เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 9-10

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 9 คนงามรู้จักเครื่องหอม

 

การอาบน้ำทุกวันทั้งแต่งเติมรูปโฉมให้สวยงามมีความสำคัญอย่างมากต่อเชิงซิน เวลานี้อยู่ในตงกงไม่มีสาวใช้บริการ ต้องตักน้ำเองหนึ่งอ่างจัดการหวีผมที่ยาวสยาย มองดูรูปโฉมที่ยั่วยวนใจสะท้อนจากผิวน้ำ เชิงซินอดไม่ได้ยิ้มออกมาแล้วใช้นิ้วแตะเบาๆที่ใบหน้าแย้มยิ้มแสนซนในอ่างน้ำจนเกิดระลอกคลื่นเป็นวงๆทันที ปลายนิ้วมือที่ใสลื่นราวต้นหอมสุ่ยชงจับหวีงาช้างสางผมยาวที่สยายอยู่ด้านข้าง ผมดำเป็นมันเงาลื่นมืออย่างมาก


 


 


ขณะที่เขาแหงนหน้าขึ้นมาอวิ๋นเยี่ยพบว่าเขาไม่มีลูกกระเดือก ตกลงหมอนี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่?


 


 


“โหวเหยียเขาเป็นผู้ชายเพียงแต่ถูกเลี้ยงดูแบบผู้หญิงตั้งแต่เล็ก ผู้ชายมีอัณฑะสองลูกแต่เขาไม่มีเพราะโดนตัดทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็กมาก ดังนั้นผิวพรรณจึงได้ละเอียดลื่นใสเช่นนี้ ของอันนั้นก็หยุดเติบโตดูไม่ต่างกับเด็กสามสี่ขวบ หากโหวเหยียสนใจข้าจะให้เขาเปลือยหมดให้โหวเหยียดู


 


 


“อ้วก ไปเลยไป เจ้าคิดว่าข้ายังอ้วกไม่พออีกใช่ไหม” เตะขันทีที่อยู่ข้างๆกระเด็นไปส่วนตัวเองเท้าต้นไม้แล้วก็อ้วกไม่หยุด หลี่เฉิงเฉียนไปราชสำนักแต่เช้า บอกอวิ๋นเยี่ยให้รีบนำสาวประเภทสองของตัวเองไป อย่าทำให้ชื่อเสียงของรัชทายาทแปดเปื้อน


 


 


เรียกขันทีติดตัวของหลี่เฉิงเฉียนไปรู้จักสาวประเภทสองที่ชื่อเสียงระบือไปทั่วหล้า เห็นแต่แรกนึกว่าเป็นผู้หญิง แต่เสียงที่ห้าวถึงอย่างไรก็ปิดไม่มิด หญิงแท้แสนงามลุกขึ้นจัดการผมเผ้าของตัวเองแต่เช้านั้นถือเป็นความสวยงาม แต่สาวประเภทสองที่สวยงามมาบุ้ยปากเล่นซุกซน โอยไม่ไหวแล้ว อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจอ้วกต่ออีก


 


 


จะต้องจัดการเชิงซินออกจากวังให้ได้ถึงคลื่นไส้เท่าไรอวิ๋นเยี่ยก็ต้องทน เฉิงเฉียนในประวัติศาสตร์ความจริงไม่ได้ทำอะไรที่ผิดใหญ่โต ชื่อเสียงที่นิยมเพศเดียวกันทำให้เกิดช่องว่างอย่างมากกับขุนนางราชสำนัก อีกทั้งปัญหาเท้าที่บาดเจ็บ ทำให้เขากลายเป็นหลี่เฉิงเฉียนอีกคนที่ทารุณโหดร้ายอย่างเต็มตัว


 


 


อวิ๋นเยี่ยนำทางอยู่ข้างหน้าโดยมีเชิงซินหิ้วห่อผ้าเล็กๆเดินตามอยู่ข้างหลังอย่างประหม่า เฉินฉู่มั่วเห็นแต่ไกล ปากอ้าจนยัดกำปั้นเข้าไปได้รีบวิ่งมาบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดของพี่ชาย รู้อยู่ว่าน้องสะใภ้มีครรภ์ปรนนิบัติคนไม่ได้ บ้านเจ้าก็ไม่มีคนไหนที่อยู่ในสายตาจนเจ้ากลั้นไม่ไหว พี่ชายรู้แล้ว วันนี้เลิกงานแล้วพี่ชายจะพาเจ้าไปหอเยี่ยนไหลให้รื่นเริงอารมณ์ ไม่ต้องเอากระต่ายกลับบ้านหรอก”


 


 


ไม่มีวิธีอธิบายเรื่องราวให้เฉิงฉู่มั่วเข้าใจ ดูสีหน้าเฉิงฉู่มั่วที่เจ็บปวดจนบิดเบี้ยว หมอนี่ท่าทางคงเกลียดพวกกระต่ายจริงๆ


 


 


“ไปไกลๆเลย ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดสักนิด เจ้ารังเกียจเขา ข้าก็รังเกียจเหมือนกัน ตั้งแต่เช้าข้าอ้วกไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง เพราะหาวิธีไม่ได้จริงๆ ถ้ามีวิธีใครจะทำเช่นนี้”


 


 


เฉิงฉู่มั่วจึงมีอาการแบบเข้าใจแจ่มแจ้ง มองดูเชิงซินกับมองอวิ๋นเยี่ยอีกแล้วถามว่า “เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร”


 


 


“คนที่น่าสงสาร ให้ทางรอดเขาสักทางแล้วกัน เป็นโรคจิตแน่ถ้าอยู่ดีๆก็คิดฆ่าคน”


 


 


โลกก็เป็นเช่นนี้เอง พอพูดถึงโรคจิตก็มีคนโรคจิตโผล่มาอยู่ตรงหน้า หลี่หยวนชาง ไม่รู้ว่าสมองหมอนี่โดนลาถีบมาหรืออย่างไร รู้ๆอยู่ว่าหลี่ซื่อหมินยิ่งใหญ่จนแทบเป็นมนุษย์ยักษ์มโหฬาร ไม่ใช่มดปลวกเช่นเขาจะมาทำร้ายได้ กลับยังมีความคิดยิ่งใหญ่อยากเบิกฟ้าถมทะเลจะลากหลี่ซื่อหมินลงมาจากบัลลังก์ให้ได้ หลายปีนี้จึงทำเรื่องจุกจิกเหล่านี้ไม่ได้ขาด


 


 


“เชิงซิน เจ้ากล้าแอบหนีไปหรือ” ทั้งๆที่เบื้องหน้ามีโหวเหยียยืนอยู่คนหนึ่งกับกงเหยียเล็กอีกคนหนึ่ง แต่เขามองข้ามไปหมดมัวแต่ไปดูเชิงซิน นี่เป็นมารยาทของตระกูลไหนกัน


 


 


เชิงซินตัวสั่นหมอบอยู่ที่พื้น ตาสามเหลี่ยมของหลี่หยวนชางมีแต่แววกามราคะเตรียมยื่นมือไปลูบคลำใบหน้าของเชิงซินต่อหน้าธารกำนัล เชิงซินถอยหลังโดยไม่รู้ตัวแล้วมองอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาวิงวอน ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดความคิดอยากปกป้องคนงามขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากตรวจสอบแนวโน้มทางเพศของตัวเองว่ายังปกติแล้ว พัดของอวิ๋นเยี่ยก็ตีมือหลี่หยวนชางให้ตกลงมา


 


 


“ฮั่นอ๋อง ที่นี่เป็นเขตพระราชฐาน ท่านสำรวมหน่อยจะดีกว่า ท่านเป็นที่เกลียดชังของคนหมู่มากอยู่แล้ว ไยจึงจะต้องทำให้เพิ่มมากขึ้นอีกเล่า”


 


 


“อวิ๋นเยี่ยเจ้ากล้าเหิมเกริมไม่ให้ความเคารพข้า” พัดพับในมืออวิ๋นเยี่ยทำจากไม้จันทน์มีเพียงไม่กี่อัน เป็นอุปกรณ์ที่อวิ๋นเยี่ยเอามาประกอบการแสดงตัวเป็นนักปราชญ์ วันในฤดูร้อนพกไว้พร้อมที่จะใช้โบกเบาๆสักสองสามครั้ง เป็นที่ดึงดูดลูกตาผู้คนมาก แกนพัดที่ทำด้วยไม้จันทน์ตีถูกข้อมือคงจะเจ็บมาก


 


 


“รีบไปไกลๆเลย อยากแสดงบุญบารมีให้ไปเล่นในอาณาเขตของท่านเอง ที่นั่นโดนท่านย่ำยีจนผู้คนอยู่ไม่รอดกันแล้ว อย่าได้มาสร้างเวรกรรมให้คนในฉางอันเดือดร้อนกันอีก” สำหรับคนโง่เง่าที่รู้จักใช้แค่แผนเล็กๆน้อยๆเช่นหลี่หยวนชาง ไม่คุ้มที่จะต้องไปเสียสมองวุ่นวายด้วย


 


 


พูดจบก็ประสานมือให้เฉิงฉู่มั่วแล้วนำเชิงซินจากไป


 


 


“ข้าสามารถไม่เอาเรื่องเจ้าที่ไร้มารยาทต่อข้า แต่เจ้าจะต้องทิ้งเชิงซินให้ข้า ถือว่าข้าติดค้างเจ้าครั้งหนึ่ง” หลี่หยวนชางรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ยุ่งด้วยง่ายๆ แต่ในความคิดเขานึกว่าอวิ๋นเยี่ยคงจะชั่งน้ำหนักระหว่างสาวประเภทสองกับอ๋องคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเห็นได้ชัดเจนว่าใครหนักใครเบา


 


 


ที่ไหนได้อวิ๋นเยี่ยแม้แต่มองยังไม่หันมองเขาแต่ชูนิ้วกลางให้เขาแล้วก็เดินแกว่งออกประตูวังไป เชิงซินเดินตามติดอยู่ข้างหลังราวกับเกรงกลัวหลี่หยวนชางมาก คงเหลือเพียงหลี่หยวนชางที่ยืนเต้นเร่าร้องด่าเสียงลั่นอยู่ที่นั่น


 


 


คราวนี้โหวเหยียตระกูลอวิ๋นมีชื่อเสียงดังไปทั่วว่าเวลานอนนอกจากวางเถียนกวาไว้ในผ้าห่มแล้ว ครั้งนี้ยังลงไม้ลงมือกับฮั่นอ๋องเพราะสาวประเภทสองคนหนึ่ง ได้ยินว่าข้อมือฮั่นอ๋องโดนตีหักด้วย เป็นศึกชิงนางของแท้เลย


 


 


ได้ยินว่ารัชทายาทรู้สึกผิดด้วยที่เพื่อนมีพฤติกรรมวิตถารยังไม่รู้ อุตส่าห์หาคนงามจากกองของขวัญส่งให้เพื่อน ใครจะรู้ว่าทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นี่เป็นความผิดของตัวเองแท้ๆ นี่เป็นคำอธิบายของรัชทายาทต่อบรรดาผู้ลากมากดีทั้งหลาย


 


 


“ล้วนเป็นความผิดของรัชทายาท วายร้ายนั่นเอาอ่างอุจจาระครอบไว้บนศีรษะสามีเจ้าเพื่อให้ตัวเองหลุดรอดไปได้” ซินเย่ว์ที่ได้ยินข่าวลือจะไปนั่งติดได้อย่างไรจึงล็อคตัวอวิ๋นเยี่ยไว้ในผ้าห่มแล้วสอบถาม ทั้งยังเปิดผ้าห่มโผขึ้นไปดมจนแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นแปลกปลอมจึงได้วางใจ นางได้เห็นเชิงซินแล้ว สวยงามมากจริงๆ ทั้งใบหน้ารูปร่างยังดูดีกว่าสาวจริงอีกถึงแม้มั่นใจในผู้ชายของตัวเองว่าไม่มีรสนิยมวิปริตเช่นนั้น แต่หลังจากที่ได้ยลโฉมเชิงซินแล้วความเชื่อมั่นเช่นนี้ก็เริ่มคลอนแคลน


 


 


“เช่นนั้นแล้วท่านจะจัดการอย่างไรกับคนนี้ ผู้ชายดัดจริตออกท่าออกทางทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียน” จับศีรษะอวิ๋นเยี่ยให้ตั้งตรงแล้วซินเย่ว์ก็เริ่มคิดหาทางออกให้เชิงซิน ลองคิดหาหลายทางก็ยังหาทางที่เหมาะสมกับเชิงซินไม่ได้สักอย่าง จึงหงุดหงิดจนระบายอารมณ์กับผมของอวิ๋นเยี่ย


 


 


เวลานี้เขาไม่ใช่ผู้ชายแล้วก็ไม่ใช่ผู้หญิง การเลี้ยงเขาแบบผู้หญิงตั้งแต่เด็กทำให้ทั้งกำลังกายและความแข็งแรงไม่สามารถเทียบกับผู้ชายได้ ถ้าว่าเขาเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถมีบุตรทั้งชายหรือหญิงได้ ดังนั้นโดยพื้นฐานนอกจากเป็นเครื่องเล่นให้คนอื่นแล้วเขาก็คือเศษมนุษย์คนหนึ่ง แต่ว่าระดับตระกูลอวิ๋นที่แม้แต่เศษเหล็กยังสามารถขายได้ราคาสองหมื่นก้วน ทำไมจะหาวิธีใช้ประโยชน์จากขยะไม่ได้เล่า


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่หน้ากระจกทองแดงให้ซินเย่ว์หวีผม ผมยาวสองเชียะนี้เขาไม่เคยจัดการได้ถนัดมือสักที บางครั้งอยากตัดทิ้งไปให้หมด เหลือเพียงแค่ศีรษะล้านเลี่ยนเตียนโล่งสบายกว่ากันเยอะเลย


 


 


จากการสำรวจมาสองวันอวิ๋นเยี่ยพบว่าประสาทดมกลิ่นของเชิงซินมีพัฒนาการที่ดีเยี่ยม สามารถแยกแยะได้ว่าโรงปรุงน้ำหอมที่อยู่ห่างหลายลานบ้านนั้นใช้วัตถุดิบชนิดไหนกันแน่ ทำให้อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจมากจึงตัดสินใจให้เขามีโอกาสเลี้ยงตัวเองได้


 


 


ในห้องที่ปิดมิดชิดมีเชิงซินถูกปิดตานั่งอยู่บนเก้าอี้ สาวใช้สองคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จไม่มีกลิ่นหอมในตัวแม้แต่นิด เอาขวดเล็กแกว่งอยู่ใต้จมูกของเชิงซินทีเดียวแล้วก็นำออกไป


 


 


“นี่เป็นกลิ่นดอกพุด ผสมดอกมะลินิดๆ”


 


 


“นี่เป็นกลิ่นดอกกล้วยไม้ บริสุทธิ์มากไม่ได้ผสมอะไรเลย”


 


 


“นี่เป็นกลิ่นกานพลู”


 


 


“นี่เป็นกลิ่นชะมด ผสมน้ำแข็ง”


 


 


สาวใช้ปิดจมูกนำของชิ้นเล็กที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวรุนแรงวางไว้ที่ใต้จมูกของเขา เตรียมดูเขาออกอาการพะอืดพะอม เชิงซินขมวดคิ้วดมใกล้ๆทีเดียว หายใจลึกๆแล้วพูดว่า “นี่เป็นกลิ่นหลงเสียนเซียง หลงเสียนที่ยังไม่ได้ปรุงแต่งอะไร ยังไม่ได้อายุ ต้องรออีกสามสิบปีจึงจะใช้งานได้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบมือเดินเข้ามา ซินเย่ว์เดินอุ้มท้องที่เริ่มนูนนิดๆเดินตามอยู่ข้างหลัง เหล่าบ่าวไพร่เปิดประตูหน้าต่าง สาวใช้พัดกันอย่างแรงเพื่อไม่ให้ในห้องมีกลิ่นหอมใดๆเหลืออยู่ ฮูหยินเล็กได้กลิ่นหอมเพียงเล็กน้อยก็จะอาเจียนไม่หยุด


 


 


“เชิงซิน เรื่องเคราะห์กรรมของเจ้านั้นข้าไม่ต้องพูดเจ้าเองก็รู้ดี ต่อไปเจ้าคิดจะทำอะไรบ้าง หากยังพอมีคนของครอบครัวเหลืออยู่ข้าจะให้ค่าเดินทางเจ้าไปอยู่กับคนของครอบครัว หากไม่มีที่ไปจริงๆก็ให้พักได้ชั่วคราวที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น แต่ตระกูลอวิ๋นไม่รับเลี้ยงคนไร้ค่า เจ้าจะต้องอาศัยสองมือเจ้าหาข้าวกินจะอาศัยคนอื่นไม่ได้อีก เจ้าจะเลือกแบบไหน”


 


 


เชิงซินรีบฟุบที่พื้นโขกศีรษะไม่หยุดพูดว่า “ข้าไม่มีญาติพี่น้องมานานแล้ว ขอเพียงโหวเหยียไม่ขับไล่ข้า หากออกจากประตูบ้านโหวเหยียเมื่อไรแล้วข้าเหลือเพียงประตูตายเท่านั้น โหวเหยียเป็นผู้เที่ยงธรรมมีความเชื่อมั่นตัวเองสูงย่อมไม่สนใจรูปโฉมของข้า ขอเพียงให้โหวเหยียเห็นใจสงสารข้าได้ข้าวกินสักชามก็พอแล้ว ข้าสนใจแยกแยะชนิดเครื่องหอมแต่เล็ก หากโหวเหยียยินยอมใช้งานข้าจะทำงานจนสุดกำลังที่มีอยู่”


 


 


“ดีมาก นับตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าก็เป็นบ่าวไพร่ของตระกูลอวิ๋นเป็นเวลาสามปี หลังจากสามปีแล้วข้าจะออกหนังสือรับรองความเป็นอิสระของเจ้า เจ้าจะเลือกเองได้ว่าจะออกไปทำงานอิสระหรือยังคงต่อสัญญากับตระกูลอวิ๋น เอาละไม่ต้องบอกเจ้ามาก เรื่องที่ไม่เข้าใจก็ให้ถามผู้ดูแลบ้าน ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วย ลูกผู้ชายอะไรใส่เสื้อคลุมลายดอกรองเท้าปักลาย ใบหน้าก็ห้ามไม่ให้ใช้เครื่องสำอางด้วย หากยังกล้ามีอาการที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้อีก ต้องโดนลงทัณฑ์”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเพิ่งไปผู้ดูแลบ้านก็มา ข้างหลังมีเด็กรับใช้อุ้มของมัดใหญ่ตามมาด้วย เหล่าเฉียนให้เชิงซินเซ็นสัญญาก่อน หลังจากดูสัญญาจนเข้าใจแล้วเชิงซินก็ถามผู้ดูแลบ้านอย่างระมัดระวังว่า “อาเฉียน ตระกูลอวิ๋นยินยอมปล่อยให้บ่าวไพร่เป็นอิสระหรือ”


 


 


เหล่าเฉียนยิ้มชี้เด็กรับใช้ว่า “เจ้าพูดให้เขาฟังดู”


 


 


“เจ้ากินอิ่มพุงอืดจนทนไม่ไหวจึงต้องการใบรับรองความเป็นอิสระบ้าบอใบนั้น พวกเราไม่เคยหลอกคน บอกสามปีก็สามปีไม่เกินแม้แต่วันเดียว ถึงเวลาแล้วจะต้องออกใบรับรองให้ พอได้แล้วเจ้าก็ไปที่ทำการราชการขอทะเบียนบ้านรอแบ่งที่ดินให้ แล้วตัวเองซื้อวัวปลูกบ้านหาเมียแล้วขุดหาของกินจากที่ดินเองทั้งชาติ ชาตินี้ต้องจบกันแน่


 


 


พวกเราเวลานี้คิดแต่ว่าจะต้องทำอย่างไรให้โหวเหยียยอมต่อสัญญาไปเรื่อยๆ ข้าเองเหลืออีกสามเดือนจะครบกำหนด กำลังกลุ้มหนัก เกิดโหวเหยียไม่เอาข้าจะไปหาที่ไหนที่ทั้งได้เงินทั้งสุขสบายได้อีก เจ้ากล้าคิดจะให้ตัวเองอิสระหรือ พวกที่ร้องห่มร้องไห้ทั้งวันไม่ใช่พวกที่เข้ามาแต่เป็นพวกที่จะออกไป ตรงกันข้ามกับตระกูลอื่น ทำงานตลอดชีวิตที่นี่ข้าก็ยินดี บ่าวไพร่ก็บ่าวไพร่จะมีอะไรกันมากนัก”


 


 


เซ็นสัญญาเสร็จเหล่าเฉียนก็เร่งให้เขาเปลี่ยนเป็นชุดบ่าวไพร่สีน้ำเงิน ให้ใส่หมวกอีกใบแล้วชมว่าเป็นหนุ่มน้อยรูปหล่อมาก แล้วเบิกเงินเดือนครึ่งเดือนให้เขา บ่าวไพร่ทุกคนที่มาอยู่ตระกูลอวิ๋นล้วนทำกันเช่นนี้


 


 


มองดูเหรียญทองแดงกองเล็กๆบนเตียงแล้วเชิงซินรู้สึกว่าเห็นเงินเหล่านั้นแล้วสดชื่นมาก เขายังไม่เคยมีเงินมาก่อนเลย

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 10 ข้าก็ขอเอี่ยวด้วย

 

เมือฉางอันราวกับมีกระแสคลื่นใต้น้ำที่กำลังปั่นป่วน เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นผนึกกำลังกันไม่หยุดหย่อนเตรียมการโจมตีระลอกใหม่ ไม่ว่ากระดิกตัวอะไรล้วนใช้เป็นคำกล่าวอ้างได้ กระแสข่าวลือก็ใช้เป็นฎีกาได้ ตระกูลอวิ๋นไม่ทำธุรกิจใดๆในกวนจง แต่นอกด่านแล้วพวกเขารับหมดทุกอย่าง ได้ยินว่าแม้แต่ขนแกะก็ยังรับกลับมา จะเอาขยะเหล่านี้มาทำอะไรกัน ทุบเป็นสักหลาดหรือ ไม่หรอก นี่เป็นการให้ทุนศัตรูอย่างเปิดเผย ไม่เช่นนั้นใครจะยอมเอาเสบียงอาหาร เครื่องกระเบื้องภาชนะเหล็กไปแลกกับของไร้ค่าพวกนั้น ต้องมีเลศนัยอยู่ภายในแน่นอน จะต้องตรวจสอบออกมาให้ได้ ดังนั้น กองคาราวานของตระกูลอวิ๋นกับเหอจึงโดนตรวจสอบไม่หยุดหย่อน ต่อหน้าดูราวกับเกรงใจอยู่บ้างแต่ความจริงแล้วตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก


 


 


“เหล่าเกา ระยะนี้พวกเจ้าหน้าที่เมืองระหว่างทางเสียสติกันแล้วหรือ กองคาราวานพวกเราโดนตรวจไปสี่รอบแล้ว พวกเขาอยากทำอะไรกันแน่” หัวหน้าผู้คุ้มกันกองคาราวานถามผู้ดูแลงาน


 


 


“จะมีอะไร นอกจากอิจฉาตาร้อนเห็นพวกเราทำกำไรได้ แต่ละคนล้วนอยากเข้ามาเอี่ยวด้วย สุดท้ายแล้วโหวเหยียโมโหสั่งเลิกทำธุรกิจทั้งหมดจนไม่เหลือแม้แต่แห่งเดียว พวกเดียรฉานเห็นไม่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากกวนจงก็เลยคิดอยากขัดคอเรา ข้าคิดว่า หากไม่มีฮูหยินรองอยู่ที่ทุ่งหญ้าไม่แน่ว่าแม้แต่ธุรกิจในทุ่งหญ้าก็อาจถูกโหวเหยียสั่งให้เลิกไปด้วย”


 


 


“ฮูหยินรองอะไรกัน เหล่าเกาอย่าได้พูดชุ่ยๆ เรื่องไม่จริงทั้งนั้น ถึงแม้จะเกล้าผมทรงหญิงแต่งงานแล้ว แต่พอเห็นก็รู้ทันทีว่ายังเป็นสาวบริสุทธิ์แท้ๆ คำพูดนี้หากฮูหยินเล็กได้ยินจะถลกหนังแกแน่นอน”


 


 


“เจ้าอย่าพูดเลย เรื่องนี้อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น คนที่ทุ่งหญ้าไม่ได้สวยงามเหมือนฮูหยินเล็กก็จริง แต่ว่าไปแล้ว เวลานี้ฮูหยินเล็กมีครรภ์ การออกดอกออกผลเจริญมั่งคั่งของตระกูลเราเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น ถึงเวลานั้นแล้วทรัพย์สินมหึมาที่ทุ่งหญ้าจะไปยอมยกให้คนอื่นได้อย่างไร ฮูหยินรองแม้ความงามจะด้อยไปสักนิดแต่เพื่อทรัพย์สินของตระกูลแล้วโหวเหยียคงไม่มีทางเลือกมากนัก”


 


 


ทั้งคู่นำกองคาราวานคุยพลางเดินทางพลางจนมาถึงท่าเรือโดยไม่รู้ตัว ทุกท่าเรือล้วนมีด่านเก็บภาษีของราชการ หากอยากข้ามแม่น้ำจะต้องชำระภาษีก่อน ภาษีของตระกูลอวิ๋นแต่ไหนแต่ไรมาล้วนไปคิดบัญชีที่ฉางอันทีเดียว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขุนนางประจำด่านวันนี้ต้องการให้ตระกูลอวิ๋นชำระภาษี ทำให้ผู้ดูแลเกาตกใจอย่างยิ่งที่เป็นเรื่องเป็นราวหนักหนามาก หมายความว่าพวกนั้นไม่สนใจหน้าตาอะไรกันอีกแล้ว


 


 


ชำระภาษีไม่ได้ หากชำระแล้วชื่อเสียงตระกูลอวิ๋นจะเสียหายหนัก ผู้ดูแลเกาจึงต้องสั่งให้กองคาราวานถอยออกจากท่าเรือแล้วส่งคนไปฉางอันกลางดึก รอการตัดสินใจจากโหวเหยีย


 


 


เวลานี้เอง ภายในฝ่ายตรวจการก็เถียงกันไม่จบ ไม่ใช่เพราะใดอื่นแต่เพราะธุรกิจที่แปลกประหลาดของตระกูลอวิ๋น บางส่วนเห็นว่าต้องใช้ไม้แข็งตัดขาดเส้นทางธุรกิจของตระกูลอวิ๋น ผู้ตรวจการหัวรุนแรงที่สุดคือหวงโย่ว มีความเชื่อมั่นอย่างเด็ดขาดว่าถึงแม้ทุ่งหญ้าได้ถูกปราบปรามราบคาบแล้ว แต่พื้นที่นั้นมักจะยอมแพ้แล้วก็กลับคืนเป็นกบฏอีกเป็นประจำไม่เคยมีสัจวาจาที่เชื่อถือได้แม้แต่นิด ต้องใช้แต่พระเดชเท่านั้นจึงสยบได้จะใช้พระคุณไม่ได้ วิธีการของตระกูลอวิ๋นยิ่งจะต้องโดนเล่นงานให้เด็ดขาด


 


 


เมื่อมีคนเริ่มต้นแล้วย่อมติดเบรกไม่อยู่ ฝ่ายตรวจการแต่ไหนแต่ไรมาเป็นแหล่งที่กล้าคิดกล้าพูดอยู่แล้ว แม้จะมีร่องรอยให้สงสัยบ้างเพียงเล็กน้อยพวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะขยายให้เป็นภัยอย่างมหันต์


 


 


เว่ยเจิงนั่งอยู่หลังโต๊ะพิจารณาอย่างเงียบๆ หลับตาราวกับวิญญาณออกไปท่องโลกข้างนอก รอจนกระทั่งเหล่าผู้ตรวจการเห็นพ้องต้องกันแล้ว จึงลืมตาดูฎีกาที่เหล่าลูกน้องตัวเองวางอยู่ที่โต๊ะนับดูแล้วมียี่สิบฉบับ


 


 


“ทั้งหมดนี้คือฎีกาที่พวกเจ้าฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ย”


 


 


“ถูกต้อง เว่ยกง พวกเราได้รวบรวมข้อหาอวิ๋นเยี่ยเป็นคดีโทษหนักหกคดี คดีโทษกลางเจ็ดคดี คดีโทษเบาสิบสามคดี”


 


 


“ความผิดทั้งหมดนี้พวกเจ้าต่างมีหลักฐานชัดเจนผูกมัดได้แน่นหนาไหม”


 


 


“พวกเราเป็นผู้ตรวจการ การทำฎีกาเรื่องราวที่ยังไม่มีหลักฐานถือเป็นหน้าที่ ไม่กล้ารอช้าให้เสียหาย”


 


 


“หวงโย่ว คิดให้ดีๆ เจ้ากับข้าต่างรู้ดีกันว่าความน่าเชื่อถือของคดีเหล่านี้มีมากน้อยแค่ไหน หากอวิ๋นเยี่ยตีโต้กลับมา ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ข้าให้เจ้าได้คือความแหลกลาญเท่านั้น ตระกูลโต้วใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนยังสามารถล่มสลายได้ในวันเดียว อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้เชียว”


 


 


เงยหน้ามองหวงโย่วที่เหงื่อหยดติ๋งๆแล้ว เว่ยเจิงพูดต่อว่า “ความจริงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากผลประโยชน์ เดิมทีเห็นว่าร้านค้าใกล้จะล่มจมพวกเจ้าจึงต่างถอนหุ้นออกจากร้านค้า ใครจะรู้ว่าเหนียงเหนียงเปิดร้านค้าเงินเอาเงินตัวเองให้ร้านค้ากู้ในอัตราดอกเบี้ยแสนต่ำติดดิน ทำให้ร้านค้าต่างกลับคืนชีพได้อีก พวกเจ้าคิดจะเข้าหุ้นใหม่ต่างถูกปฏิเสธ ข้าดูถูกเหล่าพ่อค้ามาแต่ไหนแต่ไรแต่ครั้งนี้กลับรู้สึกว่าเหล่าพ่อค้าไม่ได้ทำผิด หากเปลี่ยนเป็นข้าก็จะไม่ยอมรับผู้ร่วมหุ้นที่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรม ธุรกิจพวกเขามีเงินของเหนียงเหนียงกับรัชทายาทพวกเจ้าจึงไม่กล้าทำอะไร นึกว่าอวิ๋นเยี่ยรังแกได้จึงเตรียมระบายความแค้นใส่อวิ๋นเยี่ยหรือ”


 


 


สะบัดแขนเสื้อทีเดียวฎีกาบนโต๊ะต่างโดนปัดตกพื้นจนเกลี้ยง จับหน้าโต๊ะโน้มตัวไปข้างหน้าตะคอกว่า “อวิ๋นเยี่ยบอกว่าในราชสำนักมีคนดีเพียงไม่กี่คน ข้าไม่อยากจะเชื่อ แต่เวลานี้เห็นได้ชัดเจน แต่ละคนแต่งตัวภูมิฐานแต่ไม่ละอายใจ สู้ตายกันเพื่อเงินทอง แม้แต่มารยาททางวงการขุนนางยังทอดทิ้งหมดเกลี้ยง เงินที่อวิ๋นเยี่ยหามาได้พวกเราต่างรู้ว่าใช้ไปอยู่ที่ไหน ในเวลาสามปีเขาสร้างสถานศึกษาที่ใหญ่ที่สุดที่สมบูรณ์แบบที่สุดของต้าถังเรา ตัวเองกลับใช้จ่ายอย่างประหยัดในการกินอยู่ ข้าได้ยินว่าพวกท่านแม้แต่ซอยต้นหอมยังต้องมีพ่อครัวโดยเฉพาะ เรียกว่าต้องกินอย่างประณีต ท่าที่อวิ๋นเยี่ยถือซาลาเปาสองลูก นั่งกินอยู่บนขั้นบันไดสถานศึกษาพวกท่านมีใครเคยเห็นแล้วยัง


 


 


พูดถึงเรื่องกิน ของที่เขาเคยกินยังมากกว่าที่พวกท่านเคยเห็น อาหารที่เขาทำออกมามีรสชาติสุดยอด ข้าเคยชิมครั้งเดียวยังไม่สามารถลืมได้ เขาเรียกพวกเราว่าอะไรรู้ไหม เต่านา ก็คือพวกคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ดูจากการกระทำของพวกท่านแล้ว เขาไม่ได้พูดผิดเลย


 


 


ถ้าหากมีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่ต้องรอให้พวกเจ้าลงมือหรอก ข้าเองจะฟัดกับเขาให้ตายไปข้างหนึ่ง ท่านดู ยึดครองที่ดินนอกด่านตั้งตัวเป็นอ๋อง รอบๆมีแต่กองทัพสุดยอดของต้าถัง คนเลี้ยงปศุสัตว์ไม่กี่ร้อยคนจะก่อกบฏ หวงโย่ว ท่านเชื่อหรือ


 


 


ใช้กลวิธีพิสดารถ่ายทอดพิษร้ายให้นักศึกษา ข้อนี้รอให้พวกท่านมีวิชาความรู้เหนือกว่าหลี่กังแล้วค่อยพูดจะดีกว่า ขุนนางบุ๋นสมควรสามัคคีนั้นถูกต้อง แต่ไม่ใช่เพื่อต่อต้านจึงต่อต้าน ข้ารู้ว่ามีบางคนได้แจ้งให้ขุนนางท้องถิ่นเล่นพิเรนทร์กับตระกูลอวิ๋นในเรื่องนี้ ข้าได้แค่หวังให้พวกท่านอย่าได้ถลำลึกมากเกินไป ไม่เช่นนั้นใครก็ช่วยท่านไม่ได้”


 


 


พูดเรื่องเหล่านี้จบแล้วเว่ยเจิงก็ออกจากฝ่ายตรวจการ ให้พวกเขาไตร่ตรองเรื่องพวกเขาเอง ในฐานะผู้บังคับบัญชาสิ่งที่สมควรทำก็ได้ทำแล้ว เขาไม่กล้านึกภาพว่าหากขนแกะส่งมาไม่ทัน หลี่ไท่ที่กำลังเต้นผางเนื่องจากขนแกะน้อยเกินไปจะทำเรื่องที่น่ากลัวอะไรออกมา


 


 


หลี่ไท่ที่ไม่หลับไม่นอนมาสามวันสามคืน จับจ้องการทำงานของเครื่องทอ ด้ายขาดเส้นหนึ่งเขาก็ชักกระตุกหนึ่งครั้งราวกับโดนมีดทิ่มหนึ่งครั้ง สุดท้ายแล้วผ้าที่ทอออกมาถึงแม้จะไม่ดี แต่ก็เริ่มเห็นรูปร่างแล้ว


 


 


เรื่องใกล้จะสำเร็จแล้ว เว่ยเจิงย่อมรู้ว่าหากขนแกะสามารถทำเป็นเสื้อผ้าได้ จะมีผลอย่างไรต่อการปกครองของต้าถัง ทุ่งหญ้ากับจงหยวนจะเป็นกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกันจนแยกจากกันไม่ได้ จะไม่มีเรื่องชนชาติป่าเถื่อนมาบุกรุกอีกต่อไป


 


 


หลี่ไท่ขณะทำงานทั้งอารมณ์ร้อนทั้งไร้มนุษยสัมพันธ์ ทำตัวราวกับเป็นเครื่องจักร เกลียดทุกคนที่ไม่รักษาระเบียบวินัย ขันทีปรนนิบัติข้างกายเขาเปลี่ยนมาแล้วสามคน เนื่องจากเร่งให้เขากินข้าวหรือนอนแล้วโดนซ้อม อีกทั้งใช้ทุกอย่างใกล้มือในการทำร้าย เช่นขันทีที่เพิ่งถูกหามออกไปโดนค้อนทุบใส่แขนจนแขนหัก


 


 


“เยี่ยจื่อ ข้าต้องการขนแกะ ข้าต้องการขนแกะจำนวนมาก ให้เมียเจ้าโกนขนแกะบนทุ่งหญ้าให้หมดเกลี้ยง ข้าต้องการขนแกะ ข้าใกล้จะสำเร็จแล้ว” อวิ๋นเยี่ยมองดูหลี่ไท่ที่บ้าๆบอๆด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของเขามาก ตั้งแต่เครื่องจักรกลน้ำของเขาสำเร็จแล้ว เขาก็รับงานทอผ้าขนแกะจากด้ายขนแกะที่แสนยากเย็นจากเหล่ากงซู เวลาหลายเดือนมานี้ หลี่ไท่ที่อ้วนท้วนผอมลงไปมากมายทั้งตัวดำคล้ำลงจนเสื้อผ้าเดิมใส่แล้วหลวมโพลกแกว่งไปมาได้


 


 


“อย่าเพิ่งไปสนใจขนแกะ ได้ยินขันทีที่เพิ่งถูกหามออกไปบอกว่าท่านไม่ได้กินข้าวมาหนึ่งวันแล้ว ไฟในตัวขึ้นสูงจัด ต้องพักผ่อนก่อน ขนแกะจะรีบส่งมาทันที ได้ยินเร่อมู่บอกว่า ขนแกะล็อตนี้ดีมาก พอให้ท่านใช้ได้อีกพักใหญ่”


 


 


“เยี่ยจื่อ ช่วยให้เงินขันทีคนเมื่อกี้สิบก้วน พอข้าเริ่มงานแล้วก็บังคับตัวเองไม่อยู่ เจ้าบอกพวกเขาว่าต่อไปเวลาข้าทำงานอย่าได้มากวนข้าก็พอแล้ว หากขนแกะสามารถทำเสื้อผ้าได้ เยี่ยจื่อ ทั้งเจ้าทั้งข้าต่างรู้ว่ามีความหมายอะไร ต้าถังข้าต้องการสร้างความเป็นปึกแผ่นหมื่นปี จะต้องเริ่มต้นจากฐานรากที่มั่นคง พวกเราทำฐานรากที่หนาแน่นที่สุดให้ชนรุ่นหลัง ต่อไปถึงแม้ว่าพวกเขาจะไร้ฝีมือ ก็ยังทนได้สักระยะหนึ่ง”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่เคยได้ยินหลี่ไท่พูดเช่นนี้มาก่อน รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ที่แท้เขามีด้านความอ่อนไหวเช่นนี้อยู่ด้วย จึงผลักไหล่เขาให้เขาตื่นจากภวังค์แล้วบอกว่า “ตัวเองมีชีวิตอยู่ให้ดีหน่อยก่อนเถอะ ไม่ต้องคิดไกลเกินไป อนาคตไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้ พี่ชายใหญ่ท่านให้ข้านำของดีมาหลายอย่าง ว่าให้ท่านบำรุงให้ดีๆ ระยะนี้ท่านผอมจนเขารู้สึกปวดใจ”


 


 


“เมื่อก่อนข้าอ้วนเกินไปจนเจ้าชอบมาหัวเราะเยาะข้า แล้วทำไมตอนนี้จะมาให้ข้าบำรุง มั่วมากจริงๆ” แม้ปากบ่นอยู่ แต่มือเปิดกล่องอาหารออกอย่างรวดเร็ว กุ้งตัวยาวครึ่งเชียะนั้นรู้จัก ปูผังเซี่ยก็รู้จัก เนื้อวัวไม่แปลกอะไร แต่ที่ดำมะเมื่อมนั่นเป็นอะไรหรือ


 


 


ไม่สนใจแล้ว ดูรายการอาหารก็รู้ว่ามาจากฝีมืออวิ๋นเยี่ย ผลิตภัณฑ์จากอวิ๋นเยี่ยย่อมเป็นของดี มีข้อพิสูจน์มานานแล้ว ไม่มีข้อสงสัย อาหารชนิดแรกที่หลี่ไท่ลงมือก่อนก็คือสิ่งที่สีดำมะเมื่อม เป็นของดี กินเข้าปากแล้วจึงรู้สึกถึงความสดใหม่ของปลิงทะเล หลี่ไท่ชอบกินข้าวเตียวหูฝีมือซินเย่ว์มากที่สุด อาหารอื่นไม่ได้แตะ กินปลิงทะเลผัดต้นหอมกับข้าวชามใหญ่หมดแล้ว จึงวางชามตะเกียบลง อาหารอื่นสั่งทหารคุ้มกันให้เหล่าช่างทอที่ร่วมค้นคว้าด้วยกันกิน ตัวเองถือกระติกชาเล็กบ้วนปาก


 


 


เหล่าเฉียนวิ่งมาอย่างเร่งรีบในมือมีจดหมายฉบับหนึ่ง ยกศีรษะดูเห็นเป็นจดหมายด่วนที่ผู้ดูแลงานเกาที่ไปรับขนแกะส่งมาว่าถูกขัดขวางที่ท่าเรือฮวงโห เวลานี้แม้แต่เสียภาษีก็ยังไม่ให้กองคาราวานตระกูลอวิ๋นข้ามได้ บอกว่าจะต้องตรวจสอบทั้งหมด


 


 


อวิ๋นเยี่ยชกที่เสาหมัดหนึ่งแล้วไม่พูดไม่จา หลี่ไท่อดไม่ได้รับจดหมายดู ดวงตากลายเป็นสีแดงทันที เรียกหัวหน้าทหารองครักษ์ของตัวเองมาพูดอย่างแค้นใจว่า “เจ้าขี่ม้าด่วนไปท่าเรือเดี๋ยวนี้เอาขนแกะข้ามา ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร อย่างไรก็ตาม หากมีเรื่องข้าจะออกรับแทนเจ้า ข้าต้องการแค่ขนแกะเท่านั้น”


 


 


หัวหน้าทหารองครักษ์รับคำแล้วก็พุ่งออกไป หลี่ไท่มองบ่อล้างขนแกะที่ว่างเปล่า ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าแค่ต้องการขนแกะนิดเดียวเท่านั้น พวกเจ้าก็จะมาหาเรื่องกันหรือ”


 


 


เหล่าเฉียนลากอวิ๋นเยี่ยออกจากโรงงานกระซิบกับเขาว่า โหวเหยีย หวงเหยียจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตไหม หากเป็นเช่นนั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย พวกเราใช้วิธียุแหย่เช่นนี้จะไหวไหม”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)