หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 700-705
บทที่ 700 ความลับสุดยอดของสหพันธรัฐ!
เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนมู่ฉี หวังเป่าเล่อที่กำลังคุ้ยหาขนมจากกำไลคลังเวทขึ้นมากินก็ตัวสั่นเทิ้ม เกือบจะสำลักขนมในปาก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ในหูมีแต่เสียงอื้ออึง โชคดีที่ลำคอของเขาแข็งแกร่งกว่าจุดอื่น ชายหนุ่มจึงกลืนขนมลงคอไปได้ ก่อนจะเก็บถุงขนมไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันมาจ้องต้วนมู่ฉี หายใจถี่รัวขณะโพล่งถามขึ้น
“จริงหรือ”
ตามหลักการแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งและระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันทำให้เขานึกลังเลเกี่ยวกับการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แต่สิ่งนี้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเขา เป็นความฝันที่คอยไล่ตามมาตั้งแต่เด็ก ชายหนุ่มเข้าไปฝึกวิชาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะความฝันที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ นอกจากนี้ เขายังส่งเคล็ดวิชากลับมาให้สหพันธรัฐมากมายตอนที่อยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ คำนวณดูแล้วก็น่าจะเพียงพอในการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ
แต่พอเขาได้กลับมาและทราบถึงสถานการณ์ของสหพันธรัฐในปัจจุบัน ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำระหว่างการทำสงครามนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทราบดีว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และชายหนุ่มก็รู้จักนิสัยของต้วนมู่ฉีดี หากไปบังคับให้อีกฝ่ายลงจากตำแหน่ง เขาต้องเจอกับปัญหามากมายแน่นอน ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ ก็ยังเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากอยู่ดี
การจะขึ้นไปรับตำแหน่งต้องเจอกับความยุ่งยากมากมาย อีกทั้งสหพันธรัฐก็เป็นบ้านเกิดของเขา ต้วนมู่ฉีและคนอื่นๆ ก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด จึงไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะไปบังคับขอเข้ารับตำแหน่งได้
นี่คือเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่ถามถึงเรื่องรางวัลที่ตนควรได้รับ เขาได้ฟังสิ่งที่เฟิ่งชิวหรันกับต้วนมู่ฉีถกกันและตระหนักถึงสถานการณ์กับทางสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้น หวังเป่าเล่อตั้งใจจะถามหลี่ซิงเหวินอ้อมๆ ว่ามีโอกาสที่ตนจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นขุนนางชั้นต่อไปหรือไม่ คงจะดีหากเขาได้รับการประกาศว่าเป็นผู้รอรับเลือกเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ แค่ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับหนึ่งชั้นรองก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่คิดว่าต้วนมู่ฉีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ชายหนุ่มตื่นเต้นจนถึงขีดสุดเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบคำถามเมื่อครู่ ในหัวเต็มไปด้วยความปีติยินดีจนรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาเล็กน้อย หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ยกมือตบอกเสียงดัง ดวงตาของเขาแดงก่ำ
“สหพันธรัฐจะต้องชนะศึกครั้งนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักวังเต๋าไพศาลจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะฆ่าทุกคนที่มาขวางทางการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐของข้า!”
ต้วนมู่ฉีเห็นสีหน้าจริงจังของหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หลี่ซิงเหวินยิ้ม เขาไม่แปลกใจที่ต้วนมู่ฉีประกาศไปเช่นนั้น หากไม่ติดที่ว่าหวังเป่าเล่ออายุยังน้อย ชายหนุ่มคงจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐในทันที
ชายชรารู้จักต้วนมู่ฉีดี เขาเป็นคนช่างคิด ช่างวางแผน มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตน ความผิดพลาดบนดาวพุธส่งผลกระทบต่อต้วนมู่ฉีมาก คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่หลี่ซิงเหวินทราบดีว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบให้อีกฝ่ายเพียงใด
นอกจากนี้ ต้วนมู่ฉีก็ตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองดี เขาไม่มีวันยอมให้หวังเป่าเล่อขึ้นเป็นผู้นำในวันที่อารยธรรมต้องล่มสลาย จึงเลือกที่จะเป็นคนแบกรับความสูญเสียครั้งนี้เอง แต่ถ้าพวกเขาชนะขึ้นมา…เขาก็จะอยู่ตรงนั้น ร่วมต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อพิสูจน์ตนเอง ต้วนมู่ฉีอยากให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบถึงสิ่งที่ตนเองคอยทุ่มเทเพื่อสหพันธรัฐ เขาอยากให้หวังเป่าเล่อเริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อยุคใหม่ได้เปิดฉากขึ้น!
“เป่าเล่อ ภารกิจของเจ้าไม่ใช่การเข้าสู้อีกต่อไป เจ้าจะต้อง…รักษาตนเองและคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติภารกิจซึ่งสำคัญไม่ต่างกันให้มีชีวิตรอดปลอดภัย!” หลี่ซิงเหวินสูดหายใจลึก จากนั้นก็มองชายหนุ่มด้วยแววตาลุ่มลึก
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเก็บงำความตื่นเต้นเข้าไปและทำสมองให้โล่ง ชายหนุ่มใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ตระหนักได้ว่าเหตุใดต้วนมู่ฉีจึงเลือกเช่นนี้ รวมถึงเข้าใจนัยแฝงในคำพูดของหลี่ซิงเหวินด้วย
หากพวกเขาชนะ หวังเป่าเล่อก็จะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป แต่ถ้าแพ้ เขาต้องรับหน้าที่ปกป้องอารยธรรมให้คงอยู่ต่อไป!
“แนวป้องกันของดาวศุกร์จะต้านทานได้นานเท่าไหร่” แสงลุ่มลึกฉายวาบขึ้นในตาของชายหนุ่มหลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาเลิกเป็นกังวลเรื่องตำแหน่งในอนาคตและเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“ถ้าไม่เกิดอะไรที่เกินคาด การป้องกันน่าจะพังลงหมดตอนตระกูลไม่รู้สิ้นเปิดฉากโจมตีเต็มกำลังซึ่งๆ หน้า” ต้วนมู่ฉีตอบเสียงแหบห้าว ในที่สุดเขาก็ยอมรับชะตากรรมอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงจะไม่เคยนึกอยากยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่ดี
“สหพันธรัฐเตรียมตัวมาหลายปีเพื่อทำศึกกับสำนักวังเต๋าไพศาล แผนที่วางไว้คือใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะและแนวป้องกันจากทั้งสามแห่งบนดาวพุธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร โชคร้ายที่มีเวลาไม่เพียงพอ แม้จะได้เจ้าและเฟิ่งชิวหรันเข้ามาช่วย เราก็ยังไม่สามารถรับมือกับกองกำลังตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่มเข้ามาและเรือบินรบน่าพรั่นพรึงของพวกเขาได้” หลี่ซิงเหวินถอนใจ เขาผุดยิ้มเหยเก
“เป็นความผิดของข้าเอง เราถึงเสียดาวพุธไป!” ต้วนมู่ฉีพูดอย่างเคร่งเครียด
“ต้วนมู่ อย่าโทษตัวเองเลย ถึงเราจะระเบิดดาวพุธไป สงครามก็ยังไม่จบอยู่ดี ทำได้แค่ยื้อเวลาเพิ่ม แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเตรียมทำศึกเต็มรูปแบบได้ อย่างไรเราก็ต้องมาลงเอย ณ จุดนี้เหมือนเดิม” หลี่ซิงเหวินส่ายหัวและหันไปมองหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ โลกคือต้นกำเนิดและศูนย์กลางอารยธรรมของเรา เป้าหมายของการต่อสู้ในครั้งนี้คือคอยป้องกันไม่ให้วงแหวนปราณระบบสุริยะที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคุ้มกันโลกถูกทำลาย”
“ตราบเท่าที่วงแหวนปราณยังคงอยู่ สหพันธรัฐก็จะมีพลังในการคุ้มกันตนเอง อารยธรรมของเราก็ยังมีหวังที่จะมีชีวิตรอดต่อไป ดาวอังคารและดาวศุกร์คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะ ขอแค่ดาวดวงใดดวงหนึ่งยังคงอยู่ วงแหวนปราณก็จะยังทำงานต่อไปได้ ต่อให้ถูกทำลายไปดวงหนึ่งก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อวงแหวนปราณ” หลี่ซิงเหวินอธิบาย หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วและพูดแทรกขึ้น
“อาจารย์ปู่ ผู้นำต้วนมู่ ข้ามีคำถามสองข้อ!
“ข้อแรกคือ ดาวเคราะห์ที่เป็นกุญแจสำคัญทั้งสองดวงตั้งอยู่คนละฝั่งของโลก มีระยะทางแตกต่างกันมาก เหตุใดตระกูลไม่รู้สิ้นจึงตัดสินใจจะทำลายดาวศุกร์ก่อน จากนั้นค่อยอ้อมโลกไปทำลายดาวอังคาร พวกเขาทำลายวงแหวนปราณแล้วมุ่งหน้าไปยังโลกเลยไม่ได้หรือ
“คำถามข้อที่สอง วงแหวนปราณระบบสุริยะแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ มันสามารถปกป้องอารยธรรมของเราได้จริงๆ หรือ”
หวังเป่าเล่อมองหลี่ซิงเหวินกับต้วนมู่ฉีหลังจากถามคำถามทั้งสองข้อออกไป ทั้งสองหันมองหน้ากัน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ต้วนมู่ฉีก็สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นด้วยมือขวา เกราะป้องกันพลันปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา มันกันไม่ให้มีใครแอบฟังได้ หลี่ซิงเหวินหยิบรูปสลักไม้ออกมาวางไว้ตรงด้านหนึ่ง จากนั้นก็เปิดใช้งาน เกราะป้องกันมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเป็นประกายเมื่อได้เห็น เขาสร้างผนึกฝ่ามือดึงพลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราออกมา วิญญาณจุติดึงพลังจากดาวศุกร์มาช่วยเสริมพลังของเกราะป้องกันที่อยู่รอบตัวคนทั้งสามด้วยอีกแรง
ม่านคุ้มกันหลายชั้นป้องกันไม่ให้ใครแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาได้ ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินหันมองกันอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ในที่สุด หลี่ซิงเหวินก็ถอนหายใจและกระซิบขึ้น “เป่าเล่อ สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้ามีเพียงข้า ต้วนมู่ฉี และอาจารย์เจ้าผินฟางเท่านั้นที่รู้ เจ้าจะเป็นคนที่สี่ของสหพันธรัฐที่ได้ล่วงรู้ความลับนี้!”
“นี่คือความลับสุดยอดของสหพันธรัฐ โดยหลักการแล้ว มีเพียงผู้นำสหพันธรัฐเท่านั้นที่จะเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ เจ้าผินฟางมีพรสวรรค์ด้านวิทยาศาสตร์การวิญญาณ ต้วนมู่ฉีกับข้าจึงตกลงเผยข้อมูลนี้ให้เขาทราบ!
“เพราะอย่างนั้น…เจ้าห้ามแพร่งพรายความลับนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด! เว้นเสียแต่ว่า…สหพันธรัฐจะแพ้ศึกครั้งนี้ หากเป็นเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ถือเป็นความลับสุดยอดอีกต่อไป เจ้าจะไปบอกใครก็แล้วแต่เจ้า”
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาเริ่มเต้นถี่รัว สัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ชายหนุ่มรู้ว่าเรื่องที่หลี่ซิงเหวินกำลังจะบอกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ อาจถึงขั้นสั่นคลอนโลกทั้งใบเลยทีเดียว
“ครับ ท่านอาจารย์!” ชายหนุ่มกุมมือและเอ่ยให้คำสัญญา
หลี่ซิงเหวินจ้องหวังเป่าเล่อเงียบๆ อยู่พักใหญ่ เหมือนว่าเขากำลังจมอยู่ในห้วงความทรงจำ หรือไม่ก็กำลังสรรหาคำมาอธิบายอยู่ เวลาผ่านไปพักหนึ่งก่อนชายชราจะเปิดปากพูดเสียงเบาอีกครั้ง
“พลังวิญญาณที่ใช้สนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะมาจากการที่ประชาชนในสหพันธรัฐ…ฝึกฝนวิชาค้ำจุนปราณ เรามีประชากรหมื่นล้านคน เกือบทุกคนฝึกวิชาค้ำจุนปราณกัน ปราณวิญญาณที่พวกเขาสร้างขึ้นระหว่างการฝึกวิชาจะถูกส่งไปเป็นพลังงานให้กับวงแหวนปราณระบบสุริยะ เรื่องนี้จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ แต่ก็มีอยู่หลายคนที่รู้ ถึงอย่างนั้นก็มีแค่เราสามคนที่รู้ว่ารากฐานของวงแหวนปราณสุริยะคืออะไร!”
“รากฐานที่ว่าก็คือ…ยันต์ที่มีต้นกำเนิดอันเป็นปริศนา!” หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินที่หลี่ซิงเหวินพูด
“ยันต์หรือ”
“หลายพันปีก่อนหน้าการมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณ มีการค้นพบยันต์ใบหนึ่งในซากเมืองโบราณทางเขตตะวันออกเฉียงใต้ของโลก ยันต์ใบนั้นคือเครื่องบูชา ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร ด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่างทำให้ไม่เหมาะที่จะทำการขุดค้น ถึงจะมีการคาดเดาและศึกษาอย่างหนักก็ไม่พบอะไรที่พอจะเป็นข้อสรุปได้ ยันต์ใบนั้นเลยถูกจัดเป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์และได้นำไปเก็บรักษาไว้
“จากนั้นยุคกำเนิดวิญญาณก็มาถึง ปราณวิญญาณที่มาพร้อมเศษกระบี่สำริดเขียวโบราณได้เปลี่ยนอารยธรรมบนโลกไป ข้าเป็นคนแรกในสหพันธรัฐที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นได้ และวันนั้นเอง ยันต์ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าข้า หลังจากศึกษาอย่างละเอียดก็ได้ข้อสรุปว่ายันต์ใบนี้น่าจะถูกขุดค้นมานานหลายพันปีแล้ว
“ยันต์ใบนี้มีพลังกล้าแกร่ง จุดที่พิเศษที่สุดก็คือ…มันไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคนจากนอกโลก พวกเขามองไม่เห็นมัน สัมผัสก็ไม่ได้ แทบจะไม่รู้สึกถึงเลยด้วยซ้ำ ข้าลองใช้อาวุธเทพทดสอบดูก็พบว่าอาวุธเทพถึงกับสั่นคลอนเมื่อมาอยู่ต่อหน้ายันต์ ราวกับว่าเกรงกลัวในพลังอำนาจของมัน!
“หลังจากศึกษาอยู่ยกใหญ่ก็พบว่ามีโอกาสร้อยละหกสิบที่ยันต์ใบนี้จะเป็นแบบสร้างวงแหวนปราณ ข้าให้สหพันธรัฐสร้างวงแหวนปราณระบบสุริยะขึ้น ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าแก่นของวงแหวนปราณระบบสุริยะนั้น…สร้างขึ้นบนยันต์ใบนี้ มันทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวขยายพลัง หากมีทรัพยากรไม่เพียงพอก็ไม่สามารถขยายขอบเขตพลังออกไปได้ เราต้องใช้ดาวศุกร์และดาวอังคารในการขยายพลังของยันต์ออกไป สิ่งมีชีวิตที่โลกไม่รู้จักจะเข้ามาใกล้โลกได้ยาก ยิ่งพวกมันเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเดินหน้าไปต่อได้ยากลำบากขึ้นเท่านั้น!
“ตอนที่ลงจากตำแหน่ง ข้าได้บอกความลับนี้กับต้วนมู่ฉี มีการตั้งกฎขึ้นมาว่ามีเพียงผู้นำสหพันธรัฐเท่านั้นที่จะทราบข้อมูลนี้ได้ ในขณะที่คนภายนอกเชื่อกันว่าอาวุธเทพเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องสหพันธรัฐให้ปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ปกป้องพวกเราอยู่คือยันต์ใบนี้ต่างหาก!
“โลกเชื่อกันว่าอาจารย์เจ้าผินฟางสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาจากศูนย์ แต่จริงๆ แล้ว…เขาได้ข้อมูลมาจากการศึกษายันต์ จึงสามารถสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาได้
“ข้าไม่เป็นกังวลที่เจ้าและเฟิ่งชิวหรันขึ้นมาบนดาวศุกร์ เพราะข้าสามารถยืมพลังปริศนาจากยันต์ผ่านวงแหวนระบบสุริยะตรวจดูว่าเจ้ามีปรสิตแฝงกายอยู่ในร่าง หรือโดนสิ่งมีชีวิตนอกโลกควบคุมอยู่หรือเปล่าได้!”
“นี่คือความลับของวงแหวนปราณระบบสุริยะ และเป็นเหตุผลที่ข้ามั่นใจว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะมุ่งหน้าไปยังดาวอังคารหลังจากทำลายดาวศุกร์ได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางเลยที่พวกมันจะเข้าไปยังโลกได้!” คำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากหลี่ซิงเหวินเป็นเหมือนสายฟ้าที่แล่นเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หายใจถี่รัวขณะฟังชายชราพูด เรื่องนี้ช่างเกินคาดคิดไปไกล ไม่มีทางเลยที่ชายหนุ่มจะสามารถเดาได้ว่าโลกมีความลับเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่!
บทที่ 701 การคาดเดาของหลี่ซิงเหวิน!
“ยันต์ใบนี้มีลักษณะเหมือนยันต์ทั่วไป มีการลงอักขระ วัสดุที่ใช้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากกระดาษธรรมดาทั่วไป ตอนนี้มันอยู่ใต้ทะเลสาบในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หากสหพันธรัฐล่มสลายขึ้นมาจริงๆ หลังจากจบสงคราม เจ้าต้องเป็นคนไปเก็บยันต์มาและทำหน้าที่เป็นผู้ปกปักอารยธรรมของเราต่อไป ข้าได้ตรวจสอบยันต์มาแล้วและพบว่ายันต์ใบนี้…เหมือนจะเป็นสิ่งที่คล้ายกับของดูต่างหน้า!” หลี่ซิงเหวินมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาลุ่มลึกขณะพูดอย่างจริงจัง
หวังเป่าเล่อตะลึงงันไป ช่างเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการไปไกล สิ่งมีชีวิตใดกันที่สามารถหลอมวัตถุที่มีพลังมหาศาลขนาดปกป้องอารยธรรมหนึ่งขึ้นมาได้ด้วยการเขียนตัวอักขระลงบนกระดาษเท่านั้น
ศิษย์พี่จะมีพลังทำเช่นนี้ได้หรือไม่นะ… ชายหนุ่มหายใจถี่รัว นิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีหันมองกับด้วยสีหน้าลังเลใจ
เขาใช้เวลาไปพักหนึ่งกว่าจะทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมาทั้งหมดได้ หลี่ซิงเหวินเหมือนจะตัดสินใจอะไรได้จึงพูดต่อ
“เพราะเหตุนี้เราจึงต้องปกป้องดาวศุกร์ไว้ด้วยชีวิต แม้สุดท้ายมันจะถูกศัตรูถล่มราบคาบ มันก็ยังช่วยให้เราได้เตรียมพร้อมกับศึกตัดสิน และการเสียสละครั้งสุดท้ายของเราบนดาวอังคาร!
“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในดาวอังคาร และดูเหมือนว่าเจ้าล่วงรู้ความลับเหล่านั้นแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะทุ่มเต็มที่ในสงครามบนดาวอังคาร!”
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและพยักหน้ารับอย่างจริงจัง หลี่ซิงเหวินรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร ชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ หากไม่ได้หลี่ซิงเหวินช่วยปิดเรื่องให้ ตนคงไม่สามารถเก็บเรื่องวัตถุเวทแห่งความมืดไว้เป็นความลับได้ ต้องมีคนอื่นล่วงรู้เป็นแน่
หลี่ซิงเหวินบอกขั้นตอนต่างๆ ให้หวังเป่าเล่อรู้อีกเล็กน้อย เมื่อราตรีมาถึง หวังเป่าเล่อก็ออกจากห้องลับไปด้วยดวงใจอันหนักอึ้ง
ต้วนมู่ฉีเองก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาหันมาหาหลี่ซิงเหวินพร้อมกับอ้าปากเตรียมพูด แต่ก็ไม่สามารถหาคำที่จะเอ่ยออกไปได้ ผ่านไปสักพัก เขาก็ถามขึ้น “เราจะไม่บอกความจริงทั้งหมดกับเขาจริงๆ หรือ”
“ให้บอกเรื่องอะไร เรื่องรูปปั้นในนครหลวงที่มาจากอารยธรรมโบราณของโลกน่ะหรือ เราไม่มีเวลาพอที่จะปลุกพวกมันขึ้นมาได้ ทำได้แค่ใช้งานเพียงครั้งเดียว เราสองคนก็ตรวจสอบกันมาแล้ว พวกมันไม่น่าจะสู้กับศัตรูได้ไหว แทนที่จะเอามาใช้เป็นอาวุธโจมตี เราควรเก็บมันไว้เป็นเครื่องป้องกันเหล่าผู้เหลือรอดดีกว่า!” ดวงตาของหลี่ซิงเหวินฉายแววแน่วแน่ เขาพูดเสียงเบาพร้อมกับยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ดึงพลังจากวงแหวนปราณระบบสุริยะมารวมอยู่รอบตัวสร้างเป็นชั้นป้องกัน
“อีกอย่าง ที่เขาไม่รู้คือส่วนสุดท้ายของความลับ เหตุการณ์นั้น…ถูกเก็บเงียบไปตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เขาไม่ควรจะต้องมาแบกรับภาระนี้ ถ้าเราชนะศึกครั้งนี้ก็ดีไป แต่ถ้าเราแพ้ขึ้นมา ข้าอยากให้อดีตเป็นเพียงแค่อดีต กลายเป็นฝุ่นพัดหายไปกับสายลม เหลือไว้แค่ชีวิตใหม่และความหวังใหม่!” หลี่ซิงเหวินมองต้วนมู่ฉีขณะกล่าว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ลึกลงไปในดวงตามีแววกล้ำกลืนฝืนทนซ่อนอยู่ ราวกับว่ายังไม่อยากยอมแพ้ให้กับอะไรบางอย่าง
ต้วนมู่ฉีเห็นถึงอารมณ์ทั้งสองในแววตาของหลี่ซิงเหวินอย่างชัดเจน เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา ใบหน้าดูแก่ลง ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว
“คนพวกนั้น…เลือกที่จะหนีไปหลายปีก่อน เลือกที่จะทิ้งที่แห่งนี้ไป แล้วจะทิ้งยันต์นี่ไว้ทำไมกัน…ท่านใบ้หวังเป่าเล่อไปว่ามันเป็นของดูต่างหน้า ไม่ใช่ว่านั่นคือเครื่องพิสูจน์ว่าท่านยังมีความหวังอยู่หรือ” ต้วนมู่ฉีถามเสียงเบา หลี่ซิงเหวินหลับตาลง ไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่าย
ความเงียบงันเข้าปกคลุมห้องลับ ไม่มีใครพูดอะไรอีก หลี่ซิงเหวินถอนหายใจอยู่ภายใน ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่นที่ส่งผ่านไปถึงในปาก เขาไม่ได้บอกความลับส่วนสุดท้ายของโลกให้หวังเป่าเล่อฟัง แม้แต่ต้วนมู่ฉีก็ยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
จะบอกทั้งสองไปก็ได้ แต่ก็ไม่อยากทำเช่นนั้น ชายชราไม่อยากบอกหวังเป่าเล่อ ตอนที่ได้ค้นพบยันต์เมื่อหลายปีก่อน เขาได้ศึกษาและตรวจสอบมัน เขาขุดคุ้ยบันทึกทางประวัติศาสตร์และขุดค้นโบราณสถานต่างๆ ที่เคยปรากฏอยู่บนโลก ได้พบวัตถุต่างๆ และข้อมูลมากมาย ท้ายที่สุดแล้ว หลี่ซิงเหวินก็ค้นพบอะไรอย่างหนึ่งเข้า
เหล่าผู้ฝึกตนที่ปรากฏขึ้นในยุคกำเนิดวิญญาณไม่ใช้ผู้ฝึกตนกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ!
ทุกสิ่งประกอบรวมกันได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือ…โลกเคยเป็นกลุ่มย่อยหนึ่งของอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่ที่ต่อมาถูกละทิ้งไป หลี่ซิงเหวินเคยสงสัยว่าโลกน่าจะไม่สำคัญต่ออารยธรรมที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่มีโลกก็คงไม่ส่งผลอะไร อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้น่าจะมีอารยธรรมย่อยคล้ายโลกอีกนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาล
เราคงจะมีความสำคัญแค่มีสายโลหิตคล้ายกัน ทำให้ผู้คนบนโลกสามารถนำไปใช้เป็นทาสได้ พวกเขาใช้ที่แห่งนี้ทำอะไรกันแน่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เช่นนั้นหรือ หลี่ซิงเหวินหลับตา เก็บงำความขุ่นเคืองไว้ภายใน เขาบอกใบ้หวังเป่าเล่อไปว่ายันต์แผ่นนี้อาจเป็นของดูต่างหน้า ไม่แน่ว่าต้วนมู่ฉีอาจพูดถูก ลึกๆ ภายในใจ ตนยังคงมีหวังอยู่
เขามั่นใจว่าคนที่ทิ้งยันต์ไว้ให้ไม่ใช่คนจากอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นคนบนโลกที่ถูกอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่พาตัวไป จึงแอบทิ้งยันต์เอาไว้บนโลกอย่างลับๆ!
เวลาผ่านไป คนทั้งคู่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ หวังเป่าเล่อไม่ทราบเลยว่าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีคุยอะไรกันหลังจากที่เขากลับออกไปแล้ว ชายหนุ่มไม่รู้ความลับเรื่องอารยธรรมโบราณและการคาดเดาของหลี่ซิงเหวิน แต่ระดับการฝึกตนของเขาแซงหน้าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีไปแล้ว จิตสัมผัสวิญญาณจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก ทำให้…หวังเป่าเล่อสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะที่ส่งมาคุ้มกันห้องลับหลังจากตนกลับออกมา
อาจารย์ปู่…ไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง หวังเป่าเล่อตามผู้ฝึกตนจากฐานทัพดาวศุกร์ไปยังที่พักชั่วคราว เขาเดินเข้าไปนั่งในห้อง ความลุ่มลึกฉายชัดในแววตา
“ยันต์ใบนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” ชายหนุ่มพูดพึมพำ เขาเชื่อว่าหลี่ซิงเหวินไม่ได้คิดร้ายกับตนเอง หากให้วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ตามความเชื่อนี้ ก็จะได้ข้อสรุปอย่างง่ายดาย สิ่งที่หลี่ซิงเหวินปิดบังอยู่ย่อมเกี่ยวข้องกับที่มาของยันต์แน่ ที่ชายชราไม่ได้บอกเขา คงเพราะมีเหตุผลบางอย่างทำให้บอกไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มเป็นกังวลเกินไป
เหล่าผู้สูงวัยล้วนอยากให้พวกเด็กน้อยปราศจากความกังวล พวกเขายอมแบกรับความเหนื่อยยากเอาไว้เอง พวกเขาอยากจะเป็นต้นไม้ใหญ่คอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานให้ปลอดภัยจากสายลมและหยาดฝน ใช่แล้ว แต่เด็กคนนี้ที่ได้รับการปกป้องมาโดยตลอดอยากจะเติบใหญ่ในเร็ววันเพื่อปกป้องต้นไม้ใหญ่บ้าง หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ
เขาหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาติดต่อหาพ่อกับแม่ หวังเป่าเล่อหายไปหลายเดือน ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านเป็นเช่นไร แต่ก็พอเดาได้ว่าคงเป็นกังวลกันมาก โชคดีที่เจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาที่เลิกเก็บตัวฝึกตนไปเยี่ยมทั้งสองอยู่บ่อยๆ ให้พอได้ใจชื้น การปลอบใจของคนทั้งคู่ทำให้คู่รักวัยชราคลายความกังวลไปได้บ้าง
พอได้รับข้อความเสียงที่หวังเป่าเล่อส่งไปบอกว่ายังปลอดภัยดี คู่รักวัยชราก็หายเป็นกังวล ผ่านไปสักพัก เขาตัดสายไป จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน และคนอื่นๆ เพื่อบอกว่าตนกลับมาแล้ว ชายหนุ่มได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว ดูจากความเร่งรีบและข้อความที่ตอบกลับมาสั้นๆ หวังเป่าเล่อก็ทราบว่าพวกเขาคงกำลังง่วนอยู่กับภารกิจของตนเอง
จั่วอี้ฟานเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ตอบกลับ หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดอะไรมาก เขาปล่อยหัวให้โล่ง พยายามไม่หมกมุ่นอยู่กับความลับที่หลี่ซิงเหวินไม่ยอมเปิดเผย ชายหนุ่มเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา อาจารย์ปู่คงบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเขาเอง
ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแววความคิดตรึกตรอง เขาเริ่มประเมินสิ่งต่างๆ ที่จะใช้ในศึกครั้งต่อไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่จู่ๆ หวังเป่าเล่อจะร้องออกมาเสียงดัง “ศิษย์พี่ ศิษย์น้องอันเป็นที่รักของท่านกำลังมีปัญหา ท่านศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาและแสนไร้เทียมทานอยู่หรือไม่”
เขารออยู่นานแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจึงเริ่มขุ่นเคือง เขาไม่เชื่อว่าศิษย์พี่จากไปแล้ว แต่จะยอมเดิมพันทุกสิ่งว่าอีกฝ่ายยังอยู่แถวนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าศิษย์พี่ไม่อยู่ขึ้นมาจริงๆ จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้
“แม่นางน้อยผู้งดงามที่สุดในจักรวาล เจ้าอยู่หรือไม่…” หวังเป่าเล่อถอนใจและเรียกหาแม่นางน้อยในหัว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น การตอบกลับของแม่นางน้อยขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาง และตอนนี้เหมือนว่านางจะอารมณ์ไม่ดีอยู่ ไม่ว่าจะเรียกสักกี่ครั้ง นางก็ไม่ยอมตอบกลับเสียที
พวกเขาเมินข้า! ได้ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองไม่ได้! หวังเป่าเล่อแค่นเสียงไม่พอใจ เริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก
ยังมียักษ์อยู่บนดวงจันทร์และมีวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร…แถมข้ายังใช้ความสามารถพิเศษของวิญญาณจุติดวงดาราได้ด้วย…
บทที่ 702 ปราการดวงจันทร์!
วันคืนผ่านไปขณะหวังเป่าเล่อคิดหาหนทาง ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่ประจำอยู่ในฐานทัพทุกคนทราบเรื่องการมาถึงของเขาและเฟิ่งชิวหรันดี ต้วนมู่ฉีตั้งใจเปล่าประกาศเรื่องนี้ออกไป ทำให้ทุกคนบนดาวศุกร์ ดาวอังคาร รวมถึงโลกต่างทราบถึงการกลับมาของหวังเป่าเล่อ
พวกเขาทราบว่าหวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นการฝึกตนไปไกล อีกทั้งเฟิ่งชิวหรัน ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาลก็ได้เข้าร่วมทัพกับสหพันธรัฐ ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นดีใจ
กระแสตอบรับบนดาวศุกร์เป็นไปในด้านบวก คำพูดปลุกใจของหวังเป่าเล่อที่ท่าอากาศยานส่งเข้าไปถึงใจใครหลายคน พวกเขาต่างรู้สึกฮึกเหิมจากไฟนักสู้ที่ลุกโชนอยู่ภายใน
ผู้คนต่างแวะเวียนมาหาหวังเป่าเล่อถึงที่พักชั่วคราว มีทั้งเหล่าพันธุ์กล้าที่ได้รู้จักกันบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ คนคุ้นเคยกันดีอย่างต้นไม้ยักษ์และประมุขสำนักสวี รวมถึงผู้ทรงอำนาจจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ในสหพันธรัฐ พวกเขาต่างแสดงเจตนาอยากรู้จักชายหนุ่มให้มากขึ้นรวมถึงแสดงความนอบน้อมให้เห็น
หากเป็นโอกาสอื่น หวังเป่าเล่อผู้จดจำคำสอนในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงได้จนขึ้นใจคงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสานสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้น ผ่านไปสองสามวันเขาก็ประกาศว่าจะเข้าสู่การถือสันโดษ
สงครามยังคงดำเนินต่อไปและคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ชายหนุ่มเก็บตัว วงแหวนปราณระบบสุริยะซึ่งคอยตรวจตราทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ทำให้พบว่า…สำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นใกล้จะเตรียมการทำศึกเสร็จสมบูรณ์แล้ว สงครามกับดาวศุกร์ใกล้จะเปิดฉากขึ้นเต็มที
ในวันที่สิบของการถือสันโดษ กงเต๋าก็ทำภารกิจเสร็จสิ้นและกลับมายังสหพันธรัฐ เขาเป็นสหายคนแรกของหวังเป่าเล่อที่กลับมา
กงเต๋ามาหาหวังเป่าเล่อถึงที่พักทันทีที่กลับมา สิ่งแรกที่เขาบอกออกไปเมื่อได้เจอหน้าอีกฝ่ายก็คือ…
“เป่าเล่อ จั่วอี้ฟานหายตัวไป!”
แสงเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ คำถามมากมายพรั่งพรูออกจากปาก ระหว่างปฏิบัติภารกิจบนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น กงเต๋าได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในยานกู้ภัยจึงรอดจากการสังหารหมู่ที่ตามมาได้ จากนั้นเขาก็รอจนโยวหรันออกไปที่อื่น และใช้จังหวะที่คลื่นแทรกของเรือบินรบอ่อนกำลังลงหลบหนีออกมา
เขาตามเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ทันหลังจากกลับมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล และพลาดการอพยพกลับสหพันธรัฐ แต่กงเต๋าก็ใช้เส้นสายในสำนักวังเต๋าไพศาลที่มีรวมถึงแต้มการรบทั้งหมดที่สะสมมา พาตัวเองหลบหนีออกมาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณได้ก่อนที่โยวหรันจะกลับมา
“โชคดีที่ดาวพุธยังอยู่ตอนที่ข้ากลับมา ผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้สั่งระเบิดดาวพุธทิ้ง มิเช่นนั้นข้าคง…” กงเต๋าตัวสั่นเมื่อคิดเช่นนั้น
“ข้าเจอเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ตอนที่กลับมาถึง พอได้พูดคุยกันก็พบว่าไม่มีใครเห็นจั่วอี้ฟานเลย เจ้าเองก็กลับมาแล้ว แต่ยังตามหาตัวจั่วอี้ฟานไม่พบ พี่ชายของเขา จั่วอี้เซียนก็หายตัวไปด้วย!” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อเงียบอยู่นานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกมา หากไม่ได้เกิดสงครามอยู่ เขาคงสามารถใช้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดประจำสำนักวังเต๋าไพศาลในการตามหาตัวสหายได้
แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงสงคราม จั่วอี้ฟานจึงต้องพึ่งพาตนเอง ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นห่วงสหายสักเพียงใดก็ทำได้แค่ผลักเรื่องนี้ออกไปก่อนเพราะสงครามกำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้า เขาคุยกับกงเต๋าอีกพักใหญ่ พอเห็นว่าอีกฝ่ายเหนื่อยอ่อนและซ่อนอาการบาดเจ็บเอาไว้ ชายหนุ่มก็หยิบของเหลววิญญาณสองสามขวดให้ก่อนจะจบการสนทนา
การปะทะกันของสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกงเต๋าฟื้นจากอาการบาดเจ็บและได้พักจนเพียงพอแล้ว เขาก็ถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนต้องทำงานกันอย่างหนัก มีเรื่องมากมายให้จัดการเต็มไปหมด
เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเป็นเสาหลักช่วยสนับสนุนกลุ่มสำรวจเขตแดน ดูแลอภิมหาวงแหวนปราณ ออกปฏิบัติภารกิจสอดแนมและปฏิบัติการกู้ภัย กระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อส่งกลับมาตอนที่อยู่สำนักวังเต๋าไพศาลช่วยกลุ่มผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐที่ติดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์มานานได้เห็นทางสว่าง ถึงกระนั้น ก็มีเพียงสามคนที่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ ขึ้นมายืนอยู่จุดเดียวกับประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ ต้วนมู่ฉี และหลี่ซิงเหวิน
หนึ่งในนั้นคือผู้นำคณะเสนาบดี บิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์ อีกคนคือผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลนภาห้าสมัย ส่วนคนสุดท้ายนั้น…ไม่ได้มาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าหรือกลุ่มไตรจันทรา ไม่ได้มาจากสำนักชุมนุมสกุณา เป็นคนที่ไม่น่าจะบรรลุขึ้นมาได้ แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดาอะไร คนที่สามที่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณคือ…บิดาของหลินเทียนหาว เจ้านครศักดิ์สิทธิ์ หลินโยว!
หลินโยวเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะเสนาบดี แม้ตำแหน่งเจ้าเมืองจะทำให้เขามีอำนาจมากในสหพันธรัฐ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งในสหพันธรัฐ พอหลินโยวบรรลุขั้นการฝึกตน ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครกล้าดูถูกเสนาบดีผู้ยังเยาว์คนนี้อีกต่อไป!
นอกจากนี้ หลินโยวยังมีความสามารถด้านการจัดการกับผู้คน ทำให้บิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์แต่งตั้งเขาให้เป็นรองผู้นำคณะเสนาบดี ด้วยสถานะทางการเมืองที่สูงขึ้นทำให้สถานะของนครศักดิ์สิทธิ์และลูกชายของเขาสูงมากขึ้น
เมื่อนับหลินโยวและหวังเป่าเล่อแล้ว สหพันธรัฐในตอนนี้มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งหมดแปดคน ห้าในแปดคนนั้นประจำการอยู่บนดาวศุกร์ ส่วนอีกสามคนแบ่งไปคุ้มกันโลกหนึ่งคนและประจำการบนดาวอังคารอีกสองคน สองคนที่ประจำการบนดาวอังคารคอยคุ้มกันเจ้านครอาณานิคมที่กำลังถือสันโดษเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนอยู่ สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้บทบาทของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมีความสำคัญเป็นอย่างมากในตอนนี้
กงเต๋าไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ยุ่งจนหัวหมุน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของสหพันธรัฐทุกคนต่างยุ่งจนมือเป็นระวิงกันหมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงที่มีสถานะพิเศษกว่าคนอื่นๆ นางส่งข้อความเสียงหาหวังเป่าเล่อเรื่อยๆ ระหว่างออกปฏิบัติภารกิจ แต่ก็ยังไม่ได้กลับสหพันธรัฐเลยตั้งแต่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวศุกร์
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้มีเวลามากมายให้ถือสันโดษเพียงอย่างเดียว ไม่นานหลังจากกงเต๋ากลับออกไป ชายหนุ่มก็ได้รับภารกิจจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี
“จงไปที่ดวงจันทร์ ภารกิจของเจ้าคือการพาดวงจันทร์…มายังดาวศุกร์ให้ได้โดยสวัสดิภาพ!”
ดวงจันทร์นั้นเป็นดาวบริวารของโลก ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์วิญญาณในปัจจุบันทำให้สหพันธรัฐสามารถแปลงดาวบริวารให้กลายเป็นปราการชั้นสูงซึ่งเกือบจะสมบูรณ์แบบได้ ปราการดวงจันทร์นั้น นอกจากจะมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงวิถีโคจรของตนเอง ทำให้มันเป็นเหมือนปราการอวกาศที่สามารถเดินทางข้ามห้วงอวกาศได้!
แผนตั้งต้นคือการใช้ปราการดวงจันทร์ในการสนับสนุนศึกบนดาวอังคาร หลังจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีได้พูดคุยกันและปรึกษากับคนอื่นๆ พวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนมาใช้ปราการดวงจันทร์สนับสนุนดาวศุกร์แทน
ภารกิจนี้ถือเป็นภารกิจที่สำคัญมาก แต่มีความเสี่ยงน้อย การเดินทางไปดวงจันทร์อาจจะกินเวลานาน แต่ก็อยู่ภายใต้การคุ้มกันของวงแหวนปราณระบบสุริยะ แทบไม่มีโอกาสปะทะกับกองกำลังสำนักวังเต๋าไพศาลเลยแม้แต่น้อย
ภารกิจนี้สำคัญมาก หวังเป่าเล่อจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้รับผิดชอบ เขาต้องไปเปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงจันทร์ที่หมุนรอบโลกให้เข้าสู่สนามรบ แค่คิดฝูงชนก็คงคึกคักกันยกใหญ่ ภาพดวงจันทร์เปลี่ยนวิถีวงโคจรย่อมสร้างชื่อเสียงให้ชายหนุ่มแน่!
เขาตอบรับภารกิจอย่างไม่ลังเล แม้ใจหนึ่งจะคิดว่าด้วยความสามารถของตน ให้ไปทำภารกิจที่ยากกว่านี้คงจะดีเสียกว่า แต่ชายหนุ่มก็มีแผนลับเกี่ยวกับดวงจันทร์ที่อยากจะลองทำดู เมื่อรับภารกิจมา หวังเป่าเล่อก็ขึ้นเรือบินรบของสหพันธรัฐ นำผู้ฝึกตนกว่าพันคนมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์
เรือบินรบของสหพันธรัฐได้วงแหวนปราณระบบสุริยะช่วยเสริมความเร็ว ผ่านไปหกวัน พวกเขาก็เข้าไปใกล้โลกและลงจอดบนดวงจันทร์
เหล่าผู้ทรงอำนาจจากทุกกลุ่มอำนาจการเมืองที่ประจำอยู่ในฐานทัพต่างรออยู่พร้อมหน้า พวกเขาได้รับคำสั่งมาให้ทำตามที่ชายหนุ่มบอก หวังเป่าเล่อได้รับสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมฐานทัพบนดวงจันทร์
กลุ่มอำนาจการเมืองหลายฝ่ายยอมรับการเปลี่ยนแปลงผู้นำอย่างกะทันหันครั้งนี้ ถึงกระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ถึงจะได้ยินมาว่าชายหนุ่มบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เห็นหรือสัมผัสพลังของเขาด้วยตนเอง เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกกดดันหรือเคารพยำเกรงหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีพวกหัวโบราณที่คิดว่ายศถาบรรดาศักดิ์นั้นสำคัญกว่าระดับการฝึกตน คนกลุ่มนี้อาจจะไม่แสดงออกโต้งๆ ว่าไม่พอใจชายหนุ่ม แต่ก็จะไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็ม
แน่นอนว่านี่…คือสิ่งที่พวกเขาคิดก่อนเรือบินรบจะลงจอด และความคิดเหล่านั้นก็ปลิวหายไปทันทีเมื่อหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากเรือบินรบ จริงๆ แล้ว…หวังเป่าเล่อก็ทราบดีว่าเหล่าผู้ทรงอำนาจที่มากด้วยวัยวุฒิคิดเห็นเช่นไร ชายหนุ่มไม่มีทางเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นได้ต่อต้าน ทันทีที่เดินออกจากเรือบินรบ เขาก็ปลดปล่อยเกราะจักรพรรดิ วิญญาณจุติดวงดารา ดวงตาปีศาจ รวมถึงจิตสังหารที่ได้จากการสังเวยชีวิตมามากมายในทันใด ทำให้ดวงจันทร์ในตอนนี้เหมือนโดนถล่มด้วยพายุและคลื่นยักษ์รุนแรง!
“ข้าคิดว่าพวกเจ้ารู้จักข้า คงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไรกับข้า แต่นับจากนี้ จงเก็บความคิดนั้นไว้กับตัวเอง เลือกเอาว่าจะทำตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัด…หรือจะโดนเชือดทิ้ง!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงนิ่งขณะเดินออกมาจากเรือบินรบ เขาไม่ได้พูดเสียงดังมาก แต่เมื่อได้พลังรัศมีรุนแรงมาช่วยเสริม เสียงของเขาก็กลับกลายเป็นสายฟ้าที่ฟาดเข้ากลางหัวทุกคน ผู้ฝึกตนทั้งหมดหายใจถี่รัวทันใด หันมองหวังเป่าเล่อที่เป็นดังปีศาจด้วยหัวอันอื้ออึง พวกเขาตัวสั่นเทิ้มจากจิตสังหารรุนแรง ความคิดร้ายพลันหายวับไป ทุกคนก้มหัวอย่างเชื่อฟังพร้อมร้องตอบออกไป
“รับทราบ!”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปทางศพมหึมาที่นอนอยู่พร้อมกับหรี่ตาลง
อาจเป็นเพราะพลังรัศมีของเขาแกร่งกล้าเกินไป ศพขนาดยักษ์ที่นอนอยู่เหมือนจะมีการตอบกลับ ดวงจันทร์สั่นไหวรุนแรงทันทีที่หวังเป่าเล่อหันไปมองศพที่หลับใหลอยู่ เสียงร้องผิดมนุษย์ค่อยๆ ดังขึ้นจากศพที่นอนอยู่บนพื้น!
บทที่ 703 ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
ดวงจันทร์สั่นไหวพร้อมเสียงคำรามที่ดังขึ้น เหล่าคนที่กำลังยืนก้มหัวให้หวังเป่าเล่ออยู่มีสีหน้าตื่นตกใจ บางคนถึงกับหน้าซีดจากความหวาดกลัว
เหล่าผู้ฝึกตนที่ประจำการในฐานทัพของดวงจันทร์ต่างทราบถึงปริศนาที่ซ่อนอยู่บนดวงจันทร์ดีกว่าผู้ใด ด้านสว่างของดวงจันทร์ถือว่าปลอดภัย ส่วนด้านมืดกลับเต็มไปด้วยภัยอันตราย ในส่วนลึกสุดของด้านมืดมีศพขนาดมหึมาหลับใหลอยู่!
การมาถึงของกระบี่สำริดเขียวโบราณได้นำพาชิ้นส่วนกระบี่ลงปักบนดวงจันทร์ ปลุกศพขนาดยักษ์ให้ตื่นจากการหลับใหลถึงสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ส่วนครั้งที่สอง…เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้!
ศพขนาดมหึมาปลดปล่อยพลังน่าพรั่นพรึงพร้อมเผยให้เห็นโซ่ที่ล่ามอยู่รอบตัวตอนที่มันตื่นขึ้นครั้งล่าสุด มันทรุดตัวลงคุกเข่าขณะจ้องมองไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ ภาพที่ได้เห็นทำให้ทุกคนหวาดหวั่นและยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง
ศพศพนี้ทำให้ดวงจันทร์ยังถือเป็นสถานที่อันตราย ในขณะเดียวกันก็ทำให้ดาวดวงนี้เป็นดาวบริวารมีพลังเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ซ่อนอยู่!
ขณะที่ทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นพร้อมดวงตาที่ฉายแสงวาบ
“เปิดเครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ เราจะพาดวงจันทร์ออกจากวงโคจรปกติในสามวันและมุ่งหน้าไปยังดาวศุกร์ ห้ามให้เกิดการล่าช้าแม้แต่นิดเดียว!”
เมื่อออกคำสั่งออกไปชัดเจน ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าตรงไปยังศพที่ร้องคำรามทันที คลื่นอากาศพัดกระจายไปทั่วบริเวณเมื่อเขาพุ่งตัวออกไป ชายหนุ่มหายวับไปจากสายตาของฝูงชน ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังก้องไปทั่วท่าอากาศยาน
“รับทราบ!” ฝูงชนยังคงรู้สึกยำเกรงแม้ชายหนุ่มจะจากไปแล้ว ทุกคนก้มหัวพร้อมขานรับอย่างพร้อมเพรียงตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไป
“ศพยักษ์ร้องขึ้นทันทีที่หวังเป่าเล่อลงเหยียบบนดวงจันทร์ ข้าว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่!”
“นึกออกแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ศพยักษ์ตื่นคือตอนที่ศิษย์จากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ขึ้นมาทำการทดสอบเพื่อบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น…ตอนนั้นเสนาบดีหวังก็อยู่บนนี้เหมือนกัน…”
“จริงด้วย ข้าจำได้ว่าเจ้าเมืองหวังเกือบตาย ผู้อาวุโสจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพที่ขโมยแก่นในเขาไปยังโดนกักตัวอยู่เลย!”
หวังเป่าเล่อมีตำแหน่งเป็นทั้งเสนาบดีและเจ้าเมือง ทำให้ไม่มีคำเรียกเฉพาะเจาะจง ทุกคนกำลังคลายจากอาการตื่นกลัว แม้จะนึกกังวล แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของชายหนุ่ม ไม่นานคำสั่งของเขาก็กระจายต่อออกไป ดวงจันทร์ทั้งดวงเริ่มสั่นไหว
เป็นการสั่นสะเทือนที่แตกต่างจากตอนศพมหึมาคำราม การสั่นสะเทือนเพราะศพคำรามนั้นเกิดขึ้นอย่างปุบปับ แต่การสั่นสะเทือนครั้งนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ถูกเปิดใช้งานตามคำสั่งนั่นเอง
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายไปเปิดเครื่องยนต์ทั้งหมดและเตรียมเปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อก็กำลังเดินทางข้ามด้านสว่างของดวงจันทร์ไปอย่างรวดเร็ว เสียงแหวกอากาศดังไปทั่วพื้นที่ขณะเขาพุ่งตัวผ่าน อสูรจันทราระดับการฝึกตนโบราณต่างสั่นกลัวและรีบถอยห่าง
ค้างคาวจันทรารัตติกาลกรีดร้องอย่างหวาดหวั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของหวังเป่าเล่อจากที่ไกลห่าง พวกมันไม่กล้าบินขึ้นฟ้า รีบปล่อยตัวลงพื้นและมุดดินเข้าไปหลบตัวสั่นอยู่ใต้พิภพ
อสูรทั้งสองสายพันธุ์ไม่ได้อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มพุ่งแหวกอากาศไปราวกับเป็นสายฟ้า ไม่หันมาเหลียวแลพวกมันแม้แต่นิด ครู่ต่อมา ขณะกำลังจะถึงด้านมืดของดวงจันทร์ เขาก็หยุดนิ่งไป
ผืนดินใต้เท้าของเขามีแมลงจันทราขนาดมหึมาหลายร้อยตัวอยู่ สิ่งมีชีวิตคล้ายตะขาบขนาดใหญ่เป็นเหมือนอสูรแห่งความตายในตำนานที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย แต่ละตัวมีความยาวหลายร้อยหลายพันเมตร มีพลังอยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สามและสี่ พวกมันปรากฏตัวเป็นโขยงตอนที่ชายหนุ่มขึ้นมาบนดวงจันทร์ครั้งแรก ตอนนั้นมันช่างเป็นประสบการณ์ที่ทำให้หัวใจแทบจะหยุดเต้น ส่วนตอนนี้น่ะหรือ…
เขาพุ่งขึ้นไปบนฟ้าขณะที่ฝูงแมลงจันทราก้มหัวตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ของเหลวหยดเปื้อนพื้นบริเวณหางของแมลงหลายตัวราวกับว่ามันกลัวจนฉี่ราดอย่างไรอย่างนั้น
หวังเป่าเล่อส่ายหัว ตั้งใจจะมุ่งหน้าต่อไป ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ชายหนุ่มหันมองไปทางขวา เห็นหมอกเริ่มก่อตัวหนาพัดกระจายไปทั่วบริเวณ
หมอกเวทเคลื่อนย้าย! ชายหนุ่มผุดยิ้มบางๆ เหมือนว่าจะโปรดปรานมันไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะหมอกเวทเคลื่อนย้าย เขาคงจะเอาตัวไม่รอดในเขตจันทราเวท และคงกลายเป็นฝุ่นผงลอยอยู่บนดวงจันทร์ไปแล้ว
ภาพหมอกเวทเคลื่อนย้ายทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ชายหนุ่มเปลี่ยนทิศ มุ่งหน้าไปหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายแทน พริบตาต่อมา หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตัวข้างๆ ปล่อยให้หมอกเข้าปกคลุมทั่วร่าง
หมอกบดบังวิสัยทัศน์ของชายหนุ่มไป เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานจากหมอกที่เข้าปกคลุมร่าง และพยายามจะส่งเขาเคลื่อนย้ายหายไป
“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง แม้จะเคยใช้หมอกเวทเคลื่อนย้ายในการสร้างประคำหมอกรอยเวทมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าหมอกเวทเคลื่อนย้ายทำงานอย่างไร ตอนนั้นชายหนุ่มทำได้แค่หยิบยืมความสามารถในการเคลื่อนย้ายของมันมาเพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้ระดับการฝึกตนของเขาสูงขึ้นจากตอนที่เจอหมอกเวทเคลื่อนย้ายครั้งแรกมาก ศพมหึมาเงียบเสียงไปหลังจากร้องคำราม หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากและตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในหมอก
คลื่นพลังงานที่พัดกระทบร่างกลายเป็นสายหมอกเล็กๆ หวังเป่าเล่อไม่ต้องปลดปล่อยพลังปราณก็สามารถเดินตรงต่อไปโดยไม่โดนหมอกเคลื่อนย้ายหายไปได้ ไม่นานชายหนุ่มก็นึกสงสัยขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เดินลึกเข้าไปในหมอก พลังเคลื่อนย้ายก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มส่งผลกระทบกับตัวเขา หวังเป่าเล่อต้องปล่อยพลังปราณออกมาต้านพลังเคลื่อนย้ายไว้
ตอนนั้นข้าไม่สามารถหาคำตอบได้ ตอนนี้…ไม่รู้ว่าข้าจะค้นเจอหรือเปล่าว่าหมอกเวทเคลื่อนย้ายคืออะไรกันแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ปล่อยจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจสอบหมอกเวทเคลื่อนย้าย
ภาพหมอกเวทเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นในหัวทันใด เขาเพ่งจิตสัมผัสวิญญาณจนทำให้ภาพหมอกในหัวแจ่มชัดขึ้น ต้องใช้จิตสัมผัสวิญญาณถึงร้อยละเก้าสิบจึงจะเห็นได้ว่าหมอกนี้คืออะไรกันแน่ ดวงตาชายหนุ่มหรี่ลงในทันที
นี่มัน… เขาเห็นร่างที่แท้จริงของหมอกผ่านจิตสัมผัสวิญญาณ ที่จริงแล้วหมอกเวทเคลื่อนย้ายคือแมลงขนาดเล็กจิ๋วเท่าเชื้อโรคจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน!
ไม่ได้มีชีวิตอยู่ แต่เป็นศพ!
พวกมันมีลำตัวเป็นปล้องยาวโปร่งใส สีอมเหลืองเล็กน้อย ตรงปลายลำตัวทั้งสองด้านมีหนวดคู่ที่แบ่งออกเป็นสามส่วนอย่างชัดเจน!
นี่มันแมลงอะไรกัน เหตุใดศพของพวกมันจึงมีพลังเคลื่อนย้าย! หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น เมล็ดดูดกลืนในกายเริ่มปั่นป่วน วิญญาณจุติดวงดาราลืมตาตื่น พลังปราณพวยพุ่งออกมาพร้อมพลังของเมล็ดดูดกลืน เกิดเป็นแรงสูบรุนแรงปะทุออกจากฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ
หมอกรอบตัวเริ่มปั่นป่วน หมอกที่พัดกระจายออกไปเริ่มไหลมารวมตัวกันอยู่รอบชายหนุ่มในทันใด วังวนปรากฏขึ้นขณะที่เมล็ดดูดกลืนปลดปล่อยพลังเต็มที่เพื่อดึงหมอกเข้ามาหา หวังเป่าเล่อกลายเป็นวังวนที่หยุดยั้งไม่ให้หมอกเวทเคลื่อนย้ายพัดกระจายออกไป แต่พัดหมุนวนเข้าหาตนเองแทน
หากมองไกลๆ จะเห็นว่าหมอกหนาเริ่มจางลง ขณะที่ร่างของชายหนุ่มเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหมอกก็หายวับไปหมด ในมือขวาของหวังเป่าเล่อมีดวงแสงสีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นอยู่!
เขาตรวจดูดวงแสงในมืออย่างละเอียด เขาไม่พบเหล่าแมลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกได้ว่าน่าจะเอาดวงแสงนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ ชายหนุ่มผนึกดวงแสงไว้และเก็บเข้ากระเป๋าคลังเก็บก่อนจะทะยานออกไป
หวังเป่าเล่อเหาะข้ามด้านสว่างเข้าไปในด้านมืดของดวงจันทร์ ข้ามผ่านสนามรบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณจันทรา อสูรที่มีตารอบตัว หรือเผ่าพันธุ์อมตะราตรีผู้แกร่งกล้าต่างก็หยุดเคลื่อนไหวเมื่อเห็นชายหนุ่ม วิญญาณจันทราตัวสั่นเทิ้มเมื่อพบเขา ส่วนเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้น…หลังจากที่นิ่งไปในตอนแรก มันก็ทรุดลงไปกับพื้นราวกับจะหมอบกราบ!
ท่าทีของเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำให้เขาเงียบไป สัมผัสได้ถึงดอกบัวสีเขียวและเมล็ดดูดกลืนที่สั่นไหวเล็กน้อย ในที่สุดชายหนุ่มก็มาถึงบริเวณใจกลางของด้านมืดบนดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในหุบเขาที่เขาเกือบจะเอาตัวไม่รอดกลับมา!
ชายหนุ่มยืนมองซากปรักหักพังเบื้องหน้า จ้องไปยังถ้ำที่ยังเหลือรอดอยู่และนิ่งเงียบไป จากนั้นก็ก้มมองเข้าไปในถ้ำอันแสนมืดมิด ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็กระซิบออกมา “ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เจ้ายัง…มีสติอยู่กับตัวหรือไม่”
บทที่ 704 จื่อเยว่!
ไม่มีเสียงร้องคำราม ไม่มีการตอบกลับใดๆ มีเพียง…แสงสีแดงสองดวงที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดในถ้ำ แสงนั้นคือ…ดวงตาของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
ดวงตามีสีแดงหม่นๆ ไม่มีสีม่วงช่วยขับ มีเพียงความมืดมน ปราศจากแววฉลาด แววตาดุดันของอสูรแสนดุร้ายจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ ราวกับว่ากำลังสนใจอะไรบางอย่างจนละสายตาออกไปไม่ได้
ดวงตาของชายหนุ่มนั้นสงบนิ่ง เขาลดสายตามองจ้องเข้าไปในดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อสูรอมตะราตรี มนุษย์และศพมองประสานสายตา ผู้หนึ่งอยู่ด้านนอกถ้ำ ส่วนอีกฝ่ายถูกขังอยู่ภายใต้ความมืดมิดในถ้ำ
มองดูแล้วช่างเป็นเหมือนภาพวาดแสนประหลาด!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สามสิบนาทีล่วงเลยไป เครื่องยนต์ดวงจันทร์ที่เริ่มทำงานและแรงสั่นสะเทือนที่เพิ่มมากขึ้นปลุกราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมา การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะไปกระตุ้นอีกฝ่ายหนักขึ้น ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะจ้องประสานสายตา เสียงคำรามขู่เริ่มดังออกมาจากในถ้ำ
หวังเป่าเล่อจ้องเข้าไปในตาราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขณะฟังเสียงขู่คำราม สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เคยเป็นของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเมื่อครั้งยังมีชีวิตคุกรุ่นอยู่ภายใน ประเมินดูแล้ว…น่าจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ
แม้จะตื่นขึ้นก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณที่เคยมีได้ เพราะมีแค่สัญชาตญาณที่หลงเหลืออยู่ ไร้ซึ่งเชาวน์ปัญญา การตื่นขึ้นสองครั้งก่อนหน้านั้นทำให้เกิดความโกลาหล แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่สหพันธรัฐควบคุมได้จึงเกิดความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะโซ่ที่ล่ามอยู่ช่วยผนึกพลังที่แท้จริงเอาไว้ก็เป็นได้
“น่าผิดหวังเสียจริง” ชายหนุ่มถอนใจ อาจเป็นเพราะตนมีพลังล้นเหลือ หลายปีก่อนเขาเคยกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกเมื่อได้เห็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าสามารถเอาชนะได้
น่าจะเอาไปใช้ในศึกครั้งนี้ได้ หวังเป่าเล่อส่ายหัวเล็กน้อยด้วยความผิดหวังขณะก้าวเข้าไปในถ้ำ พริบตาต่อมาก็ออกพุ่งทะยานลึกเข้าไป ดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีฉายแสงดุดันทันใดที่ชายหนุ่มเข้ามาใน เขาเงยหน้าขึ้นร้องคำรามจนเกิดลมกรรโชก จากนั้นก็ยกมือขวาฟาดเข้าใส่หวังเป่าเล่อ
ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นตัวใหญ่ยักษ์ นิ้วมือของเขามีขนาดเท่าหวังเป่าเล่อ มือของเขาพุ่งเข้าหาเป้าหมาย ชายหนุ่มหายวับไปด้วยพลังเคลื่อนย้ายหลบการโจมตีได้ทันท่วงที ก่อนจะไปปรากฏตัวอีกครั้งตรงบริเวณที่ลึกที่สุดเข้าถ้ำ ในที่สุดเขาก็ได้เห็นร่างมหึมาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี
ผนึกสีเขียวมากมายแต้มอยู่ตามร่างกายของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ภาพเบื้องหน้าอาจทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนสั่นกลัว แต่ชายหนุ่มไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาทั่วไป
เกราะจักรพรรดิ ความสามารถพิเศษของวิญญาณจุติดวงดารา และพลังประหลาดของดวงตาปีศาจทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังขนาดปลิดชีพผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณลงได้อย่างง่ายดาย ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเบื้องหน้าก็เป็นแค่ศพธรรมดา
หวังเป่าเล่อหลบการโจมตีและไปปรากฏตัวอีกครั้งใกล้ๆ ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาไม่ได้สนใจอสูรตรงหน้าแต่เป็นโซ่ตรวนเก้าเส้นที่ล่ามอยู่ ที่มาของโซ่นั้นยังเป็นปริศนา บันทึกของสหพันธรัฐบอกไว้ว่าโซ่เหล่านี้มีมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว โซ่ทั้งเก้านั้นล่ามราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไว้กับแก่นของดวงจันทร์
โซ่ที่สามารถผสานรวมกับดาวบริวารได้ต้องสร้างจากวัตถุดิบพิเศษที่มีพลังล้นเหลือ หวังเป่าเล่อไตร่ตรองในใจว่าตนจะสามารถหลอมโซ่นี้ขึ้นได้หรือไม่ เพราะมันอาจกลายเป็นวัตถุมีค่าที่นำไปใช้ต่อกรกับโยวหรันได้
ชายหนุ่มก้าวหลบการโจมตีรุนแรงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้งและไปปรากฏตัวด้านหลังอีกฝ่าย เขาอยู่ห่างจากโซ่ไม่ถึงสามสิบเมตรและเริ่มตรวจดูโซ่อย่างละเอียด
ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงด้วยความตื่นตะลึงกับการค้นพบของตนเอง ในหัวเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ ร่างของเขาพลันเลือนรางขณะร่างอวตารปรากฏขึ้นมาอยู่เคียงข้าง มันพุ่งไปหาโซ่ สายฟ้าชั่วร้ายปรากฏขึ้นรอบร่างอวตารทันทีก่อนจะระเบิดออกมา แม้ร่างอวตารจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถทนแรงระเบิดได้ มันสั่นเทิ้ม เริ่มเสื่อมสภาพลง
แม้จะหลบหนีออกมาอยู่ข้างชายหนุ่มแล้ว ร่างอวตารก็ยังเสื่อมอายุลงเรื่อยๆ ผมของมันขาวโพลน ร่างกายผุดรอยเหี่ยวย่น ราวกับว่าถูกดึงพลังชีวิตไปและแก่ตัวลงในทันที
หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ โซ่พวกนี้…ไม่เพียงมีพลังแข็งแกร่ง แต่ยังแสนจะคุ้นตา!
เหมือนโซ่บนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นที่ล่ามเหล่าอสูรร้ายไว้กับท่อนไม้เพื่อหมุนโม่หินไม่มีผิด! เขาหรี่ตามองโซ่ตรงหน้า จากนั้นก็หันไปมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเคร่งขรึม
เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ถูกล่ามด้วยโซ่พวกนี้จะมีพลังแค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ต้องมีบางอย่างที่ข้ามองข้ามไป! หวังเป่าเล่อหรี่ตาและเดินวนรอบราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจดูอย่างละเอียด ไม่นานเขาก็พบแผลสามรอยที่ฟื้นฟูสภาพแล้วบนร่างของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตเห็นได้จากเลือดเนื้อที่ฟื้นฟูสมบูรณ์
แผลแรกอยู่บริเวณด้านหลังศีรษะของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แผลที่สองอยู่ตรงหัวใจ และแผลสุดท้ายอยู่ตรงจุดตันเถียน!
ยังมีรอยแผลคล้ายๆ กันนี้อีกมากมายตรงบริเวณอื่น แต่รอยทั้งสามนั้นทำให้หวังเป่าเล่อนึกสนใจที่สุดหลังจากตรวจดูใกล้ๆ
ไม่เหมือนรอยแผลที่เกิดจากการต่อสู้…เหมือนจะเป็นรอยที่เกิดจากการฉีกกระชากเนื้อด้วยมือเปล่าในขณะที่เขาไร้ทางสู้! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียด หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถตระหนักได้รวดเร็วเพียงนี้ แต่ชายหนุ่มต่างออกไป แผลทั้งสามทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองบนดวงจันทร์ ตอนที่ถูกกระชากรากฐานตั้งมั่นออกจากร่าง
แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอาจจะต่างออกไป ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ทั้งสองก็เคยโดนกระชากบางสิ่งออกไปจากร่างเหมือนกัน! บาดแผลเหล่านี้เกิดจากการกระทำดังกล่าวนั่นเอง!
“ดึงสมอง กระชากหัวใจ แถมยังทำลายเต๋าทิ้ง ช่างเลือดเย็นเสียงจริง! ต้องเกลียดชังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขนาดไหนกันถึงทำลงไปได้ขนาดนี้” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ สังหรณ์ใจว่าน่าจะต้องใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดสักอย่างช่วงชิงพลังไป ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยอารมณ์หลายหลากขณะมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีด้วยความสงสาร ตอนที่ชายผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องมีพลังอันไร้เทียมทานเป็นแน่ ขนาดโดนชิงสมอง หัวใจ และเต๋าไปก็ยังมีพลังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ!
แค่นั้นยังไม่พอ หลังจากกระชากสมองกับหัวใจและทำลายเต๋าไปแล้ว ยังจับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาล่ามไว้เพื่อดูดเอาพลังชีวิต ตรึงโซ่ลึกเข้าไปภายในเพื่อไม่ให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีฟื้นฟูตนเองได้ แปลกจริง ทำไมต้องทำเช่นนั้นกับคนที่ตายไปแล้วด้วย…หรือว่าราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะยังไม่ตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อคิดได้ดังนั้น เริ่มตรวจดูราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้งขณะหายใจถี่รัว ชายหนุ่มพบบางสิ่งไม่ชอบกล ผนึกสีเขียวบนร่างของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี…เป็นคำสาปอีกรูปแบบหนึ่ง!
คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว ใครคนนั้นไม่สามารถล้มราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีลงได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุผลบางอย่าง จากนั้นก็กลัวว่าราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้จึงใช้วิธีต่างๆ คุมขังเขาเอาไว้…แต่ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าเหตุใดราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อยู่ดี… หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ผ่านไปสักพัก ดวงตาของเขาก็ฉายแสงวาบ ชายหนุ่มหลบการโจมตีจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมพึมพำกับตนเอง
“ช่างปะไร ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ข้าจะตรวจดูว่าเจ้ามีดวงวิญญาณเทพหรือเปล่า” ดวงตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาเมื่อเขาปลดปล่อยวิชาแห่งศาสตร์มืด ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นเมื่อพลังวิชาแห่งศาสตร์มืดพัดกระจายออกมา มันลืมตาตื่นและมองตรงไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี
ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่นเทิ้ม ถูกเปลวไฟสีดำเข้าห้อมล้อมในทันใด หวังเป่าเล่อกลายเป็นผู้นำทางเหล่าดวงวิญญาณที่พลัดหลง ดวงตาของเขามองทะลุผ่านคำสาปที่ผนึกราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไว้ ลึกเข้าไปภายในตรงจุดที่ดวงวิญญาณสีหม่นลอยอยู่!
หวังเป่าเล่อพบดวงวิญญาณอันแสนดุร้าย ป่าเถื่อน ไร้ปัญญา เต็มไปด้วยสัญชาตญาณดิบเถื่อนของอสูรร้าย!
นี่เป็นดวงวิญญาณที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่ดวงวิญญาณที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี! คนอื่นอาจไม่สามารถรู้ได้ แต่หวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืดผู้ได้ร่ำเรียนวิชาแห่งศาสตร์มืดที่เป็นกระบวนเวทดั้งเดิมจากยุคเต๋าสวรรค์ในอดีต ทำให้มองเข้าไปในดวงวิญญาณและเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถเห็นได้
หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้คิดจะล้มเลิกความตั้งใจ เขาหลับตา กดฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ จากนั้นก็กัดปลายลิ้นพ่นเลือดออกมา ชายหนุ่มโบกมือขวา ร่ายคาถาเสริมพลังเปลวไฟแห่งความมืด ก่อนจะลืมตาขึ้น ในที่สุดก็สามารถมองเห็น…เปลวแสงที่ไม่สามารถตรวจพบได้ถ้าไม่ได้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืด เปลวแสงนั้นก็คือ ดวงวิญญาณของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
เสียงพึมพำทุ้มต่ำของดวงวิญญาณดังขึ้นเมื่อเขามองตรงไปที่ดวงวิญญาณ!
“จื่อเยว่ ภรรยาผู้เป็นที่รักของข้า เหตุใด…เจ้าถึงทำเช่นนี้…”
บทที่ 705 ไม่เกลียดนางหรือ
เสียงพึมพำของดวงวิญญาณเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ ไม่ได้แฝงแววความสงสัยหรือกังขาในคำถามที่ถามออกไปเลย ราวกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไม่ได้นึกสงสัยว่าเหตุใดจื่อเยว่ผู้เป็นภรรยาจึงทำเรื่องโหดร้ายกับเขาได้ลง เหมือนเขากำลังส่งผ่านความเศร้าโศกที่ความสัมพันธ์ต้องจบลงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก เสียงพึมพำของเขาเป็นดังสองมือที่มองไม่เห็นซึ่งพยายามเอื้อมสัมผัสใบหน้าและลูบผมตรงแก้มของภรรยาที่บัดนี้ไม่ได้อยู่เคียงข้างแต่อย่างใด
แม้จะได้รับบาดเจ็บหนักขนาดที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถนึกภาพตามได้ แต่ดูเหมือนเขาจะยังคงถวิลหาเพียงภรรยาเท่านั้น…
หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ก็พอจะนึกถึงสิ่งที่เคยอ่านเจอเมื่อตอนเป็นเด็กได้รางๆ ว่าหากถลำลึกเข้าไปในภวังค์รักแล้วจะต้องพบเจอกับอะไร
คำตอบมีอยู่มากมาย อาจจะเป็นความถวิลหา อาจเป็นหน้าที่ อาจจะเป็นความเจ็บปวด หรืออาจจะสูญเสียดวงวิญญาณไป
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาไม่ใช่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร แต่ดวงตาของชายหนุ่มกลับหม่นหมองด้วยอารมณ์มากมาย หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าที่ตนนึกเศร้าใจกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เป็นเพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย หรือเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตาที่ยังหลงเหลืออยู่กันแน่!
หวังเป่าเล่อไม่ได้เสียเวลาค้นหาว่ามีความรู้สึกอื่นใดแฝงอยู่ในเสียงพึมพำของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีก เขาไม่รู้ว่าพลังพิเศษของวิชาแห่งศาสตร์มืดสามารถทำให้ล่วงรู้ความรู้สึกนี้ได้ เลือดที่พ่นออกไปและคาถาที่ร่ายคงช่วยสนับสนุนด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มตัวสั่นในทันทีหลังจากที่เสียงพึมพำผ่านหูไป ไม่สามารถเห็นเปลวแสงของดวงวิญญาณราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่แท้จริงได้อีก สิ่งที่เห็นในตอนนี้มีเพียงดวงวิญญาณหม่นหมองที่เกิดขึ้นใหม่เท่านั้น
“จื่อเยว่หรือ” แสงลุ่มลึกฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาหันมามองข้างตัวทันที แม่นางน้อยปรากฏกายขึ้นข้างชายหนุ่ม ดวงตาของนางที่มองไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและขมขื่น
หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอะไร เขายืนอยู่เงียบๆ ข้างแม่นางน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็เริ่มสั่นเทิ้ม เหมือนจะพยายามสลัดวิชาแห่งศาสตร์มืดของชายหนุ่มให้หลุดไป ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีร้องคำราม ทันใดนั้นแม่นางน้อยก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “เป่าเล่อ ข้าขอยืมเมล็ดดอกบัวของเจ้าหน่อย”
ชายหนุ่มปลุกเมล็ดดูดกลืนโดยไม่ลังเลใจ ทำให้ดอกบัวสีเขียวกวัดแกว่งไปมา เมล็ดดอกบัวเมล็ดหนึ่งหล่นลงบนมือของหวังเป่าเล่อ
เมล็ดนั่นไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงภาพมายาโปร่งแสง หวังเป่าเล่อยื่นเมล็ดดอกบัวให้แม่นางน้อย
“ขอบคุณนะ” แม่นางน้อยกระซิบบอก นางหยิบเมล็ดดอกบัวไป ก่อนจะแปลงกายเป็นแสงพุ่งเข้ากลางหน้าผากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ครู่ต่อมาราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็หยุดดิ้น ค่อยๆ เงียบเสียงและหลับตาลง ราวกับว่าได้หลับใหลไป
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองอยู่เงียบๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป แสงจางๆ ก็ส่องสว่างออกจากตรงหน้าผากของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีพร้อมแม่นางน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งข้างชายหนุ่ม ใบหน้าของนางดูเหนื่อยอ่อน ความเศร้าโศกเมื่อครู่กลายเป็นความเดือดดาลที่แฝงไปด้วยความเสียใจ
“จื่อเยว่คือเพื่อนคนแรกของข้าในสำนักวังเต๋าไพศาล” แม่นางน้อยกระซิบขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน
“ในวันที่นางแต่งงานกับเฉินโม่เฟิงศิษย์ของประมุขโจว ข้าได้มอบวัตถุเวททรงพลังที่ได้มาจากบิดาเป็นของขวัญให้นาง
“เต๋าที่ทรงพลังที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลคือเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า บิดาของข้ากล่าวยกย่องมันไม่จบไม่สิ้นหลังจากที่ได้อ่านเจอ ประมุขโจวได้ฝึกกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า การจะส่งต่อกระบวนเวทนี้ให้คนอื่นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ในแต่ละรุ่นจะมีผู้สืบทอดเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น โดยที่ผู้สืบทอดจะต้องได้รับมอบเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของอาจารย์ผู้ส่งต่อวิชา…”
“เฉินโม่เฟิงเป็นศิษย์คนเดียวของประมุข เขาคือคนต่อไปที่จะได้ฝึกวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล!” แม่นางน้อยกล่าว จากนั้นก็หยุดชะงักไป เหมือนจะไม่สามารถพูดต่อได้อีก
“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ เจ้าอยากทดสอบดูว่าดอกบัวของเจ้าจะใช้ควบคุมเขาได้หรือเปล่าเช่นนั้นสินะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่ารบกวนการพักผ่อนของศิษย์พี่เฉินเลย…ข้าเหนื่อย…” เสียงของแม่นางน้อยเบาบางลงเรื่อยๆ ก่อนจะหายวับไปเมื่อนางกลับสู่หน้ากาก เหมือนว่านางจะเข้าสู่ภวังค์นิทราอีกครั้ง หรือไม่ก็สูญเสียความเป็นตนเองไปหลังจากครุ่นคิดถึงความโหดร้ายที่คนคนหนึ่งสามารถกระทำลงไปได้
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แม่นางน้อยเดาเป้าหมายของเขาถูก ชายหนุ่มตั้งใจจะตรวจดูความสัมพันธ์ระหว่างดอกบัวสีเขียวกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เพราะอยากรู้ว่าตนจะสามารถควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้หรือไม่ เขาไม่รู้เรื่องอดีตของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยทำอะไรลงไปตอนเข้าไปในหน้าผากของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ก็พอจะเดาได้บ้างจะสิ่งที่นางพูด
ตระกูลไม่รู้สิ้นบุกมา ก่อนที่ประมุขโจวจะพ่ายแพ้ในการสู้รบ เขาได้ส่งวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าให้เฉินโม่เฟิงศิษย์ของเขา เฉินโม่เฟิงต้องแบกภาระอันหนักอึ้งแต่กลับโดนเนื้อคู่แห่งเต๋าของตนหักหลัง สมองถูกชิงไปเพื่อสกัดเอาความทรงจำ หัวใจถูกควักออกไปเพื่อขโมยดวงวิญญาณ เต๋าโดนทำลายทิ้งทั้งยังถูกชิงพลังปราณไป ทั้งหมดนี้นำไปใช้หลอมเป็นเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณเพื่อที่เนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาจะได้ฝึกกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าได้ หวังเป่าเล่อจ้องมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังหลับใหลอยู่
วิธีการของจื่อเยว่นั้นแสนจะโหดร้ายป่าเถื่อน เหมือนนางจะพยายามกันไม่ให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตื่นขึ้น นางไม่รู้เลยว่าเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังนาง มีแต่ความรู้สึกถวิลหาเพียงเท่านั้น… ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงระหว่างเมล็ดดอกบัวและราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาถอนหายใจ ความสงสารในแววตาเลือนหายไป หวังเป่าเล่อหันกลับออกจากถ้ำ พริบตาต่อมาก็ไปลอยอยู่กลางอากาศด้านนอกถ้ำแล้ว
เหมือนว่าดอกบัวสีเขียวและราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะมีความเชื่อมโยงกัน หรือว่า…เขาจะเป็นเจ้าของคนก่อนของดอกบัวสีเขียว หรืออาจจะไม่ใช่…เจ้าของคนก่อนอาจจะเป็นประมุขโจว อาจารย์ของเขาก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่เอ่ยถามรบกวนแม่นางน้อยที่กำลังเศร้าอยู่ เขาทะยานออกไป เงยหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้า
เต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลหรือ ถึงจะเป็นกระบวนเวทอันทรงพลัง แต่ใครกันที่ยอมถึงขั้นทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง…ตัวข้าคงไม่ทำเช่นนั้นแน่ ชายหนุ่มหันมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่หลับใหลอยู่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังฐานทัพดวงจันทร์
สามวันผ่านไป หวังเป่าเล่อคอยควบคุมดูแลและตรวจสอบกระบวนการต่างๆ อย่างละเอียด เขายืนอยู่ในศูนย์บัญชาการของฐานทัพดวงจันทร์ จ้องมองข้อมูลนับไม่ถ้วนเลื่อนผ่านหน้าจอมากมายท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนที่กำลังยุ่งมือเป็นระวิง ในที่สุดชายหนุ่มก็สั่งการให้ออกเดินทาง!
“ออกเดินทางได้!”
เครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ทำงานเต็มกำลังเมื่อเสียงของหวังเป่าเล่อดังก้องขึ้น!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วเมื่อพลังงานจำนวนมากเริ่มมารวมตัวกันภายในดวงจันทร์หลังจากที่เครื่องยนต์ทำงาน พลังงานสะสมรวมมากขึ้น ดวงจันทร์เริ่มสั่นไหวและค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากวงโคจร แรงดึงดูดของโลกยังทำให้ดวงจันทร์อยู่กับที่ พวกเขาต้องการเวลามากกว่านี้ในการพาดวงจันทร์ออกจากวงโคจรปกติได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังต้องการเวลาให้ดวงจันทร์รวบรวมพลังงานมาต้านทานแรงดึงดูดของโลกอีกด้วย
“วงแหวนปราณดวงจันทร์เปิดทำงานสมบูรณ์ จากการจำลองข้อมูลพบว่าถึงจะใช้ความเร็วเต็มพิกัด ดวงจันทร์ก็ยังคงเสถียรภาพไว้ได้อยู่!”
“ตอนนี้รวบรวมพลังได้ร้อยละหกสิบ กำลังขึ้นไปถึงร้อยละเจ็ดสิบ!”
“ค่าทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขออนุญาตดำเนินการจุดระเบิดต้านทานวิญญาณสิบลูกเพื่อเพิ่มแรงผลัก!” หลายฝ่ายส่งรายงานเข้ามายังศูนย์บัญชาการอย่างต่อเนื่อง หวังเป่าเล่อพยักหน้ายินยอมให้จุดระเบิดต้านทานวิญญาณ
ในดวงจันทร์นั้นมีระเบิดต้านทานวิญญาณอยู่จำนวนมาก หวังเป่าเล่อเพิ่งจะทราบหลังจากได้สิทธิ์ควบคุมดวงจันทร์ เขาตระหนักว่าสหพันธรัฐพยายามแสร้งทำเป็นดูอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วคอยสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณเก็บเอาไว้อยู่หลายปี
ระเบิดต้านทานวิญญาณสิบลูกระเบิดขึ้นสร้างเสียงดังกึกก้อง ส่งแรงขับเคลื่อนดวงจันทร์ให้เพิ่มขึ้นไปเป็นร้อยละเก้าสิบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงปะทะ
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน รอการอนุมัติเพื่อผสานเข้ากับวงแหวนปราณระบบสุริยะเพื่อส่งแรงผลักครั้งสุดท้ายให้ดวงจันทร์!”
“อนุมัติ!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและตะโกนสั่งการ ดวงจันทร์และระบบสุริยะเริ่มทำการผสานรวมกัน เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ดวงจันทร์ก็สั่นไหว พลันหลุดออกจากแรงดึงดูดของโลก…จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังหมู่ดวงดารา!
การออกตัวของดวงจันทร์สร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงโลก ประชากรบนโลกเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงที่ที่เคยอยู่อีกต่อไป บัดนี้มันเริ่มลอยออกไปไกล ขนาดค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ!
ใครได้เห็นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด คลื่นทะเลปั่นป่วนเมื่อดวงจันทร์หลุดออกจากวงโคจร คลื่นยักษ์มากมายพลันก่อตัวขึ้น พร้อมจะถล่มผืนดินให้กลายเป็นดินแดนใต้ทะเล
โชคดีที่สหพันธรัฐเตรียมการรับมือเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เหล่าผู้ฝึกตนที่หลงเหลืออยู่บนโลกปลดปล่อยพลังต้านคลื่นยักษ์เต็มกำลัง ในที่สุดก็สามารถทำให้สงบได้ แต่ในหัวของเหล่าประชาชนยังคงจำภาพดวงจันทร์ลอยหายไปและคลื่นยักษ์ที่พลันก่อตัวขึ้นกะทันหันได้ไม่มีวันลืม!
สหพันธรัฐออกประกาศให้ทุกคนทราบถึงคนที่รับผิดชอบสั่งการฐานทัพดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อคือคนที่ควบคุมดวงจันทร์และคอยกำกับดูแลกระบวนการทั้งหมด!
ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในสหพันธรัฐ อาจจะเหนือกว่าต้วนมู่ฉีไปอีก!
ขณะที่ดวงจันทร์หลุดออกจากวงโคจรและมุ่งหน้าทะยานไปในห้วงอวกาศ ณ ที่แห่งใดสักแห่งบนดาวพุธ บนเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น โยวหรันที่นั่งสมาธิและซ่อมแซมชุดคลุมออกศึกที่ใช้ควบคุมเรือบินรบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ชุดคลุมออกศึกเบื้องหน้าเกือบจะฟื้นฟูสมบูรณ์ เขาเงยหน้าขึ้นมองดาวศุกร์ ดวงตาเป็นประกายดำมืด ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงสั่งการก็ระเบิดดังก้องไปทั่วสำนักวังเต๋าไพศาล!
“ทำลายดาวศุกร์ให้พินาศ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น