เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 55-57

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 55 ถูกหลอกอีกแล้ว

 

ความคิดในหัวโลดแล่นเต็มไปหมด แต่ในความจริงกลับทำอย่างที่คิดไม่ได้ ไม่รู้ว่านี่เป็นคำพูดของใคร แต่มันสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชายหนุ่มสองคนที่พึ่งมีความคิดอยู่เต็มหัวไปหมด คนหนึ่งเปรียบดั่งเล่าปี่ อีกคนหนึ่งเป็นเหมือนกับขงเบ้ง ในหัวสมองมีแต่ภาพจินตนาการชีวิตในอนาคต 


 


เตรียมถืออาวุธชิ้นใหญ่ออกไปทำให้แม่ทัพในห้องตกใจ ให้อนาคตเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจตามจินตนาการของตัวเอง หลี่เฉิงเฉียนได้เตรียมพร้อมรับคำเชยชมจากทุกคนอยู่แล้ว แล้วยังปรึกษากับอวิ๋นเยี่ยว่าตัวเองควรแสดงออกมาอย่างมั่นใจ หรือว่าควรนอบน้อมถ่อมตน ทั้งสองคนต่างคิดว่าควรที่จะนอบน้อมถ่อมตนดีกว่า 


 


หยิบแผนที่ออกมา หลี่จิ้งเห็นแล้วรู้สึกโมโห หลี่เซี่ยวกงเองก็โมโหเช่นกัน หนิวจิ้นต๋าตาแทบจะลุกเป็นไฟ เฉิงเหย่าจิน โหวจวินจี๋กุมขมับอย่างไม่พอใจ อวี้ฉือกงดึงคอเสื้อของหลี่เฉิงเฉียนกับอวิ๋นเยี่ยมาด่าจนหมดเปลือก 


 


“มีของสิ่งนี้ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรก รู้หรือไม่ว่าข้าแทบจะเครียดจนหัวหงอกเพราะเรื่องลักษณะภูมิประเทศอยู่แล้ว หากอยู่ในกองทัพ ผู้ที่รู้เรื่องแล้วไม่นำมารายงาน อย่าคิดว่าจะหนีพ้นบทลงโทษ ถูกข้าตัดหัวเอาไปเสียบบนไม้ธงไปนานแล้ว” 


 


อวิ๋นเยี่ยเป็นแค่ท่านโหว ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนพวกนี้อยู่แล้ว แต่ว่ารัชทายาทที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกหาเรื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น 


 


“หลี่เฉิงเฉียน ออกรบครั้งนี้เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ข้าลงโทษเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตอนนี้เจ้ายังไม่ทันได้มารายงานตัวกับกองทัพ ก็ทำผิดกฎของกองทัพแล้ว ข้าเห็นเจ้าแล้วคันไม้คันมือ อยากจะเฆี่ยนเจ้าสักสามสิบที หรือกักบริเวณสักสี่วัน เจ้าเด็กน้อย เลือกได้แล้วก็ให้มาบอกข้า ถูกเฆี่ยนครั้งนี้ อำนาจก็ช่วยเจ้าไม่ได้” 


 


เสียงพูดอันเยือกเย็นของหนิวจิ้นต๋าดังมา ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย 


 


“อวิ๋นเยี่ย ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกดีกับข้า แต่รู้หรือไม่ว่าข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเจ้าเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะตอนนี้รัชทายาทซื่อสัตย์ต่อเจ้า เจ้าก็คงไม่ยอมนำแผนที่นี้ให้แก่เขา เพื่อผลประโยชน์เจ้าทำได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือว่าเจ้าเป็นถึงปรมาจารย์แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่า เพราะว่าไม่คุ้นต่อภูมิประเทศ กองทัพทหารของข้าจึงไม่สามารถเข้าโจมตีได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าไม่คุ้นต่อภูมิประเทศถึงได้ตกอยู่ในวงล้อมของเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน และ เกาชาง เจ้าเป็นถึงขุนนางของต้าถัง ไม่รับใช้ชาติอย่างซื่อสัตย์ แต่กลับมีนัยแอบแฝง เจ้ามีนัยแอบแฝงไม่เป็นไร สงสารก็แต่พวกบริวารของเจ้าที่ต้องเผชิญชะตากรรมเพราะความคิดที่คดเคี้ยวของเจ้า ความเมตตาของเจ้าถูกกลืนกินไปหมดแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าหมู่บ้านของเจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกเขาไปเป็นหน่วยกล้าตายให้แก่ทหารของข้า ดูสิว่าเจ้าจะเจ็บปวดหรือไม่” 


 


ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย พวกเรามาเพื่อรับคำเชยชม ทำไมถึงกลายเป็นคนใจดำไปเสียได้ นอกจากจะไม่ชมแล้วยังจะลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีและกักบริเวณอีกด้วย 


 


ข้าเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือทั้งวันทั้งคืนเพื่อวาดแผนที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ภรรยาข้าก็พยุงท้องใหญ่ๆ ช่วยเฝ้าประตูให้ข้า โทรศัพท์ใช้มากๆ ก็เปลืองแบตเตอรี่ พวกเจ้าจะไปรู้อะไร ทั้งบ้านเฝ้าเครื่องชาร์จแบตพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อรอชาร์จแบตเตอรี่ เจ้าคิดว่ามันง่ายนักหรือ เพื่อปกปิดเป็นความลับ เหล่าเจียงแทบจะควักลูกตาสองข้างของตัวเองออกมา เกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าเขาจะล้มเลิกวิธีคิดนี้ เพื่อแผนที่ผืนนั้นแล้วคนในบ้านข้าเลือดตาแทบกระเด็น 


 


อวิ๋นเยี่ยคิดที่จะหาเหตุผลมาหักล้าง แต่เห็นหลี่เฉิงเฉียนที่อยู่ข้างๆ ทำท่าทางอับอายราวกับว่าทำเรื่องราวที่ไม่ดีไว้จริงๆ หน้าตาเตรียมพร้อมที่จะฆ่าตัวตายเพื่อรับโทษอยู่ตลอดเวลา 


 


ประตูถูกเปิดออก อวิ๋นเยี่ยกับหลี่เฉิงเฉียนถูกโยนเข้ามาตามด้วยเสียงปิดประตูดังลั่น หลี่เซี่ยวกงต้องการให้สองคนนี้ทบทวนความผิดของตัวเอง รอว่าราชการทหารเสร็จก่อนค่อยคิดบัญชีกับสองคนนี้ 


 


นอนอยู่กับพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นมา ก้นถูกกระแทกจนรู้สึกเจ็บ คาดว่าหลี่เฉิงเฉียนก็เป็นเหมือนกัน อวี้ฉือกงโหดร้ายมาก 


 


ใบไม้ในฤดูหนาวยังร่วงไม่หมด บางครั้งก็ยังเหลือสองใบร่วงลงมา ต้นพลับในบ้านยังเหลืออยู่ไม่กี่ลูกที่ไม่ได้ถูกน่ารื่อมู่เด็ดมากิน พวกมันเริ่มเ**่ยวแล้ว 


 


แบบนี้ไม่ถูกต้อง อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกว่ากำลังถูกหลอก ลูกชายของตัวเองก็พึ่งเกิดได้ไม่กี่วัน ตระกูลอวิ๋นยังไม่ได้ให้ขุนนางชั้นสูงมาร่วมแสดงความยินดีเลย อย่างเช่นฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย พวกเขายังไม่ได้มา เพียงแค่ให้คนส่งของขวัญมาให้ บรรดาผู้อาวุโสของสำนักศึกษาก็มาเยี่ยมเพียงครู่เดียวแล้วก็กลับ ไม่แน่อาจเป็นเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์อวี้ซัน 


 


แต่เหตุใดพวกขุนพลชั้นสูงจึงมาทั้งหมดไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว จะมาก็ไม่เป็นไร ตรงนั้นไม่เหมาะแก่การหารือเรื่องการทหาร ก็ยังจะไปหารือในบ้านของตระกูลอวิ๋น แล้วก็ให้ตัวเองกับรัชทายาทอยู่ด้านนอก มันใช่เรื่องเสียที่ไหน  


 


อวิ๋นเยี่ยพยุงตัวเองขึ้นมามองรัชทายาทที่กำลังสำนึกผิดแล้วถามว่า “เจ้าตั้งใจให้สร้อยไข่มุกพระจันทร์แก่ลูกข้าหรือว่าเป็นการตัดสินใจกะทันหัน ใครเป็นคนให้ความคิดนี้แก่เจ้า” 


 


หลี่เฉิงเฉียนพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ข้าเตรียมหยกที่ดีที่สุดไว้ให้ก่อนแล้ว ข้างบนสลักดอกไม้มงคล ภรรยาข้าเลือกอยู่นานถึงเลือกได้ สร้อยไข่มุกพระจันทร์เป็นทรัพย์สินที่ติดตัวข้าตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่มีราคาเท่าหยก แต่เป็นสิ่งของที่ข้ารัก ต่อให้เจ้าเอาหยกสิบอันมาแลกข้าก็ไม่ยอม พอถึงบ้านเจ้า ท่านลุงหวังถามข้าว่าเตรียมของขวัญอะไรมา ข้าเลยบอกไปว่าเป็นหยกอย่างดี ท่านลุงหวังบอกว่าข้าเป็นคนมีความสามารถ อยากให้ข้าเปลี่ยนของขวัญที่จะให้เป็นสิ่งของที่ข้าเคยใช้ แบบนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราก็จะกระชับมากยิ่งขึ้น เป็นตระกูลที่มีสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน ข้าก็คิดว่าสำหรับความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้ว หากให้หยกไปจะดูไม่มีค่า จึงให้ไข่มุกพระจันทร์ไป” 


 


เข้าใจแล้ว นี่เป็นกับดัก เมื่อไม่กี่วันมานี้ตัวเองได้สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับภูมิประเทศของดินแดนตะวันตกโดยเฉพาะ แล้วยังลงมือวาดแผนที่อย่างง่ายๆ สองแผ่น ให้ลูกศิษย์ดูเข้าใจง่าย ตอนนี้รู้แล้วว่าลูกศิษย์นำวิชาความรู้กลับบ้านไปปรึกษากับพ่อ ความลับที่ว่าตัวเองรู้ภูมิประเทศของดินแดนตะวันตกจึงรั่วไหล ดังนั้นพวกคนเหล่านี้กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ให้แผนที่ จึงได้วางกับดักเช่นนี้ ให้อวิ๋นเยี่ยติดกับเอง หลี่เฉิงเฉียนเจ้าเด็กโง่ถูกหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก แถมตอนนี้ยังรู้สึกผิดจนอยากตาย 


 


“ลุกขึ้นมา เราสองคนไปหาเหล้าดื่มกันเถอะ” ลากหลี่เฉิงเฉียนให้ลุกขึ้นมา เห็นหน้าตาอันเศร้าสร้อยของเขา อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้งแล้วพูดว่า 


 


“ไม่ต้องเสียใจไป เราสองคนสู้พวกคนเจ้าเล่ห์ไม่ได้หรอก ถูกหลอกแล้วยังเสียใจอยู่ตรงนี้ คราวนี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าคนเหล่านั้นไม่มีคนดีเลยสักคน” 


 


“ติดกับ? ติดกับอะไร ตอนที่ข้าได้แผนที่มาก็มีความคิดอยากจะซ่อนเอาไว้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผลมันจะน่ากลัวก็แค่นั้น ครั้งนี้แม้ได้รับโทษข้าก็จะไม่ค้านอะไร” 


 


หลี่เฉิงเฉียนยังเป็นเด็กที่มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เสียแรงที่อวิ๋นเยี่ยดูแลมาหลายปี รู้จักเสียใจแทนคนอื่น รู้จักเสียใจที่เห็นพวกทหารต้องตาย แต่ยังไม่รู้จักทำจิตใจให้โหดเ**้ยม 


 


“เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าตอนที่เราเดินเข้าประตูมาพวกเขาไม่ได้มีท่าทางหารือเรื่องการทหารเลย พวกเขากำลังดื่มเหล้า รอให้พวกเรามาติดกับ แผนที่ถูกหลอกเอาไปแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมดคือกับดัก พ่อตาของเจ้า ท่านอาเฉิง ท่านอาหนิว ผู้มีจิตใจเมตตาของข้า เป็นหัวโจกกันทั้งนั้น สร้างเรื่องมาหลอกคนโง่อย่างเราสองคน ตอนนี้ความจริงปรากฏ หากพวกเราไม่ดื่มเหล้าคลายทุกข์แล้วจะทำเช่นไรได้อีก” 


 


หลี่เฉิงเฉียนจ้องตาโต เขาก็ไม่ได้โง่ เพียงแค่ครู่เดียวก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมเจ้าจึงบอกว่าข้ายังอ่อนหัดในเรื่องการทำสงคราม เจ้าพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย หากข้าต่อกรกับพวกเขา แน่นอนว่าแม้แต่จะตายก็ยังไม่รู้เลยจะตายเช่นไร” 


 


ลากหลี่เฉิงเฉียนออกไปข้างนอก อวิ๋นเยี่ยเดินไปพูดไป “ตอนนี้รู้ถึงความโหดร้ายของคนพวกนั้นแล้วใช่ไหม ถูกหลอกครั้งนี้ ไม่แน่พ่อเจ้าก็อาจจะรู้อยู่แล้ว รอหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ แฃ้งค่อยช่วยเจ้าลงโทษพวกเขาทีหลัง เมื่อถึงค่ายทหารก็จะควบคุมได้ง่ายขึ้น พวกคนเหล่านี้อย่างไรก็ต้องยอมให้ความเคารพ มองดูแล้วหากเจ้าต้องการจะเป็นใหญ่ทั่วสี่ทิศ ข้าอยากจะรังแกคนทั้งฉางอัน อย่างไรเราสองคนก็ต้องร่วมมือกันก่อน เช่นนี้จึงจะลงมือได้สะดวก” 


 


กลับมาที่ห้องหนังสือ หลี่ฉุนเฟิงไม่อยู่แล้ว อาจารย์จอมขี้เมาของเขาก็ไม่อยู่ และแน่นอนว่าหนังสือคณิตศาสตร์เบื้องตนที่อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเขียนก็หายไปด้วยเช่นกัน รู้ทั้งรู้ว่าเป็นโจรก็ยังจะเชิญเข้าบ้าน ดังนั้นการที่หนังสือถูกขโมยก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว 


 


จัดการเตรียมตัวหลี่เฉิงเฉียนที่โดนพวกกลุ่มคนไม่ดีเล่นงานจนขวัญหนีดีฝ่อให้ดี อวิ๋นเยี่ยหันไปมองลูกชายตัวเอง ดีเลยสองแม่ลูกหลับไปแล้ว ท่านย่ายังคงจมอยู่กับความสุขอันยิ่งใหญ่และไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ มองหลานชายตัวเองแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู วันนี้คงเป็นแบบนี้ทั้งวัน 


 


ที่ต้าถังมีไม่กี่คนที่กินเผ็ดได้ อวิ๋นเยี่ยบอกคนรับใช้ว่าให้แจ้งกับเหล่าอาจารย์ว่าอาหารจานไหนบ้างที่มีพริกน้อยกว่าสองเม็ด แต่รสชาติยังคงต้องสมบูรณ์แบบ ให้พวกเขาหยุดกินไม่ได้ ทำให้พวกเขารู้ว่าอาหารของตระกูลอวิ๋นนั้นอร่อยมากเพียงใด 


 


เอาขาหมูให้หลี่เฉิงเฉียนเพื่อเป็นการปลอบขวัญ ตอนนี้ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยชอบกินอะไร หลี่เฉิงเฉียนก็ไม่พลาดที่จะกินสิ่งนั้นด้วย ถึงแม้ว่าเนื้อหมูจะเป็นเนื้อที่ราคาถูก แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยกินเนื้อแพะแล้ว เขาจะกินแต่เนื้อหมูโดยเฉพาะ เมืองฉางอันก็เป็นเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสูตรอาหารของตระกูลอวิ๋นถูกเผยแพร่ออกไป 


 


ไม่ได้พิถีพิถันอะไร สองคนฉันท์พี่น้องต่อขาหมูหนึ่งจานเป็นขาหน้าทั้งหมด อย่างไรตระกูลอวิ๋นก็เตรียมขาหมูไว้หนึ่งคันรถให้ซินเย่วกินเพื่อขับน้ำนมอยู่แล้ว เตรียมเหล้าหนึ่งไหต่อหนึ่งคน ต่างคนต่างดื่ม เพื่อไม่ให้โศกเศร้า จึงเปลี่ยนความโศกเศร้าและความโมโหเป็นความหิวกระหายแทน 


 


ทั้งสองคนต่างคนต่างไม่พูดอะไร เอาแต่แทะขาหมูอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังเคี้ยวเหยื่อของตัวเอง กินไปกินมา หลี่เฉิงเฉียนก็วางขาหมูที่แทะไปแล้วครึ่งหนึ่งลงบนจาน แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย คนพวกนั้นรับมือยากถึงเพียงนี้ เจ้าว่าพ่อข้าจะควบคุมพวกเขาได้อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้วข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะต่อกรกับเขาได้” 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่ค่อยไปที่เมืองหลวงฉางอัน” อวิ๋นเยี่ยวางขาหมูลง ยกไหเหล้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วถึงถามหลี่เฉิงเฉียน 


 


“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็แปลกใจอยู่มาก บ้านหลังสวยงามที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกเจ้าปล่อยทิ้งว่างไว้ตลอด เป็นเพราะเหตุใดกัน” 


 


“เป็นเพราะว่าที่เมืองฉางอันมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมาย ข้ารับไม่ไหวจริงๆ สภาพข้าแบบนี้ หากไม่หลบไปไกลๆ ตอนนี้น่ะหรือ หึๆ คงจะกลายเป็นเถ้ากระดูก หรือไม่ก็ถูกถลกหนังมาขึงกลองไปแล้ว” 


 


พ่อเจ้าเป็นคนที่ข้ากลัว ถ้าต้องเจอกับเขา ข้าก็คงไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แม่เจ้าเป็นคนที่ข้ากลัวที่สุด เมื่อได้อยู่ต่อหน้านางข้ามักจะหาวิธีปฏิเสธคำขอของนางไม่ได้ ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม 


 


สำหรับคนอื่นๆ ข้ายังพอมีวิธีรับมือได้ เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าข้ามักจะหาวิธีแก้แค้นอยู่เสมอ ช่วยไม่ได้ที่ทุกครั้งจะโดนเล่นงานก่อนแล้วถึงค่อยตามไปเอาคืนได้ในภายหลัง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพ่อของเจ้า เขาต่างหากที่เป็นคนที่เก่งที่สุด คนมีความสามารถมักจะเล่นกับนกอินทรีย์ ส่วนคนไร้ความสามารถมักจะเล่นกับนกกระจอก เราสองคนอย่างมากก็เล่นนกฮูก ส่วนพ่อของเจ้าถึงจะเป็นคนที่เล่นกับเสือ การไม่เชื่อฟังเขาไม่มีผลดีต่อพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว 

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 56 มิตรภาพของชาวบ้าน

 

พวกอาจารย์พากันทำท่าทางเผ็ด ทั้งพูดทั้งหัวเราะ ก่อนจะเตรียมตัวจะกลับบ้าน อวิ๋นเยี่ยไปส่งพวกอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม 


 


“อาหารของตระกูลอวิ๋นไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าใส่พริกเยอะไปหน่อย แต่ว่าถูกปากข้าเป็นอย่างมาก พรุ่งนี้ส่งพริกไปที่บ้านข้าหนึ่งคันรถ เป็นเด็กแต่ไม่รู้จักกาลเทศะ ต้องรอให้ผู้ใหญ่เอ่ยปากขอถึงจะให้ ช่างไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย” 


 


“เจ้าเด็กน้อย เห็นแก่วันนี้เจ้ามีเรื่องน่ายินดีข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง นี่ข้าเห็นแก่หน้าหลานชายที่พึ่งเกิดของข้า คิดดูดีๆ ต่อจากนี้ควรจะทำอะไร มีของดีก็ไม่ควรเก็บซ่อนไว้ เจ้ามักจะมีแผนสำรองไว้ตลอด ขอเพียงข้ามีชีวิตอยู่หนึ่งวัน ก็จะไม่ยอมให้ตระกูลอวิ๋นต้องล่มสลาย” 


 


“เด็กน้อย หากเจ้าไม่มีอะไรทำก็ให้แต่งภรรยาเข้ามาอีกเยอะๆ มีหลานสาวในตระกูลของข้ามากมายอยากจะแต่งเข้าตระกูลอวิ๋น หากชอบลูกสาวข้าก็ส่งซิกมา ข้าจะส่งสินสอดเข้ามาและจัดขบวนส่งเข้าตระกูลอวิ๋นอย่างถูกต้องตามประเพณี คนตระกูลข้าขึ้นชื่อเรื่องการถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี” 


 


ตอนจากไป พวกอาจารย์ทุกคนก็พากันกระซิบกระซาบเรื่องนี้กับอวิ๋นเยี่ยกันทุกคน สุดท้ายเหล่าหนิวก็เดินออกไปจากประตู หากอวิ๋นเยี่ยต้องแต่งภรรยาเข้ามาจริงๆ ป่านนี้คงเต็มบ้านไปหมดแล้ว ยังได้รับคำขอสิ่งของต่างๆ อีก ขอพ่อครัวบ้างก็มี มีคนหน้าไม่อายอยากจะขอเปิดร้านอาหารร่วมกันกับเขาด้วย 


 


“เจ้าเด็กน้อย ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว แต่ว่าการถูกหลี่จิ้งวางกับดักถือเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง พวกเราเข้าวังไปปรึกษาเรื่องการรวบรวมเมืองทางด้านตะวันตกกันเถอะ เจ้าเตรียมตัวถูกเลือกใช้ไว้ให้ดี ทั้งเจ้าและเหล่าแม่ทัพก็สำคัญด้วยกันทั้งคู่ หากเหล่าแม่ทัพทำให้เจ้าต้องสูญเสียผลประโยชน์เจ้าก็จะเสียใจ แต่ว่าอย่าได้เก็บความไม่พอใจไว้ รอจัดการเรื่องเมืองทางตะวันตกเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเจ้าแล้วว่าจะเจาะคลังของพวกคนเถื่อนเหล่านั้นได้อย่างไร เช่นนี้ถึงจะได้แสดงความสามารถของเจ้าได้อย่างชัดเจน อย่างมากข้าก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เจ้าแล้ว” 


 


เหล่าหนิวกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะเสียเปรียบ จึงตั้งใจที่จะชี้แนะอยู่ข้างหลัง 


 


“ท่านลุงหนิว ของสิ่งนี้พึ่งจะวาดเสร็จ เดิมทีเตรียมไว้ให้ฝ่าบาท เพื่อเตรียมการทางทหาร คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลี่จิ้งผู้งดงามวางแผนเอาไป ครั้งต่อไปต้องระมัดระวังให้มาก ลูกของเจี้ยนหู่เกรงว่าสองวันนี้ก็จะคลอดแล้ว ของสิ่งนี้ท่านเก็บไว้ให้ดี รอเมื่อภรรยาหมดแรงก็ชงใส่น้ำให้ดื่มเพื่อบำรุงกำลัง” 


 


สำหรับคนอย่างหนิวจิ้นต๋า อวิ๋นเยี่ยโกรธไม่ลง บางทีคนที่มีบารมีสูงก็จะทำให้คนหลับหูหลับตาเชื่อได้ ความรู้สึกนี้ออกมาจากข้างในจิตใจ ที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรอง 


 


หนิวจิ้นต๋ารับขวดลายครามมา ตบลงที่บ่าของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนดี และเป็นมาตลอด อยู่ให้ห่างจากราชสำนักไว้ อย่าได้เข้าไปติดกับ คนที่ยืนอยู่รอบนอกมักจะเป็นผู้ที่บริสุทธิ์อยู่เสมอ ข้าชอบที่เจ้าเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์” 


 


กองทัพทหารม้าไปหมดแล้ว ถนนในฤดูหนาวมักมีฝุ่นลอยขึ้นมา หากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อต้นอ่อนหญ้าโผล่ขึ้นจากดิน ฝุ่นเหล่านี้ก็จะถูกพัดไปทางทิศตะวันตก ไปไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว 


 


ถูกหลอกก็ไม่ต้องไปคิดมาก นี่เป็นการท้าทายอย่างเปิดเผยของหลี่จิ้ง การสู้กันระหว่างตัวละครหลักก็มักจะมีชั้นเชิง การต่อสู้ทางปัญญาจึงเป็นเรื่องสำคัญ 


 


การแพ้ให้หลี่จิ้งไม่ใช่เรื่องขายหน้า เหล่าหนิวพูดถูก เปรียบดั่งการต่อกรกันด้วยปัญญา สิ่งที่ทำให้หลี่จิ้งใช้สติปัญญาเพื่อแย่งมามีไม่มากนัก เพียงแต่ว่าการต้องกลายเป็นคนถูกกระทำในการต่อกรครั้งนี้ มักทำให้คนรู้สึกแย่ 


 


อยากจะตะโกนบอกว่าไว้ครั้งหน้าเจอกันใหม่ แต่ก็ไม่กล้า เหล่าเฉียนที่อยู่ข้างๆ ชะเง้อคอมองคนเหล่านั้นด้วยความอิจฉา 


 


“เหล่าเฉียน เจ้าไปเตรียมรถม้า รัชทายาทเมาแล้ว ตอนนี้เขาแต่งงานแล้ว ต้องกลับตำหนักบูรพา” 


 


เหล่าเฉียนตระโกนบอกคนรับใช้ให้ไปเตรียมม้าเพื่อส่งรัชทายาทกลับตำหนัก 


 


ตั้งแต่เกิดมารัชทายาทผู้จิตใจดี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเจอกับคนหลอกลวง แล้วยังแพ้ให้กับพวกเขาอีกต่างหาก นี่ถือเป็นการถูกโจมตีอย่างรุนแรงสำหรับเด็กอายุไม่ถึงสิบแปดปี เมื่อก่อนคิดว่าเป็นแค่ฝันไป แต่กับถูกโจมตีจนกลายเป็นผุยผงในความเป็นจริง ดีที่มีอวิ๋นเยี่ยคอยช่วย จึงทำให้จิตวิญาณอันอ่อนแอของเขาได้รับการปลอบประโลม 


 


ตอนนี้เขาไม่ต้องการรังนอนที่สะดวกสบาย แต่ควรฝึกฝนอยู่ในกระแสน้ำเชี่ยว การโดนโจมตีหลายๆ ครั้ง ก็จะทำให้ฉลาดมากยิ่งขึ้นเหมือนกับอวิ๋นเยี่ย นี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องร้ายแต่อย่างใด 


 


หากอยากโตเป็นผู้ใหญ่ ขั้นแรกต้องเริ่มจากความมีวินัยในตัวเอง ทุกวันที่กลับบ้านไปนอน ต่อให้เมาแล้ว แม้ว่าเป็นเพียงจังหวะที่ลืมตาไม่ขึ้น แต่กลับเพิ่มความโหยหาของตัวเองที่มีต่อบ้านได้อย่างมากมาย เมื่อมีความโหยหาแล้วก็จะไม่สนใจสิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอก อยากจะเป็นผู้ครองแผ่นดินที่ดี ควรเริ่มจากการเป็นผู้นำที่ดีในบ้าน เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว ความรู้สึกห่วงใยราษฎรจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา และเป็นอาวุธที่มีกำลังมาก 


 


หลี่ถังฆ่าคนมากเกินไป บัลลังก์ของหลี่ซื่อหมินจึงมีข้อพิพาท ไม่ใช่ว่าการเป็นฮ่องเต้ที่ดีจะลบล้างเรื่องชั่วๆ ที่เคยทำไว้ได้ เรื่องแบบนี้จะมีผลกระทบอย่างฝังรากลึก จากประวัติศาสตร์บัลลังก์ของหลี่ถังถูกแย่งมาด้วยเลือดสามารถรู้ได้เลยว่าจุดเริ่มต้นของหลี่ซื่อหมินนั้นโหดร้ายมากแค่ไหน 


 


หลี่เฉิงเฉียนบ่นพึมพำด้วยฤทธิ์สุราแล้วถูกอุ้มขึ้นไปบนรถม้า องครักษ์ที่เป็นญาติคนสนิทที่เขาไว้ใจมากที่สุดเป็นคนบังคับม้า หลังจากกล่าวขอบคุณอวิ๋นเยี่ยแล้ว ก็บังคับม้ามุ่งหน้าไปทางฉางอัน 


 


หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นเงียบสงบลงอย่างมาก แม้แต่ร้านค้าบนถนนก็ไม่มีเสียงตะโกนขายของ หากมีใครพูดตะโกนออกมาก็จะถูกมองด้วยสายตาไม่พอใจทันที 


 


ฮูหยินและนายน้อยกำลังนอนหลับ หากทำให้นายน้อยตื่นเขาก็จะร้องไม่หยุด ก็จะเป็นคนร้ายแบบไม่ได้ตั้งใจ 


 


จวนของตระกูลอวิ๋นมีขนาดใหญ่มาก ต่อให้เจ้าตะโกนเสียงดัง เสียงจะดังไปแค่ห้าร้อยเมตรก็จะไม่ได้ยินแล้ว ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยเลือกที่จะคิดว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการให้ความเคารพต่อตระกูลอวิ๋น ไม่อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องน่ากลัว 


 


ผู้อาวุโสที่สุดในหมู่บ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขกของตระกูลอวิ๋น ที่เท้ามีตะกร้าไข่ไก่ ที่ถูกย้อมด้วยสีแดงอย่างเรียบเนียนไม่มีรอยด่าง ที่ตรงหน้าท่านย่ามีเปลือกไข่อยู่ นางได้ปลอกไข่กินไปแล้วหนึ่งใบ 


 


“ไข่ไก่ของหมู่บ้านเราต้มด้วยน้ำมัน ลองกัดดู ไข่แดงสีราวกับทองคำ ไข่ในฉางอันไม่อร่อย ไข่แดงสีซีด หลานข้าซื้อมาแทบกินไม่ได้” 


 


ท่านย่ายิ้มและพูดคุยกับเหล่าเห่าโถวอย่างเป็นกันเอง ชาวบ้านชอบฟังคนพูดว่าสินค้าของตัวเองดีกว่าของที่อื่นเป็นที่สุด ได้ยินท่านย่าชมเช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างมีความสุข 


 


“ฮูหยินชมเกินไปแล้ว ไก่ในหมู่บ้านเราถูกเลี้ยงด้วยแมลงทั้งนั้น ใช่ว่าไก่ของฉางอันที่อดมื้อกินมื้อจะมาเทียบได้ ตอนนี้ตระกูลท่านมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคนถือเป็นเรื่องน่ายินดี ครอบครัวของชาวบ้านอย่างข้าไม่มีสิ่งของล้ำค่า มีเพียงไข่ไก่หนึ่งตะกร้าที่เอามาให้ฮูหยินบำรุงร่างกาย จะได้เลี้ยงนายน้อยให้แข็งแรง พวกเราทั้งหมดเฝ้าคอยที่จะเห็นตระกูลอวิ๋นสืบต่อไปหลายยุคหลายสมัย คนในหมู่บ้านอย่างพวกเราก็จะมีชีวิตที่ดีไปด้วย” 


 


ตอนนี้ชมท่านย่าหรือจะสู้ชมหลานชายที่พึ่งเกิด เพียงแค่ได้รับคำแสดงความยินดีก็ยิ้มเป็นพระสังกัจจายน์ ของขวัญจากชาวบ้านถึงแม้จะไม่มีค่าในแง่ทรัพย์สินเงินทอง แต่มีค่าทางจิตใจเป็นอย่างมาก 


 


เข้ามาในห้องรับแขก คำนับเหล่าเห่าโถวเขานั่งอยู่ในห้องรับแขกนับว่าเป็นผู้อาวุโสและเป็นแขกคนสำคัญ จะเสียมารยาทไม่ได้ 


 


“คุณปู่เห่า ไข่ไก่นี้ขนาดใหญ่เท่ากันหมดเลย พบเห็นได้น้อยนัก คงไม่ใช่เป็นเพราะท่านนั่งคัดทีละใบหรอกนะ” 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบไข่จากในตะกร้าขึ้นมาหนึ่งใบแล้วเคาะที่มุมโต๊ะ ปอกเปลือกออก กัดไปหนึ่งคำแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ 


 


เหล่าเห่าโถวยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ท่านโหว ท่านวันๆ กินแต่อาหารอันโอชะ ยังชอบกินไข่ไก่ของบ้านเราด้วยหรือ ชีวิตของคนในหมู่บ้านดีขึ้นแล้ว เมื่อก่อนคอยเฝ้าแต่แม่ไก่ออกไข่ ตอนที่ไม่มีเกลือไม่มีข้าวก็อดไม่ได้ที่จะไปขวนขวายมา แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เด็กในหมู่บ้านก็มีอันจะกิน ในบ้านเลี้ยงไก่เยอะ สองวันก็ได้ไข่หนึ่งตะกร้า ร้านค้าในเมืองยังต้องมารับไข่ไก่จากที่นี่ทุกสองวัน แล้วมักจะรอให้ถึงสิ้นเดือนถึงจะให้เงิน ทำเอาคนในหมู่บ้านไม่สบายใจ” 


 


“คุณปู่เห่า กินปลากินเนื้อทุกวันมากเกินไปก็ไม่ดีต่อม้ามและกระเพาะอาหาร ข้ามักจะรอกลับบ้านไปกินโจ๊ก โจ๊กหนึ่งถ้วยกลืนลงท้อง รู้สึกสบายท้องอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้มองเห็นเหล้ากับเนื้อก็รู้สึกสะอิดสะเอียน แต่ว่างานเลี้ยงก็มีมาไม่หยุด งานที่ฝ่าบาทเชิญใครบ้างที่จะกล้าปฏิเสธ” 


 


อวิ๋นเยี่ยชมไม่หยุด แต่ว่าพวกชาวบ้านเองก็ชอบคำชมเช่นนี้ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก ท่านโหวของพวกเขามักจะถูกฝ่าบาทเชิญไปงานเลี้ยง นับเป็นเกียรติต่อหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ถ้าหากติดตามท่านโหวที่ไม่เคยถูกเชิญไปไหน ก็รู้สึกว่าไม่มีหน้ามีตา สำหรับพวกเขาแล้ว ท่านโหวควรจะใช้เวลาหาความสำราญใส่ตัวให้มาก ควรมีภรรยามากมายคอยปรนนิบัติ ฮ่องเต้ใช้จอบทองขุดดิน ฮองเฮากินขนมชงโหยวทุกวัน นี่เป็นชีวิตที่หรูหราที่สุดในสายตาของพวกเขา 


 


เหล่าเฉียนเอาไข่ไก่ไปเก็บ จากนั้นก็เอาขนมหวาน ผลไม้เชื่อมใส่ลงไปในตะกร้าแทน บอกให้เอาไปให้เด็กๆ ในหมู่บ้านชิม 


 


อวิ๋นเยี่ยคาดว่ากว่าเด็กๆ จะได้กินขนมก็คงแข็งเป็นก้อนหินหรือไม่ก็บูดไปแล้ว เด็กๆ ไม่ทันได้กิน 


 


คนในหมู่บ้านมาร่วมยินดีกับตระกูลอวิ๋นอย่างไม่ขาดสาย ตอนนั้นเห็นทั้งบ้านมีแต่คนมียศถาบรรดาศักดิ์จึงไม่กล้าเข้ามา แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว มีแต่คนกันเอง มีพ่อค้าอยากเข้ามาร่วมด้วย แต่ก็ถูกพวกเขาชักสีหน้ากดดันให้ออกไป การกำเนิดของนายน้อยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกพ่อค้า เมื่อคำพูดนี้ถูกส่งออกไป เหอเซ่าหน้าชา ดูเหมือนว่าเขาก็เป็นหนึ่งในพ่อค้าที่มีชื่อเสียงของฉางอัน 


 


ของขวัญทั้งหมดก็มีหมั่นโถว เนื้อรมควัน ไก่ บ้านไหนที่มีฐานะขึ้นมาหน่อยก็จูงแพะมาหนึ่งตัว ทำให้ดูมีราศีขึ้นมา 


 


ถึงแม้ของขวัญจะไม่ได้ราคาแพง แต่รอยยิ้มกลับดูจริงใจ ของขวัญเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยไม่เคยคิดว่ามันจำนวนมากเกินไป พอมองเห็นอะไรน่ากินก็รีบหยิบขึ้นมากินเลยทันที เอ่ยปากชมจนพวกชาวบ้านยิ้มไม่หุบ 


 


ตอนมาไม่มามือเปล่า ตอนกลับก็กลับแบบเต็มไม้เต็มมือ เหล่าเฉียนได้เตรียมขนมหวานและผลไม้เชื่อมไว้มากมาย ใครมาก็ได้ของกินกลับไป แล้วยังกำชับบอกชาวบ้านว่าให้มาดื่มเหล้าฉลองเมื่อนายน้อยอายุครบหนึ่งร้อยวัน มาให้หมดทั้งหมู่บ้านอย่าให้ขาดแม้แต่คนเดียว เจ้าของหมู่บ้านและผู้อาศัยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนี้ ใครกันกล้าหาว่าพวกเราหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน 


 


อวิ๋นเยี่ยได้กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวที่อบอุ่นในสังคมศักดินา เขาภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก หากใครคิดเอาเปรียบพวกชาวบ้าน เขาไม่ปล่อยไปแน่ เห็นเหล่าผู้อาศัยเข็นรถเสบียงอาหารเข้ามาวางในห้องเก็บเสบียงของบ้าน ในใจมีความสุขจนตัวแทบลอย 


 


ซินเย่วตื่นแล้ว อุ้มลูกน้อยให้นม น่ารื่อมู่นอนน้ำลายไหลอยู่ข้างๆ ท่าทางอยากดื่มนม หันกลับไปเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังหัวเราะก็หน้าแดงขึ้นมาทันที รีบเอาผ้าห่มคลุมหัวไม่กล้าโผล่ออกมา 


 


หลังจากคลอดลูก ซินเย่วเปลี่ยนเป็นคนเปิดเผยมากขึ้น เมื่อก่อนจะมองหน้าอกนาง ก็ต้องคอยหาโอกาส ตอนนี้กล้าให้นมลูกต่อหน้าทั้งสองคนโดยไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อย 


 


ผู้หญิงบ้านอื่นหลังจากคลอดลูกสองวันถึงจะให้นม แต่ซินเย่วมีความฮึกเหิมมาก คลอดลูกออกมาก็ให้นมเลย ซ้ำยังปฏิเสธคำแนะนำที่จะให้เชิญแม่นมมาให้นมแทน นางบอกว่าลูกของนาง นางจะป้อนเอง จะไปหาคนอื่นมาเลี้ยงให้ได้เช่นไร 


 


ในห้องมีกลิ่นอายของความอิจฉา แต่นางเหมือนจะไม่รับรู้ ในสายตาตอนนี้มีแต่ลูกน้อย 

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 57 หนูตกถังข้าวสาร

 

 


ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีวิธีป้องกันอย่างไรแต่สำนักศึกษาก็ยังเกิดเรื่องขึ้นจนได้ ในอดีตชาวบ้านไม่เคยต่อต้านเจ้าหน้าที่ คนจนไม่คิดสู้กับคนรวย พวกไร้สมองในสำนักศึกษาก็เลือกเดินทางนี้จนได้ หม่าโจวหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนฎีกาถวายฝ่าบาทเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้คนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักศึกษา


 


ในฎีกาแจกแจงเหตุผลการล่มสลายของแต่ละราชวงศ์ สุดท้ายเหตุผลอื่นๆ ก็ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้น มีเพียงเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คือการแบ่งที่ดินไม่เท่ากัน กษัตริย์ พวกขุนนางชั้นสูง และราษฎรที่มีฐานะร่ำรวยร้อยละสิบครอบครองพื้นที่ไปแล้วถึงเก้าส่วน พวกเขาคิดว่าพวกขุนนางและผู้คนที่มีฐานะร่ำรวยสามารถมีที่ดินได้โดยไม่มีขีดจำกัด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราชวงศ์ถูกโค่นลง


 


ตอนนี้ต้าถังมีพื้นที่มากมาย ราษฎรก็ยังมีจำนวนไม่เยอะ ยังพอมีพื้นที่ให้ได้ครอบครองบ้าง แต่เมื่อถึงห้าสิบปีให้หลัง หลังจากที่ราษฎรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ที่ดินก็จะไม่พอแบ่งกัน ถึงตอนนั้นเริ่มลงมือก็สายไปเสียแล้ว มีข้อเสนอว่ากษัตริย์ไม่ควรมอบที่ดินให้แก่ผู้ที่เป็นสายเลือดของกษัตริย์โดยไม่มีขีดจำกัด ขุนนางและเศรษฐีก็ควรมีขีดจำกัดในการแบ่งที่ดินด้วย และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือทุกคนที่ครอบครองที่ดินจะต้องมีการจ่ายภาษี ไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยยิ่งจ่ายภาษีเป็นจำนวนมาก เช่นนี้ไม่ยุติธรรม ผู้มีฐานะร่ำรวยก็สมเหตุสมผลแล้วที่จะต้องรับผิดชอบมากกว่า


 


ในฎีกายังมีการโจมตีความไม่ยุติธรรมต่อราษฎรที่ถูกใช้แรงงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างอีกด้วย ทั้งยังวิจารณ์มาตรการการเก็บภาษีที่น่าภูมิใจของหลี่ซื่อหมินจนไม่เหลือชิ้นดี


 


จะว่าหลี่ซื่อหมินก็ไม่เป็นไร เขาเป็นคนหลงตัวเองว่าเป็นกษัตริย์ที่ฉลาด ชาวบ้านสามารถพูดถึงเขาได้โดยไม่มีความผิด แต่อย่างไรก็ไม่ควรเติมประโยคสุดท้ายลงไปในฎีกาว่า ‘หนูตกถังข้าวสาร’


 


ครั้งนี้เป็นการไปแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว พูดแบบนี้หมายความว่าที่เมืองหงต้งไม่มีคนดี เพียงแค่เข้ารับราชการก็กลายเป็นทหารของหนูที่ตกถังข้าวสาร ตั้งตารอวันที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง แล้วเตรียมรอรับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่


 


ชาวบ้านสิบกว่าคนนั่งอยู่หน้าประตูวังหลวง ใส่ชุดสีครามแต่งตัวธรรมดา พร้อมกับอ่านหนังสือคำร้องเรื่องการเก็บภาษีที่ดินด้วยใบหน้าแสดงถึงความเคารพและจิตใจที่หนักแน่น


 


ตั้งแต่ราชวงศ์ในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อน ในฐานะแกนนำของราชสำนัก ไม่คิดว่าชาวบ้านจะสามารถออกความคิดเห็นได้อย่างอิสระเช่นนี้


 


คนที่มีอำนาจรองจากกษัตริย์อย่างฝางเสวียนหลิงก็ต้องอยู่แต่ในบ้านรอการตัดสินของฝ่าบาท กองทัพทหารม้าทั้งห้าก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร ทำได้เพียงแค่ล้อมชาวบ้านเอาไว้ จับชาวบ้านเมืองฉางอันแยกออกจากกันเพื่อไม่ให้เกิดการรวมกลุ่ม


 


การอ่อนน้อมต่อชาวบ้านดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ดูจากจุดมุ่งหมายของคนพวกนี้แล้ว พวกเขาดูเหมือนต้องการจะโจมตีพวกขุนนาง


 


ประตูวังหลวงถูกเปิดออก หม่าโจวมาถึงหน้าประตูแล้ว ไม่มีความเกรงกลัวต่ออาวุธที่อยู่ด้านหน้า นำฎีกาที่ตัวเองได้ประกาศไว้ส่งให้องครักษ์ ให้พวกเขาส่งให้แก่ฮ่องเต้ จากนั้นก็กลับไปนั่งคุกเข่าท่ามกลางเหล่าชาวบ้าน แล้วท่องขึ้นมาว่า “ขงจื๊อสอนให้ใช้ความกล้าหาญในการเสียสละ เพื่อผลักดันให้เกิดความเมตตากรุณา เมิงจื๊อสอนให้ตายเพื่อความชอบธรรม”


 


ตอนที่อวิ๋นเยี่ยได้รับข่าวนี้ เขากำลังหยอกล้ออยู่กับลูกชายของเขา ได้ทราบถึงการกระทำของพวกหม่าโจวแทบจะพยุงตัวไม่อยู่ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันที่พวกลูกศิษย์ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีหลายสิบคนไปที่เมืองฉางอันนับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะไปยื่นคำร้อง


 


จากประสบการณ์ที่อวิ๋นเยี่ยเคยประท้วงตอนเป็นนักเรียน เขารู้ว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร ในบทความที่มีชื่อเสียงในช่วงราชวงศ์ซ่ง หัวหน้าผู้นำประท้วงของเหล่าลูกศิษย์อย่างเฉิงตงก็ไม่ได้รับผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกชาวบ้านที่อยู่ในยุคต่อมา


 


ผู้ปกครองจะไม่ยอมรับความคิดเห็นที่มาพร้อมกับความคับแค้นใจเช่นนี้ ตอนที่เขาเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองฉางอัน ก็มีข่าวร้ายเกิดขึ้นอีก พวกลูกศิษย์ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาของสำนักศึกษาเมื่อได้ยินข่าวนี้เข้าก็พากันไปรวมตัวกันที่ประตูจูเชวี่ย นั่งคุกเข่าด้วยกันอยู่ข้างใน นับจำนวนคนดูแล้วราวๆ สองร้อยคนได้


 


อวิ๋นเยี่ยควบม้าอย่างรีบเร่ง ต้องไปพาลูกศิษย์กลับมาก่อนที่หลี่ซื่อหมินจะมีคำสั่งลงโทษ มิเช่นนั้นจะเดือดร้อนกันไปทั้งสำนักศึกษา


 


ที่หน้าประตู สวี่จิ้งจงที่มีสภาพอนาถไม่ต่างกัน ไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยได้ถาม สวี่จิ้งจงก็พูดออกมาเสียงดังว่า “อาจารย์หลี่และคนอื่นๆ เข้าไปข้างในแล้ว”


 


ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็วางใจได้ครึ่งหนึ่ง ขอแค่หลี่กังมาทัน สถานการณ์ก็จะกลับมาสงบเช่นเดิม


 


แต่ใครจะไปรู้ว่าประโยคต่อไปของสวี่จิ้งจง เหมือนทำให้เขาตกลงไปในนรกชั้นที่สิบแปด “อาจารย์หลี่ อวี้ซัน หยวนจาง หลีสือ จ้าวเหยียนหลิง จินจู๋ และเหล่าอาจารย์ก็มาร่วมนั่งประท้วงด้วย”


 


อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเวียนหัวจะเป็นลม พวกอาจารย์พวกนี้ พวกเขาคิดว่าเมื่อมีเหตุผลจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเช่นนั้นหรือ


 


เหล่าจวงกระโดดลงจากม้า เข้าไปพยุงอวิ๋นเยี่ยที่พยุงตัวไม่อยู่ สวี่จิ้งจงก็รีบเข้ามาช่วย ทั้งสองคนพาอวิ๋นเยี่ยไปพักอยู่ที่เสาแล้วปฐมพยาบาลให้อวิ๋นเยี่ย


 


ผ่านไปสักครู่อวิ๋นเยี่ยก็อาการดีขึ้นแล้วกระโดดขึ้นม้า รีบควบม้าเข้าวังหลวง โดยไม่สนคำร้องด่าของผู้เฝ้าประตูเมืองเลยแม้แต่น้อย


 


ตอนนี้มีคนอยู่ในพระราชวังจำนวนมาก ฉางอันมักมีเรื่องครึกครื้นอยู่ตลอด ถนนมักติดขัดจนแทบเดินทางไม่ได้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหล่าลูกศิษย์ต้องการจะทำอะไร และไม่รู้ว่าเหล่าลูกศิษย์ทำเพื่อทวงผลประโยชน์และอำนาจให้แก่พวกเขา รู้แค่เพียงว่าอยากมาดูความครึกครื้น มีคนฉลาดเอาตะกร้าวางไว้บนหัวของตัวเองแล้วตะโกนขายผลไม้แห้ง จะดูความครึกครื้นก็ต้องมีกับแกล้ม


 


ความโศกเศร้าและความโกรธในใจได้ถึงขีดสูงสุดแล้วในตอนนี้ หม่าโจววางแผนนี้ไว้นานแล้ว เขาคาดการณ์ปฏิกิริยาของทุกฝ่ายไว้อย่างชัดเจน รวมไปถึงเหล่าอาจารย์ของเขาด้วย หากไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ อาจจะโดนเหล่าอาจารย์ตำหนิ หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เหล่าอาจารย์ก็จะช่วยออกหน้ารับแทนพวกเขา ช่วยให้พวกเขาผ่านสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปให้ได้


 


ความกลุ้มใจของคนเราได้เริ่มขึ้นเมื่อรู้หนังสือ คำกล่าวนี้เป็นจริงที่สุด ยิ่งมีความรู้มากก็ยิ่งขัดแย้ง ดูเหมือนจะมีเหตุผล พวกเขารู้ว่าควรวางแผนอย่างไรจากการเรียนรู้ในสำนักศึกษา รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างไร ยิ่งได้ผ่านการคัดกรองจากสมองอย่างรอบคอบ ในที่สุดก็เกิดสถานการณ์ที่ยากจะควบคุมอย่างเช่นตอนนี้ขึ้นมาได้


 


พวกเขาไม่มีความกลัวต่อความตายแม้แต่น้อย ขอแค่มีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ คมดาบไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากลัว


 


พวกเขามีความรู้ที่ชัดเจนต่อตัวเอง รู้ว่าราชสำนักปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเขา ดังนั้นจึงอยากจะทวงความอำนาจและความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง เพียงแต่พวกเขายังไม่เข้าใจว่าอำนาจทั้งหมดเป็นของฮ่องเต้ เขาจะได้รับแค่สิ่งที่ฮ่องเต้ให้ แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปขอมันมาจากฮ่องเต้


 


หลี่กังที่มีผมสีขาวนั่งอยู่ด้านหน้าสุด มือสองข้างวางไว้บนหัวเข่า สีหน้าเรียบเฉย อาจารย์ทั้งสองท่านก็นั่งอยู่ข้างๆ เขา ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร จ้าวเหยียนหลิงถึงขั้นหยิบกาน้ำชาที่ตัวเองรักออกมา ทำท่าทางฝึกรินน้ำชาเพื่อที่จะแสดงท่าทางที่สง่างามที่สุด


 


หลีสือกำลังวาดรูป จินจู๋กำลังเป่าขลุ่ย แม้แต่ซุนซือเหมี่ยวผู้ไม่สนโลกก็ยังหยิบพู่กันมาเขียนบนกระดาษไปเรื่อยเปื่อย เหล่ากงซูก้มหนาก้มตาสร้างแบบจำลองบ้านของตัวเอง สำหรับอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็หยิบหนังสือที่ตัวเองพกมาออกมาอ่าน ข้างในห้องยังมีลูกศิษย์เข้ามาเพิ่มอีกไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่มีฐานะ หรือลูกศิษย์ที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ต่างก็พากันหาที่นั่ง หันหน้ามองไปทางวังหลวง


 


สวี่จิ้งจงถอนหายใจยาวแล้วแยกตัวออกไปนั่งอีกมุมหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้ควบคุมไม่ได้แล้ว ตัวเองเป็นผู้ดูแลลูกศิษย์ในสำนักศึกษาจึงไม่สามารถหลบหนีได้ ทำได้เพียงเข้าร่วมด้วย จึงจะเป็นทางเลือกที่ฉลาด ใบหน้าของเขาดูจะมีความมุ่งมั่นที่ในยามปกติแล้หาดูได้ยาก


 


สองปีในสำนักศึกษาเป็นประสบการณ์ที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา ทุกอย่างที่ฝันไว้เป็นจริงแล้ว การได้รับความเคารพ การได้รับความรัก เงินทอง ตำแหน่ง เขามีครบทุกอย่าง ความเคารพจากลูกศิษย์ ความรักที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง เขาชอบเดินเอามือไขว้หลังไปทั่วเขตสำนักศึกษา ลูกศิษย์ทุกคนที่เจอเขาก็จะหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วทักทายเขาด้วยความเคารพ


 


บ้านของเขาอยู่ในสำนักศึกษา แต่เขากลับไม่เคยกินข้าวที่บ้านแล้วก็ไม่กินข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้อาจารย์ด้วย ไม่ใช่ว่าเสียดายเงิน ตั้งแต่นำเงินให้อวิ๋นเยี่ยจัดการ เงินที่หากลับมาได้ก็พอจะใช้ได้ทั้งชีวิต เขาชอบดูลูกศิษย์ต่อแถวซื้ออาหาร เพียงแค่ตัวเองเดินเข้ามา ลูกศิษย์ที่อยู่ที่อยู่แถวหน้าสุดก็จะหลีกทางให้เขา เขามักจะยิ้มแล้วปฏิเสธ แล้วเดินไปต่อแถวด้านหลัง


 


ถามความเห็นของลูกศิษย์เกี่ยวกับโรงอาหาร ตำหนิเรื่องความไม่สะอาดของเหล่าพ่อครัว ทุกครั้งจะได้รับเสียงไชโยจากลูกศิษย์ การเดินไปพร้อมกับเสียงไชโย ถือเป็นการเดินถือจานอาหารของตัวเองอย่างสง่างามเพื่อไปนั่งที่โต๊ะอาหารสำหรับอาจารย์


 


สำนักศึกษาเป็นเวทีของเขา หากเป็นไปได้เขาอยากจะทำการแสดงบนเวทีนี้ไปตลอดชีวิต


 


อวิ๋นเยี่ยรู้สึกสิ้นหวัง การเลือกของสวี่จิ้งจงนั้นมีเหตุผล ในตอนนี้อยากจะพาพวกลูกศิษย์กลับไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ในฐานะผู้นำของพวกเขา ทำได้เพียงรอหลี่ซื่อหมินเข้ามาตัดสิน ตอนนี้พวกเขานึกภาพออกแล้วว่าหลี่ซื่อหมินคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า


 


ไม่ว่าหลี่ซื่อหมินจะโมโหแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวเอง เรื่องนี้ยังสามารถรับประกันได้ หากการนั่งประท้วงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นก่อนจะทำศึกใหญ่ อวิ๋นเยี่ยก็จะไม่รู้สึกสิ้นหวังเช่นนี้ ก็แค่ผลักความรับผิดชอบไปให้ผู้ปกครองโรงเรียนอย่างหลี่ซื่อหมินก็พอแล้ว อาจจะโดนอัด แต่ว่าเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้แบบนั้นดีกว่าเป็นพันเท่า


 


อวิ๋นเยี่ยเดินผ่านผู้คนไปนั่งอยู่ด้านหน้าสุด อาจารย์หลี่กังอายุมากแล้ว เคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัว คุณสมบัติและประสบการณ์ของสวี่จิ้งจงยังไม่พอให้เขาเป็นแพะรับบาป หากเหล่าสวี่เข้าร่วมสำนักศึกษามานานแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็จะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะให้เขาเป็นแพะรับบาป ไม่ว่าเขาจะยอมหรือไม่ก็ตาม


 


อาจารย์หลี่กังมองอวิ๋นเยี่ยอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าต้องมาทุกข์ทรมานบุกน้ำลุยโคลนเช่นนี้ ก่อนที่ข้าจะมาข้าก็ไม่ได้บอกเจ้า เพราะไม่อยากให้เจ้าติดร่างแหไปด้วย ลูกศิษย์ทั้งหมดข้าเป็นคนสอน จะดีจะร้ายก็ให้ข้าเป็นคนรับผิดชอบเถิด”


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มด้วยใบหน้าโศกเศร้าแล้วพูดว่า “ลูกธนูอยู่บนคันธนูแล้วจะไม่ยิงออกไปได้อย่างไร คำพูดของลูกศิษย์ที่ว่า ‘หนูตกถังข้าวสาร’ ก็ไปกระตุกต่อมความโกรธของเหล่าขุนนางเข้าแล้ว ความผิดครั้งนี้พวกเขายังรับผิดชอบเองไม่ไหว สวี่จิ้งจงก็ยังมีคุณสมบัติไม่พอ ท่านก็อายุมากกว่าเจ็ดสิบปีแล้วควรจะพักผ่อนเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านได้แล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับครอบครัว เป็นเพราะข้าที่ยื้อท่านไว้ให้อยู่ในสำนักศึกษา เรื่องพวกนี้ให้ข้าเป็นคนแบกรับเอาไว้เถิด ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าสำนักศึกษามีความสำคัญกับราชสำนักมากแค่ไหน”


 


หลีสือเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าจงจำไว้ หากแบกรับไว้ไม่ไหวก็ให้โยนความผิดมาที่พวกเรา เจ้าไม่เป็นไร สำนักศึกษาก็จะไม่เป็นไร จำไว้ให้ดี ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าฉายเดี่ยว”


 


อวี้ซันและหยวนจางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วพูดว่า “พวกลูกศิษย์ไม่ได้พูดผิดอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำผิดอะไรด้วย ต้าถังเป็นของตระกูลหลี่ แต่ก็เป็นของราษฎรด้วยเช่นกัน พวกเขาควรสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ข้าชื่นชมที่เหล่าลูกศิษย์ทำเช่นนี้ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องที่จะตามมา”


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งได้ไม่นาน หลี่ไท่ หลี่เค่อก็ออกมาจากวังหลวง แล้วมานั่งอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย


 


“หัวพวกเจ้าสองคนถูกลาเตะมาหรือ ตอนนี้สำนักศึกษากำลังกดดันฝ่าบาท พวกเจ้าไม่ไปช่วยพ่อของตัวเอง มานั่งหาเรื่องกันอยู่ได้ หรือเห็นว่าเรื่องมันยังใหญ่ไม่พอ”


 


“สมองของเจ้าสิถูกลาเตะมา ข้าดูฎีกาแล้ว ตามที่ฎีกาเขียนไว้ไม่มีผิด สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก หากตระกูลข้าแบ่งพื้นที่ให้ญาติไปจนหมด พวกราษฎรก็จะต้องอดตาย ยิ่งกว่านั้น นี่ไม่ใช่การกบฏ เหล่าอาจารย์ของข้าและเพื่อนร่วมชั้นก็อยู่ที่นี่กันหมด หากข้าไม่มาจะถือว่าเป็นคนสำนักศึกษาได้อย่างไร ข้ารู้ว่าข้าเป็นลูกกษัตริย์ ไม่ใช่กษัตริย์ แต่ข้าก็มีความกล้ามากพอ”


 


หลี่ไท่พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความโอหัง


 


อวิ๋นเยี่ยค้นพบว่านี่คือโล่สองอันที่ตกลงมาจากฟ้า หากไม่ใช้ประโยชน์ก็คงรู้สึกผิดต่อการกระทำหยิ่งยโสของหลี่ไท่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)