร่างกายเขาแทบจะทรุดลง
….
“ตี้ฝูอี เจ้าต้องช่วยนางให้ได้!” นี่คือวาจาที่หลงซือเย่ทิ้งไว้ก่อนจะออกไป
ในที่สุดเขาก็ออกไป แผ่นหลังดูเศร้าซึม
ภายในห้องเหลือเพียงกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอี
เดิมทีกู้ซีจิ่วพิงอยู่ในอ้อมแขนหลงซือเย่ ยามนี้ตี้ฝูอีได้เข้ามาแทนที่ของหลงซือเย่แล้ว แขนข้างหนึ่งโอบประคองเธอไว้
คนทั้งสองใกล้ชิดกันยิ่งนัก ไม่มีช่วงว่างเลยสักนิด สัมผัสลมหายใจของกันและกันได้
แต่คนทั้งสองกลับดูห่างเหินกันเหลือเกิน ไกลกันประหนึ่งฟ้ากับดิน
กลิ่นอายบนร่างเขาหอมมาก สดชื่นดั่งบุปผา สูงส่งดั่งโอสถ เคยอาวรณ์หายิ่งนัก ทว่ายามนี้กลับไม่อยากได้กลิ่นแม้แต่วินาทีเดียว…
————————————————————————————-
บทที่ 706 ให้เจ้าหลาบจำไปอีกนาน
ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง “ตอนนี้ไม่ผลักข้าออกแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย คล้ายว่าจะตัดสินใจอะไรได้จึงลืมตาขึ้นมาทันที “ตี้ฝูอี ข้าไม่ต้องการให้เจ้าช่วยแล้ว! เก็บเงื่อนไขของเจ้ากลับไปซะ! เจ้าให้หลงซือเย่กลับมานะ ข้าจะให้เขาผ่าตัดให้ข้า…”
ตี้ฝูอีตัวแข็งทื่อ ชะงักไปหลายวินาทีแล้วก้มหน้ามองนาง “เจ้าอยากออกเรือนกับเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!”
กู้ซีจิ่วหลับตาลง ตอบเพียงคำเดียว “ใช่!”
ในใจทั้งร้อนรุ่มและหนาวเหน็บ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเธอควรจะให้ตี้ฝูอีรักษาตนไม่ว่าต้องเสียค่าตอบแทนเช่นใด เนื่องจากตอนนี้เขาเป็นฟางช่วยชีวิตเพียงเส้นเดียวที่จะรักษาเธอให้หายได้ หากพลาดไปก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
แต่อารมณ์กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีเพลิงโทสะเผาผลาญอยู่ในใจ เพลิงโทสะนั้นโป่งพองอยู่ในหัวใจเธอ ต้องการจะเอาแต่ใจสักครั้ง ไม่อยากถูกเขาบังคับด้วยสิ่งนี้! ยินยอมจะกลายเป็นสวะไร้พลัง!
ตี้ฝูอีนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ยามที่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้งเล็กน้อย “ข้าเคยบอกแล้ว เขามิใช่คู่ครองของเจ้า เจ้าไร้วาสนากับเขา…”
“มีวาสนาหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน!” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา สายตาจับจ้องเขา “ตี้ฝูอี ท่านจะไม่ต้องช่วยข้าก็ได้ ข้าก็ไม่อยากฝืนใจเหมือนกัน แต่เธออย่าได้คิดจะแยกพวกเราจากกัน! ข้าจะแต่งให้เขาแน่นอน!”
ตี้ฝูอีนิ่งเงียบ
มือข้างหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นจนขาวซีดแล้ว หลุบตามองนางครู่หนึ่งจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มนั้นค่อยข้างเย้ยหยันอยู่บ้าง “เจ้ายังชอบข้าอยู่ใช่หรือไม่? เมื่อเห็นข้าเป็นเช่นนี้จึงผิดหวังในตัวข้า ถึงได้กระฟัดกระเฟียดใส่ข้าโดยไม่นึกผลที่จะตามมาเช่นนี้?”
กู้ซีจิ่วเบิกตามองเขาด้วยสายตาที่คล้ายมองคนบ้า “ท่านยังไม่ตื่นจากฝันหรือ? เพ้อเจ้ออะไรอยู่?!”
รอยยิ้มของตี้ฝูอีดูค่อนข้างเย็นชา “ในเมื่อมิใช่เช่นนั้น ถ้างั้นเจ้าอารมณ์เสียทำไม? เจ้ามิได้โง่งม ยามนี้ควรเลือกอะไรเจ้าน่าจะทราบชัดเจนดีกระมัง?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอยิ้มหยัน “ข้าชอบเขา ไม่แน่ข้าจะแต่งให้เขาโดยไม่สนทุกสิ่งทุกอย่าง!”
นัยน์ตาตี้ฝูอีฉายแววปวดร้าวแวบหนึ่ง เพียงแต่ความปวดร้าวนั้นพาดผ่านรวดเร็วยิ่ง เธอจึงไม่สังกตเห็น
มุมปากเขายกขึ้นนิดๆ “น่าเสียดายที่เขาไม่อาจสู่ขอเจ้าได้อีกต่อไป เจ้าก็เห็นแล้วนี่ เขาตอบรับเงื่อนไขของข้า”
“เขาตอบรับทว่าข้ามิได้ตอบรับ! การแต่งงานของตัวข้าข้าตัดสินใจเองได้…” กู้ซีจิ่วยิ้มหยันต่อไป
ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นทันที “ใช่หรือ?” พลันสะบัดแขนเสื้อพรึ่บ อาภรณ์ท่อนบนของกู้ซีจิ่วคลายออกด้วยตัวเอง เผยให้เห็นทรวงอกขาวสล้าง
ตอนนี้เรือนร่างเธอสมส่วนยิ่งนัก ส่วนโค้งส่วนเว้ามีเสน่ห์ เอวเพรียวบางจนกำได้รอบ เนินอกงามลออปานหยก…
กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อทันที คิดจะป้องกันทรวงอกตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าตี้ฝูอีหยิบแพรดำผืนหนึ่งมาผูกตาไว้ตั้งแต่ยามใดก็ไม่ทราบ เจตนาหลีกเลี่ยงข้อครหา
เธอนิ่งค้างไปหลายอึดใจ มองเห็นมือข้างหนึ่งของเขาแตะลงมา สันมือสัมผัสถูกยอดถันของเธอเข้าเบาๆ โดยบังเอิญ…
คนทั้งสองต่างชะงักค้าง กู้ซีจิ่วปัดมือข้างนั้นของเขาออกทันที “เจ้า…เจ้าจะทำอะไรกันแน่?” เดิมทีเธอก็เจ็บจนใบหน้าไร้สีเลือดอยู่แล้ว ทว่ายามนี้พวงแก้มกลับเห่อร้อนขึ้นมาควบคุมไว้ไม่ได้
ตี้ฝูอีตวัดข้อมือ ควบมือทั้งสองของเธอไว้ เธอไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว มือสองข้างถูกเขากุมไว้ด้วยมือเดียวก็สลัดไม่หลุดแล้ว
น้ำเสียงตี้ฝูอีเฉยชา “บาดแผลของเจ้าเป็นแผลภายนอก เจ้าเกรงว่าข้าจะเห็นได้ แต่จะให้ข้าไม่สัมผัสคงไม่ได้กระมัง? ข้าต้องรักษาบาดแผลให้เจ้า เจ้าคิดว่าจะเอาเปรียบเจ้าหรืออย่างไร?”
ร่างกายที่เติบโตอย่างสมบูรณ์เปิดเปลือยอยู่เบื้องหน้าเขา ต่อให้เขาปิดตาไว้กู้ซีจิ่วก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี เธอกำมือแน่น “ต้องถอดเสื้อผ้าจริงๆ หรือ?”
บทที่ 707 หมอชายแผนกนรีเวช…
“ก่อนหน้านี้เจ้าต้องการให้หลงซือเย่จัดการบาดแผลภายนอกให้เจ้า มิต้องถอดเสื้อผ้าก็ได้หรือไง?” ตี้ฝูอีถามกลับ
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
“กู้ซีจิ่ว ยามนี้เจ้าเก็บความคิดสับสนอลหม่านในสมองเจ้าไปก่อน ให้ความร่วมมือในการรักษากับข้า!” ตี้ฝูอียื่นมือไป บนดวงตากู้ซีจิ่วมีแพรดำเพิ่มขึ้นมาเส้นหนึ่ง บดบังการมองเห็นของเธออย่างสมบูรณ์ “ในเมื่อเขินอาย เช่นนั้นก็ไม่ต้องมองแล้ว”
กู้ซีจิ่วสีหน้าอึมครึม! นี่มันต่างกับปิดหูขโมยกระดิ่งตรงไหน?
ไม่รู้ว่าแพรดำของเขาทำมาจากวัสดุชนิดใด หลังจากผูกตาเธอไว้ เธอก็มองไม่เห็นอะไรเลย แม้กระทั่งแสงสว่างสักเสี้ยวก็มองไม่เห็น
สายตาคนมองไม่เห็น ทว่าประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคมนัก
ขอบคุณฟ้าดิน มือของเขามิได้สัมผัสถูกส่วนที่น่าอายของเธอแล้ว แต่แตะลงบนด้ามกระบี่เล่มนั้นช้าๆ จากนั้นก็ค่อยๆ กุมไว้
นี่ทำให้เธอเจ็บปวดจนสั่นสะท้านขึ้นมาอีกหน “ท่าน…ระงับความเจ็บปวดให้ข้าก่อนได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” ตี้ฝูอีตอบอย่างเย็นชา
“เพราะอะไร?” กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจ
“ทำให้เจ้าหลาบจำไปอีกนาน!” น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นกว่าเดิม
กระบี่นี้เดิมทีนางไม่จำเป็นต้องรับเลย แต่กลับจงใจพุ่งไปรับไว้!
ชัยชนะสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? สำคัญจนนางต้องเอาชีวิตเข้าแลกเลยหรือ? นางนึกว่าตัวเองทำมาจากเหล็กจริงๆ หรืออย่างไร? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางสามารถเอาชนะในรอบที่สามได้!
“เจ้าโชคดีที่ป้องกันหัวใจไว้ได้ ไม่ต้องรวบรวมพลังวิญญาณใดๆ ผ่อนคลายไว้ ผ่อนคลาย…” น้ำเสียงมืดมนของตี้ฝูอีดังอยู่ข้างหู เสียงนั้นสงบยิ่ง แฝงอานุภาพที่ทำให้คนสงบใจได้ ชะล้างความเฉยชาก่อนหน้านี้ไป
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ยังไม่หลงลืมเจตนารมณ์ตน “ตี้ฝูอี ข้าบอกแล้วไง ว่าไม่ยอมรับเงื่อนไขของท่าน!”
“อืม แล้วอย่างไรเล่า? หลงซือเย่ยอมรับก็พอแล้ว กู้ซีจิ่ว ชีวิตเจ้าไม่อาจกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง หากครั้งนี้ถูกทำลายไปเจ้าจะกลายเป็นสวะไร้ค่าจริงๆ แล้ว! อย่าได้ถือทิฐิอีก ว่าง่ายๆ ให้ความร่วมมือกับข้า เชื่อฟังข้าซะ”
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรอีก เอาเถิด! ถึงอย่างไรวาจาไม่น่าฟังก็กล่าวออกมาต่อหน้าแล้ว! เขาจะช่วยเช่นนั้นก็เรื่องของเขา…
เธอสูดลมหายใจเข้านิดๆ ไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีก เริ่มให้ความร่วมมือตามที่เขาชี้นำ…
น้ำเสียงเขารื่นหูดั่งธารใสไหลริน แว่วอยู่ริมหูเธอเป็นครั้งคราว ชี้แนะอยู่ทุกขั้นตอน
เธอพยายามข่มกลั้นความอับอายที่ตนต้องเปลือยกายอยู่ใต้ฝ่ามือเขา ถึงแม้บนดวงตาจะมีแพรดำผูกไว้ แต่เธอก็ยังคงหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ให้ความร่วมมือตามที่เขาบอกอย่างเต็มที่ทุกขั้นตอน
ขั้นตอยนเหล่านั้นซับซ้อนมาก และขอเพียงเธอใจลอยไปแม้แต่น้อยเขาก็สามารถสัมผัสได้ ส่งเสียงเตือนสติทันที
ค่อยๆ ผ่านไปทีละขั้น เธอรู้สึกว่าความแสบร้อนในส่วนที่ได้รับบาดเจ็บตรงทรวงอกค่อยๆ แผ่ออกมาทีละชุ่นๆ รู้สึกว่ากระบี่เล่มนั้นคล้ายว่าเริ่มหดเล็กลงนิดหน่อยแล้ว
ดวงตาเธอมองไม่เห็น จึงไม่ทราบว่าตี้ฝูอียกมือผนึกจิตสำนึกของหยกนภาไว้ก่อนแล้ว ไม่ทราบว่ามือของเขาที่กุมกระบี่ไว้ปรากฏแสงสีรุ้งเจิดจ้าพร่าตา ไม่ทราบว่าเขากุมกระบี่ไว้จนเส้นเลือกที่หลังมือปูดโปน ไม่ทราบว่าระยะเวลาชั่วครู่หยาดเหงื่อผุดซึมออกมาจาขมับเขาไม่ขาดสาย ไม่ทราบว่าใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากของเขาซีดขาวปานหิมะ ไม่ทราบว่าระหว่างที่โคจรพลังยุทธ์อยู่ เขาฝืนกล้ำกลืนโลหิตที่พุ่งขึ้นมาในลำคอลงไปมากน้อยเพียงใด และไม่ทราบว่าส่วนของกระบี่เล่มนั้นที่เสียบอยู่ในร่างเธอค่อยๆ สลายหายไปภายใต้ฝ่ามือเขาทีละชุ่นๆ ราวกับถูกบังคับให้ระเหยเป็นไอ และไม่ทำให้ร่างกายเธอบาดเจ็บเลยสักนิด…
ระยะเวลาที่เขาโคจรพลังยุทธ์นั่นไม่นาน ประมาณครึ่งเค่อเท่านั้น
ในที่สุดเมื่อกู้ซีจิ่วสัมผัสถึงความเจ็บปวดเจียนตายที่ราวกับถูกแมงป่องต่อยไม่ได้แล้วเธอก็ถูกวางลงบนฟูกเตียง เธอรับรู้ได้ว่ากระบี่ที่เสียบอยู่ตรงอกตนหายไปแล้ว แถมเขายังจัดการบาดแผลตรงหน้าอกให้เธอด้วย…
บาดแผลของเธออยู่ในตำแหน่งที่น่าอาย แต่ในยามที่ต้องช่วยเหลือคนนอกจากต้อเสี่ยงดวงแล้ว เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น
————————————————————————————-
บทที่ 708 ต้องการโจมตีเขา
ตอนนี้เธอรับรู้ถึงยามที่นิ้วมือเยียบเย็นนิดๆ ของเขาสัมผัสโดนจุดที่ไวต่อความรู้สึกของเธอ นี่ทำให้เธอลำบากใจยิ่งนัก ทำได้เพียงหลับตาลงแล้วมองว่าตัวเองเป็นคนไข้ของเขา ควบคุมไม่ให้ตนมีปฏิกิริยาใดๆ
ฝามือเขากดที่บาดแผลของเธอโดยตรง นิ้วมือคร่อมทับเนินอกของเธอกึ่งหนึ่ง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าฝ่ามือเขาเย็นเฉียบ ทว่ากระแสอุ่นร้อนค่อยๆ ไหลตรงเข้าสู่บาดแผลเธอ บาดแผลที่เจ็บปวดรุนแรงนั้นคล้ายจะได้รับการบรรเทา ไม่เจ็บจนกล้ามเนื้อหดเกร็งอีก ค่อยๆ ผ่อนคลายแล้วหายไปช้าๆ…
อันที่จริงกู้ซีจิ่วค่อนข้างสงสัยยิ่งนัก ในเมื่อคนผู้นี้ปิดตาไว้ แล้วเหตุใดถึงจดจำตำแหน่งแผลของเธอได้แม่นยำถึงเพียงนี้? ไม่มีคลาดเคลื่อนเลยสักนิด
นิ้วเขาเคลื่อนไหวแค่ที่บาดแผลเธอ ไม่แตะต้องส่วนอื่นของเธอเลย
หรือว่าแพรดำบนตาเขาจะไม่เป็นผลเลย? แค่ทำเพื่อให้เธอสบายใจหรือเปล่า?
ยามนี้ข้อสงสัยนี้ของกู้ซีจิ่วมีความเป็นไปได้ยิ่งนัก แต่ไม่อาจถามออกมาได้
ถ้าถามออกมาต่อให้เขาตอบแล้วจะอย่างไรเล่า? เธอไม่ยอมให้เขารักษาบาดแผลให้ตนได้หรือ?
ช่างเถอะ! คิดซะว่าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล คิดซะว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เป็นหมอชายแผนกนรีเวช…
ในที่สุดฝ่ามือเขาก็ผละออกไป เธอรับรู้ได้ว่าเขาป้ายยาสมานแผลอย่างหนึ่งที่เย็นนิดๆ ลงบนแผลเธอ ถึงแม้แผลนั้นจะยังเจ็บอยู่ แต่อยู่ในระดับที่พอทนได้แล้ว
เขาและเธออยู่ใกล้ชิดกันยิ่งนัก เธอสามารถสัมผัสถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขาที่อยู่ด้านบนได้ ท้องนิ้วของเขาเย็นนิดๆ ทว่านุ่นนวลอ่อนโยน ยามสัมผัสแผ่วเบาปานขนนก ทำให้หัวใจคนเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นมาเช่นกัน
ของเหลวหยดหนึ่งคล้ายจะหยดลงมาจากด้านบน ร่วงลงบนผิวขาวเนียนของเธอ
เธอชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะขยับ จู่ๆ เขาก็อุ้มเธอขึ้นมา เธอยังไม่ทันได้ร้องอุทาน เขาก็พลิกตัวเธอเข้ามา ให้เธอนอนคว่ำบนขาเขาแล้วจัดการบาดแผลตรงแผ่นหลังให้เธอ…
เนื่องจากก่อนหน้านี้กู้ซีจิ่วเจ็บปวดอยู่ตลอด เหงื่อเย็นเฉียบไหลโซมทั่วร่าง ยามนี้ตัวคนราวกับถูกแช่ไว้ในน้ำมาก่อน
ยามที่เธอฟุบคว่ำบนขาเขาก็สัมผัสได้รางๆ ว่าอาภารณ์บนร่างเขาก็เปียกชื้นเช่นกัน แต่ก็ไม่มั่นใจเต็มที่ เพราะอย่างไรเสียแม้กระทั่งมือเธอก็ชุ่มเหงื่อไปหมดเช่นกัน…
ภายในห้องเงียบมาก เงียบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน
กู้ซีจิ่วพยายามปล่อยให้ความคิดว่างเปล่า ทำให้ตนไม่คิดอะไร
เวลาก็ล่วงเลยไปจนปานนี้แล้ว
ระหว่างนี้คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน และบางทีอาจไม่จำเป็นต้องพูดคุยด้วย
ในตอนท้ายสุด เธอถูกวางกลับลงไปบนเตียง เธอผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ สัมผัสได้ว่าบาดแผลที่ด้านหน้าและด้านหลังของตนทั้งสองแห่งล้วนได้รับการพันแผลอย่างเหมาะสมแล้ว
“ขอบคุณมาก” เธอกล่าวสามคำนี้ออกมา
แผลนี้ของเธอส่วนใหญ่อาจมีสาเหตุมาจากเขา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ช่วยเธอไว้ เธอรับรู้ได้ว่าพลังวิญญาณในร่างตนไม่ได้หายไปมากนัก
ก่อนหน้านี้สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไหลหายไปอย่างรวดเร็วยิ่ง หรือจะรู้สึกหลอนเพราะกระบี่ที่อยู่บนร่าง?
“ไม่ต้องเกรงใจ” เขานิ่งไปสามวินาทีค่อยตอบ น้ำเสียงก็เฉยชาเช่นเคย “นี่คือข้อตกลงระหว่างข้ากับหลงซือเย่ ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
น่าขันเสียจริง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตเธอ ทว่าสองคนนี้กลับโยนเธอทิ้งไว้นอกสายตาโดนสิ้นเชิง กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากเล็กนิดๆ
เสียงเขาดังขึ้นมาอีกครั้ง “เอาล่ะ เจ้าต้องนอนพักบนเตียงสองวัน สองวันให้หลังถึงจะลุกจากเตียงได้ ภายในสิบวันนี้ไม่อนุญาตให้โคจรพลังวิญญาณ พยายามเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหนักๆ ให้น้อยที่สุด ห้ามกินของเผ็ด ทานอาหารรสอ่อน…”
เขาร่ายข้อควรระวังบางส่วนออกมา กู้ซีจิ่วเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เปิดปากเอ่ยช้าๆ “ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ ว่าข้ากับหลงซือเย่มาจากยุคเดียวกัน…”
ตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง “แล้วอย่างไรเล่า?”
บทที่ 709 แฝงความบ้าคลั่งปานพายุพัดโหมไ
กู้ซีจิ่วพูดต่อไป “ในยุคนั้นของพวกเรา ถ้าต้องการอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องแต่งงานก็ได้ ขอเพียงทั้งสองคนรักกันด้วยใจจริง ก็ไม่ต้องใส่ใจพิธีรีตองพวกนั้น สามารถครองรักกันได้ชั่วชีวิต…”
ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นมาอีก “ดังนั้น?”
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม “ดังนั้นถึงแม้เขาตกลงว่าจะไม่แต่งกับข้าไปชั่วชีวิต แต่ข้าก็สามารถเป็นคนรักของเขาได้ แล้วจะต้องการพิธีนั้นไปไย?”
พอกล่าวจบเธอก็ดูเหมือนจะมีความสุขอยู่บ้าง รอยยิ้มตรงมุมปากกว้างขึ้นกว่าเดิม
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหัวใจถึงอึดอัดขึ้นมา รอคอยคำตอบจากเขาตามสัญชาตญาณ
ตี้ฝูอีเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่งอีกครา เขาหลุบตามองนาง มองรอยยิ้มที่เบ่งบานดั่งบุปผาปีศาจตรงมุมปากของนาง ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “เจ้าชอบเขาถึงเพียงนี้ ชอบจนสามารถติดตามเขาได้โดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงใดๆ เชียวหรือ?”
“ใช่!” กู้ซีจิ่วตอบทันที ไม่มีหยุดชะงักเลยสักนิด
เธอเกลียดที่เขาถือโอกาสตีชิงตามไฟ เกลียดที่เขายึดตนเป็นที่ตั้ง ดังนั้นจึงต้องการโจมตีเขา
ในเมื่อเขาใช้จุดอ่อนมาบีบบังคับอย่างไร้ยางอายปานนี้ เช่นนั้นเธอก็จะใช้วิธีการไร้ยางอายแบบเดียวกันมาโจมตีเชา…
ภายในห้องเงียบลงอีกครั้ง กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นมาจากผ้านวมนิดๆ เหมือนเสือดาวน้อยที่ปรารถนาจะต่อสู้ ถึงแม้จะอ่อนแอ แต่เขี้ยวเล็บก็แหลมคมยิ่ง
เธอรออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้คำตอบจากเขา แต่ก็ทราบเช่นกันว่าเขายังไม่ได้จากไป ยังมองเธออยู่ข้างเตียง
เขาคงจะปลดแพรดำบนดวงตาเขาออกนานแล้ว ทว่าน่าชังที่ไม่ถอดให้เธอด้วย เธอสัมผัสได้ว่าสายตาเขากำลังจดจ่ออยู่ที่ร่างเธอ
กลิ่นอายบนร่างคนผู้นี้แกร่งเกินไป ยามที่จ้องมองคนเขาไม่หลบเลี่ยงสายตาเลยสักนิด ทำให้เส้นขนบนร่างผู้อื่นลุกชั้นขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นคิดจะแกะแพรดำบนดวงตาตนออก ทว่าถูกเขากดมือไว้อีกครั้ง “กู้ซีจิ่ว เจ้าพูดจริงหรือ?”
อุณหภูมิของมือเขาค่อนข้างประหลาด ปลายนิ้วเย็นเฉียบ ทว่าฝ่ามือกลับร้อนผ่าว ทาบทับบนหลังมือเธอ ทำให้เธอขยับไม่ได้
กู้ซีจิ่วตอบอย่างทระนง “แน่นอน ข้าชอบเขา ย่อมต้องการอยู่ด้วยกัน”
“กู้ซีจิ่ว ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง เจ้าไร้วาสนากับเขา! อย่าได้ก้าวจมบ่อโคลน! เพราะท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเจ้าที่เสียหาย!” น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นลงกว่าเดิม
“ข้าเต็มใจ ข้ายินดี!” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วก็เย็นยะเยือก เขาไม่ยอมให้เธอได้อยู่สุข เช่นนั้นเธอก็จะไม่ให้เขาได้อยู่สุขเหมือนกัน!
อากาศรอบข้างระอุขึ้น สายลมอ่อนๆ พัดวูบ ทันใดนั้นกลิ่นหอมอ่อนจางก็เข้ามาใกล้!
สัญชาตญาณของกู้ซีจิ่วสัมผัสได้ถึงอันตราย เพียงแต่ไม่รอให้เธอทันมีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร ริมฝีปากพลันอุ่นวาบ ถูกผู้อื่นจุมพิต!
เธอทั้งตกตะลึงและเดือดดาลนัก ยกมือขึ้นผลัก จนปัญญาที่ยามนี้เรี่ยวแรงเธอยังสู้แมวไม่ได้ด้วยซ้ำ ซ้ำร่างกายของเขาก็หนักมาก เธอสะเทือนเขาไม่ได้เลยสักนิด กลับถูกเขาจับมือทั้งสองข้างตรึงไว้เหนือศีรษะเธอ
จูบนั้นค่อนข้างดุดันยิ่งนัก ไม่สอดคล้องกับตัวเขาเลย ซ้ำยังแฝงความบ้าคลั่งปานพายุพัดโหม ราวกับถูกบางอย่างกดทับจนอึดอัด
วางอำนาจ เผด็จการ ปานราชา
เธอถูกเขาง้างริมฝีปากออกอย่างง่ายดายยิ่ง ริมฝีปากและเรียวลิ้นพัวพันกัน เธอคิดจะหลบก็หลบไม่พ้น รู้สึกเพียงว่าลิ้นของเขาดุดันแถมยังช่ำชอง ไล่ต้อนลิ้นเธอให้เริงรำร่วมกับเขา
ไม่ทราบว่าเพราะเธอโกรธเคืองหรือว่าร้อนรน จึงคิดจะกัดเขา แต่เขาจูบอย่างช่ำชองยิ่งนัก เธอเลยกัดไม่โดน
ซ้ำยังถูกเขาจูบอย่างล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม ดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ กลีบปากของเธอ ปลายลิ้นของเธอ ถูกลิ้นของเขาเคล้าคลอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาควบคุมร่างกายเธอไว้ มือข้างหนึ่งวางอยู่ตรงเอวเธอ รัดไว้แน่นยิ่ง และรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะหลอมเธอเข้าไปในร่างเขา
มีกลิ่นหอมจางๆ อบอวลอยู่ในอากาศ กู้ซีจิ่วหายใจไม่ออกแล้ว สมองค่อนข้างวิงเวียน ในที่สุดก็ไม่ดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์อีกต่อไป แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อดั่งไม้ท่อนหนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดริมฝีปากเขาก็ผละออกไป แต่แขนทั้งสองข้างยังคงกดเธอไว้
————————————————————————————-
บทที่ 710 ตานี้เธอยังต้องหาทางเอาคืน!
เคราะห์ดีว่าถึงแม้เขาจะกักเธอไว้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบมิได้แตะต้องบาดแผลเธอเลย ถึงขั้นว่าไม่กระทบกระเทือนตรงนั้นเลย
บนดวงตากู้ซีจิ่วยังคงผูกแพรดำอยู่ เลยมองไม่เห็นว่าเขามีท่าทีอย่างไร รู้เพียงว่าเขาอยู่ใกล้เธอมากเหมือนเดิม และกำลังก้มมองเธออยู่
นี่เป็นท่าทางที่คลุมเครือยิ่งนัก กู้ซีจิ่วโมโหจนทึ่มทื่อแล้ว ในที่สุดก็ร้องด่าออกมา “ตี้ฝูอี เจ้าบ้าไปแล้ว!”
“กู้ซีจิ่ว อย่าท้าทายขีดจำกัดของข้า ข้ามีเป็นหมื่นวิธีที่สามารถแยกพวกเจ้าออกจากกันได้ รวมถึงการครอบครองเจ้าโยตรงหรือไม่ก็สังหารเขาวะ!” น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็น ทว่าปลายนิ้วกลับปัดผ่านริมฝีปากเธอ “เจ้าก็รู้ว่าข้ากระทำการใดล้วนไม่มีขีดจำกัดล่างใดๆ ทั้งนั้น ดังนั้นถ้ายังไม่มีกำลังพอ จงอย่าใช้ถ้อยคำจำพวก ‘เจ้าเต็มใจ’ ‘เจ้ายินดี’ อะไรเหล่านี้ ตอนนี้เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอ!”
ในที่สุดเขาก็ปล่อยเธอ และเป็นครั้งแรกที่เขาพูดจารุนแรงกับเธอขนาดนี้
กู้ซีจิ่วเงียบงันไร้วาจา เมื่อมือเป็นอิสระเธอก็เริ่มใช้แขนเสื้อเช็ดถูริมฝีปาก…
ภายในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ จวบจนกู้ซีจิ่วถูริมฝีปากจนได้รสคาวโลหิตถึงหยุดมือลง หัวเราะหยันคราหนึ่ง “ตี้ฝูอี ไม่ข้าก็เร็วข้าจะมีคุณสมบัติพอ!”
“จะตั้งตารอ!” ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาเพียงสี่คำ
ภายในห้องเงียบเชียบลงไปอีกครั้ง กู้ซีจิ่วสูดหายใจน้อยๆ ครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นแกะแพรดำที่ผูกตาออก พบว่าภายในห้องเหลือตนเพียงลำพัง ไมทราบว่าตี้ฝูอีจากไปยามใด
เธอมองแพรดำในมือแพรดำเส้นนี้เมื่อครู่เธอแกะอย่างไรก็แกะไม่ออก ประหนึ่งงอกออกมาจากตาเธอก็มิปาน แถมหลังจากผูกไปแล้วก็มืดสนิท แม้แต่แสงสว่างสักเสี้ยวก็มองไม่เห็น
บนแพรดำเส้นนี้ดูเหมือนจะแฝงกลิ่นหอมจางๆ บนร่างเขาไว้ ในใจกู้ซีจิ่วสับสนว้าวุ่น ปาแถบแพรเส้นนั้นลงบนพื้น
ในห้องเงียบมาก กำยานในกระถางใบหนึ่งตรงมุมห้องเผาไหม้อยู่เงียบๆ
เธอหลับตาลงเล็กน้อย ภายในห้องยังมีกลิ่นหอมบนร่างเอาอวลอยู่จางๆ หลังจากความขุ่นเคืองผ่านพ้นไปจิตใจเธอก็ว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ประตูถูกเปิดจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอีกครั้ง กู้ซีจิ่วสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมาก็เห็นหลานไว่หูค่อยๆ ย่องเข้ามา
นางมองกู้ซีจิ่วด้วยนัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้น จากนั้นก็มองผ้าปูเตียงที่แทบจะชุ่มโชกไปด้วยเลือดใต้ร่างเธอ นางร้องสะอื้นออกมาคราหนึ่ง “ซีจิ่ว…”
ถลาเข้ามาเบื้องหน้าเธอ คิดจะเลิกผ้าห่มออกดูร่างเธอ…
กู้ซีจิ่วเกรงว่าร่างกายท่อนบนของตนที่ยังเปิดเปลือยอยู่จะดูไม่งามนัก จึงรีบห้ามนางไว้ “อย่าขยับ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
แต่จิ้งจอกน้อยเคลื่อนไหวว่องไว อีกทั้งกู้ซีจิ่วในยามนี้ไม่มีเรี่ยวแรง สุดท้ายก็ถูกนางเลิกผ้าห่มออก…
ยังนับว่าโชคดี ร่างกายท่อนบนของเธอสวมอาภรณ์แล้ว เพียงแต่ด้านหน้าและด้านหลังล้วนถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล หลานไว่หูมองกองผ้าพันแผลนั้น หยาดน้ำตาในดวงเนตรเอ่อคลอ “เจ้าเจ็บหรือเปล่า? ล้วนเป็นความผิดของข้า! เจ้ามาขวางกระบี่ให้ข้า…”
การร้องไห้ของจิ้งจอกน้อยมีอานุภาพทำลายล้างยิ่ง กู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างหวั่นเกรงน้ำตาของนางอยู่บ้าง “ไม่เป็นไร บาดแผลไม่หนักหนา เจ้าอย่าร้อง…รบกวนเจ้าช่วยเติมกำยานในกระถางใบนั้นอีกสักหน่อยเถิด ข้ารู้สึกว่ากลิ่นหอมนั้นดีต่ออาการบาดเจ็บของข้า”
หลานไว่หูกระวีกระวาดไปเติมกำยานทันที
กลิ่นกำยานอบอวลอยู่ในห้อง ในที่สุดก็กลบกลิ่นอายคนผู้นั้นได้จนสิ้น กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ่ยถามหลานไว่หู “ที่นี่คือที่ไหน?”
“ที่นี่คือหน่วยการแพทย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ที่นี่มีไอวิญญาณเพียงพอ และสะอาดที่สุด เดิมทีมีเพียงบุคคลระดับผู้อาวุโสที่บาดเจ็บสาหัสถึงจะได้พักฟื้นอยู่ที่นี่ ครั้งนี้อาจารย์กู่อนุญาตให้เจ้าพักฟื้นอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนเป็นกรณีพิเศษ” หลานไว่หูถามมาหนึ่งตอบไปสิบ
“แล้วอวิ๋นชิงหลัวเป็นยังไงบ้าง?” กู้ซีจิ่วยังพะวงถึงจุดนี้อยู่
ยามที่เธอเข้าขวางกระบี่ให้หลานไว่หูไม่ได้นึกเลยว่ากระบี่ที่อีกฝ่ายใช้จะมีพิษสงร้ายกาจถึงเพียงนี้
บทที่ 711 นำทางข้าไป
ยามที่เธอเข้าขวางกระบี่ให้หลานไว่หูไม่ได้นึกเลยว่ากระบี่ที่อีกฝ่ายใช้จะมีพิษสงร้ายกาจถึงเพียงนี้ ดังนั้นฝ่ามือนั้นที่เธอซัดใส่หลานไว่หูจึงมิใช่การซัดเพื่อทำอันตราย และไม่ได้ใส่แรงเต็มที่ เพียงอยากให้อีกฝ่ายกระอักเลือด ลงแข่งในรอบต่อไปไม่ได้อีกก็เท่านั้น
ตอนนี้เธอเสียเปรียบมากถึงเพียงนี้แล้ส หวิดจะกลายเป็นสวะไร้พลัง! ก็รู้สึกว่าการลงมืออย่างไว้ไมตรีของตนค่อนข้างโง่เง่าอยู่บ้าง ตานี้เธอยังต้องหาทางเอาคืน!
“ซี่โครงนางหักสี่ซี่ ไม่บาดเจ็บหนักเท่าเจ้า หมอของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เราไปดูอาการให้นาง และจัดกระดูกให้นางแล้วด้วย ตอนนี้นางพักฟื้นอยู่ในเรือนของตัวเอง” หลานไว่หูบอกเธอ
มารดามันเถอะ ซี่โครงหักแค่สี่ซี่เองเหรอ!
หากฝ่ามือนั้นเธอใส่แรงมากพอ คงสามารถทำลายม้ามของอีกฝ่ายได้ ต่อให้บนร่างอีกฝ่ายมีพลังวิญญาณคุ้มกาย ฝ่ามือนี้เล่นงานนางไม่ถึงตาย แต่ก็คงทำให้ปางตายได้แน่นอน
เฮ้อ เสียดายเหลือเกิน!
“เช่นนั้นการประลองรอบนี้พวกเราแพ้หรือว่าชนะเล่า?” กู้ซีจิ่วยังไม่ลืมเลือนผลลัพธ์
“อาจารย์ใหญ่กู่บอกว่าพวกเราชนะแล้ว เพราะนางที่เป็นคนของฝ่ายตกจากเวทีไปก่อน” หลานไว่หูกล่าว พลางเปลี่ยนผ้าปูเตียงเป็นผืนที่สะอาดกว่าให้เธออย่างระมัดระวังยิ่ง
กู้ซีจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ว่าอย่างไร เป้าหมายของเธอก็นับว่าลุล่วงแล้ว ไม่ถึงกับเสียฮูหยินซ้ำยังสิ้นไพร่พล[1]
ตราบจนยามนี้เธอถึงได้ทราบว่าผ้าปูที่นอนใต้ร่างตนเปรอะคราบเลือดเป็นวงใหญ่
ประหลาดนัก คนผู้นั้นย้ำคิดย้ำทำรักความสะอาด ทว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเปื้อนเลือดเหล่านี้ทิ้งให้เธอ…ต้องทราบก่อนว่าเรื่องเหล่านี้สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงการสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งเท่านั้น
การที่เขาบังคับจูบเธอในเวลาเช่นนี้เป็นการคุกคามเธอ บีบให้เธอต้องเลิกรากับหลงซือเย่…
พอนึกถึงจูบเมื่อครู่ขึ้นมา เธอก็กำมือแน่น สั่งการจิ้งจอกน้อย “ข้าอยากบ้วนปาก…”
มือไม้จิ้งจอกน้อยคล่องแคล่วนัก ยกน้ำมาให้เธอบ้วนปากอย่างรวดเร็ว กู้ซีจิ่วใช้น้ำบ้วนปากอยู่หลายถ้วยถึงจะหยุด
ตี้ฝูอี เจ้าไม่อาจขวางข้าได้ทั้งชีวิต ฉันอยากชอบใครก็จะชอบคนนั้น ไม่ช้าก็เร็วข้าจะมีกำลังมากพอจะพูดคำว่าไม่ต่อหน้าเจ้า!
ถึงอย่างไรเธอก็บาดเจ็บสาหัส ซ้ำยังเจ็บอยู่เนิ่นนานปานนั้น ยามนี้จึงอ่อนล้าอย่างหนัก พริ้มตาลงนิดๆ
บนร่างเธอยังสวมอาภรณ์ที่เคยชุ่มเหงื่ออยู่ แต่เธอไม่มีแรงลุกขึ้นมาเปลี่ยนแล้ว จิ้งจอกหยิบเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งมา นางคิดจะช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดให้เธอ กู้ซีจิ่วไม่ชินกับการมีคนมาปรนนิบัติเธอเช่นนี้ เลยปฏิเสธไป
เธอจะนอนพักก่อน เมื่อตื่นมามีเรี่ยวมีแรงค่อยชำระร่างกายแล้วเปลี่ยน..
….
“อวิ๋นชิงหลัวอยู่ที่ใด?” หลังจากตี้ฝูอีออกมา ก็เอ่ยถามมู่เหล่ยที่ติดตามอยู่ข้างกาย
“กระดูกซี่โครงนางหักสี่ซี่ กำลังพักฟื้นอยู่ในเรือนตน คาดว่าน่าฟื้นตัวไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ขอรับ” มู่เหล่ยรายงานข่าวที่ตนได้ยินแก่เจ้านาย
“เรือนของนางอยู่ที่ไหน? นำทางข้าไป!” ตี้ฝูอีไม่หยุดฝีเท้าเลย
มู่เหล่ยชะงักไปเล็กน้อย เขามองปลายคางที่ค่อนข้างซีดเซียวของตี้ฝูอี ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “นายท่านโปรดวางใจ กระดูกซี่โครงนางประสานกันแล้วขอรับ มิจำเป็นต้องรักษาอีก เรือนพักสร้างเสร็จแล้ว มิสู้นายท่านไปพักผ่อนสักหน่อยแล้วค่อยไปเยี่ยมนาง…”
ตี้ฝูอีคร้านแม้แต่จะเหลือบมองเขาสักแวบ เอ่ยขึ้นว่า “พูดเพ้อเจ้อให้น้อยหน่อย นำทางไป!”
กลิ่นอายบนร่างเขาแกร่งกล้าเกินไป มู่เหล่ยไม่กล้าพูดเป็นอื่นอีก ทำได้เพียงวิ่งเหยาะไปอยู่ข้างหน้าเพื่อนำทาง…
อันที่จริงพวกกู่ฉานโม่ล้วนยังรออยู่ด้านนอก เนื่องจากยามนั้นพวกเขาทราบเพียงว่าอาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วเป็นอัตราย แต่ไม่ทราบว่าที่แท้แล้วเป็นอย่างไร
วิชาแพทย์ของตี้ฝูอีมิใคร่เลื่องลือนัก ที่สำคัญคือผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ไม่เคยตรวจรักษาให้ผู้ใดมาก่อน
————————————————————————————-
บทที่ 712 เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน?
ดังนั้นตอนที่เขาอุ้มกู้ซีจิ่วเข้าไปพวกกู่ฉานโม่จึงกังวลยิ่งนัก เกรงว่ายามที่เขาออกมาคนที่อุ้มจะสิ้นชีพแล้ว ต่อมาเมื่อหลงซือเย่ตามเข้าไปพวกเขาถึงได้วางใจ
แต่หลงซือเย่เข้าไปอย่างรวดเร็ว และออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน หลังจากออกมาก็ราวกับเป็นใบ้ไม่พูดไม่จาเลยสักคำ เพียงเม้มปากรออยู่ตรงนั้น
รอคอยอยู่ครู่หนึ่งตี้ฝูอีก็ออกมา ฝูงชนที่เป็นเดือดเป็นร้อนอยู่กำลังจะล้อมวงไถ่ถาม เขากลับไม่สนใจเลย หลงซือเย่คิดจะพุ่งเข้าไปดู ทว่าถูกเขายึดแขนเสื้อขัดขวางไว้ และไม่ทราบว่าเขาถ่ายทอดกระแสเสียงอันใดให้หลงซือเย่ จึงได้เห็นเขาจ้องมองเขาอย่างชิงชังครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่เข้าไปดูอาการคน และสั่งการให้หลานไว่หูที่รออยู่ข้างประตูเข้าไปดูแลคน…
ตี้ฝูอีไม่สนใจคนกลุ่มนี้อีก พาลูกน้องตนจากไปปานลมหอบหนึ่ง
พวกกู่ฉานโม่มองหน้ากัน ดูเหมือนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะคนใหม่คนเก่าล้วนต้องการทั้งสิ้น ยามนี้ในที่สุดก็นึกถึงอวิ๋นชิงหลัวขึ้นมาแล้ว…
….
ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในด้านของปัจจัยสี่ศิษย์ทั้งหมดของชั้นเรียนเมฆาม่วงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
ที่พักของอวิ๋นชิงหลัวก็ไม่ต่างจากศิษย์หญิงชั้นเรียนเมฆาม่วงคนอื่นๆ ล้วนมีเรือนเล็กเป็นส่วนตัว
นางเฉลียวฉลาดปราดเปรียว ในลานปลูกสมุนไพร ไม้ดอกไม้ประดับ ถึงขั้นจัดวางหินผาชิ้นหนึ่งไว้ในลานด้วย เถาวัลย์เกาะเกี่ยวบนหินผา บนเถาวัลย์มีบุปผาแย้มบาน มีผลสีแดงคล้ายถั่วปะการัง
นางจัดแจงเรือนเล็กหลังนี้ได้ยอดเยี่ยมนัก จากถ้อยคำของมู่เฟิงผู้เคยมาที่นี่ รูปแบบการตกแต่งของที่นี่มีรูปแบบคล้ายคลึงกับวังค้ำนภาของท่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
อวิ๋นชิงหลัวคิดมาตลอด ว่าหากวันหนึ่งท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาที่สำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์ และสามารถมาเดินชมเรือนนี้ของนางได้ จะต้องทราบถึงความทุ่มเทของนางเป็นแน่
ยามนี้นางนอนอยู่บนเตียงของตนเอง ถึงแม้กระดูกซี่โครงจะเชื่อมประสานกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการบาดเจ็บจากกระดูกหัก เลยยังปวดอยู่มาก ต่อให้นางใช้พลังวิญญาณเยียวยาอยู่ตลอด ถ้าอยากจะฟื้นฟูก็ต้องนอนนิ่งสองวัน…
โดยทั่วไปแล้วนางมีมนุษยสัมพันธ์ค่อนข้างดี มีสหายที่คบหากันได้ไม่เลวอยู่หลายคน
ปกติแล้วแค่เป็นหวัดมีไข้เล็กๆ น้อยๆ ก็จะมีสหายกลุ่มใหญ่มาเยี่ยมนางแล้ว
แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว มีสหายเก่าแก่มาเพียวคนสองคน แถมหลังจากมาแล้วล้วนจากไปอย่างรีบร้อนทั้งสิ้น
นางนึกถึงสายตาของผู้คนยามที่นางถูกหมอยกใส่เปลแล้วหามออกมา มีทั้งประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อ เหยียดหยาม และเห็นใจ
เหยียดหยามที่นางใช้อาวุธลับที่ร้ายกาจเช่นนั้นมาทำร้ายสหายร่วมสำนัก เห็นใจที่คนใหม่เช่นนางก็มีวันที่ถูกเขี่ยทิ้งเช่นกัน
ยามที่ตี้ฝูอีอุ้มกู้ซีจิ่วจากไป ไม่มีแม้แต่จะมองนางสักแวบเลยด้วยซ้ำ!
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะสร้างภาพต่อหน้าเหล่าศิษย์ร่วมสำนักว่าได้รับความรักใคร่โปรดปรานยิ่งนักจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้ ดั่งหิมะขาวภายใต้ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ ชั่วพริบตาเดียวก็ละลายหายไป
ตอสายตาที่ผู้คนมองนางในยามนี้ก็เหมือนกับสายตาที่มองกู้ซีจิ่วเมื่อหลายวันก่อน…
หลายวันก่อนเป็นกู้ซีจิ่วที่ได้ลิ้มรสชาติเหล่านั้น ยามนี้กลับสะท้อนกลับมาที่นางอย่างครบถ้วน นี่ทำให้นางอดสูยิ่งนัก
ตอนที่ตี้ฝูอีมาถึงหน้าห้องของนาง นางกำลังนอนอยู่ในห้อง สหายเพียงคนเดียวที่ไม่หลีกลี้ไปจากนางกำลังปลอบใจนางอยู่ “ชิงหลัว อย่ากังวลเลย ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วคนนั้นก็เป็นศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์นะ นางบาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยนางก่อนก็เป็นการสมควรตามเหตุผลแล้ว เลี่ยงไม่ให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทราบแล้วมาตำหนิเขาในภายหลัง ข้าว่าความจริงแล้วการที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยนางก่อนก็เป็นเพราะหวังดีต่อเจ้านะ กันไม่ให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาลงโทษเจ้าหลังจากที่ทราบไง…”
“เจ้าคิดดูสิ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรับเจ้าไปตั้งหนึ่งเดือนให้เจ้าปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเขา ซ้ำยังมาส่งเจ้ากลับด้วยตัวเอง…ถ้ามองจากข้อนี้แล้ว ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ปฏิบัติต่อเจ้าต่างจากผู้อื่นนะ และต่างจากที่ปฏิบัติต่อกู้ซีจิ่วด้วย วางใจเถอะ ข้าคิดว่าขอเพียงเขารักษากู้ซีจิ่วเรียบร้อยแล้ว จะรีบมาเยี่ยมเจ้าทันที…”
————————————————————————————-
[1] เสียฮูหยินซ้ำยังสิ้นไพร่พล หมายถึง การสูญเสียสองอย่างในคราวเดียว
บทที่ 713 ต้องตื่นจากฝันรวดเร็วปานนี้!
เพิ่งกล่าวประโยคนี้จบ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เข้ามาทันที…
เด็กสาวคนนั้นสะดุ้งโหยง แต่สายตากลับเปล่งประกาย คุกเข่าคารวะตี้ฝูอี ระหว่างที่คุกเข่าก็ส่งสายตาให้อวิ๋นชิงหลัวเชิงว่า ‘เจ้าดูสิข้าพูดไม่ผิดจริงๆ ด้วย’
อวิ๋นชิงหลัวเพิ่งฟื้นฟูขึ้นมาในวินาทีที่มองเห็นตี้ฝูอีใบหน้ามีเริ่มสีเลือดเล็กน้อยก็ซีดขาวลงทันที
นางอยู่บนเตียงทำท่าจะลุกขึ้นมา แต่กลับลูบอกเบาๆ พลางขมวดคิ้วคล้ายว่าจะเจ็บซี่โครง เสตามองไปทางตี้ฝูอี ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้น มองลงมาที่นาง ไม่เอ่ยอันใด
นางไม่กล้าโอ้เอ้อีกต่อไป ฝืนข่มความเจ็บปวดไว้ก้าวลงมาจากเตียง คุกเขาลงบนพื้นกับสหายของตน เอ่ยทักทาย “น้อมต้อนรับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
คานี้เนื่องจากกระดูกบาดเจ็บจริงๆ นางเลยเจ็บจนหน้าผากมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมา
สหายของนางชะงักไปแวบหนึ่ง พยุงนางไว้ด้วยความประหลาดใจ “ชิงหลัว ร่างกายเจ้าบาดเจ็บ…ต่อให้ไม่คุกเข่าคารวะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ไม่โทษเจ้าหรอก…”
อวิ๋นชิงหลัวไหนเลยจะกล้าให้ความสนใจนาง เพียงตอบเสียงแผ่วว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง ซี่โครงหักตั้งสี่ซี่นะ…”
อวิ๋นชิงหลัวอยากจะอุดปากนางไว้เหลือเกิน! แต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายก็อยู่ที่นี่ด้วย นางไม่ได้ใจกล้าถึงเพียงนั้น แต่สหายคนนี้ของนางยังคงตาไม่มีแววอยู่ เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสายิ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านมาดูอาการของชิงหลัวใช่ไหมเจ้าคะ? อันที่จริงก่อนหน้านี้นางคำนึงหาท่านอยู่ตลอดเลยเจ้าค่ะ นึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว…”
ในที่สุดตี้ฝูอีก็ยิ้มออกมา เขาสวมหน้ากากไว้ ต่อให้ยิ้มก็เป็นการยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ยิ้มของเขาดูอ่อนโยนมาก แต่รอยยิ้มนั้นส่งไปไม่ถึงดวงตา “ข้าต้องมาอยู่แล้ว มาเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กู้ซีจิ่ว แต่ก่อนอื่น ดูเหมือนสหายเจ้าจะเข้าใจผิดอะไรอยู่นะ เจ้าจะไม่อธิบายก่อนหรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวหน้าซีดเผือด “ข้า…”
สีหน้าตี้ฝูอีพลันเคร่งขรึม “ข้า? เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน? กล้าแทนตนว่า ‘ข้า’ เพียงคำเดียวต่อหน้าข้าเชียวหรือ?”
สีหน้าเขาเคร่งขรึม อุณหภูมิรอบกายลดต่ำลงแปดองศา!
คราวนี้สหายหญิงที่อืดอาดผู้นั้นคล้ายจะสังเกตเห็นความผิปกติแล้วเช่นกัน อ้าปากค้างเล็กน้อยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกมา!
ตี้ฝูอีมองอวิ๋นชิงหลัวที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น มุมปากยกยิ้มเย็นชา “ข้าส่งคนมารับเจ้าไปทำอะไรหรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวกัดริมฝีปากแน่น นางไม่อยากตอบ ทว่าไม่ตอบไม่ได้ “เป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรับบัญชาจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ลงทัณฑ์ชิงหลัว นำตัวชิงหลัวไปรับโทษในแดนทุรคาหนึ่งเดือนเจ้าค่ะ”
ปากน้อยๆ ของสหายหญิงผู้นั้นอ้าออกเล็กน้อย เอ่ยโพล่งออกมา “แต่ตอนที่กลับมาเจ้าไม่พูอะไรเลย ทุกคนล้วนคาดเดาว่าเจ้าไปดูแลท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่บาดเจ็บ เจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน…”
อวิ๋นชิงหลัวอยากจะเตะสหายผู้นี้ออกไปเหลือเกิน ใบหน้าแดงเถือกพลางแก้ตัว “นั่น…นั่นเป็นพวกเจ้าเดากันไปเอง ข้าเคยยอมรับตอนไหนกัน?”
“แต่เจ้าก็ไม่ปฏิเสธนี่” ยามนั้นผู้อื่นล้วนคาดเดากันเช่นนั้น ถึงขั้นมาถามต่อหน้านางด้วยซ้ำ นางก็มิได้ปฏิเสธอะไร แถมยังพูดอะไรทำนองว่าเหนื่อยยิ่งนักอีกด้วย…เห็นได้ชัดว่าเจตนาให้เข้าใจผิด!
สหายคนนั้นรู้สึกว่าสามมุมองของตนพังทลายแล้ว!
ตี้ฝูอีไม่สนใจนางอีก สายตาร่วงลงบนร่างอวิ๋นชิงหลัว “อวิ๋นชิงหลัว ข้าปฏิบัติต่อเจ้าต่างจากคนทั่วไปจริงๆ แต่นั่นเป็นเพราะเจ้าคือสานุศิษย์สวรรค์ ข้าปฏิบัติต่อสานุศิษย์สวรรค์ทุกคนเช่นนี้ คำพูดนี้ข้าเคยกล่าวกับเจ้าไว้นานแล้ว เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
หยาดเหงื่อหยดจากหน้าผากอวิ๋นชิงหลัว “…ใช่เจ้าค่ะ!”
นางต้องเปิดเผยการแสร้งว่าได้รับความโปรดปราดเอ็นดูที่สร้างขึ้นอย่างยากลำบากต่อหน้าเพื่อนสนิทของตน อวิ๋นชิงหลัวอับอายอย่างยิ่ง ปรารถนาจะหารูบนพื้นแล้วมุดเข้าไปยิ่งนัก!
————————————————————————————-
บทที่ 714 เจ้าไม่ใช่เขา! ไม่ใช่
“อวิ๋นชิงหลัว ข้ารู้ว่าเจ้าคิดเกินเลยกับข้า เดิมทีเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เลยไว้หน้าเจ้าไม่ให้เจ้าอดสูต่อหน้าผู้คน ข้าเคยเตือนเจ้าต่อหน้าลำพังแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะดื้อรั้นงมงายถึงเพียงนี้ กล้าปล่อยข่าวลือที่นี่ ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด มีเจตนาใดกัน?”
อวิ๋นชิงหลัวคุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าดั่งคนตาย พูดไม่ออกเลยสักคำ
มิน่าเล่าผู้คนถึงกล่าวว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจัดการเรื่องราวอย่างโหดร้ายขึ้นมาจะไม่ไว้ไมตรีผู้อื่นเลย เป็นเช่นนี้เอง! เป็นเช่นนี้จริงๆ!
นี่นับเป็นการตบหน้ากันซึ่งๆ หน้าเลยทีเดียว!
นางรักเขาจนลุ่มหลงงมงาย ทำทุกอย่างเพื่อตะใกล้ชิดเขา เพื่อรั้งอยู่ข้างกายเขา นางนึกว่าพอนางกลายเป็นสานุศิษย์สวรรค์แล้วเขาจะปฏิบัติต่อนางต่างจากเดิม จะชอบพอนาง นึกไม่ถึงเลยว่า…
ต้องตื่นจากฝันรวดเร็วปานนี้!
ตี้ฝูอีปรายตามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เดิมทีเขาไว้หน้านางแล้ว ถึงขั้นเคยตักเตือนห้ามไม่ให้นางไปหาเรื่องกู้ซีจิ่วอีก แค่ใส่ใจฝึกฝนให้ดีก็พอ หนก่อนยามอยู่ต่อหน้าเขานางรับปากอย่างดี นึกไม่ถึงลับหลังจะก่อเรื่องเช่นนี้ออกมา!
ตี้ฝูอีหงายฝ่ามือขึ้นมา กระบี่หักสีแดงเหล็กเล่มเล็กปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือเขา “อวิ๋นชิงหลัว นี่คือสิ่งใด?”
อวิ๋นชิงหลัวหน้าซีดเหมือนกระดาษ ร่างกายหดไปด้านหลัง “คือ…ชิงหลัวไม่ทราบเจ้าค่ะ…”
“เจ้าไม่รู้? เจ้าจำของๆ ตนไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงตี้ฝูอีน่าครั่นคร้าม “อวิ๋นขิงหลัว ตามกฎการประลองก่อนหน้านี้ ไม่อนุญาตให้พิษคาถาอาคมและอาวุธลับ ดาบลงอาคมเล่มนี้ของเจ้าคืออะไร? เจ้าใช้มันทำร้ายสหายร่วมสำนักเชียวหรือ? เจ้ารู้ไหมว่าทำเช่นนี้ต้องได้รับบทลงโทษอย่างไร?”
หยาดเหงื่ออวิ๋นชิงหลัวหลั่งไหลดั่งสายฝน ได้แต่โขกศีรษะอ้อนวอน “ชิงหลัวทราบแล้วเจ้าค่ะ…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไว้ชีวิตด้วย…”
ตี้ฝูอีค่อยๆ ก้าวเข้ามา ชั่งน้ำหนักกระบี่ผุๆ ในมือ “เจ้าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่โทษตายเลี่ยงได้ ทว่าโทษเป็นละเว้นไม่ได้ ในเมื่อเจ้าใช้มันมาทำร้ายสหายร่วมสำนัก เช่นนั้นก็จงรับมันเป็นการลงโทษซะ!”
พลันดีดปลายนิ้ว อวิ๋นชิงหลัวร้องอั่กคราหนึ่ง กระบี่ผุๆ เล่มนั้นแทงเข้าที่อกขวาของนางทันที! หลังจากเสียบเข้าที่ร่างนาง กระบี่ผุพังเล่มนั้นได้แทงทะลุออกมาจากแผ่นหลังนางกว่าครึ่งเล่ม…
ตำแหน่งนี้เป็นจุดที่กู้ซีจิ่วได้รับบาดเจ็บพอดี ไม่คลาดเคลื่อนเลยสักนิด
อวิ๋นชิงหลัวล้มลงบนพื้น พลันสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาในทันใด ดั่งใบไม้ที่พัดไหวท่ามกลางลมฝน
ตี้ฝูอีไม่สนใจนางอีก หันหลังเดินออกไป
ถึงแม้จะเป็นสิ่งของของอวิ๋นชิงหลัวเอง และนางก็มีวิธีแก้ไข แต่ความเจ็บปวดที่พึงมีก็ไม่ลดทอนลงสักส่วนเลย!
ความเจ็บปวดทั้งหมดที่กู้ซีจิ่วได้รับก่อนหน้านี้เขาต้องการให้นางได้ลิ้มรสเช่นเดียวกัน!
หากนางมิใช่สานุศิษย์สวรรค์ นางคงสิ้นชีพด้วยน้ำมือเขาไปนานแล้ว!
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาดั่งฟ้าแลบจากไปดุจสายลม พริบตาเดียวก็หายลับไป
อวิ๋นหลัวเจ็บจนอยากดิ้นพล่าน แต่แผ่นหลังมีกระบี่อยู่นางจึงไม่กล้าดิ้น หยาดเหงื่อเย็นเฉียบไหลโซมกายทันที
สหายของนางเฝ้ามองอยู่ตลอด มองจนทึ่มทื่อไปแล้ว ยามนี้คุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างโม่งม สติยังไม่กลับมา
อวิ๋นชิงหลัวทนไม่ไหวจึงร้องครวญครางออกมา สหายนางสะดุ้งขึ้นมา สหายผู้นั้นมองนางด้วยสายตาซับซ้อน แต่ยังคงเขยิบเข้ามาดูอาการนาง “ชิงหลัว บาดแผลนี้สาหัสนัก ข้า…ข้าจะไปเรียกหมอมา…”
“ไม่ต้อง…หรอก” อวิ๋นชิงหลัวฝืนเอ่ย “ข…ข้ารักษาตัวเองได้ เจ้า…เจ้าไปเถอะ อย่าเล่าเรื่องที่นี่ให้ผู้อื่นฟัง”
สหายของนางยังไม่ใคร่วางใจ “แต่ว่า…”
“ไม่ต้องแต่แล้ว!” อวิ๋นชิงหลัวเหลืออดแล้ว “ป…ไปซะ! ถือว่าข้าขอร้องเจ้า!”
สหายนางแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็จากไป
ภายในห้องกว้างเหลือเพียงอวิ๋นชิงหลัวผู้เดียว นางหายใจฟืดฟาดดั่งวัว ฝืนยันกายขึ้น แล้วปิดประตูห้อง
บทที่ 715 คนผู้นั้น…คือใคร?
ภายในห้องกว้างเหลือเพียงอวิ๋นชิงหลัวผู้เดียว นางหายใจฟืดฟาดดั่งวัว ฝืนยันกายขึ้น แล้วปิดประตูห้อง ทว่ายังวางใจ ร่ายอาคมซ้ำอีกหลายครั้ง ผนึกทั้งห้องไว้ แบบนี้แล้วขอเพียงมีคนนอกมา นางก็จะทราบล่วงหน้า
เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ นางก็หลั่งเหงื่อโซมกายอีกครั้ง หอบหายใจครู่หนึ่ง ยื่นมือที่สั่นเทาออกไปล้วงถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาจากห้วงมิติในกายตน เปิดถุงเก็บของออก คนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากด้านใน…
อาภรณ์ม่วงเกศาดำ หน้ากากบดบังใบหน้า เรือนกายสูงโปร่ง ยืนอยู่ตรงนั้นดั่งทวยเทพองค์หนึ่ง
อวิ๋นชิงหลัวยื่นมือออกไปหาเขา หลับตาลงนิดๆ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…อุ้มข้า…”
คนผู้นั้นประคองนางขึ้นมาเงียบๆ ช้อนเอวนางอุ้มขึ้นมา จากนั้นก็วางนางลงบนเตียงตามที่นางสั่ง…
สองแขนของอวิ๋นชิงหลัวโอบคอเขาไว้ พิงศีรษะกับอกเขา แววตาเจ็บปวดร้าวราน “เพราะอะไร…ท่านถึงรักข้าไม่ได้? เพื่อท่านแล้วข้ายอมแลกอะไรไปมากมาย…”
คนผู้นั้นไม่พูดอะไร เพียงโอบกอดนางไว้อย่างอ่อนโยน
จู่ๆ อวิ๋นชิงหลัวก็ผลักเขาออกไป หยาดน้ำตาหลั่งรินดั่งสายพิรุณ “เจ้าออกไปนะ! ไสหัวไปซะ! เจ้าไสหัวไป! เจ้าไม่ใช่เขา! ไม่ใช่!”
คนผู้นั้นถูกนางผลักจนเซ ทว่ายังถอยหลังไปหลายก้าวอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็กลิ้งอยู่พื้น…
อวิ๋นชิงหลัวหัวเราะเสียงดัง “เจ้าไม่ใช่เขา เขาไม่เชื่อฟังเช่นนี้หรอก! เจ้าเป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่ง! เป็นแค่หุ่นเชิดไม่มีสมองตัวหนึ่ง!” หัวเราะเสร็จนางก็ร้องไห้อีกครั้ง “ทำไมเจ้าถึงไม่ใช่เขากัน? เจ้าดีกว่าเขามากมิใช่หรือ?”
โลหิตไหลรินออกมาจากบาดแผลที่ทรวงอกและแผ่นหลังของนาง นางปล่อยให้พวกมันไหลออกมา แววตาค่อนข้างเลื่อนลอย “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าข้าตายไปเช่นนี้เสียยังจะดีกว่า ไม่ต้องชอบเขาถึงเพียงนี้อีกต่อไป…”
นางยกมือสัมผัสบาดแผลตรงหน้าอก โลหิตเปอระเปื้อนมือทันที “นี่คือสิ่งที่เขามอบให้ข้า…บางทีข้าควรจะปล่อยมือได้แล้ว…”
คนชุดม่วงผู้นั้นก้าวเข้ามา ยืนอยู่ข้างเตียง มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน ยกมือแตะบาดแผลนางเบาๆ ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “ชิงหลัว เจ้าตายไม่ได้ เจ้ายังทำภารกิจของเจ้าไม่สำเร็จเลย…”
เสียงของเขาก็เป็นน้ำเสียงของตี้ฝูอีเช่นกัน เจือความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยมอบให้นางเอาไว้ “ชิงหลัว เจ้ายังมีข้านะ”
อวิ๋นชิงหลัวแข็งค้างไปแล้ว ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “ข้า…ข้าไม่เคยสอนให้เจ้าพูดเช่นนี้! จ…เจ้าทำได้ยังไง?”
คนชุดม่วงผู้นั้นมองนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โอบนางไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง ริมฝีปากเย็นเฉียบปัดป่ายหน้าผากของนาง “ชิงหลัว อย่ากลัวเลย ข้าจะอยู่ด้วย อยู่ด้วยเสมอ”
อวิ๋นชิงหลัวคล้ายแข็งทื่อไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ยอมให้เขาแกะสาบเสื้อตน ยอมให้เขาใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะบาดแผลของนาง “ชิงหลัว กระบี่ต้องสาปเล่มนี้เจ้าถอนเองได้หรือไม่?”
อวิ๋นชิงหลัวพยักหน้า นางเป็นจอมคาถา กระบี่เล่มนี้หลอมจากแก่นโลหิตของนางผสมกับยันต์คาถารวมถึงสิ่งอื่นๆ ร่างของนางเองย่อมสามารถสลายคมตะขอบนตัวกระบี่ได้ จากนั้นก็ถอนออกไป
นางตวัดมือกุมปลายกระบี่เล่มนั้นไว้ กัดฟันดึงกระบี่หักๆ เล่มนั้นออกมา
แน่นอนว่าเจ็บปวดเสียจนเหงื่อโชกศีรษะอีกครั้ง
ร่างคนเอนหงายลงไปทันที แทบจะสลบไปแล้ว
มือของคนชุดม่วงผู้นั้นคล่องแคล่วว่องไว เริ่มจัดการบาดแผลให้นาง ทายา พันแผล…
อวิ๋นชิงหลัวเบิกตามองเขา คนผู้นี้ไม่ว่าส่วนสูง ท่วงท่า สายตา ริมฝีปาก นิ้วมือ…ทุกส่วนที่คนมองเห็นได้ล้วนเหมือนเขาไม่มีผิด! เหมือนคนผู้นั้นที่นางใฝ่ฝันหาทว่าไม่มีทางได้มาครองตลอดกาล
แต่เบื้องหลังหน้ากากนี้เล่า?
ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือไปปลดหน้ากากเขาลงมา!
ด้านหลังหน้ากากคือใบหน้าประหลาดใบหน้าหนึ่ง ไม่มีขนคิ้ว ไม่มีจมูก มีเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้น…
เฉกเช่นตอนแรกที่นางสร้างเขาขึ้นมาทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
————————————————————————————-
บทที่ 716 เช่นนั้นเจ้าสนใจอะไร?
ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของตี้ฝูอี ดังนั้นเพื่อสร้างให้หุ่นเชิดตัวนี้คล้ายคลึงที่สุดนางจึงไม่ได้สร้างเครื่องหน้าทั้งห้าให้มันจริงๆ เนื่องจากนางรู้สึกว่าเครื่องหน้าที่ตนจินตนาการเอาเองล้วนมิใช่เขา…
นางสวมหน้ากากอันนั้นให้มันอีกครั้งอย่างหดหู่ ด้วยเหตุนี้มันเลยกลายเป็นเขาที่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สามารถพูดคุยเป็นเพื่อนนางได้ ไปเที่ยวเทศกาลความรักเป็นเพื่อนนางได้ นางอยากให้ทำสิ่งใดเขาก็ทำสิ่งนั้น ขอเพียงใช้วิชาหุ่นเชิดควบคุมเขาก็พอ…
นางพริ้มตาลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมาเหมือนนึกอะไรได้ “เมื่อกี้เจ้าบอกว่ามีภารกิจอะไรที่ยังไม่สำเร็จ?! ภารกิจอะไร?”
นิ้วคนชุดม่วงผู้นั้นไล้ใบหน้านาง ถอนหายใจเบาๆ “ชิงหลัว ข้ามีที่มาอย่างไร?”
อวิ๋นชิงหลัวขมวดคิ้ว “ข้าสร้างขึ้นมาไง ข้าเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิด…”
“หากอาศัยฝีมือทั้งหมดของเจ้า ก็สามารถสร้างให้เหมือนเขาอย่างสมบูรณ์ได้ แม้แต่กลิ่นอายของข้าก็เหมือนเขาอย่างสมบูรณ์มิใช่หรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวเงียบงัน
นางเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดระดับสูง ย่อมสามารถสร้างหุ่นเชิดได้ แต่หุ่นเชิดทั้งหมดที่สร้างออกมาจะไม่มีชีวิตจิตใจ ต้องให้ปรมาจารย์หุ่นเชิดใช้วิชาหุ่นเชิดควบคุม และเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ปกติแล้ว ท่วงท่าการเคลื่อนไหวและประสิทธิภาพในการต่อสู้ของหุ่นเชิดจะด้อยกว่าอยู่บ้าง บนร่างหุ่นเชิดทุกตัวล้วนมีกลิ่นอายพิเศษชนิดหนึ่งอยู่ ทำให้แยะแยะความแตกต่างกับมนุษย์ปกติได้ง่ายมาก
นางชอบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ดังนั้นในยามที่ครอบครองเขาไม่ได้ จึงสร้างหุ่นเชิดของเขาขึ้นมาคลายความเหงา แต่หุ่นเชิดที่สร้างขึ้นมาล้วนมีข้อบกพร่องโน้นนี่ ทำให้นางสร้างมันให้เหมือนเขาไม่ได้ ล้มเหลวระหว่างสร้างง่ายดายนัก
จวบจนวันหนึ่ง นางได้รับการชี้แนะจากคนผู้หนึ่งในความฝัน คนผู้นั้นสอนวิธีสร้างหุ่นเชิดแบบพิเศษให้นาง ซ้ำยังมอบเส้นผมของตี้ฝูอีให้นางเส้นหนึ่งด้วย…
หลังจากตื่นขึ้นมานางก็จำขั้นตอนการสร้างหุ่นเชิดที่แสนซับซ้อนนั้นได้ จากนั้นก็ใช้เส้นผมของตี้ฝูอีใช้เวลาอยู่สองปีในที่สุดก็สร้างมันที่เหมือนเขาทุกประการขึ้นมาได้…
อวิ๋นชิงหลัวมองหุ่นเชิดที่อยู่กับตนมาเป็นเวลาสองปี “เจ้า…”
หุ่นเชิดตัวนั้นกุมมือน้อยๆ ข้างนั้นของนางไว้ จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ข้าแตกต่างจากหุ่นเชิดพวกนั้น ชิงหลัว ข้าอยู่ข้างกายเจ้าได้ตลอด ไม่หลีกลี้หนีหาย แต่เจ้าติดค้างหนี้น้ำใจของคนผู้นั้น น้ำใจนี้เจ้ายังต้องใช้คืน…”
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หัวใจอวิ๋นชิงหลัวจึงสั่นสะท้านอยู่บ้าง “คนผู้นั้น…คือใคร?”
หุ่นเชิดตัวนั้นยิ้มน้อยๆ ยกมือปัดไรผมของนาง “ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง”
อวิ๋นชิงหลัวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าอยากรู้ตอนนี้!”
หุ่นเชิดยิ้มนิดๆ มองดูนางเงียบๆ
อวิ๋นชิงหลัวโมโหขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าคว้ากระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากที่ใดจ่อเข้าที่ลำคอเขา “พูด!”
ปลากกระบี่แทงเข้าเนื้อ โลหิตซึมออกมา หุ่นเชิดตัวนั้นนิ่งเงียบ แม้กระทั่งรอยยิ้มตรงมุมปากก็ไม่แปรเปลี่ยนไปเลย
อวิ๋นชิงหลัวเดือดดาลยิ่งนัก ข่มขู่เขาติดๆ กันหลายประโยค แม้กระทั่งถ้อยคำจำพวกว่าจะนำเขาไปทำลายทิ้งก้กล่าวออกมาแล้ว ผลคือหุ่นเชิดตัวนี้ยังคงเงียบงันเช่นเดิม แย้มยิ้มดั่งไม้ท่อนหนึ่ง
ในที่สุดอวิ๋นชิงหลัวก็ถอดใจ ทำได้เพียงเก็บมันเข้าไปในถุงเก็บของอีกครั้ง แล้ว เก็บไว้ให้ดี
ถุงเก็บของใบนี้เป็นถุงเก็บของระดับสูง สามารถเปลี่ยนแปลงขนาดได้ตามใจนึก นางซ่อนมันไว้ค่อนข้างมิดชิด เก็บไว้ในห้วงมิติที่นางบ่มเพาะขึ้นมา หากมิใช่ผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์พิเศษเช่นนาง ก็ล้วงไปจากนางไม่ได้…
….
ยามที่ตี้ฝูอีเดินออกมาจากเรือนของอวิ๋นชิงหลัว ด้านนอกมีกลุ่มคนแสร้งเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ไม่น้อย
อาจารย์ที่ปรึกษาของอวิ๋นชิงหลัวค่อนข้างเป็นห่วงศิษย์ของตน ทำหน้าหนาก้าวเข้าไปสอบถาม “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย ชิงหลัวนาง…”
ตี้ฝูอีไม่หยุดฝีเท้าเลย ตอบเขาอย่างเฉยชาเพียงสามคำ “ไม่ถึงตาย” แล้วสาวเท้าจากไป
น้ำเสียงนี้ฟังอย่างก็ไม่คล้ายว่าดี ผู้คนที่อยู่รอบๆ มองหน้ากัน ไม่ทราบว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหมายความว่าอย่างไร
บทที่ 717 ครานี้ข้าจะรั้งอยู่
สหายสนิทของอวิ๋นชิงหลัวเดินออกมาในยามนี้พอดี
ฝูงชนรีบเข้าไปล้อมวงถามไถ่ สหายสนิทผู้นี้เริ่มแรกยังไม่อยากพูด อึกๆ อักๆ สุดท้ายทนการกดดันของอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ไหว จึงเล่าสถานการณ์ที่นางได้เห็นออกมา
ฝูงชนทึ่มทื่อไปหมด! เรื่องจริงเป็นเช่นนี้หรอกหรือ?
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายไม่เคยมีเยื่อใยกับอวิ๋นชิงหลัวเลยหรือ? ทุกอย่างล้วนเป็นอวิ๋นชิงหลัวรู้สึกอยุ่ฝ่ายเดียวสินะ?!
ที่แท้เป็นเช่นนี้!
ดูเหมือนทุกคนล้วนถูกท่าทีคลุมเครือของนางทำให้เข้าใจผิดไปแล้ว…
อันที่จริงอาจารย์ที่ปรึกษาคนนั้นก็รู้สึกว่าอวิ๋นชิงหลัวน่าผิดหวังจริงๆ ใช้วิธีการชั่วช้าเช่นนั้นมาต่อกรกับสหายร่วมสำนัก ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ซึ่งชัยชนะ!
ความจริงการเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างการต่อสู้ล้วนเป็นเรื่องที่ทุกคนยอมรับได้ แน่นอนว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นต้องเป็นอุบัติเหตุทั่วไป มิใช่เจตนาแอบแฝง
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นชิงหลัวคิดจะทำลายหลายไว่หูจริงๆ…
ใจคอโหดเหี้ยมเหลือเกิน! ดังนั้นการที่นางได้รับโทษเช่นนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว
….
“นายท่าน ท่านเปิดโปงเรื่องเสแสร้งของอวิ๋นชิงหลัวซึ่งๆ หน้า เกรงว่าต่อไปชีวิตในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของนางคงอยู่ยากแล้วเป็นแน่ ภายหน้าถ้านางเติบโตเป็นสานุศิษย์สวรรค์ที่แท้จริงเกรงว่าคงลำบากยิ่งนัก” มู่เหล่ยเป็นกังวล
“นี่เป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับ ข้าเคยให้โอกาสนางไปแล้ว” ตี้ฝูอีไม่เก็บมาใส่ใจ
“เอ่อ นายท่าน ท่านแสดงท่าทีปกป้องแม่นางกู้ต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย เกรงว่าหลังจากผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังทราบข่าวนี้เข้า ความสนใจก็จะเบี่ยงเบนไป นางจะถูกนำมาเป็นจุดอ่อนของนายท่านนะขอรับ” มู่เหล่ยเตือน
ตี้ฝูอีหลุบตาลงเล็กน้อย ใช่แล้ว นี่ก็คือสิ่งที่เขากังวลมาตลอด
เรื่องในวันนี้เขาให้เขาหุนหันพลันแล่นขึ้นมาวูบหนึ่ง เกรงว่าแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้คงยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว!
เพียงแต่ เขาไม่เสียใจเลย หากว่าเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยังจะทำเช่นนี้อยู่
ต่อให้โกรธที่นางมีปฏิสัมพันธ์กับหลงซือเย่ ต่อให้หัวใจนางไม่อยู่ที่ตนแล้ว แต่ในชั่วขระที่เห็นนางได้รับบาดเจ็บเขาก็ไม่สนใจทุกอย่างแล้ว!
ยามนั้นเขาอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีกจริงๆ ถึงอดทนไม่ลงมือซัดอวิ๋นชิงหลัวให้เละเป็นเศษเนื้อทันทีได้! ไม่ได้ทำเรื่องที่เขาต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
ไม่ว่าสานุศิษย์สวรรค์คนใดก็ไม่อาจให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายได้ทั้งสิ้น มิเช่นนั้นอนาคตทุกอย่างจะพังทลายลงทันที!
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว สานุศิษย์สวรรค์ล้วนจิตใจดีงามมาตั้งแต่กำเนิด…การตรวจสอบของตนมีปัญหาหรือเปล่านะ?
“มู่เหล่ย เจ้าไปตรวจสอบแท่นเบิกสวรรค์สักหน่อยสิ ดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่” ตี้ฝูอีสั่งการ
“ขอรับ!” มู่เหล่ยตอบรับ เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “นายท่าน ยามนี้ผู้ที่บงการอยุ่เบื้องหลังน่าจะทราบแล้วว่าคนที่ท่านใส่ใจคือแม่นางกู้ เช่นนั้นเกรงว่าเขาจะหาทางปองร้ายแม่นางกู้ น่าหวั่นเกรงว่าภายหน้าแม่นางกู้คงไม่อาจฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างอิสระเสรีได้อีก…”
ตี้ฝูอีหลับตาลงเล็กน้อย ปลายนิ้วเคาะโต๊ะพลางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่จำเป็น! คนผู้นั้นเจ้าเล่ห์ยิ่ง และขี้สงสัยนัก ไม่แน่เขาอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ข้าเจตนาปกปิดเพื่อให้เด่นชัด เขาน่าจะยังไม่แน่ใจว่า เท็จหรือจริง จริงหรือเท็จ เท็จเท็จจริงจริง เขาไม่อาจมั่นใจได้ในชั่วระยะสั้นๆ”
มู่เหล่ยคิดๆ ดูก็ว่าถูก จึงพยักหน้ารับ “นี่ก็ถูกขอรับ เช่นนี้เถิด ข้าน้อยจะส่งคนมาเพิ่มที่นี่ ปกป้องพวกนางอย่างลับๆ ดีไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีกลับกล่าวขึ้นว่า “ครานี้ข้าจะรั้งอยู่”
มู่เหล่ยเบิกตากว้าง “หา?”
“บอกแก่กู่ฉานโม่ ข้าจะอยู่ที่นี่ครึ่งปี จะสั่งสอนอบรบชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งด้วยตัวเอง”
มู่เหล่ยตกตะลึง
ในที่สุดท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็จะคลายพันธการที่ผูกมัดไว้แล้วใช่ไหม?
————————————————————————————-
บทที่ 718 เดี๋ยวอบอุ่นเดี๋ยวเย็นชา เดี๋ยวใกล้ชิดเดี๋ยวห่างเหิน
ท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว แต่ภายในห้องที่กู้ซีจิ่วอยู่ยังคงสว่างไสวเช่นเดิม
เชียนหลิงอวี่นำถาดที่ดูล้ำค่ามาด้วยสามใบ ในถาดก็คือของรางวัลในภารกิจครั้งนี้ สองถาดแรกได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าสำนักหลงและทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ถาดใบสุดท้ายคือของรางวัลที่แท้จริงจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
ตั้งแต่กู้ซีจิ่วได้รับบาดเจ็บจนถึงยามนี้ผ่านมาสี่ชั่วยามแล้ว สีหน้าของเธอดูดีขึ้นไม่น้อย ลุกขึ้นนั่งเองได้แล้ว
ระหว่างนี้มีคนไม่น้อยมาเยี่ยมเยือนเธอ เยี่ยนเฉินเอย อาจารย์ใหญ่กู่เอย อาจารย์ของชั้นเรียนต่างๆเอย ศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยเอย…
เนื่องจากเกรงว่าจะรบกวนเธอ คนเหล่านี้จึงมาเยี่ยมเธอเพียงครู่เดียวก็จากไปทั้งสิ้น แน่นอนว่าพวกเขาต่างคนต่างทิ้งข้าวของไว้ไม่น้อย ผลไม้รสเลิศเอย ยาสมานแผลเอย ของบำรุงเอย…
หลานไว่หูอยู่ข้างกายเธอตลอด ยุ่งวุ่นวายปานสาวใช้นางหนึ่ง
เชียนหลิงอวี่เพิ่งมาถึงยามนี้ พอเข้ามาก็นำของรางวัลเหล่านี้มาด้วย
หลานไว่หูดีใจมาก เดินวนเวียนรอบของรางวัลเหล่านั้น แถมยังยกมาให้กู้ซีจิ่วดู ให้เธอลองสัมผัส
สิ่งที่อยู่ในนี้ คือผลมะเดื่อหิมะที่ดูชุ่มฉ่ำนุ่มนิ่มยิ่งนัก ลักษณะภายนอกค่อนข้างคล้ายผลท้อ มีสีขาวพิสุทธิ์ มีเพียงส่วนยอดเท่านั้นมีเส้นสายสีชมพูอ่อนดั่งกลีบดอกท้อวงหนึ่ง มองแล้วทำให้คนอยากกินยิ่งนัก
แน่นอนว่ามันนับเป็นหนึ่งในผลไม้ล้ำค่า สรรพคุณมหาศาล มีค่าควรเมือง นี่ก็คือผลไม้ที่ตี้ฝูอีนำมา
“ซีจิ่ว ข้าพิจารณาดูแล้ว การประลองครั้งนี้เจ้ามีผลงานมากที่สุด ผลมะเดื่อหิมะลุกนี้ยกให้เจ้า! ลูกกลอนหทัยพิสุทธิ์มีสามเม็ดพวกเราได้คนละเม็ดพอดี ลูกกลอนบำรุงเลือดลมระดับหกมีทั้งหมดสี่เม็ด เจ้าเอาไปสองเม็ด ข้ากับไว่หูคนละเม็ด” เชียนหลิงอวี่เริ่มกล่าววิธีแบ่งรางวัลของตน
หลานไว่หูก็พยักหน้าเห็นด้วย นางไม่มีความเห็นใดๆ ต่อวิธีการจัดสรรปันส่วนเช่นนี้ของเชียนหลิงอวี่
กู้ซีจิ่วเหลือบมองรางวัลสามอย่างนั้นแวบหนึ่ง ยิ้มบางๆ “ข้าไม่สนใจผลมะเดื่อหิมะลูกนี้ พวกเจ้าสองคนเอาไปแบ่งกันเถิด วิธีแบ่งอีกสองอย่างที่เหลือข้าไม่มีความเห็นอะไร”
หลานไว่หูตะลึง “ซีจิ่ว มะเดื่อหิมะลูกนี้เป็นของที่ดีที่สุดในนนี้นะ ทำให้คนคงความอ่อนเยาว์ เป็นอมตะ…เจ้าควรรับสิ่งนี้ไว้”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า แค่นหัวเราะคราหนึ่ง “ไหนเลยจะมีอะไรที่เป็นอมตะ หากกินสิ่งนี้เข้าก็สามารถเป็นอมตะได้ เช่นนั้นผู้คนตามหาผลไม้นี้มากินก็พอแล้ว ยังจะฝึกฝนอย่างยากลำบากไปทำไมกันเล่า?”
เชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูยังคิดจะเอ่ยต่อ ทว่ากู้ซีจิ่วโบกมือ หลับตาลงนิดๆ “เอาล่ะ แบ่งตามที่ข้าพูดเถอะ ผลมะเดื่อหิมะลูกนี้ข้าไม่อยากได้จริงๆ ไม่สนใจ”
“เช่นนั้นเจ้าสนใจอะไร?” ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อ สองคนที่เหลือเหลียวมองพร้อมกัน มองเห็นตี้ฝูอีเอนพิงอยู่หน้าประตู ด้านหลังเขาคือนภามืดมิดและหมู่ดาว เนื่องจากย้อนแสงอยู่ ใบหน้าของเขาจึงถูกซ่อนไว้ในความมืดกึ่งหนึ่ง ประกอบกับเขาสวมหน้ากากอยู่ เลยทำให้คนมองไม่ออกยิ่งกว่าเดิมว่าเขาอยู่ในอารมณ์ใด
เชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูสบตากันแวบหนึ่ง คุกเข่าคารวะพร้อมกัน
ตี้ฝูอีโบกมือ ให้พวกเขาลุกขึ้น กล่าวอย่างตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง “แบ่งข้าวของตามที่เชียนหลิงอวี่บอก พวกเจ้าหยิบส่วนของตน แล้วไสหัวไปซะ”
เชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูสบตากันอีกครั้ง ไม่พูดจาไร้สาระเลยสักประโยค ต่างคนต่างหยิบของแล้ววิ่งจากไป วิ่งไวปานลมกรด
หลานไว่หูเป็นเด็กสาวที่รอบคอบคนหนึ่ง ยามที่ออกประตูไปยังปิดประตูให้อย่างมิดชิดอีกด้วย
กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร สองคนนั้นก็จากไปไม่เห็นเงาแล้ว
ภายในห้องเหลือเธอกับเขาแค่สองคน
“เหตุใดจึงไม่ต้องการผลมะเดื่อหิมะ? เพราะเป็นของที่มาจากข้างั้นหรือ?” ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นมาก่อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น