เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 58-59
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 58 ทั้งหมดเป็นเพียงละคร
ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราษฎรจากตอนแรกที่เพียงแค่อยากดูความครึกครื้น ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแววตาที่เคร่งขรึม เสียงตะโกนขายของพ่อค้าเริ่มเบาลง แม้แต่เหล่าวีรบุรุษก็เริ่มเงียบเสียงลง
บรรยากาศหนักอึ้งแพร่กระจายออกไป ผ่านไปไม่นาน ทั้งถนนจูเชวี่ยก็เงียบลง
สุนัขสีน้ำตาลตัวหนึ่งกระดิกหางเดินออกมาจากฝูงชน คาบเนื้อของแม่บ้านชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ในตะกร้าไปด้วย เมื่อแม่บ้านเห็นเข้าก็ตะโกนด้วยความโมโหแล้ววิ่งตามไปเอาเนื้อที่สุนัขคาบไป
ตู้หรูฮุ่ยเดินมาอย่างอกผายไหล่ผึ่ง มาอยู่ตรงหน้าเหล่าชาวบ้าน ใช้สายตากวาดมอง สายตาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของหม่าโจวครู่หนึ่ง หม่าโจวไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ในมือถือฎีกาเรื่องการเก็บภาษีที่ดินรอถวาย จ้องตากับตู้หรูฮุ่ยอย่างไม่มีใครยอมใคร
ตู้หรูฮุ่ยสวมชุดสีม่วงคาดเข็มขัดหยกพร้อมกวานบนหัว ในมือถือไม้แผ่นเล็กที่สลักด้วยตัวอักษรสีดำในแนวตั้ง รู้สึกเหนื่อยใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ใครก็คาดไม่ถึงว่าความเห็นอันมุทะลุนี้จะกลายเป็นสถานการณ์ที่ยากจะจัดการได้เช่นนี้
เขาไม่มองลูกศิษย์คนอื่นๆ อีก ตรงนี้มีคนรุ่นหลังที่ตัวเองรู้จักมักคุ้นอยู่มากมาย หนุ่มน้อยตระกูลอวี้ฉือนั่งโดดเด่นเป็นสง่า หัวล้านของหนุ่มน้อยตระกูลต้วนดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก เมื่อเขาเห็นลูกชายตัวเองอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ปากก็บ่นพึมพำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“อวิ๋นโหว ฝ่าบาทเรียกเจ้าเข้าพบ” พูดเสร็จก็หันหลังเดินจากไปทันที ไม่อยากอยู่ตรงนี้ต่อแม้นาทีเดียว
หม่าโจวลุกขึ้นมาอยากจะไปกับอวิ๋นเยี่ย แต่ถูกอวิ๋นเยี่ยจ้องตาถลน ถึงได้ยอมกลับไปนั่งแต่โดยดี ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้า แต่ว่าตอนนี้เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าพระราชวังไปพบกับฝ่าบาท
เมื่อเข้าประตูจูเชวี่ยแล้ว ตู้หรูฮุ่ยก็ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ต้องถึงขั้นนี้เลยหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้เช่นไร ข้าพึ่งจะกอดลูกชายตัวเองอยู่ที่บ้านอย่างมีความสุข ใครจะไปรู้ว่าหนึ่งชั่วยามถัดมาข้าต้องมานั่งกดดันฝ่าบาทอยู่หน้าประตูวัง” พูดถึงแล้วความโมโหของอวิ๋นเยี่ยก็มีมากกว่าเขาหลายเท่าตัว
“เจ้าไม่รู้อย่างนั้นรึ” ตู้หรูฮุ่ยสีหน้าตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยอยากจะหาตำแหน่งให้ตัวเองในราชสำนัก จึงสร้างคลื่นลูกใหญ่เพื่อสร้างอำนาจให้แก่ตัวเอง นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเข้ามามีตำแหน่งในราชสำนักได้
“เช่นนั้นเจ้านั่งทำอะไรอยู่ที่นั่น เหตุใดไม่รีบพาบรรดาลูกศิษย์ของเจ้ากลับไปให้หมด ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี”
“พูดดูเหมือนง่าย แต่หากพากลับไปได้ พวกอาจารย์หลี่ สวี่จิ้งจงก็พากลับไปนานแล้วไม่ต้องรอให้ข้าออกโรงหรอก ลูกศิษย์ของสำนักศึกษากับลูกศิษย์ในวังไม่เหมือนกัน แล้วก็ไม่เหมือนกับบัณฑิตในวังหลวงด้วย สำนักศึกษามีความพิถีพิถัน ให้อิสระกับทุกคนในการแสดงความคิดเห็น ไม่มีข้อห้ามใดๆ พยายามรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละคนให้คงไว้ ตอนนี้แต่ละคนหัวแข็งเหมือนลา เหล่าอาจารย์สำนักศึกษาถูกพวกเขาทำให้ต้องจำยอมไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นกองไฟแต่ก็ยังจะกระโดดเข้าไป ข้าก็เช่นกัน ตอนนี้หวังเพียงแค่ว่าฝ่าบาทจะนำความโมโหทั้งหมดมาลงที่ข้า อย่าได้ลงโทษพวกเขาเลย ตู้เซียง อีกสักครู่เมื่อท่านเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ท่านช่วยพูดเกลี้ยกล่อมด้วย ให้ความผิดทั้งหมดมาตกอยู่ที่ข้า ลงโทษข้าคนเดียวก็พอ”
ตู้หรูฮุ่ยก็เป็นคนที่บุกน้ำลุยไฟมาก่อน เป็นคนอารมณ์ร้อน ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ในใจก็เริ่มรู้สึกโมโห กระชากคอเสื้อของอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เหล่าฝางรอฟังคำตัดสินอยู่ที่บ้าน ข้าก็ถูกด่าเป็นหนูตกถังข้าวสาร เจ้าจะให้ข้าช่วยพูดแทนพวกเขา ในโลกใบนี้ยังมีเรื่องน่าขันกว่านี้ไหม เจ้าเป็นคนจุดไฟเอง เจ้าก็ต้องเป็นคนดับเอง ข้าไม่ไปเติมไฟให้เจ้าก็ถือว่าเมตตามากแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะ ดึงแขนเสื้อตู้หรูฮุ่ยแล้วพูดว่า “ตู้เซียง หากเจ้าไม่ช่วยขอร้อง เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกว่าหัวโจกที่อยู่ในนั้นก็คือตู้เหยี่ยน ข้าเกลี้ยกล่อมหลายรอบก็ไม่ฟังจึงถูกพวกเขาบังคับให้มาอยู่ในจุดนี้”
ตู้หรูฮุ่ยชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโหแล้วพูดว่า “ไร้ยางอาย ไร้ยางอายสิ้นดี เจ้ากับข้าเป็นคนในราชสำนักเดียวกัน แต่กลับทำตัวอัปยศเช่นนี้ ดูแล้วหากฝ่าบาทจะลงโทษเจ้า เจ้าก็จะเอาเรื่องเว่ยอ๋องกันสู่อ๋องมาพูดใช่หรือไม่”
“ตู้เซียงช่างชาญฉลาด ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ฝ่าบาท แม้แต่เหล่าขุนนางที่ไม่ยอมปล่อยลูกศิษย์สำนักศึกษา ข้าก็จะลากลงหลุมไปด้วย ตัวข้านั้นก็แล้วแต่พวกเจ้าจะจัดการ เพียงแค่พวกเจ้าลดความโมโหลง ไม่รื้อฟื้นเรื่องนี้ ที่เหลือให้ข้ารับผิดชอบเอง ตู้เซียง ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร”
ตู้หรูฮุ่ยถอนหายใจยาวอีกรอบ ปัดมืออวิ๋นเยี่ยที่จับแขนเสื้อออก มองอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “เจ้ามีคุณสมบัติในการเป็นอาจารย์ ลูกศิษย์มีเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นความโชคดีของพวกเขา ข้าจะเห็นแก่ความรักที่เจ้ามีต่อลูกศิษย์ หากพูดได้ข้าก็จะพูด เจ้าต้องระวังให้มาก ฝ่าบาทกำลังโมโห ระวังตัวไว้ให้ดี”
พากันทยอยเข้าตำหนักหลวง บรรยากาศในราชสำนักดูหดหู่เป็นอย่างมาก เหล่าขุนนางนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง ใบหน้าเรียบเฉยดั่งภิกษุที่ปฏิบัติจนบรรลุธรรมแล้ว ดูเหมือนว่าความกังวลของคนที่อยู่ข้างนอกประตูไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย
หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนที่นั่งด้านบน สวมกวานบนหัวบดบังใบหน้า ดูไม่ออกว่ากำลังโมโหหรืออารมณ์ดี
“ข้าอวิ๋นเยี่ยเข้าเฝ้าฝ่าบาท” หมอบลงพื้นรอรับโทษแต่โดยดี นี่คือท่าทางของคนมีความผิด คนดีๆ ที่ไหนจะเอาหัวโขกพื้น
หลี่ซื่อหมินหัวเราะอย่างเยือกเย็นราวกับอีกาที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าบังอาจมาก เป็นเพราะข้าให้ท้ายเจ้าอย่างนั้นรึ จึงได้กล้ายุยงเหล่าลูกศิษย์มานั่งประท้วงอยู่หน้าประตูวังเพื่อกดดันข้า คิดว่าข้าจะไม่ฆ่าคนจิตใจต่ำช้าอย่างเจ้าเช่นนั้นรึ”
อวิ๋นเยี่ยหลับตาลงไม่พูดอะไร ในตอนนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งผิด ทำได้แค่เพียงรอให้ความโมโหของหลี่ซื่อหมินทุเลาลงก่อน ถึงจะร้องขอความเห็นใจได้ มิเช่นนั้นความโมโหของหลี่ซื่อหมินในตอนนี้พูดไปก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง
“ข้าไม่ได้เข้มงวดต่อสำนักศึกษา แต่ตอนนี้ดูแล้วยิ่งข้าให้ท้ายก็ยิ่งได้ใจ ไม่ได้มีเพียงเจ้าคนเดียว เป็นกันหมดทั้งสำนักศึกษา หลี่กัง อวี้ซัน หยวนจาง หลีสือ สวี่จิ้งจง ก็เป็นกันไปหมด ข้าสร้างสำนักศึกษาขึ้นมาได้ ข้าก็ปิดสำนักศึกษาลงได้เช่นกัน”
ไม่ได้การแล้ว เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย อยู่ๆ ก็พูดเรื่องปิดสำนักศึกษา ข้าลงทุนไปตั้งหนึ่งหมื่นเหรียญกว่าจะสร้างสำนักศึกษาขึ้นมาได้ เจ้าเป็นเพียงผู้ได้รับผลประโยชน์มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ปิดก็จะต้องปิด ไม่สู้เอาชีวิตข้าไปดีกว่า
“ฝ่าบาท สำนักศึกษาเป็นของต้าถัง ไม่ใช่ของกระหม่อม หากจะบอกว่าการที่เหล่าลูกศิษย์รวมตัวกันเพื่อโน้มน้าวเป็นการบังคับฝ่าบาท กระหม่อมไม่เห็นด้วย พวกเขาไม่ได้มาประท้วงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ทำเพื่อความสงบสุขอันยาวนานของต้าถัง ทุกคนต่างก็หวังว่าต้าถังจะเจริญรุ่งเรือง หากจะผิดก็ผิดที่ใช้วิธีการที่ผิด แต่กระหม่อมคิดว่าหากเหล่าลูกศิษย์อยากจะชี้แจงความคิดเห็นของตัวเองแก่ผู้ดูแลสำนักศึกษา เหตุใดต้องให้รอเวลาที่เหมาะสมอีก”
“กราบทูลฝ่าบาท อวิ๋นเยี่ยมีวาทศิลป์ที่ชาญฉลาด ใช้คำพูดเพื่อให้ฝ่าบาทหลงเชื่อ ต้องการจะทำให้โทษใหญ่อย่างการกดดันฝ่าบาทดูเบาลง ฝ่าบาท กระหม่อมขอกราบทูลให้ตัดหัวคนพูดจากะล่อนเช่นนี้”
หลิงหูเต๋อเฟิน เสนาบดีแห่งกรมพิธีกรรม ก้าวออกมาข้างหน้า เขาเป็นหัวหน้าอาจารย์สอนบัณฑิตในพระราชวัง ไม่พอใจที่สำนักศึกษารุ่งเรืองมานานแล้ว เป็นเวลาสองปีแล้วที่สำนักบัณฑิตไม่สามารถหาลูกศิษย์ที่มีความสามารถสูงได้ เช่นนี้เท่ากับเอามีดมาแทงหัวใจเขา เมื่อมีโอกาสมีหรือจะไม่อยากให้อวิ๋นเยี่ยได้รับโทษ
หากเขาพูดว่าให้ลงโทษขั้นรุนแรง ไม่แน่หลี่ซื่อหมินอาจจะตกลง ในสายตาของหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยยังถือว่าขาดการอบรมสั่งสอน อาจจะทำให้ได้รับบทลงโทษ แต่ความคิดในการจะฆ่าอวิ๋นเยี่ยไม่เคยอยู่ในหัวสมองของหลี่ซื่อหมินเลย
ตู้หรูฮุ่ย ขงอิ่งต๋า และฉู่ซุ่ยเหลียงพากันแอบถอนหายใจ หลิงหูเต๋อเฟินกำลังยกก้อนหินทับเท้าตัวเอง
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด หลี่เฉิงเฉียนที่นั่งอยู่แถวหน้ารู้สึกโมโห ชี้ไปที่หลิงหูเต๋อเฟินแล้วพูดว่า “นี่เป็นเพียงข้อพิพาทเล็กน้อย เหล่าลูกศิษย์ก็เพียงแค่เป็นห่วงต้าถัง ลำดับขั้นตอนและวิธีการอาจจะไม่ถูกต้อง ในฐานะที่เป็นอาจารย์ก็ชี้แนะแนวทางการแก้ไขให้เขาก็พอแล้ว เหตุใดต้องมาฆ่าฟันกันในราชสำนัก สองปีแล้วที่ราชสำนักไม่ได้ยินเสียงการฆ่าฟันกัน ตอนนี้จะมาฆ่าฟันกันเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาท ข้าคิดว่าหลิงหูเต๋อเฟินกำลังจะชำระแค้นส่วนตัว เสียภาพพจน์ของขุนนางหลวง ข้าขอให้นำคนไม่ดีเช่นนี้ออกไปจากราชสำนัก”
คำกล่าวของรัชทายาทรุนแรงมาก หลิงหูเต๋อเฟินก้มหัวทำหน้าเศร้า ไม่กล้าเถียงกับรัชทายาท เพราะผลที่จะตามมานั้นค่อนข้างหนัก
“ฝ่าบาท บรรดาลูกศิษย์เป็นห่วงแผ่นดิน ข้อเสนอที่เสนอมาทั้งสมเหตุสมผลและมีหลักฐาน ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะยังไม่อาจยอมรับข้อเสนอเหล่านี้ แต่เหตุใดจึงไม่อ่อนข้อให้พวกเขาสักหน่อย ตอนที่กระหม่อมเข้าวัง ทั้งสี่ทิศมีแต่อาวุธ หากไม่ระมัดระวังอาจเลือดตกยางออก ผลที่ตามมาจะยิ่งทำให้น่าปวดหัว”
หลี่ซื่อหมินโยนฎีกาลงมาข้างล่าง แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าดูสิ เจ้าดูว่าพวกเขาพูดอะไรบ้าง ตั้งแต่มีระบบการเก็บภาษีขึ้นมาใช้ ใต้หล้าสงบสุข ข้อนี้จะไม่พูดถึง ในฐานะที่ตัวเองมีความรู้ จึงกล้าที่จะดูหมิ่นเหล่าใต้เท้า บอกว่าพวกเขาเป็นหนูตกถังข้าวสาร ในใจยังมีความเคารพผู้อาวุโสอยู่หรือไม่ เจ้าเป็นคนมีความกล้าหาญ หรือว่าเจ้าก็สอนลูกศิษย์ของข้าในสำนักศึกษาให้กลายเป็นคนมีความกล้าไม่กลัวสิ่งใดด้วยอย่างนั้นหรือ”
คนเจ้าเล่ห์อย่างหลี่ซื่อหมิน เพียงแค่คำพูดเขาประโยคเดียวก็ทำเอาเหล่าลูกศิษย์มีความผิดใหญ่หลวง อวิ๋นเยี่ยถูกเตะออกมา เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ต้องถูกเฆี่ยนตี อย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็คงหนีไม่พ้น
“ลูกศิษย์ทำผิด โทษอยู่ที่อาจารย์ อวิ๋นเยี่ยมีฐานะเป็นถึงผู้ดูแลสำนักศึกษา อย่างไรก็หนีไม่พ้นโทษ ให้การสอบสวนอยู่ในดุลพินิจของศาลต้าหลี่”
นี่คือคำพูดที่มีความหมายว่าความผิดทั้งหมดอวิ๋นเยี่ยจะต้องแบกรับเอาไว้เอง หลี่ซื่อหมินไม่เปิดโอกาสให้อวิ๋นเยี่ยดึงหลี่ไท่ หลี่เค่อเข้ามาเกี่ยวด้วย แล้วออกคำสั่งให้เหล่าลูกศิษย์ไปพบกับผู้ปกครองสำนักศึกษาที่สวนดอกไม้ ส่วนอวิ๋นเยี่ยตามไต้โจ้วไปรับโทษที่ศาลต้าหลี่ตามลำพัง
“ท่านลุงไต้ ข้าน้อยร่างกายอ่อนแอ ท่านช่วยลดจำนวนโทษลงสักหน่อยได้หรือไม่”
ไต้โจ้วยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ไม่ได้ถูกเฆี่ยน”
“กักบริเวณ? ศาลต้าหลี่ใช้วิธีการเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ใช่การกักบริเวณ” ไต้โจ้วพูดเสร็จ ใจของอวิ๋นเยี่ยก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม นี่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ไม่ได้ถูกเฆี่ยน ไม่ได้ถูกกักบริเวณ แสดงว่าเรื่องราวแย่กว่าที่คาดเอาไว้
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าไม่คิดหรือว่าวันนี้เจ้าผ่านเรื่องราวในราชสำนักมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากหลิงหู ทั้งราชสำนักก็ไม่มีขุนนางคนไหนออกมาโต้แย้ง เจ้าคิดว่าพวกเขากลัวรัชทายาทที่พึ่งจะบรรลุนิติภาวะเช่นนั้นหรือ”
มองรอยยิ้มของจิ้งจอกเฒ่าอย่างไต้โจ้ว อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนเปลือยกายยื่นท่ามกลางหิมะ ความหนาวเย็นยะเยือกซึมเข้าไปถึงกระดูก ใบหน้ายิ้มแย้มไม่สอดคล้องกับบรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้แค่หนึ่งอย่าง
ไต้โจ้วตบไหล่อวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว เจ้าคิดว่าสำนักศึกษากับฝ่าบาทจะร่วมมือกันเพื่อทำร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ลูกศิษย์ของเจ้าไม่ผิด เหล่าอาจารย์ก็ไม่ได้ผิด ทุกคนต่างก็อยากจะปิดบังเรื่องนี้กับเจ้า เจ้าไม่เคยสงสัยคนส่งจดหมายของตระกูลอวิ๋นหรือ”
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าลูกศิษย์ไม่ได้มีเรื่องโวยวายอะไร และก็ไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไรเกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นการแสดงของฝ่าบาท?”
“ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่าฝ่าบาทอยากเห็นว่าราชสำนักสามารถควบคุมสำนักศึกษาได้มากน้อยแค่ไหน อาจเป็นเพราะว่าเห็นเจ้าออกหน้ามากเกินไปก็ได้ ฝ่าบาทจึงได้หยุดการแสดงละครของเหล่าบรรดาใต้เท้า โรงละครของบ้านเจ้าเปิดแสดงอยู่ทุกวัน เจ้าคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อ้อ จริงสิ ฝ่าบาทให้ข้ามาบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วยังบอกให้เจ้าอย่าหลงเชื่อคนง่าย เป็นฝ่าบาทที่ถือโอกาสตอนที่ความขัดแย้งในสำนักศึกษายังไม่ทันได้ระเบิดออกมา จึงใส่ฟืนเข้าไป เพราะระเบิดออกมาในตอนนี้จะดีกว่า ทำให้เรื่องราวง่ายต่อการควบคุมมากขึ้น อย่าได้ดูถูกสำนักศึกษาของเจ้า ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ เหล่าบรรดาอาจารย์ที่มีความสามารถในการสั่งสอนลูกศิษย์ แต่ละคนดูท่าทางโหดเ**้ยม อีกสิบปีข้างหน้า ข้าคงขอลาออกกลับบ้านเกิด ราชสำนักอันตรายเกินไป”
ไต้โจ้วลูบเคราพูดพึมพำกับตัวเอง แต่อีกมุมหนึ่งก็เหมือนกับกำลังตักเตือนอวิ๋นเยี่ย
“พูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าไม่มีการลงโทษ และไม่มีใครต้องทรมาน สงสารก็แต่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาของข้า ถูกลูกศิษย์ตัวเองหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัว ท่านว่าน่าสงสารหรือว่าอนาถใจกันแน่”
“เจ้าผิดแล้ว สำนักศึกษาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด พวกเขาสามารถรวมพลังกันให้เหล่าขุนนางในราชสำนักเห็น นี่คือผลจากการสอนของเจ้า เป็นเช่นไร เห็นความขยันของตัวเองบังเกิดผล ไม่ดีใจหรอกหรือ”
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 59 สบายดีหรือไม่
อวิ๋นเยี่ยเดินออกมาจากศาลต้าหลี่โดยลำพัง เหล่าจวงยังคงรอท่านโหวของเขาที่หน้าประตูวัง
เขาไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เพราะในสมองเต็มไปด้วยเรื่องราววุ่นวาย กับกลุ่มคนที่มีนิสัยทำอะไรข้ามขั้นตอนแทนที่จะหัดเดินก่อนแต่พวกเขากลับเริ่มวิ่งเลย มิน่าล่ะถึงได้มารวมตัวกันเช่นนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนยังหาเรื่องกันไม่หยุด แต่ตอนนี้เริ่มรวมตัวกันขอตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถของตัวเองจากราชสำนัก
หม่าโจวใช้เหตุผลนี้พูดถึงลูกศิษย์ทั้งหมดในสำนักศึกษา? ค่อยๆ ใช้ประโยชน์จากมิตรภาพทำให้รุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองเข้าไปติดกับในแผนการที่เขาได้วางไว้
เขาไม่แม้แต่จะเสียใจกับการกระทำของตัวเอง ตอนนี้เกรงว่าจะยังคงดื่มด่ำความสุขในความสำเร็จของตัวเองอยู่เสียด้วยซ้ำ
ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีที่ผิด ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยสอนให้เขาทำเช่นนี้ หลี่กังก็คงไม่เคย ยิ่งเป็นอาจารย์คนอื่นๆ ในสำนักศึกษายิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสอนวิธีการเช่นนี้ให้กับเขา
ในความคิดของเขาแล้ว เพื่อประโยชน์ของราษฎรที่ยากจน ใช้อวิ๋นเยี่ยและหลี่กังเป็นสะพานก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ฎีกานโยบายการเก็บภาษีที่ดินจะกลายเป็นมาตรฐาน ไม่ว่าทางราชสำนักจะใช้มันหรือไม่ มันก็จะกลายเป็นมาตรฐานทั่วไป อวิ๋นเยี่ยเชื่อมั่นว่าหลี่ซื่อหมินจะเก็บนโยบายนี้ไว้ เอาไว้เป็นหลักในการคิดปฏิรูปที่ดินในอนาคต
ที่ประตูศาลต้าหลี่มีคนยืนอยู่ สวมชุดสีครามดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ผมดูเงางามดึงดูดสายตาผู้คน บนหัวไม่ได้สวมหมวก มีเพียงปิ่นปักผม เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกมา ก็โค้งคำนับให้โดยไม่พูดจาอะไร
“ฝ่าบาทมอบตำแหน่งอะไรแก่เจ้า”
“ข้าได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมฝ่ายปกครองส่วนกลาง มีสิทธิ์ออกเสียงไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจ”
“ไม่เลวเลยทีเดียว แบบนี้สิถึงจะสมกับที่เจ้าลำบากมาตั้งนาน วันหลังหากประสบความสำเร็จแล้ว จำไว้ เวลาทำอะไรอย่าใจร้อนและอย่าหลอกใช้คนอื่นโดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะสุดท้ายแล้วมันจะทำให้เจ้าต้องเหลือตัวคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ ในชีวิตเจ้าก็จะต้องเผชิญอุปสรรคด้วยตัวคนเดียว อาจารย์ไม่มีอะไรจะให้แก่เจ้า นอกจากอ้อมกอด นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่จะทำให้เจ้าได้เข้าใกล้หัวใจของผู้อื่นมากขึ้น”
อวิ๋นเยี่ยอ้าแขนออก หม่าโจวเข้ามากอดอวิ๋นเยี่ยไว้แน่น เขาร้องไห้อย่างเจ็บปวด
อวิ๋นเยี่ยตบหลังเขาเบาๆ พูดข้างๆ หูเขาว่า “เป็นอาจารย์ก็ต้องเตรียมพร้อมเป็นบันไดให้แก่ทุกคนตลอดเวลา ข้าไม่รังเกียจที่จะเป็นบันได แต่ช่วยบอกข้าก่อนสักคำจะได้หรือไม่”
พูดเสร็จก็ผลักหม่าโจวออกจากอ้อมกอด ยิ้มแล้วโบกมือให้เขา แล้วหันไปยังประตูพระราชวัง
ได้ยินเสียงหม่าโจวตะโกนเรียกว่า “อาจารย์” จากที่ไกลๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว
หม่าโจวฉลาดมากที่เอาวั่งไฉมาด้วย เขารู้ว่าถ้าวั่งไฉได้อยู่กับอวิ๋นเยี่ย จะทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกดีมากขึ้น
เวลาอวิ๋นเยี่ยอารมณ์ไม่ดี วั่งไฉก็มักจะมาหยอกเล่นกับเขาโดยการเอาลิ้นเลียที่ผมของเขาให้ยุ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อน อวิ๋นเยี่ยก็จะเอาคืนวั่งไฉด้วยการทำให้ขนของมันยุ่งบ้างเหมือนกัน
แต่วันนี้อารมณ์ไม่ดี ลูบหน้าของวั่งไฉแล้วพูดเบาๆ ว่า “วันนี้ข้าไม่เล่นกับเจ้า หม่าโจวทำให้ข้าเสียความรู้สึก ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร วั่งไฉ บางทีข้าก็อยากจะไปที่ไกลๆ กับเจ้าแค่สองคน ทิ้งความกลุ้มใจทั้งหมด ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เจ้าคิดว่าดีหรือไม่”
ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะพูดอะไร วั่งไฉก็จะส่งเสียงร้องตอบรับเขาเสมอ ม้าตัวผู้อายุสี่ปี มีขนาดสูงกว่าอวิ๋นเยี่ย แต่มันยังทำเหมือนตอนยังเล็กๆ ชอบเอาหัววางไว้ที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยจูงวั่งไฉเดินออกจากเมืองฉางอันตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน
เขาไม่คิดจะขี่หลังวั่งไฉ เพียงแต่เดินทีละก้าวกลับบ้านไปพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าบริเวณโดยรอบเริ่มมีคนเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ ในช่วงอากาศหนาวๆ เช่นนี้แต่มีท่านชายสวมใส่เสื้อแพรคนหนึ่งโบกพัดในมือเดินมาแล้วหยุดยืนที่ตรงหน้าของอวิ๋นเยี่ย ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับเขา
“สหายอวิ๋น จากกันหนึ่งปี ท่านสบายดีหรือไม่”
เหล่าจวงรออยู่หน้าประตูวังนานแล้ว ไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกมาเสียที ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ประตูก็ใกล้จะปิดแล้ว รู้สึกกระวนกระวายใจ ตั้งแต่รัชทายาทแต่งงาน ท่านโหวก็ไม่เคยพักอยู่ในวัง แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น
หลังจากบรรดาลูกศิษย์ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่สวนดอกไม้ได้กินอิ่มแล้วก็เดินออกจากประตูมา เหล่าจวงรีบเข้าไปถามลูกศิษย์ว่า “ท่านโหวของข้าออกมาหรือยัง”
“อาจารย์ถูกฝ่าบาทส่งไปที่ศาลต้าหลี่ เห็นบอกว่าจะให้หารือกับผู้ว่าการศาลต้าหลี่ เขาเดินออกจากฝ่ายปกครองส่วนกลางไป เจ้าลองไปดูที่ศาลต้าหลี่สิ”
เหล่าจวงรีบควบม้าด้วยความเร็วไปที่ศาลต้าหลี่ มีองครักษ์คอยติดตามไปด้วย
เมื่อถึงศาลต้าหลี่จึงลงไปถามคนที่นั่น พบว่าอวิ๋นเยี่ยได้กลับไปตั้งนานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เห็น เขากำลังพูดคุยอยู่กับหม่าโจว
เขาได้เจอเข้ากับหม่าโจวที่กำลังเดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากร้านขายยา บนขามีแต่รอยเลือดเต็มไปหมด
“หม่าโจว ท่านโหวของข้าล่ะ”
“หลังจากที่ข้ากับอาจารย์แยกจากกัน เขาก็พาวั่งไฉออกนอกเมืองไปแล้ว อ้อ แล้วก็แผลที่ขา ข้าเป็นคนทำตัวเอง”
เหล่าจวงไม่มีอารมณ์มาสนใจว่าหม่าโจวได้แผลมาจากไหน เขากับองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยรีบไปที่ประตูเมือง ดีที่ประตูเมืองยังไม่ทันได้ปิดสนิท เหล่าจวงโยนถุงเงินให้แก่ทหารที่เฝ้าประตูเมือง แล้วรีบควบม้าออกประตูเมืองไป
ตลอดทางจนถึงบ้านก็ไม่พบเห็นท่านโหว ท่านย่าสั่งให้ทุกคนในบ้านออกไปตามหา ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยคบเพลิงที่ใช้ในการตามหาอวิ๋นเยี่ย
คนหนึ่งพันคนออกตามหาในเส้นทางรัศมีห้าสิบลี้มาสามรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอวิ๋นเยี่ย
เหล่าจวงตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งและสั่นเครืออย่างคนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว ฆ่าให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าระหว่างทางจะมีสัตว์ดุร้าย
จนถึงเช้าก็ยังไม่พบอวิ๋นเยี่ย เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าก็รู้สึกโมโห สั่งปิดล้อมเมือง เมื่อฮองเฮารู้เข้าก็รู้สึกโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เมื่อรัชทายาทรู้เข้าก็รีบพาองครักษ์หนึ่งร้อยนายออกจากเมืองฉางอันเพื่อตามหาอวิ๋นเยี่ย
เฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่ก็ช่วยกันหาไปทั่วพื้นที่ น่ารื่อมู่ขี่ม้าตัวใหญ่ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วร้องเพลงไปด้วย นางหวังว่าสามีนางจะไปแอบนอนหลับอยู่ตามทุ่งหญ้าและเมื่อได้ยินเสียงเพลงของนางเขาก็จะออกมาแกล้งให้นางตกใจ
หม่าโจวคุกเข่าอยู่หน้าจวนตระกูลอวิ๋นอยู่นาน ขอเพียงแค่ตระกูลอวิ๋นตกลง เขาก็จะรีบฆ่าตัวตายทันที เขาคิดว่าการหายตัวไปของอวิ๋นเยี่ยนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเอง
ระยะทางห้าสิบลี้แทบจะเต็มไปด้วยผู้คน ที่ออกตามหาอยู่เต็มสองข้างทาง ในที่สุดก็ค้นพบอะไรบางอย่าง
พบเศษผ้าห่างจากเมืองไปราวรัศมีสิบลี้ เหล่าจวงแค่มองก็รู้ว่าเป็นของอวิ๋นเยี่ย เปลือกไม้ของต้นไม้ถูกแกะออกจนเห็นเนื้อไม้สีขาวด้าน มีตัวหนังสือเขียนเป็นแถวลงมา ข้อความว่า ‘ข้ามีญาติผู้ใหญ่มาจากแดนไกลหลายหมื่นลี้ ข้าต้องการจะอยู่ดูแลปรนนิบัติสักช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ต้องตามหาข้า วันที่สิบแปดเดือนหนึ่ง’
เมื่อทุกคนได้อ่านข้อความนี้ก็พากันโล่งอก ทหารสอดแนมจากกองทัพต้องห้าม ใบหน้าถูกทาสีดำเหมือนถ่าน เมื่อเห็นข้อความก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วรีบควบม้าเข้าเมืองฉางอัน
“อวิ๋นเยี่ยทำไมไม่รอบคอบเช่นนี้ มีอาจารย์อาวุโสมาก็ไม่ต้อนรับพาเข้าบ้าน กลับพาไปข้างนอกได้เช่นไร”
ซินเย่วฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านก็รู้ว่าอาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยเป็นเหมือนเซียน ไม่มาเจอคนธรรมดาอย่างพวกเรา นี่คือเหตุผลของเรื่องราวที่เกิดขึ้น”
น่ารื่อมู่เบะปากทำท่าไม่พอใจแล้วพูดว่า “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีทั้งหมด ครั้งที่แล้วที่เมืองถัวก็มีพวกคนที่คิดจะเอากระดูกข้าไปทำจอกสุรา โชคดีที่ท่านพี่ได้ยินเสียงร้องของข้าจึงช่วยข้าไว้ แล้วยังได้ยินว่าเพื่อเป็นการต้อนรับท่านพี่ มีคนต้องตายเพื่อเอากระดูกมาทำจอกสุราหลายร้อยคน พวกคนประหลาดพวกนั้นมาดื่มเหล้ากับท่านพี่ จากนั้นข้ากับท่านพี่ก็นอนหลับไป ได้ยินว่าหลับไปสี่วัน หากไม่ใช่เพราะท่านพี่เฉิงตามหาพวกเราเจอ พวกเราก็คงหลับไปจนตาย”
คำพูดนี้ทำให้ท่านย่าและซินเย่วตกใจจนหน้าซีด ใครจะไปรู้ว่าคนที่อวิ๋นเยี่ยคบค้าสมาคมด้วยเป็นแบบนี้กันหมด เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา อันตรายเกินไปแล้ว ทำไมเรื่องแบบนี้อวิ๋นเยี่ยไม่เคยพูดถึงมาก่อน
ซินเย่วเห็นท่านย่าเป็นกังวลจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ลูกยังไม่ทันได้ครบเดือน แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มี เขาก็ออกไปเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอก ไม่มีความเป็นพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว”
กำลังบ่นอยู่ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ขึ้นมา ทำได้แค่หยุดพูดแล้วไปเปิดดูผ้าอ้อม ปรากฏว่าลูกน้อยอึอีกแล้ว คนที่รักความสะอาดอย่างซินเย่วกลับไม่มีท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย ลงมือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อยด้วยตัวเอง แล้วสำรวจดูว่าลูกน้อยผิดปกติอะไรอีกหรือไม่
นางไม่รังเกียจการเปลี่ยนผ้าอ้อม แต่น่ารื่อมู่กลับมีปฏิกิริยาขึ้นมา ทำท่าทางคลื่นไส้ จะอ้วกก็อ้วกไม่ออก
ซินเย่วกำลังจะด่า แต่ท่านย่าห้ามไว้บอกให้คนรับใช้ไปตามหมอมา
ไม่ผิดจากที่ท่านย่าคาดไว้ น่ารื่อมู่ตั้งท้องแล้ว ได้ยินข่าวนี้ ซินเย่วไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตัวเองใช้เวลาตั้งนานกว่าจะตั้งท้อง ทำไมน่ารื่อมู่แต่งมาไม่กี่เดือนก็ท้องแล้ว ซินเย่วคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้
ท่อนไม้ท่อนนั้นที่มีข้อความของอวิ๋นเยี่ยถูกส่งมาที่จวนตระกูลอวิ๋น ท่านย่าและซินเย่วมองดูก็รู้ว่าเป็นลายมือของอวิ๋นเยี่ยแน่นอน จิตใจที่ว้าวุ่นในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลง
หลังจากนั้น ท่อนไม้ก็ได้ถูกส่งไปในวังหลวง หลี่ซื่อหมินไม่ได้ดูตัวอักษร แต่ดูวันที่ที่อยู่ด้านล่าง
ถามอู๋เสอที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยเสียงต่ำว่า “อักษรที่อยู่หน้าที่หนึ่ง แถวที่สิบ ตัวที่แปด คืออักษรอะไร”
“กราบทูลฝ่าบาท ในหนังสืออินฝูจิง อักษรตัวนี้คือคำว่าโต้ว”
หลี่ซื่อหมินสูดหายใจเข้ายาวๆ ใบหน้าดูซีดเซียว ปัดมือบอกให้อู๋เสอออกไปก่อน
จั่งซุนเดินออกมาจากข้างหลังแล้วถามว่า “ท่านพี่ อวิ๋นเยี่ยเขียนไว้ว่าอย่างไร”
“เขาถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไป” หลี่ซื่อหมินทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ไอ้เจ้านี่เคยก่อเรื่องกับฉางอัน เคยรอบฆ่าข้าที่อวิ๋นจวง ตอนนี้ยังกล้ากลับมาที่ฉางอัน พวกทหารสอดแนมของกองทัพต้องห้ามทำงานกันอย่างไร ไหนว่ากันว่าโต้วเยี่ยนซานถูกพวกเขาเนรเทศไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว ชาตินี้ไม่มีทางกลับมาได้ไม่ใช่หรือ รายงานความเท็จ ต้องโทษประหาร”
สวรรค์ลงโทษ คนตายนับล้าน เลือดไหลพันลี้ คำพูดนี้ถึงแม้ว่าจะดูเกินความจริงไปหน่อย แต่ว่าบ่ายวันนี้ หัวของผู้นำกองทัพต้องห้ามถูกตัดแขวนประจานไว้หน้าประตูกองทัพต้องห้าม แต่ก่อนเมื่อฮ่องเต้จะประหารนักโทษต้องมีการหารือกันก่อน แต่ครั้งนี้เห็นพ้องต้องกัน ไม่มีใครฟังคำอธิบายของนักโทษ
ในเวลาเดียวกัน ท่านโหรได้มาถึงบ้านตระกูลอวิ๋น ได้ตั้งชื่อลูกชายคนโตของอวิ๋นเยี่ยว่าอวิ๋นโซ่ว หรืออวิ๋นฉีเว่ย ฮ่องเต้เป็นคนตั้งชื่อให้ ให้ชื่อว่าโซ่ว ก็เพราะหวังว่าเด็กน้อยจะอายุยืนนานหนึ่งร้อยปี นี่เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาก
หลี่เฉิงเฉียนไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะไปรับใช้ญาติผู้ใหญ่โดยไม่ร่ำลาเขาก่อน เขาไม่เชื่อข้อความบนต้นไม้เลยแม้แต่น้อย ดูจากนิสัยของอวิ๋นเยี่ยแล้ว การไม่พาอาจารย์ของตัวเองไปที่สำนักศึกษานี่สิคือเรื่องแปลก จะมาถูกผู้อาวุโสหลอกชวนออกไปข้างนอกได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เขาคิดถึงสีหน้าของทหารสอดแนมในวันนั้น อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า เพราะว่ากองทัพต้องห้ามเป็นทหารภายใต้บังคับบัญชาของพ่อตัวเอง นอกจากเสด็จพ่อแล้ว ใครก็ไม่มีอำนาจไปถามเรื่องราวจากพวกเขา แม้แต่รัชทายาทก็ทำไม่ได้
เมื่อเขาได้รู้ว่าบนประตูของกองทัพต้องห้ามมีหัวคนแขวนอยู่ ในใจรู้สึกเจ็บปวดดั่งถูกมีดกรีด อวิ๋นเยี่ยต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ ท่านพ่อรู้ แต่ไม่ยอมบอกคนอื่น แกล้งทำเป็นว่าอวิ๋นเยี่ยได้ติดตามไปกับญาติผู้ใหญ่แล้วจริงๆ
พระจันทร์อยู่กลางท้องฟ้า ถึงแม้จะเป็นข้างแรม แต่หลี่เฉิงเฉียนก็จะขอพรต่อสวรรค์ ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยปลอดภัยกลับมา เขาจะยอมกินมังสวิรัติสามปี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น