ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 700-709

 ตอนที่ 700 ใจกลางแดนลึกลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากผู้อาวุโสขุยมู่ลงมือสำเร็จ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัว จากนั้นก็กลายร่างเป็นหมาป่ายักษ์สีเขียวที่มีขนาดหลายจั้ง และกลายเป็นเงาร่างพุ่งถอยออกไปติดต่อกัน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้ เขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้อสรพิษยักษ์สองหัว พอชี้มือข้างหนึ่ง คมวายุสีเขียวเจ็ดแปดสายก็พุ่งยิงไปยังบาดแผลตรงหางของอสรพิษยักษ์


“เต๊งๆ!”


คมวายุส่วนมากฟันลงบนเกล็ดจนแตกกระจาย มีเพียงแค่สายเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนจะพุ่งยิงโดนบาดแผลพอดี “ฟิ้ว!”


ภายใต้ความเจ็บปวด อสรพิษยักษ์สองหัวก็สะบัดหางใส่หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาสีดำ และมีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศเป็นระยะๆ


ร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาร่างสามเงา และหลบหลีกไปได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง กระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งปรากฏออกมาตรงหน้า แต่พอเขาเปลี่ยนท่ามือ กระบี่บินสีทองก็ม้วนแสงสีทองออกมาห่อหุ้มร่างของตนเองไว้


“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!” หลิ่วหมิงคำรามเสียงออกมา ร่างของกลายเป็นแสงกระบี่ขนาดสิบกว่าจั้ง และม้วนตัวไปในอากาศ มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็ฟันไปยังคอของอสรพิษยักษ์อย่างรวดเร็วปานลมกรด


เห็นได้ชัดว่าอสรพิษรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จนไม่สนใจจะไล่สังหารผู้อาวุโสขุยมู่ต่อ ทันทีที่มันหันตัวกลับมา หัวทั้งสองก็พ่นลูกเปลวไฟสีแดงกับคมวายุสีม่วงใส่แสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้างคลั่ง


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงกระบี่กลับเผยรอยยิ้มเยือกเย็นอยู่ครู่หนึ่ง และยังคงกระตุ้นแสงกระบี่พุ่งเข้าใส่ลูกเปลวไฟกับคมวายุ


ครู่ต่อมา อสรพิษสองหัวที่มีลักษณะดุดันก็ม้วนตัวในทันที ทันใดนั้นหางของมันก็นูนขึ้นมา และเคลื่อนไปที่ลำตัวส่วนบนอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงตรงคอ ขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะๆ


อสรพิษยักษ์สองหัวส่งเสียงร้องปานใจจะขาด ร่างขนาดมหึมากับหัวทั้งสองดีดดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าจะได้ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง


“ฟู่!” หัวข้างที่ปล่อยลูกเปลวไฟส่ายไปส่ายมา จากนั้นลูกตาสีทองข้างหนึ่งก็ระเบิดออกมาในทันที นักรบชุดเกราะสีทองเล็กๆ ขนาดครึ่งฉื่อพุ่งออกมา


มันคือยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่หลิ่วหมิงซ่อนไว้ในคมวายุในก่อนหน้านั้น และปล่อยเข้าไปในบาดแผลตรงหางของมัน พอถูกกระตุ้น มันก็กลายเป็นนักรบยันต์ก่อกวนอยู่ภายในร่างของอสรพิษยักษ์อยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงพุ่งออกมา


ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองก็ทะลวงด่านคมวายุกับลูกเปลวไฟมาอยู่ตรงหน้า และกะพริบผ่านบริเวณคอของอสรพิษยักษ์ไป


แม้ว่าอสรพิษยักษ์จะฝืนความเจ็บปวดดิ้นรนเพื่อหลบหลีกอย่างสุดชีวิต แต่ยังคงเกิดรอยแผลตรงจุดเจ็ดชุ่น ทันใดนั้นโลหิตก็ทะลักออกมา


ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสขุยมู่ที่อยู่ไกลๆ คืนร่างเป็นมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเห็นว่าอสรพิษยักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ก็โบกมือข้างหนึ่งด้วยความดีใจ กริชที่ปักอยู่ด้านข้างอสรพิษยักษ์ถูกดึงออกมา และพร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย


เกิดคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศบริเวณหัวสีม่วงของอสรพิษยักษ์ กริชสีดำเปล่งประกายออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเส้นสีดำกะพริบผ่านไป


“เต๊ง!”


หัวสีม่วงของอสรพิษยักษ์เกิดรูเลือดขนาดใหญ่หนึ่งรู


หัวทั้งสองส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาพร้อมกัน จากนั้นหัวขนาดใหญ่ทั้งสองก็ร่วงพื้นอย่างรุนแรง ลูกตาสีทองทั้งสามกลายเป็นสีเลือดในพริบตา ร่างขนาดมหึมาดีดดิ้นอยู่บนพื้นบริเวณนั้นไม่หยุด


ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองที่ม้วนตัวผ่านไปก็วกกลับมาอีกครั้ง และปล่อยแสงสีทองเจิดจ้า


“ฟิ้วๆ!” “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีทองเพียงแค่หมุนวนรอบคออสรพิษยักษ์สองรอบ ก็ตัดหัวขนาดใหญ่ทั้งสองลงมาได้


จากนั้นแสงกระบี่ก็กลายเป็นปราณกระบี่จำนวนมาก และประสานกันไปมาจนหัวทั้งสองกับวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในนั้นถูกปั่นจนละเอียด


ร่างอสรพิษยักษ์ที่ดีดดิ้นอยู่ท่ามกลางบ่อเลือดกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก


พอแสงกระบี่ดับลง หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวบนอากาศบริเวณนั้นพร้อมกับกระบี่ที่ถืออยู่ในมือ หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ค่อยๆ ร่อนลงด้านข้างร่างไร้หัวของอสรพิษยักษ์


พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่มีสภาพเก่าๆ กลางอากาศก็ถูกเก็บเข้ามา จากนั้นก็ควักเอาป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาหลายอันกับยันต์เก็บของหนึ่งผืนออกจากตัวอสรพิษยักษ์


หลิ่วหมิงเก็บสิ่งของเหล่านี้เข้าไปโดยไม่ได้ดูอย่างละเอียด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ด ก็ทำการฟื้นฟูพลังขึ้นมา


และพอผู้อาวุโสขุยมู่ที่อยู่ไม่ไกลเห็นว่าหลิ่วหมิงสังหารอสรพิษยักษ์แล้ว ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว กลับเคลื่อนไหวมาปรากฏตัวข้างหวงอิ๋งตรงบริเวณก้อนหินยักษ์ที่อยู่ไม่ไกล


นางยังคงหลับตานอนหมดสติอยู่บนพื้น


หลังจากผู้อาวุโสขุยมู่ตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้ว ก็ควักโอสถจากอกใส่เข้าไปในปากของนาง จากนั้นก็ตบไปที่หลังของนางอีกหลายฝ่ามือ สีหน้าของนางถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย


ขณะนี้ ผู้อาวุโสขุยมู่ถึงมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงพื้นบริเวณนั้นเช่นกัน เขาหยิบขวดหยกสีขาวออกมา พอเปิดจุกออก ก็อ้าปากสูดของเหลวใสในขวดเข้าไป


พอก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัว และกระพริบไปรวมตัวบริเวณแขนที่ขาดอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา


ภายใต้การรวมตัวของแสงสีเขียวบริเวณบาดแผลอย่างหนาแน่น หน่อเนื้อจำนวนมากก็งอกออกมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นแขนที่มีสภาพสมบูรณ์ข้างหนึ่ง


ครู่ต่อมา หวงอิ๋งค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากมองดูความยุ่งเหยิงรอบ ๆ และศพอสรพิษไร้หัวบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็มองไปยังผู้อาวุโสขุยมู่กับหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ และกล่าวด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย


“ข้าใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เพิ่งจะแลกมือก็พ่ายแพ้แล้ว โชคดีที่สหายทั้งสองมีพลังล้ำลึก จึงสามารถสังหารมันได้”


“ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของพี่หลิ่ว หากไม่ใช่ว่าเขาแสดงวิธีการมหัศจรรย์ออกมาในฉับพลัน และใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งล่ะก็ ไหนเลยจะสำเร็จได้ง่ายเช่นนี้” ผู้อาวุโสขุยมู่ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับกลั่นพลังโอสถฟื้นฟูพลังเวทต่อ


“ดูท่าครั้งนี้ ข้าคงโชคดีไม่น้อยที่ได้เจอกับพี่หลิ่ว” หวงอิ๋งละสายตาออกมาและถอนหายใจกล่าว จากนั้นก็ควักโอสถมาทานไปหนึ่งเม็ด และนั่งฟื้นฟูพลังด้วยเช่นกัน


ครึ่งวันผ่านไป ภายใต้การอาศัยพลังจากโอสถต่างๆ ของแต่ละคน อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ฟื้นฟูไปกว่าครึ่งหนึ่ง และพลังเวทก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว


ขณะนี้ พอนับป้ายอาญาสิทธิ์ดูแล้ว ก็พบว่ามีมากถึงสิบหกอัน


ทั้งสามย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


“ไม่ทราบว่าหลังจากออกไปแล้ว สหายทั้งสองมีแผนการอย่างไร?” ผู้อาวุโสขุยมู่ถามออกมาในฉับพลัน


“อืม! ตกอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดและอันตรายเช่นนี้ ยังสามารถรอดมาได้ ก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวรูปแบบหนึ่ง กลับไปครานี้ย่อมต้องทำระดับการฝึกฝนให้มั่นคง และเก็บตัวฝึกฝนอย่างจริงจังอีกรอบ!” หวงอิ๋งถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา


“ข้าเป็นผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่ง จะไปที่แห่งใดนั้น รอออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ ประจักษ์ชัดว่าไม่อยากพูดอะไรมาก


“มันก็ถูก พวกเรายังไม่หลุดไปจากสถานที่อันตราย ลองไปดูก่อนว่าโลหิตปีศาจสวรรค์ที่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองลงทุนลงแรงมากมายเช่นนี้ มีลักษณะเป็นเช่นไร แล้วก่อนว่ากันเถอะ!” ผู้อาวุโสขุยมู่พยักหน้ากล่าวด้วยแววตาที่เป็นประกาย


ดังนั้นหลังจากทั้งสามจัดการตัวเองอย่างง่ายๆ แล้ว ก็เดินทางไปยังชั้นจำกัดตรงใจกลางแดนลึกลับทันที


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงหลบหลีกสามสีที่มีลักษณะแตกต่างกัน ก็พุ่งเข้ามาถึงใจกลางแดนลึกลับ และลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ


ซึ่งก็คือพวกหลิ่วหมิงนั่นเอง


หลิ่วหมิงหรี่ตามองพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่าง เขตพื้นที่บริเวณนี้ดูเป็นทุ่งหญ้าธรรมดาที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเท่านั้น


เพียงแต่ว่าต้นไม้ใบหญ้าเหล่านี้มีสภาพเหลืองแห้งราวกับไม่ได้โดนน้ำมานานแล้ว


“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?” ผู้อาวุโสขุยมู่มีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เมื่อครู่เขาใช้จิตกวาดดูกลับไม่ค้นพบอะไรเลย


หวงอิ๋งก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกัน


หลิ่วหมิงหลับตานิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน ประจักษ์ชัดว่ากำลังคิดใคร่ครวญอยู่


ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยรอยยิ้มตรงมุมปาก และหันไปกล่าวกับหวงอิ๋งกับผู้อาวุโสขุยมู่อย่างราบเรียบ “ป้ายปีศาจสวรรค์”


ผู้อาวุโสขุยมู่กับหวงอิ๋งได้ยิน ถึงเข้าใจในฉับพลัน


จากนั้นทั้งสามก็นำป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งหมดออกมา และพริบตาที่ป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งหมดปรากฏตัว ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศอย่างน่าประหลาดใจ


“ฟู่!” “ฟู่!”


หลังจากป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งสิบหกอันสั่นสะท้าน มันก็พากันพุ่งออกไปบนอากาศ และรวมตัวเป็นแผนภาพที่ดูลึกซึ้งเป็นอย่างมาก


แผนภาพนี้เพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็พุ่งขึ้นด้านบน


หลังจากมีเสียงดังขึ้นในครู่ต่อมา ลำแสงสีขาวน้ำนมก็ถูกพ่นออกมาหนึ่งลำ และร่วงลงบนพื้นหญ้า


“ตู๊ม!”


พริบตาที่ลำแสงสีขาวน้ำนมสัมผัสกับพื้น มันก็กลายเป็นคลื่นสีขาวสั่นสะเทือนออกไปรอบด้าน


อากาศเหนือพื้นหญ้าบิดเบี้ยวขึ้นมา ภาพวิวทิวทัศน์เปลี่ยนไปในฉับพลัน ม่านแสงแวววาวครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ปรากฏออกมา มันมีขนาดร้อยกว่าหมู่ มีไอหมอกสีเทาลอยอยู่ในนั้น พอกวาดจิตลงไป ก็ไม่อาจทะลุเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย


รอบๆ ม่านแสงมีเสาหินค้ำฟ้าสิบหกต้นที่สูงร้อยกว่าจั้ง มันตั้งล้อมม่านแสงแวววาวไว้


พอมองอย่างละเอียด ปลายเสาแต่ละต้นต่างก็มีภาพตัวประหลาดที่มีหัวเป็นปีศาจร่างเป็นมนุษย์สลักอยู่ตัวหนึ่ง บ้างก็มีลักษณะคล้ายสิงโตดุร้าย บางก็คล้ายเสือดาว บ้างก็คล้ายจระเข้ บ้างก็คล้ายอสรพิษยักษ์ ซึ่งมีลักษณะท่าทางแตกต่างกันไป แต่กลับดูราวกับมีชีวิต


และภาพปีศาจแต่ละตัวต่างก็มีร่องขนาดเท่ากำปั้นอยู่บริเวณหัวใจ ดูจากลักษณะของมันแล้ว มันประกบกับป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาในก่อนหน้านั้นได้พอดี


“สถานที่แห่งนี้ก็คือชั้นจำกัดใจกลางแดนลึกลับแล้ว เพียงแค่พวกเรานำป้ายอาญาสิทธิ์ที่ได้มาไปวางไว้ในร่องบนเสาหิน ก็สามารถเข้าไปข้างในได้” ผู้อาวุโสขุยมู่เห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด


หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า และโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ


ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ก่อตัวเป็นแผนภาพในอากาศแยกออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และกลายเป็นแสงสีเทาพุ่งลงไปด้านล่าง จากนั้นก็จมลงในร่องบนเสาหิน


พอป้ายอาญาสิทธิ์เลี่ยมฝังลงไปหนึ่งอัน ภาพปีศาจบนเสาก็เปล่งประกายออกมา แสงแวววาวพุ่งออกจากบนนั้น และจมหายไปในม่านแสงแวววาวที่อยู่ตรงกลาง ทำให้ไอหมอกสีเทาที่อยู่ด้านในพวยพุ่งอย่างรุนแรง


พอป้ายอาญาสิทธิ์อันสุดท้ายเลี่ยมฝังลงไปนั้น ทุกสิ่งที่อยู่บนอากาศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน อากาศที่ดูแจ่มใสกลับปกคลุมไปด้วยเมฆดำ และมีเสียงสายฟ้าดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ครู่ต่อมา ขณะที่หมอกสีเทาในม่านแสงพวยพุ่งอย่างรุนแรง ม่านแสงแวววาวก็สั่นสะเทือนขึ้นมาทันที


“เพล้ง!”


หลังจากสายฟ้าขนาดใหญ่ฟันลงบนม่านแสงแวววาว มันก็แตกกระจายออกมา


ไอหมอกสีเทาในนั้นม้วนตัวออกไป ชั่วเวลาเพียงแค่สองสามอึดใจ พวกเขาทั้งสามก็จมอยู่ในนั้น


ตอนที่ 701 การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจในแดนลึกลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอทั้งสามรู้สึกว่าอากาศรอบด้านถูกหมอกควันสีเทาปกคลุมไว้ พวกเขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


ขณะเดียวนั้นเอง กลิ่นไออันแข็งแกร่งสี่สายก็พุ่งออกมาจากตรงกลาง


พอหลิ่วหมิงเขม้นตามองทะลุไอหมอกอันพวยพุ่ง จะเห็นว่าใจกลางชั้นจำกัดมีหุ่นขนาดใหญ่สี่ตัวเฝ้าอยู่ ตรงกลางก็เป็นแท่นบูชาขนาดหลายจั้ง ไอหมอกที่เปล่งแสงสีเลือดลอยนิ่งๆ อยู่เหนือแท่นบูชา


หุ่นนักรบทั้งสี่ตัวสูงราวๆ หนึ่งจั้งกว่า บนตัวสวมชุดเกราะสีเทาเงิน ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ดูเหมือนว่าจะเข้าถึงระดับแก่นแท้ขั้นต้นแล้ว และพอทั้งสี่ตัวรวมกัน แม้แต่หลิ่วหมิงก็ต้องมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้


แต่หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พุ่งไปทางแท่นบูชาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


หวงอิ๋งกับผู้อาวุโสขุยมู่เห็นฉากเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็กระตุ้นแสงหลบหลีกพุ่งไปยังใจกลางชั้นจำกัดอย่างไม่ลังเล


ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าหุ่นระดับแก่นแท้ขั้นต้นสี่ตัวจะเป็นเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย แต่อย่างไรซะมันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต พูดถึงพลังที่แท้จริงก็ไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันได้ และคิดว่าหุ่นทั้งสี่ตัวนี้ ปีศาจสายฟ้าคงเอามาไว้เผื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น และเป็นการเตรียมการป้องกันในชั้นสุดท้ายแล้ว


ขณะที่หลิ่วหมิงเหยียบเข้าไปในพื้นที่ที่ม่านแสงแวววาวเคยปกคลุม ดวงตาดำมืดของหุ่นนักรบสี่ตัวก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้า หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลรบ และอ้าปากพ่นลำแสงสี่สีออกมา


หลังจากลำแสงเหล่านี้รวมตัวกันกลางอากาศ มันก็กลายเป็นลำแสงขนาดเท่าปากถ้วยที่มีสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว รวมตัวเข้าด้วยกัน และพุ่งไปยังหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูพร่ามัว ทำให้ลำแสงทะลุผ่านเงาร่างของเขาไป และโจมตีลงพื้นบริเวณนั้นจนกลายเป็นหลุม


ครู่ต่อมา เกิดคลื่นสั่นสะเทือนเหนือศีรษะหุ่นนักรบทั้งสี่ จากนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา


แต่เขายังไม่ทันได้ทำการโจมตี หุ่นทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างก็แหงนหน้าขึ้นพร้อมกัน และพ่นลำแสงสี่สีใส่เขาอีกครั้ง


ขณะที่หลิ่วหมิงหายวับไปปรากฏอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งนั้น แสงสี่สีเหล่านี้ก็เหมือนกับจะตามติดตำแหน่งของเขาไป


ไม่ว่าหลิ่วหมิงจะหลบหลีกอย่างไรหรือกลายเป็นเงาร่าง ลำแสงเหล่านี้ก็ยังหาร่างจริงของหลิ่วหมิงเจอ และตามติดอย่างไม่ลดละ


สิ่งนี้ทำให้สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย


ถ้าแค่ลำแสงลำนี้ เขาย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่หากหุ่นทั้งสี่ปล่อยลำแสงเช่นนี้ออกมาติดต่อกันล่ะก็ จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง


ผู้อาวุโสขุยมู่ที่เหาะเข้ามา ก็ค่อยๆ หยุดชะงักลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด ประจักษ์ชัดว่าเขาก็ค้นพบว่าหุ่นเหล่านี้รับมือได้ยาก


หวงอิ๋งที่ตามเข้ามาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่ในส่วนลึกของลูกตาดำกลับเปล่งประกายสลัวๆ จากนั้นร่างก็สั่นสะท้านเบาๆ และไม่ขยับเขยื้อนภายในพริบตา


ขณะนี้หลิ่วหมิงก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็หายวับออกไปจากพื้นที่ที่เคยถูกม่านแสงแวววาวปกคลุม จากนั้นแสงในดวงตาของหุ่นทั้งสี่ก็ดับลง และหยุดการโจมตี


ลำแสงสี่สีที่ตามติดหลิ่วหมิงไม่ปล่อย ก็หยุดอยู่ตรงขอบ และระเบิดตัวสลายไปเอง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดในใจทันที ขณะที่กำลังหันมาเรียกผู้อาวุโสขุยมู่กับหวงอิ๋งนั้น พลันมีเงาร่างสีเหลืองกะพริบผ่านตรงหน้าไป พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ใจกลางม่านแสง พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของหวงอิ๋ง


เพียงแต่ไม่รู้ว่าในมือของนางถือดาบเล็กสีทองอร่ามตั้งแต่เมื่อไหร่


ขณะที่หุ่นทั้งสี่ยังไม่ทันได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ แสงสีทองในมือก็สะบัดออกไป เงาดาบสีทองเล็กๆ จำนวนมากร่วงลงมาราวกับสายฝน


ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง ม่านแสงสีเทาขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากตัวของหุ่นทั้งสี่ และต้านทานดาบสีเล็กสีทองไว้


ขณะที่หลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสขุยมู่ต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมานั้น หวงอิ๋งกลับประนมมือหนีบดาบเล็กสีทองไว้ และร่ายคาถาออกมา


พอคาถาถูกร่ายออกมา เปลวไฟสีทองก็ลุกไหม้บนฝ่ามือของนาง ดาบเล็กสีทองในมือค่อยๆ กลายเป็นของหลอมเหลวสีทอง พอนางขยับปากเบาๆ และเปลี่ยนท่ามือ ของหลอมเหลวสีทองก็ไหลเป็นเส้นๆ และเกาะตัวเป็นเข็มบินสีทองอร่ามสี่เล่ม


พอนิ้วของหวงอิ๋งพร่ามัว เข็มทองทั้งสี่เล่มก็ถูกหนีบอยู่ระหว่างนิ้ว และค่อยๆ สะบัดใส่หุ่นทั้งสี่


ทันใดนั้น แสงสีทองแวววาวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ก็กะพริบผ่านอากาศ


“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


แสงแวววาวทั้งสี่พุ่งยิงลงบนม่านแสงสีเทา ทำให้ม่านแสงสั่นไหวจนเกิดเป็นระลอกคลื่น แต่กลับไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้ได้เลยแม้แต่น้อย และมันก็กลับมาเป็นเข็มบินสีทองสี่เล่มเหมือนเดิม


หวงอิ๋งขยับปากเบาๆ พอเปลี่ยนท่ามือ เข็มบินสีทองทั้งสี่ก็เริ่มจุดเปลวไฟสีทองขึ้นมา พอเปลวไฟลุกไหม้ มันก็เข้าไปในม่านสีเทาทันที และกลายเป็นไหมแวววาวพุ่งทะลุลำตัวของหุ่นไป “ฟิ้ว!”


แสงสีทองเปล่งประกายบริเวณหน้าอกของหุ่นนักรบทั้งสี่ เกราะสีเงินบนตัวที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ระเบิดออกมาพร้อมกันจนเกิดรูขนาดเท่ากำปั้น และผลึกแวววาวที่อยู่ด้านในก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ


แสงในดวงตาของหุ่นนักรบระดับแก่นแท้ขั้นต้นทั้งสี่ตัวดับลงทันที จากนั้นก็ล้มโครมลงพื้น


ตั้งแต่หวงอิ๋งลงมือสังหารหุ่นระดับแก่นแท้ทั้งสี่อย่างง่ายดายนี้ ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวเท่านั้น


หลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสขุยมู่เห็นเช่นนี้ ก็จ้องมองจนตาค้าง


และพอหวงอิ๋งเห็นว่าตนเองทำสำเร็จ นางก็คว้ามือลงบนหมอกโลหิตที่ลอยอยู่เหนือแท่นบูชา ขวดเล็กโปร่งใสแวววาวพุ่งออกจากในนั้น และค่อยๆ ตกลงในมือของนางอย่างมั่นคง


หยดโลหิตสีแดงที่ดูราวกับมีชีวิตหมุนวนอยู่ในขวดไม่หยุด


“โลหิตปีศาจสวรรค์! ท่านเซียนยอดเยี่ยมจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะจัดการหุ่นนักรบทั้งสี่ได้ง่ายเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันได้ลงมือช่วยเลย” พอผู้อาสุโสขุยมู่เห็นขวดเล็กๆ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็เคลื่อนตัวมาอยู่ด้านข้างหวงอิ๋งโดยไม่สนใจเรื่องอื่นอีก และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เขาจ้องมองขวดเล็กโปร่งใสในมือหญิงสาวตาไม่กะพริบ


“ฮึ! โลหิตปีศาจสวรรค์เป็นสิ่งที่เจ้าอยากจะได้ก็ได้งั้นหรือ?” หวงอิ๋งได้ยินก็หันมาทันที สายตาที่มองผู้อาวุโสขุยมู่ดูเยือกเย็นยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน แรงกดดันที่แข็งแกร่งกว่าในก่อนหน้านั้นก็พุ่งออกมา


ผู้อาวุโสขุยมู่ถูกกลิ่นไอนี้กดดันจนต้องร่นถอยออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็กล่าวสีหน้าตกใจระคนโมโห


“สหายหวง นี่หมายความว่าอย่างไร หรือท่านจะผิดคำสัญญา?”


หวงอิ๋งกลับเก็บขวดเล็กเข้าไปโดยไม่สนใจ และฟาดฝ่ามือข้างหนึ่งผ่านอากาศไปทางผู้อาวุโสขุยมู่


เงาฝ่ามือสีเหลืองขนาดใหญ่ปิดบังท้องฟ้าส่วนหนึ่งไว้ และปรากฏตัวเหนือศีรษะของผู้อาวุโสขุยมู่


เงาฝ่ามือยักษ์หนักราวกับภูเขา แสงสีทองเกือบจะก่อตัวเป็นเนื้อแท้ บริเวณขอบก็เต็มไปด้วยไอสีเขียวที่ลอยวนเวียน พอฟาดลงมาก็ดูคล้ายกับมีอานุภาพอันยิ่งใหญ่


ไม่ว่าผู้อาวุโสขุยมู่จะระวังแค่ไหน แต่กลับไม่คิดว่าพอหวงอิ๋งลงมือ มันจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ ทันใดนั้นเขาคิดจะกระตุ้นวิชาหลบหนีไป แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว


แสงสีเขียวเปล่งประกายบนตัว อากาศรอบด้านหยุดชะงักลง ทันใดนั้นก็ถูกพลังห้าธาตุกักขังไว้จนไม่อาจดิ้นรนได้เลยแม้แต่น้อย


ผู้อาวุโสขุยมู่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์รีบร้อนเช่นนี้ เขาก็ได้แต่ส่งเสียงหอนออกมา พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย เขากลายเป็นหมาป่ายักษ์ขนาดหลายจั้ง แต่ขณะที่กำลังจะขยับเท้าทั้งสี่เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการนั้น มันก็สายไปแล้ว


ฝ่ามือยักษ์เพียงแค่ร่วงมาเบาๆ ก็คว้าเอาร่างหมาป่ายักษ์ไว้ได้ จากนั้นก็ออกแรงบีบอย่างไม่ปราณี


พอเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” ร่างหมาป่ายักษ์ก็ระเบิดตัวกลายเป็นหมอกโลหิตในทันที


การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวเท่านั้น แม้ว่าหลิ่วหมิงอยากจะลงมือขัดขวาง แต่ก็ไม่ทันแล้ว


และหลิ่วหมิงก็มองหวงอิ๋งที่ดูลึกลับซับซ้อนนี้ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้ขึ้นมา


ขณะนี้หวงอิ๋งแผ่กลิ่นไอที่เหนือกว่าความคาดหมายไปมาก เทียบกับผู้ฝึกฝนปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในก่อนหน้านั้นแล้ว นางยังแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเปรียบเทียบได้


เขาสะบัดแขนเสื้อในทันที กระบี่เล็กสีทองพุ่งออกมาในพริบตา และขยายตัวตามแรงลมจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่า


เขากะพริบไปปรากฏตัวบนกระบี่ยักษ์ พอกระตุ้นเคล็ดวิชา กระบี่ยักษ์กลายเป็นแสงสีทองเจิดจ้าพุ่งออกไปด้านหลัง และกะพริบไม่กี่ที ก็หนีออกไปหลายสิบจั้งแล้ว


มันคือวิชาขี่กระบี่เหินเวหานั่นเอง!


“สหายหลิ่ว แม้ว่าเจ้าจะปิดบังกลิ่นไอระดับการฝึกฝน แต่ไหนเลยจะปิดบังข้าได้ แค่การฝึกฝนระดับผลึก ก็มีพลังระดับนี้ ข้านับถือยิ่งนัก หากมีชีวิตอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย อาจจะเป็นมนุษย์ที่ไม่ควรมองข้ามก็เป็นไปได้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงหลบหลีก ได้ยินเสียงราบเรียบของหวงอิ๋งดังขึ้นข้างหูในฉับพลัน น้ำเสียงนี้คมชัดราวกับเสียงนกขมิ้นที่ออกจากหุบเขา ซึ่งไม่เหมือนกับก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง หวงอิ๋งก็ยกแขนชี้ไปทางแสงสีทองที่อยู่ไกลๆ


อากาศด้านบนแสงสีทองหนาแน่นขึ้น เงาดรรชนียักษ์สีเหลืองขนาดเจ็ดแปดจั้งที่มีไอสีเขียวลอยวนปรากฏออกมา และชี้ลงด้านล่าง


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ความเร็วของวิชาขี่กระบี่เหินเวหาได้กระตุ้นจนถึงขีดสุดแล้ว คิดจะเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบหนีก็ไม่ทันแล้ว หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ก็ได้แต่กระตุ้นเกล็ดสีแดงให้ปกคลุมจุดสำคัญไว้ ขณะเดียวกัน เกราะหนังสีเงินก็ปรากฏขึ้นบนตัว พอสะบัดแขนเสื้อ โล่กระดูกสีดำก็พุ่งออกมา และขยายใหญ่ตามแรงลมก่อนต้านทานอยู่เหนือศีรษะ


“ตู๊ม!”


เงาดรรชนียักษ์ได้แตะลงบนแสงกระบี่สีทองแล้ว และระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงสีเหลืองปกคลุมแสงกระบี่ไว้


เงากะโหลกเก้าใบปรากฏบนพื้นผิวโล่กระดูก แต่พริบตาเดียวก็ถูกแสงสีเหลืองกดดันจนดับไป ตัวโล่กะโหลกก็แตกสลายพร้อมส่งเสียงร้องโหยหวน และหดเข้าไปในร่าง


หลิ่วหมิงรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่แทบจะทำให้ร่างกายของเขาแหลกสลาย หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น และตามด้วยเสียงแตกหักของกระดูกภายในร่าง แสงสีทองบนตัวก็ดับลง ร่างของเขาร่วงลงไปพร้อมกับกระบี่บินราวกับฝนดาวตก และหล่นพื้นอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่


ตอนนี้หลิ่วหมิงตัวอ่อนปวกเปียกอยู่บนพื้น หน้ากากวานรบนใบหน้าได้หายไปนานแล้ว คราบเลือดเต็มตัว เกราะหนังสีเงินกับเกล็ดสีแดงถูกเปราะเปื้อนไปด้วยเลือดเนื้อ และยังมีไอพิษสีเขียวลอยวนอยู่ บาดแผลราวกับมีมดนับหมื่นนับพันปีนขึ้นมาพร้อมกัน หลังจากขยับตัวเล็กน้อย ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสก็ถาโถมมาจากกระดูกส่วนต่างๆ


“ระดับดาราพยากรณ์!”


หลังจากหลิ่วหมิงกระอักเลือดออกมาแล้ว  ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเศร้าบนใบหน้า


ตอนที่ 702 ผู้อาวุโสจินหมาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อหลิ่วหมิง โดนดรรชนีผ่านอากาศแค่หนึ่งที ก็ได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว เกรงว่าต่อให้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นปลาย ก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้


“เอ๊ะ!”


หวงอิ๋งมองดูหลิ่วหมิงที่หายใจรวยรินทีหนึ่ง จากนั้นก็ต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา การโจมตีในเมื่อครู่ นางไม่ได้ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย แต่กลับไม่สามารถสังหารผู้น้อยระดับผลึกคนหนึ่งได้ ช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก


แต่ขณะที่นางหัวเราะอย่างเยือกเย็น และกำลังจะพูดอะไรออกมานั้น ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองที่อยู่อีกด้านก็ส่งเสียงดัง “ตู๊ม!” หลังจากแสงสีเขียวพุ่งออกมา ก็กะพริบอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง และก็มีคนปรากฏออกมา


เขาก็คือผู้อาวุโสขุยมู่ที่ถูกบีบจนระเบิดผู้นั้น


ตอนนี้เขามีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ มีไอสีเขียวจางๆ พุ่งออกจากตัว หน้าอกกระเพื่อมอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส


เกือบจะในเวลาเดียวกัน จี้หยกสีเขียวบนเอวที่ดูไม่เตะตา ก็กลายเป็นผุยผงอย่างไร้สุ้มเสียง


“น่าสนใจดี ตราหยกรับเคราะห์! สิ่งของแบบนี้ไม่ค่อยได้เจอบ่อยมากนัก ดูท่าเจ้าคงมีสถานะไม่ธรรมดาในหุบเขาปีศาจสวรรค์” หวงอิ๋งเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“เจ้าเป็นใครกันแน่…หรือเจ้าคิดจะแอบกลืนโลหิตปีศาจ…ต่อให้เจ้าจะได้โลหิตปีศาจไปแล้วจะอย่างไร ทางออกแดนลึกลับอยู่บนเขาเหลยฉือ ต่อให้เจ้าจะมีระดับการฝึกฝนสูง แต่หากไม่มีข้าคอยช่วย ก็ยากจะหนีพ้นเงื้อมมือของปีศาจสายฟ้าไปได้…” ผู้อาวุโสขุยมู่มีคราบเลือดตรงมุมปาก และจ้องมองหวงอิ๋งด้วยความโมโห


“สหายขุยมู่ ในเมื่อข้าจะลงมือ จุดนี้ก็ไม่ต้องให้สหายมาเป็นห่วงหรอก ว่าแต่ตราหยกรับเคราะห์อันล้ำค่าเช่นนี้ คิดว่าบนตัวของเจ้าก็คงมีแค่ชิ้นเดียว เช่นนี้ล่ะก็ ก็ไปตายซะเถอะ!” หวงอิ๋งได้ยินก็กล่าวอย่างราบเรียบ


พอกล่าวจบนางก็ค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นเงาฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และยื่นไปบนตัวผู้อาวุโสขุยมู่


ครั้งนี้ผู้อาวุโสขุยมู่ได้เตรียมป้องกันไว้ก่อนแล้ว บวกกับระยะห่างที่ไกลเช่นนี้ พริบตาที่ฝ่ามือยักษ์ปรากฏออกมา แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัวทันที จากนั้นก็กลายเป็นหมาป่ายักษ์สีเขียวตัวหนึ่ง เท้าทั้งสี่พุ่งออกไปไกลๆ ทันที


แต่ทว่าพุ่งออกไปได้แค่ไม่กี่สิบจั้ง ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็พร่ามัวมาระเบิดตัวบนหัวของหมาป่ายักษ์


“ตู๊ม!”


หมาป่ายักษ์สีเขียวหดตัวเป็นก้อน และถูกพลังมหาศาลอัดกระเด็นออกไป หลังจากกลิ้งอยู่กลางอากาศไปหลายรอบ ก็หล่นลงพื้นเสียงดัง “ตุ๊บ!”


หมาป้ายักษ์สีเขียวนอนปวกเปียกอยู่บนพื้นทันที มีบาดแผลเต็มตัว เลือดไหลทะลักออกมา ไอสีเขียวหมุนวนรอบๆ และร่างกายก็กระตุกเล็กน้อยราวกับสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว แต่ก็กัดฟันยืนขึ้นด้วยตัวที่สั่นสะท้าน


 หวงอิ๋งเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ลงมือในทันที แต่กลับจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยความสนใจ


ดวงตาทั้งคู่ของหมาป่ายักษ์เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ทันใดนั้น มันก็แหงนหน้าส่งเสียงหอนออก พออ้าปาก แก่นปีศาจสีเขียวก็ถูกพ่นออกมา มันหมุนติ้วๆ อยู่บนหัวจนเปล่งแสงสีเขียวขึ้นมา เถาวัลย์หลายเส้นพุ่งยิงออกจากในนั้น และทอประสานกันไปมาจนห่อหุ้มร่างของเขาไว้


 ครู่ต่อมา ตะกร้อเถาวัลย์ที่มีขนาดหลายจั้งก็ปรากฏออกมากลางอากาศ และพองยุบเป็นจังหวะ พอมองจากที่ไกลๆ ดูคล้ายกับหัวใจสีเขียวที่กำลังเต้นอยู่ แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก


“ตู๊ม!”


หัวใจสีเขียวเต้นได้ไม่กี่ครั้ง เถาวัลย์ก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ระเบิดออกมา เผยให้เห็นร่างผู้อาวุโสขุยมู่ที่มีไอสีเขียวลอยวนรอบตัว


ตอนนี้เขาคืนร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง กลิ่นไอที่ขาดๆ หายๆ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา


 และขณะที่กลิ่นไอเพิ่มทวีขึ้น บาดแผลบนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว ความเปล่งปลั่งบนใบหน้าค่อยๆ หายไป ขณะเดียวกันรอยเหี่ยวย่นก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา ราวกับว่าอายุแก่ลงไปหลายร้อยปีภายในพริบตา


แม้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสขุยมู่จะฟื้นฟูพลังมาได้อีกครั้ง แต่กลิ่นไอพลังชีวิตที่แผ่ออกมากลับอ่อนแออย่างถึงขีดสุด


ประจักษ์ชัดว่าเขาใช้วิธีการฟื้นฟูที่คล้ายกับการใช้วิชาพฤกษาแห้งพบเจอหยาดพิรุณ โดยใช้อายุขัยเป็นการตอบแทน แต่วิธีการนี้รุนแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ชั่วเวลาแค่ครู่เดียว ก็ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทั่วร่างได้แล้ว


“วิชาที่สืบทอดต่อกันมาของหุบเขาปีศาจช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าฟื้นฟูพลังและอาการบาดเจ็บเท่านั้น แม้แต่พิษห้าวิญญาณที่ข้าปล่อยออกไป ก็สามารถระงับไว้ได้” หวงอิ๋งหัวเราะเบาๆ แต่ในดวงตากลับไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย


“ฮึ! ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนหุบเขาปีศาจสวรรค์จริงๆ ก็ควรจะรู้ว่าใครก็ตามที่คิดจะเอาโลหิตปีศาจสวรรค์ไป จะต้องเป็นศัตรูกับหุบเขาปีศาจสวรรค์เรา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม หากหยุดมือในตอนนี้ล่ะก็ ข้าจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ผู้อาวุโสขุยมู่จ้องมองหวงอิ๋งแล้วกล่าวออกมา


“ฮ่าๆ! หุบเขาปีศาจสวรรค์มีชื่อเสียงใหญ่โตเช่นนี้ แม้แต่ปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ข้าก็ย่อมหวาดกลัวเป็นธรรมดา แต่หากสหายขุยมู่หายไปจากที่นี่ตลอดกาล ใครจะรู้ล่ะว่าโลหิตปีศาจสวรรค์ตกอยู่ในมือของข้า? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางแพร่งพรายออกไป ต่อให้สหายจะมีเคล็ดวิชาที่สามารถรายงานเรื่องนี้ให้กับหุบเขาปีศาจสวรรค์ได้ เกรงว่าพอถึงเวลานั้น คนที่หุบเขาปีศาจสวรรค์จะตามหา ก็คงเป็นปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนเสียมากกว่า!” หวงอิ๋งกล่าวอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ประจักษ์ชัดว่านางไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย


“เจ้า…”


ผู้อาวุโสขุยมู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านั้นเขาใช้เคล็ดวิชาส่งข่าวไปในหุบเขาจริงๆ แต่ข่าวที่ส่งไปกลับบอกว่า ปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กแอบกลั่นโลหิตปีศาจสวรรค์อย่างลับๆ หากหุบเขาปีศาจสวรรค์ส่งคนมาตรวจสอบจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าคงตรวจสอบมาไม่ถึงนางผู้นี้


แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีความเด็ดขาดมาก พอเห็นว่าหวงอิ๋งไม่ยอมรามือ เขาก็แอบกัดฟัน และเอามือข้างหนึ่งตบไปที่ท้องน้อยอย่างรุนแรง จากนั้นก็พ่นแก่นปีศาจสีเขียวที่มีขนาดเท่ากำปั้นออกมา


แก่นปีศาจนี้ลอยวนขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเขา


ผู้อาวุโสขุยมู่อ้าปากพ่นหมอกโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง หลังจากกะพริบผ่านไปแล้ว ก็จมเข้าไปในแก่นปีศาจสีเขียว ทันใดนั้นก็ปรากฏภาพหัวปีศาจสีเลือดแปลกประหลาดบนพื้นผิว


หลังจากเขาสูดแก่นปีศาจนี้ก็เข้าไป แสงสีแดงนับหมื่นลำก็เปล่งประกายอยู่บนตัว หลังจากแสงดับลง ก็กลายร่างเป็นหมาป่ายักษ์สีเลือดที่มีขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง


หมาป่าตัวนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความชั่วร้าย ลูกตาสีแดงเปล่งแสงโลหิตออกมา แรงกดดันจิตวิญญาณก็พุ่งจากระดับแก่นแท้ขั้นต้นจนเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นกลาง หลังจากหมุนตัวไปหนึ่งที ก็กลายเป็นแสงโลหิตพุ่งออกไป มันกะพริบแค่ทีเดียว ก็อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้งแล้ว


“หุบเขาปีศาจสวรรค์มีชื่อเสียงสมคำร่ำลือจริงๆ มีเคล็ดวิชามากมาย หากข้ามีการฝึกฝนแค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นจริงๆ เกรงว่าคงจะทำให้เจ้าหนีไปได้ แต่ว่าความแตกต่างของระดับการฝึกฝน ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถใช้เคล็ดวิชามาเสริมได้ ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าดูพลังที่แท้จริงของข้าก็แล้วกัน” หวงอิ๋งเห็นเช่นนี้กลับปรบมือหัวเราะเป็นการใหญ่


ระหว่างที่พูด ใบหน้าของนางก็เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา ขณะเดียวกันแสงสีทองเจิดจ้าก็เริ่มเปล่งประกายรอบตัว กลิ่นไอก็ระเบิดขึ้นมาในพริบตา อานุภาพที่เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทะลักออกมา และดรรชนีข้างหนึ่งก็ชี้ไปทางแสงโลหิต


“ตู๊ม!”


หมาป่ายักษ์ส่งเสียงร้องโหยหวนท่ามกลางแสงโลหิต และร่วงลงมาราวกับวิหคยักษ์ เกิดรูขนาดเท่ากำปั้นบริเวณหน้าท้องของเขา


“เจ้า…เป็นไปไม่ได้ เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่?” แม้ว่าหมาป่ายักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส  แต่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และแสงโลหิตก็เปล่งประกายบนบาดแผล จากนั้นก็สมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว แต่สายตาที่มองดูหวงอิ๋งกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


และขณะนี้ แสงสีทองรอบตัวหวงอิ๋งก็ดับลง ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์ของหลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสขุยมู่ นางก็กลายร่างเป็นหญิงสวมชุดคลุมยาวสีทอง ใบงดงาม และมีเอวเพรียวบางผู้หนึ่ง


เส้นผมสีดำเต็มหัวได้กลายเป็นอสรพิษจำนวนมาก ดูเหมือนจะมีราวๆ หนึ่งร้อยกว่าตัว บ้างก็บิดตัว บ้างก็หมุนวนไปมาด้วยท่าทางที่แตกต่างกัน สายตาสีเลือดจ้องมองไปยังหมาป่ายักษ์สีเลือดที่อยู่ตรงหน้า และส่งเสียงร้องออกมาตลอดเวลา ทำให้รู้สึกขนลุกขนชันยิ่งนัก


“ผู้อาวุโสจินหมาน!” พอหมาป่ายักษ์สีเลือดเห็นหญิงที่งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ก็ส่งเสียงคำรามด้วยความหวาดกลัว และกลายเป็นกลุ่มแสงโลหิตสีแดงพุ่งหนีออกไปทันที


“คิดไม่ถึงว่าผู้ต่ำต้อยอย่างข้า จะมีชื่อเสียงแพร่ไปถึงหุบเขาปีศาจสวรรค์ด้วย แต่หากจะคิดหนีในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสอย่างข้าแล้ว” หญิงผมอสรพิษหัวเราะอิๆ พอเอามือข้างหนึ่งแตะพื้นเบาๆ นางก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งตามแสงหลบหลีกสีเลือดไป


แสงหลบหลีกสีทองพร่ามัวกลางอากาศสองสามที ก็กะพริบมาขวางอยู่ตรงหน้าหมาป่ายักษ์สีเลือดแล้ว


หมาป่ายักษ์จำต้องหยุดชะงักลงทันที แต่ประกายความบ้าคลั่งฉายผ่านแววตาของมันไป พออ้าปาก กริชสีดำเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมา อักขระสีเลือดจำนวนมากเปล่งประกายบนพื้นผิว จากนั้นก็กลายเป็นมังกรดำดวงตาสีแดงที่ยาวสิบกว่าจั้ง


ขณะที่หญิงผมอสรพิษมองเห็นกริชสีดำนั้น ดวงตาของนางก็ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ก็ทำเสียงฮึดฮัดแล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาทันที ไอหมอกสีเหลืองม้วนตัวออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมมังกรดำไว้ และไอหมอกก็พวยพุ่งรวมตัวกันอีกครั้ง จากนั้นก็กลายเป็นอสรพิษน้อยสีเหลืองทองจำนวนมาก  และกระโจนเข้าใส่มังกรดำอย่างบ้าคลั่ง


เกิดภาพ ‘หมื่นอสรพิษกลืนมังกร’ กลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียว มังกรดำก็ถูกโจมตีจนมีสภาพไม่สมบูรณ์


ขณะเดียวกัน หญิงผู้นี้ก็พลิกฝ่ามือตบกลับไปเบาๆ


“ตู๊ม!” หมาป่ายักษ์สีเขียวถูกฝ่ามือยักษ์สีเหลืองข้างหนึ่งตบลงจากที่สูง ทั้งยังมีไอหมอกสีเหลืองอยู่บนตัวหนึ่งชั้น


“ฟู่ๆ!”


ไอหมอกเหล่านี้กลายเป็นอสรพิษเล็กๆ จำนวนมาก และมุดเข้าไปในผิวหนังของหมาป่ายักษ์ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงร้องออกมา


“อ๊ากก…ไม่…ฆ่าข้าแล้วทางหุบเขาปีศาจจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน…”


ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้อาวุโสขุยมู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกอสรพิษมุดเข้าไปในร่าง ทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งไม่อาจกระตุ้นให้แก่นแท้ภายในร่างระเบิดออกมาได้ ทำได้แค่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด และจ้องมอง ‘ผู้อาวุโสจินหมาน’ ด้วยสีหน้าวิงวอน


หญิงผมอสรพิษกลับหัวเราะประชดประชัน พอสะบัดแขนเสื้อ หมอกสีเหลืองก็ม้วนตัวออกไป


ภายใต้สถานการณ์ที่หมาป่ายักษ์สีเขียวขนาดมหึมาถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ไอหมอก ผิวหนังของมันก็เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว และถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เลือดเนื้อและวิญญาณที่อยู่ด้านใน ก็เหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจ บนพื้นก็เหลือแค่โครงกระดูกหมาป่าขนาดใหญ่เท่านั้น พอเกิดเสียงดัง “ฟู่!” มันก็กลายผุยผง และสลายตัวไปท่ามกลางไอหมอกสีเหลือง


“เต๊ง!” แหวนเก็บของสีเขียวสลัวๆ ปรากฏออกมา และร่วงลงบนพื้น


ตอนที่ 703 ต่อสู้กับดาราพยากรณ์ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

พริบตาที่ผู้อาวุโสขุยมู่เสียชีวิตนั้น มังกรดำที่ถูกอสรพิษจำนวนมากโจมตี ก็ส่งเสียงร้องโหยหวน และร่วงลงมาเป็นเป็นกริชที่มีสภาพไม่สมบูรณ์อีกครั้ง


พอหลิ่วหมิงดูถึงตอนนี้ ใจเขาก็จมดิ่งลงไป


ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ผู้หนึ่ง ถูกหญิงผู้หนึ่งสังหารโดยไม่มีพลังต้านเลยแม้แต่น้อย พอเขานึกถึงฉากที่ผู้อาวุโสขุยมู่หลบหนีไปทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของนาง และเรื่องที่นางรู้ว่าเขาใช้เคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ปิดบังระดับการฝึกฝนแล้ว ผู้อาวุโสจินหมานผู้นี้จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย!


“แม้ข้าจะเป็นผู้อาวุโสของชนเผ่าจินหมาน แต่ก็มีสายเลือดเผ่าปีศาจอยู่ครึ่งหนึ่ง มีโลหิตปีศาจสวรรค์นี้แล้ว สายเลือดปีศาจของข้าจะต้องพัฒนาไปอย่างมาก จะได้ถือโอกาสนี้บรระลุระดับดาราพยากรณ์ขั้นกลางพอดี! ฮึ! หากไม่ใช่ว่าการแปลงร่างของหุ่นตัวนี้มีเวลาจำกัด ต่อให้ผู้ฝึกฝนทั่วทั้งแดนลึกลับลงมือพร้อมกัน ข้าก็สามารถทำลายได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ” หญิงผมอสรพิษมองดูร่างของผู้อาวุโสขุยมู่ที่หายไปแล้วพูดพึมพำออกมา


แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ดังมากนัก แต่ในสถานที่เงียบสงัดและไร้ชั้นจำกัดปิดกั้นเสียงเช่นนี้ หลิ่วหมิงยังคงได้ยินอย่างชัดเจน และก็ทำให้เขารู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา


นางไม่กังวลกับคำพูดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็หมายความนางจะต้องไม่ให้ใครเล็ดลอดออกไปได้


ในความเป็นจริงแล้ว ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจินหมานผู้นี้ใช้วิธีการอะไร ถึงทราบว่าพวกปีศาจสายฟ้าทั้งสองกำลังวางแผนนี้อยู่ แม้ว่าอยากจะได้โลหิตปีศาจสวรรค์โดยเร็ว แต่กลับหวาดกลัวพลังของปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็ก และไม่อยากปะทะกับพวกเขาซึ่งๆ หน้า ดังนั้นจึงส่งหุ่นแปลงร่างที่ถูกนางใช้จิตควบคุมอย่างลับๆ แฝงตัวเข้ามาในแดนลึกลับ


แต่หลิ่วหมิงก็เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับหุ่นแปลงชั่วคราวจากคัมภีร์ในนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน แม้ว่าจะใช้ได้ดีในช่วงเวลาสำคัญ แต่กลับมีข้อจำกัดมากมาย โดยทั่วไปจะแสดงพลังได้เพียงครึ่งหนึ่งของร่างจริง แม้กระทั่งอาจจะต่ำกว่าก็ได้ ทั้งยังมีข้อจำกัดเรื่องเวลาที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหลิ่วหมิงจะสามารถต้านทานได้


แต่ขณะนั้นเอง หญิงผมอสรพิษที่อยู่ไม่ไกลก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรได้ จึงหันหน้ามามองหลิ่วหมิงที่นอนอ่อนปวกเปียกในฉับพลัน พอร่างของนางพร่ามัว ก็มาปรากฏตัวอยู่บนอากาศเหนือร่างของหลิ่วหมิง


“จุ๊ๆ! ข้าเกือบลืมไปว่ายังมีเจ้าอยู่ จะว่าไปแล้วคุณสมบัติและความสามารถดีเช่นนี้ มันช่างน่าเสียดายจริงๆ หากเจ้าไม่ใช่มนุษย์ และรู้ความลับเรื่องโลหิตปีศาจสวรรค์ล่ะก็ ใช่ว่าจะไม่สามารถนำเจ้ากลับไปกับข้าได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้น่ะหรือ…” หญิงผมอสรพิษถอนหายใจเบาๆ แต่ในดวงตากลับฉายแววโหดเหี้ยมออกมา


นางเพิ่งพูดได้แค่ครึ่งเดียว ก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นเบาๆ ในฉับพลัน ลูกเปลวไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นในมือ


เปลวไฟสีฟ้าเปล่งประกาย เปลวไฟเย็นยะเยือกลุกไหม้อย่างรุนแรง และเผาไหม้จนอากาศบริเวณนั้นดูพร่ามัวเล็กน้อย


“ฟู่!”


ลูกเปลวไฟกลายเป็นแสงสีฟ้าพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


แม้หลิ่วหมิงจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ตั้งแต่ร่วงลงมาในเมื่อครู่ เขาก็แอบกระตุ้นพลังเวทที่เก็บอยู่ในร่างตั้งนานแล้ว และปล่อยเข้าไปในเกราะหนังสีเงินที่สร้างมาจากปีศาจสมุทรแปดขาอย่างเงียบๆ ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ ก็ไม่ทันได้คิดอะไรมาก หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว หนวดสัมผัสสีเงินแปดเส้นก็ยื่นออกจากหลัง และแตะลงบนพื้น “ฟู่!” มันแบกหลิ่วหมิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสพุ่งยิงออกไป หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็พุ่งออกไปไกลเจ็ดแปดจั้ง


หญิงผมอสรพิษคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงในสภาพที่กระดูกแทบจะแหลกละเอียดไปทั่วร่าง จะแสดงฉากเช่นนี้ออกมาได้ หลังจากอึ้งไปเล็กน้อยแล้ว ก็หัวเราะเบาๆ และชี้มือข้างหนึ่งไปด้านหน้า


แสงสีฟ้าเปลี่ยนทิศในทันที ดูเหมือนความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็ตามหลิ่วหมิงทัน และโจมตีลงบนตัวเสียงดัง “ตู๊ม!”


พอแสงสีฟ้าสัมผัสกับร่างของหลิ่วหมิง เปลวไฟสีฟ้าก็ลุกไหม้อย่างรุนแรง


หลิ่วหมิงรู้สึกความเจ็บปวดจากการถูกทิ่มแทง ไหมสีฟ้าแน่นขนัดมุดเข้าไปในแขนขาราวกับอสรพิษ และแผ่ขยายขึ้นร่างกายส่วนบนอยู่ไม่หยุด


ภายใต้การม้วนตัวของแสงสีฟ้า ปีศาจสมุทรแปดขาไม่อาจรักษาสภาพการเป็นเกราะอสูรไว้ได้ ทันใดนั้น มันก็ร่วงลงจากตัวหลิ่วหมิงเสียงดัง “แกร๊กกร๊าก!” และกลายสภาพเป็นหมึกตัวเล็กๆ ก่อนล้มลงพื้นไป และบนตัวก็ไหม้เกรียมไปทั้งแถบ


ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่อาจทำการต้านทานใดๆ ได้อีก จึงยอมให้อสรพิษเหล่านี้กลืนกินร่างตามใจ และได้แต่พยายามลืมตากัดลิ้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นตนเองคงสลบไปแล้ว


 ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในสมองของเขาก็บังเกิดภาพวุ่นวายต่างๆ มีตั้งแต่ตอนเข้าร่วมนิกายปีศาจในตอนแรก ความพยายามในการเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ การจินตนาการถึงโลกภายนอกในตอนที่ออกจากแผ่นดินอวิ๋นชวน การแสดงพลังอันน่าตกใจในการโจมตีราชาปีศาจสมุทร…


นึกถึงการเดินทางอย่างระมัดระวังในแต่ละก้าวตั้งแต่ออกจากแผ่นดินอวิ๋นชวนมา นึกถึงเส้นทางการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมในระยะเวลาสั้นๆ นึกถึง…


น่าสงสารที่เขามีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน แต่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ สุดท้ายยังคงถูกโจมตีด้วยสภาพที่ดูไม่ได้เช่นนี้ ดูท่าวันนี้คงต้องเสียชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้จริงๆ แล้ว


ขณะที่หลิ่วหมิงหลับตาทั้งคู่ลงด้วยความสิ้นหวังนั้น ผลึกพลังเวทสีม่วงหนึ่งร้อยกว่าเม็ดที่อยู่ท่ามทะเลจิตวิญญาณก็สั่นสะท้านจนเกิดเสียงดังโครมคราม เกิดเสียงระเบิดดังในสมองอย่างต่อเนื่อง


 ไอปีศาจบริสุทธิ์พุ่งออกจากผลึกปีศาจ หลิ่วหมิงที่นอนอยู่บนพื้นรู้สึกว่าจิตรับรู้พร่ามัว จากนั้นก็สูญเสียการควบคุมร่างไป


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงที่ถูกเปลวไฟสีฟ้าห่อหุ้ม ก็พลันมีแสงสีดำเปล่งประกายในดวงตา และดีดตัวขึ้นมาพร้อมกับแหงนหน้าคำรามด้วยความโมโห


เสียงคำรามดังก้องขอบฟ้า ภายใต้สถานการณ์ที่หญิงผมอสรพิษไม่ทันได้ระวัง ทำให้นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


จากนั้นนางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดวงตาฉายแววที่ดูเหลือเชื่อออกมา


ขณะนี้หลิ่วหมิงมีไอปีศาจสีดำพวยพุ่งออกจากตัว กระดูกที่แตกหักภายในร่างก็สมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ไอดำพุ่งผ่านไป บาดแผลทั่วร่างก็สมานกันดังเดิม


หลังจากหลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ดวงตาก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม


ครั้งนี้เขาสามารถแปลงร่างเป็นปีศาจได้เองโดยที่หลัวโหวไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วย


ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้อาวุโสจินหมาน ‘หลิ่วหมิง’ ไม่ได้ขยับตัวเลย เพียงแค่ขยับคอเบาๆ จนเกิดเสียงดัง “แคร็กๆ!” หลังจากไอปีศาจม้วนตัวผ่านไป ไหมสีฟ้าลักษณะคล้ายอสรพิษที่ปกคลุมเต็มตัว ก็ค่อยสลายตัวเป็นควันสีฟ้า


ไอปีศาจพวยพุ่งออกไปอยู่ไม่หยุด และค่อยๆ ก่อตัวเป็นคลื่นน้ำวนไอปีศาจขนาดใหญ่


หลิ่วหมิงค่อยๆ พุ่งขึ้นไปยังใจกลางคลื่นน้ำวนไอปีศาจ และจ้องมองผู้อาวุโสจินหมานที่อยู่ไม่ไกลด้วยแววตาเยือกเย็น


“ฮึ! ทำหน้าลิงหลอกเจ้า! ข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กมนุษย์อย่างเจ้าจะยังเป็นผู้ฝึกสายปีศาจด้วย มิน่าล่ะถึงได้ใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา” หญิงผมอสรพิษเห็นเช่นนี้ก็รู้สึก ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทีหนึ่ง


การจ้องมองอย่างไม่ใส่ใจของเจ้าเด็กนี้ในเมื่อครู่ ทำให้นางรู้สึกอกสั่นขวัญหายเล็กน้อย


ขณะเดียวกัน จิตรับรู้ของหลิ่วหมิงที่ติดอยู่ในร่างแปลงปีศาจก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็แอบกังวลไม่หยุด


ระดับและพลังของร่างแปลงปีศาจ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถควบคุมได้ ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่อาจควบคุมร่างกายในขณะนี้ได้ ได้แต่ให้ร่างแปลงปีศาจเผชิญหน้ากับร่างแปลงของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์เองแล้ว


แต่ในใจหลิ่วหมิงก็ไม่แน่ใจมากนัก แม้ว่าหลังจากแปลงร่างเป็นปีศาจแล้ว พลังจะถูกยกระดับไปหลายขั้น แต่การฝึกฝนที่แตกต่างกันถึงสองระดับใหญ่ๆ นี้ ก็เหมือนกับคลองขวางทางที่ไม่อาจข้ามไปได้


หากเขาสามารถควบคุมร่างแปลงปีศาจนี้ได้ สิ่งแรกที่เขาเลือกทำก็คือไปเก็บแหวนเก็บของของขุยมู่ก่อน และนำยันต์เคลื่อนย้ายระยะไกลออกมาเพื่อหลบหนีไปไกลๆ


เชื่อว่าในจุดนี้ เขาที่แปลงร่างเป็นปีศาจจะยังสามารถทำได้


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองด้วยความกังวลนั้น ลวดลายปีศาจสีม่วงสามเส้นก็เปล่งประกายบนหน้าผากของร่างแปลงปีศาจ จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


หญิงผมอสรพิษเผยสีหน้าเฉียบขาดออกมา เส้นผมอสรพิษขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นอสรพิษหยกร้อยกว่าตัวที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ


“ฟ่อๆ!” เกิดเสียงคำรามไม่หยุด!


แสงสีดำเปล่งประกายบนอากาศบริเวณที่อสรพิษหยกปกคลุม จากนั้นก็มีเงาร่างปรากฏออกมา


พออสรพิษหยกจำนวนมากถูกผู้อาวุโสจินหมานกระตุ้น มันก็อ้าปากเผยให้เห็นคมเขี้ยวอันแหลมคม และพ่นของเหลวพิษใส่เงาร่างนี้


แต่ ‘หลิ่วหมิง’ เพียงแค่กางแขนทั้งสองออก ทันใดนั้นไอปีศาจรอบตัวก็พร่ามัวกลายเป็นเปลวไฟปีศาจสีดำแวววาว พริบตาเดียวก็แผดเผาอสรพิษที่แผ่ปกคลุมเต็มฟ้าจนกลายเป็นขี้เถ้า


จากนั้นหลิ่วหมิงที่แปลงร่างเป็นปีศาจ ก็กดแขนข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้า


“ฟู่!”


มือยักษ์สีดำขนาดเจ็ดแปดจั้งปรากฏออกมา พริบตาที่ไอปีศาจพวยพุ่ง มันก็ฟาดไปทางผู้อาวุโสจินหมานโดยตรง


พอเห็นฝ่ามือปีศาจค้ำฟ้าฟาดเข้ามา สีหน้าของหญิงผมอสรพิษก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก หลังจากหัวเราะอย่างเยือกเย็น นางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นเงากรงเล็บยักษ์สีเหลืองพุ่งออกไปรับมือ


ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง


พอเงากรงเล็บยักษ์ปะทะกับมือยักษ์สีดำ มันก็แตกสลายไปโดยที่ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย


“อะไรกัน ไอปีศาจแท้? เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจ แต่เป็นมนุษย์ปีศาจผู้หนึ่ง?” หญิงผมอสรพิษมีสีหน้าตกใจมาก ทันทีที่ร่างของนางเคลื่อนไหว นางก็หายตัวไป และไปปรากฏอยู่บนอากาศอีกแห่งบริเวณใกล้ๆ


แต่ในแผ่นดินจงเทียน มนุษย์ปีศาจได้เป็นตำนานไปนานแล้ว ไอปีศาจแท้ก็เหือดแห้งไปนานแล้ว ต่อให้จะพบเจอในซากปรักหักพังของเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่งอยู่บ้าง แต่มันก็มีอยู่น้อยมาก


และผู้ที่สามารถกระตุ้นไอปีศาจแท้อันแข็งแกร่งนี้ได้ ก็มีแต่มนุษย์ปีศาจในตำนานเท่านั้น


‘หลิ่วหมิง’ ที่เผชิญหน้ากับเสียงตะคอกของผู้อาวุโสจินหมาน ยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ลวดลายจิตวิญญาณบนใบหน้าเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง พอกระทืบเท้าบนอากาศ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงผมอสรพิษพร้อมพายุบ้าระห่ำ แขนทั้งสองพร่ามัวปล่อยกำปั้นออกไปติดต่อกัน พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงากำปั้นไปทั้งแถบ


หลังจากหญิงผมอสรพิษรู้สถานะมนุษย์ปีศาจของหลิ่วหมิงแล้ว นางก็ลังเลเล็กน้อย และไม่กล้ารับมือกับเงากำปั้นของเขาโดยตรง แต่กลับบิดเอวพุ่งออกไปด้านหลัง


แม้ว่ามือทั้งสองของ ‘หลิ่วหมิง’ จะโจมตีอย่างโหดเหี้ยมในรูปแบบของกำปั้นบ้าง กรงเล็บบ้าง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรผู้อาวุโสจินหมานได้ชั่วขณะหนึ่ง


แต่หญิงผมอสรพิษก็ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีราวกับสายฝนกระหน่ำ จนนางต้องร่นถอยเป็นระยะๆ ชั่วขณะนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะใช้เคล็ดวิชาอะไรมารับมือถึงจะดี


เพราะว่าหวงอิ๋งเป็นแค่หุ่นที่แปลงร่างมาเท่านั้น ไม่เพียงแต่จะแสดงความสามารถของร่างแท้จริงได้แค่ครึ่งหนึ่ง บนตัวยังไม่พกอาวุธเวทประจำตัวด้วย


ชั่วขณะนั้น หญิงผมอสรพิษดูหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด!


ตอนที่ 704 ต่อสู้กับดาราพยากรณ์ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฟู่!”


เงาดำกะพริบออกมา หญิงผมอสรพิษหลบหลีกไม่ทัน จึงเกิดร่องเลือดลึกๆ บนไหล่ห้าร่อง บนขอบของมันมีเปลวสีดำเปล่งประกายอยู่รำไร


สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที พอบิดเอว ร่างของนางก็พร่ามัวถอยออกไปไกลสิบกว่าจั้ง จนพอที่จะหลบกรงเล็บอีกข้างของหลิ่วหมิงไปได้


พอนางกัดฟันและสะบัดแขนเสื้อ แสงสีดำลำหนึ่งก็เปล่งประกายออกมา มันคือวงแหวนสีดำกลมๆ ที่มีมีขนาดเท่าหัวแม่มือ


พอของสิ่งนี้พุ่งขึ้นฟ้า มันก็ขยายตัวตามแรงลม พริบตาเดียวก็กลายเป็นวงแหวนที่มีขนาดเท่าแผ่นโม่ ทั้งยังสั่นสะท้านเบาๆ และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ประจักษ์ชัดว่ามีพลังจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก!


หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้


วงแหวนนี้ค่อนข้างคุ้นตามาก เหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ถึงนึกขึ้นได้ว่าบนมือของศพปีศาจระดับดาราพยากรณ์ที่เขาค้นพบในซากปีศาจบรรพกาล ก็มีอยู่คู่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะหรือสีล้วนเหมือนกันไม่มีผิด


และที่น่าประหลาดใจก็คือ พอ ‘หลิ่วหมิง’ ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเห็นวงแหวนนี้ ก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ และจ้องมองวงแหวนคู่นี้ตาไม่กะพริบ ราวกับว่ารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


ขณะนั้นเอง นอกจากวงแหวนจะส่งเสียงดังหวึ่งๆ แล้ว แม้จะไม่ปล่อยคลื่นพลังจิตวิญญาณใดๆ ออกมา แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติแต่อย่างใด เพียงแค่ลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศเท่านั้น


‘หลิ่วหมิง’ ส่งเสียงคำรามทีหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตากลับมามองหญิงผมอสรพิษด้วยดวงตาดุร้าย และพร่ามัวพุ่งเข้าไปหา


หญิงอสรพิษมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย พอนางร่ายคาถาออกมา เปลวแสงป้องกันตัวสีเหลืองทองก็เปล่งประกาย และหลบหลีกการโจมตีของ ‘หลิ่วหมิง’ อยู่ไม่หยุด สายตาของนางมักจะจ้องมองวงแหวนสีดำที่ขาดๆ หายๆ กลางอากาศ


เงาฝ่ามือของหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจดุจดังพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมา แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าใกล้หญิงผมอสรพิษได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่เปลวแสงป้องกันตัวของนางกลับถูกฝ่ามือพายุพัดจนสั่นไหวราวกับจะพังทลายและหายไปได้ทุกเมื่อ


“ฟู่!” เปลวแสงถูกพายุฝ่ามือโจมตีจนแตกกระจาย ร่างของหญิงผมอสรพิษถอยออกไปอย่างรวดเร็ว


‘หลิ่วหมิง’ อาศัยช่องโหว่นี้เข้าใกล้นางอย่างรวดเร็ว และคว้าออกไปอย่างโหดเหี้ยม


แต่พอเขาเข้าใกล้หญิงผมอสรพิษในระยะจั้งกว่าๆ นั้น นางก็วาดมือเป็นวงกลมไปด้วยหน้าด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย


“ฟู่!”


วงแหวนสีดำปรากฏขึ้นมาตรงหน้า และกะพริบไปอยู่บนแขนขวาของ ‘หลิ่วหมิง’ ที่ยื่นออกมา


ฉากแปลกประหลาดได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


วงแหวนเปล่งแสงสีดำออกมาทันที ในนั้นมีอักขระปีศาจแปลกประหลาดปรากฏออกมา และกะพริบจมหายไปในร่างของ  ‘หลิ่วหมิง’ ทำให้ร่างของเขาหยุดชะงักลง และยื่นสั่นสะท้านอยู่กับที่


จากนั้นไอปีศาจก็พวยพุ่งออกมารอบตัว ‘หลิ่วหมิง’ และพวยพุ่งเข้าไปในวงแหวนสีดำคู่นั้นอย่างบ้าคลั่ง และกลิ่นไอก็ลดลงในฉับพลัน อักขระปีศาจสีม่วงบนหน้าผากก็เปล่งประกายระยิบระยับ


หลิ่วหมิงที่แปลงร่างเป็นปีศาจกวาดจิตมองดูทะเลจิตวิญญาณด้วยความตกใจ เขาค้นพบว่าไอปีศาจแท้กำลังพุ่งออกจากผลึกสีม่วงอย่างบ้าคลั่ง และไหลไปยังวงแหวนอย่างรวดเร็ว


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ผู้อาวุโสจินหมานจะไม่ลงมือ เกรงว่าร่างแปลงปีศาจก็จะพลังเหือดแห้งและตายไปเอง


แม้เขาจะร้อนใจแค่ไหน กลับไม่อาจควบคุมร่างกายได้เลยแม้แต่น้อย


หลังจาก ‘หลิ่วหมิง’ สะบัดแขนอย่างบ้าคลั่ง ก็ไม่อาจสะบัดวงแหวนให้หลุดออกไปได้ ความดุเดือดก็ฉายในดวงตาทันที จากนั้นมือซ้ายของเขาก็งอเป็นกรงเล็บ และคว้าแขนขวาของตนเองไว้


“แคว่ก!”


เขาดึงแขนขวาของจนหลุดจากไหล่ ทันใดนั้นโลหิตก็พุ่งออกมาเป็นสาย


“อ๊ากกกก…”


ใบหน้าของ ‘หลิ่งหมิง’ แสดงให้เห็นถึงความดุร้าย เขาแหงนหน้าส่งเสียงคำรามออกมา และโยนแขนขวาออกไป ส่วนแขนซ้ายก็ตบไปบริเวณที่แขนขาดอย่างรุนแรง


พอไอดำเปล่งประกาย เลือดที่พุ่งออกจากบาดแผลบริเวณไหล่ก็หยุดไหล และบาดแผลก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกัน มีเสียงดัง “ตู๊ม!” มาจากด้านข้าง


พริบตาเดียว แขนข้างที่ขาดก็ระเบิดออกมาเป็นไอดำอันพวยพุ่ง และถูกวงแหวนดูดเข้าไปทั้งหมด จากนั้นวงแหวนก็ร่วงลงพื้น


เห็นได้ชัดว่าหญิงผมอสรพิษก็คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจจะดุร้ายเช่นนี้ ทันใดนั้น นางก็พุ่งถอยออกไปด้วยสีหน้าตกใจ และไม่สนใจที่จะเอาวงแหวนกลับคืนมา พอนางทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และขยับปากเบาๆ โซ่สีเทาเงินเส้นหนึ่งก็เปล่งประกายออกมา


มันพร่ามัวแค่ทีเดียวก็กลายเป็นเงาโซ่หวดผ่านอากาศไปหาหลิ่วหมิงจนดูแน่นขนัด


‘หลิ่วหมิง’ เพียงแค่ยกแขนข้างหนึ่งตบไปบนอากาศ ไอปีศาจก็พวยพุ่งออกมาเป็นกำแพงหมอกอันหนาแน่นที่สูงสิบกว่าจั้งทันที


“ป้าบๆ!”


เงาโซ่ปะทะลงบนไอหมอกสีดำ และค่อยๆ กระเด็นออกไป


ขณะนั้นเอง ดวงตาทั้งคู่ของหญิงผมอสรพิษก็เปล่งประกาย ร่างของนางเคลื่อนไหวมาปรากฏตัวตรงหน้าไอหมอกดำ


จะเห็นว่านางร่ายคาถาลึกลับบางอย่าง พอสะบัดผมอสรพิษสีเขียว ผมอสรพิษก็กลายเป็นอสรพิษหยกที่ปกคลุมเต็มฟ้า และพากันอ้าปากพ่นของเหลวสีเขียวที่ส่งกลิ่นคาวแปลกประหลาดออกมา


ขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งดังมาจากท่ามกลางไอหมอกสีดำ!


จากนั้นกำแพงหมอกก็ระเบิดออกมาเสียงดัง “ตู๊ม!” ทำให้ของเหลวสีเขียวกว่าครึ่งหนึ่งกระเด็นออกไป และเงาร่างมนุษย์ก็เปล่งประกายออกมาจากในนั้น


ของเหลวสีเขียวที่เหลือติดอยู่บนตัว ส่งเสียงดัง “ฟู่ๆ!” แต่เงามนุษย์ทำราวกับไม่รับรู้อะไร เอาแต่ชกกำปั้นใส่หญิงผมอสรพิษอย่างรุนแรง


หญิงผมอสรพิษบิดเอวด้วยความตกใจ จากนั้นร่างของนางก็พร่ามัวพุ่งถอยออกไปด้านหลัง


ขณะนั้นเอง พอแขน ‘หลิ่วหมิง’ ส่งเสียงดัง “แคล่ก!” พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่เท่าตัว กำปั้นอัปลักษณ์โจมตีลงบนเปลวแสงสีทองที่คุ้มกันร่างของหญิงผมอสรพิษ


หลังจากมีเสียงดังขึ้น เปลวแสงก็ส่งเสียงระเบิดออกมาคล้ายกับเสียงจุดประทัด ขณะเดียวกัน พลังมหาศาลก็โจมตีลงบนตัวหญิงผมอสรพิษ


แม้ว่าหญิงผมอสรพิษกลับจะบิดตัวหลบพลังส่วนใหญ่ไปได้ แต่ร่างอรชรก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และกระอักเลือดออกมา


หญิงผมอสรพิษรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด นางรีบโยนโอสถที่มีไอสีเขียวปกคลุมเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว และคิดที่จะพุ่งเข้าไปรับศึก แต่พลันรู้สึกถึงเปลวไฟแปลกประหลาดที่พุ่งออกจากร่าง ทำให้นางต้องรีบรวบพลังเวทเพื่อหลบหนีด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที


เวลาต่อมา เงาร่างสีทองกับสีม่วงก็ไล่ล่ากันไปมาในใจกลางแดนลึกลับอยู่ไม่หยุด และมีเสียงระเบิดดังออกมาเป็นระยะๆ


พอมองดูอย่างละเอียดกลับค้นพบว่าร่างแปลงปีศาจของหลิ่วหมิงกำลังไล่ล่าหญิงผมอสรพิษอย่างไม่ยอมปล่อย


“บัดซบ ยิ่งยืดเวลานานเข้า ความแข็งแกร่งของร่างแปลงนี้ยิ่งลดลงมากขึ้น เวลาแค่นี้ก็ลดลงถึงระดับแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้เจ้ามนุษย์ปีศาจกลับยิ่งต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง ความเร็วของท่าร่างยังเหนือกว่าร่างแปลงของข้ามาก อีกอย่างพิษประจำตัวของข้าก็ถูกไอปีศาจควบคุมไว้ได้!” หญิงผมอสรพิษคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางอึมครึมเป็นอย่างมาก


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ความเร็วของหญิงผมอสรพิษก็ช้าลงเล็กน้อย


แม้ว่าในระหว่างเวลานี้ นางเพิ่งจะแสดงวิธีการบางอย่างออกมาทำร้ายร่าง ‘หลิ่วหมิง’ ไป แต่ร่างแปลงปีศาจกลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ยังคงอาศัยแขนข้างเดียวตามติดไม่ยอมปล่อย


“บัดซบ! มนุษย์ปีศาจแต่ละคนล้วนเป็นคนบ้า เจ้าเด็กนี่เพิ่งถูกดูดไอปีศาจแท้ไปมากขนาดนั้น ทั้งยังได้รับบาดเจ็บไปทั่วตัว แต่ยังบ้าคลั่งเช่นนี้ หรือว่ามนุษย์ปีศาจต่างก็กระหายเลือดเช่นนี้หรือ? ไม่ได้! ร่างแปลงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว! ดูท่าคงต้องยอมละทิ้งร่างแปลงเพื่อโจมตีอย่างสุดชีวิตแล้ว” หญิงผมอสรพิษที่รู้สึกถึงกลิ่นไอที่ลดลง ก็ระงับอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป หลังจากกัดฟันแล้วก็ตัดสินใจทันที


ผมอสรพิษเต็มศีรษะของนางพ่นของเหลวพิษออกมาอีกจำนวนมาก หลังจากบีบให้หลิ่วหมิงถอยออกไปได้ชั่วคราวแล้ว นางก็หยุดแสงหลบหลีกลง มือทั้งสองทำท่ามือแปลกประหลาดอยู่บริเวณหน้าอก ไอหมอกสีเหลืองจางๆ ห่อหุ้มไว้ในทันที


ร่างแปลงปีศาจหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เคลื่อนตัวหายเข้าไปในไอหมอก มือซ้ายดันออกไปในแนวนอน  นิ้วทั้งห้าโค้งงอเป็นกรงเล็บ และคว้าไปทางตำแหน่งหัวใจของหญิงผมอสรพิษ


กรงเล็บนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ หญิงผมอสรพิษทำราวกับมองไม่เห็น ยังคงทำท่ามือและไม่หลบหลีกแต่อย่างใด ทำให้ร่างแปลงปีศาจรู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้


แต่ขณะนั้นเอง หญิงผมอสรพิษกลับมีสีหน้าเยือกเย็น ผมอสรพิษพร่ามัวไปรัดพันแขนซ้ายหลิ่วหมิงไว้ ขณะเดียวกัน แก่นทองคำอร่ามก็พุ่งออกจากปาก


ร่างแปลงปีศาจมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ราวกับว่าจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ พอดึงแขนซ้ายออกไปด้านหลังอย่างรุนแรง ก็หลุดพ้นจากการรัดพันของอสรพิษ และงอขาฟาดไปด้านหน้าเพื่อจะเตะแก่นทองคำให้กระเด็น


แต่ทว่ามันกลับช้าไปเสียแล้ว


“ตู๊มต๊าม!”


แก่นแท้สีทองอร่ามระเบิดออกมาราวกับเสียงฟ้าผ่า พริบตาเดียวก็กลายเป็นอัคคีสายฟ้าสีทองกลุ่มหนึ่ง ชั่วขณะนั้นแสงสีทองเปล่งประกายไปทั่วทิศ แสงเปลวไฟปกคลุมเต็มฟ้า อากาศสั่นสะเทือนเป็นชั้นๆ


หลังจากอัคคีสายฟ้าผ่านไป หมอกควันสูญสลาย บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหิน โลหิตสีดำไหลนองเต็มพื้น มองเห็นเศษกระดูกที่มีเลือดเนื้อติดอยู่สองสามชิ้น บนพื้นที่สะเก็ดอัคคีสายฟ้าร่วงลงมา แม้แต่ก้อนหินก็ถูกหลอมเหลว


นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก


“ฮ่าๆ!” หญิงผมอสรพิษที่อยู่ไม่ไกลหันหน้ากลับมาเห็นฉากเช่นนี้ ก็ต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่ครู่เดียวก็ต้องหยุดชะงักในฉับพลัน นางเอามือลูบบริเวณหน้าอกเบาๆ และกระเลือดออกมาสองสามครั้ง


หลังจากระเบิดแก่นแท้ภายในร่างของหวงอิ๋งแล้ว นางก็ต้องเสียค่าตอบแทนจำนวนมากเช่นกัน ขณะนี้มีสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ กลิ่นไอทั่วร่างก็อ่อนลงจนถึงขีดสุด


แต่นางกลับหันตัวเหาะไปทางแหวนเก็บของของผู้อาวุโสขุยมู่โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองเลย


“ฟิ้ว!” แสงสีดำที่ดูไม่มั่นคงเล็กน้อยพุ่งขึ้นจากพื้นตรงด้านหลัง และม้วนตัวมาขวางอยู่ตรงหน้าหญิงผมอสรพิษ


พอแสงสีดำดับลง ก็เผยให้เห็นเงามนุษย์ที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งก็คือ ‘หลิ่วหมิง’ ที่เหลือเพียงครึ่งตัว


ขณะนี้เขามีสีหน้าโหดร้ายเป็นอย่างมากขาขวาขาดไปข้างหนึ่ง บริเวณเอวมีโพรงขนาดใหญ่สองถึงสามฉื่อ โลหิตสีแดงเข้มหยดลงมา เลือดเนื้อพร่ามัวไปทั้งแถบ ขณะเดียวกัน ยังมีไอหมอกสีเขียวจางๆ กัดกร่อนบาดแผลไม่หยุด แม้ว่าจะมีไอปีศาจแผ่ออกมาปกคลุมผิวไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากไอหมอกสีเขียวจนไม่อาจซ่อมแซมบาดแผลขนาดใหญ่บนตัวได้


“เจ้า…เจ้ายังไม่ตาย?” หญิงผมอสรพิษจ้องมองร่างกายเพียงครึ่งเดียวตรงหน้าที่มีเลือดหยดลงมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน


แม้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้จะมีความรู้กว้างไกล แต่กลับประมาทความแข็งแกร่งของกายเนื้อร่างแปลงปีศาจหลิ่วหมิงไปหน่อย


ตอนที่ 705 จากไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

ร่างแปลงปีศาจมีสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย พองอเท้าข้างหนึ่ง ก็พุ่งเข้าหาหญิงผมอสรพิษราวกับลูกธนู และชกกำปั้นออกไป


“สหายฟังข้าก่อน ข้ามีความลับยิ่งใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง…” ขณะนี้หญิงผมอสรพิษมีอาการหายใจไม่สะดวก ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง พอเห็นร่างแปลงปีศาจโจมตีเข้ามา ก็ไม่มีแรงจะหลบแต่อย่างใด ทำได้แต่ตะโกนออกมาเท่านั้น


“ตู๊ม!”


นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกโจมตีกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง พอมีเงาร่างเคลื่อนไหว ‘หลิ่วหมิง’ ก็มาปรากฏตัวบนอากาศเหนือศีรษะของนาง และปล่อยกำปั้นลงมาอีกครั้ง


“ตู๊ม!”


หญิงผมอสรพิษส่งเสียงร้องอย่างเวทนา จากนั้นก็กระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ กระดูกทั่วร่างแหลกละเอียด และไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนฉากก่อนที่หลิ่วหมิงจะกลายร่างในก่อนหน้านั้น


ขณะนี้ เงาร่าง ‘หลิ่วหมิง’ พร่ามัวมาปรากฏตัวในหลุมด้านล่าง และใช้เท้าข้างเดียวเหยียบศีรษะของหญิงผมอสรพิษอย่างไม่ปราณี


“ไม่…” ขณะที่ผู้อาวุโสจินหมานส่งเสียงร้องออกมานั้น ศีรษะของนางก็ระเบิดออกมาราวกับลูกแตงโม เศษเนื้อเศษกระดูกกระเด็นไปทั่วทิศ แม้แต่วิญญาณที่อยู่ด้านในก็ถูกเหยียบจนดับสลายไป


ร่างแปลงปีศาจหลิ่วหมิงไม่คิดจะรามือเพียงแค่นี้ แขนข้างเดียวที่เหลือพร่ามัวคว้าไปทางร่างไร้ศีรษะ ทันใดนั้นเงากรงเล็บจำนวนมากก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ตะกุยศพจนกลายเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็แหงนหน้าแผดเสียงร้องออกมา ดูเหมือนว่าความโหดเหี้ยมที่เต็มเปี่ยมยังไม่ถูกระบายออกมาอย่างเต็มที่


ทันใดนั้น แขนข้างเดียวของ ‘หลิ่วหมิง’ ก็คว้าไปในกองเศษเนื้อ และหยิบขวดเล็กแวววาวออกมา


มันคือโลหิตปีศาจสวรรค์ขวดนั้นนั่นเอง


‘หลิ่วหมิง’ เพียงแค่ใช้จมูกดมผ่านจุกเล็กน้อย จากนั้นก็ขยี้ขวดจนแตกกระจาย และอ้าปากดูดเข้าไปทันที


พอหลิ่วหมิงที่อยู่ในร่างแปลงปีศาจเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวจนหน้าถอดสี แต่เนื่องจากยังคงไม่สามารถควบคุมร่างได้ จึงได้แต่มองดู ‘ตนเอง’ กลืนโลหิตปีศาจหยดนั้นเข้าไป


อย่างที่รู้ว่าโลหิตปีศาจสวรรค์นี้เป็นสิ่งของประหลาดของเผ่าปีศาจ เมื่อดูจากคำพูดของผู้อาวุโสขุยมู่ในก่อนหน้าที่บอกว่า หากผู้ที่ทานโลหิตนี้ไปไม่ใช่คนเผ่าปีศาจ ผลลัพธ์จะต้องเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง


หลังจาก ‘หลิ่วหมิง’ ส่งเสียงออกมาแล้ว ก็ล้มโครมลงพื้น จากนั้นใบหน้าก็บิดเบี้ยวผิดปกติ และกลิ้งไปกลิ้งมา


มีเสียงดัง “ตู๊ม!” ในสมองของหลิ่วหมิงที่อยู่ในร่างแปลงปีศาจ จากนั้นก็หมดสติไปโดยสมบูรณ์


พริบตาเดียว หมอกโลหิตก็พุ่งออกจากร่างของเขา ทั้งยังหมุนวนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง และห่อหุ้มร่างของหลิ่วหมิงไว้


หลิ่วหมิงสงบลงทันที บาดแผลบนตัวสมานกันอย่างรวดเร็ว ภายใต้การประสานกันไปมาของไหมโลหิตจำนวนมาก ทำให้ร่างกายที่หายไปครึ่งหนึ่งฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ


ผ่านไปสักพัก ร่างของหลิ่วหมิงก็ฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ แต่ขณะนั้นเอง “ฟู่!” ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างของเขาอีกครั้ง และประสานกันไปมากับไอหมอกโลหิตอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งยังส่งเสียงปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดเสียงดังหวึ่งๆ อยู่พักหนึ่ง


ขณะเดียวกัน อุณหภูมิบนผิวหลิ่วหมิงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อแต่ละก้อนนูนขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ และผิวหนังก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงราวกับโลหิต ทั้งยังมีหลอดเลือดสีแดงเข้มนูนออกมา แลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ราวกับว่าร่างของเขาจะระเบิดออกมาในไม่ช้า


ขณะนั้นเอง แสงสีขาวเปล่งประกายบริเวณหน้าท้องของหลิ่วหมิง เงาฟองอากาศแวววาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาดใจ


“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” ถุงหนังสองใบบนเอวหลิ่วหมิงระเบิดออกมาในพริบตา เผยให้เห็นร่างของหัวบินกับแมงป่องกระดูก แต่พวกมันต่างก็นอนสลบอยู่กลางอากาศ


และแสงสีเงินก็เปล่งประกายบนตัวหลิ่วหมิง หมึกชมพูขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏออกมาด้วยเช่นกัน


ขณะนั้นเอง เงาร่างฟองอากาศแวววาวเพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ! แสงหลากสีก็ม้วนตัวออกไป พอมันปะทะกับไอหมอกโลหิต ก็แยกส่วนหนึ่งในนั้นออกไป หลังจากม้วนตัวไม่กี่ครั้ง มันก็แบ่งกันพุ่งเข้าร่างของหัวบิน แมงป่องกระดูก และหมึกน้อย


หมอกโลหิตที่ถูกแบ่งออกมานี้มีสีเข้มกว่า ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากองค์ประกอบของหมอกโลหิตดั้งเดิมเล็กน้อย


ขณะเดียวกัน ภายใต้การกระทำของแสงหลากสี หมอกโลหิตที่เหลือก็รวมเข้ากับหมอกดำในพริบตา และจมหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว


ความผิดปกติต่างๆ บนร่างของหลิ่วหมิงหายไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็ค่อยๆ มั่นคงลง


ในเวลาเดียวกัน หลังจากแมงป่องกระดูกและหัวบินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสดูดกลืนหมอกโลหิตสีเข้มเข้าไปส่วนหนึ่งแล้ว บาดแผลต่างๆ บนตัวก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่หลังจากหล่นลงพื้นแล้วก็หมดสติไป


หมึกน้อยก็เป็นเหมือนกัน


ทุ่งหญ้าบริเวณนั้นเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง


ขณะเดียวกัน ห้องลับภายในถ้ำบางแห่งในส่วนลึกของหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีเมฆหมอกรายล้อม และไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเขาเหลยฉือไปกี่ลี้


“ฟู่!”


หญิงวัยกลางคนที่มีผมอสรพิษเต็มศีรษะนั่งอยู่บนเบาะ ทันใดนั้นร่างของนางก็เอียงไปด้านหน้า และกระอักเลือดออกมา


“ใคร? ใครที่ทำลายร่างแปลงชั่วคราวของข้า หรือว่าปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กทั้งสองจะลงมือเอง? ไม่ถูกต้อง! ด้วยนิสัยของทั้งสอง หากการทดสอบยังไม่สิ้นสุด จะต้องไม่ทำเช่นนี้เป็นอันขาด หรือว่าจะเป็นศิษย์คนใดคนหนึ่งของเฒ่าประหลาดสองคนนี้?” แววตาหญิงผมอสรพิษเยือกเย็นเป็นอย่างมาก นางใช้ลิ้นเลียเลือดตรงมุมปากด้วยความประหลาดใจ


หลิ่วหมิงสลบไปหนึ่งวันเต็มๆ


หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เขาก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในที่สุด และค้นพบในทันทีว่ามือเท้าของตนเองอยู่ครบ บนตัวไม่มีบาดแผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย


และแมงป่องกระดูกกับหัวบินที่นอนอยู่ข้างๆ ก็เป็นเหมือนกันกับเขา เพียงแต่ยังคงหลับลึกอยู่เท่านั้น


หลิ่วหมิงรู้สึกทั้งตกใจและดีใจ หลังจากกวาดสายตามองดูหมึกน้อยบนตัวแล้ว ก็คว้ามันไว้ในมือ และหยิบถุงหนังสามใบบนตัวมาใส่อสูรเลี้ยงทั้งสามอย่างรวดเร็ว


ขณะนี้ เขาใช้จิตสังเกตดูอสูรเลี้ยงทั้งสามอย่างละเอียด และค้นพบว่าอสูรเลี้ยงเหล่านี้ ไม่เพียงแต่บาดแผลหายไปจนหมดสิ้น ในร่างยังมีพลังน่าตกใจบางอย่างแฝงอยู่ ทำให้ทั้งสามกำลังอยู่ในขั้นตอนของการกลายพันธุ์บรรลุขั้นพร้อมกัน


หลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านั้นอย่างละเอียด แต่กลับจำเรื่องราวหลังจากที่ตนเองดูดกลืนโลหิตปีศาจสวรรค์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งของประหลาดของเผ่าปีศาจนี้


หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็พอทำการคาดเดาได้สองสามรูปแบบ แต่สุดท้ายกลับสรุปอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าและเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน


สำหรับเขาในตอนนี้ ย่อมต้องไปจากที่นี่ก่อนถึงจะดีที่สุด


หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็รีบเก็บสิ่งของบนตัวหวงอิ๋งมา และเก็บแหวนเก็บของของผู้อาวุโสขุยมู่ขึ้นมาด้วย


เทียบกับแหวนย่อส่วนของหลิ่วหมิงแล้ว พื้นที่แหวนเก็บของของผู้อาวุโสขุยมู่ มีขนาดแค่หนึ่งในสามของเขาเท่านั้น พอเขาใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบยันต์ที่เปล่งแสงสีทองจางๆ แผ่นหนึ่งอยู่ตรงมุม และบนนั้นก็มีคำว่า “เคลื่อนย้าย!” เขียนอยู่


หลังจากเขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้วก็เอามือคีบมันออกมา และขึ้นไปบนแท่นบูชาที่อยู่บนใจกลางชั้นจำกัด


จะเห็นว่าใจกลางแท่นบูชามีค่ายกลส่งตัวประทับอยู่หนึ่งหลัง


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า และยกแขนข้างหนึ่งปล่อยพลังเข้าไป


แสงสีขาวสลัวๆ เปล่งประกายท่ามกลางค่ายกล หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสีขาวเจิดจ้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นข้างหู ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวบนแท่นสูงที่ดูแปลกหน้าอีกแห่งหนึ่ง บริเวณนั้นยังมีผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจอยู่หลายคน


เขาโบกแขนโดยไม่ต้องคิด และปล่อยพลังเวทเข้าไปในยันต์เคลื่อนย้ายระยะไกล ทันใดนั้น แสงสีทองก็ม้วนตัวออกมา และห่อหุ้มร่างของเขาไว้


“ฟิ้ว!” หลิ่วหมิงกลายเป็นแสงสีทองหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจเหล่านั้นรู้สึกอึ้งไปทันที!


พอภาพบรรยากาศรอบด้านพร่ามัว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวริมหน้าผาแปลกหน้าแห่งหนึ่ง


สถานที่แห่งนี้ห่างจากทางเข้าแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือหลายร้อยลี้


พอหลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมา ก็ทะยานขึ้นฟ้าอย่างไม่ลังเล และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีทองพุ่งออกไป


ขณะเดียวกัน บนยอดเขาสูงชันที่อยู่ห่างจากทางเข้าแดนลึกลึบบนเขาเหลยฉือไปไม่ไกล เลี่ยเจิ้นเทียนกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่


ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว และอุทาน “เอ๊ะ! เบาๆ ก่อนลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา


“เมื่อครู่มีคลื่นอากาศสั่นสะเทือน…….หรือว่าจะมีคนออกมาจากแดนลึกลับแล้ว?” ปีศาจสายฟ้ารีบปล่อยจิตออกไปทันที


“แย่แล้ว!”


เขาค้นพบว่าแท่นสูงที่หลิ่วหมิงมาปรากฏตัว กำลังอยู่ในความโกลาหล บนอากาศทิ้งคลื่นคลื่นสั่นสะเทือนจางๆ ไว้ ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหลายคนกำลังควักแผ่นค่ายกลออกมาอย่างวุ่นวายเพื่อที่จะรายงานใครบางคน ทันใดนั้น เขาก็เหาะขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที


พอสะบัดแขนเสื้อ แผ่นค่ายกลสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏบนฝ่ามืออย่างไร้สุ้มเสียง ขณะเดียวกัน เขาก็ปล่อยพลังเวทเข้าไปอย่างรวดเร็ว


ม่านแสงสลัวๆ ปรากฏขึ้นบนแผ่นค่ายกลทันที และด้านหนึ่งของม่านแสงก็มีจุดแสงเปล่งประกายระยิบระยับ และกำลังออกห่างไปจากจุดศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว


เลี่ยเจิ้นเทียนทำเสียงฮึดฮัดและเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปทันที ขณะเดียวกัน แสงสีม่วงบนตัวก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นสายรุ้งสีม่วงพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง


และขณะที่หลิ่วหมิงไปจากแดนลึกลับนั้น ภายในห้องลับตรงไหล่เขาเหลยฉือ ชายฉกรรจ์หน้าดำเผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมยาวสีดำก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในทันที และขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


เขาก็คือปีศาจเหล็กจงเหยียนนั่นเอง


ด้วยการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ของเขา ย่อมรับรู้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนเมื่อครู่ได้ และค้นพบกลิ่นไอของปีศาจสายฟ้าที่พุ่งออกไปในฉับพลัน หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว เขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ท่ามกลางแดนลึกลับในเขาเหลยฉือ ปีศาจเหล็กที่สวมชุดสีดำทั้งตัวทะยานขึ้นบนอากาศ สายตาของเขาสาดส่องไปรอบด้าน พริบตาเดียวก็ปล่อยจิตระดับดาราพยากรณ์ออกไป ทันใดนั้น คลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่งก็ปกคลุมพื้นที่ทั่วทั้งแดนลึกลับอย่างง่ายดาย


ครู่ต่อมา เขาค้นพบได้ในทันทีว่าในแดนลึกลับขนาดใหญ่นี้ ไม่มีศิษย์เผ่าปีศาจที่มีชีวิตรอดเลยแม้แต่คนเดียว


ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจและโมโหที่สุดก็คือ


ชั้นจำกัดแท่นบูชาตรงใจกลางแดนลึกลับล้วนเปิดออกทั้งหมด แม้แต่โลหิตปีศาจสวรรค์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!


ปีศาจเหล็กมีสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก พอพลิกฝ่ามือหยิบแผ่นค่ายออกมา และร่ายคาถา อักขระสีขาวเล็กๆ ก็พากันเปล่งประกายออกจากแผ่นค่ายกล และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ท่ามกลางแสงสีม่วงที่อยู่ห่างจากเขาเหลยฉือไปร้อยกว่าลี้ เลี่ยเจิ้นเทียนกวาดสายตาดูข้อมูลที่ส่งมายังแผ่นค่ายกลในมือ ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ราวกับจะพ่นไฟออกมา


ตอนที่ 706 ตามล่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“บังอาจสังหารศิษย์เผ่าข้าจำนวนมากเช่นนี้ ทั้งยังแย่งโลหิตปีศาจสวรรค์ไปด้วย อย่าให้ข้าจับได้ ข้าจะต้องหักกระดูกเจ้าเป็นชิ้นๆ และโจมตีจนวิญญาณแหลกสลายอย่างแน่นอน!”


แสงสีม่วงเปล่งประกายขึ้นมาทันที ความเร็วของมันเพิ่มระดับขึ้นมาอีกเล็กน้อย และพุ่งไปยังทิศทางไกลๆ บางแห่ง


หลิ่วหมิงที่เหินเวหาอยู่ห่างจากแสงหลบหลีกสีม่วงไปยี่สิบลี้ รู้สึกกระวนกระจายใจขึ้นมาทันที


พอกวาดจิตออกไปก็ค้นพบว่ามีคลื่นสั่นสะเทือนขนาดใหญ่กำลังพวยพุ่งมาทางเขาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางคลื่นสั่นสะเทือนมีสายฟ้าสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับ


“ปีศาจสายฟ้า เลี่ยเจิ้นเทียน!”


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นโครมคราม!


ต่อให้เขาจะมั่นใจแค่ไหน ก็ไม่กล้าแลกมือกับระดับดาราพยากรณ์ที่มีระดับการฝึกฝนห่างกับเขาถึงสองชั้น


พอหลิ่วหมิงเอานิ้วแตะหน้าผาก แสงสีทองก็เปล่งประกาย กระบี่บินสีทองขนาดสองฉื่อแปดชุ่นพุ่งออกมา และภายใต้การกระตุ้นเคล็ดกระบี่ มันก็ขยายใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ


หลิ่วหมิงหายแวบมาปรากฏตัวบนกระบี่บินสีทองในฉับพลัน แสงกระบี่เปล่งประกายกลายเป็นสายรุ้งทองคำยาวหลายสิบจั้ง และพุ่งออกไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ  “ฟิ้ว!”


เดิมทีวิชาขี่กระบี่บินเหินเวหาก็เป็นหนึ่งในวิชาหลบหลีกที่เร็วที่สุดแล้ว บวกกับพลังของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ความเร็วของมันจึงไม่ด้อยไปกว่าแสงหลบหลีกของปีศาจสายฟ้าเลยแม้แต่น้อย ทำให้สามารถรักษาระยะห่างระหว่างทั้งสองไว้ได้


“วิชาขี่กระบี่! คิดไม่ถึงว่ามนุษย์ผู้น้อยคนนี้จะยังเป็นผู้ฝึกระบี่ด้วย!” ภายใต้การกวาดจิตดูของเลี่ยเจิ้นเทียน เขาก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มโหดร้ายออกมา ฝ่ามือข้างหนึ่งฟาดผ่านอากาศไป


เกิดคลื่นสะเทือนบนอากาศที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้


ทันใดนั้น ฝ่ามือยักษ์สีม่วงก็ปรากฏออกมา พอนิ้วทั้งห้าประกบเข้าหากัน มันก็กลายเป็นฝ่ามือยักษ์ขนาดใหญ่ฟาดไปทางแสงหลบหลีกสีทอง


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ไอดำพวยพุ่งออกมาด้านหลัง และกลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำที่มีขนาดสิบกว่าจั้งก่อนพุ่งออกไปรับมือ


“ตู๊ม!”


ฝ่ามือยักษ์สีดำปรากฏตัวตรงหน้าฝ่ามือยักษ์สีม่วงราวกับมดแดงขย่มต้นไม้ใหญ่ พอมันปะทะกัน ฝ่ามือยักษ์สีดำก็สลายไปในทันที ส่วนฝ่ามือยักษ์สีม่วงเพียงแค่สั่นสะท้านเล็กน้อย


แต่ขณะนั้นเอง บริเวณที่ฝ่ามือยักษ์สีดำสลายตัวไป ก็มีเสียงระเบิดดัง “ตู๊มต๊าม!”


กลุ่มแสงหลากสีกระจายออกทีละกลุ่ม ทำให้ฝ่ามือยักษ์ที่มีอานุภาพดุดันสลายไปในที่สุด


ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน หลิ่วหมิงนำดาบยักษ์ของปีศาจโคดำรวมถึงอาวุธจิตวิญาณอื่นๆ ในยันต์เก็บของใส่ปะปนเข้าไปในฝ่ามือยักษ์สีดำ และทำให้มันระเบิดออกมา


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พลังที่เหลือจากการระเบิดตัวของฝ่ามือยักษ์สีม่วงก็กลายเป็นไอสีม่วงพุ่งเข้ามาถึงในพริบตา


และหลิ่วหมิงก็ราวกับเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว พอเขายกแขนเสื้อ โล่กระดูกสีดำก็ต้านทานอยู่ด้านหลัง


“ตู๊ม!”


แสงสีดำเปล่งประกายบนโล่กระดูกสีดำ ในสุดก็สามารถต้านทานไอสีม่วงที่เหลือได้ แต่ผิวของมันก็ระเบิดออกมาเป็นชิ้นๆ


เดิมทีโล่กระดูกนี้ก็ถูกหญิงผมอสรพิษทำลายจนเสียหายอย่างหนักในแดนลึกลับไปหนึ่งรอบแล้ว ตอนนี้ถูกปีศาจสายฟ้าโจมตีด้วยพลังทั้งหมด มันจึงแตกกระจายออกมาในที่สุด


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอหลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีพลังมหาศาลพุ่งออกจากหลัง ก็มีเสียงกระดูกดัง “กร๊อบ!” ในทันที เกิดความรู้สึกปวดร้อนอยู่พักหนึ่ง


“ฟู่!”


โลหิตของเขาพุ่งออกมา


หลิ่วหมิงมีสีหน้าซีดขาว ในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด


พลังที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถจินตนาการได้ในตอนนี้


แต่ว่าเขาอาศัยพลังการโจมตีในเมื่อครู่ กระตุ้นแสงกระบี่ให้ออกห่างไปได้อีกช่วงหนึ่ง จากนั้นก็กระตุ้นวิชากระบี่บินทำการหลบหนีอย่างสุดชีวิต


การโจมตีของเลี่ยเจิ้นเทียนในเมื่อครู่ ทำให้สูญเสียพลังเวทไม่น้อย เดิมทีคิดว่าจะสามารถโจมตีหลิ่วหมิงให้สิ้นซากได้ในทีเดียว กลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมาไม้นี้ และหลังจากเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองก็อยู่ห่างกันไม่น้อยแล้ว


เขาส่งเสียงคำรามออกมาทันที แสงสีม่วงเปล่งประกายรอบตัว และพุ่งตามไปต่อ


จะเห็นว่าแสงสีทองกับสีม่วง พุ่งตามติดกันออกไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วราวกับฝนดาวตก และพุ่งผ่านพื้นหลายร้อยจั้งภายในพริบตา โดยที่ระยะห่างของทั้งสองไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย


นี่เป็นเพราะกระบี่บินว่างเปล่าที่มีคุณสมบัติเชิงพื้นที่บางอย่าง เดิมทีความเร็วก็สูงกว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณทั่วไปมากแล้ว หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ระดับผลึกคนอื่นๆ เกรงว่าคงถูกปีศาจสายฟ้าตามทันตั้งแต่แรกแล้ว


แน่นอน! นี่ก็เป็นเพราะว่าเลี่ยเจิ้นเทียนเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาหลบหลีกเหินเวหาเป็นพิเศษ


หลังจากไล่ล่ากันเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา เลี่ยเจิ้นเทียนก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงขีดสุด


ความเร็วในการขี่กระบี่บินเหินเวหาของหลิ่วหมิง เหนือกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก แต่ด้วยการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ของเขา คิดไม่ถึงว่าจะตามผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนหนึ่งไม่ทัน หากเรื่องนี้แพร่ออกไปล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะมีคนหัวเราะจนฟันร่วงตั้งเท่าไหร่


ทันใดนั้น เขาก็มีสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้นมา มือทั้งสองพร่ามัวอยู่ตรงหน้าครู่หนึ่ง และทำท่ามือซับซ้อนต่างๆ อยู่ไม่หยุด ขณะเดียวก็ร่าคาถาออกมาเบาๆ


พออ้าปาก โลหิตก็ถูกพ่นออกมาหลายกลุ่ม ทุกครั้งที่พ่นออกมา สีหน้าของเขาก็จะซีดลงหนึ่งส่วน หลังจากพ่นออกมาห้าครั้ง สีหน้าของเขาก็ซีดขาวเล็กน้อย


โลหิตทั้งห้ากลุ่มกลายเป็นหมอกโลหิต ภายใต้การกระตุ้นของปีศาจสายฟ้า สายฟ้าสีทองก็เปล่งประกายออกมาหนึ่งเส้น และระเบิดตัวท่ามกลางหมอกโลหิตจนกลายเป็นไหมสายฟ้าสีทองจางๆ จำนวนมาก


พอเขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง หมอกโลหิตก็รวมตัวกันเป็นแสงโลหิตลำหนึ่ง และหมุนวนรอบตัวอย่างรวดเร็ว ไหมสายฟ้ารัดพันอยู่บนพื้นผิว และมีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง


เกิดเสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้นมา!


ความเร็วของเลี่ยเจิ้นเทียนเพิ่มขึ้นเป็นทวีและเข้าใกล้หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจทันทีที่เห็นเช่นนี้ เขากระตุ้นผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณทันที พลังเวทมหาศาลทะลักออกมา จากนั้นก็นำหมึกน้อยในถุงหนังมากดลงบนตัว และกระตุ้นเกราะอสูรอย่างไม่เสียดายพลัง ทันใดนั้นปีกสีเงินขนาดยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ ก็งอกออกมาตรงหลัง


พอกระพือปีกหนึ่งที พายุบ้าระห่ำสองลูกก็ม้วนออกมา และกระตุ้นให้เกิดพลังมหาศาลผลักดันเขาไปด้านหน้าทันที ความเร็วของแสงกระบี่สีทองก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่ากว่าๆ และพุ่งไปด้านหน้าราวกับฝนดาวตก


แม้ว่าเลี่ยเจิ้นเทียนที่อยู่ด้านหลังจะกระตุ้นวิชาโลหิตหลบหลีกด้วยพลังทั้งหมด แต่ก็ยังคงไม่อาจเข้าใกล้หลิ่วหมิงได้


สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งตกใจและโมโหอย่างช่วยไม่ได้


ทั้งสองไล่ล่ากันจนเวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงโลหิตของเลี่ยเจิ้นเทียนที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ สลายออกมา แสงหลบหลีกก็กลับมาสู่ความเร็วในก่อนหน้านั้น


ปีศาจสายฟ้ากร่นด่าในใจอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้


วิชาโลหิตหลบหลีกนี้ เขาต้องกระตุ้นพลังเวทสายฟ้าให้เผาไหม้โลหิตบริสุทธิ์ภายในร่างถึงสามารถแสดงออกมาได้ และยังต้องให้เวลาผ่านไปช่วงหนึ่งถึงจะแสดงออกมาได้อีกครั้ง


ขณะนั้นเอง ปีกสีเงินตรงหลังหลิ่วหมิงก็หดเข้าไปในร่างท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย ดูเหมือนว่าพลังเวทจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว


พอเลี่ยเจิ้นเทียนเห็นว่าความเร็วของหลิ่วหมิงก็ลดลงเช่นกัน เขาย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงรีบกระตุ้นพลังเวทให้แสงหลบหลีกสีม่วงตามไปอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงยิ้มขมขื่นในใจอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้การปรับแต่งปีศาจสมุทรแปดขาของเขายังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น และเปลี่ยนแปลงเกราะอสูรขั้นสูงอย่างการแสดงปีกออกมานี้ มันเกินพลังของเขาไปมาก


ตอนนี้เขาไม่ต้องหันหลังกลับไป ก็สามารถรับรู้ถึงแรงกดดันจิตวิญญาณที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วได้ ทันใดนั้นเขาก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา


หากปีศาจสายฟ้าไม่แสดงวิชาโลหิตหลบหลีกแปลกประหลาดในก่อนหน้านั้นอีก คงไม่สามารถตามความเร็วของการขี่กระบี่บินเหินเวหาได้โดยง่าย


เขาหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาทันที หลังจากหยิบโอสถจินหยวนโยนเข้าไปในปากแล้ว ก็กลั่นเอาพลังของโอสถในทันที ขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็จับหินจิตวิญญาณระดับสูงไว้แน่น และดูดซับพลังเวทของมัน


ขณะที่ทานโอสถไปทีละเม็ดๆ บวกกับการดูดซับพลังของหินจิตวิญญาณ พลังเวทที่ใกล้เหือดแห้งก็ถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็ว และแสงสีทองใต้เท้าก็เปล่งประกายในทันที ความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย


หลังจากผ่านไปอีกราวๆ หนึ่งชั่วยาม ภายใต้การโคจรพลังเวทแปลกประหลาดของปีศาจสายฟ้า ในที่สุดก็มีเวลาหายใจได้ทั่วท้อง เขาอ้าปากพ่นโลหิตออกมาอีกหลายครั้ง และแสดงวิชาสายฟ้าโลหิตหลบหลีกตามไปอย่างรวดเร็ว


และขณะนี้หลิ่วหมิงก็อาศัยโอสถกับหินจิตวิญญาณจำนวนมากในการฟื้นฟูพลัง พอกัดฟัน แสงสีเงินก็เปล่งประกายบนหลัง และปีกสีเงินคู่หนึ่งก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง พอกระพือปีกหนึ่งที ก็กลายเป็นแสงสีเงินพุ่งไปด้านหน้าทันที


“สหายมนุษย์น้อยผู้นี้ ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่สหายน้อยมอบโลหิตปีศาจสวรรค์ที่ได้มาจากแดนลึกลับให้ข้า เรื่องอื่นๆ ข้าจะไม่เอาความ รับรองว่าจะปล่อยเจ้าจากไปอย่างปลอดภัยดีหรือไม่?” มีเสียงดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง มันคือเสียงที่เลี่ยเจิ้นเทียนส่งมานั่นเอง


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย


เขาสังหารศิษย์ของปีศาจสายฟ้าในแดนลึกลับไปแล้ว ตอนนี้โลหิตปีศาจสวรรค์ก็ถูกเขากลืนลงไปในท้องแล้ว แล้วจะเอาอะไรคืนให้อีก


ลองถอยสักก้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่อให้ในมือเขาจะมีโลหิตปีศาจสวรรค์ แต่หากมอบให้ไปล่ะก็ คงจะต้องตายอย่างเดียวเท่านั้น คำพูดของปีศาจสายฟ้านี้ เขาไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย


พอแสงสีทองเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็อ้อมยอดเขาตรงหน้าแล้วพุ่งออกไปไกลๆ ทันที


“ฮึ! ข้าได้ให้ทางถอยเจ้าแล้ว เจ้าอย่าได้ไม่รู้ชั่วดี! โลหิตปีศาจสวรรค์นี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเจ้ามากนัก ใยต้องละทิ้งชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ด้วยเล่า?” เลี่ยเจิ้นเทียนส่งเสียงข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด


แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร หลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่พูดอะไรออกมาเลย


เลี่ยเจิ้นเทียนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเดือดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา รู้ว่าคำพูดไม่อาจเปลี่ยนใจหลิ่วหมิงได้ เขาจึงกระตุ้นพลังเวทโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก จะเห็นว่าภาพทิวทัศน์รอบๆ พุ่งถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เสียงพายุฝ่าอากาศดังขึ้นเป็นพักๆ


เขาไม่เชื่อว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างหลิ่วหมิงที่กระตุ้นเคล็ดวิชาเหินเวหาหลบหลีกอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จะสามารถยืนหยัดได้นาน


พอพลังเวทหมดสิ้น ก็สามารถจับตัวได้อย่างง่ายดาย


เวลาต่อมา ก็เกิดฉากแปลกๆ ระหว่างทั้งสอง


เลี่ยเจิ้นเทียนกลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงตามติดหลิ่วหมิงไม่ปล่อย แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง แสงหลบหลีกสีม่วงก็จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นมามาก และแสงกระบี่สีทองก็เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างรู้งาน ทั้งสองยังคงเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วอยู่เช่นนี้ โดยที่ยังคงรักษาระยะห่างที่แน่นอนไว้ได้


การตามล่าครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าครึ่งเดือน


สิ่งที่เลี่ยเจิ้นเทียนคาดไม่ถึงก็คือ ไม่รู้ว่าตอนนั้นหลิ่วหมิงปรุงโอสถจินหยวนออกมาเท่าไหร่ หินจิตวิญญาณในแหวนย่อส่วนก็มีอยู่เต็มเปี่ยม ภายใต้การใช้โอสถจินหยวนหลายร้อยเม็ดกับหินจิตวิญญาณนับล้านเสริมพลังอย่างบ้าคลั่ง จึงสามารถยืนหยัดได้ตลอดทาง


และในระหว่างทางหลิ่วหมิงก็ไม่กล้าไปยังสถานที่ที่มีคนคึกคัก เพราะเขาไม่ได้คุ้นเคยกับสถานที่ในแดนใต้มาก กลัวว่าปีศาจสายฟ้าจะถือโอกาสนี้เรียกผู้ฝึกฝนปีศาจหรือผู้ฝึกฝนเผ่าหมานมาช่วยขัดขวาง หลังจากตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว เขาจึงหนีไปยังสถานที่เปล่าเปลี่ยวลับตาคนทันที


และสถานที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุดย่อมเป็นเทือกเขาจูหลงแล้ว


ดีที่เขาเหลยฉืออยู่ห่างจากเทือกเขาแห่งนี้ไม่ค่อยมาก


วันนี้ มีแสงกระบี่สีทองพุ่งผ่านเหนือยอดเขาต่ำๆ บางแห่งบนเทือกเขาจูหลงที่ทอดยาวติดต่อกัน “ฟิ้ว!”


ขณะเดียวกัน ห่างออกไปด้านหน้าไม่ไกล เมฆดำกลุ่มหนึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาเป็นแนวนอน มีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ในนั้นเป็นระยะๆ


ตอนที่ 707 อีแร้งวายุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอมองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าเมฆดำกลุ่มนี้เป็นปีศาจแมลงที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ท่ามกลางความแน่นขนัด พวกมันมีมากถึงหมื่นกว่าตัว มันปกคลุมท้องฟ้าหนึ่งหมู่กว่าๆ


“ปีศาจริ้น…” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่ใต้เท้าเปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน ก่อนที่เมฆแมลงสีเทาจะปิดกั้นทางนั้น เขาก็พุ่งตรงออกไป


หลังจากผ่านไปสักพัก ขณะที่แสงหลบหลีกด้านหลังตามมาถึงนั้น กลับต้องเผชิญหน้ากับแมลงจิตวิญญาณที่ขวางอยู่ตรงหน้าพอดี


แสงสายฟ้าเปล่งประกายท่ามกลางแสงหลบหลีกสีม่วงในทันที จากนั้นก็ฝ่าเข้าไปในเมฆดำ ก่อให้เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยงๆ!” ไม่หยุด และศพจำนวนมากของปีศาจริ้นก็พากันร่วงลงมา


“เฮ่อๆ! ผู้น้อย หากคิดจะอาศัยปีศาจอสูรเหล่านี้สลัดตัวให้หลุดพ้นจากข้าล่ะก็ ฝันไปเถอะ!”


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงหลบหลีกสีม่วงก็พุ่งออกจากเมฆดำด้วยเสียงหัวเราะดังกังวานราวกับเสียงระฆัง


เป็นธรรมดาที่ที่เลี่ยเจิ้นเทียนจะคิดเช่นนี้ แต่ที่หลิ่วหมิงเข้ามาในเทือกเทาจูหลงกลับไม่ใช่เพียงเท่านี้


ครึ่งวันผ่านไป เมื่อทั้งสองเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลงติดต่อกันนั้น หลิ่วหมิงกลับเริ่มล่อเลี่ยเจิ้นเทียนไปยังสถานที่บางแห่ง


แม้เลี่ยเจิ้นเทียนจะรู้ว่าการกระทำของหลิ่วหมิงในขณะนี้ ดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่กลับกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าโลหิตตามไปอย่างไม่ลังเล เพราะเขามีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ ย่อมไม่ต้องกลัวว่าหลิ่วหมิงจะเล่นไม้ไหน


พอรู้สึกว่าไอโลหิตด้านหลังหนาแน่นขึ้นมา หลิ่วหมิงก็กระตุ้นปีกสีเงินอีกครั้งทันที จากนั้นพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น


ไม่นานหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้ายอดเขาสีดำลูกหนึ่ง ด้านล่างยอดเขามีถ้ำสีดำขนาดสิบกว่าจั้ง


“ไม่ผิดจริงๆ ด้วย ดูท่าคงจะเป็นสถานที่แห่งนี้แล้ว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดละงักลงด้วยตาที่เป็นประกาย


การเดินทางเหินเวหาในก่อนหน้านั้น พอมีโอกาสเขาก็จะนำโลหิตปีศาจโคดำระดับแก่นแท้ขวดนั้นออกมาวาดลงบนตัวสองสามขีด ในที่สุดหลายวันก่อนหลังจากใช้โลหิตไปเกือบครึ่งหนึ่ง เขาก็วาดภาพ ‘เชอฮ่วน’ สำเร็จอีกครั้ง


เขาร่ายคาถากระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ในทันที จากนั้นเงาร่างโคดำกึ่งโปร่งแสงก็เปล่งประกายออกจากตัว และหลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็รวมร่างกับเขาอีกครั้ง ทำให้กลิ่นไอบนตัวดูขาดๆ หายๆ ขึ้นมาทันที


หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็เก็บกระบี่สีทองใต้เท้า และกลายร่างเป็นแสงสีดำจางๆ แฝงตัวเข้ามาไปในถ้ำที่เป็นรังของปีศาจอสูร


ในถ้ำมืดมิดไปทั้งแถบ หลิ่วหมิงปล่อยจิตออกมา และเดินไปยังส่วนลึกอย่างระมัดระวัง


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาถึงตำแหน่งตรงใจกลางเขา ภายใต้การกวาดจิตสำรวจดู ก็ค้นพบปีศาจวิหคที่ยึดครองสถานที่แห่งนี้ มันคืออีแร้งวายุสีดำตัวโตเต็มวัยสามตัว


ขณะนี้ปีศาจวิหคทั้งสามกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนกองหน้าแห้งกองหนึ่ง


รูปร่างของอีแร้งวายุทั้งสามดูคล้ายอินทรียักษ์ แต่ละตัวมีขนาดสิบกว้าจั้ง กลิ่นไอน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก ปีกขนาดใหญ่ทั้งคู่มีสีดำแซมกับสีขาว ขนยาวสามเส้นบนหัวย้อยลงด้านหลัง ลูกตาสีม่วงเข้มทั้งคู่เปล่งแสงสีเขียวเย็นสะท้านออกมา ดูแหลมคมเป็นอย่างมาก


และรอบๆ ตัวของอีแร้งวายุก็มีกระดูกสีขาวเปล่งแสงเรืองรองวางกระจัดกระจายเป็นจำนวนมาก ดูจากขนาดของโครงกระดูกแล้ว มันเป็นปีศาจอสูรที่มีรูปร่างขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง


ตอนแรกที่เขากับอู๋ขุยและคนอื่นๆ ไปล่าราชินีผึ้งห้าแสงที่รังของมันนั้น เคยได้ยินฮวาชิงอิ่งพูดว่าสถานที่แห่งนี้มีปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ครอบครองอยู่สามตัว มีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก เพียงแต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นอีแร้งวายุ


ตอนนั้นหลิ่วหมิงเกิดความสนใจ จึงถามออกไปอีกสองสามประโยคอย่างไม่ใส่ใจ ด้วยเหตุนี้จึงรู้ตำแหน่งของมัน


จะว่าไปแล้ว การซ่อนเร้นของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ไร้นามนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ภายใต้การระมัดระวังของหลิ่วหมิง ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ทั้งสามกลับไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงร่อนลงตรงมุมหนึ่งถ้ำอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ และซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกองหินสีดำไม่ขยับเขยื้อน โดยที่ไม่มีกลิ่นแผ่ออกไปเลยแม้แต่น้อย


หลังจากเวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ แสงสีม่วงที่ดูราวกับสายฟ้าก็ปรากฏตัวนอกถ้ำ และพุ่งเข้ามาด้านในอย่างไม่ลังเล


เกิดเสียงร้องยาวดังขึ้นแผ่วโผย!


อีแร้งวายุในถ้ำค้นพบการบุกรุกของปีศาจสายฟ้าในทันที ขนของมันสั่นสะท้าน และแสดงท่าทีระแวดระวังออกมา พอกระพือปีกทั้งคู่ พายุกระหน่ำก็ก่อตัวขึ้นมา ทำให้ผนังถ้ำเกิดเสียงดังฟู่ๆ และทิ้งร่องรอยขนาดต่างๆ ไว้


แสงสีดำสามลำกะพริบออกจากส่วนลึกของถ้ำ และกลายเป็นปีศาจอสูรขนาดสิบกว่าจั้งสามตัวที่มีลักษณะคล้ายอินทรียักษ์ ครู่เดียวก็ห้อมล้อมปีศาจสายฟ้าที่เพิ่งจะเหยียบเข้ามาในถ้ำได้ไม่นาน


หลังจากหนึ่งในนั้นหุบปีกแล้ว ร่างของมันก็กระโจนเข้าใส่เลี่ยเจิ้นเทียนราวกับกระสวย กรงเล็บแหลมคมขนาดใหญ่คว้าไปยังกะโหลกศีรษะของเขา


ส่วนอีกสองตัวก็ยื่นปากแหลมคมออกมา ขณะเดียวกันก็จิกเข้าใส่ปีศาจสายฟ้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


“ฮึ่!”


พอฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว ปีศาจสายฟ้ากลับแต่ทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาฉับพลัน เสียงสายฟ้าดังก้องอยู่ในมือ พอพลิกฝ่ามือ ลูกสายฟ้าสีม่วงจางๆ ก็ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งออกไปทันที


“ตู๊ม!”


ลูกสายฟ้าสีม่วงระเบิดตัวกลางอากาศ แสงสีม่วงเล็กละเอียดจำนวนมากพุ่งยิงออกจากในนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีม่วงผืนหนึ่งพุ่งออกไปปกคลุมอีแร้งวายุทั้งสามที่พุ่งเข้ามาไว้


อีแร้งวายุทั้งสามเห็นเช่นนี้ก็หยุดชะงักในทันที ดวงตาของพวกมันฉายแววดุร้ายออกมา ภายใต้การกระพือปีกทั้งสองอย่างรุนแรง ขนวิหคสีดำขาวก็กลายเป็นใบมีดอันแหลมคมพุ่งยิงออกไปจำนวนมาก และปะทะลงบนตาข่ายสายฟ้า


เกิดเสียงระเบิดดัง “ตูมตาม!” แสงสีดำกับสีเขียวประสานเข้าด้วยกัน เสียงฟ้าร้องกับเสียงวิหคแผดร้องดังออกมาพร้อมกัน


แต่ทว่าพอมีแสงสีม่วงไหลวนบนผิวตาข่ายสายฟ้าสีม่วง มันก็สามารถต้านทานการโจมตีของขนวิหคกว่าครึ่งหนึ่งไว้ได้ ทั้งยังหดตัวรัดแน่นมากกว่าเดิม


ขนวิหคสีขาวดำที่เหลือหนึ่งร้อยกว่าเส้นพุ่งออกจากรอยแยกของตาข่ายสายฟ้า และพุ่งเข้าใส่เลี่ยเจิ้นเทียนทันที


พอเลี่ยเจิ้นเทียนยกแขนเสื้อขึ้นอย่างสบายๆ แสงสีม่วงลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาต้านทานขนวิหคไว้ได้ทั้งหมด และจิตรับรู้ของเขาก็สังเกตดูการเคลื่อนไหวภายในถ้ำอยู่ตลอดเวลา


จิตรับรู้ที่กวาดเข้ามาตลอดเวลา ทำให้หลิ่วหมิงหลบอยู่หลังก้อนหินยักษ์ ไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่กล้าหายใจแรงด้วย


ขณะที่ตาข่ายสีม่วงค่อยๆ หดตัวลง พื้นที่ที่อีแร้งวายุสามารถเคลื่อนไหวได้ก็ลดน้อยลง แววตาของมันดูโมโหและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เสียงร้องที่มันส่งออกมาก็แหลมกว่าเดิม


ทันใดนั้น ขนยาวสามเส้นบนหัวของอีแร้งวายุทั้งสามต่างก็ตั้งตรงขึ้นมา หลังจากแสงสีดำกะพริบผ่านไป มันก็หลุดออกมาเป็นศรขนวิหคจำนวนเก้าลูก และพุ่งเข้าใส่ตาข่ายสายฟ้าสีเงินจนเกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”


“ตูมตาม!”


พริบตาที่ศรขนวิหคปะทะกับตาข่ายสายฟ้า มันก็ระเบิดออกมา คมวายุสีดำหลายสิบสายกลายเป็นเส้นสีดำพุ่งยิงออกไป


หลังจากเส้นสีดำจำนวนมากกะพริบผ่านไป ตาข่ายสายฟ้าสีม่วงอันน่าตกใจก็ถูกตัดขาดจนเกิดรูขนาดใหญ่


ขนยาวเหล่านี้เชื่อมโยงกับพลังสายเลือดภายในร่างของอีแร้งวายุ พอมันหลุดออกมา อานุภาพจึงน่าตกใจอย่างถึงขีดสุด แต่ไม่รู้ว่าแต่ละเส้นใช้เวลาในการบ่มเพาะนานแค่ไหน ถึงสามารถงอกออกมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถนำออกมาใช้โดยง่าย ตอนนี้เพื่อให้หลุดพ้นจากตาข่ายสายฟ้าสีม่วงของปีศาจสายฟ้า จึงต้องกระตุ้นออกมาทั้งหมดอย่างไม่เสียดาย


 ครู่ต่อมา อีแร้งวายุสามตัวที่มีกลิ่นไออ่อนลงเล็กน้อยก็กรีดเสียงร้องแหลม และกระพือปีกกันจ้าละหวั่น เพื่อคิดที่จะบินออกจากตาข่ายสายฟ้าสีม่วง


“อย่าได้คิด!” ปีศาจสายฟ้าเผยแววตาสังหารออกมา พอกางนิ้วทั้งห้า แสงสายฟ้าสีม่วงก็ห่อหุ้มฝ่ามือไว้ สายฟ้าสีม่วงสามเส้นพุ่งออกจากฝ่ามือ และฟาดไปยังอีแร้งวายุทั้งสามที่กำลังจะสลัดตัวให้หลุดจากตาข่ายสายฟ้าอย่างรุนแรง


“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังขึ้นกลางอากาศ ภายใต้การเปล่งประกายของไหมสีม่วงทั้งสาม มันก็ค่อยๆ ร่วงลงบนตัวอีแร้งวายุทั้งสาม


เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ อีแร้งวายุตัวแข็งทื่อในทันที มีเสียงดังเข้ามาติดต่อกันสามครั้ง จากนั้นสายฟ้าสีม่วงสามเส้นที่มีขนาดเท่าลำแขน ก็โจมตีลงบนท้องน้อยของอีแร้งวายุทั้งสามในพริบตา


เกิดเสียงดังขึ้นสามเสียง


ร่างขนาดมหึมาของอีแร้งวายุทั้งสามถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป บนตัวมีบาดแผลดำเกรียมขนาดใหญ่ และมีกลิ่นไหม้แผ่ออกมารำไร


ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้สามตัวไม่คณามือปีศาจสายฟ้าเลย!


สองตัวในนั้นชนใส่หน้าผาแล้วร่วงลงมา ดูท่าใกล้จะไม่รอดแล้ว ส่วนอีกตัวก็ร่างดำเกรียมไปทั้งตัว และบินมาทางก้อนหินสีดำที่หลิ่วหมิงอยู่พอดี


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าไม่อาจหลบต่อไปได้อีก จึงฉวยโอกาสนำกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมาในฉับพลัน ภายใต้การม้วนตัวของปราณกระบี่สีทอง มันก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ และพุ่งออกไปนอกถ้ำ


“เจ้ามนุษย์น้อย ยอมรับความตายซะเถอะ!”


พริบตาที่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณปรากฏตัวนั้น เลี่ยเจิ้นเทียนก็รับรู้ได้ในทันที พอเขาส่งเสียงตะโกนออกมา แสงสีม่วงก็ม้วนตัวเขาพุ่งยิงออกไป จากนั้นมือยักษ์สีม่วงขนาดสิบกว่าจั้งข้างหนึ่ง ก็พุ่งออกจากในนั้น และพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


ขณะที่หลิ่วหมิงยังมาไม่ถึงปากถ้ำนั้น มือยักษ์สีม่วงก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของเขา และกำลังจะกดลงมา


หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจนตนเองเกือบจะไม่สามารถหายใจได้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทำได้แต่รวบรวมพลังเวททั้งหมดจนไอดำพวยพุ่งออกมารอบตัว ท่ามกลางเสียงมังกรพยัคฆ์คำราม มันก็กลายเป็นมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสี่ตัว


“ตู๊ม!”


พอมังกรหมอกสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกสี่ตัวปะทะกับฝ่ามือยักษ์ มันก็พากันแตกกระจายออกมา และกลายเป็นไอหมอกดำปกคลุมไปทั่วถ้ำ ส่วนมือยักษ์สีม่วงก็สั่นสะท้านเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งผ่านหมอกดำ และฟาดลงใส่หลิ่วหมิงโดยตรง


ในระหว่างเวลานี้ พอแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงพร่ามัว แสงจิตวิญญาณหลากสีก็พวยพุ่งเข้าใส่มือยักษ์สีม่วงราวกับสายน้ำที่ไหลย้อนกลับ


แสงจิตวิญญาณเหล่านี้คือยันต์อสรพิษไฟ ยันต์ไหมทองคำ ยันต์หอกน้ำแข็ง และยันต์โจมตีระดับสูงอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดสิบถึงแปดสิบผืน


ยันต์เหล่านี้ค่อยๆ กลายเป็นเปลวไฟ หอกน้ำแข็ง สายฟ้า และกลุ่มแสงอื่นๆ จนปกคลุมเต็มฟ้า และพุ่งเข้าไปรับมือกับฝ่ามือยักษ์สีม่วง


ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังตูมตาม ในที่สุดฝ่ามือยักษ์สีม่วงก็ยืนหยัดไม่ไหว และแตกกระจายไป


สีหน้าเลี่ยเจิ้นเทียนดูไม่ได้เป็นอย่างมาก พอตะโกนออกมาด้วยความโมโห แสงสีม่วงก็เปล่งประกายบนตัว และพุ่งออกไปโดยตรง


แต่ไอหมอกสีดำที่ปกคลุมเต็มถ้ำก็ดูราวกับมีชีวิต พอมันม้วนตัวแค่ทีเดียว ก็กลืนร่างของเขาเข้าไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำที่มืดมิดราวกับหมึก


มันคือพลังคุกมืดที่หลิ่วหมิงกระตุ้นออกมานั่นเอง


แต่ว่าคุกมืดสามารถยืนหยัดได้เพียงหนึ่งลมหายใจ ก็ถูกแสงสายฟ้าสีม่วงจำนวนมากฉีกทึ้งจนแตกกระจาย


ครู่ต่อมา ปีศาจสายฟ้าที่มีแสงสายฟ้าสีม่วงเจิดจ้าห่อหุ้มก็พุ่งออกมา ตอนนี้เขาดูราวกับเป็นเทพสายฟ้า ให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้ สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ แลดูน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด


ตอนที่ 708 ยันต์จันทราฟ้าร้อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากเกิดเสียงดัง “อู้ๆ!” เงาดำสองเงาก็โจมตีเข้าใส่ปีศาจสายฟ้า


“หืม?” เลี่ยเทียนเจิ้นเห็นเช่นนี้ก็ไม่ขยับแขนขาแต่อย่างใด แสงสายฟ้าเปล่งประกายบนตัว จากนั้นแสงสีม่วงก็ม้วนตัวออกมา ทำให้เงาดำทั้งสองจนหยุดชะงักลง มันคือไม้เท้าแห้งเหี่ยวกับดาบสั้นสีดำเล่มหนึ่ง ดูจากแสงจิตวิญญาณที่เปล่งประกายแล้ว เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นต้นแบบอาวุธเวท


ในขณะนั้นเอง ต้นแบบอาวุธเวททั้งสองก็ระเบิดออกมาเป็นดอกเห็ดสีเหลืองกับสีดำสองกลุ่มที่สูงหลายสิบจั้ง ทำให้ก้อนหินจำนวนมากพังทลายลงมา


แม้ว่าเลี่ยเจิ้นเทียนจะมีพลังล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ แต่ก็ทำได้แค่ปล่อยสายฟ้าป้องกันตัวออกมาต้านทานไว้


ในระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงอาศัยเวลาเพียงพริบตาเดียวกระตุ้นปีกสีเงินบนหลังออกมา จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีทองบินออกจากปากถ้ำ และพุ่งออกไปไกลๆ


หลังจากนั้น ยอดเขาทั้งลูกก็พลังทลายลงมาทันที


แต่ทว่าผ่านไปแค่สามอึดใจ แสงสายฟ้าสีม่วงลำหนึ่งก็พุ่งออกจากในนั้น พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของปีศาจสายฟ้า


แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่บนตัวก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก สีหน้าดำราวกับเหล็ก พอแหงนหน้าส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห แสงโลหิตก็เปล่งประกายบนตัว อักขระสีเลือดปรากฏบนหน้าผาก จากนั้นก็ม้วนร่างของเขาพุ่งตามออกไปในพริบตา


……


ครึ่งวันต่อมา เหนือเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันแห่งหนึ่ง แสงกระบี่สีทองที่ยาวสิบกว่าจั้งพุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ ราวกับฝนดาวตก


ท่ามกลางแสงสีทอง จะเห็นว่ามีชายหนุ่มชุดคลุมสีเทากำลังกวาดสายตามองดูด้านหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เขาก็คือหลิ่วหมิงที่หลบหนีมาตลอดทางจนมาถึงสถานที่แห่งนี้นั่นเอง


หลังจากผ่านศึกในครั้งก่อน ทำให้เขารู้จักพลังของปีศาจสายฟ้าชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย


“หืม?”


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เมื่อครู่จิตรับรู้ของเขาค้นพบว่ามีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ด้านหน้าไม่ไกล มันคือปีศาจผึ้งห้าแสงฝูงใหญ่นั่นเอง


หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย พอเขาเปลี่ยนท่าเคล็ดกระบี่ ก็เปลี่ยนทิศทางไปยังยอดเขาบางแห่งที่อยู่บริเวณนั้นทันที


ไม่นาน มีจุดแสงสองสามจุดเปล่งประกายบนยอดเขา และหายไปอย่างรวดเร็ว


พอแสงหลบหลีกสีม่วงตามมาถึง ก็หยุดชะงักกลางอากาศทันที พอแสงสีม่วงดับลง ร่างของปีศาจสายฟ้าก็ปรากฏออกมา


ตอนนี้เขากำลังหรี่ตาทั้งคู่จ้องมองยอดเขาด้านล่าง เมื่อครู่เขารู้สึกว่าหลิ่วหมิงหยุดลงในฉับพลัน ทั้งยังซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้ แต่ว่ากลิ่นไอของเขาไม่แน่นอน คิดว่าคงจะแสดงวิธีซ่อนเร้นขั้นสูงอีกแล้ว


“เจ้ามนุษย์น้อย วิ่งไม่ไหวแล้วหรือ? ยอมรับความตายเสียโดยดีเถอะ ไม่แน่ข้าอาจจะใจดีให้ศพเจ้ามีสภาพสมบูรณ์ก็ได้” เลี่ยเจิ้นเทียนตะโกนออกมาราวกับเสียงฟ้าร้อง ขณะเดียวกัน พลังจิตมหาศาลก็กวาดดูบริเวณนั้นว่าตรงไหนมีเงาของมนุษย์อยู่บ้าง


“ฮึ! เจ้ามนุษย์น้อยขี้ขลาด!” ปีศาจสายฟ้าทำเสียงฮึดฮัด ทันใดนั้นก็เลิกคิ้วแล้วมองไปยังมุมบางแห่งตรงด้านล่าง


เมื่อครู่ดูเหมือนเขาจะเหลือบเห็นแสงสีทองอันคุ้นเคยเปล่งประกายผ่านก้อนหินยักษ์บนยอดเขาด้านล่างอย่างรวดเร็ว


ด้วยระดับการฝึกฝนของเลี่ยเจิ้นเทียน ย่อมไม่ยอมให้เบาะแสนี้หลุดรอดไปอย่างแน่นอน หลังจากสูดหายใจเข้าไปหนึ่งทีแล้ว ก็หายวับมาปรากฏตัวเหนือก้อนหินยักษ์ และฟาดฝ่ามือลงไปอย่างไม่ลังเล จนทำให้ก้อนหินระเบิดออกมา


แต่ว่าก้อนหินด้านล่างล้วนว่างเปล่า!


แต่ขณะนั้นเอง แสงสีทองก็เปล่งประกายท่ามกลางเศษหินที่ระเบิดออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าหาปีศาจสายฟ้าอย่างรวดเร็ว


มียันต์สีเหลืองทองถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางแสงสีเหลือง มันคือยันต์จันทราฟ้าร้องที่อินจิ่วหลิงมอบให้หลิ่วหมิงใช้ป้องกันชีวิตนั่นเอง!


ยันต์สีเหลืองทองยังไม่ทันได้สัมผัสกับเลี่ยเจิ้นเทียน มันก็ระเบิดตัวกลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสายฟ้าสีเทาขนาดเท่าล้อรถ และพวยพุ่งเข้าหาเลี่ยนเจิ้นเทียนด้วยอานุภาพดุดัน


ระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ เลี่ยเจิ้นเทียนไม่อาจหลบหลีกได้ทัน จึงเลิกคิ้วขึ้นมาทันที และนำแขนทั้งสองมาไขว้กันด้านบนด้วยสีหน้าบึ้งตึง สายฟ้าสีม่วงสองกลุ่มปรากฏบนฝ่ามือ พอดึงลงทั้งสองด้าน สายฟ้าสีม่วงขนาดเท่าลำแขนหนึ่งเส้น ก็ปรากฏในระหว่างฝ่ามือทั้งสอง และต้านทานแสงสายฟ้าสีเทาไว้โดยตรง


ครู่ต่อมา สายฟ้าสีเทาปะทะลงมาราวกับฝนดาวตก!


“ตู๊มต๊าม!”


เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น เมฆสายฟ้าสีเทากับสีม่วงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้งพุ่งออกมาจากอากาศ และม้วนร่างเลี่ยเจิ้นเทียนไว้ด้านใน จนแม้แต่ลมพายุก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปได้


เสียงระเบิดประสานเข้ากับแสงสายฟ้าเจิดจ้า ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่บริเวณรอบๆ มืดสลัวไร้ซึ่งสีสัน


พอมองดูอย่างละเอียด สายฟ้าสีม่วงแต่ละเส้นที่ดูราวกับอสรพิษกำลังเปล่งประกายอยู่ท่ามกลางเมฆสายฟ้าสีเทา บริเวณที่สายฟ้าสีม่วงพุ่งผ่าน เมฆสายฟ้าสีเทาก็เบาบางลงและสลายไป


ผ่านไปแค่สองสามอึดใจ ภายใต้การพุ่งผ่านของสายฟ้าสีม่วง เมฆสายฟ้าสีเทาก็พังทลายลง เผยให้เห็นเลี่ยเจิ้นเทียนที่ยังยกแขนทั้งสองอยู่


ยันต์จันทราฟ้าร้องที่มีเทียบเท่ากับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของระดับแก่นแท้ขั้นปลายนี้ สำหรับปีศาจสายฟ้าระดับดาราพยากรณ์ที่ฝึกฝนทางด้านสายฟ้าเป็นหลักแล้ว ย่อมไม่อาจทำอันตรายอะไรเขาได้ แต่ภายใต้การโจมตีระยะใกล้โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวนี้ กลับทำให้เขาหน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่น


จะเห็นว่าชุดคลุมสีม่วงของเขาถูกระเบิดจนกลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ และมีกลิ่นไหม้โชยออกมาเล็กน้อย


เลี่ยเจิ้นเทียนทำเสียงฮึดฮัด พอวางแขนทั้งสองลง ก็กวาดสายตามองดูรอบด้านเพื่อหาร่องรอยของหลิ่วหมิง


แต่ครู่ต่อมา สีหน้าของเขากลับค่อยๆ เปลี่ยนไป และอดไม่ได้ที่จะยกแขนขึ้นมาดมเล็กน้อย ทันใดนั้น กลิ่นไออันหอมหวานก็พุ่งเข้าเตะจมูก


“นี่คือ…น้ำผึ้งราชินีผึ้งห้าแสง?” แม้เขาจะไม่สนใจว่าหลิ่วหมิงจะวางยาพิษหรือไม่ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิ่วหมิงถึงซ่อนน้ำผึ้งราชินีผึ้งห้าแสงไว้ในยันต์จันทราฟ้าร้อง


ขณะที่รู้สึกอึ้งเล็กน้อยนั้น ก็มีเสียงกระบี่เข้าดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นเงาร่างสีเทาก็กลายเป็นแสงกระบี่สีทองพุ่งออกจากด้านหลังก้อนหิน และทะยานขึ้นฟ้า หลังจากหมุนวนหนึ่งที ก็พุ่งออกไปไกลๆ


“เจ้ามนุษย์น้อยอย่าคิดหนีนะ!” เลี่ยเจิ้นเทียนรีบพุ่งตามไปโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงหวึ่งๆ ดังเข้ามา


พอเลี่ยเจิ้นเทียนขมวดคิ้วแหงนหน้ามองออกไป สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปในทันที


ไม่รู้ว่าอากาศรอบด้านมีเมฆแมลงสีเหลืองดำปรากฏตัวออกมาเป็นฝูงๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝูงที่มีขนาดใหญ่ก็กินพื้นที่หนึ่งหมู่กว่าๆ ขนาดเล็กก็กว้างหลายจั้ง พวกมันปกคลุมเต็มฟ้าจนทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีเหลืองดำ


เสียงดังหวึ่งๆ ในก่อนหน้านั้น ย่อมมาจากเมฆแมลงเหล่านี้


เมฆแมลงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เงาร่างแมลงจิตวิญญาณตรงหน้าก็ดูชัดเจนขึ้นมา


มันคือฝูงผึ้งห้าแสงนั่นเอง สองสามตัวที่อยู่ตรงหน้ามีการฝึกฝนระดับแก่นแท้แล้ว!


ทิศทางที่เมฆแมงบินเข้ามาก็คือ ทิศทางที่ปีศาจสายฟ้าอยู่นั่นเอง


มาถึงเวลานี้แล้ว ไหนเลยเลี่ยเจิ้นเทียนจะไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ในหลุมพรางของหลิ่วหมิงเข้าแล้ว ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะด้วยความโกรธแค้น


แขนทั้งสองเริ่มสั่นสะท้านในทันที แสงสายฟ้าเปล่งประกายบนตัว พอโบกมือยักษ์ สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่ก็ฟาดฟันใส่ฝูงผึ้ง


“ตู๊ม!”


พอแสงสายฟ้าสีม่วงร่วงเข้าไปท่ามกลางเมฆแมลง มันก็ระเบิดตัวออกมาเป็นสายฟ้าสีม่วงหลายสิบเส้น และทะลวงไปมาในเมฆแมลง


ขณะที่มีเสียงสายฟ้าดังเปรี้ยงๆ ปีศาจผึ้งห้าแสงจำนวนมากก็ถูกระเบิดจนแตกกระจาย และร่วงลงมา แต่ปีศาจผึ้งที่เหลือกลับม้วนตัวเข้าหาปีศาจสายฟ้าด้วยความโมโหกว่าเดิม และพากันปล่อยเหล็กในพิษออกมา


ทันใดนั้น หนามดำเรืองแสงสีเขียวก็ร่วงลงเต็มฟ้าราวกับฝนตก


แม้ว่าเลี่ยเจิ้นเทียนจะไม่รู้สึกหวาดกลัวเหล็กไนพิษเหล่านี้ แต่ท่ามกลางผึ้งห้าแสงเหล่านี้ยังมีระดับผลึก ระดับแก่นแท้ปะปนอยู่ไม่น้อย หากไม่ระวังล่ะก็ การขับพิษก็ค่อนข้างยุ่งยากเช่นกัน ที่สำคัญก็คือมันยังส่งผลกระทบต่อการจับตัวหลิ่วหมิงด้วย


เขาทำเสียงฮึดฮัดออกมาในทันที พอยกแขนเสื้อขึ้น เกราะกำบังสายฟ้าก็เปล่งประกายตรงหน้า พอเหล็กในพิษเหล่านี้ปะทะลงบนนั้น ก็ค่อยๆ ร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง


ขณะที่เลี่ยเจิ้นเทียนต้านทานการโจมตีของเหล็กไนพิษไปหนึ่งรอบนั้น เขาก็ปล่อยมือออกไปโจมตีอย่างรวดเร็วอยู่หลายครั้ง หลังจากโจมตีปีศาจผึ้งส่วนมากไปแล้ว ปีศาจผึ้งห้าแสงเหล่านี้ก็ดวงตาแดงก่ำ และโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่คิดถึงชีวิต


และพอเขาเหลือบตามอง ก็ค้นพบว่าห่างออกไปไม่ไกลมีเมฆแมลงสีเหลืองดำขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่ายิ่งโจมตีมันจะยิ่งมีมากขึ้น


เลี่ยเจิ้นเทียนคำรามด้วยความโมโห แสงสายฟ้าเปล่งประกายรอบตัว


แขนทั้งสองทำท่ามือ และกระตุ้นเคล็ดวิชาในทันที


สายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยแต่ละเส้นก่อตัวขึ้นมา และหมุนวนรอบตัวไม่หยุด จากนั้นเขาก็หมุนตัวเองหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว  สายฟ้าสีม่วงม้วนตัวออกไปเป็นรูปพัด และม้วนเข้าใส่เมฆแมลงกลางอากาศ


เกิดเสียงฟ้าร้องดังอยู่พักหนึ่ง!


สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่แต่ละเส้นพุ่งออกจากแสงสายฟ้ารูปพัด และกวาดผ่านเมฆแมลงราวกับอสรพิษยักษ์ ทำให้เกราะกำบังถูกฟันจนกลายเป็นผุยผง!


เลี่ยเจิ้นเทียนพุ่งออกมาราวกับเทพสายฟ้าบรรพกาล และกลายเป็นแสงสายฟ้าสีม่วงพุ่งยิงออกไปไกลๆ


ความเร็วของเขารวดเร็วจนคาดไม่ถึง!


หลิ่วหมิงรับรู้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนในหุบเขาที่อยู่เบื้องหลังไกลๆ ได้ หลังจากเห็นเลี่ยเจิ้นเทียนพุ่งออกมาด้วยอานุภาพน่าตกใจ เขาก็กลืนโอสถลงไปหลายเม็ด และกระตุ้นพลังเวทอีกครั้ง


เขากระตุ้นเกราะอสูรให้งอกปีกออกมาครู่หนึ่ง พอกระพือปีก ก็พุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นทันที


“เจ้ามนุษย์น้อย รอจับตัวได้ก่อนเถอะ ข้าจะลอกหนังดึงเอ็นขยี้กระดูกของเจ้าจนป่นเลย!” น้ำเสียงของเลี่ยเจิ้นเทียนดังมาจากที่ไกลๆ


อย่างที่รู้ว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดในแดนใต้ ไหนเลยจะเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะถูกมนุษย์ระดับผลึกผู้หนึ่งจูงจมูกจนเวลาผ่านไปนานเช่นนี้ ทั้งยังไม่ได้แตะชายเสื้อของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย!


ต่อมา แสงหลบหลีกสีทองกับสีม่วงก็ไล่ล่ากันจนเข้าไปสู่ส่วนลึกของเทือกเขาจูหลง


หนึ่งเดือนต่อมา แสงกระบี่สีทองพุ่งเข้ามาบริเวณขอบเทือกเขา และพุ่งออกไปไกลๆ ในพริบตา


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป แสงสายฟ้าสีม่วงก็พุ่งผ่านบริเวณนี้ไป และพุ่งตามไปอย่างไม่ลดละ


หลิ่วหมิงกับปีศาจสายฟ้าไล่ล่ากันเช่นนี้ จนออกไปจากอาณาเขตเทือกเขาจูหลงโดยไม่รู้ตัว


ภายใต้การหลบหลีกเป็นเวลานาน แม้จะบอกว่ามีโอสถจำนวนมากคอยช่วยเสริม แต่หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าใจสู้แต่พลังไม่สู้แล้ว ประจักษ์ชัดว่าสูญเสียพลังใจ พลังกาย และพลังจิตไปมาก


ขณะนี้ ปีศาจสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังก็รู้สึกรับไม่ไหวเช่นกัน ใบหน้าไร้ความรู้สึกของเขาซีดขาวเล็กน้อย ดวงตากลับดูเคร่งครึมเด็ดขาด ประจักษ์ว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว ต่อให้จะตามล่าจนออกไปจากแผ่นดินจงเทียน ก็จะสังหารหลิ่วหมิงให้ได้!


แต่ว่าผู้แข็งแกร่งระดับพยากรณ์ผู้นี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แค่ผู้ฝนระดับผลึกคนหนึ่งกลับมีโอสถฟื้นฟูพลังเวทมากมายเช่นนี้ ตามความคิดของเขาในตอนแรก คงจะตามเจ้ามนุษย์น้อยนี้ทัน และฉีกศพเขาเป็นชิ้นๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว


ตอนที่ 709 ปีศาจวายุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงกระบี่เหลือบตามอง ก็ค้นพบว่าห่างออกไปด้านหน้าร้อยกว่าลี้ ไม่ใช่เทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันแล้ว


นอกจุดสิ้นสุดของเทือกเขา เป็นทะเลทรายสีดำอันเปล่าเปลี่ยว


เม็ดทรายสีดำมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด


พอเขาขมวดคิ้วพลิกฝ่ามือนำแผนที่เทือกเขาจูหลงออกมาดู ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย


จากบันทึกบนแผนที่ สถานที่ตรงหน้าควรเป็นทุ่งหญ้าถึงจะถูก ตอนนี้เขารู้สึกงุนงงในทันที


พอแสงกระบี่เปล่งประกายไม่กี่ที หลิ่วหมิงก็มาถึงขอบทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวสีดำ


ทันทีที่เขาปล่อยจิตออกไปกวาดดูด้านหน้า กลับไม่ค้นพบความผิดปกติอะไร แต่ทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวสีดำเหล่านี้ กลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าแผนที่นี้จะมีปัญหา?” หลิ่วหมิงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดแสงกระบี่ลงอย่างช่วยไม่ได้


พอมองด้วยตาเปล่า ทะเลทรายแห่งนี้มีพื้นที่อย่างน้อยหลายหมื่นลี้ ไม่สามารถเดินอ้อมได้


ขณะที่หลิ่งหมิงลังเลอยู่นั้น แสงหลบหลีกด้านหลังก็พุ่งตามเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงฟ้าร้อง เห็นได้ชัดว่าอีกไม่นานก็จะตามทันแล้ว


“สนใจอะไรมากไม่ได้มากแล้ว หลบหนีเอาชีวิตรอดสำคัญกว่า!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีทองพุ่งดิ่งไปทางทะเลทราย


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสายฟ้าสีม่วงก็กะพริบลงบนขอบทะเลทรายสีดำ


พอแสงสีม่วงดับลงก็เผยให้เห็นร่างชายฉกรรจ์ชุดคลุมยาวสีม่วง ซึ่งก็คือปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนที่ตามล่าหลิ่วหมิงจนมาถึงสถานที่แห่งนี้นั่นเอง


“ทะเลทรายกุ่ยโม่!” พอเลี่ยเจิ้นเทียนมองเห็นทะเลทรายสีดำตรงหน้า กลับสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน จากนั้นก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาอีกครั้ง


“ทำไมทะเลทรายกุ่ยโม่ถึงมาปรากฏในสถานที่แห่งนี้ได้ ดูท่าครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีของข้าแล้ว” เลี่ยเจิ้นเทียนสังเกตทะเลทรายสีดำตรงหน้าอย่างละเอียด และพูดพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้


ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ไม่หยุดนั้น กลิ่นไอแข็งแกร่งที่ยากจะคาดเดา กลับพุ่งเข้ามาจากด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้อย่างรวดเร็ว


เลี่ยเจิ้นเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที กลิ่นไอนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ห่างไกลเช่นนี้ ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของพายุที่บ้าระห่ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นปีศาจวายุหมัวเจี๋ย หนึ่งในสามผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจในดินแดนทางตอนใต้ที่เป็นคู่อริเก่าของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!


เลี่ยเจิ้นเทียนแอบร้องทุกข์อยู่ในใจ


ปีศาจวายุมาในครั้งนี้ก็เพราะเรื่องที่สายเลือดของเขาถูกทำร้าย ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามตามมาถึงที่นี่ ก็หมายความได้จับตำแหน่งร่องรอยของเขาเอาไว้แล้ว ดูท่าคงไม่อาจหลบหนีไปได้โดยง่าย


และก่อนหน้านั้นที่เขาไล่ล่าหลิ่วหมิงจนมาถึงสถานที่แห่งนี้ ก็ทำให้สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย


ขณะที่คิดอยู่เช่นนี้ เขาก็พลิกฝ่ามือนำโอสถสีเทาสลัวๆ มาทานหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ทำการฟื้นฟูพลังเวท ณ ที่นั้น


ชั่วเวลาผ่านไปแค่ครึ่งถ้วยชา พายุบ้าระห่ำที่อยู่ไม่ไกลก็พัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แรงกดดันของพายุรุนแรงมาก จนกระทั่งทำให้เขารู้สึกหายใจลำบากขึ้นมา


“เลี่ยเจิ้นเทียน เจ้าบังอาจสังหารสายเลือดของข้า นึกว่าจะปิดบังข้าได้หรือ? วันนี้ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าเพื่อปลอบประโลมวิญญาณของบุตรที่อยู่บนสวรรค์!” ท่ามกลางพายุบ้านระห่ำ ชายรูปร่างพร่ามัวที่มีคมวายุห่อหุ้มอยู่ ก็ตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด


พอตะคอกเสร็จ พายุบ้าระห่ำก็เคลื่อนไหว คมวายุสีเขียวสองสายพุ่งออกจากในนั้น แต่ละสายล้วนมีขนาดสามสิบถึงสี่สิบจั้ง แสงสีเขียวเจิดจ้าเปล่งประกายท่ามกลางเสียงแหลมคม ทันใดนั้นมันก็รวมกันเป็นหนึ่ง และกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวที่มีขนาดห้าสิบถึงหกสิบจั้ง จากนั้นก็ฟันใส่เลี่ยเจิ้นเทียนอย่างโหดเหี้ยม


“หมัวเจี๋ย ห้าร้อยปีก่อนศึกของเจ้ากับข้ายังไม่รู้แพ้ชนะ วันนี้ก็หาข้อยุติกันในสถานที่แห่งนี้เถอะ ดูว่าใครถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจแห่งดินแดนทางตอนใต้!” เลี่ยนเจิ้นเทียนลุกขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากพูดจาอย่างเยือกเย็นไปหนึ่งประโยคแล้ว ก็อ้าปากพ่นตรีศูลสายฟ้าสีทองออกมาหนึ่งเล่ม พอขยายใหญ่ตามลม ก็ถูกเขาคง้าเอาไว้ในมือ


แสงสายฟ้าเปล่งประกายรอบตัวปีศาจสายฟ้า สายฟ้าแต่ละเส้นประสานไปมาบนตัวราวกับมีชีวิต และกลายเป็นสายฟ้าสีทองขนาดเท่าปากถ้วย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในตรีศูลอย่างบ้าคลั่งก่อนถูกโยนไปบนอากาศ


ตรีศูลสายฟ้าหลุดออกจากมือ และขยายใหญ่หลายสิบจั้งท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง สายฟ้าขนาดใหญ่พุ่งออกจากปลายตรีศูล และกลายเป็นมังกรสายฟ้าสีทองขนาดหลายสิบจั้ง ก่อนพุ่งออกไปรับมือกับกระบี่ยักษ์สีเขียวที่พุ่งเข้ามา


หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กระบี่ยักษ์ก็ปะทะกับมังกรสายฟ้า!


ภายใต้แสงสายฟ้าที่เปล่งประกาย กรงเล็บมังกรสายฟ้าสีทองก็ก่อตัวขึ้นมา และรัดพันกระบี่แหลมคมสีเขียวไว้อย่างแน่นหนา ทั้งสองต่างก็สั่นสะท้านอยู่กลางอากาศ และส่งเสียงดังตูมตามอยู่เป็นระยะๆ


ปีศาจวายุที่อยู่ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำเห็นเช่นนี้ ก็ตะคอกออกมาด้วยความโมโห มือข้างหนึ่งกำกำปั้นไว้แน่น กระบี่แหลมคมสีเขียวสั่นสะท้านในทันที มันระเบิดออกมาท่ามกลางเสียงดังกังวาน และกลายเป็นคมวายุยาวจั้งกว่าๆ จำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็พุ่งยิงออกไปทั่วทิศ


มังกรสายฟ้าสีทองถูกคมวายุนับไม่ถ้วนฟาดฟันจนสายฟ้าเปล่งประกายบนพื้นผิว ลำตัวของมันบิดไปมาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากยืนหยัดได้แค่สองสามอึดใจ มันก็ระเบิดตูมออกมา!


หมัวเจี๋ยก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นคมวายุสีเขียวก็ปกคลุมเต็มฟ้า และพุ่งวนเข้าสู่ใจกลางจนกลายเป็นพายุหมุนขนาดสิบกว่าจั้งจำนวนห้าลูก จากนั้นพายุหมุนทั้งห้าก็กลายเป็นเงาฝ่ามือวายุแวววาวข้างหนึ่งที่มีขนาดห้าสิบถึงหกสิบจั้ง และฟาดไปยังด้านหน้า


“พลังแห่งวายุลี้ลับ!”


พอเลี่ยเจิ้นเทียนเห็นฉากเช่นนี้ ก็หลุดเสียงออกมา ในใจเขารู้สึกหนักอึ้งเป็นอย่างมาก


จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเล พอยกมือขึ้น พลังสายหนึ่งก็กะพริบเข้าไปในตรีศูลที่อยู่ตรงหน้า


ภายใต้การสั่นสะท้านของตรีศูลสายฟ้า ทำให้ลวดลายจิตวิญญาณสีทองเปล่งประกายบนพื้นผิวอยู่ไม่หยุด สายฟ้าสีทองแต่ละเส้นพุ่งออกมาจากในนั้น และประสายเข้าด้วยกันจนกลายเป็นม่านสายฟ้าสีทองปกคลุมพื้นที่รอบๆ เลี่ยเจิ้นเทียนในระยะหนึ่งจั้งกว่าๆ และห่อหุ้มร่างเขาไว้ในนั้น


ภายใต้การม้วนตัวของพายุบ้าระห่ำ ฝ่ามือวายุแวววาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏเหนือม่านแสงสายฟ้าสีทองในทันที พอกำนิ้วทั้งห้า ม่านแสงสายฟ้าสีทองก็ถูกกุมไว้ในมือ


ครู่ต่อมา คมวายุสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกจากในนั้น และโจมตีลงบนม่านสายฟ้าสีทอง


เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ!


ภายใต้การเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งของม่านแสงสีฟ้า สายฟ้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือพุ่งยิงออกไปทั่วทิศ ภายใต้การตัดสลับประสานกันไปมา มันก็แสดงอานุภาพออกมาต้านทานคมวายุสีเขียวไว้ได้ทั้งหมด


หลังจากยืนหยัดเช่นนี้ไปได้ครึ่งชั่วยาม สายฟ้าบนม่านสายฟ้าสีทองก็ดูเบาบางลงเล็กน้อย


“เลี่ยเจิ้นเทียน ไม่ใช่ว่าอยากจะตัดสินแพ้ชนะกับข้าหรือ เหตุใดถึงต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในม่านคุ้มกันด้วยล่ะ!” หมัวเจี๋ยพูดประชดประชันอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด ฝ่ามือวายุแวววาวขยายใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย ครู่ต่อมา คมวายุสีเขียวก็ทะลักออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และฟาดฟันสายฟ้าสีทองอย่างต่อเนื่อง


ขณะนี้ เลี่ยเจิ้นเทียนรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ เดิมทีการฝึกฝนของเขาก็สู้ปีศาจวายุไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก่อนอาศัยพลังสายฟ้ามหัศจรรย์ของตนเอง ถึงพอจะที่ตั้งป้อมสู้กับปีศาจวายุได้


แต่ทว่าในก่อนหน้านั้น ไม่เพียงแต่ไล่โจมตีหลิ่วหมิงเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าโดยไม่หลับไม่นอน ในระหว่างทางยังใช้โลหิตกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าโลหิตหลบหลีกอย่างไม่เสียดายอยู่หลายครั้ง ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นพลังเวทหรือพลังต้นกำเนิดต่างก็สู้เมื่อก่อนไม่ได้ และวายุลี้ลับที่หมัวเจี๋ยแสดงออกมานี้ เกือบจะเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว อานุภาพลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้ ประจักษ์ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้


ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คงได้แต่ยืดเวลาไปเรื่อยๆ เพื่อหาช่องว่างแสดงเคล็ดวิชาโลหิตหลบหลีก และหนีไปไกลๆ ถึงเป็นแผนที่ดีที่สุด


เลี่ยเจิ้นเทียนคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ ทันใดนั้นก็กระตุ้นพลังเวทเพื่อทำให้ม่านสายฟ้าสีทองมั่นคง ขณะเดียวกัน ก็ทานโอสถฟื้นฟูพลังเวทไปด้วย


และขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแผดร้องดังมาจากด้านข้างของทั้งสองที่อยู่ไม่ไกล


ทะเลทรายสีดำที่ดูเงียบสงบ กลับมีลมกระโชกแปลกๆ ก่อตัวในฉับพลัน ภายใต้การม้วนตัวของเม็ดทรายจำนวนมาก ทะเลทรายทั้งผืนก็หดลงอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต


“หรือว่าจะเป็น…กุ่ยโม่?” หมัวเจี๋ยที่อยู่ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำได้ยินการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ก็เหลือบตามองออกไป ครู่เดียวก็จำทะเลทรายกุ่ยโม่ได้ ทันใดนั้น เขาก็หดแขนข้างหนึ่งกลับมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที


จะเห็นว่าเงาฝ่ามือวายุยักษ์ที่ดูโปร่งใสได้ระเบิดตัวกระจายออกมาทันที “ตู๊ม!” และกลายเป็นคมวายุขนาดเล็กพุ่งกลับมายังท่ามกลางพายุบ้าระห่ำที่หมุนอยู่รอบตัวเขา


เลี่ยเจิ้นเทียนรู้สึกแค่ว่าพลังวายุรอบตัวสลายไป พอเขาหยุดแสดงวิชา ม่านสายฟ้าสีทองก็กลายเป็นสายฟ้าสีเงินเล็กๆ พุ่งเข้าไปในร่างโดยตรง


จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมองดูหมัวเจี๋ยทีหนึ่ง และไม่พูดอะไรออกมา


“เลี่ยเจิ้นเทียน วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน หากวันหน้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าค่อยมาเอาชีวิตเจ้าใหม่!” หลังจากหมัวเจี๋ยกล่าวลงท้ายด้วยประโยคที่ดูโหดเหี้ยมแล้ว ก็กลายเป็นพายุหมุนพุ่งเข้าไปในทะเลทราย ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็หายไปจากสายตาของเลี่ยเจิ้นเทียน


เลี่ยเจิ้นเทียนเห็นเช่นนี้ก็โบกมือเก็บตรีศูลสายฟ้ากลางอากาศ หลังจากมองดูทะเลมรายสีดำตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็กัดฟันในทันที และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงพุ่งไปท่ามกลางทะเลทรายกุ่ยโม่


ขณะที่หลิ่วหมิงกับปีศาจสายฟ้าและปีศาจวายุเหยียบเข้าไปในทะเลทรายสีดำแล้ว พายุบ้าระห่ำที่พัดอยู่ตรงขอบทะเลทรายก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และการหดตัวของทะเลทรายทั้งผืนก็รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม


หนึ่งชั่วยามผ่านไป ทะเลทรายสีดำที่มองไม่เห็นขอบเขตก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


……


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงกำลังขี่กระบี่เหินเวหาท่ามกลางทะเลทรายสีดำอย่างรวดเร็ว


หลังจากเข้ามาในพื้นที่ทะเลทรายแห่งนี้ เขาก็รับรู้ได้ลางๆ ว่าบริเวณขอบทะเลทรายตรงด้านหลังมีกลิ่นไอแข็งแกร่งสองสายกำลังปะทะกันอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเลี่ยเจิ้นเทียนกำลังแลกมือกับใครก็เท่านั้น


แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นจะเป็นเช่นใด เขาก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เอาแต่พุ่งไปด้านหน้าเท่านั้น


ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เขาถึงค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ปีศาจสายฟ้าผู้นั้นไม่ได้ตามมาเลย แม้แต่กลิ่นไอก็หายไปแล้ว


ขณะที่เขากำลังหยุดแสงหลบหลีกลงด้วยความโล่งใจนั้น กลับทรงตัวไว้ไม่ได้ และร่วงลงไปด้านล่าง


มีพลังมหาศาลบางอย่างดูดเขาลงไปบนพื้นอย่างเหลือเชื่อ


หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวททรงตัวด้วยความตกใจ แต่กลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย


ขณะที่เขากำลังจะเข้าใกล้พื้นนั้น ก็ฝืนบิดตัวย่างรวดเร็ว หลังจากเกิดเสียงดัง “โครม!” เท้าทั้งคู่ก็เหยียบลงบนพื้นอย่างหนักแน่น จนทำให้เนินบริเวณนั้นสั่นไหว


“ทะเลทรายแห่งนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”


หลิ่วหมิงพูดพึมพำด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นก็เก็บกระบี่เล็กสีทอง และทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อที่จะขี่เมฆพุ่งขึ้นฟ้า


แต่ทว่าในขณะนั้นเอง เขากลับค้นพบว่าตนเองพุ่งขึ้นสูงจากพื้นได้แค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น อีกทั้งยิ่งเหาะขึ้นสูงก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลอันน่าตกใจ และพลังเวทก็กำลังไหลวนอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจ เขาก็สูญเสียพลังไปเกือบครึ่งหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ร่อนลงไปทันที


หลิ่วหมิงลังเลอยู่บนพื้นทรายเล็กน้อย จากนั้นก็คิดจะย้อนกลับไปยังทิศทางที่จากมาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยว่ากันใหม่


แต่ทว่าเมื่อเขาหมุนตัวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว พายุทรายกลับก่อตัวขึ้นท่ามกลางทะเลทรายที่อยู่ด้านหลัง คลื่นพายุสีดำแต่ละลูกม้วนตัวเข้ามาหาพร้อมกับเม็ดทรายที่ปะปนอยู่ในนั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)