เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 49-51

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 49 ภาพเหมือนผู้หญิง

 

 


“อวิ๋นโหว คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มาด้วย หนีกันไม่พ้นจริงๆ”


 


หยวนเทียนกังยิ้มขึ้นมาทันที ความกังวลสุดท้ายในใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เจอคนๆ หนึ่งแล้ว สำเร็จแล้ว ตัวเองจะต้องมีความดีความชอบแน่นอน ถ้าล้มเหลวอวิ๋นเยี่ยก็เป็นคนแบกรับไว้ทั้งหมด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา


 


อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไร ยื่นมือออกไปจนเกือบถึงจมูกของหยวนเทียนกัง


 


“อวิ๋นโหวหมายความว่าอะไร เจ้าต้องการสิ่งใด บนตัวข้าไม่มีทรัพย์สินใด เทียบกับความร่ำรวยของตระกูลอวิ๋นของเจ้าไม่ได้”


 


เห็นว่าหยวนเทียนกังแกล้งทำเป็นโง่ อวิ๋นเยี่ยดึงปีกไก่ออกมา รีบแทะจนหมดแล้วพูดกับเขาว่า “เหล่าหยวน เจ้าใจร้ายเกินไปหรือเปล่า เรื่องที่ตัวเองจัดการไม่ได้ จะลากข้าเข้ามาเกี่ยวข้องทำไม ข้าเป็นแพะรับบาปเต็มๆ ต้องมาคอยเช็ดก้นให้เจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดหน่อยเหรอ ล้วนแต่เข้าใจก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง เร็วเข้า ฝ่าบาทรอข้าอยู่”


 


“พลังของข้าน้อยนิด ไม่มีความสามารถจริงๆ คงต้องพึ่งผู้ที่มีความสามารถอย่างอวิ๋นโหวเท่านั้น ฝ่าบาทถึงจะนอนหลับสนิท กำจัดภูตผีปีศาจและคืนความสงบสุขให้กับพระราชวัง”


 


“เหล่าหยวน ถ้าเจ้าไม่ไว้หน้าข้า ข้าจะตะโกนบอกคนทั้งฉางอันว่าเจ้าทาผงกำมะถันและผงฟอสฟอรัสลงบนกระดาษสีเหลือง ให้พวกเขารู้ให้หมด”


 


หน้าของหยวนเทียนกังเขียวไปหมด กัดฟันแล้วพูดว่า “อวิ๋นโหว ขวางทางแห่งความรวยก็ราวกับฆ่าพ่อกับแม่ เจ้ากับข้าเกิดมาในลัทธิเต๋าเหมือนกัน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเอาความลับของข้าไปป่าวประกาศ”


 


“ถ้าเจ้าไว้หน้าข้า แน่นอนว่าไม่มีทาง เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการได้แน่นอน ไม่แน่อาจจะมีความดีความชอบของเจ้าด้วย เพื่อผลประโยชน์ของเจ้า เจ้าต้องให้ค่าปิดปากข้าอย่างงาม”


 


“เงินเจ้าก็คงจะไม่สนใจ เจ้าบอกมา เจ้าต้องการสิ่งใด” สนิทสนมกันอยู่แล้ว ต่อสู้กันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี หยวนเทียนกังรู้ดีว่าถ้าไม่ให้ค่าปิดปากอวิ๋นเยี่ย เรื่องนี้ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา เขาต้องเตรียมพร้อม


 


“ดาบไม้ท้อที่อยู่ข้างหลังเจ้าไม่เลว ดูแล้วน่าจะมีอายุอานาม อันนี้แหละ เอาวางไว้ที่บ้านเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย”


 


“พระเจ้าช่วย แม้แต่ดาบเล่มนี้เจ้าก็ไม่ยอมปล่อย ตกทอดมานานกว่าสองร้อยปีเชียวนะ ไม่ได้ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”


 


“งั้นก็ ‘คัมภีร์หวงถิง’ เปลี่ยนไม่ได้แล้ว เปลี่ยนอีกข้าจะไม่ทำแล้ว ข้าจะนอนป่วยอยู่ที่พื้นทันที เจ้าน่าจะเข้าใจวิธีการของข้า บอกว่าป่วยก็ป่วยทันทีไม่ชักช้าให้เสียเวลา”


 


หัวใจของหยวนเทียนกังกระอักเลือด ดาบไม้ท้อในมือให้ไม่ได้ มันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลตัวเอง ต้องสืบทอดให้หลี่ฉุนเฟิงในอนาคต จะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด ‘คัมภีร์หวงถิง’ ที่เขียนโดยซีอ๋อง ตัวพิมพ์เล็กๆ กว่าร้อยบรรทัด เป็นคัมภีร์ที่ล้ำค่า เนื่องจากนักบวชลัทธิเต๋าใช้กรงห่านแลกมา จึงเรียกอีกอย่างว่า ‘คัมภีร์กรงห่าน’ มีมูลค่าสูงและยังเป็นสมบัติของอารามชิงหนิว


 


ครุ่นคิดอยู่นาน หยวนเทียนกังก็เอา ‘คัมภีร์หวงถิง’ ให้อวิ๋นเยี่ย แล้วยังบอกให้อวิ๋นเยี่ยสาบานว่าจะไม่มีทางเปิดโปงเขา


 


ในเมื่อมี ‘คัมภีร์หวงถิง’ แล้วคนโง่เท่านั้นถึงจะทำเรื่องเช่นนั้น ทำให้คนเกลียดชัง เรื่องที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองต้องทำให้น้อยลงสักหน่อย


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะและบอกกับหยวนเทียนกังกว่า พรุ่งนี้จะส่งคนไปเอา ‘คัมภีร์หวงถิง’ ที่อารามชิงหนิว หยวนเทียนกังที่กำลังโมโหอยู่สะบัดแขนเสื้อ ก้าวเท้าเดินออกไปอย่างไร้ซึ่งอาการหมดแรงที่อ้างก่อนหน้านี้


 


ยังเหลือไก่อยู่ครึ่งตัว กำลังจะแทะต่อให้หมด แต่หันหลังกลับไปหาก็ไม่เจอ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เอาวางไว้ที่ราวบันไดแท้ๆ และยังห่อด้วยใบบัวไว้อีกต่างหาก


 


มีเสียงแทะอะไรบางอย่างอยู่หลังเสา หันไปก็พบหลี่ไท่กำลังแทะไก่อย่างเอร็ดอร่อย เอาคืนไม่ได้ ของอะไรก็ตามที่ตกอยู่ในมือของหลี่ไท่แล้วไม่มีทางเอาคืนได้ นี่คือเรื่องจริง


 


“เจ้าไม่ได้ถือกระถางธูปอยู่ข้างในหรอกเหรอ ออกมาได้เช่นไร เสด็จพ่อกับท่านปู่ของเจ้านอนไม่หลับ เจ้าไม่กังวลใจแล้วเหรอ”


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจไม่เป็นไร แต่หลี่ไท่ทำไม่ได้ หากถูกจับได้ว่าเขามีพฤติกรรมเช่นนี้ เขาจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน


 


“เจ้ามาถึงแล้ว ยังมีสีหน้าที่เฉยเมย แสดงว่าเจ้ามีวิธี ตั้งแต่เช้าข้ายังไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด พักผ่อนหน่อยไม่ได้เหรอ เจ้ารีบเข้าไปเถอะ เสด็จแม่รอเจ้าอยู่” พูดเสร็จก็ก้มหน้าแทะไก่ต่อ


 


บรรยากาศในตำหนักใหญ่ผ่อนคลายขึ้นมาก หลี่หยวนยังคงนั่งอยู่บนเตียงเตี้ยด้วยสีหน้าที่แห้งเ**่ยว หลี่ซื่อหมินที่อยู่ข้างๆ กำลังรินชาให้เขา เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา จั่งซุนก็รีบเดินเข้ามาถามว่า “อวิ๋นเยี่ย เจ้าพอจะมีวิธีหรือไม่ ไท่ซั่งหวงกับฝ่าบาทนอนไม่หลับมาสองวันแล้ว จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้เช่นไรกัน”


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนไม่เคยมีท่าทางของการเป็นฮองเฮา ตอนนี้นางเป็นผู้หญิงที่เป็นห่วงเป็นใยพ่อสามีและสามีของตัวเอง


 


“มีอย่างแน่นอนขอรับ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สองวันก่อนกระหม่อมก็เจอกับฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ได้เอ่ยอะไร หากฝ่าบาทบอกกระหม่อมตั้งแต่ตอนนั้นก็คงจะหายแล้ว พระราชวังก็คงจะไม่วุ่นวายเช่นนี้”


 


หลี่ซื่อหมินฮึมฮัมแล้วพูดว่า “เจ้ายังจะบ่นเราอีก? เรานอนไม่หลับเจ้าก็ไม่คิดที่จะถามไถ่ ยังต้องให้เราพูดอีกเหรอ อวิ๋นโหวช่างมีหน้ามีตา”


 


คนประเภทนี้ เก่งที่สุดก็คือการผลัดความรับผิดชอบ ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ เจ้าก็ควรที่จะปกป้องข้าตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผิดพลาดขึ้นมาก็ต้องเป็นความผิดของเจ้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฮ่องเต้อย่างข้า


 


“จะพูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน เจ้ามีวิธีก็รีบเอาออกมาใช้ ข้าไม่ได้นอนหลับมาหลายวันแล้ว”


 


หลี่หยวนพูดอย่างอ่อนแรง ดูเหมือนเขาจะง่วงมาก แต่กลับไม่กล้านอน ฉากเปื้อนเลือดในความฝันทำให้เขารู้สึกทรมาน


 


“ไท่ซั่งหวง คืนนี้ดวงจันทร์แทบจะไม่เหลือแล้ว เป็นวันดีที่เราจะเล่นการพนัน ท่านจะนอนทำไมกัน กระหม่อมเอาเงินมาด้วย จะไม่มีการติดหนี้ติดสินเกิดขึ้นอีก”


 


ทันใดนั้นหลี่หยวนก็ลุกขึ้นนั่ง มองไปที่อวิ๋นเยี่ยสักพัก เห็นว่าเขาดูจริงจัง หยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ เขาไม่ได้ล้อเล่น


 


“เจ้าแน่ใจเหรอว่าเราจะไม่นอนหลับ แต่จะเล่นการพนันกัน?” หลี่หยวนถามอีกครั้ง


 


“เล่นการพนันจนง่วงนอน ท่านก็จะนอนหลับไปเองตามธรรมชาติ และจะหลับจนถึงฟ้าสาง ไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น กระหม่อมก็แค่ถือโอกาสตอนที่ท่านไม่มีเรี่ยวแรง ชนะพนันเก็บเงินไปใช้นิดหน่อย”


 


หลี่หยวนตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ไอ้เจ้านี่ไม่ยอมลืมเรื่องที่แพ้พนันเสียเงินให้กับข้า อยากจะมาเอาคืน เราจะให้โอกาสเขาหรือไม่”


 


“ในเมื่อท่านอยากจะสั่งสอนเขาสักหน่อย ลูกย่อมอยู่เป็นเพื่อนท่านได้” หลี่ซื่อหมินเหลือบมองไปที่อวิ๋นเยี่ย ช่วยพยุงหลี่หยวนขึ้นมา สองพ่อลูกเดินเข้าไปในตำหนักเล็กด้านข้างก่อน


 


ตำหนักเล็กๆ ที่อบอุ่น มังกรดินถูกเผาจนร้อนระอุ ภายใต้การจัดการของหลี่เฉิงเฉียน หน้าต่างทั้งห้องถูกคลุมไปด้วยผ้าห่มอย่างแน่นหนา กลางห้องมีโต๊ะวางอยู่หนึ่งตัว ข้างบนโต๊ะวางไพ่นกกระจอกไว้แล้วเรียบร้อย


 


หลี่ซื่อหมินพยุงหลี่หยวนไปนั่งที่ตำแหน่งหลัก ตัวเองนั่งอยู่ข้างๆ ชี้บอกอวิ๋นเยี่ยให้นั่งลง เดิมทีหลี่เฉิงเฉียนกำลังจะมานั่ง แต่กลับถูกจั่งซุนห้ามไว้ แล้วตัวเองมานั่งแทน


 


อวิ๋นเยี่ยกับหลี่หยวนเป็นฝ่ายเดียวกัน หลี่ซื่อหมินกับภรรยาเป็นฝ่ายเดียวกัน พวกเขาทั้งสี่คนนั่งลงและเริ่มเล่นไพ่นกกระจอก หลี่เฉิงเฉียนยืนอยู่ข้างหลังหลี่หยวน หลี่ไท่ยืนอยู่ข้างหลังจั่งซุน และแน่นอนว่าหลี่เค่อก็ต้องยืนให้กำลังใจพ่อเขาอยู่ข้างหลัง


 


น่าแปลก หลังจากที่ทุกคนเข้ามาในห้องแล้ว กระดาษสีเหลืองขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านบนกรอบประตูก็ตกลงมา หลี่ซื่อหมินไม่ถามสักคำ แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น นั่งลงบนที่นั่งของตัวเองอย่างมั่นคง เตรียมพร้อมที่จะเล่นไพ่


 


เล่นไปแล้วสามรอบ เห็นได้ชัดว่าหลี่หยวนไม่ไหวแล้ว เขาหาวไม่หยุด นวดขมับฝืนตัวเอง


 


หลี่ซื่อหมินเหลือบมองไปยังอวิ๋นเยี่ย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ลมพัดเข้ามาทางรอยแยกของประตู ทำให้กระดาษสีเหลืองเกิดเสียงกรอบแกรบ อวิ๋นเยี่ยโยนไพ่นกกระจอกอย่างไม่สบอารมณ์และตะโกนออกมาว่า “น่ารำคาญ วิ่งออกมาทุกวัน”


 


น่าแปลก พอโยนไพ่นกกระจอกไปโดนกระดาษสีเหลืองกลับมีรอยเลือดออกมา อาการง่วงของหลี่หยวนก็หายไปทันที เบิกตามองดูกระดาษสีเหลืองที่ยังคงส่งเสียงกรอบแกรบแผ่นนั้น


 


หลี่ซื่อหมินไม่สะทกสะท้าน นั่งบีบไพ่นกกระจอกอยู่ตรงนั้น ราวกับจะบีบดอกไม้ออกมา จั่งซุนถึงแม้ว่าจะสงบอยู่ แต่นางกลับออกไพ่ผิดแล้วสองครั้ง หลังจากอวิ๋นเยี่ยออกห้าเหรียญมาหนึ่งใบ หลี่ซื่อหมินก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “เจ้าช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อยได้หรือไม่ ว่าทำไมถึงออกห้าเหรียญห้าใบ”


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร แต่กลับผลักไพ่ของหลี่หยวนล้ม เห็นว่าไพ่ของหลี่หยวนมีห้าเหรียญอยู่สามใบ จั่งซุนหยิบไพ่ห้าเหรียญของตัวเองออกมาสองใบ อวิ๋นเยี่ยหยิบออกมาอีกหนึ่งใบ แต่ในมือของหลี่ซื่อหมินกลับมีไพ่ห้าเหรียญอยู่ทั้งหมดสี่ใบ


 


“ฝ่าบาท ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ห้าใบ แต่มีทั้งหมดสิบใบ ไอ้บ้านี่ รบกวนการเล่นไพ่ของพวกเรา” หลี่ซื่อหมินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผู้ชายคนนี้ไม่เคยเกรงกลัวอะไร ถึงแม้ว่าแค่นอนหลับ เรื่องราวในอดีตที่นองเลือดเหล่านั้นก็จะตามมา ทำให้เขารู้สึกเสียใจ รู้สึกผิด แต่กลับไม่มีความเกรงกลัวเลยแม่แต่น้อย


 


วันสบายๆ ของหลี่หยวนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ทำลายเจตจำนงของเขาไปอย่างสิ้นเชิง เส้นเลือดสีฟ้าบนหน้าผากของเขา พยายามบังคับตัวเองไม่ให้โผล่ออกมา


 


แต่จั่งซุนกลับเงียบสงบลง ลอบมองหาเบาะแสบนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย


 


“ไท่ซั่งหวง กระหม่อมขอใช้ความกล้าทั้งหมดขอให้ท่านพ่นเหล้าไปบนกระดาษสีเหลืองแผ่นนั้น”


 


หลี่หยวนหัวเราะเบาๆ ในคอ ความกล้าหาญที่เขาสั่งสมมาในตอนนั้นยังคงทำให้เขาแข็งแกร่ง รินเหล้าใส่แก้ว อมเข้าไปในปากแล้วก็พ่นลงบนกระดาษสีเหลือง


 


ละอองเหล้าสาดลงบนกระดาษสีเหลือง ภาพผู้หญิงรูปงามใส่ชุดสีแดงก็ปรากฏบนกระดาษสีเหลือง


 


จั่งซุนปิดปากและชี้ไปที่ภาพนั้นแต่ไม่ได้พูดอะไร นางรู้จักผู้หญิงคนนี้ โดยเฉพาะปิ่นปักผมรูปหงส์จีนที่อยู่บนหัวของนาง


 


หลี่ซื่อหมินกระซิบข้างหูอวิ๋นเยี่ยว่า “รีบทำให้เสร็จสิ้น มิเช่นนั้นจิตใจของไท่ซั่งหวงจะทนไม่ไหวแล้ว”


 


หลี่หยวนนั่งลงบนพื้น น้ำตาคลอเบ้ามองไปที่ภาพเหมือน เขาอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส แต่ก็ดึงมือกลับมา แล้วเอาแต่พูดว่า “ข้าก็ไม่ได้อยาก ข้าไม่ได้อยาก…”


 


อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าฟังความลับของราชวงศ์ แล้วก็ไม่อยากฟัง บอกกับหลี่หยวนว่า “ไท่ซั่งหวง นางตายไปแล้ว ตอนนี้ไม่ได้กลับไปอยู่ที่ตำหนักหยินเฉาตี้แล้ว แต่กลับท่องไปทั่วโลก เกิดแก่เจ็บตาย ท่านส่งนางไปเกิดใหม่ดีกว่า เกิดเป็นคนใหม่อีกครั้งไม่ใช่เรื่องไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อนางเกิดมาในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ก็นับเป็นความโชคดีของนาง”


 


หลี่เฉิงเฉียนบอกอวิ๋นเยี่ยว่าที่จริงแล้วไท่ซั่งหวงถูกผีของอดีตสนมคนหนึ่งหลอก จะมาเรียกร้องเอาชีวิตของเขาทุกคืน ก็คือเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้หลี่หยวนไม่กล้าแม้แต่จะนอนหลับ เพราะเมื่อเขาหลับตา นางสนมคนนั้นก็จะปรากฏตัวต่อหน้าเขา


 


ในความเป็นจริง โรคนี้แค่ให้หลี่หยวนมองรูปลักษณ์หน้าตาของนางสนมคนนั้นมันก็จะหายไปเอง ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยก็เลยขอให้ช่างภาพวาดภาพเหมือนผู้หญิงบนกระดาษสีเหลือง เพียงแค่ทาสีตกแต่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้สับสน อย่างเช่นปิ่นปักผมรูปหงส์จีนตัวนั้น แม้แต่จั่งซุนก็เชื่อว่ามันเป็นของจริง


 


หลี่หยวนสงบสติอารมณ์ลงแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “จะส่งนางไปเกิดได้เช่นไร เจ้าส่งนางไปเกิดแทนข้าได้หรือไม่ ข้าทำลายชีวิตนางไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากทำลายอีกเป็นครั้งที่สอง”


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ว่ากันว่าความตายนั้นน่ากลัว แต่ไม่มีใครที่ตายไปแล้วจะกลับมาบอกท่านได้ เราไม่เข้าใจตัวเอง และมักจะกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ความตายไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่อาจจะเป็นการเดินทางครั้งใหม่ การเริ่มต้นใหม่”


 


“จริงเหรอ” หลี่หยวนราวกับคนที่กำลังจะจมน้ำแล้วคว้าเชือกเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้


 


“ท่านอาจารย์เคยบอกว่า เรามีชีวิตอยู่ไม่เพียงแต่มีร่างกาย แต่ยังมีจิตวิญญาณ เมื่อร่างกายตายไปแล้ว จิตวิญญาณจะไปอยู่แห่งไหน สิ่งที่ท่านเห็นเมื่อครู่ก็คือจิตวิญญาณ นางไม่มีภูมิปัญญา เพียงแค่อาศัยสัญชาตญาณ ไม่ยอมออกไปจากสถานที่ที่ตัวเองเคยคุ้นเคย ดังนั้นเราช่วยส่งนางไปไม่ดีเหรอกระหม่อม ให้นางได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง”


 


อวิ๋นเยี่ยพูดพร้อมกับสะกิดกระดาษสีเหลืองด้วยนิ้ว ทันใดนั้น เปลวไฟสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นในอากาศ และกลืนกินกระดาษสีเหลืองเข้าไป


 


หลี่หยวนหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ราวกับส่งนางสนมคนนั้นจากไป

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 50 ประตูเทพเจ้า

 

ดวงตาหลี่หยวนดูหมองคล้ำ เขานั่งบนเก้าอี้ มือเผลอบีบไพ่นกกระจอกโดยไม่รู้ตัว หยิบไพ่ห้าเหรียญใบนั้นกลับมาไว้ในมือแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เริ่มกันเถอะ ข้าอยากจะนอนหลับสนิทสักคืน รักษาสภาพจิต บทลงโทษที่นางให้ข้ามันยังไม่มากพอ ข้าจะต้องมีชีวิตต่อไป ทรมานให้มากถึงจะไปเจอนางได้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยอยากที่จะปิดหู คำพูดพวกนี้ไม่ฟังจะดีกว่า สีหน้าของหลี่ซื่อหมินมืดมนราวกับสามารถบีบน้ำออกมาได้


 


 


“ไท่ซั่งหวงล้อเล่นแล้ว ท่านอายุยืนนาน ฝ่าบาทกับรัชทายาทต่างก็เคารพท่าน ถึงเวลารักษาสุขภาพเพื่อประเทศชาติที่สวยงามของเรา ตอนนี้ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านง่วงนอนก็นอนเสียเถิด ได้ยินมาว่าท่านยังไม่ได้ทานอาหารเย็น ข้าให้แม่ครัวต้มซุปเม็ดบัวมาให้ท่านแล้ว กำลังร้อนอยู่เลย ดื่มก่อนแล้วค่อยนอน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็จะเป็นวันที่สดใสอีกวันหนึ่ง”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยกถ้วยซุปเม็ดบัวที่ผสมยาชาจากกล่องข้าวที่ประตูให้กับหลี่หยวนแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมผสมยาที่ช่วยในการนอนหลับลงไปในซุปถ้วยนี้ หลังจากที่ท่านดื่มแล้ว ท่านก็จะนอนหลับในไม่ช้า”


 


 


หลี่หยวนยกถ้วยกระเบื้องออกมาจากมือของอวิ๋นเยี่ยอย่างเงียบๆ ซุปถ้วยเล็กๆ ดื่มสองสามคำก็หมด เขาเช็ดปากแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่เลว ต้มซุปได้พอดี แต่แค่มีรสชาติยาที่ขมนิดหน่อย กระทบต่อความอร่อย”


 


 


พูดเสร็จเขาก็หลับตา เอนตัวนอนลงบนหมอนที่อยู่บนเตียง ผ่านไปไม่นานเสียงกรนก็ดังขึ้น สาวใช้สองคนค่อยๆ จัดแขนจัดขาให้หลี่หยวน ห่มผ้าให้เขา หลี่ซื่อหมินสะบัดมือไล่ นอกจากสาวใช้ที่คอยดูแลหลี่หยวนตอนหลับ คนอื่นๆ ต่างก็เดินตามหลี่ซื่อหมินออกมาจากห้อง


 


 


ความหนาวเย็นของตำหนักหลวง ทันทีที่ออกมาจากห้องอันอบอุ่น ทุกคนต่างก็พากันตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว


 


 


หลี่ซื่อหมินยืนอยู่ หน้านิ่งราวหยกสีขาว ตบรูปปั้นหัวสิงโตบนราวบันได เสียงแผ่วเบาดังมา “อวิ๋นเยี่ย เจ้าก็วางแผนจะใช้วิธีเช่นนั้นกับเราเหรอ”


 


 


“เสด็จพ่อ ไม่มีอะไรน่าแปลกขอรับ เป็นแค่ภาพวาดจากน้ำขิง บนไพ่นกกระจอกและเหล้ามีความเป็นด่าง ทั้งสองสิ่งนี้มาเจอกันมันจะเปลี่ยนเป็นสีแดง มันเป็นปฏิกิริยาที่ง่ายดาย อวิ๋นเยี่ยก็แค่ทำให้มันเกิดปฏิกิริยาเท่านั้น”


 


 


หลี่ไท่ที่พึ่งแทะไก่ของอวิ๋นเยี่ยได้ครึ่งหนึ่ง รีบออกมาอธิบายให้ฟัง ที่จริงเรื่องประหลาดที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเช่นนี้ ให้ลูกชายของหลี่ซื่อหมินมาจัดการเองย่อมดีที่สุด


 


 


หลี่เฉิงเฉียนเอ่ยต่อไปอีกว่า “ตอนที่อวิ๋นเยี่ยมา เขาบอกว่าอาการป่วยของท่านปู่เป็นอาการป่วยทางจิต ต้องให้ยารักษาจิตใจ ลูกถือโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจสลับไพ่นกกระจอก อวิ๋นเยี่ยบอกว่าต้องเก็บเป็นความลับก่อน ลูกก็เลยไม่ได้พูดออกไป เสด็จพ่อโปรดลงโทษ”


 


 


“โรคพิเศษก็ควรใช้วิธีพิเศษมารักษา อวิ๋นเยี่ยมีวิธีที่หลากหลาย ไม่อยู่ในกรอบ ในใจเราก็ดีใจ จะโทษเขาได้เช่นไร”


 


 


จั่งซุนพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าหมองว่า “พวกเจ้าไม่ควรสารภาพเรื่องนี้ออกมา เสด็จพ่อของพวกเจ้ารู้แล้ว วิธีนี้ก็ไม่มีประโยชน์”


 


 


หลี่ซื่อหมินยิ้มแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าวางแผนที่จะใช้วิธีนี้กับเราหรือไม่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วส่ายหน้า ตบมือเพื่อให้สัญญาณ สาวใช้ถือกล่องใส่อาหารเดินเข้ามา อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่กล่องอาหารและพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาทสู้รบมาตลอดชีวิต ครอบครองดินแดนมากมาย วิธีนี้ใช้ได้กับผู้ที่มีอายุอานามมากแล้ว ใช้ได้กับไท่ซั่งหวงเท่านั้น หากเอามาใช้กับฝ่าบาทคงจะกลายเป็นเรื่องตลก”


 


 


หลี่ซื่อหมินหัวเราะเสียงดัง เขาหัวเราะให้กับการเตรียมการของอวิ๋นเยี่ย จะโกหกเขาด้วยกลอุบายที่เต็มไปด้วยช่องโหว่น่ะเหรอ เขารู้สึกว่าอาการป่วยของเขาร้ายแรงกว่าพ่อของเขาและรักษายากกว่า รู้สึกภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ ที่อาการป่วยของฮ่องเต้ย่อมต้องรักษายากกว่าคนทั่วไป


 


 


“ที่ฝ่าบาทนอนไม่หลับก็เพราะว่าเป็นห่วงไท่ซั่งหวง เลยทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ที่จริงแล้วแค่รักษาไท่ซั่งหวงให้หาย อาการป่วยของฝ่าบาทก็จะหายไปเอง และแน่นอนว่า หากฝ่าบาทดื่มโจ๊กถ้วยนี้ จะทำให้ฝ่าบาทนอนหลับสบายมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีภูตผีปีศาจมาจริงๆ ก็มีกั๋วกงทั้งสองคนอยู่ ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”


 


 


หลี่ซื่อหมินมองไปทางที่อวิ๋นเยี่ยชี้ด้วยความประหลาดใจ เห็นแม่ทัพใส่ชุดเกราะสองคนยืนอยู่นอกประตูตำหนักไท่จี๋ ในมือถือดาบแหลมคม คนหนึ่งใส่ชุดเกราะลูกโซ่สีทอง ถือคทาสีทองแดง ที่หลังมีคันธนู ลูกธนูห้อยอยู่ตรงเอว ภายใต้รัศมีของเทียนไขขนาดใหญ่ ราวกับเทพเจ้าจุติลงมายังโลกมนุษย์ อีกคนหนึ่งสวมชุดเกราะเหล็ก ในมือถือแส้ไม้ไผ่ แบกหอกสั้นหกอันอยู่ด้านหลัง ใส่หน้ากาก มีเพียงดวงตาสองดวงที่แสดงให้เห็นถึงความหนาวเย็น นี่คือปีศาจที่มาจากนรก โดยปกติจะเห็นชุดแบบนี้ในสนามรบเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะปรากฏตัวที่ประตูของตำหนักบรรทมตัวเอง


 


 


หลี่ซื่อหมินรีบเดินไปที่ประตูตำหนักแล้วพูดกับแม่ทัพทั้งสองว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ เราไม่ได้เป็นอะไรมาก จะให้เจ้าทั้งสองทำเช่นนี้ได้เช่นไร”


 


 


ฉินฉยงพูดอย่างหนักแน่นว่า “ตอนนี้ประชาชนทุกคนล้วนแต่เป็นห่วงฝ่าบาท กองทัพกำลังจะเริ่มยึดครองดินแดนอื่น ความทุกข์ใจของฝ่าบาทเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่ที่ประตู ไม่เชื่อว่าจะยังมีภูตผีปีศาจตนใดกล้าก้าวเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว”


 


 


อวี้ฉือกงก็หัวเราะแล้วพูดว่า “กระหม่อมกับเหล่าฉิน ชีวิตนี้ฆ่าฟันคนมาแล้วมากมาย หากมีผีมาเอาชีวิตจริงๆ พวกกระหม่อมคงจะเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว ตอนนี้ก็ยังคงทานข้าวทานเนื้อทุกมื้อ ใช้ชีวิตอย่างสบาย ฝ่าบาทเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ หลายปีมานี้มีความเมตตามากเกินไป อะไรก็กล้าเข้ามารบกวนฝ่าบาท ตอนมีชีวิตก็ยังถูกพวกกระหม่อมฆ่าฟัน ตายไปแล้วคิดว่ากระหม่อมจะทำอะไรไม่ได้เช่นนั้นหรือ


 


 


ร่างกายของเหล่าฉินไม่ค่อยแข็งแรง หากมันมาอย่างดุเดือด ก็ปล่อยให้ข้าเป็นผู้จัดการเอง เจ้าเฝ้าดูศัตรูก็พอ ให้อวิ๋นเยี่ยตั้งกระทะน้ำมันไว้ ข้าหั่นชิ้นหนึ่ง เจ้าก็เอาไปทอดชิ้นหนึ่ง อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ช่างเหมาะแก่การดื่มเหล้าพร้อมกับแกล้ม”


 


 


“อวี้ฉือ เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าข้าก็เป็นแม่ทัพในสนามรบ ไม่ใช่พวกโง่ที่ไม่ทานเนื้อ คืนนี้เราจะนอนหลับให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้เราค่อยปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการเช่นไร ฮ่าๆๆ” หลี่ซื่อหมินไม่เกรงใจอีกต่อไป หัวเราะแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก แม้แต่โจ๊กที่อวิ๋นเยี่ยเติมไว้ให้ก็ไม่ทาน เตรียมไปต่อสู้กับภูตผีปีศาจในความฝัน


 


 


จั่งซุนโค้งคำนับให้ฉินฉยงกับอวี้ฉือกง ยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก ไม่เห็นถึงความกังวลใจก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย


 


 


ไม่รู้ว่าหลี่เฉิงเฉียนไปใส่ชุดเกราะตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือถือดาบยืนอยู่ใต้บันได หลี่ไท่กับหลี่เค่อก็ไม่ยอมแพ้ ต่างพากันใส่ชุดเกราะ หลี่ไท่ยังพูดกับอวี้ฉือกงอีกว่า “ท่านลุงอวี้ฉือ อย่าฆ่าพวกภูตผีปีศาจจนหมดเกลี้ยง เหลือมาให้ข้าได้ฝึกฝีมือบ้าง”


 


 


ฉินฉยงกับอวี้ฉือกงต่างก็หัวเราะแล้วรับปาก แถมยังพูดอีกว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น


 


 


อวิ๋นเยี่ยจับเสื้อคลุมตัวหนา ให้คนในวังเอาเตาถ่านมาสองสามเตา ข้างบนวางตะแกรงเหล็ก ในคืนที่เหน็บหนาวเช่นนี้ จะไม่ทำปิ้งย่างได้อย่างไรเล่า


 


 


ลงมือทำเองไม่ได้ก็ให้แม่ครัวมาช่วย เอาปีกไก่ของห้องครัวในวังมาทั้งหมด เอาเนื้อแกะแช่แข็งมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นใหญ่ เลือกผักที่เหมาะสม เอามันฝรั่งมาเจ็ดแปดหัว ปิ้งมันฝรั่งก็เป็นทางเลือกที่ดี ปลาขนาดพอดีสักสามสี่ตัว พริกสีแดงกับพริกไทย แล้วยังมีซุปไก่หม้อใหญ่ในห้องครัว จากนั้นก็รีบตรงดิ่งมาที่ตำหนักไท่จี๋


 


 


หลี่ซื่อหมินไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าผี เขาแค่ต้องการความมั่นใจที่มากพอ ถึงแม้ว่าจะเป็นฉากที่น่ากลัวแค่ไหน แต่เมื่อมีเสียงหัวเราะลอยมา เป็นใครก็ล้วนแต่มีความกล้าเพิ่มขึ้นมา


 


 


เขานอนอยู่บนเตียงที่อบอุ่น ห่มผ้าห่มผืนหนา จั่งซุนกอดเขาอยู่ ได้ยินเสียงหัวเราะนอกตำหนัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ได้ยินเสียงหลี่ไท่กับอวิ๋นเยี่ยกำลังแย่งปีกไก่กันเป็นระยะ ไม่มีความกังวลใจแม้แต่น้อย เขารู้สึกอบอุ่น กระซิบข้างหูจั่งซุนว่า “กวนอินปี้ เรามีฮองเฮาเช่นเจ้า มีแม่ทัพเช่นเหล่าฉินกับอวี้ฉือ มีลูกชายเช่นเฉียนเอ๋อร์ ชิงเชวี่ย และเค่อเอ๋อร์ มีคนรุ่นหลังเช่นอวิ๋นเยี่ย พระเจ้าช่างดีกับเรายิ่งนัก”


 


 


จั่งซุนจูบหน้าผากของหลี่ซื่อหมินและสะกิดเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร หลี่ซื่อหมินอยากออกไปนอกตำหนัก เพราะเขาได้กลิ่นที่หอมและเผ็ดร้อน แต่ความง่วงนั้นราวกับกระแสน้ำท่วมตัวจมเขาลงไปในพริบตา เขาได้ยินเสียงอวี้ฉือกงด่าหลี่เค่อ ทำไมกัน ดูเหมือนว่ามันฝรั่งที่สุกแล้วจะถูกหลี่เค่อแย่งไป?


 


 


หลี่ซื่อหมินนอนหลับไปแล้ว เสียงกรนราวกับเสียงฟ้าร้อง ฉินฉยงบอกให้พวกเขาเบาเสียงลงหน่อย กลัวว่าจะส่งผลต่อการนอนหลับของหลี่ซื่อหมิน


 


 


อวิ๋นเยี่ยคว้าเนื้อแกะชิ้นหนึ่งมาแล้วพูดกับเหล่าฉินว่า “ท่านลุง ไม่เป็นไร พระราชวังเงียบเหงาร้างเกินไป ฝ่าบาทต้องการได้ยินเสียงลมหายใจพวกนี้”


 


 


ทั้งหกคนที่อยู่นอกตำหนักต่างก็รู้ดีว่าไม่มีผีอะไรเข้ามา เหตุผลเดียวที่พวกเขายังอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าอยากจะให้ฮ่องเต้สบายใจ ดังนั้นเสียงเอะอะโวยวายก็เลยดังขึ้นเรื่อยๆ


 


 


จั่งซุนตื่นขึ้นมา เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว สามีของตัวเองยังคงหลับสนิท ไม่มีวี่แววว่าจะฝันร้าย นางสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้น สาวใช้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ให้นางอีกชั้น เปิดประตูออกไป เห็นแค่ฉินฉยงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู ถือดาบอยู่ในมือไม่ยอมปล่อย ถึงแม้ว่าจะมีเหล้าสองโถวางอยู่ข้างๆ แต่สายตาของเขากลับมองไปรอบๆ


 


 


ใต้บั้นท้ายของอวี้ฉือมีโถเหล้าอยู่หนึ่งโถ ในมือถือขาแกะ ย่างบนเตาถ่านที่อยู่ข้างหน้า แล้วก็เอามีดมาหั่นเป็นชิ้น กินอย่างเอร็ดอร่อย


 


 


หลี่เฉิงเฉียนนั่งลงบนพื้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปด้วยควันไฟ ไม่ทันได้ตั้งตัว จั่งซุนก็เห็นว่าลูกชายคนโตของเขามีหนวดสีดำที่มุมปาก เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว


 


 


ฉินฉยงกับอวี้ฉือพยักหน้าให้ฮองเฮา แต่ก็ไม่ขยับไปไหน หลี่ไท่เดินมาจับมือแม่ของตัวเอง เอามันฝรั่งย่างยัดใส่ในมือแม่แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ มันฝรั่งนี้ย่างได้อร่อยมากขอรับ ท่านลองชิมดู ลูกจะย่างอย่างอื่นให้เสด็จแม่อีก”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มให้จั่งซุนและเอ่ยว่า “ฝ่าบาทหลับสนิทแล้วใช่หรือไม่ ต่อไปฝ่าบาทจะไม่ต้องทนทุกข์กับฝันร้ายอีก ขอแค่ผ่านช่วงนี้ไป ด้วยความสามารถที่โดดเด่นและกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท การมาถึงของยุคที่เจริญรุ่งเรืองคงไม่ใช่แค่ความฝัน”


 


 


“ลำบากเจ้าแล้ว ราชวงศ์ทำผิดต่อเจ้า ให้คนที่มีความสามารถเช่นเจ้าสอนหนังสือที่สำนักศึกษา ช่างไม่สมควร”


 


 


“ฮองเฮาพูดผิดแล้วขอรับ ชีวิตที่เงียบสงบเป็นสิ่งที่กระหม่อมโหยหามากที่สุด กระหม่อมไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงอะไร แค่หวังว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขไปตลอดชีวิต ออกทัพสู้รบ ปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่สิ่งที่กระหม่อมเชี่ยวชาญ สองสามวันก่อนฝ่าบาทยังถามกระหม่อมว่า หากมอบดินแดนให้กระหม่อมสักดินแดนหนึ่ง กระหม่อมสามารถเปลี่ยนมันให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นได้หรือไม่


 


 


คำตอบของกระหม่อมคือไม่สามารถ คนเราต้องรู้จักความสามารถของตัวเอง ปกครองประเทศ หนึ่งรัฐ หนึ่งมณฑล หนึ่งอำเภอ และหนึ่งตระกูล เป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากฮองเฮาต้องการเห็นกระหม่อมถูกตัดหัว ท่านก็มอบหน้าที่นี้ให้กระหม่อมเถิด”


 


 


จั่งซุนกัดมันฝรั่ง ยิ้มอย่างสบายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนขี้เกียจ ปีนี้ก็แค่อายุสิบแปดสิบเก้า ยังไม่สายเกินไปที่จะเรียนรู้ ด้วยสติปัญญาของเจ้า คงไม่มีอะไรที่เรียนไม่ได้”


 


 


“ฮองเฮา คนฉลาดมีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่งคือชีวิตสั้น เมื่อเกิดอันตราย คนฉลาดมักเลือกที่จะหลบหนี เพราะว่าฉลาด ก็เลยคิดว่าอาจจะหลบหนีพ้น ไม่เหมือนกับคนอื่น ที่รู้ว่าหลบหนีไม่ได้ก็เลยพร้อมที่จะพุ่งชน หลังจากผ่านไปสักสองครั้งหรือหลายๆ ครั้งเข้า มันก็จะทำให้เรามีนิสัยที่ยืนหยัด นี่ถึงจะเป็นคุณสมบัติของคนที่จะทำการใหญ่ คนฉลาดมักจะหลบหนีอยู่ตลอด หลบหนีไปนานๆ ก็จะไม่มีความกล้าที่จะเผชิญกับความยากลำบาก และหากครั้งไหนที่ไม่สามารถหลบหนีไปได้ มันก็จะกลายเป็นหายนะ”


 


 


“เจ้าพูดมีเหตุผล คนที่ผ่านความยากลำบากมา ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนที่อาศัยความฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่หลักการนี้ใช้กับเจ้าไม่ได้ หากความฉลาดเข้มแข็งพอที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ตัวมันเองก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่เกี่ยวข้องกับความขยันขันแข็ง มันเป็นปัญหาของพรสวรรค์ อย่างเช่นเจ้า อย่างเช่นชิงเชวี่ย”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไรอีก แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หมอกเย็นล่องลอย มีเกล็ดหิมะตกลงมากระจัดกระจาย อันที่จริงมันเป็นน้ำค้างแข็งไม่ใช่หิมะ ลอดผ่านหมอกบาง พระจันทร์กลายเป็นสีม่วงประหลาด


 


 


“เหลืออีกเดือนหนึ่ง ลูกของกระหม่อมก็จะคลอดออกมาสู่โลกใบนี้ ในฐานะพ่อแม่ กระหม่อมจะต้องสร้างพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเขา เพื่อที่เขาจะได้เติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย สิ่งที่กระหม่อมให้ความสำคัญมากที่สุดในโลกใบนี้ก็คือชีวิต ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าเด็กอ้วนตัวเล็กๆ ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ จั่งซุนก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ


 


 


“หากข้าจำไม่ผิด เจ้ามีลูกคนหนึ่งที่คลอดออกมาแล้ว เหตุใดเจ้าไม่เอ่ยถึง”


 


 


ในมุมมองของท่านย่า การที่อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจลูกของหลี่อันหลาน ทำให้นางรู้สึกเหมือนโดนทำร้าย


 


 


“ลูกของหลี่หลงน่าจะต้องโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี รอให้เขาอายุห้าขวบ ข้าจะไปรับเขากลับมาเลี้ยงดูเอง”


 


 


นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยคิดไว้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าที่มาของเด็กคนนี้จะบิดเบี้ยวไปบ้าง แต่เขาก็เป็นเป็นเลือดเนื้อของตระกูลอวิ๋น ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทิ้งเขาไป ให้เด็กนามสกุลหลี่ นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดที่อวิ๋นเยี่ยยอม


 


 


จั่งซุนกินมันฝรั่งเสร็จ หลี่ไท่ก็ยื่นชาให้นางล้างปาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หวังว่าเจ้าจะมีสติปัญญาเพียงพอที่จะจัดการกับเรื่องที่จะตามมาในอนาคต ตระกูลอวิ๋นก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ใหญ่โต ทะเลาะกันเรื่องลูกหลักลูกรองก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าอาย”


 


 


นางกลับเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยถูที่ใบหน้า ตักซุปไก่ออกมาสองถ้วย ยื่นให้ฉินฉยงกับอวี้ฉือ พวกเขารับหน้าที่แล้วก็ไม่มีทางประมาท ถึงแม้ว่าจะไม่มีผีเข้ามา แต่พวกเขาก็จะไม่ยอมขยับออกจากตำแหน่ง


 


 


ดื่มซุปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนยกดื่มหมดในครั้งเดียว แถมตอนนั้นก็ยังไม่ยอมละวางดาบออกจากมือ


 


 


หลี่เฉิงเฉียนยังคงนั่งอยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน วางดาบไว้บนเข่า อวิ๋นเยี่ยยื่นขาไก่ไปให้เขา ให้เขาผ่อนคลายสักหน่อย ใส่ชุดเกราะใช่ว่าจะสบาย


 


 


“เมื่อครู่เสด็จแม่ของเจ้ามา ทำไมเจ้าไม่คุยด้วย”


 


 


หลี่เฉิงเฉียนที่กำลังแทะขาไก่พูดขึ้นมาว่า “ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะตัวติดกับเสด็จแม่ทำไมทั้งวันทั้งคืน นั้นมันเป็นสิ่งที่ชิงเชวี่ยควรทำ”


 


 


เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยพูดไม่ออก ตัดสินใจที่จะไม่สนใจไอ้งี่เง่านี่ หาที่นอนให้ตัวเอง เป็นเรื่องเดียวที่เขาควรรับผิดชอบ

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 51 หัวใจดั่งทองคำ

 

 


 


ไม่ว่าค่ำคืนจะยาวนานเพียงใดก็ต้องผ่านพ้นไปในที่สุด เมื่อรุ่งอรุณใกล้เข้ามา ชุดเกราะของเทพเจ้าที่ยืนอยู่ที่ประตูก็ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง หลี่เฉิงเฉียนเดินไปเดินมาไม่หยุด เขาอยากรู้ว่าท่านพ่อของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วหรือยัง


 


 


จั่งซุนตื่นเช้ามาก็เห็นอวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ กับหลี่เค่อหดตัวอยู่ในเสื้อคลุม นางปิดปากหัวเราะ เดินไปขอบคุณฉินฉยงกับอวี้ฉือที่ลำบากมาแล้วทั้งคืน


 


 


เหลือบมองดูพระอาทิตย์สีแดงที่กำลังขึ้นมา ทั้งสองคนกล่าวลาจั่งซุน ลากร่างกายอันเหนื่อยล้าออกไปจากพระราชวัง


 


 


อวิ๋นเยี่ยเผาแผ่นหินไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ความหนาวเย็นจึงไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา แต่หลังจากที่หลี่ไท่กับหลี่เค่อเข้ามา เขาก็ปวดเมื่อยทั้งตัว


 


 


“เมื่อคืนฝ่าบาทนอนหลับสนิท ตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น ไท่ซั่งหวงก็เช่นกัน”


 


 


ได้ยินจั่งซุนพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รีบบอกให้หลี่เฉิงเฉียนเตรียมรถม้าให้เขาคันหนึ่ง เขาจะกลับบ้าน ถ้าไม่ได้นอนสักสองวันสองคืน เขาก็จะไม่ยอมตื่น


 


 


รักษาอาการป่วยให้คนอื่น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย รักษาอาการป่วยให้ตระกูลหลี่กลับยังต้องเสี่ยงชีวิตด้วย ไอ้หยวนเทียนกัง ครั้งนี้เล่นงานเขาไว้หนัก เอามาแค่ ‘คัมภีร์หวงถิง’ ก็ถือว่าไม่ได้ทำเกินไป


 


 


กลับมาถึงเขาอวี้ซัน สงครามของซินเย่วกับน่ารื่อมู่สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของซินเย่ว อารมณ์ของหญิงมีครรภ์ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่อมู่เด็กเลี้ยงแกะจะรับมือได้ หันก้นให้ซินเย่วตีด้วยไม้ปัดขนไก่สองที


 


 


แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ซินเย่วเอาเครื่องประดับกล่องใหญ่ที่ตัวเองไม่ได้ใส่ให้กับน่ารื่อมู่ ตบหัวแล้วลูบหลัง ซินเย่วทำได้อย่างชำนาญ


 


 


น่ารื่อมู่ที่ซื่อบื้อ พอเห็นกล่องเครื่องประดับ นางก็ลืมความเกลียดชังที่ถูกซินเย่วตีก้นไปในทันที ถามซินเย่วอย่างซื่อบื้อว่า ถ้าให้ตีก้นอีกสักสองสามที จะให้เครื่องประดับนางอีกสักหน่อยได้หรือไม่


 


 


ซินเย่วมองบน คิดว่าสั่งสอนนางด้วยด้วยวิธีนี้คงจะได้ผล แต่มันกลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าน่ารื่อมู่


 


 


เห็นว่าไม่มีเครื่องประดับแล้ว น่ารื่อมู่ก็เลยถอดเสื้อผ้าออกก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะเข้านอน ให้อวิ๋นเยี่ยดูหลักฐานที่เขาถูกซินเย่วตี


 


 


ทำอะไรกับหญิงมีครรภ์พุงโตไม่ได้ ทำได้แค่พูดบ่นสองสามคำ ซินเย่วมองดูคนสองคนที่กำลังรักใคร่กันในผ้าห่ม นางก็โมโหขึ้นมา


 


 


นางเข้าไปนอนอยู่ตรงกลางอย่างหยิ่งผยอง ผลักน่ารื่อมู่ที่เปลือยกายอยู่ออกไป บอกว่าทำอะไรเหลวไหลกลางวันแสกๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม


 


 


ในบรรยากาศครอบครัวที่กลมกลืน อวิ๋นเยี่ยที่ง่วงนอนและเหนื่อยล้าจับตรงส่วนอ่อนไหวของซินเย่วสองที แล้วหลับไปอย่างมีความสุข


 


 


ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นตอนกลางคืนแล้ว แสงไฟสีแดงอมส้มลอดผ่านช่องว่างเข้ามา ช่างแสนอบอุ่น ขี้เกียจที่จะลืมตา ได้ยินน่ารื่อมู่กับซินเย่วกำลังกระซิบกระซาบคุยกัน


 


 


“ในบ้านไม่ได้มีผู้หญิงแค่เราสอง ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไร้ยางอาย นางใช้ยาจับท่านพี่ แล้วตอนนี้ลูกยังคลอดออกมาแล้วด้วย”


 


 


“ผู้หญิงประเภทนี้ไม่สมควรที่จะจมน้ำตายหรอกหรือ ฮ่วนเหนียงเคยเล่าให้ข้าฟัง เหตุใดถึงไม่จมน้ำตายไปซะ”


 


 


“นางเป็นลูกสาวของฮ่องเต้ ตระกูลนั้นไม่มีใครเป็นคนดีสักคน ดีที่นางอยู่ไกล ท่านพี่ก็ไม่ค่อยชอบหน้านาง หากนางอยู่ในเมืองก็คงจะใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้”


 


 


“ควรส่งให้ไปอยู่ไกลๆ ไกลกว่าฉ่าวหยวนอีกหรือ”


 


 


“แน่นอน หนึ่งเดือนก่อนที่เจ้าจะมาที่บ้าน นางก็ออกไปแล้วสามเดือน เจ้าเป็นภรรยารองที่ตระกูลต้อนรับ มีบรรดาศักดิ์ระดับแปด เป็นภรรยาที่สองของตระกูล ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงองค์หญิง แต่กลับไม่มีชื่อเสียงไม่มีตำแหน่ง และยังเป็นแม่ม่าย มาที่บ้าน แม้กระทั่งสุนัขก็ยังไม่สนใจนาง”


 


 


“แล้วเด็กจะทำเช่นไร เป็นลูกของท่านพี่ เราไปรับมาเลี้ยงดูดีไหม ที่ฉ่าวหยวน ผู้หญิงที่ผู้ชายไม่ต้องการไม่มีสิทธิ์เอาลูกไปด้วย”


 


 


“แน่นอนว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกตระกูลอวิ๋น ตระกูลของเราไม่ได้มีผู้สืบทอดมากนัก ผู้ชายก็มีท่านพี่แค่คนเดียว ในท้องของข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้หญิงคนนั้นก็ถือว่าโชคดี คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าจะให้ลูกชายแก่นาง มีตาหามีแววไม่”


 


 


“ในท้องของท่านพี่ต้องเป็นลูกชายแน่นอน ตอนที่ท่านแม่ของข้าคลอดน้องชายข้า ข้าบอกว่าเป็นลูกชาย สุดท้ายก็เป็นลูกชายจริงๆ”


 


 


“อืม ข้าก็คิดว่าเป็นลูกชาย เจ้าต้องพยายามมีอีกคน ตระกูลเรามีกิจการใหญ่โต ลูกข้าคนเดียวดูแลไม่ทั่วถึง อนาคตลูกที่อยู่ในท้องของข้าจะได้มีผู้ช่วยสักสองสามคน”


 


 


“เจ้าจัดการฉ่าวหยวนให้เรียบร้อยแล้วกลับมา เป็นภรรยาท่านโหวดีๆ ไม่เป็น แต่กลับอยากออกไปต้อนแกะ อยู่บ้านให้คนรับใช้ได้คอยรับใช้บ้าง”


 


 


“ข้าก็อยากมีลูก แต่ท้องของข้าไม่เคยขยับเลย”


 


 


“ยัยโง่ อยากมีลูก เจ้าต้องทำเช่นนี้…”


 


 


ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป ผู้หญิงสองคนอยู่ด้วยกันไม่มีเรื่องดี น่ารื่อมู่สาวชาวฉ่าวหยวนที่เรียบง่าย ตอนนี้ถูกซินเย่วชักจูงไปแล้ว รู้จักรังแกคนรับใช้แล้ว เห็นแค่สาวใช้ที่นวดขาให้นางก็รู้แล้วว่าคงจะไม่มีชีวิตที่ง่ายดายอีกต่อไป ต้องนวดให้แรงๆ แล้วยังต้องมีจังหวะ อย่าให้ปิ่นปักผมของนางตกลงมา


 


 


ซินเย่วได้ยินเสียงหายใจที่ดังขึ้นของอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าเขาตื่นแล้ว เอาผ้าขนหนูเปียกไปเช็ดหน้าให้เขา


 


 


“เอาผ้าขนหนูไปแช่น้ำร้อนแล้วเอามาโปะที่หน้า เมื่อคืนนอนตากลมหนาวทั้งคืน หน้าชาไปหมดแล้ว”


 


 


น่ารื่อมู่กระโดดลงมา เอะอะโวยวายเตรียมน้ำอุ่นและอาหาร สาวใช้ถูกนางสั่งให้วิ่งไปทั่ว


 


 


นอนหลับมาเกือบทั้งวัน ความง่วงและเหนื่อยล้าก็หายไปหมดแล้ว ไม่ต้องการอาหารใดๆ แค่ได้ทานก๋วยเตี๋ยวสักชามก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุข


 


 


ใส่รองเท้าแล้วเดินออกมาจากห้องนอน กลับมาถึงบ้านแล้ว ยังไม่ได้ไปอรุณสวัสดิ์ท่านย่าเลย


 


 


ท่านย่าไม่ได้นั่งรถม้าตระเวณตรวจกิจการของตระกูลอวิ๋นเหมือนสองปีที่ผ่านมาอีกต่อไป ตอนนี้นางสนใจเรื่องของพระพุทธเจ้า วัดทั่วทั้งฉางอัน นางก็ได้ทิ้งรอยเท้าของนางไว้หมดแล้ว บริจาคเงินก็ไม่เคยขี้เหนียว โดยเฉพาะวัดซืออันในเมืองฉางอัน ได้ยินมาว่าท่านย่าของตระกูลอวิ๋นขอท่านโหวมาจากที่นี่ ช่วงสองปีที่ผ่านมาที่นี่ถึงได้เป็นที่โด่งดัง ถ้าพระพุทธเจ้าทำตามความปรารถนาของคนพวกนี้ทุกคน ท่านโหวของต้าถังคงจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งแน่นอน


 


 


ทุกวันตอนเย็นก็ทำการบ้านไม่เคยขาด นั่งคุกเข่าในห้องพระ เคาะปลาไม้ นับลูกปัดหลากสีที่อวิ๋นเยี่ยได้มาจากพระสงฆ์ของลัทธิเต๋า สีหน้าเคร่งเครียดและยังดูมีความเมตตา


 


 


หลังจากที่ท่านย่าอ่านพระคัมภีร์จบ อวิ๋นเยี่ยก็เดินเข้าไป หยิบคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ท่านย่า


 


 


“ท่านย่า นี่คือสมบัติล่ำค่าของลัทธิเต๋า ‘คัมภีร์หวงถิง’ ที่เขียนโดยซีอ๋อง บนโลกใบนี้มีเพียงม้วนนี้ม้วนเดียว ท่านเก็บเอาไว้ นี่คือมรดกตกทอดของตระกูลเรา”


 


 


ท่านย่ารับ ‘คัมภีร์หวงถิง’ มา แตะที่เสาของห้องพระ มีหลุมอยู่ตรงกลางเสา ท่านย่าเอาคัมภีร์มาม้วนใหม่อีกครั้ง แล้วเก็บใส่ข้างใน แตะตรงรูปแกะสลักบนเสา ปากหลุมก็ปิดโดยอัตโนมัติ ช่างน่ามหัศจรรย์


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยสงสัย ท่านย่าก็เลยพูดว่า “หลุมเก็บสมบัตินี้ ย่าให้ท่านกงซูทำให้ตระกูลของเราเป็นพิเศษ ไม่กลัวไฟ ไม่กลัวน้ำ เป็นกลไกที่ดีมาก แม้แต่ขโมยก็ไม่มีทางหาเจอ”


 


 


หันหน้าไปดู ท่านย่ายังคงเก็บภาพวาดที่อวิ๋นเยี่ยวาดไว้เมื่อสองปีก่อน แต่ในหลุมเก็บสมบัติกลับไม่มีเงิน สิ่งที่มีอยู่คือตราประจำตระกูลอวิ๋น ภาพวาดบางภาพ หนังสือสูตรลับ รวมถึง ‘คัมภีร์หวงถิง’ ที่เพิ่งเอาใส่เข้าไปเมื่อครู่ นางยังคงคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือรากเหง้าของตระกูลอวิ๋น


 


 


ประคองท่านย่ากลับไปที่ห้องนอน อยู่คุยเป็นเพื่อนนางสักหน่อย แล้วถึงได้ขอตัวออกมา มองผ่านห้องของน้องสาวไปทีละห้อง ตอนนี้พวกนางโตเป็นสาวกันหมดแล้ว จะผลักประตูเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ ได้แค่ทำเสียงเตือนนอกหน้าต่าง ให้ระวังเตาไฟในห้อง


 


 


เดินมาถึงลานหน้าบ้าน ห้องของซ่านอิงว่างเปล่า เขากลับไปลั่วหยางแล้ว ประชาชนที่อ่อนแอนับร้อยคนได้ขังเขาไว้ที่ลั่วหยางอย่างแน่นหนา แม่บ้านบอกว่า ซ่านอิงเดินไปมาระหว่างห้องทำไม้ขีดไฟกับที่ทำงานทุกวันไม่ได้พัก


 


 


เหล่าเฉียนถือตะเกียงมองไปรอบๆ เจอกับอวิ๋นเยี่ยที่หน้าประตู เขาถือตะเกียงส่องทางให้กับเจ้านาย นายบ่าวเดินคุยกันอยู่ในจวน


 


 


“ทางบ้านปกติดีใช่ไหม”


 


 


“ครับท่านโหว ตระกูลของเราปกติมาโดยตลอด เพียงแต่ส่งคนออกไปค่อนข้างเยอะ ทางนี้เลยมีคนไม่เพียงพอ คราวนี้ที่ทำการขอให้ส่งไปยังองค์ชายใหญ่ของหลิ่งหนาน องครักษ์ของเราก็เหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบคน แถมยังส่งไปที่สำคัญที่อื่นๆ ส่วนที่เหลืออยู่ก็แทบจะเรียกมาไม่ได้”


 


 


“คนไม่พอก็หามาเพิ่มเยอะๆ เลือกคนที่รู้รากเหง้า เป็นคนดีก็พอ อย่าหาพวกที่มีฝีมือในการต่อสู้ พวกที่จิตใจไม่ดี”


 


 


“ท่านโหวคงไม่ทราบ นึกถึงพวกทหารพรานที่นับไม่ถ้วนของตระกูลเราล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่เอาไหน แม้แต่เหล่าฮั่นยังไม่มองพวกเขา คนพวกนั้นล้วนแต่หวังเงินของเรา ไม่มีใครดีสักคน หาจากพวกทหารเก่าดีกว่า มิเช่นนั้นก็คนรุ่นหลังของหมู่บ้าน เอามาฝึกฝนเองที่บ้าน”


 


 


ตอนนี้เหล่าเฉียนมีวิสัยทัศน์สูง พวกทหารพรานมีชื่อเสียงแย่ คิดว่าถ้าเอาพวกเขากลับมา มันจะทำให้ตระกูลอวิ๋นต้องอับอายขายหน้า สิ่งที่เขาเชื่อมากที่สุดก็คือพวกทหารที่อวิ๋นเยี่ยพากลับมาด้วย แล้วก็คนของหมู่บ้านตัวเอง มักจะคิดว่าคนอื่นไม่คู่ควรกับชื่อเสียงที่ดีและสะอาดบริสุทธิ์ของตระกูลตัวเอง


 


 


“เจ้าคิดเอาเองว่าจะจัดการเช่นไร ต้นฤดูใบไม้ผลิฮูหยินที่สองจะกลับฉ่าวหยวน จะไม่มีคนของตัวเองไปด้วยไม่ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าปล่อยให้บ้านเราไม่เหลือสักคนล่ะ”


 


 


“ท่านโหวสบายใจได้ขอรับ พรุ่งนี้ข้าจะไปเปิดรับสมัครพวกทหารกับพวกคนในหมู่บ้าน บอกว่าคนที่รับมาครั้งนี้จะต้องถูกส่งไปฉ่าวหยวน หากไม่มีใครมาสมัคร ข้าจะไปหาพวกทหารที่เกษียณไปแล้วของที่อื่น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอายุมาก แต่พวกเขาก็ยังมีฝีมือดี แค่พวกเขาได้ยินว่ามาทำงานให้ตระกูลเรา ต้องมาสมัครกันเยอะแน่ๆ พวกทหารเสริมกลุ่มใหญ่ที่รอเข้ามาบ้านเรายิ่งไม่ต้องพูดถึง”


 


 


“ปีนี้มีกี่คนที่ถูกปลดจากการเป็นทาส”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้เหล่าเฉียนก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา “ท่านโหวคงจะไม่ทราบ นี่เป็นบุญใหญ่ของการปลดปล่อยชีวิต บ้านอื่นได้ยินมาว่ากำลังรอข่าวดี ทุกคนล้วนอยากจะเป็นคนธรรมดา ไม่อยากเป็นคนรับใช้ แต่ตระกูลเรากลับตรงกันข้าม ทุกปีท่านจะปลดทาสสิบคน สองวันก่อนข้าก็ได้บอกเรื่องนี้กับพวกเขาแล้ว แต่ถึงตอนนี้มีแค่คนเดียวที่มาขอปลดทาส แล้วยังเป็นเพราะว่าลูกของตัวเองเป็นเด็กฉลาด ไม่อยากทำลายอนาคตของเด็ก ถามข้าว่าปลดทาสให้แค่ลูกของเขาคนเดียวได้หรือไม่ พวกเขาสองคนยังอยากอยู่รับใช้ที่ตระกูลของเราต่อ ถูกข้าถ่มน้ำลายใส่หน้าไปทีหนึ่ง”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้เหล่าเฉียนก็หัวเราะอย่างมีความสุข


 


 


เป็นเช่นนี้ก็ดี อวิ๋นเยี่ยคงไม่มีอะไรต้องกังวลกับเรื่องของที่บ้าน ความสามัคคีในบ้านเป็นเรื่องสำคัญ ไม่รู้ว่าพวกเศรษฐีในฉางอันถูกล้างสมองกันหมดทุกคนเลยเหรอ ประชาชนของต้าถังล้วนแต่เป็นคนเรียบง่ายและใจดี เพียงแค่เจ้ามีบุญคุณต่อพวกเขา พวกเขาก็ะจดจำมันไปตลอดชีวิต ช่วงวิกฤตพวกเขาก็พร้อมที่จะตอบแทนบุญคุณ แล้วยังไม่คิดถูกผิด ดูจากโต้วเยี่ยนซานก็รู้ ไอ้เจ้านั่นตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับโทษ ไม่รู้ว่าไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ไหน ทั้งหมดนี้เป็นผลของการมีคนรับใช้ที่จงรักภักดีจำนวนมาก


 


 


ถึงแม้ว่าตระกูลโต้วจะล่มสลายไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ หัวใจของคนเช่นนี้ ใช้ทองคำแลกมาก็ไม่ได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)