ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 70-81
ตอนที่ 70 ชุ่ยเอ๋อร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ดรุณีน้อยที่ชื่อ ‘ชุ่ยเอ๋อร์’ ร่ายคาถาแล้ว มือข้างหนึ่งพลันตบไปบนม้วนกระดาษ
เสียงดัง “ฟู่!” ไอหมอกสีเหลืองจำนวนมากนำพาอักขระหลากสีพุ่งออกมาจากม้วนกระดาษ แล้วลอยขึ้นไปสูงสิบกว่าจั้ง หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ เกาะตัวกันแล้วก็กลายเป็นเรือยักษ์สีเหลืองอ่อนลำหนึ่ง
เรือลำนี้ดูเหมือนจะใหญ่มาก แต่ดูพร่ามัวราวกับว่าไม่มีอยู่จริง
“เอาล่ะ ศิษย์น้องทั้งหลายขึ้นไปได้แล้ว” ศิษย์พี่เฉียนกลับไม่สนใจอาการตกตะลึงของคนอื่นๆ และเหาะขึ้นเรือสายหมอกไปกับดรุณีน้อยชุดเขียว
คนอื่นๆ สบตากันสักครู่แล้วก็รีบเหาะขึ้นไป
“เอ๊ะ! ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้ว!” พอเหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรเหาะขึ้นไปบนเรือสายหมอกแล้วเดินไม่กี่ก้าวก็เห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกล พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับศิษย์พี่เหลยที่นี่” ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามกล่าวแล้ว หลิ่วหมิงก็ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวออกไป
“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์น้องไป๋เป็นศิษย์ของอาจารย์อากุยแห่งเขาเก้าทารกใช่ไหม เจ้าไม่ยอมฝึกฝนอยู่ในนิกาย แต่กลับมีเวลาไปนั่นนู่นนี่ ไม่กลัวว่าการฝึกฝนของตัวเองจะล่าช้าหรืออย่างไร!” เหลยเจิ้นกล่าวด้วยตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักชื่อปลอมของหลิ่วหมิง และเหมือนจะเข้าใจเรื่องราวอื่นๆ ของหลิ่วหมิงดี
“อ้อ! ที่แท้ศิษย์พี่เหลยก็รู้จักแซ่ของข้า ข้าต้องไปตลาดเว่ยโจวเพื่อทำธุระสำคัญบางอย่าง ถึงแม้จะเปลืองเวลาก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงแต่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ที่หอดำเนินการมี ‘คนบ้าภารกิจ’ ผู้หนึ่ง ทำภารกิจได้สำเร็จสี่ห้าสิบภารกิจภายในเวลาไม่กี่เดือน ว่ากันว่าเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายไม่นาน เหมือนจะแซ่ไป๋ด้วย คงไม่ใช่คนเดียวกันกับศิษย์พี่หรอกนะ!” หญิงรูปร่างอรชรที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ! ศิษย์ใหม่ที่เข้านิกายถ้าไม่มีคนแซ่ไป๋คนที่สองแล้วล่ะก็คงเป็นข้าแล้วล่ะ ช่วงนี้ข้าค่อนข้างขาดแคลนเลยต้องทำภารกิจให้มากหน่อย เพื่อแลกกับหินจิตวิญญาณ” เห็นฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะไม่มีเจตนาร้ายอะไร หลิ่วหมิงก็ได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“คือศิษย์พี่ไป๋จริงๆ ด้วย! จุ๊ๆ! ข้าได้ยินศิษย์พี่บางคนบอกว่า ภารกิจที่ศิษย์พี่ไป๋ทำสำเร็จนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่แม้แต่ศิษย์เก่าบางคนยังบอกว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าท่านกลับทำมันได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว หรือว่าท่านมีเคล็ดลับอะไร? ใช่สิ! น้องชื่อโอวหยางเฟย เป็นศิษย์สาขากลลับสวรรค์เช่นเดียวกัน” ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรกล่าวด้วยความแปลกใจ ขณะเดียวกันก็แนะนำตัวพร้อมกับยิ้มหวานออกมา
“ศิษย์น้องโอวหยางล้อข้าเล่นแล้ว ภารกิจของนิกายเราจะมีเคล็ดลับอะไร ข้าก็แค่ใช้เวลามากหน่อยบวกกับโชคค่อนข้างดี ถึงทำภารกิจได้สำเร็จมากมายเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
“ฮึ! คำพูดเช่นนี้เจ้าคิดว่าข้าเหลยเจิ้นจะเชื่อเจ้าหรือ ถ้าหากมีโอกาสล่ะก็เรามาแลกมือกันดูบ้าง ข้าคิดว่าพลังของศิษย์น้องไป๋ก็คงจะทำให้ข้าตื่นตะลึงกว่าที่คาดคิดไว้มาก” ตาทั้งสองของเหลยเจิ้นมองหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่เหลยล้อข้าเล่นแล้ว ท่านมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนี ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้อย่างไร” ถึงหลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา
“ไม่เคยแลกมือกัน เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า! ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าเจ้าเคยปะมือกับคนของหุบเขาเก้าช่อง ทั้งยังเอาชนะศิษย์ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกนะ” เหลยเจิ้นฟังคำพูดนี้แล้วก็ถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ศิษย์พี่เหลยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยินเรื่องนี้ ถึงกับรู้สึกอึ้งไปเลยทีเดียว
“ดูท่าศิษย์พี่ไป๋คงยังไม่รู้ เรื่องที่เจ้าเอาชนะศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของหุบเขาเก้าช่องได้นั้น ถูกศิษย์พี่เขาเก้าทารกปล่อยข่าวออกมานานแล้ว ทำให้คนในสาขาของพวกเจ้ามีหน้ามีหน้ามีตาไม่น้อย กอปรกับที่ช่วงนี้กวาดภารกิจของหอดำเนินการไปมากมาย ชื่อเสียงของเจ้าในตอนนี้ดังไปทั่วนิกายแล้ว” โอวหยางเฟยหัวเราะเบาๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา
“ถ้าตอนนี้ศิษย์น้องไม่ยอมแลกมือกับข้าล่ะก็ งั้นก็รอการประลองอีกปีครึ่งล่ะกัน พอถึงเวลาเจ้าคงจะเข้าร่วมการประลองนี้!” เหลยเจิ้นจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าเป็นการประลองใหญ่ในนิกายล่ะก็ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ว่าพอถึงเวลาก็ไม่แน่ว่าจะได้เจอกับศิษย์พี่เหลย” หลิ่วหมิงได้แต่ฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ไม่เป็นไร แค่ข้าได้เห็นเจ้าลงมือก็รู้ว่าพลังของเจ้าเป็นเช่นไร หวังว่าพอถึงเวลานั้นคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” เหลยเจิ้นกล่าวอย่างองอาจแล้วก็จากไป
โอวหยางเฟย ยิ้มแสดงการขอโทษกับหลิ่วหมิงแล้วก็ตามเหลยเจิ้นไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
แต่ในใจของเขากลับมีความประทับใจที่ดีต่อเหลยเจิ้น
ถึงแม้คนผู้นี้จะดูหยิ่งยโสมาก ชอบการต่อสู้ แต่กมลสันดานเหมือนจะเป็นคนเรียบง่าย
คงเป็นเพราะเหตุนี้ เขากลลับสวรรค์ถึงยอมให้โอวหยางเฟยคอยติดตามเป็นเพื่อน
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น ม่านแสงจางๆ ได้ลอยขึ้นคลุมเรือทั้งลำเพื่อปกป้องผู้คนที่อยู่ในนั้น หลังจากที่มันสั่นไหวก็พาคนทั้งหมดเหาะออกไป
หลิ่วหมิงหามุมที่ไม่มีคนอยู่แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น และมองออกไปนอกม่านแสง ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความเร็วของเรือสายหมอก
เรือสายหมอกนี้ถึงแม้จะเร็วกว่าวิชาทะยานเวหามาก แต่เทียบกับเรือเหาะหยกจิตวิญญาณแล้วยังห่างชั้นกันมากนัก
ดูเหมือนคงจะไม่ใช่อาวุธเหาะจิตวิญญาณแต่อย่างใด แต่กลับคล้ายกับใช้วิชาบางอย่างเชื่อมผนึกอาวุธอาญาสิทธิ์พิเศษสร้างขึ้นมา
หลิ่วหมิงวิเคราะห์ถึงความลับของเรือสายหมอกนี้ไปด้วย ใช้มือลูบถุงผ้าเล็กๆ ที่อยู่ในแขนเสื้อไปด้วย
ในถุงผ้ามีผลึกหินใสแค่สามสิบกว่าก้อน มันคือผลึกหินระดับกลางที่เขาแลกมาจากนิกาย
ถ้าต้องพกหินระดับต่ำอย่างหินจิตวิญญาณสามพันกว่าก้อนล่ะก็ เกรงว่าเขาต้องแบกถุงใบใหญ่แล้ว
เหตุที่ครั้งนี้ที่เขายอมใช้แต้มคุณูปการเกือบร้อยแต้มเพื่อไปตลาดเว่ยโจวนั้น ก็เพื่อจะใช้หินจิตวิญญาณเหล่านี้ไปแลกกับโอสถเพิ่มพลังเวทจำนวนหนึ่ง
จากระยะเวลาที่ฟองอากาศลึกลับระเบิดสองครั้งนั้นก็เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปี
เขาจะอาศัยจังหวะก่อนที่มันจะระเบิดนี้เพิ่มระดับการฝึกฝนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ตามข้อมูลที่เขารู้มาจากปากคนอื่น หินจิตวิญญาณมากขนาดนี้ ถ้าไม่สนเรื่องคุณภาพของเม็ดโอสถล่ะก็คงจะซื้อมาได้ไม่น้อย
แต่จะว่าไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกฝนแล้วคุณภาพของเม็ดโอสถก็เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เม็ดโอสถที่คุณภาพสูงในการเพิ่มพลังเวทนั้น เมื่อทานแล้วไม่เพียงแต่จะทำให้พลังเวทเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และพลังในโอสถก็บริสุทธิ์ด้วย สิ่งเจือปนก็ค่อนข้างน้อย ทำให้ร่างกายที่ต่อต้านพลังโอสถของผู้ทานลดน้อยลง
ร่างกายผู้ฝึกฝนที่ต่อต้านพลังเม็ดโอสถบางอย่างมากเกินไป ต่อให้จะทานเม็ดโอสถประเภทเดียวกันก็ไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้มาก
และระดับของเม็ดโอสถยิ่งสูงก็จะยิ่งมีคุณภาพสูงไปด้วย
ผู้ฝึกฝนที่อยู่ในระดับต่ำ อาจจะใช้เม็ดโอสถเพียงไม่กี่เม็ดก็เพียงพอที่จะฝึกฝนได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นได้แล้ว และพอถึงระดับอาจารย์จิตวิญญาณหรือระดับที่สูงขึ้น ไม่แน่ว่าทานไปหลายสิบหลายร้อยเม็ด ก็อาจจะฝึกฝนก้าวหน้าได้แค่ขั้นเล็กๆ ก็ได้
ถึงตอนนี้แล้ว คุณภาพของเม็ดโอสถยิ่งสูงก็ยิ่งทานเม็ดโอสถประเภทนี้ได้มากยิ่งขึ้น พลังเวทก็จะเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้สำหรับเม็ดโอสถที่มีผลลัพธ์พิเศษบางอย่างนั้น คุณภาพยิ่งสูงผลลัพธ์ก็ยิ่งทวีคูณ
ด้วยเหตุนี้ เม็ดโอสถคุณภาพสูงจะมีราคาต่างกันกับเม็ดโอสถคุณภาพทั่วไปหลายเท่าหรืออาจจะสิบกว่าเท่า มันเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในโลกของการฝึกฝน
แต่ทั้งหมดเหล่านี้ มันยังห่างไกลสำหรับเขาในตอนนี้มากนัก
ตอนนี้เขาเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง ปัญหาเหล่านี้ไม่ค่อยสำคัญกับเขามากนัก
หลิ่วหมิงมองออกไปนอกเรือสายหมอก พร้อมกับถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
อยู่ๆ เขารู้สึกเอะใจ พลันหันตัวกลับมา
ห่างออกไปจั้งกว่าๆ ไม่รู้ว่าดรุณีน้อยที่ชื่อว่า ‘ชุ่ยเอ๋อร์’ ผู้นั้น โผล่ออกมาที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งยังมองเขาตาไม่กระพริบ ไม่สิ! ต้องบอกว่ามองถุงหนังสีดำบนเอวเขาถึงจะถูก
“ศิษย์พี่มีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?” หลิ่วหมิงถูกฝ่ายตรงข้ามมองจนรู้สึกกลัวอยู่ในใจ จึงฝืนยิ้มถามออกไป
“กลิ่นแบบนี้ไม่ผิดแน่ มันคือถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณจริงๆ ศิษย์น้องผู้นี้ พวกเรามาคุยกันสักหน่อยดีไหม เจ้าขายถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบนี้ให้ข้าเถอะ?” ดรุณีน้อยเสื้อเขียวได้ยิน ก็ละสายตาจากถุงหนังอย่างอาลัยอาวรณ์ แต่ก็รีบกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เรื่องนี้เกรงว่าคงจะต้องทำให้ศิษย์พี่ผิดหวังแล้วล่ะ ของสิ่งนี้ข้าไม่ขายหรอก” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ก็ส่ายหัวกล่าวออกไปในทันที
“ศิษย์น้องอย่ากล่าวยืนกรานเช่นนี้สิ ข้าจะใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับสูงสุดชิ้นหนึ่งมาแลกเป็นไง….ถ้าไม่ได้จริงๆ สองชิ้นก็ได้!” ดรุณีน้อยชุดเขียวกล่าว
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย
เจ้าถุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณนี้เกือบจะเทียบเท่าอาวุธจิตวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามคิดที่จะใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ชิ้นสองชิ้นมาแลก นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าคิดที่จะแย่งมันไปอย่างนั้นหรือ!
แต่ดูจากใบหน้าที่ยิ้มกริ่มดูน่ารักของดรุณีน้อยชุดเขียวผู้นี้แล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่คนแบบนั้น
หลิ่วหมิงเริ่มระวังตัวขึ้นมา และยังส่ายศีรษะติดๆ กัน
ดรุณีน้อยชุดเขียวกลับเพิ่มราคาเป็นอาวุธอาญาสิทธิ์สามชิ้นอย่างรวดเร็ว ยังคงต่อรองอย่างอดทน
“ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบมานี่อีก”
ขณะนั้นเอง เสียงเยือกเย็นก็ดังมาจากอีกฝั่งของเรือ
หลิ่วหมิงแหงนมองไปเห็นศิษย์พี่เฉียนผู้นั้นกำลังเดินเข้ามา และกล่าวกลับดรุณีน้อยชุดเขียวด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก
“เอ๋! ทำไมศิษย์พี่ถึงไม่ควบคุมเรือ เดี๋ยวจะพาเหาะไปผิดทางนะ” พอดรุณีน้อยชุดเขียวเห็นศิษย์พี่เฉียนเดินเข้ามา ก็รีบเดินไปหาอย่างกับไฟลนก้น และกล่าวด้วยรอยยิ้มสู้
“ฮึ! ข้าให้ลิ่วจู๋ช่วยข้าคุมเรือช่วยคราว แต่ดูเหมือนนิสัยเดิมๆ ของเจ้าโผล่มาอีกแล้ว พอเห็นสิ่งของที่ชอบก็ไม่ยอมไปไหนเอาแต่ตามตื้อจะเอาให้ได้ ศิษย์น้องผู้นี้อย่าถือสาเลยนะ เจ้าหนูชุ่ยเอ๋อร์นี้ไม่ได้เจตนาร้ายอะไรเพียงแค่มีนิสัยดื้อด้านเล็กน้อย” ศิษย์พี่เฉียนตำหนิดรุณีน้อยไปสองประโยค แล้วหันกลับมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าคลี่คลาย
“ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ชุ่ยเอ๋อร์ก็ยังไม่ได้ทำเรื่องเกินเลยอะไร” ต่อหน้าศิษย์แกนนำอันดับห้าของนิกายปีศาจผู้นี้ หลิ่วหมิงย่อมกล่าวอย่างไม่กล้าเมินเฉย
“ใช่สิ! ศิษย์น้องแซ่อะไร สังกัดสาขาไหน!” ศิษย์พี่เฉียนพยักหน้า แต่สายตาก็กวาดมองไปยังถุงหนังบนเอวเขาชั่วครู่แล้วถามออกมา
“ข้าน้อยแซ่ไป๋ สังกัดเขาเก้าทารก!” หลิ่วหมิงไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด
“อ๋อ! สาขาของอาจารย์อากุย ดูเหมือนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบนี้คงจะไม่ใช่สิ่งที่นิกายมอบให้ ข้าจะแนะนำให้สักอย่างนะ ถ้าเจ้าไม่อยากให้คนอื่นจำสิ่งของชิ้นนี้ได้ ทางที่ดีที่สุดให้ใช้สีแดงทาถูสักรอบ เช่นนี้แล้ว จะมีแค่ไม่กี่คนที่จำของสิ่งนี้ได้ ในตลาดเว่ยโจวนั้นมีผู้คนมากมายหลากหลายรูปแบบควรจะระวังไว้บ้าง” ศิษย์พี่เฉียนกล่าวราบเรียบ
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ ศิษย์น้องรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร” หลิ่วหมิงตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบกล่าวขอบคุณออกมา
ศิษย์พี่เฉียนพยักหน้าแล้วก็พาดรุณีน้อยชุดเขียวที่ดูเหมือนจะอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมากเดินจากไป
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าไปคิดดูอีกสักหน่อย ราคายังสามารถต่อได้นะ”
พลันหูของเขาได้ยินเสียงของชุ่ยเอ๋อร์ที่ดังเข้ามา ทำให้เขาพูดไม่ออกเลยทีเดียว
……………………………………….
ตอนที่ 71 ขายกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ช่วงเวลาหลายวันนั้น หลิ่วหมิงนั่งกำหนดลมหายใจเข้าฌานอยู่บนเรือสายหมอก และก็ไม่มีคนอื่นๆ มาหาเขาอีก
แต่เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียด กลับค้นพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรือสายหมอกนี้จะค่อยๆ จางลง แน่นอนการเคลื่อนของมันก็ช้าลงมาก
ห้าวันผ่านไป ในที่สุดเรือสายหมอกก็เหาะมาถึงเป้าหมาย ตลาดเว่ยโจวตั้งอยู่บริเวณหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีเส้นทางเข้าออกได้สะดวกหลายเส้นทาง
หุบเขานี้มีเหมือนจะขนาดกว้างสิบกว่าลี้ มองลงมาจากฟ้าไกลๆ มีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ จำนวนมากตั้งเรียงเป็นระเบียบ ขณะเดียวกันมีเงาร่างคนที่ดูเป็นจุดสีดำจำนวนมากเดินเข้าออกจากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้อยู่ตลอด
เสียงดัง “ฟู่!”
เรือสายหมอกร่อนลงบนพื้นที่ว่างที่ห่างจากหุบเขาหลายลี้จากนั้นก็หายไปกับอากาศ
“พวกเจ้าฟังให้ดีนะ ตลาดเว่ยโจวเป็นหนึ่งในสามตลาดใหญ่ที่นิกายต่างๆ ในแคว้นของเราร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา ดังนั้นไม่ว่าศิษย์นิกายไหนก็ไม่มีอำนาจพิเศษในที่แห่งนี้ และก็ห้ามฝ่าฝืนกฎของตลาด หนึ่งในกฎที่สำคัญที่สุดก็คือใครก็ไม่สามารถต่อสู้หรือใช้วิชาเหินเวหาภายในระยะสิบลี้จากพื้นที่โดยรอบตลาดรวมถึงการขี่อาวุธเหาะทุกชนิด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกจับและลงโทษอย่างหนัก ใช่สิ! แต่ละนิกายจะส่งอาจารย์จิตวิญญาณหนึ่งคนมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแล พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะโชคดีรอดไปได้ อาจารย์จิตวิญญาณจากนิกายเราที่มาดูแลที่นี่คืออาจารย์อาหลิวจากสาขายันต์มหาเวท ถ้าพวกเจ้ามีโอกาสล่ะก็อาจจะได้เจอท่าน พวกเจ้าส่วนมากต่างก็มาตลาดรวมขนาดใหญ่นี้เป็นครั้งแรกคงจะได้เปิดโลกทรรศน์ไม่น้อย แต่ถ้าหากจะซื้อขายอะไรล่ะก็จะต้องตรวจสอบให้ละเอียด ที่นี่มีคนปลิ้นปล้อนเยอะมาก ในนั้นมีผู้ฝึกฝนอิสระอยู่ไม่น้อย และยังมีศิษย์นิกายอื่นจากแคว้นเพื่อนบ้านหลายแคว้น พวกเขาส่วนมากเป็นศิษย์จิตวิญญาณแต่ก็อาจจะมีอาจารย์จิตวิญญาณปรากฏอยู่บ้าง ถ้าหากตนเองตาไม่ถึงแล้วถูกหลอกล่ะก็ทางนิกายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เอาล่ะ! เรื่องที่ควรพูดข้าก็ได้พูดหมดแล้ว สามวันให้หลังข้าจะกลับมารับพวกเจ้าที่นี่เพื่อกลับนิกาย ตอนนี้ศิษย์น้องทุกท่านสามารถไปได้แล้ว”
พอศิษย์พี่เฉียนกล่าวจบ ก็พาดรุณีน้อยชุดเขียวเดินไปยังทางเข้าตรงหุบเขา
คนอื่นๆ มองหน้ากันสักพัก ผู้ที่ใจร้อนก็รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว และก็มีคนรวมกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคนเพื่อพูดคุยกันก่อน
เหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรพูดคุยกันแค่สองประโยค แล้วก็เดินไปยังหุบเขาเช่นกัน
หลิ่วหมิงคิดจะเดินคนเดียวตั้งแต่แรกอยู่แล้วย่อมไม่หน่วงเหนี่ยวอะไรอีก หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปอย่างไม่รีบร้อน
เวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็มาถึงทางเข้าตรงหุบเขา เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจลอยมาจากที่ไกลๆ
ตาเขาเป็นประกายเล็กน้อยแล้วเท้าทั้งสองก็ก้าวต่อไม่หยุด จนเดินมาถึงถนนหินที่สะอาดเรียบร้อยเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
บริเวณถนนทั้งสองด้านคือสิ่งก่อสร้างที่ใช้หินมาก่อเป็นชั้นๆ สิ่งก่อสร้างที่สูงคือหอที่สูงสิบว่าจั้ง สิ่งก่อสร้างที่เตี้ยจะเป็นบ้านเดี่ยวที่สูงไม่เกินจั้งกว่า ดูลักษณะแล้วล้วนเป็นร้านค้าที่ผู้ฝึกฝนเปิดขึ้นมา
ผู้ฝึกฝนจำนวนมากมีการแต่งกายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เดินอยู่บนถนน บ้างก็เดินเข้าออกสิ่งก่อสร้างบนถนนทั้งสองข้าง
และก่อนหน้านั้นเขายังสามารถเห็นศิษย์นิกายเดียวกันจากที่ไกลๆ หลายคน แต่แค่พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วไม่รู้ว่าไปตรงกันบ้าง
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงยิ่งไม่รีบร้อนค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปตามถนน สายตาสังเกตดูร้านค้าสองข้างทางไม่หยุด
ผ่านไปไม่นานเขาก็พอจะเริ่มเข้าใจบ้าง
ร้านค้าเหล่านี้ถึงแม้จะมีจำนวนไม่น้อยแต่ส่วนมากก็แบ่งได้ไม่กี่ประเภท
บ้างก็เป็นร้านค้าที่ขายและรับซื้อวัสดุต่างๆ โดยเฉพาะ และมีร้านที่ขายโอสถสำเร็จรูปหรือยันต์โดยเฉพาะด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีร้านที่ขายหรือสร้างอาวุธอาญาสิทธิ์หลากหลายชนิด แต่หน้าร้านของร้านเหล่านั้นค่อนข้างกว้างส่วนมากจะทำทุกอย่าง แม้กระทั่งมีร้านหนึ่งติดป้ายเชิญชวนว่าข้างในมีอาวุธจิตวิญญาณขาย ทำให้หลิ่วหมิงหยุดชะงักหน้าร้านอย่างอดไม่ได้ แต่สักครู่ก็ต้องจากไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น
ถึงแม้เขาไม่ต้องถามก็รู้ว่าอาวุธจิตวิญญาณที่ขายในที่แบบนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าอาวุธมันมีปัญหาในตัวก็ต้องมีราคาสูงเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้
หลิ่วหมิงสังเกตดูร้านค้าไปด้วย และเดินเข้าออกหลายร้านอยู่ตลอดเพื่อสอบถามราคาสิ่งของต่างๆ
พอเขาดูร้านตรงถนนเส้นนี้หมดแล้ว ก็เลี้ยวไปยังถนนอีกเส้นที่อยู่บริเวณนั้น
สองชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงเดินออกจากถนนสุดสายเส้นหนึ่ง ลานกว้างหลายหมู่ปรากฏต่อหน้าเขา คิดไม่ถึงว่าจะมีคนจำนวนมากตั้งแผงบนพื้นในที่แห่งนี้ มันไม่แตกต่างจากตลาดสีเทาในนิกายปีศาจมากนัก
ภายใต้ความรู้สึกแปลกใจ หลิ่วหมิงเดินดูแผงเหล่านี้อย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับค้นพบว่ามีของดีๆ ขายจำนวนไม่น้อย แต่พอสอบถามราคาแล้วก็ได้แต่แบะปากส่ายหัวเดินออกมา
เมื่อเขาเดินมาถึงตรงหน้าชายวัยกลางคนหนึ่งที่ดูจากสีหน้าเหมือนว่ากำลังป่วยอยู่ แต่เขากลับสะดุดตากับคัมภีร์หนังสัตว์โบราณเล่มหนึ่งที่วางอยู่ด้านหน้า และอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาพลิกดูซักพักแล้วถึงเอ่ยปากถาม
“รวมวิธีปรุงโอสถพื้นฐานเล่มนี้ขายอย่างไร?”
“หนังสือเล่มนี้นอกจากจะแนะนำความรู้พื้นฐานในการปรุงโอสถแล้ว ยังรวมสูตรปรุงโอสถพื้นฐานไว้ในนั้นด้วย ราคาเป็นหินจิตวิญญาณห้าสิบก้อน ไม่มีราคาอื่นแล้ว” ชายวัยกลางคนเงยหน้ามองหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวอย่างเฉื่อยชา
“หินจิตวิญญาณห้าสิบก้อน”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายศีรษะแล้ววางมันลงไป แต่สายตามองไปยังสิ่งของกองหนึ่งที่อยู่บนแผงแล้วก็อดถามออกมาไม่ได้
“สิ่งของพวกนี้ล่ะ!”
“อุปกรณ์ปรุงยาระดับต่ำครบชุด ชุดหนึ่งใช้หินจิตวิญญาณสามร้อยก้อน”
ชายวัยกลางคนมองสิ่งของค่อนข้างเก่าบนนั้นที่มีหม้อปรุงยาหนึ่งใบ โถยาหนึ่งใบ และสากหนึ่งอัน แล้วตอบอย่างเมินเฉย
“ถ้าให้หนังสือเล่มนี้เป็นของแถมล่ะก็ข้าจะซื้อสิ่งของชุดนี่” ครั้งหลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล
สิ่งของเช่นเดียวกันนี้ เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งมันขายห้าร้อยหินจิตวิญญาณ และดูจากสิ่งของเหล่านี้ที่แฝงด้วยกลิ่นไอของโอสถแล้ว คงจะเป็นอุปกรณ์ปรุงยาอย่างแน่นอน
“แถมให้เจ้า! ช่างเถอะ เห็นแก่ที่วันนี้เจ้าเป็นลูกค้าคนแรก ข้าจะยอมเสียเปรียบเจ้า” ชายวัยกลางคนได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ เงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีกครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“หลิ่วหมิงดีใจเป็นอย่างมาก หยิบหินจิตวิญญาณใสๆ ออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้สามก้อน
ชายวัยกลางคนรับไปในทันที และตรวจดูคุณภาพของหินจิตวิญญาณเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้า
หลิ่วหมิงจึงเก็บหนังสือเล่มนั้นกับอุปกรณ์ปรุงโอสถขึ้นมา แล้วไปจากลานกว้างแห่งนั้น
ตลาดทั้งตลาดค่อนข้างใหญ่มาก เกือบจะเท่าๆ กับเมืองขนาดกลางเมืองหนึ่ง
หลิ่วหมิงใช้เวลาทั้งหมดไปหนึ่งวัน ก็เดินดูร้านค้าได้แค่กว่าครึ่งหนึ่งของตลาดเท่านั้น
ดังนั้นพอฟ้ามืดแล้ว เขาก็ไปหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่สร้างมาเพื่อให้คนได้พักผ่อนโดยเฉพาะแล้วก็นอนไปหนึ่งคืน เช้าวันที่สองถึงได้สำรวจดูถนนเส้นที่เหลือ
ถึงแม้ว่าร้านค้ามากมายต่างก็มีโอสถเพิ่มพลังเวทออกมาขาย แต่เขามีหินจิตวิญญาณอยู่ในมือแค่เล็กน้อย ทั้งยังคิดที่จะขายสิ่งของบางอย่าง ย่อมต้องหาสถานที่ที่ให้ราคาค่อนข้างสูงหน่อย ดูๆ แล้วต้องเป็นร้านค้าที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ถึงจะขายได้
ตอนเที่ยง เมื่อเขาสำรวจดูร้านค้าร้านสุดท้ายเสร็จแล้ว เขาก็ตัดสินใจได้
ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาเดินเข้าไปหอสองชั้นมี่ป้ายแขวนว่า “เรือนร้อยสมบัติ”
ร้านค้านี้นับว่าเป็นร้านค้าระดับกลางในหุบเขานี้ ข้างในมีชั้นไม้หลายชั้นเรียงกันเป็นแถว บนนั้นมีสิ่งของมากมายวางอยู่ และมีพนักงานสองคนกำลังแนะนำสิ่งของในร้านให้กับลูกค้า ยังมีผู้อาวุโสผู้หนึ่งที่ดูเหมือนเป็นผู้ดูแลร้านนั่งอยู่หลังโต๊ะ
ในหอนี้ดูเหมือนจะค้าขายได้ดีเป็นพิเศษ มีผู้ฝึกฝนทยอยเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปได้สักครู่ ถึงหาโอกาสที่ไม่มีคนเดินไปยังหน้าโต๊ะได้ เขานำตลับใบหนึ่งวางลงข้างบนโต๊ะ แล้วกล่าวกับผู้อาวุโส
“ท่านช่วยข้าตีราคาสิ่งของในนี้หน่อยว่าได้เหรียญจิตวิญญาณกี่ก้อน จากนั้นพวกเราค่อยคุยเรื่องอื่นๆ กัน”
ผู้อาวุโสได้ยินกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับพยักหน้ากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ได้ สหายโปรดรอสักครู่ ข้าจะดูมันซะก่อน” ระหว่างที่พูดอยู่ ผู้อาวุโสก็เปิดตลับออก เขาเขม้นตามองไปยังสิ่งของในนั้น แต่สีหน้าเขาพลันค่อยๆ เปลี่ยนขึ้นมา
“กลิ่นไอแข็งแกร่งมาก นี่คือ…” ผู้อาวุโสตกใจจนมือไม้สั่น คีบสิ่งของสีขาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองขึ้นมา มันคือเศษกระดูกของหนูยักษ์ขนเขียวตัวนั้น
“ขอถามสหายหน่อย สิ่งของนี้คือชิ้นส่วนของปีศาจอสูรชนิดใด?” ผู้อาวุโสสมกับเป็นเถ้าแก่ของที่นี้ พอดูก็มองออกว่ามันคืออะไร
“คือชิ้นส่วนของปีศาจอสูรหนูยักษ์ตนหนึ่ง” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ชิ้นส่วนปีศาจหนู นี้ก็ออกจะแปลกประหลาดไปหน่อย โดยทั่วไปปีศาจอสูรจำพวกหนูมีน้อยมากที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงได้ สหายรอสักครู่ข้าจะวัดดูความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันก่อน” ผู้อาวุโสได้ยินก็กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าฉงน
หลิ่วหมิงย่อมไม่คัดค้านแต่อย่างใด เขาก็แปลกใจเหมือนกันว่าหนูยักษ์ขนเขียวตนนั้นแท้ที่จริงแล้วอยู่ในระดับใด
ผู้อาวุโสก้มตัวลงหยิบแผ่นค่ายกลสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาแผ่นหนึ่ง และนำเศษกระดูกวางลงบนนั้นแล้วทำท่ามือด้วยมือเดียว
ครู่ต่อมา ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ จากแผ่นค่ายกล ขณะเดียวกันก็มีอักขระที่ไม่รู้จัดลอยออกมาเปลี่ยนรูปร่างอยู่ไม่หยุด
“ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลาย!” ครู่ต่อมาผู้อาวุโสก็หลุดปากออกมา ดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นแล้วรีบกระตุ้นแผ่นค่ายกลอีกรอบ แต่อักขระบนค่ายกลยังคงเหมือนเดิมไม่ผิด
“สหายรอสักครู่ สิ่งของเหล่านี้มีมูลค่ามาก เกรงว่าข้าก็ไม่อาจตัดสินได้ คงต้องให้เจ้าของร้านมาคุยด้วยตนเอง สหายเก็บของสิ่งนี้ให้ดี แล้วไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถอะ” ผู้อาวุโสถอนหายใจยาวแล้วรีบกล่าวกับหลิ่วหมิง
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณท่านล่วงหน้าแล้วกัน” เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลาย ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
ตอนแรกเขาคาดว่าอย่างสูงก็คงไม่เกินระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น นี้ไม่ใช่เท่ากับว่าหนูยักษ์ขนเขียวตนนั้นเป็นปีศาจอสูรหนูชั้นสูงที่อยู่ห่างไม่ไกลจากระดับผลึกจิตวิญญาณแล้ว
มันห่างกว่าที่เขาคาดไว้ตั้งสองขั้น มูลค่าของเศษกระดูกเหล่านั้นย่อมสูงกว่าที่เขาคาดไว้มาก มิน่าล่ะ! เลือดเนื้อหนูยักษ์ที่เขาทานเข้าไปถึงได้ได้ผลลัพธ์ได้ถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะทานโดยไม่ได้นำไปปรุงเป็นโอสถก็ยังทำให้พลังเวทของเขามาถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้
หญิงผู้ชื่อเย่เทียนเหมยผู้นั้นสามารถสังหารปีศาจตนนี้ได้ จะต้องอยู่ระดับผลึกจิตวิญญาณเหมือนกันกับอาจารย์ปู่ในนิกายผู้นั้นอย่างแน่นอน
พอหลิ่วหมิงนึกถึงใบหน้างดงามของหญิงผู้นั้น ทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ
……………………………………….
ตอนที่ 72 ผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หรือว่าถึงแม้หญิงนางนั้นจะดูสาว แต่แท้ที่จริงแล้วอาจเป็นยายแก่ที่อายุร้อยปีแล้ว!
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วก็ละความคิดออกจากสมอง แล้วก็ตามผู้อาวุโสเข้าไปยังห้องเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างงดงามและเรียบๆ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสวยนางหนึ่งยกน้ำชาที่โชยกลิ่นหอมเตะจมูกมาให้หนึ่งถ้วย
จากนั้นผู้อาวุโสก็ออกไปจากห้องไปหาเจ้าของร้านที่เขากล่าวถึง
ผ่านไปสักครู่ หลังจากมีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้อง ผู้อาวุโสได้พาหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงเดินเข้ามา
หญิงนางนี้รูปร่างหน้าตาดูธรรมดา แต่เมื่อมองดูดีๆ แล้วกลับให้ความรู้สึกสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ผู้อาวุโสได้แนะนำหญิงนางนี้ขึ้น
“สหาย ผู้นี้คือฮูหยินอวี้ของร้านนี้ สหายผู้นี้ก็คือเจ้าของกระดูกปีศาจที่ข้าพูดถึงผู้นั้น”
“ฮูหยินอวี้”
หลิ่วหมิงลุกขึ้นคารวะ
“สหายผู้นี้ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่ทราบว่าสหายนำกระดูกเหล่านั้นออกมาข้าได้ดูมันสักหน่อยได้หรือไม่?” พอฮูหยินอวี้รับคาระวะแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”
หลิ่วหมิงได้ยิน ก็รีบหยิบตลับไม้จากแขนเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะ
ฮูหยินอวี้ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเปิดฝาตลับออก ใช้นิ้วเรียวยาวคีบเศษกระดูกสีขาวชิ้นหนึ่งออกมาจรวจดู
นางระมัดระวังเป็นอย่างมาก สีหน้าดูจดจ่อเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าของที่ถืออยู่ในมือไม่ใช่เศษกระดูกที่ดูไม่เตะตา แต่เป็นสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากมากบนโลกใบนี้
ตรวจดูสักครู่แล้ว หญิงผู้นี้ก็ดึงสิ่งของคล้ายปิ่นไม้ออกมาจากมวยผม ใช้ส่วนที่แหลมๆแตะไปบนเศษกระดูกนั้น
เรื่องที่คาดไม่ถึงได้ปรากฏขึ้นแล้ว
ปิ่นไม้ที่ดูเหมือนจะมีสีเหลืองอ่อนเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงินภายในพริบตาเดียว
เป็นกระดูกของปีศาจอสูรที่อยู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายจริงๆ ถึงแม้จะน้อยไปหน่อยแต่ก็พอที่จะสามารถนำมาหลอมสร้างเป็นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นเล็กได้ๆ” ในที่สุดหญิงสาวก็กล่าวด้วยความดีใจ
“อาวุธจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงใจเต้นเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ไม่ผิด เหตุที่อาวุธจิตวิญญาณนั้นมีอยู่น้อยมากย่อมเป็นเพราะว่าหลอมสร้างได้ยาก โอกาสในการหลอมสร้างได้สำเร็จมีน้อย แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือวัสดุจิตวิญญาณมีน้อยจนเกินไป กระดูกของปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายเหล่านี้ เหมาะกับการใช้เป็นวัสดุหลักในการหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณพอดี แน่นอนว่าในระหว่างขั้นตอนการหลอมสร้างต้องเพิ่มวัสดุเสริมอื่นไปด้วย ซึ่งราคามันก็ไม่ใช่น้อย” หญิงสาวอธิบาย และดูเหมือนจะไม่อยากวางเศษกระดูกในลงในตลับ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจได้ในทันที ก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อหญิงสาวผู้นี้ไม่น้อย
อย่างอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แค่ฝ่ายตรงข้ามไม่บิดปังประโยชน์ใช้สอยของกระดูกเหล่านี้ และอธิบายอย่างเปิดเผยถึงสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนี้ พอที่จะเห็นได้ว่าชื่อเสียงของเรือนร้อยสมบัตินี้ไม่ได้คุยโวโอ้อวดแต่อย่างใด
“ข้าได้ยินผู้เฒ่าหวังกล่าวว่า สิ่งของที่สหายนำมานี้ไม่ได้คิดที่จะขายโดยตรง แต่ดูเหมือนจะคุยเรื่องการค้าขายอย่างอื่น เป็นเช่นนี้จริงหรือ?” ฮูหยินอวี้ถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้าคิดที่จะทำเช่นนี้จริงๆ แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นข้าอยากจะถามฮูหยินสักประโยค ถ้าหากกระดูกตลับนี้สามารถขายได้โดยตรงล่ะก็ ไม่ทราบว่าร้านของท่านจะจ่ายเป็นหินจิตวิญญาณจำนวนเท่าใด” หลิ่วหมิงถามด้วยตาเป็นประกาย
“อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปหนึ่งชิ้น มีราคาอยู่ประมาณระหว่างหลายหมื่นไปจนถึงแสนหินจิตวิญญาณ แต่เมื่อหลอมสร้างไม่สำเร็จวัสดุนั้นก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก แต่ยังต้องหักค่าใช้จ่ายในการเชิญผู้เชี่ยวชาญการหลอมสร้างระดับสูงกับวัสดุเสริมอื่นๆ และเรือนของเราก็ต้องได้ส่วนต่างจำนวนหนึ่ง ดังนั้นวัสดุหลักของอาวุธจิตวิญญาณโดยทั่วไปเรือนของเราจะให้ราคาประมาณห้าพันเหรียญจิตวิญญาณ แต่พอพิจารณาถึงเศษกระดูกของสหายเป็นกระดูกของปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลาย มีโอกาสที่จะหลอมสร้างเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงหรืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้ ดังนั้นเรือนของเราจะเพิ่มให้อีกสองพัน รวมกันทั้งหมดเป็นเจ็ดพันหินจิตวิญญาณในการซื้อกระดูกตลับนี้ สหายคิดว่าราคานี้เป็นอย่างไร?” ฮูหยินอวี้คิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“เจ็ดพันหินจิตวิญญาณ เป็นราคาที่สมเหตุสมผล” หลิ่วหมิงพยักหน้า แต่ฝ่ามือมือที่หดอยู่ใต้แขนเสื้อกลับลูบตลับเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมืออีกตลับอย่างอดไม่ได้ สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
อวี้ฉูหยินเห็นเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้สึกฉงนแต่ก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด
“สิ่งของในตลับนี้ กว่าครึ่งหนึ่งในนั้นข้าคิดที่จะแลกโอสถเพิ่มพลังเวทย์จำนวนหนึ่ง ชื่อและปริมาณต่างก็เขียนไว้บนนั้นแล้ว ส่วนหินจิตวิญญาณที่เหลือข้าคิดที่จะซื้อยันต์กับวัสดุที่ใช้ในการปรุงยาจำนวนหนึ่ง” หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญแล้ว ในที่สุดก็ไม่ยอมหยิบตลับไม้เล็กๆ ในแขนเสื้อออกมา แต่หยิบกระดาษจากตัวมาแผ่นหนึ่งแล้วยื่นไปให้
สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาได้เขียนไว้แต่แรกแล้ว
“จำนวนโอสถคุณภาพต่ำที่ต้องการย่อมไม่มีปัญหา ในส่วนของวัสดุในการปรุงยากับยันต์นั้น อีกประเดี๋ยวจะให้คนนำรายการสิ่งของมาให้สหายเลือกได้อย่างเต็มที่” ฮูหยินอวี้มองสิ่งที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
จากนั้นนางก็สั่งกำชับไปหนึ่งที ผู้อาวุโสก็รีบรับแผ่นกระดาษแล้วเดินออกไปจากห้อง
ครู่ต่อมา หญิงรับใช้สาวสวยผู้นั้นก็เดินเข้ามาในมือถือรายการสิ่งของหนาๆ อยู่
“สหายค่อยๆ ดู สิ่งของที่ร้านของเราขายทั้งหมดอยู่ในนี้ ไม่แน่อาจจะมีสิ่งของอื่นๆ ที่สหายสนใจ ใช่สิ! ตอนนี้ข้ายังไม่ทราบชื่อแซ่ของท่าน ท่านสามารถบอกได้หรือไม่” อวี้ฮูหยินรับรายการสิ่งของที่ยื่นมาให้แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ข้าแซ่หลิ่ว ชื่อเต็มนั้นไม่สามารถบอกได้” หลิ่วหมิงรับรายการสิ่งของมาแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็คือสหายหลิ่ว” ฮูหยินอวี้ยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องที่หลิ่วหมิงไม่ได้บอกชื่อเต็มทั้งหมด
หลิ่วหมิงรีบพลิกอ่านรายการสิ่งของในมืออย่างรวดเร็ว และจดจำสิ่งของที่ถูกใจไว้ในใจ
ผ่านไปอีกสักครู่ ผู้เฒ่าหวังเดินเข้ามาอีกครั้ง เพียงแต่ในมือมีขวดเคลือบขนาดต่างๆ สิบกว่าใบ และวางพวกมันทั้งหมดลงบนโต๊ะด้านหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็วางรายการสิ่งของลงด้วยตาที่เป็นประกาย แล้วเริ่มตรวจดูขวดเคลือบเหล่านี้
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็พยักหน้าแสดงความพึงพอใจแล้วกล่าวกับผู้อาวุโสผู้นั้น
“นอกจากโอสถเหล่านี้แล้ว ข้ายังต้องการหญ้ากวางหอมสามชั่ง บุปผาเกล็ดแดงสามชั่ง ผงนิ่วโคครึ่งชั่ง น้ำฝนหน้าแล้งสามขวดใหญ่……สำหรับยันต์วิเศษนั้น เอายันต์เทพเคลื่อนไหวสองผืน ยันต์ปกปิดสองผืน ยันต์หวนคืนสามผืน…… เอาแค่นี้แหละ ส่วนหินจิตวิญญาณหลายร้อยก้อนที่เหลือก็เอาให้ข้าละกัน” หลิ่วหมิงรีบบอกวัสดุสำหรับปรุงยากับยันต์ที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง
ผู้เฒ่าหวังฟังเสร็จแล้วก็มองหน้าเจ้าของร้านอยู่ครู่หนึ่ง
ฮูหยินอวี้ยิ้มพยักหน้า
ผู้เฒ่าหวังถึงได้ตอบรับแล้วถอยออกจากห้องไป
สหายหลิ่ว ในเมื่อซื้อสิ่งของมากมายเช่นนี้เกรงว่าจะพกไม่ค่อยสะดวก ซื้อยันต์เก็บของสักผืนไหม!” ฮูหยินอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง
“ยันต์เก็บของ ไม่ใช่ว่ามีแต่อาจารย์จิตวิญญาณถึงจะสามารถใช้มันได้หรอกหรือ? อีกอย่างสิ่งของเล็กน้อยเหล่านี้ถ้าต้องใช้ยันต์แบบนี้จริงๆ มันก็จะสิ้นเปลืองเกินไป” หลิ่วหมิงได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ก็ตอบกลับด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ยันต์เก็บของทั่วไปย่อมใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หลายวันนี้เรือนของเราได้รับยันต์เก็บของที่ล้มเหลวครึ่งหนึ่ง ถึงแม้จะใช้ได้ครั้งเดียว ทั้งยังจุของได้ไม่มากนัก และไม่สามารถลดน้ำหนักที่ใส่ลงไปให้เบาลงได้ แต่ด้วยการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางของสหายกลับพอจะใช้ได้มันได้พอดี” ฮูหยินอวี้หัวเราะเบาๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงฟังแล้วสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงออกจากเรือนร้อยสมบัติด้วยมือทั้งสองที่ว่างเปล่า
เขาออกมาครั้งนี้ กลับไม่ได้กลับไปยังโรงเตี๊ยมแต่กลับมุ่งไปยังร้านหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุด และอยู่ที่นั่นนานสองชั่วยามแล้วถึงเดินออกมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ขณะนี้ หินจิตวิญญาณกว่าครึ่งหนึ่งที่เหลือติดตัวกับตลับไม้เล็กๆ อีกตลับนั้นได้หายไปแล้ว
ต่อมาหลิ่วหมิงมุ่งตรงกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักเมื่อคืนแล้วพักอยู่ที่นั่นไม่ออกไปไหนแล้ว
พอถึงวันที่สาม ร่างของเขาจึงมาปรากฏตรงด้านนอกของหุบเขา และวิ่งไปยังสถานที่นัดหมายที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้
ที่นั่นมีศิษย์นิกายปีศาจกลุ่มหนึ่งรออยู่ที่นั่นแล้ว
คนจำนวนไม่น้อยกำลังพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้พบได้เห็นและสิ่งที่ได้ซื้อมาจากตลาดอย่างตื่นเต้น แต่กลับไม่เห็นเงาของเหลยเจิ้นกับโอวหยางเฟยเลย
รอต่ออีกสักครู่ ก็มีคนเดินมาจากที่ไกลๆ
หลิ่วมองออกไป กลับค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่พวกศิษย์พี่เฉียน แต่เป็นหญิงวัยสาวรูปร่างหน้าตาสวยหยาดเหยิ้มที่แต่งงานแล้วผู้หนึ่ง จูงมือเด็กชายผอมแห้งที่ดูเหมือนจะอายุไม่เกินเจ็ดแปดปี
หญิงนางนี้สวมใส่ชุดสีชมพูทั้งตัว เวลาเดินเหิน ทุกท่วงท่าการกระทำล้วนทำให้เกิดความรู้สึกต้องมนต์เสน่ห์อย่างน่าตกตะลึง ทำให้ศิษย์นิกายปีศาจจำนวนไม่น้อยต่างก็มองจนตาค้าง
พอหญิงนางนี้เห็นคนอยู่ด้านหน้าเยอะเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะตกตะลึงเล็กน้อย แล้วรีบพาเด็กชายเดินไปยังทิศทางอื่น
แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่จั้ง เด็กชายพลันโหยไห้ออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
นางรีบล้มลงไปปลอบแต่เด็กชายกลับไม่สนใจ หญิงนางนี้ดูเหมือนจะโมโหขึ้นมาแล้วตีเด็กชายไปสองครั้งอย่างรุนแรง
เด็กชายกลับร้องไห้หนักกว่าเดิม
และในขณะนั้น ศิษย์พี่เฉียนและดรุณีน้อยชุดเขียวก็ค่อยๆ เดินมาจากทางหุบเขา
“ศิษย์น้องเหลยกับโอวหยางซินได้พบกับอาจารย์อาจาง และได้รับความโชคดีให้อยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง ไม่กลับไม่พร้อมพวกเราแล้ว” ศิษย์พี่เฉียนมองหญิงนางนั้นและเด็กชายครู่หนึ่งแล้ว ดวงตาก็ประกายแววประหลาดใจ และกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
ศิษย์คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
และในขณะนั้น ศิษย์เฉียนกลับสั่งให้ดรุณีน้อยชุดเขียวหยิบม้วนกระดาษออกมา แล้วเปิดใช้งาน
ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อเรือยักษ์สีเหลืองก่อตัวขึ้นกลางอากาศแล้วศิษย์นิกายปีศาจต่างๆ ก็ค่อยๆ เหาะขึ้นไปบนนั้น
หลังจากมีเสียงดังออกมาม่านแสงก็ปรากฏ เรือสายหมอกก็พาทุกคนเหาะไปยังนิกายปีศาจ
ตอนนี้เด็กชายที่กำลังร้องไห้โวยวายอยู่ได้หยุดร้องในฉันพลัน และแหงนหน้ามองหลังเรือสายหมอกที่อยู่ไกลออกไป เขามองอย่างเยือกเย็นอยู่ครู่หนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นแค่เจ้าหนูน้อยศิษย์จิตวิญญาณจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอาจารย์จิตวิญญาณแม้แต่คนเดียว ดูท่าพวกเราจะได้ทำการค้าครั้งใหญ่แล้ว” หญิงเสื้อชมพูเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใจ แต่กลับหัวเราะกล่าวออกมาอย่างมีเสน่ห์
……………………………………….
ตอนที่ 73 ปรากฏตัวของมังกร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ภารกิจของเราทั้งสองสำเร็จแล้ว เห็นชัดว่าศิษย์นิกายปีศาจกลุ่มนี้ไม่มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจิตวิญญาณ เรื่องที่เหลือให้เป็นเรื่องของพวกพี่รองสิงแล้ว และอาวุธเหาะของพวกเขาก็นับว่าลี้ลับมหรรศจรรย์ยิ่งนัก ไม่แน่อาจจะสามารถปิดบังร่องรอยการเดินทางได้ พี่รองสิงคงจะไม่หลงทางนะ” ในที่สุดเด็กชายก็เอ่ยปาก เสียงนั้นดูแก่กว่าปกติมากราวกับเสียงคนแก่
วางใจเถอะ ตอนที่อยู่ในตลาดข้าได้ฝังกลิ่นหอมพันลี้ไว้บนตัวของศิษย์ผู้หนึ่ง ต่อให้ห่างกันพันลี้พี่รองสิงก็สามารถติดตามไปได้อย่างแม่นยำ” หญิงเสื้อชมพูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ดีมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ด้วยพวกของพี่รองสิงที่ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคงสามารถจัดการกับศิษย์นิกายปีศาจเหล่านี้ได้อย่างไม่มีปัญหา เอาล่ะ! พวกเราก็ไปเถอะ ก่อเรื่องในครั้งนี้ขึ้นแล้วคงไม่อาจอยู่ในแคว้นต้าเสวียนได้ ต้องย้ายไปยังที่อื่นแล้ว” เด็กชายพยักหน้าด้วยความพอใจ
“เฮ่อๆ อยากไป เจ้าก็ต้องดูว่าข้ายินยอมไหม!”
พลันมีเสียงเยือกเย็นดังมาจากบนท้องฟ้า
สร้างความตกใจให้หญิงนางนี้กับเด็กชายเป็นอย่างมาก ทั้งสองแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า
บนฟ้ามีผู้อาวุโสลักษณะน่าเกรงขาม สวมชุดผ้าดิ้น รัดเข็มขัดหยกผู้หนึ่งที่ไม่รู้มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ มือทั้งสองไพล่หลัง มองดูทั้งสองอย่างเยือกเย็น
“แย่แล้ว เขาคือเฒ่าประหลาดมู่ รีบหนีเร็ว!” พอหญิงชุดชมพูเห็นใบหน้าของอาวุโสผู้นั้นชัดเจนแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป และหลุดปากพูดออกมาทันที
เด็กชายด้านข้างโบกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว หมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งทะลักออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมพื้นที่รอบๆ ภายในระยะสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็บิดตัวมุดลงไปใต้ดิน
เสียงดัง “เพล้ง!” เท้าทั้งสองของเด็กชายจมลงไปไม่ถึงครึ่งฉื่อ พื้นดินรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นแข็งราวกับเหล็กบริสุทธิ์ ทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
โลหิตสาดกระเด็น!
ศีรษะของเด็กชายกลิ้งลงบนพื้น จากนั้นก็เกิดคลื่นสั่นไหวขึ้นด้านข้าง ปรากฏชายชุดสีเลือดสูงผอมอีกผู้หนึ่งปรากฏออกมา ในมือถือดาบเรียวยาวที่มีเลือดกำลังหยดอยู่เล่มหนึ่ง
พอชายผู้นี้ปรากฏร่างออกมาก็ตวัดดาบยาวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด ร่างไร้ศีรษะถูกฟันเป็นสิบกว่าชิ้นจนเลือดสาดกระเด็น แม้แต่วิญญาณก็ร้องอย่างเวทนาแล้วกลายเป็นควันสีเขียว
“เด็กชายผู้ยอมไม่แก่อะไรกัน มันก็แค่นี้แหละ เป็นแค่ศิษย์ศิษย์วิญญาณขั้นปลายก็กล้าเรียกตนเองเยี่ยงนี้” ชายชุดสีเลือดกล่าวอย่างเยือกเย็น
“เจ้าคือเซวี่ยยาจากหอสายธารโลหิต!”
พอหญิงชุดชมพูเห็นชายชุดสีเลือดสีหน้าก็ขาวซีดยิ่งกว่าเดิม แต่แอบถอยหลังไปสองก้าวและเปล่งประกายแสงสีเขียวออกมาแล้วกลายเป็นกลุ่มแสงพุ่งหนีขึ้นฟ้าไป
ชายชุดสีเลือดเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่ได้ตามไปแต่อย่างใด
ผู้อาวุโสกลางอากาศสะบัดแขนเสื้อ พลันปรากฏพัดขนนกออกมาด้ามหนึ่งแล้วแค่โบกมันเบาๆ
เสียงดัง “ฟู่!”
หญิงสาวที่หนีไปได้ไกลสิบกว่าจั้งแค่รู้สึกว่าอากาศรอบข้างร้อน แล้วร่างทั้งร่างของนางก็ลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟทันที
ครู่ต่อมาหญิงเจ้าเสน่ห์ผู้นี้ก็หายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“ฮึ! เฒ่าประหลาดมู่ ไม่คิดว่าวิชาอัคคีมืดของท่านจะฝึกจนบริสุทธิ์ได้ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถฝังอัคคีมืดไว้ในตัวศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายผู้หนึ่งได้” ชายชุดสีเลือดเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็กล่าวออกมา
“ความสามารถอันน้อยนิดของข้านี้จะเทียบกับดาบโลหิตของสหายได้อย่างไร!” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นกล่าว สายตากลับมองไปยังคราบเลือดด้วยสีหน้าที่ดูหวาดกลัว
คราบเลือดนั้นคือเศษซากศพของเด็กชายก่อนหน้านั้น
“แต่รู้สึกแปลกไปหน่อย โลกภายนอกลือกันว่าเด็กชายผู้ไม่ยอมแก่ที่เป็นหัวหน้ากองโจรผู้นี้เป็นถึงอาจารย์จิตวิญญาณ ทำไมถึงเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะยอมให้ข้าและเจ้ามาอยู่ที่นี่พร้อมกันได้อย่างไร” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นบ่นพึมพำเล็กน้อยแล้วถามขึ้นมาด้วยสีหน้าฉงน
“ในเมื่อเป็นข่าวลือ มันก็ไม่อาจเป็นเรื่องจริงได้เสมอไป ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงและคุยโวโอ้อวดความสามารถของการฝึกฝนนอกรีตเหล่านี้เท่านั้น อีกอย่างการฝึกฝนนอกรีตชองกองโจรกลุ่มนี้ถึงแม้จะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยยินว่าเคยต่อกรกับผู้แข็งแกร่งคนไหน ผู้ที่ถูกพวกมันฆ่าล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น และไม่เคยแส่หาเรื่องอะไรกับอาจารย์จิตวิญญาณ พวกเขามีชื่อเสียงเหล่านี้ก็เป็นเพราะความที่พวกมันเป็นคนเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยมอำมหิตเท่านั้น ครั้งนี้พวกเราได้ทราบข่าวก่อนถึงได้วางหลุมพรางนี้ไว้ ทำให้จัดการพวกมันได้ในทีเดียว ตอนนี้สามารถจัดการหัวหน้าสองคนของมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ” ชายชุดสีเลือดกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อาจจะจริงเช่นนี้ก็ได้ ตอนนี้เราจัดการกับหัวหน้าสองคนได้แล้ว คิดว่าทางสหายจางก็คงรีบลงมือโดยเร็ว” ชายชุดผ้าดิ้นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้ากล่าว
“เฮ่อๆ เหยื่อในครั้งนี้เป็นศิษย์ในนิกายของสหายจาง แน่นอนว่าต้องไปด้วยตนเองจึงจะวางใจได้ แต่ข้าว่าถ้าหากศิษย์จิตวิญญาณเหล่านี้เหล่านี้แม้แต่โจรปล้นสดมภ์ก็ไม่สามารถรับมือได้ ถึงตายไปก็ไม่น่าเสียดายหรอก” ชายชุดสีเลือดหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
“สหายเซวี่ยยาคิดว่านิกายปีศาจเป็นเหมือนหอสายธารโลหิตของพวกเจ้าหรือไร ศิษย์ในหอท่านล้วนฝึกการสังหาร แต่ละคนมีประสบการณ์ในการรบอย่างเต็มที่ สามารถรับมือคนเดียวได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีนี่ศิษย์ที่สมัครเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณของนิกายปีศาจก็ลดน้อยลง พวกเขาจะยอมละเลยเช่นนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนั้นยังมีหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำอยู่ด้วยคนหนึ่ง” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์แกนนำที่ท่านกล่าวถึงคือเจ้าหนูเฉียนนั่นเหรอ นางมีคุณสมบัติไม่เลวจริงๆ ถ้าหากว่านางก็อยู่ในเหยื่อล่อนั้นด้วย ไม่แปลกใจที่สหายจางจะใส่ใจเช่นนี้ ใช่สิ! สหายรู้เรื่องที่หลายเดือนก่อนผู้อาวุโสเยี่ยนของนิกายปีศาจกับผู้อาวุโสหลิงอวี้ของหุบเขาเก้าช่องได้รับบาดเจ็บกลับมาพร้อมกันไหม?” ชายชุดสีเลือดพลันถามขึ้นมา
“สหายเซวี่ยพูดถึงคือเรื่องของมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตนนั้นใช่ไหม?” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้นิกายวาตอัคคีของพวกเจ้าก็ได้รับข่าวนี้แล้ว คิดไปคิดมามันก็ใช่ ปีศาจอสูรระดับผลึกจิตวิญญาณตนหนึ่งไม่รู้ว่าไม่ปรากฏตัวในแคว้นต้าเฉวียนมานานเท่าไหร่แล้ว ดูท่าผู้อาวุโสชื่อหยางของนิกายท่านคงจะปวดหัวจนต้องออกโรงเอง” ชายชุดสีเลือดได้ยินก็ถอนหายใจออกมา
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา ทั้งตัวของปีศาจอสูรระดับผลึกจิตวิญญาณทั่วไปล้วนเป็นของล้ำค่า ถ้าเป็นมังกรแดงนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถึงแม้นิกายปีศาจกับหุบเขาเก้าช่องจะเป็นผู้คนพบก่อน แต่ในเมื่อไม่สามารถจัดการมันได้ในครั้งเดียวย่อมไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ต่อไปได้อีก ไม่เพียงแต่นิกายเราเกรงว่าแม้แต่ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอเจ้ากับนิกายจันทราสวรรค์ก็คงนั่งไม่ติด” ผู้อาวุโสผ้าดิ้นกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ถึงแม้มังกรแดงนั่นจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจรอดไปได้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้มันอาจจะโจมตีจนผู้อาวุโสทั้งสองจนต้องถอยตัวไป แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ” ชายชุดสีเลือดกล่าวเหมือนกับคิดอะไรอยู่
“ถ้าสหายเซวี่ยยาคิดเช่นนี้กลับคิดผิดแล้ว ตามข่าวใหม่ที่ข้าได้รับมาถึงแม้ว่ามังกรแดงตัวนั้นจะบาดเจ็บ และหนีออกไปจากบริเวณเกาะสยบมังกรแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแอบไปรักษาบาดแผลอยู่ที่ใดถึงไม่ยอมปรากฏตัวออกมา ถึงแม้พลังเวทย์ของบรรดาผู้อาวุโสระดับผลึกจิตวิญญาณจะไร้ขอบเขต แต่คิดที่หามังกรตัวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งยังมีปีศาจอสูรอันน่ากลัวนี้ซุ่มซ่อนอยู่ในแคว้นของเรา ต่อไปแม้แต่ข้ากับเจ้าจะออกไปไหนคนเดียวก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น มิเช่นนั้นถ้าหากว่าพบเจอกับมังกรตนนี้ล่ะก็ เฮ่อๆ…… คิดว่าอีกไม่กี่วันสหายก็คงได้รับข่าวแจ้งเตือนจากหอของท่านเช่นกัน” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นพูดถึงตอนท้ายก็หัวเราะขึ้นมา
“เหตุการณ์คงไม่เลวร้ายถึงขั้นนี้หรอกมัง ไม่แน่เจ้ามังกรแดงตัวนั้นอาจจะหนีออกไปจากแคว้นต้าเฉวียนแล้วก็เป็นได้!” ชายชุดสีเลือดได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ข้าก็หวังเช่นนั้น แต่ข่าวที่ข้าได้ทราบมามังกรตนนี้บาดเจ็บสาหัสมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจหนีออกไปนอกแคว้นได้ ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจิตวิญญาณอย่างข้ากับเจ้าเป็นสิ่งที่รักษาบาดแผลของเจ้ามังกรตัวนี้ได้ดีที่สุด” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นส่ายศีรษะกล่าวด้วยเสียงที่ลดต่ำลง
“ความหมายของสหายคือ……” ชายชุดสีเลือดฟังแล้วก็รู้สึกสะดุ้งตกใจ
“เจ้ากับข้าสามารถใช้ศิษย์ในนิกายเป็นเหยื่อล่อได้ ผู้สำเร็จระดับผลึกจิตวิญญาณเหล่านั้นทำไมจะใช้พวกเราหลอกล่อให้มังกรแดงตนนี้ออกมาไม่ได้ อย่าลืมสิ! ทั่วไปทั้งแคว้นต้าเสวียนก็มีอาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเรารักษาการณ์อยู่ในสามตลาดใหญ่มากที่สุดแล้ว” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นกล่าวเสียงต่ำออกมา
“ฮ่าๆ อันนี้พี่มู่คิดมากไปแล้ว!” สีหน้าของชายชุดสีเลือดเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดฝืนหัวเราะกล่าวออกมา
“อือ! ข้าคงอาจจะคิดมากไปเอง แต่ถ้าในช่วงนี้จำเป็นต้องออกไปนอกตลาดล่ะก็ ข้ากับเจ้าก็พยายามอยู่ด้วยกันดีไหม?” ผู้อาวุโสได้ยินกลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดี ช่วงนี้ข้าพบกับปัญหาบางอย่างในระหว่างการฝึกฝน กำลังอยากจะใช้พี่มู่ช่วยชี้แนะพอดี” ครั้งนี้ชายชุดสีเลือดกลับคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็รับปากออกไป
จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น
ในขณะเดียวกัน เรือสายหมอกก็หยุดเหาะอยู่บนท้องฟ้าที่อยู่ห่างตลาดไปพันลี้
ด้านหลังที่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง มีเรือไม้สีเทายาวสิบกว่าจั้งลำหนึ่ง บนนั้นมีผู้ฝึกฝนสวมชุดแตกต่างกันสิบกว่าคนยืนอยู่ ดูลักษณะแล้วแต่ละคนล้วนดูโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ตอนนี้กลับตัวสั่นงันงกไม่กล้าขยับตัวไปไหน
ที่พวกเขาเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่ารอบด้านของเรือไม้นั้นเต็มไปด้วยหุ่นนักรบหน้าเหี้ยมสิบกว่าตัว กับซากศพด้านล่างหลายชิ้นที่ถูกฉีกจนแหลกละเอียด
และเหนือเรือไม้นั้น มีหญิงกลางคนผู้หนึ่งกับชายแต่งกายด้วยชุดหลวงจีนกำลังคุยอะไรกันอยู่ ราวกับไม่ค่อยสนใจเรื่องด้านล่าง
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงและผู้คนบนเรือสายหมอกกลับรวมกลุ่มเข้าด้วยกัน แล้วทำตามศิษย์พี่เฉียนคารวะนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนยิ้มอยู่
“ลุกขึ้นเถอะ ครั้งนี้ให้ผู้น้อยทั้งหลายล่อโจรปล้นสดมภ์เหล่านี้ให้ปรากฏตัวออกมา ถึงแม้จะไม่เป็นอะไรมากแต่ก็ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้ก่อนทำให้พวกเจ้าต้องเผชิญกับอันตราย เอาอย่างนี้แล้วกันกลับไปข้าจะบอกข่าวนี้กับหอดำเนินการ ให้เพิ่มแต้มคุณูปการให้พวกเจ้าคนละหนึ่งร้อยแต้ม” รักพรตวัยกลางคนกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณอาจารย์อาจาง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจมาก ต่างก็ประสานเสียงกล่าวขอบคุณออกมาพร้อมกัน
นักพรตวัยกลางคนกล่าวให้กำลังใจอีกไม่กี่ประโยคก็คิดที่จะจากไป
แต่ในขณะนั้นเอง หูของหลิ่วหมิงพลันได้ยินเสียงร้องดังยาวออกมา เสียงนี้แหลมบาดหูเป็นพิเศษ
เหมือนเริ่มแรกจะอยู่ในที่ไกลๆ แต่พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้มาก
นักพรตวัยกลางคนกับหญิงที่พูดคุยกันอยู่บนเรือไม้และหลวงจีน ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเกือบจะพร้อมกัน
และเมื่อหลิ่วหมิงได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคยแล้วก็รู้สึกตกตะลึง แต่พอนึกถึงที่มาของเสียงร้องได้อย่างรวดเร็วสีหน้าของเขาขาวซีดไปมาก
……………………………………….
ตอนที่ 74 การแสดงอานุภาพของมังกร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์หลานเฉียน ชุ่ยเอ๋อร์ พวกเจ้ารีบพาคนอื่นๆ ไปจากที่นี่ยิ่งไกลยิ่งดี ห้ามกลับมาอย่างเด็ดขาด” นักพรตวัยกลางคนตะโกนบอกกับศิษย์พี่เฉียนทันที จากนั้นแสงก็ม้วนออกมาจากตัวแล้วพุ่งขึ้นไป ครู่เดียวก็ยืนเคียงบ่ากับหญิงวัยกลางคนและหลวงจีนผู้นั้น
ศิษย์พี่เฉียนเห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะยังไม่รู้ว่ามีศัตรูตัวฉกาจที่คาดไม่ถึงกำลังมา ไม่คาดคิดว่าอาจารย์อาจางและอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ได้ยินเสียงแล้วต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป นางรีบสั่งกับชุ่ยเอ๋อร์ทันที
ทั้งสองค่อยๆ ทำท่ามือแสดงวิชาออกมา
ชั่วครู่ เรือสายหมอกที่อยู่นิ่งๆ ก็สั่นไหว กลายเป็นกลุ่มแสงพุ่งออกไป
ในขณะนั้นเอง เสียงร้องแหลมสูงนั้นก็ดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าอย่างคาดไม่ถึง
ศิษย์พี่เฉียนกับชุ่ยเอ๋อร์ที่กำลังกระตุ้นเรือสายหมอกอยู่ รู้สึกแค่ว่าหูทั้งสองได้ยินเสียงร้องดังกระหึ่มพลังเวทย์ก็ในร่างก็หยุดชะงักลงไปทันที เรือหมอกที่เพิ่งเหาะออกไปก็สั่นไหวแล้วหยุดลง
สำหรับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางและขั้นต้นคนอื่นๆ ก็ทนไม่ได้จนค่อยๆ ล้มลงไปที่พื้น
เหลือแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสองคนกับหลิ่วหมิงเท่านั้น พวกเขายั่งขัดสมาธิลงตรงดาดฟ้าเรือด้วยสีหน้าซีดเผือด และกระตุ้นพลังภายในต้านทานเสียงร้องแหลมอย่างสุดชีวิต
นักพรตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมาทันที แต่ร่างกายกลับยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว
ขณะนี้ขอบฟ้าไกลๆ มีพายุที่บ้าคลั่งประทุขึ้นมาอย่างรุนแรง เมฆดำขนาดใหญ่ปรากฏออกมากลางอากาศ และพุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
และเสียงร้องแหลมที่ดังมาจากเมฆดำ ทำให้อาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามที่ได้ยินเริ่มปวดหนึบราวกับถูกเข็มแทง จนพวกเขาจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์ป้องกันหูทั้งสองไว้
เสียงดัง “โครม!” “โครม!”
ในที่สุดขาทั้งสองของศิษย์พี่เฉียนและชุ่ยเอ๋อร์ก็อ่อนแรงจนล้มลงไป แต่ยังกระตุ้นพลังเวทย์ต่อต้านอย่างสุดชีวิต
ส่วนศิษย์บนเรือสายหมอกคนอื่นๆ นั้นระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ หลังจากกรีดร้องออกมาแล้วก็สลบลงไป ขณะเดียวกันก็มีโลหิตสีดำค่อยๆ ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด[1]
ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายอีกสองคนนั้น หลังจากที่ยืนหยัดอยู่ครู่หนึ่งก็คอเอียงล้มแหงนหน้าลงไป
กลุ่มโจรปล้นสดมภ์ที่ฝึกฝนนอกรีตบนเรือไม้นั้นต่างก็ล้มกองเต็มพื้น
ถึงแม้ใบหน้าหลิ่วหมิงจะขาวซีดสุดขีด ดวงตาทั้งสองปิดสนิท แต่ยังคงนั่งขัดสมาธิทำท่ามืออยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
ที่เขาทำเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าใช้พลังจิตที่เหนือกว่าศิษย์ทั่วไปกับพลังเวทย์ในร่างที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันเขายังใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังของเขา ทำให้พลังจิตแบ่งเป็นสองส่วนเปลี่ยนกันต้านทานเสียงร้องแหลมนี้ พอส่วนหนึ่งของจิตต้านทานไม่ไหว ก็รีบเปลี่ยนให้อีกส่วนมาต่อต้านแทนทันที
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ยังรู้สึกว่าศีรษะของเจ็บปวดราวกับจะแยกออกเป็นสองส่วน
ในขณะที่เขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากนั้น เสียงร้องแหลมราวกับสามารถทะลุโลหะและแยกหินออกจากกันได้ ก็ได้หยุดชะงักลง
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา รีบลืมตามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วใจเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ขณะนี้ เมฆดำขาดใหญ่นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว และอากาศที่อยู่ห่างจากนักพรตวัยกลางคนออกไปร้อยกว่าจั้ง กลับปรากฏปีศาจสูงหลายจั้งที่ท่อนร่างเป็นมนุษย์ท่อนบนเป็นมังกร
ท่อนล่างของปีศาจตนนี้สวมกางเกงยาวหนังสัตว์หลวมๆ ท่อนบนที่เปลือยโล่งมีเกล็ดสีแดงอยู่ทั่วทุกระแหง ขณะเดียวกันหัวมังกรบนคอขนาดใหญ่มีลูกตายักษ์สีเขียวข้างเดียวที่เปล่งประกายอยู่ มันกำลังจ้องมองอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามด้วยสายตาเยือกเย็น
นักพรตวัยกลางคนและอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็พินิจดูอย่างละเอียดอีกรอบ ถึงค้นพบว่าปีศาจครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรนี้มีบาดแผลไปทั่วร่าง ทั้งบนล่างล้วนมีแผลจากคมมีดดาบ ซึ่งแต่ละแผลนั้นบาดลึกเป็นอย่างมาก บาดแผลบางที่ถึงขนาดมองเห็นกระดูกสีขาวอยู่รำไร แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยดเดียว
“ที่แท้ก็คือมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณที่หนีไปจากเงื้อมมือของอาจารย์อาเยี่ยนกับผู้อาวุโสหลิงอวี้! สหายทั้งสองจะสู้หรือจะถอย?” สายตาของนักพรตวัยกลางคนจ้องมองสัตว์ประหลาดด้านหน้าอย่างไม่วางตา แต่ก็ยิ้มที่มุมปากแล้วส่งเสียงออกไป
“หนีหรือ? จะหนีได้เร็วกว่าความไวของมังกรแดงระดับผลึกตนนี้ได้หรือ! ถ้าหากต้องหนีจริงๆ ล่ะก็ พวกเราคงถูกมังกรตนนี้ตามทันอย่างไม่ต้องสงสัย และแต่ละคนคงถูกมันสังหารอย่างง่ายดาย!” หลวงจีนส่งเสียงตอบกลับมา
“ไม่ผิด ถ้าหากสามารถหลบหนีได้พ้นจริงๆ ข้าคงหนีไปเป็นคนแรกแล้ว ใยต้องอยู่ที่นี่ด้วยเล่า แต่จะว่าไปแล้ว ถ้ามังกรสื่อสารจิตวิญญาณตนนี้ฟื้นฟูร่างกายของมันได้ พวกเราที่เผชิญหน้ากับมันคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูท่าทางที่น่าสังเวชของมันในตอนนี้ สามารถใช้พลังเวทย์ปกป้องร่างของมันได้สองถึงสามในสิบส่วนก็นับว่าไม่เลวแล้ว ภายใต้การประสานมือของเราสามคน ไม่แน่ว่าอาจจะรับมือกับมันได้บ้าง ถ้าหากว่าโชคดีสามารถสังหารมันได้ล่ะก็ ไม่แน่นี่อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ก้าวสู่ระดับผลึกจิตวิญญาณ” หญิงวัยกลางคนจ้องมองมังกรแดง สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวกลับเปล่งประกายร้อนแรงออกมา
นักพรตวัยกลางคนกับหลวงจีนได้ยินเช่นนี้ ก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ดี ในเมื่อสหายอวี๋คิดที่จะลงมือกับมัน ถ้างอย่างนั้นข้าจะช่วยอีกแรง สหายจาง ท่านล่ะ!” หลวงจีนส่งเสียงตอบกลับไป
“ท่านทั้งสองต่างก็ตัดสินใจแล้ว ข้าจะหนีไปคนเดียวได้อย่างไร แต่ข้าต้องส่งเจ้าเด็กทั้งสองหนีไปก่อนถึงจะตะลุมบอนกับมันได้อย่างเต็มที่” นักพรตวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย แล้วก็ได้แต่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
“ฮึ! นี่มันเวลาไหนแล้ว แค่ศิษย์จิตวิญญาณสองก็ยังจะเป็นห่วงอีก ช่างเถอะ! ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรงละกัน” หลวงจีนกล่าวประชดประชันออกมา นิ้วมือหนึ่งของเขาค่อยๆ ขยับ
หุ่นนักรบหน้าเหี้ยมสองตัวด้านล่างเคลื่อนไหวในทันที และเคียงบ่ากันเหาะพุ่งไปยังเรือสายหมอก
เสียงดัง “ฟู่!”
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเพียงแค่ขยับเล็กน้อย ก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทำให้นักพรตวัยกลางคนและคนอื่นๆ ทำท่าป้องกันด้วยความตกใจ
เสียงดัง “ตู้ม!”
หุ่นนักรบหน้าเหี้ยมตัวหนึ่งที่เหาะไปยังเรือสายหมอก ถูกกรงเล็บเจาะทะลุศีรษะแล้วระเบิดกระจายทันที
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาบริเวณนั้น อ้าปากพ่นลำแสงสีแดงออกมา
เสียงดัง “ฟู่!” หุ่นนักรบหน้าเหี้ยมอีกตัวก็ระเบิดตัวท่างกลางแสงสีแดง
ฉากนี้ทำให้นักพรตวัยกลางคนและคนอื่นๆ ต่างก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น
“ไม่ต้องสนใจศิษย์ของท่านแล้ว ลงมือเถอะ!” หญิงวัยกลางคนกัดฟันกล่าวออกมาอย่างดุเดือด จากนั้นดึงกระบี่สั้นสีเขียวเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และโยนขึ้นไปยังอากาศ แล้วเริ่มร่ายคาถาออกมา
หลังจากหลวงจีนรู้สึกเสียดายหุ่นนักรบหน้าเหี้ยมทั้งสองตัวที่ถูกทำลายไปแล้ว สองมือก็รีบลูบไปตรงหน้าอกแล้วโยนออกไป ลูกกลมๆ สีแดง สีฟ้า ทั้งสองลองลูกพุ่งลอยออกไปในทันที หลังจากที่มันเปลี่ยนรูปร่างดัง “กรอบแกรบ” ก็กลายเป็นหุ่นพยัคฆ์สีฟ้าขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง กับหุ่นอสรพิษยักษ์ตัวหนึ่ง
พอหุ่นทั้งสองปรากฏ หลวงจีนก็สะบัดแขนเสื้อ ผลึกหินสีฟ้าแดงขนาดเท่ากำปั้นสองก้อนก็พลอยพุ่งออกไป แล้วเข้าไปในปากของหุ่นอสูรทั้งสองอย่างแม่นยำ
หุ่นอสูรทั้งสองแน่นิ่งราวกับไม่มีชีวิต ฉับพลันหนึ่งในนั้นก็มีแสงสีฟ้าประกายขึ้นมาในแววตา แล้วส่งเสียงพยัคฆ์คำรามออกมา อีกตัวหนึ่งก็ส่งเสียงดังแล้วแลบลิ้นสีรุ้งส่ายหัวส่ายหาไปมา
นักพรตวัยกลางคนกลับตบไปที่ถุงหนังบนเอวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยันต์หลากสีที่ทับซ้อนเป็นชั้นๆ พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเรียงตัวกันบังตัวเขาไว้
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายอันน่ากลัวออกมา มันก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว ร่างของมันก็กลายเป็นเงาร่างกระโจนพุ่งออกไปเป็นเส้นๆ แค่แวบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากหญิงวัยกลางคนสิบกว่าจั้งด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
“ฆ่า!”
หญิงวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่ปากก็ตะโกนเสียงต่ำออกไปอย่างไม่ลังเล นางใช้มือแตะไปยังกระบี่สั้นบนอากาศทันที
กระบี่สั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านผ่าลงไปยังด้านหน้า
เสียงดัง “เพล้ง!”
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรแค่ขยับกรงเล็บแหลมคมเล็กน้อย ก็กระแทกแสงเย็นสะท้านออกไปได้ ราวกับว่ากรงเล็บมันเป็นเหล็ก ในขณะเดียวกันมันก็อ้าปากพ่นลำแสงสีแดงเข้าใส่หญิงวัยกลางคน
“ฟู่!”
นักพรตวัยกลางคนใช้นิ้วมือหนึ่งแตะไปยังยันต์ทั้งสามผืนข้างหน้าพร้อมกัน
ม่านแสงสีขาวสลัวสามชั้นปรากฏขึ้นตรงด้านหน้าของหญิงวัยกลางคนพอดี หลังจากที่แสงสีแดงกะพริบหายไปแล้ว ก็เจาะทะลุเข้ามายังม่านแสงทั้งสามชั้น ม่านแสงพอที่ต่อต้านกับแสงสีแดงได้บ้าง จากนั้นก็ถูกทำลายหายไปทันที
หญิงวัยกลางคนรู้สึกตกใจจนร่นถอยไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”
พยัคฆ์สีฟ้ากับอสรพิษย์ยักษ์สีแดงกระโจนออกไปพร้อมกัน แต่สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรกลับกระโดดออกไปหนึ่งที ร่างก็เลือนหายไปในฉับพลัน
“สหายอวี๋ ระวัง!”
หลังจากที่ยันต์ผืนหนึ่งตรงหน้านักพรตวัยกลางคนลุกไหม้ขึ้นมาเอง เขาก็รีบหันไปตะโกนบอกหญิงวัยกลางคนทันที
หญิงวัยกลางคนได้ยินก็รู้สึกหนาวสะท้าน มือข้างหนึ่งทำท่ามือทันที กระบี่สั้นสีเขียวหมุนติ้วๆ แล้วกลายเป็นม่านกระบี่ป้องตัวนางไว้
กรงเล็บแหลมคมสีแดงข้างหนึ่งโผล่ออกมา พริบตาเดียวก็เจาะทะลุเข้ามาในม่านกระบี่แล้วคว้าไปยังตรงหน้าอกของหญิงวัยกลางคนราวกับความฝัน
และหญิงวัยกลางคนแค่รู้สึกเย็นๆ ที่ด้านหน้า แล้วก็มีรูเลือดโผล่ออกมา
ขณะนี้ แสงสีแดงจางๆ ปรากฏขึ้นบนอากาศที่อยู่ห่างจากด้านหลังหญิงวัยกลางคนสิบกว่าจั้ง สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเพิ่งจะปรากฏตัวออกมาพร้อมกับถือสิ่งที่เปียกโชกไปด้วยเลือดสดๆ ก้อนหนึ่ง แววตาของมันน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก พอมันขยับแขนก็นำสิ่งของนั้นใส่เข้าปากแล้วกลืนลงไป
“อา… ที่เจ้ากินไปมันคือ…”
หญิงวัยกลางคนเพิ่งจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากที่หวีดร้องอย่างเวทนาด้วยสีหน้าหวาดผวาแล้ว พลังในร่างก็สลายไปหมดสิ้น และร่วงตกลงไปจากท้องฟ้า
“ไม่ได้การละ รีบใช้กล่องกักตัวมันมิเช่นนั้นพวกเราก็อาจไม่รอด” พอหลวงจีนเห็นหญิงวัยกลางคนร่วงลงไปแล้ว ในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือก รีบกล่าวกับนักพรตวัยกลางคนด้วยเสียงต่ำ
“ได้”
นักพรตวัยกลางคนก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาอย่างรุนแรงเช่นกัน พอได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล
ฉับพลันร่างของเขาก็หมุนติ้วๆ อย่างรวดเร็ว ยันต์ตรงหน้าต่างก็ระเบิดออกมา
ครู่ต่อมา ก็มีอักขระจำนวนมากพรั่งพรูออกมาบนตัวของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตัวนี้ แล้วกลายเป็นสายโซ่หลากสีหลายเส้นมัดร่างมันไว้
และในขณะเดียวกัน ทางด้านหลวงจีนก็ทำท่ามือกระตุ้นให้หุ่นพยัคฆ์สีฟ้ากับหุ่นอสรพิษสีแดง และหุ่นนักรบหน้าเหี้ยมที่เหลือกระโจนออกไปพร้อมกัน แต่กระโจนเข้าไปยังไม่ถึงก็ถูกลำแสงสีแดงแสบตาจากอากาศพุ่งเข้าใส่จนระเบิดออกมา
ช่วงเวลาชั่วพริบตา ลูกแสงกลมๆ หลากสีขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น พริบตาเดียวก็พาร่างของปีศาจครึ่งมังกรจมเข้าไปในนั้น
เสียงร้องแหลมเศร้ารันทดดังออกมาจากลูกแสงกลมๆ จากนั้นกลิ่นไออันน่าสะพรึงกลัวก็ม้วนตัวออกมา สิ่งดังกระหึ่มไปทั่วทุกที่อยู่ไม่หยุด
“แย่แล้ว สัตว์ประหลาดตนนี้ไม่เป็นไรเลย พวกเรารีบหนี ยิ่งเร็วยิ่งดี” หลวงจีนเห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นเขาชูมือข้างหนึ่งขึ้นมา ลูกกลมๆ สีเขียวลูกหนึ่งกลิ้งออกมาทัน พริบตาเดียวก็กลายเป็นวิหคไม้สีเขียวพยุงร่างเขาไว้
“ฟิ้ว!”
หลวงจีนขี่วิหคไม้ทะยานเวหาออกไป
นักพรตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา แต่พอกัดฟันก็หยิบยันต์สีเหลืองออกมาจากอกผืนหนึ่ง ตบลงไปบนตัวแล้วทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วหายวับไปปรากฏอยู่บนเรือสายหมอกทันที
มือทั้งสองของเขาต่างก็เคลื่อนไหว แล้วก็คว้าเอาตัวศิษย์พี่เฉียนและดรุณีน้อยเสื้อเขียวขึ้นมา หลังจากสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปแล้ว ก็เหยียบลงบนอากาศกลายเป็นจุดดำๆ จุดหนึ่งแล้วพุ่งออกไป
หลิ่วหมิงที่ยังอยู่บนเรือสายหมอก เห็นทั้งหมดนี้ก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
……………………………………….
[1] ทวารทั้งเจ็ด หมายถึง ตาสองข้าง หูสองข้าง รูจมูกสองข้าง และปาก
ตอนที่ 75 ชิงของล้ำค่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้ศิษย์คนอื่นๆ บนเรือสายหมอกต่างก็นอนอยู่บนพื้นโดยที่ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตรอดหรือไม่ แต่หลิ่วหมิงที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นไปไม่ได้ที่นักพรตวัยกลางคนจะมองไม่เห็น
แต่อาจารย์อาจางผู้นี้ไม่ได้สนใจเขาเลย กลับพาแค่ศิษย์พี่เฉียนและดรุณีน้อยเสื้อเขียวหนีไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้ในใจเขารู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา แต่คงต้องใช้วิธีการช่วยตัวเองแล้ว
หลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ จากเดิมที่นั่งนิ่งไม่ขยับก็ล้มลมบนพื้นด้วยเสียงดัง “ตุบ!”
ในขณะเดียวกัน ลมหายใจกับโลหิตที่ไหลอยู่ในร่างเขาก็กลายเป็นเดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย
นี่คือผลของการใช้เคล็ดวิชาผนึกลมปราณ
เสียงดัง “ตู้ม!
ในที่สุดกลุ่มแสงกลมๆ ขนาดใหญ่บนอากาศก็ระเบิดออกมาท่ามกลางกลิ่นไออันน่ากลัวที่เพิ่มขึ้น
ทุกสิ่งภายในบริเวณรัศมีลี้กว่าๆ หลังจากถูกพายุร้อนม้วนตัวผ่านก็ค่อยๆ เลือนลางหายไป แม้กระทั่งเรือไม้ของโจรปล้นสดมภ์กับเรือสายหมอกที่เป็นอาวุธเหินเวหาก็ถูกทำลายราวกับของเล่น พวกมันตีลังกาไปเจ็ดแปดตลบแล้วก็แตกละเอียดเป็นจุน
หลิ่วหมิงแค่รู้สึกโล่งๆ แล้วตนเองกับศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ ต่างก็ร่วงลงไป
ภายใต้ความตกตะลึง เขาไม่กล้าใช้วิชาทะยานเวหา ทำให้แค่ตอนที่ใกล้จะตกถึงพื้นได้ปล่อยโซ่สีดำขนาดใหญ่เส้นหนึ่งให้ดีดตัวพุ่งลงไปบนพื้น
เสียงดัง “ฟู่”
หลิ่วหมิงเอียงห่างไปไม่กี่ฉื่อ ไม่เพียงแต่ลดความเร็วในการร่วงไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ทั้งยังสามารถหลบหลีกหินสีดำอันแข็งแกร่งก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างได้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาตกลงจากที่สูงขนาดนี้ก็ต้องแสยะปากออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกแค่ทั่วทั้งร่างไม่มีส่วนไหนที่ไม่เจ็บเลย
ดีที่ว่าตอนนี้กระดูกแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก เลยไม่กระดูกชิ้นไหนหักเลย
เขายังเป็นถึงขนาดนี้แล้วศิษย์นิกายคนอื่นๆ จะขนาดไหน
ช่วงนี้ศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ ต่างก็ร่วงลงมานอนอยู่บนพื้นอย่างไม่ขาดสาย บนร่างล้วนเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาสดๆ เห็นได้ชัดว่าไร้ลมหายใจกันหมดแล้ว
ขณะนี้ สถานที่เดิมที่กลุ่มแสงระเบิด สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรได้ปรากฏตัวอีกครั้ง แต่นอกจากรอยไหม้เกรียมจำนวนหนึ่งบนร่างแล้วก็ไม่มีบาดแผลการถูกทำร้ายที่เพิ่มขึ้นเลย แต่ในดวงตาข้างเดียวที่เหลืออยู่กลับปรากฏแววตาอันโหดร้ายขึ้นมา กรงเล็บข้างหนึ่งคว้าลงตรงอากาศด้านล่างโดยฉับพลัน
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
ร่างของหญิงวัยกลางคนที่ควบคุมวิชากระบี่บินก่อนหน้านี้ ลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วเข้าไปอยู่ในกรงเล็บของปีศาจอสูรตนนี้
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรอ้าปากกว้างๆ แล้วกัดหัวกว่าครึ่งหนึ่งของหญิงวัยกลางคน หลังจากมันเคี้ยวได้สองสามครั้งก็กลืนลงไป จากนั้นส่งเสียงร้องแหลมขึ้นอีกครั้ง พร้อมพ่นลูกไฟสีแดงลงมาด้านล่าง แล้วก็พาร่างอันโชกเลือดของหญิงวัยกลางคนกลายเป็นวายุดำพัดไปยังที่ไกลๆ
ดูจากทิศทางที่มันไปนั้นเป็นทิศทางที่หลวงจีนผู้นั้นหนีไป
เสียง “ตู้ม!” ดังสะเทือนเลือนลั่น
ลูกไฟที่ดูธรรมดา พอตกถึงพื้นกลับกลายเป็นเสาเพลิงพุ่งขึ้นฟ้า
เปลวไฟที่ลุกไหม้กระพือฮือโหมม้วนตัวไปทั่วทุกทิศทางทันที กลายเป็นทะเลเพลิงอันคุโชน
ทุกสิ่งที่สัมผัสโดนเปลวไฟนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ก็ล้วนกลายเป็นขี้เถ้าหายสาบสูญไปในพริบตาเดียว
เสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้น!
มันคือเสียงของโจรปล้นสดมภ์ที่ยังมีลมหายใจอยู่ พวกมันดิ้นเอาชีวิตรอดท่ามกลางเปลวไฟแล้วก็กลายเป็นขี้เทาไปเหมือนกับคนอื่นๆ
สมกับที่เป็นปีศาจอสูรระดับผลึก แค่โจมตีอย่างไม่ใส่ใจก็ยังมีอานุภาพน่าหวาดกลัวเช่นนี้
และตอนที่ลูกไฟตกมานั้น หลิ่วหมิงก็รู้ว่ามันต้องร้ายแรงเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้สนใจว่าเจ้ามังกรแดงมันจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่ เขารีบควักยันต์ออกมาจากตัวหลายผืน อึดใจเดียวก็มีม่านแสงสลัวๆ หลายชั้นคุ้มกันร่างเขาไว้ และตบลงไปยังถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณเรียกแมงป่องกระดูกขาวออกมา
แมลงป่องกระดูกขาวสื่อสารจิตกับหลิ่วหมิงได้แล้วก็ปรากฏออกมาในม่านแสง มันรีบอ้าปากพ่นปราณหยินอันเย็นแปลกประหลาดออกไปทันที จนพอที่จะหยุดเปลวไฟที่ลุกลามมาในบริเวณใกล้เคียงได้แล้วก็พาหลิ่วหมิงพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที
เสียงดัง “เพล้ง!”
พอเขาและแมงป่องกระดูกขาวเกือบจะหนีออกมาจากทะเลเพลิงได้ อานุภาพของม่านแสงก็หมดไปและแตกกระจายออกมา
หลิ่วถอนหายใจยาวๆ ออกมา หันหน้ากลับไปดูทะเลเพลิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ถ้าเมื่อครู่เขาลังเลอีกสักหน่อย เกรงว่าคงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว
แต่ยันต์คุ้มกันที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่ กลับถูกใช้ไปหมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกคร่ำครวญเสียดายเป็นอย่างมาก
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่มียันต์เหล่านี้ เกรงว่าเขาไม่อาจรักษาชีวิตน้องๆ นี้ไว้ได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้วก็ก้มลงดูแมงป่องกระดูกขาวครู่หนึ่ง
แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ใช้เวลาสั้นๆ ในการพ่นปราณหยินออกมามากขนาดนี้ทำให้มันดูอ่อนแรงลง
เพื่อป้องกันสิ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด จึงไม่ได้เรียกแมงป่องกระดูกขาวกลับเข้าไปในทันที แต่สายตากวาดไปยังทะเลเพลิงที่ลุกไหม้โหมกระหน่ำแล้วแสดงสีหน้าเสียดายขึ้นมา
เปลวไฟอันร้ายกาจเช่นนี้ อาวุธอาญาสิทธิ์ หินจิตวิญญาณ และสิ่งของอื่นๆ บนตัวของคนอื่นๆ ก็ไม่อาจรอดพ้นได้ มิเช่นนั้นไม่แน่อาจจะยังพอถอนทุนคืนได้
ในส่วนศิษย์นิกายปีศาจที่เสียชีวิตที่นี่นั้น สำหรับเขาที่เห็นความตายบนเกาะมฤตยูมามากต่อมากแล้ว นอกจากจะทำให้เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกเศร้าเสียใจปรากฏออกแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงติดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วให้แมงป่องกระดูกขาวมุดลงไปยังใต้ดิน ตนเองกลับเดินไปยังที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นหล่นมาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ร่างของหญิงนางนี้จะถูกมังกรแดงตัวนั้นเอาไปแล้ว แต่กระบี่สั้นสีเขียวที่ทำหล่นเล่มนั้นคงยังอยู่แถวนี้
ในเมื่อเป็นอาวุธที่อาจารย์จิตวิญญาณผู้นี้ใช้รับมือกับศัตรูตัวฉกาจ จะต้องเป็นอาวุธจิตวิญญาณอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ใช่อาวุธระดับต่ำจนเกินไป
สำหรับเขาในตอนนี้แล้วไม่อาจละเลยของล้ำค่าชนิดนี้ได้ ต่อให้ต้องเสี่ยงกับการที่เจ้ามังกรแดงตัวนั้นจะหวนคืนกลับมาอีกครั้งก็ต้องหาให้เจอ
ดีที่เขายังจำสถานที่ที่หญิงนางนั้นตกลงไปได้อย่างแม่นยำ ครู่เดียวเขาก็มาถึงบริเวณนั้น และมองเห็นด้ามกระบี่สีเขียวที่ครึ่งหนึ่งฝังลงไปบนหินก้อนหนึ่ง
เขาดีใจมาก รีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะนั้นเอง มีเงาร่างเคลื่อนไหวหลังต้นไม้ต้นหนึ่งมีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงที่เดินเข้ามาหยิบกระบี่เช่นกัน เขาก็แสดงสีหน้าขึงขังออกมา
หลิ่วหมิงตกใจอย่างมาก เขาสังเกตคนผู้นั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สวมชุดสีเทาทั้งตัว อายุประมาณสามสิบกว่าปี ดูฉลาดเฉียบแหลม ในมือถือค้อนสั้นสีดำ และก็สังเกตดูหลิ่วด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน
“โจรปล้นสดมภ์”
พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ดูออกได้ในทันที ศึกครั้งนี้คงยากที่จะเลี่ยง!
ถึงแม้ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามหนีออกมาจากทะเลเพลิงได้อย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาก็มาเพื่อกระบี่สั้นที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้เช่นกัน
“เจ้าเด็กน้อย เดิมทีที่เจ้าสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าโชคดีไม่น้อย แต่ตอนนี้มาเจอกับข้าเข้านับว่าโชคร้ายแล้วล่ะ” ชายชุดเทาหัวเราะขึ้นมาอย่างเยือกเย็น เขากวัดแกว่งค่อนสั้นในมือแล้วทุบหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ มือข้างหนึ่งทำท่ามือแล้วสะบัดลงไปคมวายุสองเส้นที่พุ่งต่อกันออกมา
เสียงดังขึ้นในอากาศ
กลุ่มไอสีขาวสลัวพุ่งมาหาหลิ่วหมิงราวกับฝนดาวตก
เสียงดัง “เพล้ง!”
หลิ่วหมิงสะบัดแขน โซ่ดำเส้นหนึ่งก็ม้วนตัวออกไปหวดตีกลุ่มไอจนลอยออกไป หลังจากเขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย คมวายุสองเส้นก็แฉลบผ่านตัวเขาไปตัดโดนต้นไม้สองต้นข้างหลังขาดเป็นสองท่อน
ชายชุดเทาเห็นเช่นนี้ก็หดรูม่านตาลงเล็กน้อย แล้วกวัดแกว่งฆ้อนสั้นที่เป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ ม่านแสงสีดำม้วนตัวออกมาจากด้านบนบังร่างเขาไว้
จากนั้นชายผู้นี้ก็โยนค้อนสั้นลงพื้น มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ปากก็ร่ายคาถาขึ้นมา
ครู่ต่อมา บนร่างของชายผู้นี้มีอักขระสีเหลืองหลายตัวลอยว่อนออกมา ขณะเดียวกันอากาศบริเวณนั้นก็เริ่มมีเสียงดังกระหึ่ม แสงสีเหลืองแต่ละเส้นปรากฏขึ้นมาในอากาศ แล้วเกาะตัวกันด้านบนบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว
“พลังภายในกระเพื่อม วิชาขั้นสูง!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็หม่นลง แต่สองมือก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็วแล้วชูมือขึ้น ก็มีเสียง “ฟู่!” “ฟู่” ดังขึ้นมา
คมวายุแต่ละเส้นพุ่งยิงออกไป พริบตาเดียวก็ยิงออกไปได้เจ็ดแปดเส้น แสงสีเขียวด้านหลังเปล่งประกายคมวายุจำนวนมากพุ่งออกไปติดๆ
ถึงแม้วิชาขั้นสูงจะมีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่วิชายิ่งสูงยิ่งใช้เวลาในการปล่อยพลังมาก หลิ่วหมิงย่อมปล่อยโอกาสนี้ให้ฝ่ายตรงข้าม
ม่านแสงที่อาวุธอาญาสิทธิ์ของชายผู้นี้เปล่งออกมา ถึงแม้มันจะเกาะตัวกันหนาแน่น แต่โดนคมวายุฟันเข้าไปเยอะขนาดนี้ ก็สามารถต้านทานได้เพียงชั่วครู่แล้วก็แตกสลายไป
ชายชุดดำตกใจอย่างมาก รีบหยุดการแสดงวิชาแล้วกลิ้งหนีไปยังด้านข้าง แต่ถูกพลังเวทย์สะท้อนกลับจนต้องอ้าปากกระอักเลือดออกมา
แต่เขายังไม่ทันจะยืนขึ้น คมวายุจำนวนมากก็ถูกปล่อยจากมือหลิ่วหมิง เดิมทีเขาก็ป้องกันตัวไม่ทันอยู่แล้วทำได้แค่ใช้เท้าทั้งสองวิ่งหนีไม่หยุด
ตอนแรกเขาคิดที่จะรอช่วงที่หลิ่วหมิงพักปล่อยพลังจะได้หายใจบ้าง แต่รอจนสุดท้ายคมวายุยิ่งมามากยิ่งกว่าเดิม ฝ่ายตรงข้ามปล่อยพลังโดยไม่ต้องร่ายคาถาเลยสักคำ สุดท้ายเขาก็เงยหน้าหลุดปากออกมาด้วยความหวาดกลัว
“คมวายุขั้นสมบูรณ์แบบ ปล่อยพลังได้ในพริบตา ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะผนึกประทับวิชาแล้ว!”
พอกล่าวจบ ชายชุดเทาก็หมุนตัวอย่างไม่ลังเลใดๆ แล้ววิ่งหนีอน่างบ้าคลั่ง แม้แต่ค้อนสั้นอาญาสิทธิ์อันนั้นก็ไม่กล้าหยิบขึ้นมา
หลิ่วหมิ่งเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่าฮึดฮัดออกมา มือทั้งสองชูขึ้นพร้อมกัน เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น คมวายุสามแส้นนพุ่งออกไปพร้อมกันทันที
คมวายุเหล่านี้เร็วกว่าฝ่าเท้าที่วิ่งอยู่กว่าครึ่งหนึ่ง เพียงแค่มันกระพริบก็มาถึงด้านหลังของชายชุดเทา
ถึงแม้ชายชุดเทาจะว่องไวปราดเปรียวเป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้ก็สามารถหลบคมวายุได้แค่สองเส้น และถูกสั้นที่สามฟันลงที่ร่างของเรา เขาร้องอย่างเวทนาแล้วล้มลงไป
เสียงดัง “ฉึก!”
เส้นสีดำพุ่งออกมาจากใต้ดินบริเวณนั้น พริบตาเดียวก็เจาะทะลุเข้าไปยังศีรษะของชายชุดเทา ทำให้เสียงร้องของเขาหยุดชะงักในทันที และตายลงไปอย่างอนาถ
มันคือแมงป่องกระดูกขาวที่ตามมาจนถึงบริเวณนี้ และในที่สุดก็ลงมือจู่โจมจากพื้นดิน
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเดินไปยังกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นอย่างวางใจ แล้วก้มลงดึงมันขึ้นมา
กระบี่สั้นเล่มนี้ยาวไม่เกินครึ่งฉื่อ แต่แสงสีเขียวสลัวๆ มีไอเย็นกระจายออกมาจางๆ และพอมันตกอยู่ในมือของหลิ่วหมิงแล้วก็ยังค่อยๆ สั่นไหวเล็กน้อยดูเหมือนจะสลัดให้หลุดพ้นจากมือของเขา
“สมกับเป็นอาวุธจิตวิญญาณจริงๆ! เจ้าของเดิมตายไปแล้วก็ยังมีพลังจิตวิญญาณอยู่ ดูท่าจะต้องไม่ใช่อาวุธระดับต่ำอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงดีใจ รับหยิบตลับหยกออกมาจากตัว นำกระบี่สั้นใส่ไว้ในนั้นแล้วใส่เข้าไปแขนเสื้อ
ขณะนี้ แมงป่องกระดูกขาวก็ใช้ก้ามยักษ์หนีบสิ่งของหลายอย่างจากร่างชายชุดเทาแล้วส่งมาให้
……………………………………….
ตอนที่ 76 อาวุธจิตวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถุงหนังสองใบนั้นไม่เท่าไหร่ในนั้นมีแค่โอสถรักษาอาการบาดเจ็บกับของสัพเพเหระจำนวนหนึ่ง แต่ตลับหยกสีแดงที่ก้ามยักษ์หนีบมากลับดึงความสนใจของหลิ่วหมิงขึ้นมาทันที
เขาหยิบตลับหยกขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และเปิดฝามันออก ไอเย็นสีขาวโพลนพุ่งออกมาจากในนั้นทำให้เขารู้สึกเย็นสะท้านจนสะดุ้ง
ไม่คาดคิดว่าในตลับนั้นจะมีมุกสีฟ้าแวววาวอยู่เม็ดหนึ่ง ดูเหมือนจะหนาวเย็นอย่างแปลกประหลาด ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนกัน
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเข้าใจว่าทำไมขายชุดเทาถึงออกมาจากทะเลเพลิงได้
ของชิ้นนี้ก็เป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และรีบเก็บตลับหยกกับสิ่งของอื่นๆ ทั้งหมด แล้วสังเกตดูรอบด้านอีกครั้ง แล้วชูมือปล่อยลูกไฟออกไปชุดหนึ่ง จัดการทำลายร่องรอยการต่อสู้ในบริเวณนั้นโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ หลังจากทำให้มันคล้ายๆ ทะเลเพลิงนั้นแล้วถึงเก็บแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปในถุงหนัง จากนั้นขี่เมฆเหาะตรงไปยังนิกายปีศาจ
……
หลายวันต่อมา ตอนที่หลิ่วหมิงกลับถึงนิกายปีศาจทุกอย่างในนิกายยังคงเหมือนเดิม ราวกับไม่มีข่าวเกี่ยวกับมังกรแดงแพร่กระจายออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไปที่หอดำเนินการทำเรื่องบันทึกการกลับเข้านิกายแล้วรีบกลับไปยังที่พักตรงเขาเก้าทารก จากนั้นก็เริ่มทานโอสถแล้วกลั่นพลังจากยาทุกวันไม่หยุด
พริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้ว
แต่ในวันนี้ ศิษย์นิกายสายนอกของสาขาเก้าทารกผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ลานเล็กๆ และตะโกนบอกเขาว่ากุยหรูฉวนเรียกเขาให้ไปหา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นเล็กน้อย หยุดการฝึกฝนแล้วเดินออกจากที่พักไป
เวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็มาปรากฏตัวบนหอใหญ่ตรงยอดเขา
ในหอนั้นนอกจากกุยหรูฉวนแล้ว เขายังเห็น ‘อาจารย์อาจาง’ นักพรตวัยกลางคนผู้นั้น
“ใช่เด็กคนนี้จริงๆ ด้วย!” นักพรตวัยกลางคนเห็นใบหน้าหลิ่วหมิงชัดเจนแล้วก็หัวเราะออกมา
กุยหรูฉวนได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เพียงแค่หันไปถามหลิ่วหมิง
“หลายวันนี้ เจ้าได้ไปตลาดเว่ยโจวไหม? และตอนกลับได้ประสบกับมังกรชั่วร้ายตนนั้นหรือเปล่า?”
“ใช่แล้ว ศิษย์ไปตลาดเว่ยโจวจริงๆ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“เจ้ารู้ไหม นอกจากเจ้าและศิษย์สองคนที่อาจารย์อาจางช่วยชีวิตไว้แล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ล้วนเสียชีวิตกันหมดไหม? ตอนที่อาจารย์อาจางของเจ้าหนีไปแล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แล้วเจ้าหนีรอดมาได้อย่างไร?” กุยหรูฉวนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็ฉายแววเก้อเขินเล็กน้อย
ตอนนั้นเขาไม่ได้ช่วยหลิ่วหมิงให้หนีไปพร้อมกัน ถึงแม้เรื่องนี้สามารถให้อภัยกันได้แต่ต่อหน้ากุยหรูฉวนผู้ที่เป็นอาจารย์ของหลิ่วหมิงผู้นี้ในตอนนี้ เขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“กราบเรียนอาจารย์กุย นอกจากศิษย์พี่เฉียนและชุ่ยเอ๋อร์แล้ว ศิษย์เกรงว่ามีศิษย์ผู้เดียวที่ยังมีสติอยู่ ดังนั้นพอเรือเหาะถูกมังกรชั่วร้ายตัวนั้นใช้พลังมหาศาลสั่นสะเทือนจนเรือเหาะแตกกระจาย ศิษย์ก็แค่ได้วิธีบางอย่างในเอาตัวรอด…”
หลิ่วหมิงไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังในทันที
แต่เรื่องเกี่ยวกับแมงป่องกระดูกขาวกับเรื่องชายปล้นสดมภ์ และอาวุธจิตวิญญาณอย่างกระบี่สั้นที่ได้มานั้น เขาย่อมไม่ได้เล่าออกมา เพียงแค่บอกว่าตนเองซื้อยันต์คุ้มกันมาหลายผืนถึงได้โชคดีหนีออกมาจากทะเลเพลิงได้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ตอนหลังข้ากลับไปยังที่เดิมแต่กลับหาศพศพของศิษย์คนอื่นๆ ไม่เจอ ไม่คาดคิดว่าจะถูกมังกรชั่วร้ายนั้นมันเผาจนหมดสิ้น แต่ศิษย์หลานไป๋กลับโชคดีไม่ใช่น้อยที่ซื้อยันต์คุ้มกันจากตลาดพอดี มิเช่นนั้นเกรงว่าก็คงไม่อาจหนีรอดมาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้าไปตรวจดูรายชื่อศิษย์ที่กลับเข้านิกายตรงหอดำเนินการ แล้วเจอรายชื่อของเจ้าเข้า ก็คงไม่รู้ว่ายังมีศิษย์อีกคนที่รอดชีวิตกลับมา”
“ศิษย์น้องจางไม่ต้องกล่าวโทษตนเอง ใครจะไปรู้ว่าเดิมทีแค่คิดที่จะวางกับดักล่อพวกโจรปล้นสดมภ์ที่ชอบออกมาก่อความวุ่นวายให้ออกมา แต่กลับล่อมังกรร้ายตนนี้ให้ออกมาด้วย และในบรรดาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามก็มีแค่ศิษย์น้องจางคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว” กุยหรูฉวนหันมาปลอบใจ
“ข้าเองก็เป็นเพราะว่าผู้อาวุโสชื่อหยางจากนิกายวาตอัคคีโผล่มาพอดี จึงทำให้เจ้ามังกรร้ายตนนั้นตกใจจนหนีไป มังกรตัวนี้ร้ายกาจกว่าที่ร่ำลือไว้มาก ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสอาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราก็ไม่อาจยุแหย่มันได้ น่าเสียดายที่ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสชื่อหยางตามไล่มังกรตัวนี้ได้สองวันก็ตามมันไม่ทันเสียแล้ว” นักพรตวัยกลางคนหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว ผ่านไปอีกสักระยะอาจารย์อาเยี่ยนคงจะออกการการเก็บตัวแล้ว พอถึงเวลานั้นนิกายเรายังมีความหวังที่จะได้ประโยชน์จากมังกรร้ายตนนี้” กุยหรูฉวนกลับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ใช่สิ! ศิษย์หลานไป๋ เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ อีกอย่างห้ามแพร่งพรายเรื่องเกี่ยวกับมังกรชั่วร้ายตนนี้และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตลาดโดยเด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนจะใช้กฎนิกายจัดการ” นักพรตวัยกลางคนพยักหน้าแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบ ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นยะเยือก เขารีบตอบรับแล้วถอยออกไป
“ศิษย์ผู้นี้ไม่เลว ไม่คาดคิดว่าตอนที่มังกรชั่วร้ายแผดเสียงร้องเขายังสามารถรักษาสติไว้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ทั่วไปสามารถทำได้” พอหลิ่วหมิงไปจากหอใหญ่แล้วนักพรตวัยกลางคนก็เอ่ยปากชมเชยออกมา
“อือ! ศิษย์ผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหรือสติปัญญาล้วนดีงามเป็นอย่างมาก น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือมีคุณสมบัติแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าคงรับเขาเป็นศิษย์ติดตามนานแล้ว” กุยหรูฉวนพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ช่างน่าเสียดายจริงๆ แต่ถ้าเขาสามารถเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ล่ะก็ ก็มีโอกาสที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาได้” นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน
“ใช่สิ! ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับศิษย์พี่เลยสักคำ ได้ยินมาว่าศิษย์พี่จูกับศิษย์น้องจงไปตลาดเผ่าเจ้าสมุทรมา และได้แลกเหล็กแสงเย็นสะท้านจากใต้ทะเลลึกมาได้ จุ๊ๆ! ของชิ้นนี้เป็นหนึ่งในวัสดุในการหลอมสร้างกระบี่บิน เกรงว่าอีกไม่นานทางนิกายจันทราสวรรค์คงส่งคนมาหาศิษย์พี่แล้วล่ะ” นักพรตวัยกลางคนนึกเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวออกมาด้วยความยินดี
“เฮ่อๆ ความโชคดีของศิษย์น้องทั้งสองได้มาถึงแล้ว แต่ถึงแม้สิ่งของนี้จะใช้ทำกระบี่ได้ก็หลอมสร้างได้แค่กระบี่บินระดับต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรามีแผนที่ใช้ทำอย่างอื่น และไม่คิดที่จะขายให้นิกายจันทราสวรรค์” กุยหรูฉวนลูบหนวดแล้วกล่าวด้วยสีหน้าดีใจ
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ นิกายจันทราสววรค์สนใจวัสดุที่ใช้ในการทำกระบี่บินมาตลอดโดยไม่เกี่ยงราคาใดๆ” นักพรตวัยกลางคนตกตะลึงเล็กน้อยราวเก็บไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เฮ่อๆ เรื่องนี้ต่อไปศิษย์น้องก็จะรู้เอง” กุยหรูฉวนหัวเราะออกมา เหมือนกับไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ไปมากกว่านี้แล้ว
จากนั้นทั้งสองคุยกันกันอีกสักพัก นักพรตวัยกลางคนก็กล่าวอำลาจากไป
และหลิ่วหมิงพอกลับถึงที่พัก ก็เข้าห้องฝึกฝน คิดไตร่ตรองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ครู่หนึ่ง ถึงหยิบโอสถออกจากตัวหนึ่งเม็ดแล้วทานลงไป และเริ่มต้นกลั่นพลังจากโอสถ
สำหรับเขาในตอนนี้แล้ว ก้าวสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายถึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขา
ด้านหนึ่งเขากระตุ้นเคล็ดขั้นที่สามของวิชากระดูกดำ อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงพลังเวทภายในที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา
ครึ่งเดือนผ่านไป หลิ่วหมิงที่กำลังฝึกฝนอยู่ พลันรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะเทือน ทะเลจิตวิญญาณโคจรหมุนติ้วๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ในทันที ขณะเดียวกันพลังสองสายหนึ่งร้อน หนึ่งเย็น พุ่งออกจากในนั้น และวิ่งไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว และพุ่งขึ้นไปยังศีรษะ
เสียงดัง “ตู้ม!”
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดังขึ้น พยังร้อนเย็นทั้งสองสายก็มารวมตัวกันตรงจิตทันที แล้วผสานเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวเข้า ขณะเดียวกันร่างกายก็เบาจนเกือบจะลอยขึ้นได้ เขารู้สึกเบาสบายไปทั่วร่างกายเป็นอย่างมาก
“สำเร็จแล้ว เคล็ดวิชากระดูกดำนี้ก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะไม่เจอกับปัญหาคอขวดแม้แต่นิดเดียว
หลิ่วหมิงลุกขึ้นมาสัมผัสพลังเวทแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า เขารู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ฟองอากาศจะระเบิดแล้ว
ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงถึงระงับอาการตื่นเต้นลงได้ เขาคิดที่จะไม่ออกไปไหนในช่วงระยะเวลานี้ จนกว่าจะควบคุมพลังเวทที่ไหลออกภายนอกได้ดั่งใจ
ด้วยเหตุนี้ นอกจากเขาจะใช้พลังเวทในการต่อสู้กับผู้อื่นแล้ว คนทั่วไปก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาฝึกฝนบรรลุไปอีกขั้นแล้ว
การใช้เวลาอันสั้นนี้สามารถก้าวสู่เขตแดนศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ ด้วยสถานะอย่างเขาที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนัก
เวลาในสองเดือนกว่าๆ โอสถที่เหลือหลิ่วหมิงก็ทานไปพอประมาณแล้ว แม้กระทั่งภายในร่างกายก็เกิดอาการต่อต้านโอสถหลายชนิดนี้ ต่อให้ทานต่อเนื่องก็ไมาสามารถเพิ่มพลังเวทได้มากแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิเงียบในทุกวันเพื่อทำให้ดินแดนศิษย์จิตวิญญาณนั้นค่อยๆ มีสเถียรภาพขึ้นมา
ที่ทำให้หลิ่วหมิงกลัดกลุ้มก็คือตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบไปครึ่งปีแล้ว แต่ฟองอากาศในร่างกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
ภายใต้ความรู้สึกประหลาดใจนี้ เขายิ่งไม่ยอมออกไปทำภารกิจนิกายภายใต้สถานการณ์แบบนี้
แต่วันนี้เขายังไปหอหอคัมภีร์โบราณตรงเขาเก้าทารกรอบหนึ่ง และหาคัมภีร์หนาๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับอาวุธจิตวิญญาณมาหลายเล่ม แล้วนำกลับมายังที่พัก
ผ่านไปไม่กี่วัน ในที่สุดเขาก็ศึกษาเคล็ดบางอย่างจนทะลุปรุโปร่ง เขารีบหยิบกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาอ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์ใส่มัน จากนั้นทำท่ามือด้วยมือเดียวส่งพลังเวทใส่เข้าไปในกระบี่สั้น
เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”
อาวุธจิตวิญญาณดูดไอบริสุทธิ์จนเกือบจะหมด พื้นผิวภายนอกของมันมีอักขระสีเขียวออกมาแน่นขนัด แต่ละตัวมีขนาดเท่าเม็ดข้าว แต่หลังจากหมุนติ้วๆ ไปแล้ว ก็เกาะตัวกันเป็นค่ายกลสีเขียว เส้นใยสีขาวแต่ละชั้นพันมันไว้ มองไปก็เห็นมีสิบกว่าชั้น
ตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงจ้องเขม็ง แล้วเริ่มจดจำจำนวนอักขระในค่ายกลเหล่านี้ ผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้กล่าวกับตนเองอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
“จำกัดสิบหกชั้น อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง! นับว่าเป็นสูงสุดของอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน”
ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ที่เขาอ่านก่อนหน้านี้ ขนาดอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณกับการแบ่งแยกระดับขั้นคุณสมบัติของอาวุธ ส่วนใหญ่ใช้จำนวนชั้นจำกัดที่แฝงอยู่ในนั้นมาเป็นตัววัด
ปกติแล้ว อาวุธจิตวิญญาณที่มีชั้นจำกัดหนึ่งถึงเก้าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับล่าง สิบถึงสิบแปดชั้นจำกัดเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง สิบเก้าถึงยี่สิบชั้นนับเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง ยี่สิบแปดถึงสามสิบหกก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด
สำหรับชั้นจำกัดสามสิบหกชั้นขึ้นไปนั้น เล่ากันว่าต้องเป็นอาวุธเวทที่มีพลังโค่นภูเขาคว่ำทะเลได้ถึงมีได้ คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้นกล่าวถึงแค่เล็กน้อย ไม่ได้กล่าวไว้มาก
แน่นอนว่าตัววัดคุณสมบัติอาวุธจิตกับอานุภาพในการใช้นี้ก็ใช่ว่าจะสัมบูรณ์ กล่าวได้ว่าโดยแก่นแท้แล้วในอาวุธจิตวิญญาณก็มีการควบคุมซึ่งกันและกัน ทั้งยังต้องดูจากลักษณะธาตุของมันเหมาะสมกับวิชาที่เจ้าของฝึกหรือไม่ อยู่ในมือของผู้ฝึกฝนที่มีระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกันก็อานุภาพที่ปล่อยออกมาก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
……………………………………….
ตอนที่ 77 ปรุงโอสถ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้เป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องของระดับการฝึกฝนทำให้ไม่อาจสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของสิบหกชั้นจำกัดในกระบี่สั้นเล่มนี้ออกมาได้ ตอนนี้สามารถกระตุ้นได้สามสี่ชั้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ขอแค่ฝึกฝนกระบี่เล่มนี้ได้ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้มันมีขนาดใหญ่เล็กได้ดังใจ ทั้งยังสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดบนนั้นได้ ส่วนอานุภาพนั้นอาวุธอาญาสิทธิ์ทั้งหลายไม่อาจเทียบได้
หลิ่วหมิงเลิกคิดเรื่องนี้ พลันโยนกระบี่สั้นไปตรงหน้าแล้วมันก็ลอยอยู่บนอากาศ เขาทำท่ามือพร้อมกับร่ายคาถาไปด้วย เขาไอบริสุทธิ์พ่นใส่กระบี่สั้นอยู่ไม่หยุด และถูกมันซึมซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มันยิ่งเปล่งแสงเย็นสะท้านน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม
แต่การกระตุ้นกระบี่สั้นนี้ยากลำบากเกินความคาดหมายของหลิ่วหมิงไปมาก
ไม่รู้เป็นเพราะการฝึกฝนของเขาต่ำเกินไปสำหรับกระบี่สั้นเล่มนี้ หรือเป็นเพราะว่าการกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว
เขาฝึกกระตุ้นแค่ชั้นจำกัดที่หนึ่งก็ใช้เวลาไปเจ็ดวันแล้ว ชั้นที่สองก็ใช้เวลานานครึ่งเดือน ชั้นที่สามใช้เวลาไปสองเดือนเต็มๆ ถึงจะพอกระตุ้นได้บ้าง
สำหรับชั้นจำกัดที่สี่นั้น หลังจากกระตุ้นไปหลายวันแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น ถึงรู้ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถกระตุ้นต่อได้ อย่างมากก็ต้องรอฝึกฝนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ถึงจะพอมีหวังบ้าง
และภายในระยะเวลาสามเดือนนี้ เจ้าฟองอากาศลึกลับนั่นก็ไม่ทีท่าว่าจะโผล่ออกมาเลย
มันเริ่มทำให้หลิ่วหมิงกลัวจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่หลังจากที่เขาตัดสินใจแน่วแน่ก็เริ่มศึกษาหนังสือรวมวิธีปรุงโอสถพื้นฐานที่ซื้อมาจากตลาดเว่ยโจวเล่มนั้น
ในเมื่อเขาฝึกจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว โอสถเพิ่มพลังเวทที่ใช้ย่อมแพงกว่าที่ใช้แต่เดิมมาก และยังหาได้ยากขึ้น ถ้ายังทานแต่โอสถระดับต่ำล่ะก็มันไม่เพียงพอที่จะผลักดันให้พลังเวทของเขาไปถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีเงื่อนไขในเรื่องระดับคุณภาพของโอสถแล้ว
ถ้าหากเขาเข้าสู่เขตแดนของอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว เงื่อนไขของโอสถเพิ่มพลังเวทยิ่งมีมากกว่าเดิม บางแค่หินจิตวิญญาณคงไม่อาจซื้อโอสถที่พึงพอใจได้
ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ หลิ่วหมิงย่อมหวังว่าตนเองจะสามารถเรียนรู้วิชาปรุงโอสถให้ได้โดยเร็ว
และหนังสือรวมวิธีปรุงโอสถเล่มนี้ดูเหมือนจะง่าย ซึ่งแนะนำความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโอสถและวิธีทั่วไปในการปรุงโอสถเท่านั้น
ตามที่กล่าวไว้ในนั้น นักปรุงโอสถที่ดีที่สุดต้องเป็นผู้ที่ฝึกวิชาเกี่ยวกับธาตุไฟหรือธาตุไม้ แน่นอนว่าถ้าหากมีเปลวไฟจิตวิญญาณตามตำนานก็ยิ่งดี
และตอนเริ่มต้นลงมือเรียนวิชาปรุงโอสถใหม่ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หลักสำคัญของมันก็คือจำแนกวัตถุดิบของโอสถ แล้วนำไปผ่านขั้นตอนการใช้อุณหภูมิสูงทำให้มันเกาะตัวกันเป็นเม็ดโอสถ ขอแค่ไม่ใช่ผู้ทีโง่เขลาจนเกินไปก็สามารถเรียนรู้วิธีการคร่าวๆ ได้โดยง่าย
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือเรียนรู้วิธีการไม่เท่ากับการปรุงโอสถออกมาได้จริง
อย่างไรก็ตามโอสถแต่ละชนิดที่ปรุงออกมาได้ต่างก็ต้องผ่านตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในเรื่องของการผสมวัตถุดิบ การควบคุมอุณหภูมิ และเวลาที่โอสถออกจากเตาเป็นต้น
ต่อให้มีความคลาดเคลื่อนแค่เพียงน้อยนิด ก็สามารถก่อให้เกิดความล้มเหลวในขั้นตอนการปรุงโอสถได้
และสิ่งเหล่านี้ส่วนมากไม่สามารถสอนให้รู้ด้วยคำพูดและการปฏิบัติให้ดูได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติให้มากๆ จึงจะสามารถทำออกมาได้
ดังนั้นต่อให้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถฝีมือสูงส่งสักเพียงใด ก็ใช่ว่าจะปรุงโอสถง่ายๆ ได้สำเร็จร้อยส่วน
สำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสกับการปรุงโอสถครั้งแรกนั้น ต่อให้จะปรุงโอสถชนิดที่ง่ายที่สุด แต่โอกาสสำเร็จเป็นเม็ดโอสถก็ต่ำจนน่าเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
ความล้มเหลวในการปรุงโอรสกว่าร้อยครั้งนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยสำหรับคนทั่วไป
สำหรับการปรุงโอสถระดับกลางจนถึงสูงนั้น เป็นเพราะสูตรโอสถที่ซับซ้อนจนทำให้วัตถุดิบที่ใช้ก็ยิ่งหายาก จนไม่สามารถทดลองปรุงโอสถได้ ส่วนมากอาศัยประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถมาปรุงเท่านั้น ทำให้ความต้องการต่อผู้เชี่ยวชาญการโอสถยิ่งสูงขึ้นไปอีก
และการเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริงได้ จำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนหลายครั้งและต้องมีทรัพยากรมหาศาลจึงจะมาถึงจุดนี้ได้
สิ่งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในโลกของผู้ฝึกฝนมีน้อยมาก แม้กระทั่งกล่าวได้ว่ามีแค่นิกายใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลมากเท่านั้น ถึงจะฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับกลางถึงสูงได้
ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอันดับหนึ่งที่สังกัดสาขาพิษจิตวิญญาณผู้นั้น ก็เป็นแค่นักปรุงโอสถระดับกลางเท่านั้น แต่ตำแหน่งในนิกายเขาแตกต่างกับอาจารย์จิตวิญญาณผู้อื่นโดยสิ้นเชิง และไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา
หลิ่วหมิงอ่านหนังสือรวมวิธีปรุงโอสถพื้นฐานหมดไปทั้งเล่มแล้ว ก็เริ่มรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองดู หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยก็เลือกปรุงโอสถทิพย์ซึ่งเป็นโอสถที่ใช้บ่อยที่สุดจากสูตรโอสถที่เขียนไว้ในนั้น จากนั้นก็ศึกษาอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ แล้วหยิบชุดเครื่องมือปรุงโอสถกับวัตถุดิบจำนวนหนึ่งออกมาลองบดผสมแล้วปรุงดู
ห้าวันผ่านไป มีเสียง “เพล้ง!” ดังมาจากห้องฝึกฝน หม้อปรุงโอสถสีขาวตรงหน้าหลิ่วหมิงถูกเปลวไฟอันคุโชนเผาไหม้จนเกิดเป็นเขม่าสีดำ และยังมีกลิ่นไหม้จางๆ กระจายออกมาจากในนั้นด้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา แต่ก็รีบหยุดการทำท่ามือแล้วเปลวไฟรอบหม้อปรุงโอสถก็ดับไป
เขาประสบความล้มเหลวในการปรุงโอสถไม่รู้กี่สิบครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถปรุงโอสถทิพย์ออกมาได้แม้แต่เม็ดเดียว
ถึงแม้ในตำราจะระบุไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสกับการปรุงโอสถใหม่ๆ
แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ในสถานการณ์เช่นนี้ จากเดิมที่รู้สึกฮึกเหิมกลายเป็นรู้สึกท้อถอยขึ้นมา
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือวัตถุดิบเกี่ยวกับการปรุงโอสถที่ซื้อมาในก่อนหน้านั้นหมดไปเกือบจะครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก เขาจึงหยุดฝึกฝนการปรุงโอสถ แล้วต่อไปค่อยหาโอกาสหาคัมภีร์เกี่ยวกับการปรุงโอสถจากในนิกายมาอ่านดู หรืออาจไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาเรื่องการปรุงโอสถอีกครั้ง
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีโอสถใช้ หลิ่วหมิงทำได้แค่ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังค่อยๆ ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำต่อไป
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามเดือนแล้ว
ช่วงระยะเวลานี้ยังคงไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น จนหลิ่วหมิงสงสัยว่าฟองอากาศลึกลับนั่นหายไปจากร่างเขาไปแล้วหรือไม่
แต่ในวันนี้ ขณะที่เขากำลังฝึกฝนอยู่พลันรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวตรงทะเลจิตวิญญาณ พลังการกลืนกินม้วนพุ่งออกมาจากในนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งปีที่มันระเบิดขึ้นในครั้งก่อน ในที่สุดมันก็ปรากฏออกมาแล้ว
ภายใต้ความตื่นตะลึง เขาเรียกแมงป่องกระดูกขาวออกมาโดยไม่ลังเล หลังจากใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสื่อสารกันเล็กน้อยแล้วก็เริ่มกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำควบคุมพลังเวทอย่างสุดชีวิต
การกลืนกินในครั้งนี้ดุเดือดกว่าครั้งก่อนมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลิ่วหมิงก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีพลังเวทเพิ่มขึ้นมาสามถึงสี่เท่าแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงถูกกลืนกินพลังเวทไปจนหมดตัวภายในระยะเวลาอันสั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พลังเวทภายในร่างของหลิ่วหมิงก็ยังถูกฟองอากาศลึกลับนั่นกลืนกินไปเกือบเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน ก่อนที่มันจะหยุดการกลืนกิน
ในระหว่างเวลานี้หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกถึงอายุขัยที่ถูกลอกออกไป ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก
แต่พอหลังจากที่ฟองอากาศระเบิดตัวออกมา ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงก็มืดดำแล้วไปปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าอันมืดครึ้มอีกครั้ง
ห้องเหมือนเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าใหญ่กว่าเดิมมาก เส้นผ่าศูนย์กลางยาวสามสิบกว่าจั้งแล้ว
สิ่งที่ปรากฏมาพร้อมหลิ่วหมิงคือปีศาจแมงป่องกระดูกขาวที่มีจิตเชื่อมกับเขาตนนั้น
ปีศาจตนนี้รู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อยกับการปรากฏตัวขึ้นในอีกสถานที่หนึ่ง แต่พอค้นพบว่าสถานที่นี้น่าประทับใจเล็กน้อย มันก็รีบปีนป่ายไปมาด้วยความตื่นเต้น
หลิ่วหมิงไม่ได้ถามอะไรแมงป่องกระดูกขาวมาก และหลังจากที่เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา
ดูเหมือนว่าถึงแม้ฟองอากาศลึกลับนั่นจะกลืนกินพลังเวทดุเดือดขึ้นทุกครั้ง แต่ระยะห่างของเวลาที่มันปรากฏตัวก็นานมากกว่าเดิม เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา
ถ้าหากดูตามระยะห่างในครั้งนี้ ที่ดูเหมือนจะห่างจากครั้งก่อนเท่าตัวมาชี้ขาดล่ะก็ ครั้งต่อไปที่มันจะปรากฏออกมาคงจะต้องใช้เวลาสองปี
แน่นอนว่ามันเป็นแค่สิ่งที่เขาคาดคิดไว้เท่านั้น มันจะใช้เวลานานเช่นนี้หรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจตอบได้
อย่างน้อยเขาก็ต้องรอให้ฟองอากาศลึกลับนั่นปรากฏตัวอีกสองสามครั้ง จึงจะจับจุดเวลาที่มันปรากฏออกมาได้อย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองในใจอย่างเงียบกริบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงทำท่ามือเตรียมฝึกวิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ
……
ครึ่งปีต่อมา ลูกเปลวไฟยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสามฉื่อกว่าๆ ค่อยๆ หมุนวนอยู่ระหว่างมือทั้งสองของหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด หลังจากที่สะบัดแขนมันก็พุ่งออกไปข้างหน้าด้วยเสียงอันดัง
หลังจากเสียงดัง “ตู้ม!” สิ่งที่คล้ายเมฆรูปดอกเห็ดสีแดงดำก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นไปจากผนังหมอกด้านหน้า ทำให้ห้องว่างเปล่าทั้งห้องค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา
หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา ในขณะเดียวกันเครื่องหมายสีแดงในศีรษะก็กะพริบหายไป
แน่นอนว่าลูกเปลวไฟยักษ์เมื่อครู่นี้ไม่ใช้วิชากระสุนไฟทั่วไป แต่เป็นการนำลูกเปลวไฟหลายลูกมารวมเข้าด้วยกัน มันจึงมีอานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้
ถึงแม้จะเป็นวิชาระดับต่ำ แต่เมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วพลังการทำลายยังคงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อานุภาพแข็งแกร่งจนวิชาคมวายุไม่อาจเทียบได้
หลิ่วหมิงนั่งลงไปบนพื้นเตรียมที่จะฟื้นฟูพลังจิตที่ใช้ไปก่อนหน้านี้
แต่พอเขาชายตามองไปแวบเดียว กลับเห็นแมงป่องกระดูกขาวกำลังใช้หางตะขอตรงหลังทิ่มแทงผนังหมอกแถวนั้นอยู่ไม่หยุด
หางตะขอสีดำที่เดิมทีรวดเร็วปานสายฟ้าแลบอยู่แล้ว ตอนนี้ภายใต้การกระตุ้นของแมงป่องกระดูกขาวก่อให้เกิดเงาดำที่มีลักษณะเหมือนกันหลายเส้น ในขณะเดียวกันปลายแหลมๆ ด้านหน้าก็ยิ่งส่งเสียงร้องแหลมไม่หยุด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา
เขาตั้งใจนำแมงป่องกระดูกขาวตนนี้เข้ามาพร้อมกับเขา ซึ่งนอกจากจะมีสิ่งมีชีวิตที่คอยอยู่เป็นเพื่อนในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้แล้ว เขาก็คิดที่จะให้มันได้ฝึกฝนด้วย
ในเมื่อเขาสามารถยกระดับการฝึกฝนวิชาในนี้ได้ แมงป่องกระดูกขาวก็ย่อมทำได้เช่นกัน
และดูจากตอนนี้แล้วเขาคงคิดไม่ผิด แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ฝึกฝนหางตะขออยู่ไม่หยุด จนทำให้การลอบสังหารของมันรวดเร็วกว่าครึ่งปีก่อนสองถึงสามในสิบส่วน
อย่าดูถูกสองถึงสามในสิบส่วนที่กล่าวถึงนี้!
เดิมทีการลอบสังหารโดยหางตะขอก็เป็นการโจมตีร้ายแรงที่รวดเร็วที่สุดของแมงป่องตัวนี้อยู่แล้ว ตอนนี้มีการเลื่อนระดับขึ้นพลังการทำลายดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ด้วยเหตุนี้เขาย่อมวางใจมากกว่าเดิมที่จะให้แมงป่องกระดูกขาวฝึกฝนต่อไป
หลิ่วหมิงพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มพิจารณาว่าต่อไปจะฝึกวิชาอะไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอานุภาพหรือความเร็วในการปล่อยพลังของวิชาศรวารีก็ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับวิชากระสุนไฟและคมวายุ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเสียเวลากับมัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพิจารณาถึงการฝึกฝนวิชาระดับที่ค่อนข้างสูงอื่นๆ แล้ว
……………………………………….
ตอนที่ 78 การหมั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
วิชาแท่งวารี วิชาเลนทราย วิชาใยแมงมุม!
ครั้งก่อนเขาได้สามวิชานี้มาจากหอคัมภีร์โบราณ และเป็นสามวิชาระดับสูงที่ศิษย์ในนิกายปีศาจฝึกฝนกันมากที่สุด
ในเมื่อผู้คนจำนวนมากต่างก็เลือกทั้งสามวิชานี้ซึ่งมีจุดเด่นที่วิชาอื่นไม่มี ประการแรกคือเมื่อเทียบกับวิชาระดับสูงอื่นๆ แล้วมันใช้เวลาในการปล่อยวิชาออกมาสั้นกว่า อานุภาพก็ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่า ประการที่สองวิชาทั้งสามนี้ต่างก็มีผลลัพธ์พิเศษในการบังคับหรือปิดล้อมศัตรู ส่วนมากนำออกมาใช้เมื่อต้องเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง
ถึงแม้จะมีศิษย์นิกายปีศาจจำนวนมากที่ฝึกทั้งสามวิชานี้ แต่ผู้ที่ฝึกฝนจนสำเร็จขั้นต้นกลับมีแค่ไม่กี่คน ส่วนขั้นสูงและสมบูรณ์แบบนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
เพราะว่าเมื่อเทียบกับวิชาคมวายุ วิชากระสุนไฟ และวิชาง่ายๆ อย่างอื่นแล้ว ทั้งสามวิชานี้ฝึกฝนยากลำบากกว่ามาก เวลาที่ใช้ในการฝึกฝนก็ดูเหมือนจะมากกว่าสามถึงสี่เท่าขึ้นไป
ถึงแม้ศิษย์ที่ฝึกฝนวิชานี้มีมากแต่เหมือนจะไม่มีใครยอมเสียเวลาไปฝึกฝนโดยเฉพาะ
ที่หลิ่วหมิงกล้าทำเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะเขาอาศัยเวลาที่ผ่านไปในห้องว่างเปล่าลึกลับเพื่อฝึกฝน ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาในการฝึกฝนจริงๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความยากลำบากในการฝึกฝนทั้งสามวิชานี้แล้ว เขาก็ได้แต่คิดที่จะฝึกฝนแค่หนึ่งในสามวิชาที่สามารถใช้เป็นท่าไม้ตายได้
วิชาแท่งวารีมีพลังในการทำลายล้าง ทั้งยังใช้ไอเย็นในการแช่แข็งศัตรูได้ แต่น่าเสียดายที่วิธีการโจมตีเรียบง่ายเกินไปทำให้ศัตรูหลบหลีกได้ง่าย
วิชาเลนทรายสามารถสร้างทรายให้เคลื่อนไหวขนาดใหญ่ใต้เท้าคู่ต่อสู้ ทำให้คู่ต่อสู้ถูกโอบล้อมอยู่ในนั้นโดยปริยาย แต่พอคู่ต่อสู้ออกจากในนั้นได้วิชานี้ก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว
วิชาใยแมงมุมมีวิธีการโจมตีหลายรูปแบบ เมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีลักษณะพิเศษ ก็ยิ่งสำแดงผลลัพธ์มหัศจรรย์ที่เขาคาดไม่ถึง แต่เสียดายที่วิชานี้เกรงกลัวพลังจากเปลวไฟมากที่สุด กระสุนไฟลูกเล็กๆ ก็สามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงไตร่ตรองอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วก็ตัดสินใจฝึกฝนวิชาแท่งวารี
ถึงแม้วิธีการโจมตีของวิชานี้จะมีแค่รูปแบบเดียว และมีความยากในการโจมตีคู่ต่อสู้ได้ตรงเป้า แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แค่ต้องใช้สมองให้มากหน่อย กอปรกับฝึกฝนให้วิชานี้มีอานุภาพที่สูงยิ่งขึ้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่น่าวาดหวังได้
หลิ่วหมิงพักผ่อนไปครึ่งวัน กำลังวังชาก็ฟื้นคืนมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มทำการฝึกฝนวิชาแท่งวารี
……
เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งกำหนดลมหายใจอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ พลันได้ยินเสียงดังหวึ่งตรงหูทั้งสอง หลังจากลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้งเขาก็กลับมาอยู่ในห้องฝึกฝนแล้ว
“เวลาสองปีเต็มๆ ! ที่แท้เจ้าสิ่งนั้นยิ่งกลืนกินพลังเวทย์มาก ก็ยิ่งทำให้อยู่ที่นั่นได้นานขึ้น”
ครั้งนี้ไม่มีสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของเขา แต่กลับกล่าวพึมพำอย่างสงบ
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของหลิ่วหมิงก็สั่นสะท้าน พลังเวทย์อันบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งไหลพรั่งพรูออกมาจากทะเลจิตวิญญาณ
แต่เขาได้เตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว เขารีบหลับตาทั้งสองลงกำหนดลมหายใจในทันที
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พอเขามีการเคลื่อนไหวลักษณะท่าทาง ทะเลจิตวิญญาณก็หยุดโคจร พลังเวทย์ที่ถูกกลืนกินไปกลับคืนมาเกือบครึ่งหนึ่ง ทั้งยังไม่ลดระดับการฝึกฝนลงไปสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่พอคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พอจะเข้าใจบ้าง
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พลังเวทย์ของเขาอาจจะต่ำไปหน่อยเมื่อเทียบกับศิษย์ระดับจิตวิญญาณขั้นปลายคนอื่นๆ แต่เมื่อเทียบศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้วกลับสูงกว่ามาก ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถรักษาระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่ให้ลดลงไปสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้
แต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ทำไมครั้งแรกเขาถึงหล่นลงจากระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางไปสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นได้!
หรือเป็นเพราะว่าจำนวนพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นจากระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นถึงขั้นกลางนั้นน้อยกว่าตอนนี้มาก
หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่ระดับการฝึกฝนไม่ได้ร่วงลงไปก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว เขาก็เลยขี้เกียจคิดมาก
ถึงอย่างไรการปรากฏตัวของฟองอากาศลึกลับนั้น เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ลึกลับเป็นอย่างมากอยู่แล้ว มีเรื่องบางอย่างที่คิดหาคำตอบไม่ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่พอเขาตรวจสอบดูสถานการณ์ของพลังเวทย์ในร่างก็รู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ภายในร่างสูงกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งในสิบส่วน
ประจักษ์ชัดว่าถึงแม้ฟองอากาศลึกลับจะยิ่งกลืนกินพลังเวทย์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็เพิ่มระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ไปด้วย
ด้วยเหตุนี้สภาพของเขาในตอนนี้จึงมีลักษณะที่พิเศษเป็นอย่างมาก
ถ้าพูดถึงปริมาณของพลังเวทย์ เห็นได้ชัดว่าเขาเทียบไม่ได้กับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคนอื่นๆ แต่ถ้าพูดถึงความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ล่ะก็ ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่อาจเทียบกับเขาได้
พูดๆ ง่ายก็คือ ถ้าเขาต่อสู้อย่างดุเดือดกับศัตรูแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเขตแดนเดียวกัน เขาจะได้เปรียบกว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าหากเวลาผ่านไปนานแล้วไม่สามารถเอาชนะได้พลังเวทย์ก็จะหมดก่อนฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าเขาใช้วิธีการรบแบบกองโจรโต้ตอบกลับไปมาต่อเนื่องทั้งวันหรือไม่กี่วันล่ะก็ สุดท้ายแล้วผู้ที่ชนะก็อาจจะเป็นเขา
เพราะว่าพลังเวทย์ที่บริสุทธิ์ไม่เพียงแต่แสดงถึงอานุภาพของเคล็ดวิชาที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงระดับการฟื้นฟูพลังเวทย์ที่รวดเร็วห่างชั้นกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเขตแดนเดียวกันมาก
หลิ่วหมิงคิดอย่างรอบตอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมา
สำหรับพลังของเขาในสภาพที่พิเศษนี้ ดูเหมือนจะให้ผลดีมากกว่าผลเสีย
พอเขาหันไปมองเห็นแมงป่องกระดูกขาวที่นอนอยู่บนพื้น คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน
ไม่รู้เป็นเพราะไม่มีปราณหยินในบริเวณนี้ให้มันได้หายใจ หรือว่าก่อนหน้านี้ร่างของเขาไม่ได้สัมผัสกับแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ มันจึงไม่มีวี่แววของการกลืนกินพลังเวทย์และการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์
ดูเหมือนจิตของมันหมุนวนอยู่ในห้องว่างเปล่ากับเขารอบหนึ่ง แล้วก็กลับไปเข้าไปสู่ร่างเดิมของมันแล้ว
หลิ่วหมิงใช้จิตสื่อการกับแมงป่องกระดูกขาวครู่หนึ่ง
ครู่ต่อมาหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวก็ค่อยๆ ขยับ เส้นสีดำสิบกว่าเส้นกะพริบผ่านไปในอากาศอย่างรวดเร็ว พลันเกิดรูเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมือสิบกว่าแห่งบนพื้นด้านหน้าที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง
หางตะขอของมันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก แม้แต่หลิ่วหมิงก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ปลื้มปีติเป็นอย่างมาก
ถึงแม้พลังเวทย์ของปีศาจตนนี้จะไม่มีอะไรที่พิเศษ แต่การฝึกฝนในห้องว่างเปล่าลึกลับก็ได้ผลลัพธ์มาไม่น้อย
ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เขาคงจะวางใจได้จริงๆ แล้ว
เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงก็ยังกำหนดลมหายใจอยู่ในห้องฝึกฝนต่อเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำพลังเวทย์ที่เพิ่งได้กลับคืนมาใหม่ให้มั่นคงยิ่งขึ้น แล้วค่อยพิจารณาถึงเรื่องอื่นๆ
แต่พอเช้าวันที่สี่กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาหาเขาถึงที่พัก
“ไป๋ชงเทียน เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงกระจ่างใสดังขึ้นมาจากประตูด้านนอก ทำให้หลิ่วหมิงที่กำลังกำหนดลมหายใจอยู่รู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย เขาละมือจากการฝึกฝนลุกขึ้นผลักประตูเดินออกไป
เขาเห็นดรุณีน้อยใบหน้างดงามราวกับหยกที่สวมชุดผ้าดิ้นสวยงามยืนอยู่ตรงลานเล็กๆ ด้านหน้าที่พัก
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องมู่!”
เกือบจะสองปีที่เขาไม่ได้เจอกับดรุณีน้อยด้านหน้า แต่แค่มองไปแวบเดียวหลิ่วหมิงก็จำนางได้ และกล่าวออกไปด้วยตาที่เป็นประกาย
มู่หมิงจูที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้สลัดภาพสาวน้อยเมื่อสองปีก่อนออกไปหมดสิ้น กลายเป็นดรุณีน้อยสวยหยาดเยิ้มที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มสั่นไหวได้
“เจ้าคือไป๋ชงเทียน!”
พอมู่หมิงจูเห็นชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูสูงใหญ่ราวกับโตเต็มที่แล้วก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ประจักษ์ชัดว่าภาพลักษณ์ของหลิ่วหมิงที่ล้างไขกระดูกแล้ว ก็ทำให้ดรุณีนางนี้รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“ไม่ผิด ข้าคือไป๋ชงเทียน ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์น้องหมิงจูเป็นศิษย์นิกายสายนอกที่สังกัดสาขาพลังโลหิตใช่ไหม ทำไมถึงมาที่เขาเก้าทารกของพวกข้าได้ล่ะ” หลิ่วหมิงถามด้วยน้ำเสียงคงเดิม
“ฮึ! เจ้ายังจะมาถามข้าอีก ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าให้บิดาของเจ้ามาพูดเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลมู่ใช่ไหม? ไม่คาดคิดว่าสองตระกูลจะหมั้นหมายกันแล้วให้ข้าแต่งกับเจ้า” พอมู่หมิงจูได้ยินเช่นนี้ก็เรียกสติกลับมาได้แล้วกล่าวออกไปด้วยความโมโห
“แต่งงาน? เรื่องนี้ข้าเคยเห็นคนในตระกูลส่งจดหมายมาบอกกล่าวอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก” หลิ่วหมิงตอบกลับโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย
“ไม่รู้เหรอ? เจ้าโกหกใคร? บิดาของข้ารักข้าถึงเพียงนี้ รู้ทั้งรู้ว่าข้า…จะตอบรับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร จะต้องมีคนนอกพูดยุยงส่งเสริม และถ้าคนผู้นั้นไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร! เจ้ารีบถอนหมั้นให้ข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะไม่ละเว้นเจ้าแน่” มู่หมิงจูได้ยินเช่นนี้ก็กัดฟันกรอดๆ
“เฮ่อๆ ! ตั้งแต่เข้านิกายมาข้าก็ฝึกฝนอยู่ในนี้ตลอด และยังไม่เคยกลับไปตระกูลไป๋เลย ข้าจะพูดจายุยงส่งเสริมพ่อเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างในช่วงเวลาสองปีนี้ข้าเพิ่งจะเห็นหน้าเจ้าเป็นครั้งแรก ยิ่งไม่คิดที่จะแต่งกับเจ้าอยู่แล้ว ส่วนเรื่องยกเลิกการหมั้นถ้าเจ้าสามารถทำได้ล่ะก็ ข้าก็จะไม่คัดค้านใดๆ” หลิ่วหมิงหัวเราะกล่าวออกมา
“ถ้าหากข้าสามารถยกเลิกการหมั้นนี้ได้ ข้ายังต้องมาหาเจ้าอีกเหรอ! ข้าไม่สามารถคัดค้านได้เลย แม้กระทั่งป้าอวิ๋นที่เอ็นดูข้าที่สุดข้าก็เคยขอร้องไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ตอนนี้ขอแค่ทางตระกูลไป๋เป็นฝ่ายถอนหมั้นก่อน บิดาข้าจึงจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาใหม่อีกครั้ง” พอมู่หมิงจูได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็กล่าวออกมาด้วยความหวังทันที
“เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตระกูลไป๋เป็นผู้ถอนหมั้นก่อน” หลิ่วหมิงปฏิเสธกลับไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ทำไมล่ะ! ในเมื่อเจ้าไม่ได้คิดที่จะแต่งกับข้าอยู่แล้ว การถอนหมั้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่สมควรหรือ!” มู่หมิงจูได้ยินก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม
“ข้าจะแต่งกับเจ้าหรือไม่นั้นข้าไม่สนใจ แต่ตระกูลไป๋ต้องการสะใภ้จากตระกูลมู่หรือไม่นั้นกลับเป็นเรื่องที่สำคัญกับทั้งสองตระกูลมาก เจ้าก็เป็นคนฉลาดคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจที่ข้าพูด ถึงแม้ข้าจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณแต่ในขณะเดียวกันข้าก็ไม่สามารถทำเรื่องโง่ๆ ที่ทำให้นายท่านทั้งสองตระกูลต้องผิดใจกัน ถ้าเจ้ามีความสามารถก็ไปถอนหมั้นเองเลย ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็คงต้องแต่งเข้าตระกูลไป๋เท่านั้น เอาล่ะ! ข้าอธิบายชัดเจนแล้วเจ้าก็กลับไปได้แล้ว ข้ายังต้องกลับเข้าไปฝึกฝนต่อ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจดรุณีน้อยชุดผ้าดิ้นสวยงามอีก
มู่หมิงจูเห็นเช่นนี้ย่อมโมโหสุดขีด นางส่งเสียงเรียกหลิ่วหมิงให้หยุดแต่ก็ไม่ได้ผล
หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวแค่เล็กน้อยก็เข้าไปอยู่ข้างในที่พักแล้ว และเขาก็ปิดประตูเสียจนแน่นสนิท
“เจ้าคนแซ่ไป๋! เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” ดรุณีน้อยชุดผ้าดิ้นสวยงามกระทืบเท้าด้วยความโมโหแล้วก็จากไป
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่กลับไปยังห้องฝึกฝนได้ใช้นิ้วกดไปยังขมับข้างหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
ดูเหมือนจะมีเรื่องยุ่งยากเข้ามาหาถึงที่แล้ว
ถึงแม้จดหมายที่นายท่านตระกูลไป๋เขียนมาในครั้งนั้นจะมีความหมายแสดงถึงการหมั้นหมายกับตระกูลมู่อยู่ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่านายท่านผู้นี้จะหมั้นหมายกับตระกูลมู่โดยไม่สอบถามความคิดเห็นของเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังปิดบังเขามาโดยตลอด
……………………………………….
ตอนที่ 79 เรื่องยุ่งยาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ดูเหมือนนายท่านตระกูลไป๋ผู้นี้จะมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าข้าคงไม่ผิดใจกันกับตระกูลไป๋เพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่มันก็เป็นแค่การหมั้นเท่านั้น ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ขอแค่สามารถเข้าไปอยู่ในศิษย์แกนนำได้ ต่อให้ตระกูลไป๋จะเปิดโปงสถานะของข้าทางนิกายก็คงไม่ลงโทษร้ายแรงอะไร และถ้าหากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ล่ะก็ คาดว่านิกายปีศาจยิ่งไม่สนใจเรื่องนั้นเข้าไปใหญ่” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำโดยได้วางแผนไว้ในใจแล้ว
เดือนต่อมา ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังปรับพลังเวทย์ในร่างให้มั่นคงพอประมาณแล้ว เสียงระฆังเรียกประลองเล็กก็ดังมาจากบนเขาเก้าทารก
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รีบไปยังลานกว้างบนยอดเขาโดยไม่ชักช้า
การประลองเล็กในครั้งนี้นอกจากกุยหรูฉวนแล้ว ก็ไม่เห็นวี่แววการปรากฏตัวของจูชื่อกับนักพรตจงเลย
และการประลองก็ดูรีบร้อนกว่าครั้งก่อนมาก กุยหรูฉวนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประลองก็ดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
การประลองครั้งนี้ การฝึกฝนของศิษย์เก่าเหล่านั้นไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ แต่วั่นเสี่ยวเชี่ยนที่เป็นศิษย์ใหม่กลับก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว เซวียซานยังติดแหง็กอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นอยู่ การฝึกฝนของเขาไม่รุดหน้าเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาดูเหงาหงอยเศร้าซึมขึ้นมา
สำหรับศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอย่างเซียวเฟิงนั้น ถึงแม้ตอนที่แสดงวิชาจะเห็นได้ชัดว่ายังอยู่ในระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง แต่กลิ่นไอพลังกลับดูแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก ดูเหมือนว่าจะห่างจากระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่มากแล้ว
ส่วนตัวหลิ่วหมิงเอง ก็ระงับกลิ่นไอพลังของตัวเองให้อยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง ทั้งยังผ่านการทดสอบทั้งสามรอบไปอย่างลวกๆ โดยแกล้งแสดงออกมาดีกว่าครั้งก่อนเล็กน้อยเท่านั้น
รางวัลเล็กน้อยในการประลองเล็กนี้ มันไม่ค่อยสำคัญสำหรับเขาแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาให้เป็นที่สนใจมากนัก
มิเช่นนั้นระดับการฝึกฝนของศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่รวดเร็วกว่าศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณนี้อาจนำความยุ่งยากมาให้ได้
ดีที่กุยหรูฉวนไม่ได้ให้ความสนใจการประลองเล็กในครั้งนี้เหมือนกับครั้งก่อน มิเช่นนั้นถึงแม้หลิ่วหมิงจะระงับกลิ่นไอของพลังไว้ได้ ก็ไม่รับรองว่าจะปิดบังต่อไปได้
หลังผลการประลอง เขาได้รับโอสถฟื้นฟูพลังเวทย์หนึ่งขวด แล้วก็ลงเขาไปพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ
แต่พอกลับถึงที่พัก กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
“ศิษย์พี่มู่!” หลิ่วหมิงเรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ศิษย์น้องไป๋ไม่คิดที่จะเชิญข้าเข้าไปนั่งข้างในสักหน่อยหรือ?” หญิงนางนี้ยิ้มอย่างสวยงาม
“ศิษย์น้องเสียมารยาทแล้ว ศิษย์พี่เชิญ!” หลิ่วหมิงรีบเก็บอาการให้สงบลงอย่างรวดเร็ว เขาเชิญหญิงสาวเข้ามาในห้องแล้วพาไปยังห้องโถงที่อยู่ด้านข้างของที่พัก
“ศิษย์น้อง ที่นี่เรียบง่ายมากเลย!” พอมู่อวิ๋นเซียนสังเกตดูรอบด้านเล็กน้อยก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
ห้องโถงที่ใช้รับแขกโดยเฉพาะนี้ นอกจากมีโต๊ะไม้หนึ่งตัวกับเก้าอี้สองสามตัวแล้วก็ไม่มีสิ่งของใดจัดวางอยู่เลย
“ศิษย์น้องสนใจแต่การฝึกฝน ไม่ค่อยใส่ใจกับสิ่งของภายนอกมากนักทำให้ศิษย์พี่ท่านขบขันเสียแล้ว ใช่สิ! ศิษย์พี่มู่มาหาข้าครั้งนี้มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงผายมือเชิญหญิงสาวนั่งลงไปแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องไป๋ มู่หมิงจูเจ้าเด็กคนนี้ได้มาหาศิษย์น้องเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือไม่” มู่อวิ๋นเซียนถามออกมาตรงๆ
“แม่นางมู่หมิงจูเคยมาหาข้าครั้งหนึ่ง” หลิ่วหมิงตอบกลับไปตามจริงโดยไม่รู้สึกแปลกใจ
“ดูเหมือนศิษย์น้องจะทราบเรื่องที่พี่ชายข้ารับหมั้นเจ้ากับมู่หมิงจูแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็มีสีหน้าคลี่คลายลง
“เดิมทีก็ไม่ทราบ แต่เมื่อมู่หมิงจูมาหาข้าเช่นนี้ข้าถึงได้ทราบ เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ใครเป็นคนหยิบยกขึ้นมาก่อน ถ้าหากไม่มีคนออกหน้าข้าไม่เชื่อว่าทั้งสองตระกูลจะให้ข้ากับมู่หมิงจูหมั้นหมายกัน” หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่น
“ทำไมล่ะ! หรือว่าศิษย์น้องคิดจะหาตัวคนผู้นั้นเพื่อกล่าวขอบคุณหรือ?” มู่อวิ๋นเซียนหัวเราะออกมาเบาๆ
“หรือว่าคนผู้นั้นก็คือศิษย์พี่?” หลิ่วหมิงเห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่แฝงไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายก็ฉุกคิดขึ้นได้ฉับพลัน
“ศิษย์น้องปราดเปรื่องยิ่งนัก ไม่ผิด เรื่องที่ให้หมิงจูแต่งกับเจ้านั้นข้าเป็นคนพูดกับพี่ชายข้าเอง แต่ไม่คิดว่าพอตระกูลมู่เราเสนอขึ้นมาตระกูลไป๋ก็ตอบตกลงทันที ทั้งยังตอบตกลงหมั้นและมอบของหมั้นให้อย่างรวดเร็ว และได้กำหนดงานแต่งของพวกเจ้าไว้ในอีกสามปีข้างหน้า! ข้ายอมให้ศิษย์น้องได้สาวสวยอย่างหลานข้าคนนี้กลับไปตระกูล ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะตอบแทนข้าอย่างไร” ตอนแรกมู่อวิ๋นเซียนรู้สึกตกตะลึงแต่ก็รีบหัวเราะออกมาเบาๆ ทันที
“ตอบแทน? ศิษย์พี่มู่คิดว่าข้ายังไม่มีเรื่องยุ่งยากมากพอหรือ? ถึงได้หาเรื่องปวดหัวมาให้ข้าอีกรอบ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ท่านคิดว่าแม่นางหมิงจูกับข้าเหมาะสมกันจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้ข้ากับหลานสาวท่านเจอหน้ากันไม่เกินสองครั้ง ท่านก็จับพวกเราสองคนหมั้นกันแล้ว อย่าหาว่าข้ารู้สึกอึดอัดเลย เกรงว่าตอนนี้แม้แต่หลานสาวท่านก็คงเกลียดข้าจนอยากจะเอาชีวิตข้าแล้ว” หลิ่วหมิงลูบคางและส่ายหัวกล่าวออกมา
“ข้านับถือศิษย์น้องไป๋ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อยมาโดยตลอด ทำไมถึงพูดเรื่องไร้เดียงสาเช่นนี้ออกมาได้ ถึงแม้ตระกูลมู่จะไม่อาจเทียบได้กับตระกูลเหลย แต่ก็นับว่าเป็นตระกูลผู้ฝึกปราณที่มีชื่อเสียงในแคว้นต้าเสวียน เรื่องงานแต่งของหญิงสาวในตระกูลจะตัดสินใจโดยคนคนเดียวได้อย่างไร ถึงแม้หมิงจูในตอนนี้จะมองเจ้าเป็นศัตรู แต่พอได้แต่งกับเจ้าจริงๆ แล้วก็ย่อมค่อยๆ กลับใจไม่ถือโทษโกรธเคืองเจ้าอีก ข้อนี้ข้ารับรองได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับตระกูลไป๋และตระกูลมู่แล้วถือว่าการแต่งงานในครั้งนี้สำคัญต่อทั้งสองตระกูลมาก ถึงแม้ศิษย์น้องจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณ ก็เกรงว่าไม่อาจปฏิเสธงานแต่งงานที่บิดาของเจ้ากำหนดไว้ได้ อีกอย่างมู่หมิงจูนี้เสียแค่ไม่ได้เป็นศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนด้านอื่นๆ ก็เป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง จับคู่กับศิษย์น้องแล้วล่ะก็ถือว่าเหมาะสมเท่าเทียมกัน” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ในเมื่อศิษย์พี่พูดถึงแต่เรื่องดีๆ แล้วทำไมถึงได้มาหาข้าอีกล่ะ!” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้ม และกล่าวออกไปพร้อมกับกรอกตามองบน
“ที่ข้ามาถึงนี่เป็นเพราะว่าประการแรกเพื่อที่จะอธิบายเรื่องการแต่งงานนี้ให้ชัดเจนเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ ประการที่สองคือให้ศิษย์น้องระวังคนผู้หนึ่ง” รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่อวิ๋นเซียนหายไป
“ระวังคนผู้หนึ่ง! ใครกัน?” หลิ่วหมิงถามกลับไป
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าเด็กเกาชง!”
“เกาชงศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่ถูกอาจารย์อาท่านประมุขรับเป็นศิษย์ผู้นั้น!” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นผู้ที่สงบเยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไม่ผิด สองปีมานี้เจ้าเด็กนั่นกับหมิงจูสนิทสนมกันมาก ถ้าหากเขาทราบเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ เกรงว่าคงจะไม่ยอมรามือง่ายๆ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวโดยไม่สะทกสะท้าน
“สนิทสนมกันมาก หมายความว่าอย่างไร!” หลิ่วหมิงจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาเยือกเย็น
“พูดง่ายๆ ก็คือหมิงจูมีใจให้กับเกาชง และตอนนี้เกาชงก็สนใจหลานสาวของข้าคนนี้มาก ดังนั้นจึงให้เจ้าระวังไว้บ้าง แต่เจ้าวางใจได้ว่าหมิงจูกับเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เลยเถิด” มู่อวิ๋นเซียนตอบกลับอย่างรีบร้อน
“ศิษย์พี่มู่คงไม่ได้ล้อข้าเล่นหรอกนะ! ในเมื่อหลานสาวท่านมีคนที่ชอบแล้ว ทั้งยังเป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่มีอนาคตอันยาวไกลขนาดนี้ ตระกูลมู่ยังจะรับหมั้นจากตระกูลข้า?” หางตาหลิ่วหมิงกระตุกสองสามครั้งแล้วสีหน้าก็ไม่แสดงความรู้สึกใด
“ข้าจะไม่ยอมให้หมิงจูกับเกาชงอยู่ด้วยกันเด็ดขาด ส่วนเหตุผลนั้นข้าไม่อาจพูดมากได้ แต่แค่เจ้ารู้ว่าพี่ชายข้าและตระกูลมู่ต่างก็หมายความเช่นนี้ก็พอ อีกอย่างถ้าหากหมิงจูอยู่กับเกาชงจริงๆ มันไม่เพียงแต่ไม่อาจกลายเป็นคู่รักฝึกฝนเท่านั้น แต่จุดจบก็น่าเศร้าสลดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
“ดังนั้นตระกูลมู่จึงเลือกใช้ข้ามาบังหน้า อีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ศิษย์พี่คิดว่าข้าจะสามารถไปยุแหย่เขาได้หรือ?” หลิ่วหมิงไม่สะเทือนกับคำพูดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องลำบากใจสำหรับศิษย์น้องไป๋อยู่เหมือนกัน แต่งานแต่งในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่บิดาเจ้ารับปากไว้แล้ว และยังมอบของหมั้นให้แล้วด้วย ตอนนี้คิดที่จะถอนตัวก็คงไม่ทันแล้ว ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลใจเรื่องเกี่ยวกับเกาชงมากนัก เด็กคนนี้ถูกท่านประมุขดูแลอย่างเข้มงวด โอกาสที่เขาจะมาหาเจ้านั้นก็มีไม่มาก แต่มีศิษย์เก่าบางคนที่เกาะติดอยู่ข้างกายเขา เกรงว่าเมื่อคนพวกนี้ทราบเรื่องเข้าอาจเข้ามาสร้างความยุ่งยากให้เจ้าได้ ต่อไปศิษย์น้องพยายามอย่าออกไปนอกนิกายจนกว่าจะผ่านพ้นการทดสอบความเป็นความตาย ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ผ่านพ้นการทดสอบความเป็นความตายก็ไม่มีปัญหาแล้ว! หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
“เพราะตามที่ข้าทราบมา เมื่อไม่นานมานี้เกาชงเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย ด้วยพลังจิตวิญญาณพสุธาของเขาคงจะเข้าไปเป็นศิษย์แกนนำได้ไม่ยาก ถ้าหากผ่านการทดสอบความเป็นความตายกลับมาได้ล่ะก็ จะได้รับผลประโยชน์กับทรัพยากรที่เพียงพอทำให้เขาก้าวสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ พอถึงตอนนั้นเขาคงเตรียมที่จะทะลวงเข้าสู่เขตแดนของอาจารย์จิตวิญญาณ คงไม่มาสนใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิงแล้ว ถึงแม้เขาจะยังสนใจอยู่แต่อาจารย์อาท่านประมุขก็คงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน และการทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี พอถึงตอนนั้นเจ้ากับหมิงจูก็กลายเป็นสามีภรรรยากันนานแล้ว เขาจะยังทำอะไรศิษย์น้องได้อีก” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าต่อไปเขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ล่ะ?” หลิ่วหมิงจ้องมองหญิงสาวแล้วถามออกไป
“ศิษย์น้องไม่รู้ล่ะสิ! วิชาที่สาขาของอาจารย์อาท่านประมุขฝึกฝนนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างมาก พอกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้วไม่สามารถมีความรักได้โดยเด็ดขาด และพอถึงเวลาที่อาจารย์อาท่านประมุขไม่ขัดขวางแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีดรุณีน้อยผู้ฝึกฝนตั้งเท่าไหร่ที่อยากโผเข้าหาอ้อมอกเขา แล้วเขาจะนึกถึงหมิงจูได้อย่างไร ถ้าหากเจ้ากังวลจริงๆ ล่ะก็ เมื่อเจ้ากับหมิงจูแต่งงานกันแล้วก็ทำเรื่องย้ายไปเป็นผู้ดูแลอยู่นอกนิกายได้ เช่นนี้แล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปเอง” มู่อวิ๋นเซียนบรรยายออกมาอย่างละเอียดยิบราวกับว่าได้คิดไว้ก่อนนานแล้ว
หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบไปชั่วครู่ แล้วอยู่ๆ ก็พูดประโยคที่ทำให้มู่อวิ๋นเซียนรู้สึกงงงันขึ้นมา
“ศิษย์พี่มู่ ข้าไม่อยากคุยเรื่องราวเกี่ยวกับข้าและแม่นางหมิงจูแล้ว ตอนนี้ข้าอยากถามเรื่องการประลองใหญ่กับการทดสอบความเป็นความตาย ศิษย์พี่อยู่ในนิกายมานานคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้”
……
ช่วงเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลังจากที่หญิงสาวจากไปด้วยรอยยิ้มแล้ว ในห้องก็เหลือแค่หลิ่วหมิงคนเดียวที่นั่งครุ่นคิดเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้
เขาไม่ได้กลัดกลุ้มเรื่องของเกาชงกับมู่หมิงจู แต่กำลังคิดใคร่ครวญเรื่องการประลองใหญ่กับเรื่องการทดสอบความเป็นความตายอยู่
……………………………………….
ตอนที่ 80 สือเจียน ลวี่อวิ๋น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้วยการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของหลิ่วหมิง บวกกับมีอาวุธจิตวิญญาณและแมงป่องกระดูกขาวคอยช่วย ขอแค่อาจารย์จิตวิญญาณไม่มาหาเรื่อง เขาย่อมไม่หวาดกลัวอย่างแน่นอน
ส่วนการหมั้นของเขากับมู่หมิงจู เก็บไว้ก่อนค่อยๆ แก้ไขทีละขั้นตอน ส่วนจะแต่งกับนางหรือไม่นั้นก็ต้องดูท่าทีของนางแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับคนอื่นแล้วระยะเวลาสามปีอาจจะค่อนข้างสั้น แต่สำหรับเขาแล้วกลับสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่างๆ ได้อีกมาก
เมื่อครู่เขาได้ฟังมู่อวิ๋นเซียนเล่าเกี่ยวกับศิษย์แกนนำที่ได้รับทรัพยากรจากการประลองใหญ่ และผลประโยชน์มหาศาลการจากเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายแล้วก็อดใจเต้นขึ้นมาไม่ได้
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่กลายเป็นหนึ่งในสิบของศิษย์แกนนำได้ ทุกปีก็จะได้หินจิตวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งถึงสองพันก้อน อย่างมากจะได้สี่ถึงห้าพันก้อน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาใจเต้นไม่หยุดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบความเป็นความตายได้ นิกายปีศาจจะยังมอบไอปีศาจบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ในขณะเดียวกันยังเปิดแดนต้องห้ามในที่ต่างๆ ให้พวกเขาสามารถเข้าไปฝึกฝนในนั้นได้ ซึ่งในนั้นจะมีพลังปราณเข้มข้นกว่าภายนอกสิบกว่าเท่า จำนวนวันที่ฝึกฝนอยู่ในนั้นขึ้นอยู่กับผลงานที่ทำได้ในระหว่างการทดสอบ
และทั้งหมดนี้เป็นแค่รางวัลจากนิกายปีศาจเท่านั้น ถ้าหากสามารถชิงอันดับในการทดสอบความเป็นความตายได้ มูลค่ารางวัลที่แต่ละนิกายร่วมกันมอบให้ย่อมมากกว่านี้หลายเท่า
รางวัลอันน่าตกใจนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการทรัพยากรจำนวนมากและรวดเร็วอย่างหลิ่วหมิงแล้ว เขาย่อมไม่ละทิ้งโอกาสนี้อย่างแน่นอน
และนับวันเวลาดูแล้ว ตอนนี้การประลองใหญ่ก็อยู่ห่างออกไปแค่ครึ่งปีแล้ว การทดสอบความเป็นความตายก็จะเริ่มขึ้นหลังจากการประลองใหญ่ไปหนึ่งปี
ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นว่าพลังของเขาจะไม่ด้อยกว่าใคร แต่จะสามารถชิงหนึ่งในสิบอันดับศิษย์แกนนำมาได้หรือไม่นั้น เขาก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นมากพอ
การประลองใหญ่ในนิกายนั้น ศิษย์เก่าที่มีอายุสามสิบปีลงมาต่างก็สามารถเข้าร่วมการประลองได้ ในนั้นจะมีเด็กหนุ่มสาวสติปัญญาสูงส่งที่มีพลังน่าตกใจตั้งแต่อายุยังน้อย และยังมีศิษย์เก่าที่ไม่รู้ว่าติดอยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว และฝึกฝนจนพลังเวทย์นั้นแข็งแกร่งจนยากจะเทียบได้
ด้วยสภาพเขาในตอนนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ให้สูงขึ้นได้อย่างเด่นชัดมากนัก และยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้กับคนอื่น ถึงแม้ตอนอยู่เกาะมฤตยูเขาจะต่อสู้กับคนที่นั่นจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่นั่นเป็นการต่อสู้ของคนธรรมดาสามารถนำมาเป็นประสบการณ์ได้ไม่มาก และการแลกมือระหว่างศิษย์จิตวิญญาณด้วยกันจริงๆ ก็มีแค่ไม่กี่ครั้ง
ถึงแม้ในนิกายจะมีลานต่อสู้ให้ศิษย์แลกมือศึกษากัน แต่ศิษย์โดยทั่วไปก็ไม่มีใครแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา อีกอย่างถ้าหากลงมือหนักจนทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ก็จะถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับศิษย์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย ก็ละความคิดที่จะไปฝึกฝนการต่อสู้จริงที่ลานต่อสู้นี้
สมองเขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วก็ยิ้มพูดกับตัวเอง
“ใช่แล้ว! ถึงแม้สถานที่นั้นจะอันตรายไปบ้าง แต่ก็เป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกต่อสู้ อีกอย่างถ้าไปที่นั่นล่ะก็ต่อให้มีคนมาหาเรื่องก็คงไม่สามารถทำได้โดยง่าย แต่ก่อนอื่นต้องไปหอเก็บคัมภีร์อีกรอบ เพื่อสอบถามเคล็ดวิชาการป้องกันตัวที่เหมาะสมกับตนเองเสียก่อน”
ถึงแม้หอเก็บคัมภีร์ในเขาเก้าทารกก็มีวิชาป้องกันตัวที่เปิดให้ศิษย์ทุกคนได้ฝึกฝน แต่วิชาเหล่านี้ถ้าไม่มีเงื่อนไขในการฝึกฝน ก็ต้องเป็นวิชาที่แสดงผลลัพธ์ได้ไม่ค่อยดี ซึ่งยังไม่มีที่เข้าตาเขาเลยสักวิชา
สำหรับแต้มคุณูปการในมือของหลิ่วหมิง ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะหมดไปกว่าครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับโอสถเพิ่มพลังเวทย์ แต่แต้มคุณูปการที่เหลืออยู่หลายร้อยแต้มก็คงจะสามารถใช้แลกกับวิชาป้องกันตัวได้สักวิชาหนึ่ง
แต่พอนึกถึง ‘อาจารย์อาหร่วน’ ที่ยัดเยียดเคล็ดวิชากระดูกดำให้เขาแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่ได้ไปหอเก็บคัมภีร์เป็นครั้งที่สอง เพราะอาจารย์อาหร่วนอาจจะคิดทำอะไรกับเขาโดยที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แต่ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวโยงถึงการประลองใหญ่และการทดสอบความเป็นความตาย เขาก็ได้แต่บากหน้าไปอีกครั้ง อีกอย่างถ้าถือโอกาสถามส่วนที่ไม่เข้าใจในเคล็ดวิชากระดูกดำให้เข้าใจ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงคิดอย่างละเอียดอีกรอบ หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้วก็ออกจากที่พัก และขี่เมฆทะยานฟ้าออกไปจากเขาเก้าทารกมุ่งตรงไปยังยอดเขาหลัก
แต่พอเหาะออกจากเขาเก้าทารกได้ไม่นานก็มีเมฆเทาสองก้อนทะยานขึ้นมาจากตีนเขา และเพิ่มความเร็วจนตามทันหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้า
“ด้านหน้านั้นใช่ศิษย์น้องไป๋ไหม? ช้าลงหน่อยได้หรือไม่ ข้าสองสามีภรรยาอยากคุยกับเจ้าหน่อย”
หลิ่วหมิงรู้ตัวนานแล้วว่ามีคนตามอยู่ด้านหลัง เดิมทีไม่คิดที่สนใจแต่เห็นทั้งสองพูดตามตรงเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็หยุดเมฆเทาหันตัวกลับไปมอง
บนเมฆเทาสองก้อนที่ไล่ตามมานั้น มีชายหญิงอายุสามสิบกว่าปีคู่หนึ่งยืนอยู่
ผู้ชายสีหน้าดำคล้ำ ลำแขนอวบใหญ่ สวมชุดทะมัดทะแมง สะพายหอกยาวสีม่วง ผู้หญิงโหนกแก้มค่อนข้างสูง ใบหน้าดูธรรมดา แต่ที่เอวมีแส้สีขาวเส้นหนึ่งพันอยู่
“ท่านทั้งสองคือ…”
หลิ่วหมิงมองดูครู่เดียวก็รู้ว่าทั้งสองไม่ใช่ศิษย์ของเขาเก้าทารก จึงหรี่ตาถามออกไป
“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องไป๋จริงๆ ด้วย! ช่างดีจริงๆ ข้าคือสือเจียนส่วนนี่คือคู่รักของข้าลวี่อวิ๋น พวกข้าทั้งสองเป็นศิษย์สาขาพลังโลหิต” ชายใบหน้าดำคล้ำพินิจดูหลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่สือกับศิษย์พี่ลวี่ ท่านทั้งสองหาข้าด้วยธุระอันใดหรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินฝ่ายตรงข้ามบอกว่าเป็นศิษย์สาขาพลังโลหิตก็พอจะเข้าใจในทันที แต่ก็ถามกลับไปโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
“ศิษย์น้อง ที่นี่ไม่เหมาะกับการพูดคุย พวกเราลงไปคุยรายละเอียดกันด้านล่างได้หรือไม่?” ชายหน้าดำสบตากับภรรยาครูหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ไม่มีปัญหา”
หลิ่วหมิงตอบรับโดยตาไม่กระพริบ และรีบลงไปยังด้านล่าง ทั้งสองตะลึงเล็กน้อยแต่ก็รีบตามลงไป
ครู่ต่อมา ทั้งสามก็ร่อนกลางผืนป่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ท่านทั้งสองมีเรื่องอันใดก็พูดมาได้เลย” หลิ่วหมิงถามออกไปอย่างเรียบๆ
“ศิษย์น้องไป๋ ชื่อเสียงการบ้าระห่ำทำภารกิจของเจ้า พวกข้าทั้งสองก็เคยได้ยินมา ถ้าหากไม่จำเป็นล่ะก็ข้าสองสามีภรรยาก็คงไม่มาหาเจ้า” ชายหน้าดำกล่าวออกมาอย่างช้าๆ รอยยิ้มบนใบหน้าเขาได้หายไปแล้ว
“อ้อ! ฟังจากน้ำเสียงของศิษย์พี่แล้วคงไม่มาดี พวกท่านคือคนที่เกาชงส่งมาหรือว่าเจ้าหนูมู่หมิงจูยุยงให้มากันล่ะ?” หางคิ้วหลิ่วหมิงกระตุกเล็กน้อย เขาถามกลับไปโดนไม่รู้สึกแปลกใจเลย
“ศิษย์น้องช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ดูท่าข้าทั้งสองคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ย่อมไม่ต้องรบกวนศิษย์น้องเกา พวกเราแค่มาถามว่าเจ้าจะยอมถอนหมั้นมู่หมิงจูหรือไม่ ถ้าเจ้าตอบตกลงพวกข้าทั้งสองก็จะกลับไป” หญิงที่เป็นภรรยาเอ่ยปากด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก เสียงของนางดูแหบแห้งเล็กน้อย
“ถ้าไม่ตกลงล่ะ! ท่านทั้งสองคิดที่จะลงมือกับข้าตรงนี้หรือ? แค่มีการเคลื่อนไหวของพลังเวทย์เพียงเล็กน้อย ผู้คุมกฎก็จะมาที่นี่ทันที” หลิ่วหมิงกลับหัวเราะออกมาเบาๆ
“นิกายห้ามไม่ให้ศิษย์ต่อสู้กัน พวกข้าทั้งสองจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าต่อไปศิษย์น้องไป๋ไปทำภารกิจของนิกายหรือออกไปนอกนิกาย เกรงว่าคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากสักเล็กน้อย” พอสือเจียนแสยะปากพูดฟันสีขาวราวหิมะก็โผล่ออกมา แต่คำพูดของเขาแฝงไปด้วยการขู่คุกคาม
“ยุ่งยาก? ช่วงนี้ข้าไม่คิดที่จะออกไปนอกนิกายอยู่พอดี ถ้าหากศิษย์พี่ท่านทนรอได้ล่ะก็พยายามเฝ้าดูอยู่แถวประตูนิกายก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงหาวแล้วกล่าวออกมา
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของทั้งสองค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ศิษย์น้องไป๋ ต่อให้มู่หมิงจูนั้นจะงดงามปานบุปผา แต่เจ้าจะยอมล่วงเกินศิษย์น้องเกาชงเพียงเพราะศิษย์นิกายสายนอกที่ไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณผู้นี้หรือ! อย่าลืมสิ! ด้วยคุณสมบัติของศิษย์น้องเกามีโอกาสสูงที่จะก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ” หญิงผู้เป็นภรรยากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“งั้นก็รอเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้วท่านทั้งสองค่อยมาหาข้าเถอะ ตอนนี้เหรอ? ในเมื่อคุยไม่ถูกเส้นกัน อีกอย่างข้าก็ยังยุ่งมากด้วย คงไม่คุยเป็นเพื่อนท่านทั้งสองแล้วล่ะ” หลิ่วหมิงหัวเราะกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็ทำท่ามือโดยไม่สนใจคนทั้งสองอีก เขาทะยานขึ้นเวหาเหาะไปยังยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ
“ทำอย่างไรดี! คิดไม่ถึงว่าถึงแม้เจ้าเด็กนี่จะอายุยังน้อยแต่กลับรับมือได้ยากขนาดนี้” หญิงผู้เป็นภรรยาเห็นเช่นนี้ก็หันหน้าไปถามชายหน้าดำ คิ้วทั้งสองของนางขมวดกันเป็นเส้นตั้งตรง ดูเหมือนจะโมโหเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้อายุยังน้อย แต่สามารถสร้างชื่อเสียงเล็กๆ ในระยะเวลาอันสั้นนี้ได้ ย่อมมีข้อดีเหนือผู้อื่น อาศัยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคขู่เข็ญเขาแล้วให้เขาทำตามคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ตามที่ข้าสืบมาเขาไม่ได้ไปรับภารกิจแต้มคุณูปการมานานแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะอยู่แต่ในนิกายและไม่ออกไปข้างนอกจริงๆ กลับไปปรึกษากับพวกศิษย์พี่อู๋ ให้แบ่งคนเป็นกลุ่มๆ ผลัดเปลี่ยนกันไปเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกประตูนิกาย ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีโอกาสจับเขามาสั่งสอนได้ ศิษย์อายุยังน้อยเช่นนี้ถึงแม้จะพูดได้ดี แต่เมื่อได้รับการสั่งสอนที่เข็ดหลาบแล้วก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นสมันอะไรเป็นเสือ คนแบบไหนถึงไม่ควรล่วงเกิน” ชายหน้าดำกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ดี! งั้นก็ทำตามนี้เถอะ! ใช่สิ! ได้ยินมาว่ามู่อวิ๋นเซียนก็ยื่นมือเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย ควรจะสั่งสอนนางด้วยไหม!” ลวี่อวิ๋นพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วอยู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามออกไป
“มู่อวิ๋นเซียนเป็นอาหญิงของมู่หมิงจู ตอนนี้ไม่ควรไปแตะต้องนาง เจ้าไม่เห็นหรือว่าโอวหยางซินที่เคยตอแยกับนางมาโดยตลอด ช่วงนี้กลับไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับนาง เป็นเพราะว่ากลัวกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศิษย์น้องเกา” สือเจียนส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“มันก็ใช่! แต่จะว่าไปแล้วเจ้าหนูมู่หมิงจูผู้นี้ก็น่าสงสาร แม้แต่ข้าเองก็มองออกถึงเหตุผลที่ท่านประมุขยอมให้นางใกล้ศิษย์น้องเกา มีแต่นางที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คิดว่าต่อไปตนเองจะสามารถครองคู่กับศิษย์น้องเกาได้ เกรงว่าเมื่อศิษย์น้องเกากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็คงถึงเวลาที่ต้องใช้นางเป็นเตาหลอมพลังแล้ว!” ลวี่อวิ๋นถอนหายใจกล่าวออกมา
“เจ้าพูดซี้ซั้วอะไร เรื่องแบบนี้เอามาพูดได้เหรอ ถ้าหากว่าเรื่องนี้ถึงหูท่านประมุข เจ้ากลับข้ายังจะมีชีวิตอยู่ได้เหรอ!” พอชายหน้าดำได้ยินเช่นนี้ก็แสดงสีหน้าตำหนิขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็มองไปรอบด้านอย่างร้อนรน
……………………………………….
ตอนที่ 81 อุโมงค์หมื่นกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“วางใจเถอะ ที่นี่จะมีคนได้อย่างไร ข้าแค่พูดเล่นๆ เท่านั้น” หญิงที่ชื่อลวี่อวิ๋นเหมือนจะรู้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากออกไปจึงกล่าวออกมาอย่างรีบร้อน
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าต้องเข้าใจนะว่าที่พวกเราช่วยศิษย์น้องเกาก็เพราะว่าเมื่อเขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้วจะได้ช่วยพวกเราอีกแรง เรื่องอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่งได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเตาหลอมพลัง ข้าไม่เชื่อว่ามู่อวิ๋นเซียนจะไม่เคยพูดเรื่องนี้กับหลานสาวของตน แต่มู่หมิงจูไม่เชื่อเองคงไม่อาจโทษผู้อื่นได้ ชะตาชีวิตของนางคงจะต้องเป็นเช่นนี้ เอาล่ะ! ต่อไปอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเรากลับไปปรึกษาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อสักครู่กับศิษย์พี่อู๋ก่อน” ชายหน้าดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่คลี่คลายลง
ลวี่อวิ๋นพยักหน้าตอบรับ
ดังนั้นทั้งสองจึงขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าแล้วเหาะตรงไปยังที่ตั้งของสาขาพลังโลหิต
ในขณะเดียวกันหลิ่วหมิงก็มาถึงหน้าประตูหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง เขายืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าสับสนปนเปครู่หนึ่ง แล้วถึงก้าวยาวๆ เข้าไป
พอเข้าประตูใหญ่ไป ยังคงเป็นห้องเล็กๆ นั้น แต่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งกลับมีผู้อาวุโสชุดแดงนั่งอยู่ เขากำลังก้มหน้าดูคัมภีร์โบราณหนาๆ เล่มหนึ่ง พอเห็นมีคนเข้ามาถึงได้เงยหน้าขึ้นมาถาม
“แลกวิชาฝึกฝนพลัง เคล็ดวิชาหรือว่าวิชา?”
ผู้อาวุโสชุดแดงผู้นี้มีดวงตาที่ถมึงทึง หนวดที่งอโง้ง ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเกรงขามเป็นพิเศษ
“เอ๋! ทำไมไม่ใช่อาจารย์อาหร่วนที่เฝ้าหอเก็บคัมภีร์ ผู้อาวุโสคือ…” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบก้าวไปคารวะ และถามด้วยความตกตะลึง
“ข้าคือเลี่ยวเฟิงจากสาขาพิษจิตวิญญาณ เจ้าเรียกอาว่าอาจารย์อาเลี่ยวก็พอ หนึ่งปีก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนหร่วนปลดออกจากตำแหน่งคนเฝ้าดูแลหอเก็บคัมภีร์กลับไปเก็บตัวฝึกฝนแล้ว เอาล่ะ! ตอนนี้บอกจุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่ได้แล้ว” ผู้อาวุโสชุดแดงกลับแสดงออกอย่างอ่อนโยน
“ที่แท้ก็คืออาจารย์อาเลี่ยว ข้าน้อยมาที่เพื่อเลือกวิชาป้องกันตัว!” หลิ่วหมิงโค้งตัวคำนับแล้วกล่าวออกมา
เขาได้ยินว่า ‘อาจารย์อาหร่วน’ ผู้นั้นไม่อยู่แล้วในใจก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันก็มีหน้าผิดหวังอยู่ลางๆ
“เขาเก้าทารก ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของศิษย์พี่กุย ดูเจ้าอายุยังน้อยอย่าเพิ่งทะเยอทะยานลมๆ แล้งๆ โดยทั่วไปวิชาป้องกันนั้นจะต้องฝึกฝนให้ถึงระดับที่แน่นอนแล้วถึงสำแดงออกมาได้ ข้าจะดูสักหน่อยว่าเจ้าฝึกฝนถึงระดับไหนแล้ว?” เพิ่งสิ้นสุดเสียงของผู้อาวุโสชุดแดง แขนข้างหนึ่งก็ตบเบาๆ ลงบนไหล่ของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวความร้อนก็พุ่งเข้าไปในร่างหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตกใจ พลังเวทย์ภายในร่างถูกกระตุ้นด้วยความร้อนเหล่านี้ พริบตาเดียวก็พุ่งไปบนไหล่อย่างเต็มกำลัง
“เอ๋! ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย?” เลี่ยวเฟิงค่อยๆ เก็บฝ่ามือกลับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อาจารย์อาเลี่ยว ที่ท่านทำคือ…” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา
“ไม่ต้องกังวล ข้าแค่ทดสอบการฝึกฝนของเจ้าเท่านั้น ถ้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายล่ะก็ย่อมมีสิทธิ์เรียนวิชาป้องกันแล้ว เจ้าชื่อไป๋ชงเทียนใช่ไหม ดูท่าสาขาของศิษย์พี่กุยจะได้ศิษย์ที่ไม่เลว ตามข้ามาเถอะ!” เลี่ยวเฟิงยิ้มกล่าวชมเชยไปหนึ่งประโยค เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วแสงสีขาวก็ม้วนตัวออกมา
พริบตาเดียวร่างของคนทั้งสองก็กระพริบหายเข้าไปในแสงสีขาว
ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสชุดแดงและหลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นที่ห้องโถงที่มีผนังแสงกั้นไว้
“ไปเถอะ ทางนั้นเป็นอาณาเขตบันทึกเคล็ดวิชาที่ใช้ฝึกฝน แค่วางมือไว้บนโต๊ะแท่นหินที่อยู่ด้านล่าง ก็จะรู้เนื้อหาของวิชากับจำนวนแต้มคุณูปการที่ต้องใช้ จากนั้นใช้ป้ายชื่อของตัวเองประทับลงไปก็จะหยิบสิ่งของออกมาได้” เลี่ยวเฟิงชี้มือผ่านอากาศไปยังทิศทางบางแห่ง ผนังแสงทางนั้นก็กลายเป็นจุดๆ แล้วหายไป
หลิ่วหมิงตอบรับแล้วเดินเข้าไป เขาวางฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะแท่นหินที่ใกล้ที่สุด บนม่านแสงสีทองมีม้วนไผ่สีเขียววางอยู่
เสียงดัง “ตู้ม!”
พลังบางอย่างพุ่งออกมาจากบนโต๊ะแท่นหิน แล้วเข้าไปหมุนวนอยู่ในศีรษะของเขา พริบตาเดียวก็เปลี่ยนแปลงเป็นอักขระสีขาวอย่างน่าอัศจรรย์
‘วิชาคมมหาธาตุ’ เป็นวิชาธาตุโลหะ ใช้ธาตุโลหะเสริมพลัง สามารถเพิ่มพลังโจมตีจากธาตุโลหะ และมือเท้าทั้งสี่ ทำให้ร่างกายแหลมคมเป็นอย่างมาก สามารถทำลายโลหะต่างๆ หรือหยกได้ แต้มคุณูปการสี่ร้อยแต้ม
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะเดินออกไปจากโต๊ะแท่นหินนี้แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะแท่นหินตัวอื่น
‘วิชาม่านหมอกวารี’ เป็นวิชาธาตุน้ำใช้ในการหลบซ่อนตัว สามารถสร้างไอหมอกบริเวณกว้างๆ ใช้อำพรางกาย แต้มคุณูปการสามร้อยแต้ม
‘วิชาไฟอสรพิษ’ เป็นวิชาธาตุไฟ ควบคุมการโจมตีด้วยไฟ ขอบเขตการโจมตีระดับกลาง พลังการทำลายล้างสูง แต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้ม
‘วิชาแหอัสนี’ เป็นวิชาธาตุอัสนี ขอบเขตการโจมตีกว้างมาก พลังการทำลายล้างสูงมาก ผู้ที่ไม่มีชีพจรจิตวิญญาณอัสนีไม่สามารถฝึกฝนได้ แต้มคุณูปการหนึ่งพันสี่ร้อยแต้ม
……
หลิ่วหมิงดูโต๊ะแท่นหินแต่ละตัวไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าที่สงบ แต่แอบทอดถอนใจอยู่ไม่หยุด
วิชาในนี้ต้องใช้แต้มคุณูปการมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แต้มคุณูปการสามร้อยแต้มที่เหลืออยู่ในมือคงแลกได้แค่วิชาระดับต่ำแค่วิชาเดียวเท่านั้น
ผ่านไปไม่นานเขาก็ดูวิชาบนโต๊ะแท่นหินไปเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ดูจากคิ้วที่ขมวดกันบนหน้าเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ายังไม่เจอวิชาตามที่ต้องการ
ทันใดนั้น เมื่อเขาวางฝ่ามือลงไปยังโต๊ะแท่นหินสีเขียวดำตัวหนึ่ง สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เท้าเขาหยุดชะงักในทันที
‘วิชาเถาวัลย์โลหิต’ วิชาธาตุไม้ ใช้ในการป้องกัน นำเมล็ดพันธุ์ประเภทที่มีเถาวัลย์มาเพาะเลี้ยงไว้ในร่าง ใช้โลหิตบริสุทธิ์ในการหล่อเลี้ยง เมื่อเจอศัตรูก็สามารถกระตุ้นมันให้กลายเป็นเครือเถาวัลย์ปกคลุมทั่วทั้งร่างได้ภายในพริบตา ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับชนิดของเมล็ดพันธุ์และระยะเวลาในการหล่อเลี้ยง จำให้ดีว่าวิชานี้ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันเวลาแสดงวิชาก็จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ และเมื่อเมล็ดพันธุ์ถูกบ่มเพาะไว้ในร่างนานเกินไปอาจจะทำให้ร่างกายกลายเป็นไม้ได้ อันตรายเป็นอย่างมาก แต้มคุณูปการสามร้อยแต้ม
หลิ่วหมิงอ่านอักขระสีขาวในศีรษะทบทวนไปมาหลายรอบ แล้วก็หยิบป้ายชื่อออกมาจากตัววางลงไปบนม่านแสงตรงโต๊ะแท่นหินโดยไม่ลังเล
ถึงแม้วิชานี้จะมีข้อบกพร่องเยอะ แต่วิชาป้องกันที่ใช้แต้มคุณูปการในการแลกน้อยเช่นนี้ คาดว่าคงมีแต่วิชานี้เท่านั้น แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เลือกวิชาอื่นๆ อีก
เสียงดัง “ฟู่!” แสงกะพริบออกจากป้ายชื่อ แต้มคุณูปการสามร้อยแต้มที่สะสมอยู่ในนั้นก็หายไป ขณะเดียวกันม่านแสงที่ปกคลุมก็แตกกระจายหายไป
คัมภีร์สีเขียวบางๆ เล่มหนึ่งตกลงมาอยู่ในมือของเขา
หลิ่วหมิงได้คัมภีร์แล้วก็หมุนตัวเดินกลับไปอย่างไม่ลังเล
“วิชาเถาวัลย์โลหิต? เจ้าจะฝึกมันจริงๆ หรือ วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่ปรมาจารย์ของเราคิดค้นขึ้นมา แต่เป็นวิชาที่ผู้อาวุโสในนิกายท่านหนึ่งได้มาจากการค้นตัวผู้ฝึกฝนนอกรีตที่ท่านได้สังหารไป วิชานี้เคยมีคนฝึกมาไม่น้อย แต่เวลาแสดงวิชาจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ทั้งยังเสี่ยงต่อการที่ร่างกายจะกลายเป็นไม้ อีกอย่างยังถูกวิชาธาตุไฟควบคุมได้ง่าย ดังนั้นแต่ละคนต่างก็ทยอยเลิกฝึกกันไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวิธีการฝึกวิชานี้ค่อนข้างพิเศษ และวิชาธาตุไม้ในนิกายเรานั้นมีน้อย มันอาจจะโดนถอดออกไปจากหอเก็บคัมภีร์แล้ว ดังนั้นมันจึงใช้แต้มคุณูปการจำนวนน้อยในการแลก เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับฝึกฝนได้ถึงเขตแดนนี้ เห็นทีคงจะมีสติปัญญาไม่เลว ไม่จำเป็นต้องเลือกวิชานี้หรอก” เลี่ยวเฟิงกวาดสายตามองดูคัมภีร์สีเขียวในมือหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาตรงๆ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ แต่แต้มคุณูปการของข้าน้อยมีไม่มากคงเลือกได้แค่วิชานี้แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้แล้วข้าก็ไม่อาจห้ามได้ รีบทำการสาบานต่อสวรรค์เถอะ” เลี่ยวเฟิงถอนหายใจกล่าวออกมา
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงและผู้อาวุโสชุดแดงปรากฏตัวในห้องเล็กๆ อีกครั้ง
หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสแล้วก็หมุนตัวออกไปจากหอเก็บคัมภีร์
เลี่ยงเฟิงรอจนร่างของหลิ่วหมิงหายไปจากประตูใหญ่แล้วจึงกล่าวกับตนเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าเด็กคนนี้อายุน้อยเช่นนี้ คงเป็นศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อตอนพิธีเปิดจิตวิญญาณครั้งล่าสุด แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณที่สาขาเก้าทารกรับไปไม่ได้มีชื่อว่าไป๋ชงเทียนนี่ หรือว่าจะเป็นแค่ศิษย์หกชีพจรจิตวิญญาณ แปลกเสียจริง สามารถฝึกฝนมาถึงเขตแดนขั้นปลายได้รวดเร็วขนาดนี้ เกรงว่าแม้แต่ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย”
สายตาของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ แต่พอส่ายศีรษะแล้วก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอ่านคัมภีร์ในมือต่อ
ในขณะเดียวกัน หลังจากหลิ่วหมิงตรวจดูแต้มคุณูปการที่เหลือในป้ายชื่อแล้วก็เก็บมันเข้าที่เดิมพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็มุ่งไปยังหอดำเนินการ
ผ่านไปชั่วครู่ หลิ่วหมิงก็มายืนอยู่หน้าป้ายผลึกใสที่ประกาศภารกิจ เขาแหงนหน้ามองภารกิจอันบนสุดที่เขียนด้วยอักขระสีทองด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ผ่านไปสักครู่ เขาถึงหันตัวเดินไปยังโต๊ะแท่นหินเพื่อรับภารกิจพร้อมกับยื่นป้ายชื่ออกไป
“ข้าต้องการเข้าร่วมภารกิจปราบปรามที่เกิดขึ้นสามเดือนต่อครั้งที่อุโมงค์หมื่นกระดูก!”
“อุโมงค์หมื่นกระดูกอันตรายเป็นอย่างมาก ผู้ที่ไปที่นั่นต้องรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ศิษย์น้องไป๋ เจ้าต้องการ่วมภารกิจนี้จริงๆ หรือ?” เห็นได้ชัดว่าผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนจำหลิ่วหมิงผู้บ้าระห่ำภารกิจคนนี้ได้ พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ หลิ่วหมิงที่เดิมทียิ้มอยู่ก็หยุดชะงักไป
“ไม่เป็นไร ศิษย์น้องตัดสินใจรับภารกิจนี้อย่างแน่นอนแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะใส่ชื่อของศิษย์น้องเข้าไปล่ะนะ อีกสามวันจะมีอาจารย์อาท่านหนึ่งนำไป ศิษย์น้องจะต้องเข้าไปในนั้นให้ตรงเวลามิเช่นนั้นจะถูกหักแต้มคุณูปการเป็นจำนวนมาก” ผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนพยักหน้ากล่าวออกมา จากนั้นรับป้ายชื่อของหลิ่วไป แล้วใช้กระบองสั้นสีทองแตะลงไปบนนั้นหลายรอบ จากนั้นจึงคืนให้กับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิวกล่าวขอบคุณผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนแล้วก็จากไป
“ศิษย์พี่หวง เมื่อครู่ศิษย์น้องไป๋รับภารกิจอะไรไป ทำไมข้าถึงเห็นท่านเหมือนจะลังเลอยู่เล็กน้อย” ชายอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งก็เดินมายังโต๊ะแท่นหินเช่นกัน ดูเหมือนเขาจะถามแบบไม่ใส่ใจ
“ไม่มีอะไร ศิษย์น้องไป๋แค่เข้าร่วมการเดินทางไปปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูกในอีกสามวันข้างหน้า” เห็นได้ชัดว่าผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนรู้จักผู้ที่มาสอบถาม และเขาก็ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดี
“อะไรนะ อุโมงค์หมื่นกระดูก?” พอชายที่สอบถามได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว ดังนั้นข้าจึงพูดเกลี้ยกล่อมไปสองประโยค น่าเสียดายที่ศิษย์ไป๋ยังยืนกรานที่จะไป จุ๊ๆ! ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ในระยะปีกว่าๆ นี้มีศิษย์นิกายสายในที่เสียชีวิตในอุโมงค์หมื่นกระดูกมากกว่าสิบคนแล้ว ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมายิ่งไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้อายุยังน้อยแต่ใจกล้ากว่าคนปกติมาก” ชายวัยกลางคนกล่าว
และชายหนุ่มที่สอบถามเมื่อครู่กลับยังอยู่ในอาการตื่นตะลึง
……
“อะไรนะ รับภารกิจปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูก? เจ้าเด็กคนนี้ช่างใจกล้าจริงๆ!” ศิษย์เก่าสาขาพลังโลหิตหลายคนรวมตัวกันในหอแห่งหนึ่งตรงตีนเขาสาขาพลังโลหิต ชายหน้าดำผู้หนึ่งที่อยู่ในนั้นได้หลุดปากพูดออกมา
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น