เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 46-48
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 46 การค้าขายของทุกคน
หลี่ซื่อหมินเอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้า เว่ยเจิงกับอวิ๋นเยี่ยเดินตามอยู่ข้างหลัง ไม่มีเป้าหมาย พวกเขาแค่เดินไปรอบๆ หมู่บ้าน วั่งไฉรออยู่สักพัก แต่เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ มันก็เลยลากรถม้ากลับบ้านไปเอง
หลี่ซื่อหมินเห็นอะไรก็สดใหม่ไปหมด เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ก็เดินเข้าไปวนรอบสักสองรอบโดยไม่มีความเกรงใจ ราวกับกลับบ้านของตัวเอง ที่เขาทำเช่นนี้ก็มีเหตุผล เพราะทั้งต้าถังก็คือบ้านของเขา
นึกถึงตอนที่หลิวปังได้ครอบครองโลก เขาถามพ่อของตัวเองว่า เมื่อก่อนท่านบอกว่าข้าทำการค้าขายด้อยกว่าพี่ใหญ่ ท่านดูตอนนี้ การค้าขายของข้าเป็นเช่นไร
พ่อของเขากับพวกขุนนางต่างพากันแสดงความยินดีกับหลิวปัง ไม่มีใครคัดค้าน จางเหลียงที่ชาญฉลาดก็ไม่คัดค้าน เห็นได้ว่าทุกคนต่างก็คิดว่าโลกใบนี้เป็นของหลิวปัง เหตุผลเดียวกัน ตอนนี้โลกใบนี้ก็เป็นของหลี่ซื่อหมินเช่นกัน
หลี่ซื่อหมินชอบดูกองเสบียงของชาวบ้าน ชอบดูเฟอร์นิเจอร์อันเรียบง่ายที่ทำจากท่อนไม้ ดูเนื้อที่ห้อยลงมาจากคานบ้าน เขารู้สึกมีความสุข ยื่นมือออกไปล้วงไข่อุ่นๆ ออกมาจากกองฟาง เหล่ตาและยิ้ม ถือไว้ในมือไม่ยอมคืนให้พวกเขา แถมยังบึนปากให้พวกชาวบ้าน
เขาไล่ตบก้นวัวของพวกชาวบ้านไปทั่ว เครื่องมือการเกษตรที่อยู่ตรงมุมกำแพง เขาก็ตรวจสอบว่าพวกมันมีสภาพดีอยู่ไหม สีทาบ้านสีใหม่ที่ชาวบ้านหามาอย่างยากลำบาก เขาลองแกะสีดูสักหน่อย ดูว่าทาสีหนาพอหรือไม่
พวกชาวบ้านล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เขาเอาไข่ไก่ไปก็ไม่มีใครมาเอาคืน เขาตบก้นวัวก็ไม่มีใครว่าอะไร แม้แต่ที่เขาแกะสีทาบ้านพวกนั้นก็ไม่มีใครด่าเขา ยังคงยิ้มหัวเราะเหมือนเดิม
เดินมาถึงบ้านหลังสุดท้าย มองไปในลานสวนที่ว่างเปล่านอกกำแพง หลี่ซื่อหมินพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าอยากจะมองบรรยากาศที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ถนน ภูเขา แม่น้ำลำธาร ล้วนแต่เป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย”
คนใหญ่คนโตก็มักจะมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ อวิ๋นเยี่ยเป็นแค่คนธรรมดา เขาขอแค่ชาวบ้านของตัวเองมีชีวิตที่มีความสุขก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำลำธาร แม้แต่ถนน ถ้าตระกูลอวิ๋นเข้ามาเกี่ยวข้อง มันคงจะเกิดเรื่องใหญ่
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หมู่บ้านของตระกูอวิ๋นไม่มีกฎห้ามยามค่ำคืน พวกชาวบ้านต่างพากันจุดไฟ นั่งทำการทำงานอยู่รอบๆ บ้าน คนที่อ่านหนังสือก็อ่านหนังสือไป วิถีชีวิตชาวบ้านก็ควรเป็นเช่นนี้ สงบกลมกลืนถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กำลังอ่านหนังสือ เสียงอ่านหนังสือของเขาลอดผ่านหน้าต่างออกมา
“ขงจื้อบอกว่าความมั่งคั่งและศักดิ์ศรีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่หากได้มันมาด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม ก็คงไม่มีทางได้เสวยสุข ความยากจนและความต่ำต้อยเป็นสิ่งที่ทุกคนเกลียดชัง แต่หากไม่กำจัดมันด้วยวิธีที่เหมาะสม ก็คงไม่มีทางกำจัดมันออกไปได้ หากสุภาพบุรุษไม่มีคุณธรรม ยังจะเรียกว่าสุภาพบุรุษได้เช่นไร”
หลี่ซื่อหมินยืนฟังเด็กชายคนนั้นอยู่นอกกำแพง ราวกับได้ยินเสียงของเทพพระเจ้า หลับตาฟังอยู่นาน ถึงได้ลืมตาขึ้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เด็กคนนี้ลืมท่องคำว่า ‘จือ’ พรุ่งนี้เขาคงจะถูกอาจารย์ลงโทษไม่เบา”
อวิ๋นเยี่ยได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เขาท่องผิดก็สมควรถูกลงโทษ อาจารย์ที่ตระกูลอวิ๋นเชิญมา ล้วนแต่เป็นผู้มีความยุติธรรม ล้วนแต่เป็นอาจารย์ที่เข้มงวด บางทีหากเขาถูกลงโทษ เขาก็อาจจะเข้าใจหลักการที่ถูกต้อง”
พวกเขาต่างมองหน้ากันแล้วยิ้ม เฝ้ารอดูเด็กคนนั้นถูกลงโทษ
“อวิ๋นโหว ข้าเคยได้ยินมาว่าความมั่งคั่งของที่นี่ไม่ได้อยู่บนพื้นดิน แต่อยู่ใต้ดิน เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่”
เว่ยเจิงช่างรู้ดี หลายวันมานี้เขาเข้ามาเดินเตร่ที่หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นอยู่ตลอด คุ้นเคยกับสถานการณ์ของชาวบ้านเป็นอย่างดี เพื่อที่จะเอาความดีความชอบมาเป็นของตัวเอง เรื่องถ้ำใต้ดินก็เอาออกมาพูด
“เรื่องของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่รู้ไหม” ถามเว่ยเจิงด้วยความหงุดหงิด
“มีหลายเรื่องที่ข้าไม่รู้ อย่างเช่นม้าของเจ้าสามารถปลูกเห็ดได้ ทำให้ตอนนี้เห็ดของฉางอันราคาขึ้น ภรรยาของข้าไม่เคยซื้อของราคาแพงพวกนั้น แต่เมื่อวานนางกลับซื้อไปครึ่งกิโล ทั้งหมดห้าร้อยเหรียญ นอกจากตระกูลเจ้าก็ไม่มีใครรู้ว่าปลูกเช่นไร นี่มันคือการปลูกเงิน ไม่ใช่การปลูกเห็ด”
หลี่ซื่อหมินมองดูอย่างเงียบๆ ดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะตอบเช่นไร
“มันช่างไม่สมเหตุสมผล เจ้ายังอยากให้ตระกูลอวิ๋นมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเจ้าทุกคนต่างก็หมกมุ่นอยู่กับการทำการค้าขาย แต่ไม่ให้ตระกูลอวิ๋นได้มีโอกาสค้าขาย ตอนนี้ข้าไม่ค้าขายแล้ว กลับไปทำไร่ทำนาที่บ้าน พวกเจ้าก็ไม่พอใจ เหตุใดกัน หรือว่าต้องให้ตระกูลอวิ๋นไม่มีที่ยืน พวกเจ้าถึงจะพอใจใช่หรือไม่”
ทันใดนั้นก็โมโหขึ้นมา ก็แค่เห็ดที่ปลูกอยู่ถ้ำใต้ดินไม่ใช่เหรอ คนรับใช้ที่ไม่มีอะไรทำเลียนแบบสภาพแวดล้อมของคอกม้า ไปขุดเห็นออกมาจากป่า ลองปลูกเองที่บ้านสองสามครั้ง คิดไม่ถึงว่ามันจะสำเร็จ อวิ๋นเยี่ยแค่บอกพวกเขาว่า เห็ดเกิดจากเซลล์เหล่านั้น สำหรับเซลล์อะไร เขาก็ไม่ได้อธิบายด้วยซ้ำ พวกที่กินอิ่มไม่มีอะไรทำ ก็พยายามปลูกมันขึ้นมาแล้วก็เอาไปให้ท่านย่าลองชิม
อวิ๋นเยี่ยโมโหมาก ลองปลูกเห็ดป่าให้สำเร็จ มันต้องผ่านการทดสอบล้างพิษ เจ้าไปหาแกะหรือหมูสักตัวก็ไม่ว่าอะไร แต่เจ้าใช้บรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นในการทดสอบ ฆ่าเจ้าให้ตายยังน้อยไป
เขามีนิสัยดื้อรั้น ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ก็โมโหขึ้นมา หยิบเห็ดดิบจากชามยัดเข้าปากเคี้ยว เอาแต่พูดว่ามันอร่อย กินเสร็จก็หยิบมาอีกอัน…
กระโดดโลดเต้นทั้งวัน แล้วยังมาโอ้อวดพลังที่เหนือมนุษย์ของตัวเองต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย ทำให้อวิ๋นเยี่ยถูกท่านย่าด่า
ตอนนี้เว่ยเจิงก็ยังมาพูดถึงการปลูกเห็ดของตระกูลอวิ๋นอีก น่าเกลียดชังเสียจริง
“หยุดก่อน จะบ่นอะไร เว่ยเจิงก็แค่พูดเรื่องหมู่บ้านของเจ้า ใครไม่อนุญาตให้เจ้าทำไร่ทำนา สำหรับข้า ข้าว่าเจ้าทำไร่ทำนามีประโยชน์มากกว่าจัดงานประมูลพวกนั้นเสียอีก แล้วอีกอย่าง ใครไม่อนุญาตให้เจ้าค้าขาย เจ้าหาเงินได้เยอะถึงเพียงนั้น แต่กลับใช้หมดในพริบตาเดียว ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายังมีกลุ่มพ่อค้าที่ไปสามก๊กของเหลียวตง ยังไม่รู้ว่าจะเอากำไรกลับมาให้เจ้าอีกตั้งเท่าไหร่ โชคดีที่ฮองเฮามีหุ้นส่วน ถึงตอนนั้นจะได้รู้ว่าเจ้าล้างผลาญสามประเทศนี้ไปแล้วหรือยัง”
ครั้งนี้เว่ยเจิงต้องการใช้อำนาจของฮองเต้ ทำให้ตระกูลอวิ๋นก้มหัว เอาของที่มีประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนออกมา ให้ประชาชนก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน สิ่งที่เขาดูถูกที่สุดก็คือการเก็บสมบัติล้ำค่าพวกนั้นเอาไว้ คนขี้เหนียวที่ไม่ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศัตรูกับตระกูลอวิ๋น
สุดท้ายมีบ้านหลังหนึ่งที่กำลังจุดไฟอยู่ ชายอ้วนที่มีฐานะกำลังพาลูกชายทั้งสามของเขาย้ายแผ่นหินที่อยู่ตรงกำแพง ย้ายมันไปเชื่อมต่อกับแผ่นหินที่อยู่ตรงถนนด้วยความลำบาก
เห็นการแต่งตัวของพ่อลูกทั้งสี่คน ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงินจ้างแรงงาน หลี่ซื่อหมินไม่เข้าใจ ก็เลยเดินไปถามว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงออกมาย้ายแผ่นหินตอนกลางค่ำกลางคืน พรุ่งนี้จ้างแรงงานสักสองสามคนมาย้ายให้ไม่ดีกว่าเหรอ”
ชายอ้วนที่มีฐานะยืนเช็ดเหงื่ออยู่บนแผ่นหิน เทเม็ดทรายที่อยู่ในที่ตักลงในรอยแยกของหิน แล้วตอบว่า
“สหายผู้นี้ น่าจะไม่รู้กฎระเบียบของหมู่บ้าน เหล่าฮั่นได้ซื้อพื้นที่โล่งด้านหลังไว้แล้ว กำลังจะสร้างบ้าน หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมีช่างก่อสร้างฝีมือดีอยู่แล้วแน่นอน ไม่จำเป็นต้องให้เหล่าฮั่นลงมือเอง แต่ก่อนที่จะสร้างบ้านต้องปูถนนก่อน ทางบ้านก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินสำหรับปูถนน แต่ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่หัวหน้าหมู่บ้านปูเองกับมือ เหล่าฮั่นจะจ้างแรงงานมาปูได้เช่นไร เขาปูเองกันหมด ถึงทีของตัวเองกลับจ้างแรงงาน ต่อไปจะให้เหล่าฮั่นมีหน้าไปพบปะผู้คนในหมู่บ้านได้เช่นไร
หลายปีมานี้ตระเวนค้าขายไปทั่วทุกแห่ง แต่หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นเป็นที่เดียวที่ข้าอยากจะอาศัยอยู่ ในเมื่ออยากจะอาศัยอยู่ที่นี่ ก็ต้องทำตามกฎระเบียบของหมู่บ้าน ลูกหลานจะได้ไม่ถูกรังเกียจ ที่อื่นทำงานอาจจะถูกคนหัวเราะเยาะ แต่ที่นี่กลับไม่ใช่ ได้ยินมาว่าท่านย่าของตระกูลอวิ๋นก็ทำไร่ทำนาที่จวนทุกวัน อวิ๋นโหวก็เคยเลี้ยงหมู ทำสวนมาก่อน เหล่าฮั่นเป็นใครมาจากไหนถึงปูพื้นถนนไม่ได้ ตอนกลางวันในร้านค่อนข้างยุ่ง ก็เลยต้องออกมาทำตอนกลางคืน”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้าและพูดกับชายที่มีฐานะคนนั้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ควรปูถนนเองจริงๆ”
ชายที่มีฐานะคนนั้นรีบพูดต่อว่า “ท่านเป็นแขกที่มีเกียรติ ร้านของข้าน้อยอยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน ขายพวกเครื่องเขินจากหยางโจว หากท่านมีความต้องการ ส่งคนมาบอกข้าก็ได้ ข้าจะเตรียมไปให้ท่านเลือกที่จวน ไม่ใช่ว่าเหล่าฮั่นโม้ ล้วนแต่เป็นผลงานชิ้นเอกทั้งหมด เครื่องเขินที่ใหม่ที่สุดก็ยังมี”
หลี่ซื่อหมินยิ้มแต่ก็ไม่พูดอะไร เดินกลับมาที่ถนนใหญ่แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับหมู่บ้านของเจ้า วันนี้เย็นมากแล้ว คงจะดูไม่ครบ พรุ่งนี้ค่อยมาดูต่อแล้วกัน ถ้ำใต้ดินของบ้านเจ้าเป็นยังไงกันแน่ ตอนนี้กลับไปที่บ้านเจ้าดีกว่า ข้าหิวแล้ว ถ้าเจ้ากล้าให้ข้าทานปลาคราฟได้เห็นดีกันแน่”
พอหลี่ซื่อหมินมา อวิ๋นเยี่ยก็ไม่สามารถหลีกหนีการเป็นพ่อครัวได้ โชคดีที่เตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ห้องครัวก็ได้รับการตรวจสอบโดยหน่วยองครักษ์เป็นที่เรียบร้อย พ่อครัวอ้วนที่บ้านก็เห็นอะไรมาแล้วมากมาย เผชิญหน้ากับการตรวจสอบก็ทำงานอย่างไม่ร้อนใจ แล้วยังให้เหล่าข้าราชองครักษ์มาช่วยจุดไฟเป็นครั้งเป็นคราว เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ท่านโหวจะกลับมาทำเอง
หลี่ซื่อหมินไม่อยากทำให้คนในตระกูลอวิ๋นแตกตื่น เขาก็เลยนั่งพูดคุยกัยเว่ยเจิงที่สวนดอกไม้ ภรรยาของตระกูลอวิ๋นยังคงซื้อของอยู่ในเมืองฉางอัน เย็นนี้คงกลับมาไม่ทัน คงจะนอนอยู่ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง
หลี่ซื่อหมินชอบกินพวกอาหารทอดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกชิ้นเปรี้ยวหวาน เขาเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูง การกินของพวกนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาเลย แต่ถ้าไม่ให้เขากิน ก็คงจะส่งผลเสียร้ายแรงต่ออวิ๋นเยี่ย โดยเฉพาะตอนที่ฮองเฮาจั่งซุนไม่อยู่ด้วย
เนื้อตุ๋นขนาดเท่ากำปั้น คนเดียวกินไปสองชิ้น จากนั้นก็กินลูกชิ้นไปอีกหนึ่งจาน เขาหัวเราะเยาะผัดรากบัวที่อวิ๋นเยี่ยทำ บอกว่ามันเป็นของที่ผู้หญิงกินกัน ผัดมันฝรั่งก็กินจนเกลี้ยง แต่แค่กินไปบ่นไป บอกว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นจอมล้างผลาญ เมล็ดพืชก็ยังเอาออกมากิน
เมื่อยกชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อมาวางตรงหน้า ในที่สุดเขาก็เงียบไป ปรุงพริกสีแดง เติมน้ำส้มสายชูด้วยตัวเอง กินก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่จนหมดเกลี้ยง บนหัวเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ให้พ่อครัวของเจ้าสอนอาหารมื้อนี้ให้กับพ่อครัวในวังด้วยสิ อาหารในวังไม่อร่อยเท่าของบ้านเจ้าเลย”
ยกถ้วยชาเขียวขึ้นมาจิบแล้วจงใจวางไว้ตรงหน้าของอวิ๋นเยี่ย เห็นความเศร้าโศกและความโกรธที่ผิดปกติของอวิ๋นเยี่ย กาน้ำชาที่ตัวเองเก็บไว้ตั้งสองปี คงจะเอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว
พักผ่อนสักพักแล้วหลี่ซื่อหมินก็กลับไปที่เขาอวี้ซัน เว่ยเจิงกลับไปด้วย ไม่รู้ว่าพวกองครักษ์ไปแอบอยู่ที่ไหน โผล่ขึ้นมาราวกับผีสางนางไม้ เดินตามรถม้าของหลี่ซื่อหมินขึ้นไปบนเขา มองออกไปไกลๆ ไม้ที่จุดไฟในมือของพวกองครักษ์คดเคี้ยวไปตามเขาอวี้ซันราวกับมังกรไฟ
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 47 การมาของวิญญาณร้าย
หลี่ซื่อหมินไม่ได้มาพักร้อนที่เขาอวี้ซัน แต่เขามาเพื่อที่จะหลบหนีต่างหาก เพราะไม่อาจอยู่ที่พระราชวังได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดหลี่หยวนถึงเกิดอาการบ้าคลั่งขึ้นมา อยากย้ายกลับไปอยู่ที่ตำหนักไท่จี๋ ใครห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง เอาแต่พูดว่าในวังใหม่มีผีจะมาเอาชีวิต ตกใจทั้งวันทั้งคืน ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง บวกกับการที่มีลมพายุฝนฟ้าคะนอง สาวใช้สองคนที่อยู่เวรตอนกลางคืนถูกทำร้าย เครื่องประดับบนหัวละลายกลายเป็นน้ำสีทอง
ที่จริงแล้วคนที่ฝันร้ายไม่ได้มีแค่หลี่หยวนคนเดียว ยังมีหลี่ซื่อหมินอีกคน ฆ่าคนมากเกินไป ทำเรื่องเลวร้ายมากเกินไป แน่นอนว่าจะต้องมีฝันร้ายเกิดขึ้น
ตำหนักไท่จี๋ติดตั้งสายล่อฟ้า ดังนั้นสองปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีฟ้าร้องฟ้าผ่ารบกวน หมอดูในวังก็บอกว่าตำหนักไท่จี๋เป็นสถานที่ที่มงคลและปลอดภัยที่สุดในวัง
หลี่ซื่อหมินเป็นลูกชาย และต้าถังก็ได้ก่อตั้งขึ้นด้วยความเมตตากรุณาและความกตัญญูกตเวที ไม่มีทางเลือกอื่น เขาเลยต้องยกตำหนักไท่จี๋ให้หลี่หยวนเป็นที่หลับนอน
หลี่ซื่อหมินที่ย้ายออกมาจากตำหนักไท่จี๋ก็ฝันร้ายเช่นกัน การฝันครั้งนี้ดุร้ายกว่าเสด็จพ่อของเขาด้วยซ้ำ หันนอนตะแคง ก็นึกถึงที่พักที่อยู่บนเขาอวี้ซันขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะเล็กไปหน่อย แต่กลับทำให้เขานอนหลับสนิท เป็นคืนที่ทำให้เขาทรมานอีกคืนหนึ่ง โชคดีที่มีม้าเร็ววิ่งออกนอกเมือง เตรียมที่จะมานอนหลับฝันดีบนเขาอวี้ซัน
ได้ยินข่าวลือหลังจากซินเย่วกลับมา อวิ๋นเยี่ยถึงได้เข้าใจว่าทำไมเมื่อวานหลี่ซื่อหมินถึงดูสีหน้าไม่ค่อยดี โศกเศร้าและหดหู่ได้ง่าย เดิมทีความรู้สึกสองอย่างนี้ไม่มีทางทีจะเกิดขึ้นกับหลี่ซื่อหมินได้ อำนาจเหนือโลกคือสิ่งเดียวที่เขาควรจะมี
ไม่แปลกใจที่หลี่ซื่อหมินจะฝันร้าย อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาวางหัวลงบนท้องของซินเย่ว สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ สำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของลูก หลี่ซื่อหมินตกใจแทบตาย หลี่เฉิงเฉียนสืบทอดตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่ดี จากผลงานของเขาในช่วงสองปีที่ผ่านมา เห็นได้ว่าหลี่เฉิงเฉียนคงจะเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างแน่นอน
น่ารื่อมู่กอดแขนของอวิ๋นเยี่ยเขย่าไปมา อยากให้ท่านพี่ดูผลงานของตัวเองในช่วงสองวันที่ผ่านมา ผู้หญิงโง่ ซื้อของสองวันใช้เงินไปหกร้อยเหรียญ แค่เครื่องประดับบนหัวของซินเย่วก็ราคาเท่านี้
รถคันใหญ่สามคัน อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็รู้สึกตาลาย ล้วนแต่เป็นสิ่งของอะไรกัน ตุ๊กตาอาฝูตัวใหญ่เจ็ดแปดตัว กลองใหญ่สองใบ หม้ออีกสิบกว่าใบ เครื่องมือเครื่องใช้อีกสี่ห้าชุด แล้วยังมีเกลืออีกหนึ่งลำรถ อานม้าที่สวยงามอีกสองสามอัน ขวานและมีดที่แหลมคม ได้ยินซินเย่วบอกว่า ถ้าไม่ห้ามนางไว้ น่ารื่อมู่คงจะซื้อเหล้าคุณภาพต่ำที่ตระกูลอวิ๋นเอาออกไปขายนอกตลาดกลับมาด้วย
เห็นน่ารื่อมู่เอาเลื่อยออกมา เลื่อยไม้หนาออกเป็นสองท่อนในทันที นางถือไม้ที่หักเป็นสองท่อนให้อวิ๋นเยี่ยดู สิ่งของเต็มสามคันรถ นอกจากตุ๊กตาอาฝู ก็ไม่มีของชิ้นไหนที่ซื้อให้ตัวเอง
ซือซือถือมีดที่งดงามไว้เล่มหนึ่งไม่ให้ใครแตะ ด้ามจับของมีดฝังด้วยหยก ดูจากรอยเกล็ดหิมะของมีดก็รู้ว่านี่คือมีดเหล็กจริงๆ
เงินของนางไม่พอ ขอยืมซินเย่วเพิ่มถึงซื้อมีดเล่มนี้มาได้ และสัญญากับอวิ๋นเยี่ยว่า นางจะไม่เอาเงินค่าขนมอีกหนึ่งปี กินข้าวให้น้อยลงหน่อยด้วยก็ได้
เมื่อเทียบกับความเรียบง่ายของซือซือ เสี่ยวอู่ซื้อของให้ตัวเองเป็นกอง ที่ใส่อยู่บนหัว ที่สวมอยู่บนตัว ที่เหยียบอยู่ที่เท้า เสื้อชั้นในที่มีระดับซึ่งว่ากันว่าสวมใส่สบาย เสี่ยวอู่ก็ซื้อให้ตัวเองชุดหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยบังเอิญไปเห็น นางก็ร้องไห้โฮด้วยความน้อยใจ
ต้ายาได้หนังสือกลับมาหนึ่งกล่อง เสี่ยวยาได้ของเล่น ขนมกับผลไม้เชื่อมกลับมาเป็นกอง
เสี่ยวตงหาเงินได้ไม่น้อย ใช้เหรียญทองแดงไปแลกเงินในมือของคนอื่นจนหมด ถุงเงินถุงใหญ่ห้อยอยู่ที่เอว ทำให้นางเดินโซซัดโซเซ
กลับเข้ามาในบ้าน น่ารื่อมู่มองดูซิวเย่วหยิบเครื่องประดับออกมาจากกล่องทีละชิ้น ถึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป กัดนิ้วแล้วมองไปที่เครื่องประดับอันแวววาวของซินเย่วด้วยความอิจฉา
อวิ๋นเยี่ยหยิบเครื่องประดับสีแดงของซินเย่วออกมาชุดหนึ่ง เครื่องประดับชุดนี้เข้ากับน่ารื่อมู่ ใส่แล้วนางดูมีเสน่ห์มากขึ้น
ซินเย่วระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่พอหันกลับมาก็เห็นน่ารื่อมู่ใส่เครื่องประดับวิ่งออกไปอย่างมีความสุข
ซินเย่วทุบที่ขาของอวิ๋นเยี่ยสองทีอย่างไม่มีทางเลือก รีบเก็บของของตัวเองไว้ในกล่องไม้ แถมยังล็อคอีกต่างหาก
“กล่องของเจ้าเต็มหมดแล้ว เจ้าก็ไม่ใส่ นี่คือพฤติกรรมมฟุ่มเฟือยอย่างร้ายแรง ตั้งแต่น่ารื่อมู่เข้ามาอยู่ที่บ้าน เจ้าก็เอาแต่ใส่อัญมณีสีเหลืองอันนี้ ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นภรรยาหลัก”
ซินเย่วถอดเครื่องประดับออกจากหัว เช็ดให้สะอาดด้วยผ้าไหมอย่างเบาๆ วางใส่ลงในกล่องไม้ข้างหมอน ตบที่กล่องแล้วพูดว่า “เครื่องประดับในกล่องพวกนั้นไม่ใช่ของหายาก หม่อมฉันมีแค่ชิ้นนี้ก็เพียงพอแล้ว ชิ้นอื่นล้วนแต่ทำจากคนธรรมดา มีแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวที่แม้แต่ช่างฝีมือดีที่สุดในโลกก็ยังไม่สามารถทำขึ้นมาได้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ มันจะต้องมาจากอาณาจักรของเทพเจ้าเป็นแน่
ท่านพี่ ท่านคิดว่า ตระกูลของอาจารย์เป็นตระกูลเทพเจ้าหรือเปล่า ท่านเคยเห็นเขาแสดงพลังวิเศษหรือไม่”
“สำหรับข้าแล้ว ท่านอาจารย์เป็นเหมือนเรื่องราวในอดีตของข้า มีพลังวิเศษหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าเจ้าจะมองเช่นไร เขามีพลังวิเศษมากมาย แต่ข้ากลับเล่าให้เจ้าฟังทีละอย่างไม่ได้ เจ้าไม่มีทางจะเข้าใจ และไม่มีทางจินตนาการได้ ไม่ต้องรู้น่าจะดีกว่า”
พูดถึงเรื่องในอดีตอวิ๋นเยี่ยก็รูสึกหงุดหงิด ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นคนโกหกอีกนานแค่ไหน เรื่องราวในอดีตถูกเขาฝังเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จะเอ่ยถึงมันก็ไม่ได้ พอเอ่ยถึงก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
“ท่านพี่ ข้าผิดเองที่ทำให้ท่านนึกถึงเรื่องในอดีต ท่านอาจารย์มีบุญคุณกับท่านราวกับพ่อแม่ ท่านไม่ต้องเสียใจ หากท่านคิดถึงเขาก็ไปกราบไหว้เขาที่ห้องพระสักหน่อยก็ได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน คอยเฝ้าประตูให้ท่าน ไม่ให้ใครเข้าไป ท่านกับท่านอาจารย์ก็พูดคุยกันไป ท่านอาจารย์เป็นเทพเจ้า เขาอาจจะได้ยินที่ท่านพูด”
อวิ๋นเยี่ยกับซินเย่วมาถึงห้องที่เอาไว้กราบไหว้ท่านอาจารย์ ซินเย่วย้ายเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นั่งอยู่หน้าประตู บอกผู้ดูแลว่าไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษอย่างหนัก
ทุกคนต่างก็ล้วนแต่มีจุดอ่อน และจุดอ่อนของอวิ๋นเยี่ยก็คือเรื่องในอดีตที่ตัดไม่ขาด
เงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้ของท่านอาจารย์ ยังมีภาพวาดของเขา จุดธูปดอกหนึ่ง ไม่ได้ไหว้บรรพบุรุษ แต่ไหว้เรื่องราวในอดีตที่เขาสูญเสียไปตลอดกาล
ทิ้งตัวลงบนเบาะรองนั่งใบใหญ่ พยายามระลึกถึงใบหน้าที่ทั้งเลือนรางและชัดเจนเหล่านั้น ใบหน้าของพวกเขาซ้อนทับกันอย่างเป็นธรรมชาติ อดีต ปัจจุบัน อนาคตล้วนแต่เป็นภาพลวงตา ตัวเองเป็นเพียงแขกที่ผ่านเข้ามา สำหรับคนรุ่นหลัง ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีอนาคต สำหรับต้าถัง ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีอดีตและมีเพียงปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นของเขาเองไปชั่วนิรันดร์
ราวกับคนที่ยืนอยู่ตรงทางแยก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนมันก็ล้วนแต่เป็นการเดินทางครั้งใหม่
ธูปดับแล้ว ความคิดถึงก็ควรจะจบลงได้แล้ว จมปลักอยู่กับเรื่องในอดีต คือการขาดความรับผิดชอบต่อปัจจุบัน คนที่ฉลาดจะไม่เลือกที่จะจมปลัก ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนการทรยศหักหลังก็ตาม
ผลักประตูออกไป ซินเย่วยังคงนั่งอยู่หน้าประตู ลูบท้องของตัวเองอย่างสงบสุขราวกับรูปปั้น อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปกอดนาง กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “ขอบใจเจ้านะ”
หลี่เฉิงเฉียนมาแล้ว นั่งรออยู่ที่ห้องโถงอยู่นาน ผู้ดูแลบอกว่าท่านโหวกำลังไว้ท่านอาจารย์อยู่ จะไม่พบเจอใครทั้งนั้น เดิมที่เขาควรที่จะกลับไปอย่างมีมารยาท แต่เมื่อนึกถึงขอบตาดำของพ่อกับปู่ของตัวเอง ก็ไม่มีเวลาสนใจเรื่องของมารยาท นั่งรออยู่ที่ห้องโถงอย่างเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาบ้านตระกูลอวิ๋นอย่างเงียบๆ
“เฉิงเฉียน ทำไมเจ้าถึงรีบมาเวลานี้ เจ้ากลับไปตอนนี้ประตูเมืองก็คงจะปิดแล้ว”
หลี่เฉิงเฉียนแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งต่ออวิ๋นเยี่ยและบอกว่า “วันนี้เจ้ากราบไหว้ท่านอาจารย์ เป็นวันที่ดี ข้าไม่ควรมารบกวนเจ้า แต่เสด็จพ่อกับท่านปู่ของข้าผอมซูบลงทุกวัน ถูกผีหลอกจนนอนไม่หลับ เสด็จแม่ก็เช่นกัน ข้าไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ เยี่ยจึ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าคิดหาวิธีที่ทำให้พวกท่านนอนหลับอย่างสงบ ถึงแม้จะเเค่คืนเดียวก็ตาม”
ป่วยทางจิตบางครั้งก็อาจจะติดต่อกันได้ หลี่ซื่อหมินถูกพ่อของตัวเองเอามาปล่อย ที่แท้ไม่เป็นอะไร แต่เห็นพ่อตัวเองเสียขวัญ เขาก็กังวลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าความกังวลเลยทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านตอนกลางคืน เมื่อจิตใจฟุ้งซ่านไม่ฝันร้ายก็แปลก
“เรื่องเช่นนี้เจ้าไม่ไปหาหยวนเทียนกัง หลี่ฉุนเฟิง แต่กลับมาหาข้า มาผิดทางหรือเปล่า”
ไม่อยากสนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องความลับของราชวงศ์ รู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เข้าไปเกี่ยวข้องไม่มีอะไรดี มีแต่ข้อเสีย ไม่สู้โยนให้กับนักต้มตุ๋นที่โด่งดังสองคนนั้นดีกว่า
“ไม่มีประโยชน์ พิธีกรรมก็ทำแล้ว แม้แต่พระภิกษุสงฆ์ที่ไม่เคยนิมนต์ก็นิมนต์มาแล้ว ไม่มีประโยชน์ ตอนกลางคืนก็ยังคงมีผีมาหลอก หยวนเทียนกังบอกว่าเกิดจากการคิดมากเกินไป สติที่อ่อนแอนำไปสู่การรุกรานของภูตผีปีศาจ พลังของเขามีน้อยเกินไป ไม่สามารถกำจัดได้ บอกให้เสด็จแม่ของข้าไปหาผู้ที่เก่งกว่า อย่างเช่นเจ้า”
เห็นท่าทางกังวลใจของหลี่เฉิงเฉียน อวิ๋นเยี่ยก็ปฏิเสธไม่ลง เขามีวิธีง่ายๆ แค่เอากัญชาต้มให้สองพ่อลูกใช้ ก็จะหลับไปทันที รับประกันว่าจะไม่ฝันอะไรทั้งนั้น แต่คนที่ทำให้พวกเขานอนไม่หลับก็คือบาปกรรมของพวกเขาเอง ถ้ากำจัดปีศาจร้ายในใจไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลถ้าไม่ใช่รูปปั้นเทพเจ้าทั้งสอง
“เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ปีศาจพวกนั้นถูกรัชทายาทกับฝ่าบาทสังหารไปแล้ว ตายไปแล้วก็แค่นั้น วันนี้ก็ฆ่าพวกมันอีก แต่เจ้าต้องไปเชิญแม่ทัพที่มีความสามารถมาสองท่าน แม่ทัพที่ฆ่าคนอย่างโหดเ**้ยม สวมชุดเกราะทั้งตัว ให้พวกเขาคอยเฝ้าประตูให้ฝ่าบาท ที่เหลือข้าจัดการเอง เรื่องเล็กน้อย”
ในเมื่อสู้ก็ตายไม่สู้ก็ตาย ทำไมไม่ยอมรับมันอย่างมีความสุข หนังสือประวัติศาสตร์ก็บอกไว้อย่างชัดเจนว่าหลี่ซื่อหมินต้องมีรูปปั้นเทพเจ้ายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูถึงจะนอนหลับไม่ใช่เหรอ
หลี่เฉิงเฉียนถูมือด้วยความดีใจ และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องมีวิธี เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าคิดว่าจะหาใครสองคนมายืนเฝ้าประตูให้เสด็จพ่อดี”
“ยังจะต้องคิดอีกเหรอ อวี้ฉือ กั๋วกงของฝ่าบาททั้งสองท่าน เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ให้พวกเขาสวมชุดเกราะ อย่าลืมถือดาบ ง่ายๆ คือพวกเขาอยู่ในสนามรบแต่งกายเช่นไร คืนนี้ก็ต้องแต่งเช่นนั้น
วันก่อนฝ่าบาทมาทานข้าวที่บ้านข้า แต่ทำไมถึงไม่พูดเรื่องนี้กับข้า”
พูดอย่างผ่อนคลาย แต่ตอนนี้ถ้าอวิ๋นเยี่ยตัดสินใจไม่สั่งสอนอาจารย์กับศิษย์ที่ผลักเขาลงไปในหลุมไฟคู่นั้น มันคงยากที่จะล้างความเกลียดชังของเขาได้
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 48 การแสดงของหยวนเทียนกัง
เมื่ออวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปในประตูจูเชวี่ยฟ้าก็มืดแล้ว กลางวันของฤดูหนาวมักจะสั้น ลมพัดมาจากทางเหนือ กระทบกับยอดไม้เกิดเสียงครวญคราง ลอยอยู่เหนือพระราชวังไม่ไปไหน
ขันทีและสาวใช้ในวังต่างก็พากันวิ่งเหยาะๆ ในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกที่ไม่สามารถปกปิดได้
อวิ๋นเยี่ยมองไปรอบๆ แล้วพยักหน้า นี่เป็นสถานที่ที่ดีในการถ่ายทำหนังผี สภาพแวดล้อมน่ากลัวพอสมควร บวกกับสีหน้าท่าทางพวกขันทีและสาวใช้ในวัง ความกดอากาศลดต่ำลงทันที อยู่ในสถานที่เช่นนี้นานๆ ไม่แปลกที่จะเป็นบ้า
ประตูเมืองด้านหลังปิดลงพร้อมกับเสียงโครมครามอีกครั้ง ทันใดนั้นภายในประตูเมืองก็มืดลงเรื่อยๆ ราวกับปากอันใหญ่โตที่พร้อมจะงับคนได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าอู๋เสอโผล่มาจากไหน ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชินกับพฤติกรรมมาๆ หายๆ ของเขาอยู่แล้ว คงจะตกใจจนล้มป่วยไปแล้ว
“ครั้งต่อไปช่วยมาแบบมีเสียงเดินหน่อยได้ไหม โผล่มาอยู่ข้างหลังเช่นนี้ คนไม่เป็นอะไรก็คงจะตกใจเจ้าจนล้มป่วย คำโบราณพูดไว้ไม่มีผิด ตกใจคนด้วยกันเอง ตกใจแทบตาย เจ้าโผล่มาครั้งหน้าก็ช่วยมีเสียงเดินหน่อย ไม่เช่นนั้นคนดีๆ อยู่ก็คงตกใจเจ้าจนล้มป่วยไป”
อู๋เสอหัวเราะและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอวิ๋นเยี่ยโหวเป็นถึงศิษย์ของเทพเจ้า ก็กลัวผีเหมือนกันหรือขอรับ”
“ในทางตรงกันข้าม ข้ากลัวคนมากกว่า เรื่องของผีสางอยู่ที่ความเชื่อ ข้าเคยเห็นแต่คนหลอกคน ไม่เคยเห็นผีหลอกคน ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ไม่เชื่อแล้วก็ไม่ลบลู่ และแน่นอนว่าท่านอาจารย์ก็เคยพูด เห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว”
ทั้งสองคนพูดคุยกันและเดินเข้ามายังพระราชฐานชั้นใน ในนี้ก็ใหญ่โตกว้างขวางเช่นเดียวกัน ใช้เวลาธูปหนึ่งดอกในการเดินมาถึงริมทะเลสาบ ไม่รู้ว่าใครมาปลูกดอกบัวไว้เต็มทะเลสาบ ใบไม้แห้งราวกับหมวกที่ปกคลุมอยู่บนกิ่งไม้ พอลมพัดก็ส่งเสียงอันน่ากลัว ราวกับเสียงคนเดินไปมา
ยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบ ยื่นมือไปดึงดอกบัวแห้งมาเขย่า เมล็ดบัวที่อยู่ข้างในก็ส่งเสียงดังไม่หยุด ราวกับเสียงของเล่นที่ใส่เม็ดทรายขนาดเล็ก
อวิ๋นเยี่ยเดินไปทางทิศตะวันตก อู๋เสอไม่เข้าใจ ฮ่องเต้อยู่ทางทิศเหนือ หยวนเทียนกังก็กำลังคอยเฝ้าดูความปลอดภัยอยู่ ทำภารกิจที่สำคัญที่สุดในค่ำคืนนี้ ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเดินไปทางทิศตะวันตกทำไม คิดว่าน่าจะมีอะไรพิเศษ ก็เลยเดินตามเขาไป
ไม่ได้กินข้าวเย็น ขี่ม้ามาตลอดทาง ไม่รู้ว่าจะไปหาของกินที่ไหน อวิ๋นเยี่ยก็จะเดินไปทางทิศตะวันตก ไม่ใช่เพราะอะไร ก็เพราะว่าห้องครัวของพระราชวังอยู่ทางทิศตะวันตก
ไม่เลวเลยทีเดียว แม่ครัวของตระกูลอวิ๋นตอนนี้เป็นแม่ครัวใหญ่ในวัง เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มจนตาหรี่ ดูเหมือนจะมีชีวิตในวังที่ดี ร่างกายก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้น เดินสองก้าวทั่วร่างกายก็สั่นเทิ้มไปด้วยไขมัน
“ฮวาเหนียง ข้าขอไก่หนึ่งตัว เอาแบบย่าง มีแบบพร้อมกินเลยก็ดี หิวจะตายอยู่แล้ว รีบหน่อย”
ฮวาเหนียงรู้ว่าท่านโหวเป็นคนไม่ชอบหิว หิวก็ต้องได้กินเลย ไม่เช่นนั้นจะโมโหหิว นางรีบหยิบไก่ตัวอ้วนที่ย่างอยู่ในเตาไฟออกมา ห่อด้วยใบบัวแล้วยื่นให้อวิ๋นเยี่ย
รับไก่ย่างมาจากฮวาเหนียง เอาฝักบัวในมือยื่นให้นางแล้วพูดว่า “ไปเด็ดฝักบัวมาเพิ่มอีกสักหน่อย เอาเม็ดบัวออกมาทำโจ๊ก ใส่เห็ดหูหนูขาว ใส่น้ำตาลนิดหน่อย แค่ให้มีรสชาติบ้างก็พอ”
พูดเสร็จก็ดึงน่องไก่มาแทะ อู๋เสอทนรอให้เขากินเสร็จไม่ได้จริงๆ คว้าอวิ๋นเยี่ยเดินไปทางตำหนักไท่จี๋อย่างรวดเร็ว
ในตำหนักไท่จี๋มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย จุดไม้จันทร์หอมไปทุกแห่งราวกับไม่ได้ใช้เงินซื้อ กระจกแปดเหลี่ยมแขวนอยู่ที่ปากประตู อวิ๋นเยี่ยดึกออกมาส่อง ท่าทางน่าเกลียด ในปากยังคาบน่องไก่อยู่น่องหนึ่ง ลองชั่งน้ำหนักดู คงไม่ต้องพูดอะไร มันมีทองฝังอยู่ข้างใน แขวนไว้ที่ประตูสิ้นเปลืองเกินไป เก็บใส่ในแขนเสื้อ เอากลับไปเป็นสินสอดให้รุ่นเหนียง ของขวัญที่หยวนเทียนกังให้อี้เหนียงครั้งที่แล้วคืออักษรดูดวงแปดตัว เอาเปรียบกันมากไปแล้ว
หลี่ซื่อหมินกับหลี่หยวนสองพ่อลูกนั่งอยู่ตรงกลางตำหนักใหญ่ หยวนเทียนกังที่แต่งตัวเหมือนนักบวชลัทธิเต๋ากำลังถือดาบไม้ท้อเดินวนไปรอบๆ ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาเหยียบโดนจุดแปดแฉก เหยียบโดนทุกจุดอย่างไม่ผิดพลาด ดูจากเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา น่าจะเดินได้สักพักแล้วด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยืนหยัดได้ถึงเพียงนี้ วงเล็กขนาดนี้ อวิ๋นเยี่ยเดินวนสอบรอบก็มึนหัวแล้ว
หลี่ไท่และหลี่เค่อยืนถือกระถางธูปอยู่ข้างประตูด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง มองไปที่เสด็จพ่อและท่านปู่ของตัวเองที่อยู่ตรงกลางด้วยความกังวล
ขี่ม้าเป็นงานหนัก โดยเฉพาะตอนที่หลี่เฉิงเฉียนบอกว่ารถม้าช้าเกินไป ไม่ทันเวลา เอวของเขาก็แทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว
ตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่า นอกจากเก้าอี้มังกรอันทรงเกียรติ แม้แต่เก้าอี้ธรรมดาก็ไม่มีสักอัน เบาะรองนั่งสำหรับพวกขุนนางตอนที่มาปรึกษาหารือกันเรื่องบ้านเมืองก็หายไปหมด ไม่มีทางเลือก อวิ๋นเยี่ยนั่งขัดสมาธิบนพื้น แทะไก่ของเขาต่อไป แถมยังถือโอกาสดูหยวนเทียนกังแสดงละครลิงอีกด้วย
ตั้งแต่เกิดเรื่องทะลุมิติ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เชื่อในเรื่องแปลกๆ ของเทพเจ้าอีกต่อไป พูดอีกอย่างหนึ่งคือเขาต้องการแสดงหลักฐานการมีตัวตนอยู่ของเขาด้วยการดูหมิ่นเทพเจ้า
ชื่อที่โด่งดังของหยวนเทียนกังกับหลี่ฉุนเฟิงถือว่าเป็นตำนานหลายยุคหลายสมัย หนังสือเรื่อง ‘ภาพดันหลัง’ กับ ‘กระดูกทำนายดวงชะตา’ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรมาเทียบได้ แต่หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยให้หยวนเทียนกังดูดวงให้ หลังจากที่หยวนเทียนกังบอกว่าเขาจะมีชีวิตแค่สิบหกปี เขาก็ไม่ศรัทธาในหยวนเทียนกังอีกต่อไป ทั้งๆ ที่มีชีวิตมาตั้งสามสิบกว่าปี เจ้าบอกว่าสิบหกปี แล้วยังบอกว่าตอนเด็กมีชีวิตลำบาก ถูกกำหนดให้ต้องเป็นเด็กเร่ร่อน เหลวไหลทั้งเพ ตอนเกิดมาพ่อแม่ของข้าก็มี เป็นลูกชายคนแรกของครอบครัว พวกพี่สาวต่างก็รักและเอ็นดู เติบโตมาอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยเกิดภัยพิบัติใหญ่อะไร พอมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นเด็กเร่ร่อนไปได้อย่างไร
แต่งเรื่องของอวิ๋นเยี่ยขึ้นมาเอง ยังจะมีหน้ามาทำท่าทางจริงจัง
หลี่ไท่สูดดมกลิ่น เขาแน่ใจว่าเขาได้กลิ่นไก่ย่าง จมูกของเขาไว สามารถได้กลิ่นแปลกๆ ท่ามกลางกลิ่นไม้จันทร์หอมที่อบอวล นี่เป็นความสามารถที่เขาภาคภูมิใจมาตลอด
เงยหน้าขึ้นไปเห็นท่านปู่ เสด็จพ่อหลับตาสวดมนต์ เสด็จแม่คุกเข่าอธิษฐานใต้รูปเหลาซีที่กำลังขี่วัว ไม่มีใครสนใจเขา เขาหันไปมองด้านหลังอย่างเงียบๆ แค่หันไปมองเท่านั้น เขาก็ถึงกับอึ้งไปเลย
เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ข้างหลังห่างไปไม่ไกล กำลังถือไก่ย่างแทะอย่างดุเดือด ท่าทางชั่วร้าย ไม่มีมารยาทเลยสักนิด เห็นคนอื่นกำลังแทะไก่ ท้องของหลี่ไท่ก็สั่นร้อง เขาจำได้ว่าข้าวมื้อสุดท้ายของเขาคือข้าวมื้อเช้า
ไม่รู้ว่าทำไม เขาเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังแทะไก่ย่าง ความกังวลในใจของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไอ้เจ้านี่ต้องมีวิธีกำจัดผีในวังได้แน่ๆ
ใช้นิ้วเท้าสะกิดหลี่เค่อเบาๆ หลี่เค่อเหลือบหันมามองเขาอย่างไม่พอใจ บอกว่านี่เป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ อย่าสร้างปัญหา แต่กลับเห็นว่าหลี่ไท่ใช้ปากชี้ไปทางด้านหลังอย่างลึกลัล
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากทำลายพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อกับท่านปู่ แต่เขาก็ต่อต้านความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อหันหลังไปมอง ก็เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจัดการกับไก่ย่าง แล้วยังฉีกตูดไก่ออกมาทิ้งไว้ข้างหลังเสาอย่างเงียบๆ
เขากลั้นหัวเราะและขยิบตาให้หลี่ไท่ พี่น้องทั้งสองก็ก้าวถอยหลังออกมาพร้อมกัน
หยวนเทียนกังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ สะบัดเสื้อคลุมแขนยาวให้กระพือ ก้าวเดินจุดแปดแฉกเปลี่ยนเป็นกลุ่มดาวเหนือทั้งเจ็ด ยืนตะโกนอยู่ที่บัลลังก์ของฮ่องเต้ กระดาษสีเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกจากแขนเสื้อ แค่ฟันดาบก็มีกระดาษลอยขึ้นไปด้านบน ลอยผ่านตะเกียงเจ็ดดาว กระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นลูกบอลไฟในทันที ภายใต้แขนเสื้อคลุมของเขา กระดาษสีเหลืองที่กระจัดกระจายไม่ตกลงที่พื้นสักแผ่น ลูกบอลไฟในมือก็บินล่องลอยไปรอบๆ ทันใดนั้นเศษกระดาษที่ลอยอยู่ก็สว่างขึ้นมาทันที ดาบของเขายังคงโบกสะบัด ฟันไปที่ลูกบอลไฟเป็นครั้งคราว ลูกบอลไฟที่โบยบินค่อยๆ รวมตัวกันเป็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่ ท่ามกลางแสงเทียนที่สว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์สีแดง แต่ดวงอาทิตย์สีแดงดวงนี้มีสีเขียวอ่อนๆ ถ้าบอกว่าไม่มีผงกำมะถันและธาตุฟอสฟอรัสอยู่บนกระดาษ ตีให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เชื่อ
อวิ๋นเยี่ยตกใจจนลืมแทะไก่ย่างในมือ คงต้องนับถือหยวนเทียนกังจริงๆ ต้องทำถึงเช่นนี้เพื่อจะหลอกลวงคนอื่น การแสดงเช่นนี้ ถ้าเอาออกไปแสดงที่ตลาดก็คงจะหาเงินได้ไม่น้อย ตอนนี้กลับกลายมาเป็นการปลอบประโลมจิตใจของพ่อลูกตระกูลหลี่ ช่างน่าเสียดาย แต่ว่า เขาคงจะได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยอย่างแน่นอน ไปแสดงที่ตลาดก็คงเทียบไม่ได้อยู่ดี
ลูกบอลไฟค่อยๆ ดับลง การแสดงของหยวนเทียนกังก็เสร็จสิ้น ถือดาบด้วยมือซ้าย มือขวากวักเรียกซู่ฉินเก็บดาบ ดาบไม้ท้อก็กลับคืนสู่ที่เก็บดาบบนหลังของเขาอย่างปลอดภัย
“ฝ่าบาท ไท่ซั่งหวง พลังของกระหม่อมมีไม่มาก ทำได้แค่เพียงเท่านี้ ที่เหลือขึ้นอยู่กับผู้มีความสามารถท่านอื่นแล้ว” หยวนเทียนกังเหงื่อแตกเต็มหลัง เสื้อคลุมตัวหนาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยืนหอบอยู่ในตำหนักใหญ่ที่หนาวเย็น ราวกับถูกนึ่งในหม้อนึ่ง ใครกล้าพูดว่าหยวนเทียนกังไม่ตั้งใจแสดง แสดงว่าเขากำลังพูดโดยไม่มีมโนธรรม
พยายามส่วนพยายาม ผลลัพธ์ส่วนผลลัพธ์ บางสิ่งบนโลกใบนี้ใช่ว่าเมื่อพยายามแล้วจะเกิดผลลัพธ์ที่ดี นี่เป็นหลักการที่เที่ยงธรรม ใครก็ตามที่มีสติปัญญา ก็ล้วนแต่เห็นด้วยกับหลักการนี้ หยวนเทียนกังหมดแรง ส่วนที่เหลืออยู่นอกเหนือความสามารถของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ตอนนี้เขาสามารถออกไปได้แล้ว
คืนนี้หลี่ซื่อหมินกับหลี่หยวนจะนอนหลับไหมเขาไม่รู้ แต่หยวนเทียนกังนอนหลับฝันดีแน่นอน
จั่งซุนลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก ถูหัวเข่าที่เหน็บชา โค้งคำนับหยวนเทียนกังแล้วพูดว่า “ลำบากท่านแล้ว เราก็ทำตามโชคชะตา ถ้ามันได้ผลก็คงจะดีที่สุด ถ้าไม่ได้ผลก็คงต้องโทษพวกภูตผีปีศาจ ท่านไปพักผ่อนที่ตำหนักเล็กก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกจากวัง”
“กระหม่อมคงรับพระราชทานรางวัลขอบคุณของฮองเฮาไว้ไม่ได้ วันนี้กระหม่อมใช้พลังมากเกินไป ต้องฟื้นฟูพลังในชั่วข้ามคืน ฮองเฮาได้โปรดให้ขันทีไปส่งกระหม่อมออกจากวังเถิด”
หยวนเทียนกังลูบเคราที่เปียกชื้นของเขาอย่างหมดแรง อวิ๋นเยี่ยกล้าพนันเลยว่าเมื่อหยวนเทียนกังกลับอารามชิงหนิวของตัวเองไป เขาจะล้มป่วยในทันที แถมยังจะป่วยหนัก แบบที่เจอใครไม่ได้ ออกนอกบ้านไม่ได้ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่สามารถเข้ามาในพระราชวังได้อีก
แล้วจะหายป่วยเมื่อไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าหลี่ซื่อหมินสองพ่อลูกนอนหลับสนิทเมื่อไหร่
หยวนเทียนกังเดินตามขันทีออกจากพระราชวังไปอย่างเหนื่อยล้า เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและถอนหายใจ เมื่อเขากำลังจะเดินออกไป อวิ๋นเยี่ยคาบปีกไก่ไว้ในปากเดินออกไปขวางทางเขา ยื่นมือออกไปหาเขาด้วยความหงุดหงิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น