เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 52-54

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 52 รับมือไม่ทัน

 

 


การบริหารครอบครัวกับบริหารประเทศแตกต่างกันมากเพียงใด คำกล่าวที่ว่าการบริหารประเทศก็เหมือนกับการปรุงอาหาร เพราะว่ามันไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป แนวคิดมหภาคอาจจะไม่เหมาะกับสังคมขนาดเล็ก ทุกคนมีความเห็นต่างกัน ดังนั้นการปรับแก้สำนวนคำกล่าวที่เราสร้างขึ้นมาจึงถือเป็นการยาก


 


ในประวัติศาสตร์จีนมีแนวคิดที่ขัดแย้งกันหลายแนวคิด เราหยิบยกแนวคิดที่มีชื่อเสียงออกมาแนวคิดหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือการโค่นล้มเขา บางคนบอกว่านี่คือการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า แต่เราได้นำไปปฏิบัติจริงๆ แล้วหรือ


 


นิทานชายชราขายน้ำมันสอนให้เรารู้ว่า ชำนาญการแล้วถึงจะทำเรื่องมหัศจรรย์ได้ จากแนวคิดของคนรุ่นหลังที่ไม่ได้รับการยอมรับ ถูกปฏิเสธ อวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของประชาชนในต้าถัง แต่ที่แท้เป็นความผิดของเขาเอง


 


เราทุกคนต่างก็แสวงหาความรู้สึกของการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาตั้งแต่เกิด อยากจะแสวงหาจุดยืนที่เหมาะสมของตัวเองในกลุ่มผู้คน จุดยืนนี้เป็นแค่ตัวแทนที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด จิตใจที่มีความสุขคือสิ่งสำคัญที่สุด นี่ก็คือสาเหตุที่คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นตีให้ตายก็ไม่ยอมถูกปลดจากการเป็นทาส


 


ในความคิดของพวกเขา คนข้างนอกที่เป็นอิสระ แม้แต่กินข้าวยังไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวเองกินข้าวสามมื้อต่อวัน แถมยังมีเนื้ออีกต่างหาก เจ้านายก็ไม่ได้ขืนใจภรรยาและลูกสาว ไม่ได้เอาเงินค่าจ้างของตัวเองไปสํามะเลเทเมา ไม่ได้ให้ทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง ถึงแม้ว่าท่านโหวจะนิสัยไม่ดี เป็นจอมล้างผลาญ แต่ตอนที่ท่านโหวโมโหมากที่สุด เขาก็แค่ลุกขึ้นมาเตะสองสามที ใช่ว่าไม่เคยถูกเตะ


 


อวิ๋นซือปาหน้าโง่กวาดพื้นในห้องพระตอนที่ท่านย่ากำลังบูชาบรรพบุรุษ เขาก็กวาดพื้นไปตามลม ทำให้ฝุ่นกระจัดกระจายไปทั่ว ป้ายชื่อของบรรพบุรุษถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นที่หนาแน่น


 


ถ้าเป็นคนอื่นคงจะถูกเฆี่ยนตายไปแล้ว ท่านย่าสวดมนต์สองสามคำ ให้สาวใช้ที่บ้านสอนอวิ๋นซือปากวาดพื้น แล้วยังห่อเครื่องเซ่นและของว่างให้เขา


 


คนที่มีความสามารถต่างพากันวิ่งออกไปข้างนอกกับผู้ดูแล ออกไปหาเงินให้ที่บ้าน เหลือพวกซื่อบื้อทำงานบ้านอยู่ที่บ้าน ถ้ามีคนที่ฉลาดเป็นพิเศษ ก็จะถูกท่านโหวส่งไปรับใช้ที่สำนักศึกษา นอกจากต้องทำงานนิดหน่อย ก็ไม่ต่างอะไรจากบรรดาศิษย์ชนชั้นสูงพวกนั้น ถูกสอนมาเหมือนกัน อวิ๋นจิ่วก็มีชื่อเสียงในสำนักศึกษา แม้แต่ปรมาจารย์เก่าแก่ของสำนักศึกษายังชมเขาไม่หยุด


 


ชายหนุ่มรูปงามที่มีอนาคตสดใสเช่นนี้ ท่านโหวต้องการให้เขาปลดออกจากการเป็นทาส เขาจะได้ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ นี่คือบุญคุณ บุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่รุ่นลูกรุ่นหลานก็ยังตอบแทนไม่หมด แต่เขากลับไม่ทำ คุกเข่าอยู่หน้าห้องของท่านย่า ไม่ยอมปลดออกจากการเป็นทาส ทำเอาท่านโหวโมโหเตะที่หลังเขาตั้งหลายที บอกว่าเขามันไม่เอาไหน ชี้หน้าเขาแล้วบอกว่าถ้าชอบเป็นคนใช้นักก็ไปเลี้ยงหมู ถ้าเลี้ยงหมูได้ไม่อ้วนพอจนก้นมีน้ำมันไหลออกมาก็ไม่ต้องคิดที่จะไปทำอย่างอื่น


 


คนฉลาดก็คือคนฉลาด ไม่ถึงสองวันอวิ๋นจิ่วก็ลากหมูของเสี่ยวยาไปให้ท่านโหวดู ชี้ไปที่น้ำมันที่ไหลอยู่ตรงก้นหมู บอกว่าเขาทำได้แล้ว อยากให้ท่านโหวมอบหมายงานอื่นให้เขา เช่นเดินทางไปฉ่าวหยวนกับฮูหยินที่สองก็เป็นงานที่เหมาะสม


 


ถ้วยน้ำชาในมือของท่านโหวเกือบจะตกลงพื้น ก้นของหมูก็มีน้ำไหลออกมาจริงๆ เขาเลี้ยงหมูได้ถึงขั้นนี้จริงๆ งั้นเหรอ


 


ไม่มีทางเลือก ตระกูลอวิ๋นให้ความสำคัญเรื่องการรักษาคำพูด ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีไหน แต่นี่คือเรื่องจริง ท่านโหวไม่คิดที่จะส่งอวิ๋นจิ่วไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาอีกต่อไป ทำเช่นไรถึงจะเลวร้ายมากขึ้น นี่คือบทลงโทษที่ท่านโหวให้กับอวิ๋นจิ่ว


 


“ท่านพี่ อวิ๋นจิ่วเลี้ยงหมูจนมีน้ำมันไหลออกมาจริงๆ เหรอ”


 


ซินเย่วสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก หมูของเสี่ยวยาที่เลี้ยงมาตั้งสามปี ดูแล้วก็น่าจะหนักห้าหกร้อยจิน แต่ถึงจะหนักแค่ไหน ก็คงไม่หนักจนมีน้ำมันไหลออกมาหรือเปล่า


 


น่ารื่อมู่ก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ นางเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงแกะ รู้ว่านี่เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล นางประคองซินเย่วที่ลุกยืนลำบากขึ้นมา คิดว่าสามีของตัวเองถูกหลอกเข้าแล้ว


 


“เป็นผู้หญิงเอาแต่พูดเรื่องก้นๆ ตูดๆ ทั้งวันไม่รู้สึกอับอายเลยหรือ อวิ๋นจิ่วก็แค่ฉลาดแกมโกง ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกวิธี แต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล ทำเรื่องไม่ดี ให้เขาได้เรียนรู้เรื่องไม่ดีมาจากสวี่จิ้งจงบ้าง ไม่ได้เลวร้ายอะไรต่อตระกูลเรา ในบ้านต้องมีคนดีแล้วก็ต้องมีคนเลว เมื่อก่อนที่บ้านของเราเสียเปรียบก็เพราะว่าล้วนแต่เป็นคนดี ให้เขาได้ช่วยงานที่ฉ่าวหยวนสักสองสามปีแล้วค่อยกลับมาฉางอัน ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้เจ้านี่จะกลายเป็นคนเช่นไร”


 


ซินเย่วหยิบผ้าเช็ดหน้าสะบัดใส่หน้าอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโหแล้วพูดว่า “ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าเขาทำเช่นไร เหตุใดถึงมีน้ำมันไหลออกมา”


 


“ไอ้เจ้านี้สาดน้ำมันใส่ก้นของฮันฮัน คิดว่าข้าดูไม่ออกเหรอ วิธีไร้คุณธรรมเช่นนี้ก็คิดออกมาได้ ถ่ายทอดมาจากสวี่จิ้งจงแท้ๆ ไม่ตั้งใจสั่งสอนคงจะน่าเสียดาย”


 


พูดเสร็จ ซินเย่วก็ไม่ไหวแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียก น่ารื่อมู่ประคองนางไม่ไหว อวิ๋นเยี่ยรีบมาอุ้มนางเอาไว้ ยังไม่เคยเห็นใครหัวเราะจนเป็นขนาดนี้


 


จับที่ขาของซินเย่ว กำลังจะอุ้มผู้หญิงที่หัวเราะจนเป็นอัมพาตคนนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นมือของเขาก็รู้สึกเปียก อวิ๋นเยี่ยตกใจ ถุงน้ำคร่ำแตก


 


“ไปไหนกันหมด ฮูหยินจะคลอดแล้ว รีบไปตามหมอตำแยมา เร็วเข้า!” อวิ๋นเยี่ยพาซิวเย่วนอนบนเตียงที่เตรียมไว้ในห้องอย่างเบามือ น่ารื่อมู่เงยหน้าขึ้น เขาก็เงยหน้าขึ้น จะพาซินเย่วไปที่ห้องคลอดเดี๋ยวนี้แหละ


 


ห้องคลอดอยู่ทางทิศเหนือ เป็นห้องที่ดูดซับพลังงานของแสงอาทิตย์ได้มากที่สุด ทั้งห้องถูกเช็ดทำความสะอาดเป็นอย่างดีกว่าสี่ห้าครั้ง ผ้าปูที่นอนทำจากผ้าลินินผืนใหม่ ต้มในน้ำเดือดมาแล้ว ตากแห้งภายใต้แสงอาทิตย์ เชิญหมอตำแยที่ดีที่สุดภายในระยะร้อยลี้นี้มาทำคลอด ไม่เชิญคนที่โชคดี แต่เชิญคนที่มีฝีมือ ผู้ดูแลมีรายชื่ออยู่แล้ว อวิ๋นเยี่ยกับซินเย่วพลิกหารายชื่อจนจะเละ พึ่งหาได้สามคน ทำคลอดให้ตระกูลเศรษฐีโดยเฉพาะ บางครั้งก็ไปช่วยทำคลอดในพระราชวัง


 


ตอนแรกนางไม่ยอมมา ดูถูกว่าตระกูลอวิ๋นไม่ใหญ่ไม่โต รู้สึกด้อยราคา ฉายาอวิ๋นเยี่ยสามอันตรายในฉางอันมีเอาไว้เรียกเฉยๆ หรอกหรือ


 


องครักษ์สองสามคนไปจับตัวหมอทำคลอดมา ส่วนที่เหลือก็เก็บเครื่องมือของนางมาด้วย ยัดเข้าไปในรถม้าแล้วเดินทางกลับบ้านของตระกูลอวิ๋น ลูกชายคนโตที่ทำงานอยู่กรมอาญาของนางกำลังจะเข้ามาขวาง ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยฟาดแส้เข้าไปที่หัวแล้วบอกว่า “หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ค่าตอบแทนให้ตามที่เจ้าพอใจ หากเกิดอะไรขึ้นมา เจ้าก็เตรียมเก็บศพได้เลย”


 


ซินเย่วเข้ามาที่ห้องคลอด ผ่านไปตั้งนานแล้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร อวิ๋นเยี่ยกังวลเดินไปเดินมา ท่านย่าก็นั่งไม่ติด เดินสวนกันไปมากับอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวล คนทั้งบ้านพากันมาอยู่ตรงลาน ยืดคอมองเข้าไปข้างในห้อง มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หน้าต่างถูกม่านปิดอย่างแน่นหนา กระวนกระวายไปหมด


 


ให้ม้าเร็วไปรายงานท่านอาจารย์อวี้ซัน ตระกูลเฉิงและตระกูลหนิวเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นเยี่ยออกไปไหนไม่ได้ เฉียนทงรีบขี่ม้าไปหาซุนซือเหมี่ยว ไม่มีเขามาคุมงาน ไม่มีความมั่นใจจริงๆ


 


เสี่ยวชิวเปิดม่านออกมา นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของซินเย่ว ถึงแม้ว่าจะแต่งงานไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ขาดนางไปไม่ได้ นางรู้จักนิสัยของซินเย่วเป็นอย่างดี


 


ทั้งบ้านมาล้อมถามนาง ดูเหมือนว่าเสี่ยวชิวจะค่อนข้างเขินอาย บอกกับท่านย่าว่า “ตอนนี้ฮูหยินยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเพคะ หมอตำแยบอกว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย ฮูหยินบอกว่านางอยากทานอ้อยหวานๆ”


 


“ไม่ตั้งใจคลอดลูก จะมาอยากทานอะไรอ้อยหวานๆ คลอดเสร็จ ย่าจะซื้ออ้อยทั้งฉางอันมาให้ทานอย่างสมใจ”


 


พูดออกไปเช่นนั้น แต่ทันใดนั้นก็บอกคนรับใช้ให้รีบออกไปซื้ออ้อยมาให้ซินเย่ว กลัวว่าพวกเด็กจะทานจนฟันพุ ที่บ้านเลยไม่เคยเตรียมไว้


 


อาจารย์อวี้ซันมาถึงอย่างรวดเร็ว เข้าประตูมาก็ถามว่าคลอดแล้วหรือยัง


 


“อาจารย์ซุนบอกว่าอีกยี่สิบวันถึงจะคลอดมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้คลอดเร็วเช่นนี้”


 


อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้า บอกเขาว่าวันนี้ซินเย่วหัวเราะแรงเกินไป ไม่รู้ว่าทำไมถุงน้ำคร่ำถึงแตก ตอนนี้ก็จะคลอดแล้ว


 


เขานั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง ผู้หญิงที่จะคลอดลูกมักจะต้องเจอกับเรื่องอันตราย หมอตำแยอวยตัวเอง บอกว่าตัวเองทำคลอดมาแล้วเป็นร้อย ไม่สำเร็จมีแค่ห้าหกคน ฝีมือช่างยอดเยี่ยม


 


ได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะเอามีดฟันหมอตำแยให้ตาย ถ้าเป็นในยุคหลัง ทำคลอดเป็นร้อย ไม่สำเร็จห้าหกคน คงถูกโรงพยาบาลทำคลอดหั่นเนื้อเป็นชิ้นไปแล้ว ยังจะมีหน้ามาอวยตัวเอง


 


แต่นี่คือความจริง ฝีมือของนางไม่ธรรมดา มีประวัติไว้หมดแล้ว สองสามปีมานี้เรื่องของการคลอดลูกเป็นเรื่องใหญ่ คนมีเงินก็หาหมอตำแยที่ฝีมือดี คนไม่มีเงินก็ให้ผู้ดูแลไปหาหมอตำแยมาเอง หมอตำแยจะปฏิเสธไม่ได้ เด็กที่เกิดมาทุกคนจะถูกบันทึกไว้อย่างเคร่งครัด หากเกิดการแท้ง ก็จะต้องบันทึกไว้ด้วย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแอบอ้าง เพราะการเพิ่มขึ้นของประชากรเป็นตัวบ่งชี้การเลื่อนตำแหน่งของขุนนาง


 


ถ้ามีการทำแท้งเด็กตามความอำเภอใจเหมือนยุคหลัง จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเหมือนโทษของการฆาตกรรม โดยเฉพาะในช่วงแรกของต้าถัง ประชากรมีจำนวนน้อย หลี่ซื่อหมินเกลียดชังเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้จะบอกว่าคลอดเด็กไม่สำเร็จ ไม่ถือว่าเป็นชีวิตของคนๆ หนึ่ง แต่หลี่ซื่อหมินก็เข้มงวดและไม่ยอมผ่อนปรน


 


ตัดอ้อยแล้วส่งเข้าไปข้างใน แม้จะยืนอยู่ที่ลานก็ยังได้ยินเสียงเคี้ยวอ้อยของนาง ช่างมีพลัง มันทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจมากขึ้น ตั้งแต่ซินเย่วตั้งครรภ์ นางก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก หลังจากท้องป่องนางก็ไม่ค่อยจะขยับตัวไปไหน การทานอาหารเสริมมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสำหรับซินเย่ว ความสมดุลของอาหารเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่ก็กลัวว่าจะมีโภชนาการมากเกินไป ทำให้ทารกเจริญเติบโตมากเกินไป มันจะเป็นอันตรายต่อแม่และลูก


 


เหล่าซุนอยู่ไม่ไกล เขามาถึงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถขัดขวางอะไรเขาได้ เขาเดินเข้าไปในห้องคลอดแล้วก็เดินออกมาในไม่ช้า


 


พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ซินเย่วสุขภาพร่างกายแข็งแรง ถึงแม้ว่าจะคลอดเร็วไปหน่อย แต่ไม่ต้องกังวล ชีพจรยังแข็งแรง เดี๋ยวก็คลอด จะรีบร้อนทำไม”


 


การรอคอยเป็นเรื่องที่ทรมานที่สุดในโลก ลานกว้างที่เงียบสงบ เสี่ยวยาที่ซุกซนนอนอยู่ในอ้อมแขนของท่านป้าอย่างรู้ความ รอคนรุ่นหลังคนแรกของตัวเองคลอดออกมา


 


อวิ๋นเยี่ยที่เคยภูมิใจในความอดทนของตัวเอง แต่ตอนนี้ความอดทนของเขากลับหายไปหมดแล้ว นั่งไม่ติดกระสับกระส่าย เขาอยากได้บุหรี่สักมวนมาบรรเทาอาการประสาทของเขา กัดฟางที่แห้งเ**่ยวอยู่ในปาก มันทำให้เขาสงบสติอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป


 


เสียงครวญครางของซินเย่วดังออกมาจากห้องคลอด มันช่างบีบหัวใจของอวิ๋นเยี่ย ท่านย่าบอกว่า “รุ่นเหนียง พาพวกเด็กๆ กลับเข้าไปในบ้านก่อน เสี่ยวอู่กับซือซือก็กลับเข้าไปด้วย เด็กยังไม่คลอดไม่อนุญาตให้มาที่นี่”

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 53 ลูกชายคนโต

 

หลังจากไล่ผู้หญิงทุกคนออกไปเพื่อไม่ให้พวกนางมีความทรงจำที่ไม่ดี อวิ๋นเยี่ยคิดว่าการทำเช่นนี้ค่อนข้างเหมาะสม เพื่อไม่ให้พวกนางกลัวการคลอดลูกในอนาคต


 


 


เสียงร้องของซินเย่วดังลั่น ทุกครั้งที่ร้อง เสียงร้องของนางค่อยๆ บีบรัดหัวใจของอวิ๋นเยี่ย ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว นางยังคงร้องอยู่ เห็นได้ชัดว่านางเริ่มหมดแรงแล้ว การที่เป็นสามีภรรยากันมานาน เขาดูออกว่าซินเย่วเหนื่อยมากแล้ว สามชั่วโมงมาแล้วดูเหมือนนางจะสูญเสียพลังงานอย่างมาก ใครๆ ก็บอกว่าท้องแรกคลอดยาก แต่ก็ไม่น่าจะยากถึงเพียงนี้


 


 


หมอตำแยเดินออกมา ตาอวิ๋นเยี่ยแดงไปหมด หากหมอตำแยกล้าถามเขาว่าจะเอาแม่ไว้หรือจะเอาลูกไว้ อวิ๋นเยี่ยคงจะฉีกหมอตำแยออกเป็นชิ้นๆ


 


 


“ท่านโหว ฮูหยินอยากพบท่าน” หมอตำแยบอกอวิ๋นเยี่ย แต่ไม่กล้ามองหน้าเขา


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องคลอด เห็นเพียงซินเย่วนอนชันขา ร้องครวญครางอย่างอิดโรย เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา พยายามอ้าปากพูดออกมาอย่างอ่อนแรง ไม่ต้องได้ยินเสียงอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่านางพูดออกมาสามคำว่า ‘ช่วยข้าด้วย’


 


 


ดั่งมีดกรีดแทงหัวใจ อวิ๋นเยี่ยบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง หยิบขวดลายครามใบเล็กออกมาจากเสื้อ ข้างในมีผงโสม นี่คือสารสกัดจากส่วนสำคัญของโสมที่ซุนซือเหมี่ยวสกัดออกมาจากโสมจำนวนมาก โสมไม่ได้เป็นที่ยอมรับในต้าถัง ตอนนี้ทำได้เพียงปลูกไว้ที่เขตเหลียวตง เมื่อได้โสมมา หลังจากตรวจสอบประสิทธิภาพของยาแล้ว ซุนซือเหมี่ยวก็ดีใจมาก นี่เป็นยาบำรุงชั้นดีที่ไม่มีพิษแฝงอยู่ เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรอันล้ำค่า


 


 


ใบหน้าพยายามฝืนยิ้ม ละลายผงโสมในถ้วยใบเล็กแล้วพูดกับซินเย่วว่า “แม่คนเขาเป็นกันง่ายๆ เสียที่ไหน การรับความทรมานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่ากังวลไปเลย มีข้ากับหมอเทวะซุนอยู่ เจ้าจะไม่มีอันตรายใดๆ ดูสิ นี่คือยาดีที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้ามาก่อนแล้ว ดื่มสิ เจ้าจะมีแรงขึ้นมา แม้แต่เสือเจ้าก็ฆ่าตายได้”


 


 


ซินเย่วอยากจะหัวเราะ แต่ว่าอาการปวดที่รุนแรงทำให้นางนิ่วหน้า พยายามจะอ้าปาก ให้สามีรีบป้อนยาให้นาง


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา บางทีอาจเป็นเพราะกำลังใจ เสียงของซินเย่วกลับมามีแรงอีกครั้ง


 


 


“ฮูหยิน ออกแรงอีก เห็นหัวเด็กแล้ว ผมบนหัวดกดำ ต้องเป็นเด็กผู้ชายแน่ๆ ท่านช่วยออกแรงอีก”


 


 


หมอตำแยเห็นซินเย่วมีแรง ก็รีบช่วยเชียร์นางทันที ซินเย่วบีบมืออวิ๋นเยี่ยแน่น เล็บจิกลงไปที่หลังมือของเขา แต่อวิ๋นเยี่ยยังคงยิ้มให้กำลังใจซินเย่ว ราวกับว่ามือนั้นไม่ใช่ของตัวเอง


 


 


“หัวออกมาแล้ว ซินเย่ว เจ้าทำได้ดีมาก อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวลูกของเราก็จะออกมาแล้ว”


 


 


แม้ในตอนอลหม่าน ซินเย่วก็ไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยแปดเปื้อนความโชคร้าย นางเคยได้ยินว่า คนคลอดลูกไม่สะอาด จะนำความโชคร้ายมาให้ผู้ชาย ดังนั้นจึงบีบมืออวิ๋นเยี่ยไว้แน่นไม่ให้ไปดูคราบเลือด


 


 


อวิ๋นเยี่ยใช้มือเดียวป้อนโสมให้ซินเย่ว เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นาง เขาไม่มีความคิดเรื่องกลัวแปดเปื้อนความโชคร้ายอะไร ผู้ชายยุคหลังดูภรรยาตัวเองคลอดลูกถือเป็นความทันสมัยอย่างหนึ่ง พอมาราชวงค์ถังก็เปลี่ยนเรื่องน่ายินดีให้กลายเป็นความโชคร้ายไปเสียแล้ว?


 


 


หมอตำแยสามคนกำลังวุ่นวายบริเวณช่องคลอดของซินเย่ว อวิ๋นเยี่ยเห็นผ้าที่เปื้อนเลือดเยอะมากมาย หัวใจเริ่มเต้นเร็ว กำลังจะถาม ก็ได้ยินหมอตำแยสามคนตะโกนด้วยความดีใจว่า “คลอดแล้ว!”


 


 


เห็นเพียงหมอตำแยอุ้มเนื้อนุ่มอ่อนสีแดง อีกคนเอากรรไกรที่ต้มฆ่าเชื้อด้วยเหล้าตัดสายสะดือ หมอตำแยอีกคนผูกสายสะดือที่เชื่อมต่อกับเด็กด้วยเชือกป่านชั้นดีอย่างแน่นหนา หมอที่อุ้มลูกของอวิ๋นเยี่ยคว่ำเด็กน้อยลง แล้วตบลงไปที่ตูดเด็กหนึ่งที


 


 


เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมาก็รู้สึกใจชื้น ในปากของเด็กยังมีน้ำคร่ำไหลออกมาไม่หยุด ที่แท้วิธีอุ้มเด็กคว่ำลงแล้วตบตูดใช้ได้ผล ความไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นมาเมื่อกี้ได้หายไปในทันที


 


 


อย่าเพิ่งสนใจความดีใจของคนในบ้าน ซินเย่วยกหัวขึ้นถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความอยากรู้ว่า “เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”


 


 


หมอตำแยตอบด้วยใบหนายิ้มแย้มว่า “ยินดีด้วยฮูหยิน ท่านให้กำเนิดลูกชายผู้ยิ่งใหญ่ ท่านดูเจ้านกเขาน้อยสิ แข็งแรงมากแค่ไหน”


 


 


ซินเย่วถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก มองดูก้อนเนื้อสีแดงๆ เบะปากแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขี้เหร่มาก”


 


 


“ฮูหยินไม่รู้อะไรเสียแล้ว เด็กคลอดใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ผ่านไปไม่กี่วันก็ดีขึ้น”


 


 


ซินเย่วปากบอกว่าขี้เหร่ แต่กลับอ้าแขนอุ้มลูกตัวเอง ไม่สนใจช่วงล่างที่ยังเจ็บอยู่


 


 


“ท่านโหว พวกข้าจะทำความสะอาดให้ฮูหยิน ท่านออกไปก่อนเถิด เด็กคลอดออกมาอย่างราบรื่น พวกข้าก็มีความมั่นใจขึ้นมามากแล้ว”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ ลูบหน้าซินเย่วเบาๆ แล้วผลักประตูออกไป


 


 


ในบ้านรื่นเริงครึกครื้น ท่านย่านั่งพิงกรอบประตูอยู่รอไม่ไหวที่จะเห็นหลานชายตัวน้อยของนาง เมื่อเสี่ยวชิวได้ยินเสียงร้องครั้งแรกของเด็กน้อย ก็รีบกระจายข่าวว่าบ้านอวิ๋นเยี่ยมีนายน้อยกำเนิดขึ้นแล้ว


 


 


อาจารย์อวี้ซันยอมรับการแสดงความยินดีของเหล่าหนิวและเหล่าเฉิงด้วยความภาคภูมิใจ เฉิงฉู่มั่วถือของขวัญชิ้นใหญ่ ยิ้มแสดงความยินดีให้กับอวิ๋นเยี่ย ด้านหลังหนิวเจี้ยนหู่ยังมีของขวัญกองกันเป็นภูเขาเล็กๆเหมือนกัน


 


 


เฉิงฉู่มั่วทิ้งของขวัญในมือแล้ววิ่งเข้าไปกอดอวิ๋นเยี่ย พูดเสียงดังว่า “อวิ๋นเยี่ย เจ้าทำได้ดีมาก ในฐานะพี่ชาย ข้ายินด้วยที่ตระกูลอวิ๋นมีลูกหลานสืบสกุลแล้ว ขอให้ตระกูลเจ้าเจริญรุ่งเรือง”


 


 


พูดจบก็หันไปพูดกับหนิวเจี้ยนหู่ว่า “เจี้ยนหู่ ภรรยาของพวกเจ้าตั้งท้องในช่วงเวลาเดียวกัน อวิ๋นเยี่ยถือธงเข้าเส้นชัยได้ลูกชายไปก่อน ที่เหลือก็รอดูเจ้าแล้ว”


 


 


เมื่อหนิวเจี้ยนหู่ยินดีกับอวิ๋นเยี่ยแล้วก็หันกลับมาพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “แน่นอนว่าข้าต้องได้ลูกชาย แต่หากเป็นลูกสาว เช่นนั้นก็ถือว่าเสมอกันกับเจ้า แล้วอีกอย่าง ภรรยาเจ้าปีนี้อายุสิบสี่ปี อวิ๋นเยี่ยบอกว่าอายุเท่านี้คลอดลูก ไม่ใช่แค่การคลอดลูก แต่อาจถึงชีวิตได้ ในบรรดาพวกเราสามพี่น้อง ลูกชายของเจ้าเกิดคนสุดท้าย”


 


 


ประโยคนี้ทำเอาเฉิงฉู่มั่วพูดไม่ออก เพราะเป็นอย่างว่าจริงๆ


 


 


อาจารย์จากสำนักศึกษาค่อยๆ ทยอยกันมา กงซูมู่ทำรถเด็กทารกด้วยมือของเขาเองเพื่อให้เป็นของขวัญ สวยงามเป็นที่สุด ดูมีหน้ามีตา


 


 


หม่าหลีสือพาท่านอาที่ท้องใหญ่มาร่วมยินดีด้วย ท่านอาดูอวบอั๋นขึ้น พอถึงบ้านก็รีบเข้าไปดูหลานตัวเองที่ห้องคลอด หลายวันมานี้ หากที่บ้านไม่ได้มีเรื่องอะไร นางก็จะไม่ออกจากบ้าน


 


 


อี้เหนียงและสามีไม่ชอบอาศัยอยู่ที่ฉางอัน นางเป็นคนเงียบๆ จึงรับสภาพแวดล้อมที่อึกทึกครึกโครมไม่ได้เป็นที่สุด แล้วไม่กี่ปีนี้ใต้เท้าตระกูลเผยเลื่อนตำแหน่งแต่งภรรยาเข้ามาอีก ตอนนี้จำนวนคนในบ้านมีแนวโน้มว่าจะเต็มแล้ว


 


 


ผู้หญิงพวกนั้นอยู่ด้วยกันยิ่งทำให้คนปวดหัว สถานะของอี้เหนียงค่อนข้างสูง พวกเหล่าภรรยาจึงไม่กล้าหาเรื่อง แต่เมื่อเห็นว่าเห็นอี้เหนียงมีสินสอดที่กองเท่าภูเขา ก็ไปร้องห่มร้องไห้ว่าตัวเองยากจน ร้องขอเครื่องประดับ อยากจะเอาเปรียบอี้เหนียงบ้าง แน่นอนว่าอี้เหนียงไม่ปฏิเสธ มองดูเครื่องประดับของตัวเอง ก็รีบถอดออกมาให้ผู้อื่น อย่างไรชุดเครื่องประดับที่ชอบมากที่สุดก็เป็นชุดที่พี่ชายซื้อให้ เก็บไว้ใน**บ ไม่ให้ใครเห็น ส่วนที่มอบให้แก่ผู้อื่น ความจริงก็เตรียมไว้ให้พวกนางอยู่แล้ว


 


 


ใต้เท้าเผยเห็นว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ใช่ทางที่ดี ขายหน้าให้คนในบ้านยังพอทน แต่หากเล็ดลอดออกไปสู่หูตระกูลอื่นเข้า ตัวเองจะกล้าไปราชสำนักได้เช่นไร ดังนั้นจึงกัดฟันหาที่อยู่ให้สองสามีภรรยาที่ภูเขาอวี้ซัน ออกคำสั่งห้ามภรรยารองทั้งหลายเข้าไป มีเพียงแม่ของเผยอวี้ที่เข้าไปพักบ่อยๆ ทั้งสองใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสงบสุข


 


 


ตอนนี้หลานตัวน้อยได้คลอดออกมาแล้ว ย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา เมื่อได้ยินข่าวก็เฝ้าอยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้สมาชิกผู้หญิงคนอื่นๆ ในครอบครัวออกไปรับแขกแทนน่ารื่อมู่ งานใหญ่ขนาดนี้ น่ารื่อมู่ยังไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่นัก


 


 


วันนี้อาจเป็นวันที่เหล่าเฉียนมีหน้ามีตาที่สุด กั๋วกงตระกูลนั้นมา กั๋วกงตระกูลนี้มา ยุ่งตัวเป็นเกลียว ต้องเข้าไปทักทายทุกคน มิเช่นนั้นจะเป็นการเสียมารยาท


 


 


ภรรยาหลวงตระกูลอวิ๋นให้กำเนิดลูกชาย แน่นอนว่าทำให้ตระกูลอวิ๋นมีหน้ามีตาสูงสุด ไม่ว่าปกติจะทำเรื่องสกปรกอะไรไว้ ในตอนนี้มีแต่เสียงแสดงความยินดี หากพูดจาว่าร้ายในตอนนี้ จะทำให้เกิดความคับแค้นต่อกันเสียเปล่า ไม่มีใครอยากมีความแค้นกับตระกูลอวิ๋นที่หาแต่ผลประโยชน์ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องความเห็นต่างทางการเมือง การมาแสดงความยินดีไม่ได้เสียหายอะไร เหตุใดจะทำไม่ได้


 


 


เหอเซ่าที่อยู่ชุมชนเดียวกันกับตระกูลอวิ๋นได้รับข่าวก็ดีใจจนน้ำตาไหล ดีใจยิ่งกว่าลูกตัวเองคลอดเสียอีก เมื่อไม่กี่วันก่อนภรรยารองของเขาได้คลอดลูกชาย ตอนนี้เขามีลูกชายเจ็ดคน ลูกสาวสามคน ลูกสาวที่คลอดจากภรรยาหลวงเพิ่งได้หนึ่งขวบ จะให้ลูกสาวคนโตจากภรรยาหลวงแต่งเป็นภรรยาหลวงของอวิ๋นเยี่ยก็คุณสมบัติยังไม่พร้อม หากให้เป็นภรรยารองนางก็ไม่ยอม ในใจสับสนไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่ว่าเช่นไร ตระกูลอวิ๋นมีผู้สืบทอด ก็แสดงว่าตระกูลเหอยังมีหวังให้ตระกูลอวิ๋นช่วยคุ้มกันไปหลายสิบปี เรื่องน่ายินดีถึงเพียงนี้ ต้องจัดงานใหญ่ รู้ว่าตอนนี้ตระกูลอวิ๋นมีคนรับใช้ไม่มากนัก ดังนั้นจึงขนกำลังคนจำนวนมากและของใช้ในครัว เดินเข้าไปในตระกูลอวิ๋น


 


 


หลี่เฉิงเฉียนพาองครักษ์สิบกว่าคนขี่ม้ามาครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านตระกูลอวิ๋น เห็นอวิ๋นเยี่ยเข้าก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งผ้าไหมสีเหลืองร้อยด้วยมุกขนาดเท่าเม็ดลำไยสองเส้นให้อวิ๋นเยี่ย สิ่งนี้ทำอวิ๋นเยี่ยที่เห็นไข่มุกมามากมายถึงกับตะลึง รีบปฏิเสธ


 


 


“องค์รัชทายาท สิ่งนี้เป็นของติดตัวมาตั้งแต่ท่านยังเล็ก จะให้ข้าได้อย่างไร ลูกข้ายังเล็ก รับไว้ไม่ได้จริงๆ”


 


 


“เหตุใดจึงรับไว้ไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะตระกูลเจ้าไม่ยอมรับพ่อบุญธรรม ไม่เช่นนั้นข้าก็รับเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรมไปนานแล้ว เพียงแค่สร้อยไข่มุกพระจันทร์ ไม่เห็นต้องเกรงใจ เพียงแต่หวังว่าเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นจะสืบต่อแนวทางของเจ้า เพิ่มอิฐและกระเบื้องมากขึ้นให้ต้าถังในยุคอันรุ่งเรืองของข้า”


 


 


“สร้อยไข่มุกพระจันทร์เป็นสมบัติมงคล ในเมื่อองค์รัชทายาทบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ตอนนี้มอบให้แก่ลูกชายของอวิ๋นโหว ถือว่าเป็นประโยชน์สูงสุด”


 


 


เสียงดังมาจากข้างๆ ที่แท้ก็เป็นหยวนเทียนกังที่เพิ่งหายดีจากอาการป่วย ข้างหลังยังมีนักบวชเต๋าหนุ่มรูปงามมาด้วย เพียงแต่ดูเหมือนว่าตาจะมีปัญหา กวาดสายตามองซ้ายมองขวาไม่หยุด ไม่ต้องขโมยของก็ดูเหมือนโจร ไม่บอกก็รู้ นอกจากหลี่ฉุนเฟิงก็ไม่มีใครแล้ว เจ้าคนผู้นี้มีความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์เกินความต้องการของลัทธิเต๋า มักจะพูดว่าตัวเองเตรียมพร้อมที่จะควบคุมการทำนายเรื่องที่ไม่คาดคิด พร้อมที่จะแหกคอก ใช้กฎคณิตศาสตร์มาทำนายการเป็นไปของเรื่องราว แต่น่าเสียดายที่มักจะต้องแพ้ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย


 


 


ดังนั้นที่เขามาบ้านตระกูลอวิ๋นมีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ ห้องหนังสือของอวิ๋นเยี่ย


 


 


“เจ้าโจรลัทธิเต๋ากลับมาขโมยของที่บ้านอีกแล้ว วันนี้เจ้าจะไม่ให้คำอวยพรแก่ลูกข้าไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


“ทั่วทั้งต้าถัง เรียกข้าว่าโจรลัทธิเต๋าก็เห็นจะมีเจ้าเพียงคนเดียว เมื่อไม่กี่วันมานี้ใครกันแน่ที่ขโมย ‘คัมภีร์หวงถิง’ ของลัทธิเต๋าไป คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย เจ้ากลับเรียกข้าโจรลัทธิเต๋า ในโลกนี้เพราะมีคนอย่างเจ้า ดังนั้นทุกอย่างจึงเปลี่ยนจากดำเป็นขาว จากขาวเป็นดำ ไม่มีสัจพจน์ เอาเหล้ามา วันนี้ไม่เมาข้าไม่กลับ”

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 54 ‘ยุทธศาสตร์หลงจง’ของอวิ๋นเยี่ย

 

ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเลย ขณะที่คนอื่นจะดื่มเหล้าแสดงความยินดีก็ต่อเมื่อเด็กน้อยมีอายุครบหนึ่งร้อยวันไปแล้ว ตามธรรมเนียมแล้วเมื่อมีทารกเกิดใหม่จะแสดงความยินดีด้วยการส่งของขวัญมาให้ แล้วรอให้ครบร้อยวันถึงค่อยมาดื่มเหล้าแสดงความยินดีด้วย 


 


 


เห็นได้ชัดว่าธรรมเนียมนี้ไม่มีผลต่อเหล่าอาจารย์อย่างเหล่าเฉิง เหล่าหนิว ฉินฉยง และอวี้ฉือกง งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เหล่าเฉิงก็ไปห้องเก็บเหล้านำเหล้าออกมาสองไห หาห้องที่อบอุ่นหน่อย ลากพวกหลี่จิ้งเข้าไป ปิดประตูแล้วพากันดื่มเหล้าเอง แม้แต่กับแกล้มก็ไม่เอา หน้าประตูยังมีชายหนุ่มเฝ้าอยู่สองคน ไม่ให้คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นเข้าไป 


 


 


หลังจากกลับไปที่ห้องเห็นซินเย่วกำลังหลับสนิท ก็ยืนอยู่ข้างๆ เพ่งพิศมองดูลูกชายตัวเองอย่างละเอียดอ่อน ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อ เด็กน้อยมีเพียงชื่อเล่นไปก่อนก็ได้ ท่านย่าเอาแต่เรียกว่าหลานรักแล้วเปิดผ้าอ้อมที่ห่อไว้ออก เห็นนกเขาน้อยยิ้มไม่หยุด จึงหยอกล้อด้วยอย่างระมัดระวัง จากนั้นค่อยเอาผ้าอ้อมปิดไว้เหมือนเดิม นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดพึมพำอยู่คนเดียว สายลูกประคำที่เคยเป็นดั่งชีวิตของท่านย่านถูกลืมทิ้งไว้กระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ไม่ได้เก็บรวบรวมอย่างเรียบร้อยด้วยซ้ำไป 


 


 


ไม่รบกวนช่วงเวลาแห่งความสุขของท่านย่า อวิ๋นเยี่ยกลับไปที่ห้องหนังสือของตัวเอง หลี่เฉิงเฉียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ดื่มอยู่คนเดียว หลี่ฉุนเฟิงกำลังรื้อชั้นวางหนังสือของอวิ๋นเยี่ย หยวนเทียนกังได้เมาหมดสติไปแล้ว เหล้าของตระกูลอวิ๋นนั้นแรงเกินไปสำหรับเขา 


 


 


หยิบหนังสือคณิตศาสตร์เบื้องต้นออกมาจากชั้นบนสุดให้แก่หลี่ฉุนเฟิง เมื่อได้หนังสือ เขาก็ถูกหนังสือดึงดูดความสนใจทันที เขาเห็นด้วยกับหลักการของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก ไม่รู้สึกว่าเลขอารบิกนั้นแปลกประหลาดอะไร หลายปีมานี้ต้าถังก็ได้ส่งเสริมเรื่องพวกนี้อย่างมาก เพราะการทำกิจการเป็นกำลังหลักที่ขาดไม่ได้ 


 


 


เมื่อดึงหลี่เฉิงเฉียนมาที่ห้องพระของตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยเอามือลูบที่ป้าย ทันใดนั้นช่องลับก็ได้ถูกเปิดออก หยิบภาพม้วนหนึ่งออกมาจากด้านใน แล้วปิดช่องลับ ไม่จำเป็นต้องปิดบังหลี่เฉิงเฉียน ตระกูลอวิ๋นมีความลับมากพออยู่แล้ว หากมีเรื่องที่คนอื่นไม่ควรรู้มากกว่านี้จะยิ่งผิดปกติ 


 


 


ลึกลับกับประหลาดแบ่งเป็นสองแนวคิด อันหนึ่งทำให้คนอยากค้นหา อีกอันหนึ่งทำให้คนสงสัย ใจคนก็แปลกเช่นนี้ คำต่างกันเพียงนิดเดียว ก็ราวกับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว 


 


 


“นี่คืออะไร” หลี่เฉิงเฉียนอยากรู้ว่าของที่อวิ๋นเยี่ยหยิบออกมาจากช่องลับคืออะไรกันแน่ 


 


 


“อย่าถามอะไรเยอะ อีกสักครู่ไปพบเหล่าแม่ทัพ เอาหูกับตาไปด้วยก็พอ ไม่ต้องถาม ไม่ต้องตอบ ช้าเร็วเจ้าก็ต้องเข้าร่วมทำสงคราม ต้าถังบุกโจมตีดินแดนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีที่เจ้าจะได้แสดงฝีมือและสร้างอำนาจ จำไว้ว่าอย่ารุกล้ำคำสั่งของพวกแม่ทัพ เจ้าเพียงแค่เชื่อฟังก็พอ ให้เจ้าไปซ้ายเจ้าต้องไม่ไปขวา เจ้าไปเดินรอบๆ สนามรบก็พอ” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนมีความฮึกเหิมเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าตัวเองควรถืออาวุธควบม้า เป็นผู้นำสามทัพ แต่เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ ก็ไม่ค่อยพอใจ 


 


 


ยืดคอขึ้นถามว่า “แล้วข้าจะไปทำอะไรในกองทัพ แค่เป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่ง แล้วจะให้ข้าไปร่วมรบทำไม” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยดึงคอเสื้อของหลี่เฉิงเฉียนแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจศาสตร์การรบเสียที่ไหน ในกองทัพสิ่งที่น่ากลัวคือการออกคำสั่งที่ไม่เห็นพ้องต้องกัน รัชทายาทอย่างเจ้า ก็เหมือนกับทหารใหม่ที่ไม่เคยเห็นเลือด เจ้าเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์นำทัพ พ่อของเจ้าถือว่าเป็นคนมีความสามารถ ก็ยังต้องอยู่ใต้การบังคับบัญชาของอวิ๋นติ้งซิ่งอยู่หลายปีไม่ใช่หรือ 


 


 


วันนี้พาเจ้าไปที่ห้องนั้น นอกจากแม่ทัพโหวที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้า ที่เหลือก็ไม่มีใครพอใจเจ้าเลย ไม่มีอะไรจะคัดค้านได้ พ่อของเจ้าอำนาจรุ่งเรือง เป็นโอกาสดีที่จะขยายดินแดน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจเจ้า หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัยเรื่องการโค่นล้มอำนาจ สองก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัยเรื่องการโค่นล้มอำนาจ สามก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัยเรื่องการโค่นล้มอำนาจ 


 


 


ดังนั้นตอนนี้เจ้าต้องเตรียมพร้อมเพื่ออนาคตของเจ้า อนาคตของเจ้าได้กำหนดให้เจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ แม่ทัพพวกนี้เป็นแขนซ้ายไหล่ขวาของฝ่าบาท อนาคตจะเป็นกำลังสำคัญของเจ้า ทำให้พวกเขาประทับใจในความนอบน้อมของเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ 


 


 


เจ้าอยากร่วมทำศึกอย่างนั้นหรือ นี่เป็นวิธีที่คนโง่เท่านั้นที่ทำกัน ถึงแม้เจ้าจะฆ่าศัตรูตายไปหนึ่งร้อย หนึ่งพันคน ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพียงแค่เขาฆ่าเจ้าได้ก็ถือว่าเป็นชัยชนะ” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนฟังที่อวิ๋นเยี่ยพูดจนสับสนไปหมด เขาคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะใช้คำพูดที่โหดร้ายมาวิจารณ์ความฮึกเหิมของเขา อยู่ๆ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“ข้าอยากจะนำทัพทหารม้าหนึ่งหมื่นคนแสดงความยิ่งใหญ่ สร้างชื่อเสียงกึกก้องในยุคนี้ ข้าอยากจะชมพระอาทิตย์ในที่ที่พระอาทิตย์ขึ้น ข้าจะไปจับงูหลามยักษ์ในดินแดนที่มีหมอกควันทางตอนใต้ ข้าจะทำสัญลักษณ์ลงบนเสาเหล็กในดินแดนทิศตะวันตก ข้าอยากจะโบยบินไปทางเหนืออย่างนกอินทรีย์ เจ้าอย่าคิดที่จะทำให้ข้ากลายเป็นคนที่น่าสงสารที่อยู่ภายใต้การปกป้องของท่านพ่อ” 


 


 


แปะ แปะ แปะ แปะ อวิ๋นเยี่ยหัวเราะพร้อมกับปรบมือ เป็นครั้งแรกที่หลี่เฉิงเฉียนพูดถึงความกล้าหาญของตัวเอง ตระกูลหลี่มีความทะเยอทะยานอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว 


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยปรบมือ ความโมโหของหลี่เฉิงเฉียนถึงได้สงบลงแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าความคิดข้าเป็นเช่นไร” 


 


 


“ไม่เลวเลยทีเดียว ในฐานะฮ่องเต้ในอนาคต เจ้าควรมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ดีมาก เพียงแต่ว่าคำพูดดูโง่ไปหน่อย ข้าจะให้เจ้าดูอะไรบางอย่าง เพื่อที่เจ้าจะได้รู้ว่าความคิดของเจ้านั้นโง่แค่ใหน” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนเริ่มจะโมโหอีกครั้ง แต่กลับพบว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังกางแผนที่ปูลงบนพื้น ชี้ไปที่รูปภาพแล้วพูดว่า “นี่คือโลกของพวกเราในตอนนี้ มีบางที่ที่ข้าเคยไป และมีบางที่ที่ข้าแค่เคยได้ยิน แต่ว่าข้ามีแผนที่ เช่นนั้นให้ข้าชี้แผนที่แสดงให้เจ้ารู้ว่าความคิดของเจ้านั้นโง่เช่นไร” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนเห็นว่าตัวเองโมโหอวิ๋นเยี่ยไม่ลง ถึงแม้จะมีโมโหบ้าง แต่มันก็หายไปเอง ฟังเขาพูดแบบนี้ก็เลยคุกเข่าลงดูแผนที่กับอวิ๋นเยี่ย 


 


 


ดูมานานเขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับพื้นที่เล็กๆ ทางด้านตะวันออกจึงถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ต้าถังของข้าใหญ่แค่นี้เองหรือ ต้าถังมีสิบเขตปกครอง มีด่านทหารชายแดนสามร้อยหกสิบจุด มีอาณาเขตถึงหนึ่งพันห้าร้อยห้าสิบสี่มณฑลที่ห่างออกไปอีกหลายหมื่นลี้ แต่กลับใหญ่แค่นี้เองหรือ” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนมองดูแผนที่โลก ไม่พอใจที่ต้าถังมีพื้นที่ที่เล็ก ในสายตาเขาต้าถังควรเป็นพื้นที่ส่วนที่ใหญ่ที่สุด 


 


 


“พวกอินเดียใหญ่กว่าต้าถังเช่นนั้นหรือ พวกโรมันในเมืองยังมีทะเลสาบ ดินแดนของพวกเขาใหญ่ขนาดนั้นจริงๆ หรือ” 


 


 


ในฐานะผู้นำอย่างหลี่เฉิงเฉียนไม่พอใจต่อการแบ่งดินแดนเป็นอย่างมาก คำถามหลั่งไหลมาจากปากเขาไม่หยุด ทุกประโยคเต็มไปด้วยความอิจฉา 


 


 


“เฮ้อ ตอนนี้โรมันล่มสลายไปแล้ว หลายปีก่อนหน้านี้ได้ถูกแบ่งเป็นโรมันตะวันออกและโรมันตะวันตก โรมันตะวันตกได้ล่มสลายแล้ว แต่โรมันตะวันออกยังคงอยู่ และแข็งแกร่งมาก ชาวเปอร์เซียมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก จักรวรรดิซาเซเนียนในปัจจุบันก็คือเปอร์เซีย ได้ทำสงครามกับโรมันตะวันออกอยู่ตลอดไม่เคยหยุดพัก แต่ว่าที่ข้าอยากให้เจ้าดูคือพื้นที่ตรงนี้” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยชี้นิ้วไปที่พื้นที่ของเยรูซาเล็มแล้วพูดว่า “คนที่แข็งแกร่งถือดาบด้วยมือเดียว อีกมือหนึ่งถือคัมภีร์อัลกุรอานเป็นคนรวบรวมพื้นที่แห่งนี้ ไม่นานก็ถูกขนานนามไปทั่ว พวกเขามีทักษะในการรุกราน พวกเขามีคำพูดที่ขึ้นชื่อก็คือ ‘หากไม่เหลืออะไรให้แย่งแล้วจะมาแย่งพี่น้องของข้า ข้าก็ไม่ถือสาอะไร’ คนพวกนี้เลือกโจมตีเปอร์เซียก่อน หลังจากนั้นก็เป็นจักรวรรดิซาเซเนียน หลังจากนั้นก็ถึงตาของพวกเรา แต่ว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ เจ้ายังมีเวลาเตรียมตัว ยังมีพื้นที่นี้อีก” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ทิเบตแล้วพูดว่า “มีคนหนึ่งคือพระเจ้าซรอนซันกัมโป ได้รวบรวมดินแดนพื้นที่แห่งนี้ พวกเขากล้าหาญในการทำศึกสงครามและมีดินแดนที่ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โจมตีจากบนลงล่าง ย่อมง่ายกว่าโจมตีจากล่างขึ้นบน และพวกเขายังจ้องเล่นงานอาณาจักรน่านเจ้า สงครามในหลายปีนี้จะเป็นสนามให้เจ้าได้ฝึกรบ ไม่ต้องแสดงฝีมือมาก อนาคตของเจ้ายังต้องเจอปัญหาอีกเยอะ ในภายภาคหน้าเจ้าจะได้รบจนเบื่อ ตอนนี้ไม่เห็นต้องรีบเลย” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนมองอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาไร้เดียงสาแล้วพูดว่า “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร ทำไมต้าถังของข้าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพูดถึงพวกเขามากนัก และสิ่งที่เจ้าพูดดูเหมือนจะเป็นความจริง อย่างน้อยข้าก็เชื่อเจ้า เพราะเจ้าไม่เคยหลอกข้า” 


 


 


“ข้าบอกเจ้าแล้วไง ข้าผจญภัยมาแล้วสิบสี่ปี อาจารย์ของข้าก็เป็นผู้มีวิชาความรู้ หากไม่รู้นี้สิถึงแปลก สถานที่แปลกๆ เหล่านั้นต้องใช้เวลาอย่างยาวนานถึงจะค่อยๆ มองออกว่าโลกใบใหญ่ของเราเป็นอย่างไร ดังนั้นแผนที่นี้ข้าให้เจ้า ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์มากแต่ว่าข้อมูลโดยประมาณไม่มีผิดพลาดแน่นอน” 


 


 


แผนที่ม้วนนี้อวิ๋นเยี่ยใช้เวลานานในการคัดลอกจากโทรศัพท์ของตัวเอง เพียงแค่อัตราส่วนของโลกก็ทำเอาอวิ๋นเยี่ยปวดหัว มีบางพื้นที่ที่ลักษณะไม่ตรงกับตอนนี้ อย่างเช่น ปากทางสู่ทะเลของแม่น้ำฮวงโห ปากทางสู่ทะเลของแม่น้ำแยงซีเกียง นำแผนที่สี่ด้านของเมืองต้าถังมาเปรียบเทียบ บวกกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของโลกอย่างคร่าวๆ จึงได้แผนที่ลักษณะเช่นนี้ 


 


 


ให้แผนที่หลี่เฉิงเฉียนไปเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สร้อยไข่มุกพระจันทร์ในวันนี้ได้เป็นเชือกผูกตระกูลอวิ๋นและรัชทายาทไว้ด้วยกันแล้ว อยากหนีก็ไม่มีที่ให้หนี ดีที่หลี่เฉิงเฉียนไม่ใช่คนเลวร้ายในประวัติศาสตร์ ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงได้นำสิ่งของที่ใช้ในการปกป้องชีวิตออกมา 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนม้วนแผนที่เก็บอย่างระมัดระวัง ดึงผ้ารัดผมจากหัวเอามามัดไว้อย่างดี เงยหน้าถาม “เจ้าให้มันแก่ข้า ข้าจะใช้ประโยชน์จากมันเช่นไร” 


 


 


“แน่นอนว่าเอาไว้ใช้หลอกพวกอาจารย์ที่มีความทะเยอทะยานสูง พวกเขามักจะกังวลว่าเมื่อสงครามจบลงแล้ว จะต้องรับชะตากรรมถูกฆ่าหลังจากสงครามจบลง ดังนั้นบอกกับพวกเขาว่ายังคงมีสงครามอยู่ ชีวิตนี้อย่าคิดว่าจะได้ห่างจากสงคราม ให้พวกเขาคิดว่าวันที่จะโดนฆ่าปิดปากไม่มีวันมาถึง หลังจากนั้นก็ถือเข้าวังไปให้ท่านพ่อของเจ้าดู บอกเขาเกี่ยวกับความคิดของเจ้า เหมือนกับที่บอกข้าเมื่อครู่นี้ นี่เป็นแผนการเริ่มต้นที่ดี รอเจ้าทำสงครามจนพอใจ ฝ่าบาทก็แก่ลงแล้ว ก็จะถึงตาที่เจ้าจะเข้ามาควบคุมโลกใบนี้แล้ว คนทั้งเมืองจะไว้ใจเจ้า นี่เป็นจุดเริ่มของทุกอย่าง อย่างมากภายในราชสำนักก็เกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถให้ความเท่าเทียมกันกับทุกๆ แคว้นได้” 


 


 


พอคิดถึงอนาคตอันยิ่งใหญ่ของหลี่เฉิงเฉียน อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกประทับใจ คนยุคหลังที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรตอนนี้ได้เป็นคนชี้แนะแนวทางให้รัชทายาทว่าควรจะเดินไปทางใด 


 


 


“อวิ๋นเยี่ย นี่เจ้ากำลังให้ ‘หลงจงตุ้ย’ กับข้าเช่นนั้นหรือ ไม่ต้องออกไปนอกบ้านแต่กลับรู้เรื่องราวทุกอย่าง เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก” 


 


 


“ฝันไปเถอะ ข้าไม่ได้อยากเป็นขงเบ้งเสียหน่อย ข้อแรกข้าไม่ได้ฉลาดเหมือนกับเขา ข้อที่สองข้าค่อนข้างขี้เกียจ เจ้าต้องไปจัดการเรื่องทุกอย่างเอง ข้าจะคอยอวยพรอยู่ข้างหลัง งานเหนื่อยขนาดนี้ไม่ต้องมาหาข้า แค่ทุกวันนี้ข้าสอนหนังสือก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว รออนาคตเจ้าสำเร็จแล้ว ค่อยแต่งตั้งตำแหน่งสูงๆ ให้ข้า ตำแหน่งที่ได้เงินโดยไม่ต้องทำอะไร ให้พวกที่รังแกข้า พอเห็นข้าก็ต้องโค้งคำนับ ให้ทุกวันที่ออกจากบ้านไม่ใช่เพื่อไปทำงานแต่เพื่อไปแกล้งคนก็พอ นี่คือความฝันของข้า จำไว้ว่าต้องทำความฝันของข้าให้เป็นจริง” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนหัวเราะเสียงดัง ดึงมือของอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “พวกเรามาสัญญากัน ข้าจะไปเอาใจคนทั่วทุกทิศ ส่วนเจ้าก็รังแกคนอยู่ที่เมืองหลวง พวกเราจะมีความสุขไปตลอดชีวิต” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)