เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 41-45
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 41 ปัญหาเรื่องพรหมจารีของหญิงอ...
หลี่จิ้งกำลังศึกษาภูมิประเทศของทุ่งหญ้าหลี่จี และระดมกำลังทหารออกไปแนวหน้า ตู้หรูฮุ่ยกำลังเตรียมอาหารและอุปกรณ์ หลี่เฉิงเฉียนเตรียมพร้อมออกเดินทางทำศึกไปพร้อมกับขบวนรถ หลี่ซื่อหมินกำลังเตรียมออกคำสั่งคัดเลือกทหารหลวงในหมู่ราษฎรครั้งใหญ่ ฝางเสวียนหลิงกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมเจ้าหน้าที่พลเรือนเพื่อเข้าร่วมกองทัพ แม้แต่จั่งซุนก็เริ่มกินมังสวิรัติ เพื่ออวยพรให้แก่เหล่าทหาร กองทัพแห่งต้าถังเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งเมืองยุ่งวุ่นวายไปหมด
มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่ว่างมากๆ คำเชิญร่วมหน่วยทหารทั้งสองครั้งถูกเขาปฏิเสธด้วยข้ออ้างที่ว่าแผลของเขายังไม่หายดี เทียบกับการทำสงคราม เขาชอบไปนั่งคุยกับหวงสู่มากกว่า
“เจ้าหลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนทั้งวัน คลุกคลีอยู่แต่กับภรรยา เจ้ายังมีความเป็นชายอยู่หรือไม่”
“ท่านโหว เมื่อก่อนข้าน้อยไปไหนมาไหนคนเดียว ผจญความลำบากมานับไม่ถ้วน ตอนนี้อยากอยู่กับลูกกับเมีย อาจจะน่าเบื่อไปหน่อย ข้ามันไร้ความสามารถ ก็เลยชอบอะไรที่มันน่าเบื่อแบบนี้ ภรรยาก็ท้องโตแล้ว ตอนนี้ยังออกไปไหนไม่ได้”
ความคิดของหวงสู่เป็นเช่นนี้ เป็นเถ้าแก่ ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสงบ คนเรามักมีทางของตัวเอง ทั้งหมดเป็นเพราะฟ้าลิขิตไว้แล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยคิดว่าเขากับหวงสู่แทบไม่ต่างกันเลย คำที่บอกกับหวงสู่ เป็นคำที่เหล่าเฉิงเคยบอกกับอวิ๋นเยี่ย
วั่งไฉลากรถม้าพาอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในบ้าน ทั้งคนทั้งม้าต่างก็ไม่อยากกลับบ้าน ใช้ความเร็วที่ช้าที่สุดเพื่อเดินทางกลับบ้าน กอหญ้าแห้งข้างทางมีการเคลื่อนไหว ก็เลยกระโดดลงจากรถม้า ใช้ไม้ตีดูว่าจะมีกระต่ายออกมาหรือไม่ เห็นฝูงนกกระจอกที่พักผ่อนอยู่บนต้นไม้ร่วงลงมา ก็เลยโยนหินไปทำให้พวกมันตกใจบินหนี
ภรรยาที่บ้านตอนนี้ท้องใหญ่มากแล้ว อีกเดือนเดียวก็จะคลอดแล้ว พอตั้งครรภ์อารมณ์ก็ขึ้นๆ ลงๆ นิสัยเอาแต่ใจไม่มีใครเกิน ชอบให้น่ารื่อมู่คอยปรนนิบัติ ต่อให้นางทำได้ไม่ดี ก็ต้องการให้นางคอยอยู่ข้างๆ ตัวเอง
เดิมทีคิดว่าน่ารื่อมู่จะน้อยใจ ใครจะไปรู้น่ารื่อมู่เองก็ชอบอยู่ข้างๆ ซินเย่ว โดนชี้ให้ทำโน่นทำนี่ ก็ไม่บ่นสักคำ ใบหน้าใสซื่อยิ้มแย้มทั้งวัน
อวิ๋นเยี่ยเคยพูดเรื่องนี้กับซินเย่วหลายรอบแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นผล
“น่ารื่อมู่ชงชายังกินไม่ได้เลย นางชงชาจนใบชาจะไม่เหลือแล้ว คนรับใช้ก็มีมากมาย เจ้าก็ใช้แต่นางคนเดียว”
ขณะที่เพิ่งถึงบ้านได้ไม่นาน กำลังปลดเชือกให้วั่งไฉอยู่ ซินเย่วก็ออกมาตอนรับ ดันน่ารื่อมู่ที่มาต้อนรับด้วยกันกลับเข้าไป ให้ไปเตรียมน้ำชา ส่วนตัวเองกระตือรือร้นเอาแปรงให้อวิ๋นเยี่ยแปรงฝุ่นออกจากเสื้อผ้า
“น่ารื่อมู่จะอยู่ที่บ้านได้อีกไม่นานแล้ว ท่านเป็นผู้ชายท่านไม่เข้าใจ สำหรับนางแล้วบ้านเราไม่ใช่สถานที่ที่นางคุ้นเคย มีเพียงทำงานเยอะๆ ให้ยุ่งๆ เข้าไว้ ในใจเอาแต่คิดว่าจะเอาคืนข้ายังไง เช่นนี้นางถึงจะไม่รู้สึกเหงา ถึงจะนึกถึงบ้านหลังนี้บ้าง ท่านคิดว่าข้าชอบให้นางล้างเท้าให้หรืออย่างไร ล้างทีเท้าข้าเจ็บไปสองวัน เพียงแค่อยากให้นางมีความสุขบ้าง”
ซินเย่วเพียงพูดเรื่องนี้ขึ้น ก็ดูท่าทางฉลาดมีไหวพริบ ดูมีกลยุทธ์มากกว่าตอนแม่ทัพหลี่บัญชากองกำลังทหารเสียอีก
“พวกเจ้าช่างประหลาด คนหนึ่งชอบแกล้งคน อีกคนหนึ่งชอบโดนแกล้ง ข้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ไม่เข้าใจเรื่องผู้หญิงอย่างพวกเจ้าจริงๆ”
“หากท่านพูดเรื่องการทหารข้าเองก็ไม่เข้าใจ นั่นคือเรื่องที่ท่านต้องดูแล หากผู้หญิงเข้าไปยุ่งจะเป็นเรื่องไม่งาม ท่านไม่สังเกตหรือว่าผู้หญิงจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ แผนที่ของท่านข้าก็ดูไม่เข้าใจ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องการทหาร ท่านก็วางกองไว้เต็มโต๊ะไปหมด ถ้าหากถูกสายลับเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะเสียกำลังทหารไปเท่าไหร่ นี่คือกุญแจ ข้าเก็บไว้ให้ท่านหมดแล้ว ให้พวกลุงเจียงค่อยเฝ้าให้ ก่อนหน้านั้นเห็นซือซือกับเสี่ยวอู่ยืนดูธงที่ท่านปักไว้บนแผนที่ จะให้เห็นเช่นนี้ไม่ได้”
“สำหรับเรื่องในบ้าน ท่านก็ดูแลให้น้อยลง ข้าไม่รังแกน่ารื่อมู่หรอก นางมีฮ่วนเหนียงค่อยช่วย อดทนต่อการโดนกลั่นแกล้ง อย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกว่าแกล้งทำเป็นน่าสงสารให้ท่านเอ็นดู เมื่อก่อนท่านไม่เคยว่าข้า ตอนนี้ไม่กี่วันท่านก็ว่าข้าไปแล้วสี่ห้ารอบ อย่ามองว่านางใสซื่อ ที่จริงนางเข้าใจทุกอย่าง ท่านรู้จักอนุภรรยาตัวเองน้อยไปแล้ว”
รับแปรงจากมือซินเย่ว แล้วเอาไปแปรงให้วั่งไฉด้วยเลย วั่งไฉในหน้าหนาว สีขนสวยสด มันเงา ตอนนี้สีขนชัดเจนขึ้น เป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม บนหน้าเรียวยาวมีด่างสีขาวตรงกลางระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง กีบเท้าทั้งสี่ข้างสีขาว หากเป็นม้าดำ ก็คงเป็นม้าดำสลับขาวในตำนาน
หลี่ฉุนเฟิงเป็นคนชอบหาเรื่องให้โดนด่า กล้าบอกว่าวั่งไฉมีถุงใต้ตา เป็นกาลกินี ต้องรีบจัดการม้าตัวนี้
จัดการอะไรกันล่ะ เจ้าบอกให้จัดการข้ายังจะดีกว่า ข้านี่แหละที่เป็นกาลกินี ชื่อเสียงชั่วช้าดังไปทั่วฉางอัน จัดการวั่งไฉ? อยากตายหรืออย่างไร มีม้าบ้านไหนน่าทะนุถนอมเท่าวั่งไฉอีก ครอบครัวข้ามักจะถือว่ามันเป็นเหมือนแมวกวักนำโชค
ด่างขาวกลางหน้าผากกับถุงใต้ตา? นั้นคือสัญลักษณ์ม้างามต่างหาก ตอนนั้นก็อัดหลี่ฉุนเฟิงผู้บอบบางที่คอกม้าไปหนึ่งยก จนกว่าเขาจะกลับคำว่าเป็นม้างามถึงได้ยอมปล่อยเขาไป
หากเทียบกับวั่งไฉแล้ว หลี่ฉุนเฟิงเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้ว นักบวชลัทธิเต๋าหลอกกินหลอกใช้ ทั้งวันแกว่งนั่นเขย่านี่ บอกว่ามองเห็นเรื่องราวหลังจากนี้ห้าร้อยปี
ไม่ใช่ว่าอวิ๋นเยี่ยดูถูกปรมาจารย์ที่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเทพเจ้าในต้าถัง แต่ว่ามองเห็นได้มากสุดห้าร้อยปีข้างหน้าอย่างนั้นหรือ เขาเองก็รู้ทุกอย่างในอีกหนึ่งพันห้ารอยปีข้างหน้าเช่นกัน เสี่ยวอู่เดินไปเดินมาต่อหน้าเขาแปดสิบรอบแล้ว พูดประโยคชวนฝัน อนาคตจะต้องเป็นสาวงามแน่ๆ
สำหรับคำทำนายที่มีชื่อเสียงของเขาเกี่ยวกับอู่เม่ยเหนียง ไม่เคยได้ยินเขาพูดขึ้นมา ดูแล้วคงเป็นฝีมือของพวกบันทึกประวัติศาสตร์เพิ่มลงไปเอง
หากอวิ๋นเยี่ยนั่งบนเบาะรองนั่ง น่ารื่อมู่ก็จะพิงบนตัวอวิ๋นเยี่ย ร่างกายนุ่มๆ ของสองคนใกล้ชิดกันอย่างเพลิดเพลิน
ซินเย่วก็อยากมานั่งด้วย แต่ท้องที่ใหญ่ทำให้นางไม่สามารถเพลิดเพลินกับช่วงเวลาอบอุ่นที่หาได้ยากระหว่างสามีภรรยาได้
ทุกครั้งกว่าอวิ๋นเยี่ยจะกลับบ้านก็ดึกมากแล้ว ถึงตอนนั้นพวกนางก็ทานข้าวกันหมดแล้ว บนโต๊ะมีกับข้าวอยู่สามสี่อย่าง บะหมี่หนึ่งชามคืออาหารเย็นของอวิ๋นเยี่ย สำหรับการกินในยุคปัจจุบันนี้ถือว่าอยู่ในระดับกลาง น่องไก่หนึ่งน่อง ผัดผักหนึ่งจาน เนื้อแพะไม่กี่ชิ้น มีผักดองเพิ่มมาอีก นี่ก็เป็นอาหารทั้งหมดที่มี
บางครั้งอวิ๋นเยี่ยก็คิดอยู่บ้างว่าชีวิตบนโลกก็ต้องการแค่สองอย่างคืออาหารกับเสื้อผ้า ชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับสองอย่างนี้
สำหรับชื่อเสียงและสถานะ นั่นก็เหมือนกับกินข้าวอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเลยไปหาเรื่องสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ถือว่าสำคัญอะไร ส่วนเรื่องผู้หญิงนั้นยิ่งไม่จำเป็นเข้าไปใหญ่
ระหว่างสองเพศก็มีหน้าที่เพียงแค่ทำให้เผ่าพันธุ์สืบต่อไปเท่านั้น ทุกสายพันธุ์ก็อยากจะแพร่กระจายเผ่าพันธุ์ตัวเอง ดังนั้นสิงโตจึงท้าต่อสู้กับราชาสิงโตครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อที่จะครอบครองเพศเมียไว้สืบทอดเผ่าพันธุ์ตัวเองต่อไป
นี่ก็เหมือนกับการกระทำของหลี่ซื่อหมิน เพียงแต่ว่าสิงโตจะไม่ยอมปล่อยสิงโตเพศเมียที่ตัวเองครอบครองไปแม้แต่ตัวเดียว แต่ความสามารถนี้ของหลี่ซื่อหมินยังต้องรอพัฒนาขึ้นไปอีก ดูเหมือนว่าในวังยังคงมีหญิงสาวบริสุทธิ์อายุห้าสิบหกสิบปีที่เพิ่งจะถูกส่งกลับไปยังหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน
สำหรับสาวพรหมจรรย์วัยห้าสิบปี นี่เป็นการทรมานอย่างหนึ่ง หมู่บ้านที่ทรุดโทรมอยู่ทางตะวันตกของเขาอวี้ซัน ครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยใช้เงินของขันทีและนางในมารวมกันให้ได้สิบเท่าแล้วซื้อหมู่บ้านนี้มา
ขันทีที่เกษียณอายุสี่ห้าคนถูกจั่งซุนส่งมาให้เรียนกับผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นอย่างเหล่าเฉียนเพื่อไปดูแลหมู่บ้าน
เรื่องในวัง หากไม่บอกจั่งซุนก่อนจะทำให้วุ่นวาย อู๋เสอยื่นคำร้องต่อฝ่าบาทด้วยตนเอง หวังว่าอนาคตขันทีที่เกษียณอายุแล้วจะมีที่อยู่อาศัยตอนแก่ ไม่ต้องหิวหรือแข็งตาย
หลี่ซื่อหมินให้จั่งซุนดูแลเรื่องนี้ ตัวเองไม่อยากยุ่ง แน่นอนว่าจั่งซุนส่งต่อเรื่องนี้ให้อวิ๋นเยี่ย ตัวเองยังออกเงินหนึ่งพันเหรียญ ถือว่าช่วยให้ถึงที่สุด เพียงแต่ว่าต่อจากนี้ก็จะไม่ยุ่งเรื่องดูแลสาวใช้และขันทีที่สูงอายุแล้ว
กินข้าวหนึ่งคำ แล้วเอาน่องไก่ให้คนข้างหลังที่นั่งมองเขากินข้าว น่ารื่อมู่ที่มองจนน้ำลายไหล ผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เด็กเป็นโรคชนิดหนึ่ง เห็นคนกินข้าวไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองกินอิ่มแล้ว เห็นคนอื่นกินข้าวก็รู้สึกอิจฉา
ซินเย่วดึงน่ารื่อมู่มา พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เพิ่งกินข้าวเสร็จ ไก่ทั้งตัวโดนนางกินไปหมดแล้ว แม้แต่ซุปก็ดื่มจนหมด ตัวอ้วนเป็นหมูแล้ว หน้าอกใหญ่กว่าข้าที่ต้องให้นมลูกเสียอีก ไม่รู้ว่ากลับไปฉ่าวหยวนจะยังขึ้นหลังม้าไหวหรือไม่”
หญิงเจ้าเล่ห์พูดให้น่ารื่อมู่รู้สึกอับอาย คนที่ฉ่าวหยวน เพียงแค่มีโอกาสกินข้าว แน่นอนว่าจะไม่ปล่อยไปแน่ ต้องเพิ่มไขมันไว้สำหรับหน้าหนาว วัวแพะเป็นแบบนี้ คนเองก็เช่นกัน
อวิ๋นเยี่ยหันไปมองน่ารื่อมู่ที่รูปร่างกำลังดี ดีจะตาย เอวก็ยังเล็ก สำหรับตรงอื่นที่ใหญ่ขึ้น ก็ไม่ได้แย่เลย เห็นน่ารื่อมู่กินน่องไก่เสร็จ แล้วยังมองเนื้อแพะ ก็เลยเอาเนื้อแพะให้นางกินเยอะๆ หน่อย
ไม่ปล่อยให้สมองว่าง คิดต่อไปอีกว่า จั่งซุนต้องรู้เรื่องในวังแน่ๆ ไม่แน่อาจกำลังดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีส่วนร่วมไปถึงระดับไหน หลังจากนั้นค่อยปรับหาวิธีรับมือ
เรื่องแบบนี้ไม่ควรไปหาหลี่เฉิงเฉียน หากเขาเข้ามาเกี่ยวด้วยจะไม่เป็นผลดีต่อการขึ้นปกครองในอนาคต ตัวเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าข้างในมีเรื่องสกปรกมากน้อยแค่ไหน หากแปดเปื้อนไปสามปีก็ล้างไม่สะอาด
ผู้ที่ยุ่งกับคนเหล่านี้แล้วจะไม่มีปัญหาในอนาคตมีใครบ้างนะ ขณะที่ตะเกียบอยู่บนคาง ใบหน้าแต่ละคนก็แวบเข้ามาในหัว
อยู่ๆ ภาพของคนเหล่านี้ก็หยุดอยู่ในหัว คนพวกนี้คงจะไม่มีปัญหาอะไร เรื่องเน่าในตระกูลไม่ควรเผยแพร่ ยังคงเป็นคนกันเองอย่างตระกูลหลี่ที่จัดการได้เรียบร้อย หากไม่ใช่เพราะตัวเองระวังตัวมาตลอด เมื่อเข้าสู่ความขัดแย้งในวัง ป่านนี้คงได้กลายเป็นเถ้ากระดูกไปนานแล้ว
ตระกูลหลี่ของเจ้ามีแต่คนเข้มแข็ง ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็มีความอดทน แทนที่จะใช้ความคิดในการวางอุบาย ไม่สู้ไปใส่ใจผู้ที่ต่ำต้อยกว่าไม่ดีกว่าหรือ
ดูแลหมู่บ้านก็เป็นวิชาความรู้อย่างหนึ่ง พวกนางแต่งออกไปก็ต้องช่วยดูแลกิจการครอบครัวไม่ใช่หรือ คนไร้สมองอย่างองค์หญิงหงฮั่วมีความสวยไปก็เท่านั้น
ฉางเล่อ เกาหยาง และหลานหลิงเป็นตัวเลือกที่ดีทั้งนั้น ก่อนแต่งงานก็ช่วยวังหลวงดูแลจัดการขันที หลังจากแต่งออกไปแล้วก็ยกอำนาจให้องค์หญิงองค์อื่นๆ ตัวเองก็แค่คอยสั่งสอนพวกองค์หญิงไม่มีสมองของหลี่ซื่อหมินก็พอ
คิดได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ฉลองให้ความฉลาดของตัวเอง สลัดปัญหาใหญ่ออกได้แล้ว ในเมื่อขันทีพวกนั้นชอบองค์หญิง เช่นนั้นก็ให้ชอบองค์หญิงทั้งวังหลวง อย่าได้ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
ในสมองไม่คิดอะไร ความอยากอาหารก็เพิ่มมากขึ้น เตรียมจะกินบะหมี่ของตัวเองให้หมด เพิ่งพบว่าในชามว่างเปล่า น่ารื่อมู่กอดหมอนร้องฮือๆ มือกุมที่ท้อง ปวดท้องอีกแล้วเหรอ
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 42 ปัญหาของกงซูมู่
การที่ผู้หญิงชอบเดินซื้อของนั้นเป็นนิสัยโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะตระกูลอวิ๋นที่ตอนนี้มีนายหญิงถึงสองคน แล้วยังมีท่านอา ท่านป้า พี่หญิง และน้องหญิงอีกนับไม่ถ้วน พอถึงเวลาทุกปีก็จะออกไปซื้อของครั้งใหญ่ เตรียมรถม้าเจ็ดแปดคันตั้งแต่เช้าตรู่ คนรับใช้อีกสิบกว่าคน องครักษ์อีกหนึ่งหน่วยเตรียมบุกเข้าฉางอัน
“รอก่อน พาซือซือไปด้วย” ตะโกนเรียกต้ายากับเสี่ยวยาที่กำลังจะออกจากบ้าน ลากซือซือมาส่งให้ต้ายา เด็กคนนี้หลบอยู่หลังประตูอยู่คนเดียวมองดูผู้หญิงคนอื่นๆ ท่าทางมีความสุข ตัวเองกลับไม่อยากไป เหตุผลง่ายๆ ก็คือนางอยากเอาเงินที่อาจารย์ให้เก็บออมไว้เพื่อซื้อมีดเล่มใหญ่ให้พ่อที่บวชอยู่ มีดเล่มเก่าของพ่อใช้ฟันจนไม่มีความคมแล้ว ใช้ไม่ได้แล้ว
เอาเงินออกมาจากอก เอาเงินสองเหรียญให้แก่ซือซือ ตีที่กระเป๋าหน้าอกของสาวน้อยเบาๆ “เจ้านี่ ไม่ต้องเป็นเด็กดีขนาดนั้นก็ได้ เด็กน้อยเป็นวัยที่ต้องเล่นให้สนุก อยากจะซื้อมีดให้พ่อ ก็ไม่เห็นต้องลดความสุขตัวเอง ไปครั้งนี้ก็ซื้อของโปรดเยอะๆ หน่อย ซื้อของน่าสนุก ซื้อปิ่นปักผมให้ตัวเองก็ได้ ไม่อนุญาตให้ออมเงินแล้ว”
ซือซือเชื่อฟังเป็นอย่างดี ยิ้มพร้อมกับรับปากอวิ๋นเยี่ย รับเงินมาพร้อมส่งยิ้มแล้วขึ้นรถม้าไป
ตอนที่อวิ๋นเยี่ยเฝ้าดูครอบครัวของเขามีความสุขที่เตรียมใช้เงินด้วยสีหน้าพึงพอใจอยู่นั้น ก็มีคนดึงเสื้อของเขา พอก้มลงมอง ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวอู่ มือข้างหนึ่งดึงชายเสื้อ มืออีกข้างหนึ่งแบออกมา นางต้องการเงินเหรอ
“เสี่ยวอู่ เจ้าเป็นคนในตระกูลของกั๋วกง ที่บ้านมีเงินนับหลายหมื่นเหรียญเหตุใดจึงขอข้าเล่า หากให้เจ้าไป พ่อของเจ้าจะหาว่าข้าล้ำเส้น ตั้งใจทำให้ตระกูลเจ้าต้องอับอาย” อวิ๋นเยี่ยย่อตัวลงพูดกับเสี่ยวอู่
เด็กคนนี้ได้ปักหลักที่ตระกูลอวิ๋นแล้ว ให้เรียนหนังสือ ให้กิน ให้ดื่ม ให้เล่น ให้เสื้อผ้า เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากพ่อเขารู้เข้าว่าให้เงิน อวิ๋นเยี่ยคาดว่าเหล่าอู่ต้องอาละวาดแน่ๆ เจียงกั๋วกงขายขี้หน้าหมดแล้ว
“ท่านเป็นอาจารย์ข้า ข้าไม่ขอเงินท่านแล้วข้าจะไปขอใครกัน ท่านแม่ข้าไม่มีเงิน ทุกเดือนให้ข้าเพียงห้าเหรียญ ท่านพ่อก็ไม่ให้เงินข้าใช้ ให้แต่พี่ชาย ข้าก็เรียกท่านว่าอาจารย์แล้ว ท่านให้เงินซือซือ ก็ควรจะให้ข้าด้วย สองเหรียญ!”
เด็กน้อยเริ่มน้ำตาคลอเบ้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ยอมให้ไหลออกมา นิ้วขาวเนียนสองนิ้วชูอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย ขอเงินอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่อง เรื่องไหว้ข้าเป็นอาจารย์พ่อเจ้าไม่ตกลงไม่ใช่หรือ จะถือเป็นอาจารย์ได้อย่างไร”
“เมื่อวันก่อนตอนท่านนอนอยู่ใต้แสงแดด ข้าตะโกนเรียก ท่านก็ตอบรับแล้ว ตอนนี้จะกลับคำอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้า มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ แต่ว่าตอนนั้นตัวเองหลับสะลึมสะลือ ไม่แน่อาจจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นได้ มองดูสาวน้อยท่าทางเหมือนจะร้องไห้ ก็ใจดำไม่ลงจริงๆ ช่างเถิด ก็ลูกศิษย์ข้า คนเดียวสอนได้ สองคนก็สอนได้ แล้วอีกอย่างสอนให้ท่องหนังสือคืออาจารย์เหวินฟู่ไม่ใช่ข้า ในอนาคตของอู่เม่ยเหนียงเรื่องความฉลาดไม่เป็นปัญหาอะไร นั่นเป็นอาวุธที่ดี พรุ่งนี้จะส่งสารให้แก่เหล่าอู่ ตาเถ้าผู้นี้ยังไงก็ต้องเห็นแก่หน้าข้า
เหรียญเงินอีกสองเหรียญกำลังจะหายไป เจ้าเด็กน้อยเทถุงเงินออกมาดู หาเหรียญที่ใหญ่ที่สุด สะอาดที่สุด แล้วค่อยๆ เอาใส่กระเป๋าตังตัวเอง กระโดดโลดเต้นขึ้นรถม้าไป
ซินเย่วยกม่านขึ้นดูไปยิ้มไปไม่ได้พูดอะไร น่ารื่อมู่จะยื่นหัวออกไป ถูกซินเย่วดันหัวกลับเข้าไปเหมือนเดิม อนุภรรยาผู้นี้ไม่เข้าใจกฎเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าพวกเฉิงฮูหยิน หนิวฮูหยินเห็นเข้าแล้วจะหัวเราะหรือไม่ คิดแล้วก็ปวดหัว
อวิ๋นเยี่ยเอาเตาขนาดพกพาออกมา ส่งให้ซินเย่วทางหน้าต่าง ลูบใบหน้าสวยเบาๆ ส่งสัญญาณมือให้พวกนางออกเดินทาง
วันนี้มีนัดกับกงซูมู่ ไม่เช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็อยากไปโปรยเงินที่ฉางอันเช่นกัน หาเงินตลอดปีไม่ได้ใช้ก็รู้สึกผิดต่อตัวเอง
กลับไปสวนดอกไม้หลังบ้าน เห็นท่านย่าอยู่กับสาวใช้กำลังจัดการพืชผักสวนครัวอยู่ในห้อง ท่านย่าได้ทำให้สวนผักกลายเป็นที่ออกกำลังกายของตัวเอง ดูแลสุขภาพไว้เตรียมกอดหลานน้อย เนื่องจากไม่กี่ปีมานี้ตระกูลอวิ๋นรุ่งเรืองขึ้นอีก ท่านย่าอารมณ์ดี ยิ้มหน้าบานเป็นพระสังกัจจายน์ ตอนนี้มีจิตใจเมตตามากขึ้นกว่าเดิม ช่วยคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นจนไม่เหลือคนยากไร้แล้ว จนท่านย่าบ่นว่าคนจนไปไหนหมดแล้ว
คนจนไปไหนหมดแล้ว มีอีกเยอะ แต่ว่าในหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นไม่มีแล้ว พวกคนเหล่านี้พอมีเงินแล้วก็พากันสร้างบ้าน ทั้งหมู่บ้านพากันดื่มเหล้าขึ้นบ้านใหม่ พวกเขาก็พอใจในบ้านอิฐสีคราม บ้านที่พิถีพิถันหน่อย ในห้องก็จะใช้เชือกปอเกลียวสั้นๆ สีขาวเทาขัดให้ทั่วผนัง สีขาวดูดีทีเดียว หลังคาที่ถูกทำขึ้นจากการสานช่างสวยงามจริงๆ
ครอบครัวเกษตรกรมักใช้ดินเหลือปั้นเป็นกำแพง ไม่สูงมาก ถึงแค่เพียงอก ยกเว้นบ้านตระกูลอวิ๋นที่กำแพงสูงสามเมตรกว่าๆ ที่บ้านอื่นความสูงแค่ครึ่งความสูงของคนเทานั้น บ้านของตระกูลอวิ๋นที่สร้างขึ้นในหมู่บ้านจึงดูขัดหูขัดตาโดดเด่นขึ้นมา
มะเขือยาวควรเด็ดดอกด้านบนที่ไม่ต้องการออก มิฉะนั้นมะเขือที่เป็นลูกแล้วจะมีอาหารไปเลี้ยงได้ไม่เพียงพอ ตอนนี้มะเขือเป็นผักหายาก แต่ละอันมีขนาดแค่เท่ากำปั้น เรียกชื่อให้เพราะว่ามะเขือม่วงคุนหลุน
ท่านย่าใช้กระด้งเขย่าเมล็ดถั่วลันเตาที่กำลังแช่น้ำ ยอดอ่อนข้างบนกำลังงอกออกมา อีกสองสามวันก็จะแตกใบอ่อน คุณย่าใช้ความอดทนคัดเมล็ดที่เปลี่ยนเป็นสีดำ หรือเสียออกอย่างประณีตแล้วเทเมล็ดที่ดีลงกระถางไม้ที่ปูด้วยผ้าลินิน ใช้มือปัดให้กระจายเท่าๆ กัน แล้ววางในที่ชื้น
อวิ๋นเยี่ยช่วยเอากระถางถั่วลันเตาขึ้นไปวางบนชั้น ได้ยินท่านย่าพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย ซินเย่วชอบกินต้นอ่อนๆ ของถั่วลันเตาที่สุดแล้ว เมื่อวานผัดต้นอ่อนถั่วลันเตาก็ถูกนางกินคนเดียวจนหมด น่ารื่อมู่ก็เหมือนจะชอบเช่นกัน แต่ซินเย่วไม่ให้นางแตะ ช่วงนี้ข้าไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องในบ้าน ไม่รู้ว่าเจ้าจัดการเป็นอย่างไรบ้าง หลังบ้านไม่สงบ เป็นสิ่งไม่ดีต่อตระกูล มีหลายบ้านที่ต้องล่มจมเพราะคนในบ้านคิดร้ายต่อกันเอง บ้านเราอย่าให้เป็นเช่นนั้น หากมีเรื่องใดที่เจ้าไม่อาจพูดได้ ข้าจะพูดให้ ซินเย่วเป็นใหญ่ ก็ควรเมตตาผู้น้อย เพียงแค่ผัดผักเอง อยากกินก็ผัดสักสองจาน หนึ่งคนต่อหนึ่งจานก็จบแล้ว บ้านเราไม่อดอยากเรื่องอาหารการกิน”
“ท่านย่า ต่อให้ท่านผัดมาแปดจาน ถ้านางจะแย่งนางก็แย่ง ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบเห็นสามีตัวเองถูกผู้หญิงอื่นแย่งไปหรอก หลานมีอนุภรรยา ความจริงก็ถือว่าผิดต่อซินเย่ว นางอาจจะงอแงเล็กน้อย ถือเป็นเรื่องปกติ”
“ในบ้านควรจะมีกฎ เจ้าเป็นถึงท่านโหว มีภรรยาเพียงคนเดียว แม้แต่สาวใช้ติดตามตอนซินเย่วแต่งงานก็ไม่มี ถือเป็นเรื่องผิดปกติในเหล่าบรรดาขุนนาง แม้ตระกูลฝางจะไม่มีนางบำเรอ แต่ขึ้นชื่อว่ามีฮูหยินขี้หึงน่าฟังเสียที่ไหน ในฐานะที่เป็นผู้หญิงไม่ควรยุ่งเรื่องเหล่านี้ การทำให้ตระกูลอวิ๋นมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองควรเป็นเรื่องที่นางต้องกังวล”
ท่านย่าตอนนี้อารมณ์กำลังขึ้น ไม่พอใจที่ตัวเองไม่มีลูกหลานเยอะแยะคอยล้อมรอบ หากไม่ใช่เพราะหลิ่งหนานไกลเกินไป นางไปเยี่ยมหลานชายคนโตเสียตั้งนานแล้ว
อวิ๋นเยี่ยเตรียมของหลายอย่างให้ลูก ปั้นตุ๊กตาดินเผาสิบกว่าตัว วางไว้ในเตาเผาให้แห้งแข็ง ค่อยลงสีถึงสวยงาม
ท่านย่าไม่พอใจ แอบออกเงินของตัวเองจัดเตรียมเสื้อผ้าจำนวนมาก กลัวเด็กน้อยจะหนาวในตอนกลางคืน แล้วแอบเอาหยกสองก้อนวางใส่ไปในกระโถน อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็สงสาร
“ท่านย่า บ้านเราอนุญาตให้ใครๆ มีสิทธิ์พูดได้ หากเก็บเรื่องน้อยใจไว้ในใจไม่พูดออกมา ถึงเวลาปะทุออกมาจะยิ่งน่ากลัว แบบนี้ก็ดีแล้ว พอฤดูใบไม้ผลิมาถึงน่ารื่อมู่ก็กลับไปที่ฉ่าวหยวน ที่ฉ่าวหยวนยังมีเรื่องอีกมากมาย”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าไม่ยุ่งแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้ไม่อนุญาตให้ซินเย่วมาที่ห้องของเจ้า ท้องใหญ่ทำอะไรไม่สะดวก ให้อยู่กับข้าแล้วกัน”
ท่านย่าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบที่อวิ๋นเยี่ยค่อยให้ท้ายคนในบ้าน รุ่นเหนียงถูกท่านย่าไล่ไปบ้านเล็กเพื่อรับการอบรมสั่งสอนจากสองสาวใช้ในวังหลวง เสี่ยวยาน้ำตาไหลพร้อมพูดว่า “ข้าช่างน่าสงสารนัก” จากนั้นก็กอดอวิ๋นเยี่ยร้องวิงวอนว่าอย่าได้ส่งนางไปเลย นางจะไม่ให้ฮันฮันวุ่นวายกับคนในบ้านแล้ว
ดูจากดวงอาทิตย์คงถึงเวลาเที่ยงแล้ว กงซูมู่คงยังรอตนเองอยู่จึงเอ่ยบอกลากับท่านย่า อวิ๋นเยี่ยรีบใส่เชือกให้วั่งไฉ นั่งรถม้าไปที่สำนักศึกษา
สองปีมานี้เหล่ากงซูแก่ลงเยอะมาก เหตุผลก็คือเขาหาลูกศิษย์ที่สูบเลือดสูบเนื้อให้ตัวเอง ในขณะที่หลี่ไท่เสาะหาความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตาเฒ่าก็สอนหนังสือด้วยจิตใจที่ดูเศร้าสร้อย อวิ๋นเยี่ยดูแล้ว เหมือนหนอนไหมในฤดูใบไม้ผลิที่จะผลิตไหมจนกว่ามันจะตาย เหมือนน้ำตาเทียนจะไหลจนกว่าเทียนจะไหม้หมดแท่ง คำพูดเหล่านี้หมายถึงเหล่ากงซู
คนที่มีความคิดแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อคิดจะทำอะไรก็ทำเลย วิจัยงานก็เป็นเขา งานฝีมือก็เป็นเขา หากสองปีแล้วยังไม่แก่สิถึงน่าแปลก
ชาชงเสร็จแล้ว เหล่ากงซูก็มาถึงแล้ว หลี่ไท่ยืดคอมองอยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้ามา อวิ๋นเยี่ยเคยบอกไว้ หากเขาเข้ามา เห็นหนึ่งทีตีหนึ่งที คราวที่แล้วเอาเหยือกชาของอวิ๋นเยี่ยให้กับพ่อ ถูกอวิ๋นเยี่ยอัดไปสามที
ถูกอัดก็ไม่มีใครรับฟัง พ่อไม่ฟังคำบ่นของเขาเลย เพียงแต่บอกเขาว่า เก่งจริงก็ไปเอาคืนเอง มาฟ้องข้าถือว่าเก่งตรงไหน
หลี่ไท่ผู้น่าสงสารอ่อนแอด้านการต่อสู้โดยสิ้นเชิง ไหวพริบก็ไม่ได้ดีเท่าอวิ๋นเยี่ย ต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย ถูกกดทับจนไม่มีโอกาสได้งอกเงย หลังจากเสียเปรียบมาหลายครั้ง ในที่สุดก็รู้ว่าต้องอยู่ให้ห่างจากอวิ๋นเยี่ยถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้
“ท่านอวิ๋นโหว ข้าจะพูดอย่างไม่อาย เว่ยอ๋องมีความสามารถและชาญฉลาด ยิ่งกว่านั้นก็คือเต็มใจที่จะทำงานหนัก สองปีมานี้วิชาที่ข้าเรียนมาเหล่านั้น ถูกเขาสูบไปหมดแล้ว ตั้งแต่ว่าวบิน มารหัดวิดน้ำ แล้วก็เครื่องทอผ้า ข้าเหนื่อยมากแล้วจริงๆ ในที่สุดก็ผ่านมาได้ถึงตอนนี้ สอนจนไม่มีอะไรจะสอน ทนความรู้สึกที่ถูกผู้น้อยไล่ตามไม่ไหวอีกแล้ว ดังนั้นจึงมาขอคำปรึกษาจากท่านอวิ๋นโหวโดยเฉพาะ ท่านสอนเว่ยอ๋องอย่างไร หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าตายแน่ๆ” เหล่ากงซูสีหน้าไม่สบายใจ ความรู้ที่เมื่อก่อนตัวเองเคยภูมิใจ ตอนนี้ถูกสูบไปหมดสิ้นแล้ว คิดดูแล้วเหมือนตัวเองผิดต่อคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ความลับมากมายของตระกูลเจียงถูกรับรู้หมดแล้ว ช่างน่าเศร้า
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร ลูกศิษย์เช่นนี้ร้ายเกินไป ดูแล้วหลี่ไท่คงยังไม่รู้จักความเกรงใจ แบบนี้ยังไม่ถือว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบ หากไม่สั่งสอนเขาเสียหน่อยก็จะไม่รู้จักเกรงใจ การขอโดยไม่เกรงใจเป็นนิสัยเสียของสายเลือดกษัตริย์ ต้องถูกแก้ไข
หยิบบอลครึ่งลูกที่ทำจากเหล็กสองชิ้นจากมุมห้องทำงาน อันหนึ่งมีหลอดเล็กๆ อยู่ข้างบน มีเอ็นเนื้อที่ปากหลอด ไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร อวิ๋นเยี่ยเอาน้ำมันหมูทาลงบนขอบปากของบอลเหล็กครึ่งลูก แล้วเอามันมาประกบกัน ใช้ที่สูบลมอันเล็กๆ ดึงไม่กี่รอบก็ไม่ขยับแล้ว อวิ๋นเยี่ยมัดเอ็นเนื้อที่ปากหลอดแน่นๆ จับหลอดดึงบอลเหล็กอีกครึ่งหนึ่งขึ้นมา กงซูมู่ค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจ บอลเหล็กอีกครึ่งหนึ่งยังติดกันอยู่
เขาลุกขึ้นมาใช้แรงดึงออก แต่ก็ดึงไม่ออก ได้แต่มองอวิ๋นเยี่ยอย่างมึนงง
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 43 ฉลาดราวกับปีศาจ
หลี่ไท่ที่อยู่นอกประตูก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ เดินเขย่งเท้าเข้ามา นั่งยองๆ บนพื้น มองไปที่ลูกบอลประหลาดลูกนั้น แล้วยังเตะไปที่ลูกบอล เห็นลูกบอลเหล็กที่กลิ้งอยู่บนพื้นก็อุ้มมันขึ้นมาไว้บนโต๊ะ ใช้แรงดึงก็ไม่มีอะไรขยับ
ตะโกนเรียกออกไปทางด้านหลัง มีผู้ติดตามร่างใหญ่เดินเข้ามาสองคน โค้งคำนับให้อวิ๋นเยี่ยกับกงซูมู่ จากนั้นก็เริ่มดึงลูกบอลเหล็ก หลี่ไท่คอยดูอยู่ข้างๆ อย่างกังวล
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจพวกเขาสามคน ยกกาน้ำชาขนาดเล็กเทชาสีเขียวลงในถ้วยชาขนาดเล็กทั้งสองใบ เชิญกงซูมู่ดื่มชา กงซูมู่ยิ้มกว้าง ยกถ้วยชาขึ้นมาวางใต้จมูกแล้วสูดดมกลิ่นน้ำชา เขาจิบน้ำชาโดยไม่กลืนลงคอทันที ให้กลิ่นหอมกระเพื่อมอยู่ในปากของเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม
อวิ๋นเยี่ยก็ยกถ้วยชาขึ้นมาเหมือนกัน ดื่มชาไปพร้อมกับพูดถึงประโยชน์ของชาให้กงซูมู่ฟัง
“ท่านอาจจะไม่ทราบ เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินว่ามีเค้กชาชนิดหนึ่ง ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีค่ามากเท่านั้น ว่ากันว่ามีเค้กชาที่ทิ้งไว้นานถึงสองร้อยปี ทุกคำที่กัดเข้าไป ราวกับการดื่มด่ำทองคำ แต่น่าเสียดายที่เป็นแค่เรื่องเล่าต่อกันมา ไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง น่าเสียดายเสียจริง ว่ากันว่ารสชาตินั้นเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก”
“สองร้อยปี ใบชาจะไม่เสื่อมสลายไปหมดแล้วเหรอ เช่นนี้ ยังดื่มได้อีกเหรอ”
“ดื่มได้จริงๆ แถมยังมีรสชาติที่มหัศจรรย์ เรื่องนี้ข้ารับรอง บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ มีความลึกลับมากมายที่เราไม่สามารถอธิบายได้ เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง ช่วยอธิบายโลกของเราจากการกระทำต่างๆ นานา ข้ารู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้ค้นพบสิ่งเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้จากโลกใบนี้”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอ กงซูมู่เครายาวปลิวไสว อวิ๋นเยี่ยผมสีดำสลวย หัวเราะขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว
ในห้องแออัดเต็มไปด้วยผู้คน ด้านหนึ่งมีชายร่างท้วมที่ถอดเสื้ออยู่ห้าคน กำลังดึงเชือกจนเส้นเลือดสีเขียวโผล่ออกมา เชือกที่ผูกกับด้ามของลูกบอลเหล็กถูกดึงจนตรง เหงื่อที่ไหลลงมาจากไหล่ราวกับงูที่คดเคี้ยว
ลูกบอลเหล็กก็ยังคงไม่ขยับไปไหน ฝ่ายหนึ่งอ่อนแรงลง ถูกอีกฝ่ายหนึ่งดึงจนขาด มีคนหนึ่งไม่ระวังล้มไปชนชั้นวางดอกไม้ของอวิ๋นเยี่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ กระถางดอกไม้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เดินมาที่ลูกบอลเหล็กที่อยู่บนพื้น ปลดเชือกที่ผูกอยู่ พอปล่อยมือออก ลูกบอลเหล็กก็ถูกแบ่งครึ่ง เขาโยนมันไปที่มุมกำแพงแล้วมองไปที่หลี่ไท่ ชี้ไปข้างนอก บอกให้เขาออกไปได้แล้ว
หลี่ไท่ไล่ให้ผู้ติดตามพวกนั้นออกไป แต่ตัวเองกลับยังอยู่ที่เดิม รินน้ำชาให้อวิ๋นเยี่ยกับกงซูมู่อย่างขยันขันแข็ง ท่าทีเคารพ ไอ้หมอนี่ก็เป็นเช่นนี้ อย่ามองว่าเขาเป็นคนประจบสอพลอ เขาไม่ได้เคารพในตัวเจ้า แต่เคารพความรู้ในท้องของเจ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นขอทาน ขอแค่มีประโยชน์ต่อความรู้ของเขา ไอ้หมอนี่ก็จะหันไปดูวันละแปดครั้ง
รอให้เขาได้เอาความรู้ไปหมดแล้ว เรียนรู้ทุกอย่างหมดแล้ว เขาก็จะไม่สนใจทันที ควรเป็นขอทานก็เป็นขอทานไป จะไม่มีทางเป็นคนที่เขาเคารพอีกต่อไป เอกลักษณ์นี้ไม่ต่างอะไรจากพวกชนเผ่าวอ ความเคารพในตอนนี้ เป็นเพียงแค่การทำให้เจ้าอัปยศอดสูในอนาคต จะมาเอาปรียบเว่ยอ๋องง่ายๆ ได้เหรอ
มีศิษย์ที่น่ากลัวเช่นนี้ ไม่แปลกใจที่กงซูมู่จะวิตกกังวลถึงเพียงนี้ ต้องกังวลเกี่ยวกับการสอนเขาทุกวัน
สืบทอดความรู้ให้กับศิษย์ที่มีความสามารถ คือความคาดหวังของอาจารย์ทุกคน แต่น่าเสียดายที่บนโลกใบนี้ยังมีคนมีความสามารถอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าจิตวิปริต ซึ่งเกิดมาเพื่อทรมานอาจารย์โดยเฉพาะ อย่างเช่นหลี่ไท่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า การเปรียบเปรยยังไม่เพียงพอที่จะใช้อธิบายความสามารถของผู้ชายคนนี้ได้ เขาเหมือนเครื่องสูบน้ำที่มีลำท่อขนาดใหญ่ ถ้าไม่สูบเอาความรู้ในท้องของอาจารย์ออกไปจนหมดสิ้น เขาก็จะไม่ยอมหยุด
แต่อวิ๋นเยี่ยกลับไม่มีความกังวลเช่นนี้ หากได้เห็นหลี่ไท่สร้างเรือดำน้ำนิวเคลียร์ขึ้นมาในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ มันก็คือความสุขที่ยิ่งใหญ่
“ชิงเชวี่ย เหตุใดเจ้าถึงล้มเลิกการศึกษาเกี่ยวกับเครื่องทอผ้า วันๆ ไม่ทำอะไร นี่คือหลักการในการศึกษาของเจ้าเหรอ”
หลี่ไท่มองไปที่รูปครึ่งวงกลมสองวงที่มุมกำแพง เหม่อลอยแล้วตอบว่า “เสด็จพ่อบอกว่ายังไม่ต้องศึกษาเรื่องพวกนี้ บอกให้ข้าไม่ต้องรีบร้อน บอกว่าสร้างขึ้นมาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าก็เลยหยุดคิด พยายามไม่คิดถึงมันอีก ท่านขอรับ เหตุใดท่านถึงได้แบ่งลูกบอลเหล็กนี้ออกอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่ข้าใช้แรงมากแค่ไหนกลับทำไม่ได้ ข้ารู้ว่ามันจะต้องมีความรู้ใหม่อะไรที่ข้ายังไม่รู้ ท่านโปรดอธิบายให้ศิษย์ได้เข้าใจด้วยขอรับ”
“ข้าเกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่แข็งแกร่ง ไหล่ทั้งสองข้างของข้ามีพลังที่มหาศาล คนสามารถยืนอยู่บนหมัดได้ ม้าสามารถวิ่งอยู่บนแขนได้ จะเทียบกับมนุษย์ธรรมดาได้เช่นไร”
หลี่ไท่ไม่สามารถเก็บซ่อนสายตาที่ดูถูกของเขาได้อีกต่อไป เขาพูดเสียงดังว่า “ข้าเห็นท่านปลดเชือกที่ผูกกับท่อเอ็นออก สิ่งลึกลับต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ แต่ข้าไม่เห็นว่าข้างในจะมีอะไร ท่านใช้วิธีอะไรทำให้มันติดกันแน่นเช่นนั้น ด้านบนมีน้ำมันหมู แต่น้ำมันหมูไม่ได้เหนียวขนาดนั้น มันคืออะไรกันแน่”
สุดท้ายหลี่ไท่ก็เริ่มคำรามขึ้นมา “ท่านไม่ต้องมาเดิมพันกับข้า ข้าไม่มีทางเดิมพันกับท่าน ข้าถูกหลอกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ข้าจะไม่ยอมถูกหลอกอีกต่อไป ท่านรีบบอกข้ามานะ!”
ไอ้หมอนี่กำลังจะบ้าคลั่ง ตอนนี้เขามีศักยภาพของนักวิทยาศาสตร์ที่บ้าคลั่งอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับเรื่องของระบบศักดินา เขาไม่ได้สนใจตั้งนานแล้ว หมกมุ่นอยู่แต่ในโลกของตัวเอง เห็นคนอื่นเป็นเหมือนคนโง่ และแน่นอนว่าโลกของเขามีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่เป็นลิงไม่มีขน ส่วนที่เหลือถูกปกคลุมไปด้วยขนที่หนา และเก็บผลไม้จากต้นมากิน
แกล้งเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยเชิญกงซูมู่ดื่มชาอีกถ้วยและพูดกับหลี่ไท่ว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าโลกของเรามีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย มีพลังงานบางอย่างกำลังควบคุมทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ทำไมผลไม้สุกแล้วจะต้องตกลงมา แทนที่จะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังงานอะไรทำให้เราต้องเหยียบบนพื้น แทนที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ลูกบอลเหล็กนี้สามารถอธิบายได้ถึงพลังงานเหล่านั้น มหัศจรรย์มากใช่ไหม ตอนนี้จะแสดงให้เจ้าเห็นถึงพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง เจ้าจับตาดูให้ดี ข้าจะทำแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
อวิ๋นเยี่ยรินน้ำใส่ถ้วยชาท่ามกลางสายตาของหลี่ไท่และอาจารย์ เทจนเกือบจะล้น หยิบกระดาษออกมาปิดบนปากถ้วยชา จากนั้นก็พลิกถ้วยชาคว่ำลง
หลี่ไท่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมกระดาษแผ่นนั้นถึงสามารถปิดน้ำไม่ให้ไหลออกมาได้ เหตุใดกัน
เขาใช้มือแตะที่กระดาษเบาๆ กระดาษขาด น้ำในถ้วยชาก็กระเด็นไปทั่วพื้น
หลี่ไท่ไม่ได้สับสนอะไร แต่กลับราวกับเด็กที่ค้นพบของเล่นชิ้นใหม่ เขาหลบไปอยู่ข้างๆ หยิบกระดาษ กะละมังน้ำและถ้วยชาออกมา จากนั้นก็เริ่มต้นการเดินทางค้นพบครั้งยิ่งใหญ่
“ท่านอวิ๋นโหว นี่คือสาเหตุใด” กงซูมู่คอยศึกษาความลึกลับของโลกมาตลอดชีวิต ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ มันยากที่จะเก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของเขา
“นี่คือพลังงานของอากาศขอรับท่าน” อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้ว่าอะไรคือความดันบรรยากาศ เขาก็เลยพูดเช่นนี้
กงซูมู่สะบัดแขนเสื้อที่กว้างใหญ่ของเขา และพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างครุ่นคิด “เช่นนั้น อากาศก็เป็นอุปสรรคเช่นกันใช่หรือไม่ ลมก็เป็นอีกชนิดหนึ่ง? สามารถผลักเรือลำใหญ่ให้แล่นไปในแม่น้ำได้ แล้วก็สามารถกีดขวางคนเดินเท้าที่ถือร่มได้ด้วย?”
“ท่านพูดถูกขอรับ อากาศก็มีน้ำหนักเช่นกัน เราเดินอยู่ในอากาศ ความจริงแล้วไม่ได้แตกต่างอะไรกับการเดินในน้ำมากนัก แค่อันหนึ่งแรงต้านทานสูง อีกอันหนึ่งแรงต้านทานต่ำ เท่านี้เองขอรับ”
“ข้าชั่งน้ำหนักไปแล้วกว่าร้อยหกสิบอย่างภายใต้ปริมาตรเดียวกัน แล้วข้ายังต้องมาชั่งน้ำหนักของอากาศอีก? พระเจ้าช่วย ข้าจะต้องสร้างเครื่องชั่งที่มีความแม่นยำเพียงพอก่อน จากนั้นค่อยเอาอากาศในปริมาตรที่เท่ากันไปชั่ง ข้าจะคัดแยกอากาศได้เช่นไร ไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อความแม่นยำในการชั่งน้ำหนัก?
ครั้งก่อนข้าแบ่งชั่วโมงออกเป็นเจ็ดพันสองร้อยส่วน ครั้งนี้ยังต้องแบ่งครึ่งกิโลเป็นหมื่นส่วน? เจ้ารังแกคน นี่เป็นงานศึกษาที่ดี ครั้งก่อนข้าใช้นาฬิกาทรายในการแบ่งเวลา แล้วครั้งนี้ที่จะใช้อะไรแบ่งน้ำหนัก
น้ำหนักของเรามาจากน้ำหนักของข้าวฟ่าง แต่มันก็ยังใหญ่เกินไป ไม่สามารถชั่งน้ำหนักของอากาศได้”
หลี่ไท่ทรุดตัวลงบนพื้น ท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึม เขาต้องการสร้างความหนาแน่นของตัวเองให้สมบูรณ์แบบ แต่เสียดายที่มันยากเกินไป
อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าตัวเองดูเหมือนจะทำให้เขาอับอายมากเกินไป ก็เลยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ชิงเชวี่ย ผู้ยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ล้วนแต่มาพร้อมกับความยากลำบาก เจ้าหาหนทางเจอแล้ว เจ้าก็ควรกล้าที่จะตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบอย่างรอบคอบ และสุดท้ายก็หาความจริงจนเจอ บางทีโลกอาจจะเปลี่ยนไปเพราะเจ้าก็ได้”
หลี่ไท่กลอกตามองบน ตอนนี้ไอ้หมอนี่ก็แสดงออกเป็นอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือดูถูก
“เจ้าคิดว่าข้าผิดหวังหรือท้อถอย? พูดจาเหลวไหลปลอบใจข้าเหรอ
ข้าเป็นคนประเภทที่ต้องการคนปลอบใจเหรอ เมื่อกี้แค่รู้สึกหงอยเหงาเศร้าซึมนิดหน่อย ให้ตัวเองได้รู้สึกผ่อนคลาย เตรียมพร้อมที่จะศึกษาเรื่องนี้ต่อ
อย่าคิดว่าเมื่อกี้เจ้ารอบคอบไม่มีช่องโหว่ ลูกบอลเหล็กกับถ้วยชา มีสิ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือเจ้าขับไล่อากาศออกไป อันหนึ่งใช้ที่สูบลมที่ติดตั้งกลับด้านสูบอากาศออก อีกอันใช้น้ำไล่อากาศออก ข้าแค่ต้องรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องไล่อากาศออกไปก็เพียงพอแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ลองทำการทดลองอีกสองสามครั้ง ก็จะหาคำตอบเจอแน่นอน เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆ”
หลี่ไท่หัวเราะ เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกไป ดูเหมือนจะมั่นใจในการศึกษาของตัวเองเป็นอย่างมาก
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่กงซูมู่ ทั้งสองคนส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“ท่านกงซู ตอนนี้ข้าเข้าใจความทุกข์ใจของท่านแล้ว นี่มันคือสัตว์ประหลาด”
“ข้าคงจะมีชีวิตสั้น นี่คือโชคชะตาของข้า พระเจ้ากำลังลงโทษข้า ทำให้ข้าทั้งทุกข์ใจทั้งมีความสุข”
จากลากันไปอย่างไม่มีความสุข กำมือทำความเคารพกัน ตอนนี้กงซูมู่มีความโศกเศร้าที่จะต้องจากลา
ตระกูลหลี่นอกจากทำเรื่องชั่วร้ายก็ไม่ทำอะไรอีก ชกต่อยทุบตีหลี่เค่อที่เข้ามารายงานเรื่องธนาคาร ตอนแรกเปิดแค่ธนาคาร ตอนนี้ยังพัฒนามาเป็นธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป บนโลกใบนี้ยังจะมีที่ว่างเหลืออยู่ให้ตระกูลอื่นหรือ
คนหนึ่งทั้งวันก็เอาแต่คิดว่าจะกระจายเหรียญทองเงินทองแดงราคาถูกของเขาไปยังทุกพื้นที่ในต้าถังเช่นไร อีกคนหนึ่งก็เอาแต่คิดว่าจะทำเช่นไรให้ผู้คนเอาเงินทั้งหมดมาฝากธนาคาร ทุกคนบนโลกนี้จะได้กลายเป็นลูกหนี้ของตระกูลหลี่
แต่ที่น่ารำคาญที่สุดคือคนที่สาม ที่เอาแต่เรียกร้องความจริงจากสรวงสวรรค์ อยากที่จะมองลอดความลึกลับทั้งหมดของโลกมนุษย์
รถม้าเริ่มแล่นไป หากต้าถังไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองอีกหลายร้อยปี มันก็คงไม่มีเหตุผลจริงๆ
ตอนนี้บัลลังก์ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับหลี่ไท่และหลี่เค่อ เพราะเขาทั้งสองเข้าใจว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทำให้ตัวเองไม่มีอิสระ แม้แต่หลี่เฉิงเฉียนก็ยังชอบการขี่ม้าออกไปทั่วทุกทิศ วิ่งไปทั่วโลก ไม่คิดว่าบัลลังก์เป็นทางเลือกเดียวของเขาอีกต่อไป
แต่อาจจะมีคนที่รู้สึกหดหู่ นั่นก็คือหลี่ซื่อหมิน ตัวเองพยายามแย่งบัลลังก์มาครอบครอง แต่ตอนนี้ลูกชายของตัวเองทั้งสามคนกลับไม่มีใครให้คนความสนใจมัน มันทำให้เขารู้สึกถึงความผิดหวังที่ว่างเปล่า
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 44 ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว
ขณะที่นอนอยู่บนรถม้า เชือกห้อยอยู่บนหลังม้า วั่งไฉรู้ว่าจะต้องไปที่ไหน เวลานี้ของทุกวันคือเวลาที่อวิ๋นเยี่ยกลับบ้าน อะไรก็ห้ามไว้ไม่ได้
รถม้าแล่นไปอย่างช้าๆ บนถนน วั่งไฉพาอวิ๋นเยี่ยกลับบ้านด้วยจังหวะฝีเท้าที่สบายๆ มีใบไม้แห้งร่วงลงมาบ้างเป็นครั้งคราว ดึงดูดให้มันต้องหยุดดู
เดินๆ หยุดๆ คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ตก ท่าทีเกียจคร้าน ในบรรยากาศราวกับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเกียจคร้าน
จู่ๆ วั่งไฉก็หยุดเดิน หันหัวไปที่อวิ๋นเยี่ย บอกเขาว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหน้า
เงยหน้าขึ้นมอง เขาก็รีบกระโดดลุกขึ้นมาราวกับถูกต่อต่อย
หลี่ซื่อหมินยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนถนน ข้างๆ เขาคือเว่ยเจิงที่มีเคราทั่วใบหน้า มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้มที่แปลกๆ
“ไสหัวลงมา ไปนำทาง ทำตัวไร้สาระ ข้ายุ่งทั้งวัน แต่เจ้ากลับพักผ่อนอย่างสบายใจ”
หนวดเคราของหลี่ซื่อหมินหนาขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับหวีจัดทรงอย่างเรียบร้อยและเป็นประกายแวววาว บนตัวมีกลิ่นหอมของอำพันทะเลลอยมากับสายลม สวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ที่เอวกลับห้อยจี้หยกอันใหญ่ เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา สามัญชนที่ไหนจะกล้าใช้จี้หยกขนาดห้านิ้ว
“เสื้อผ้าของฝ่าบาทไม่ค่อยเข้าท่านักขอรับ หากเกิดความความผิดพลาดสักเล็กน้อย ก็คงจะเป็นความผิดของเว่ยเจิง กระหม่อมคิดว่าเว่ยเจิงไม่จงรักภักดี ทำให้ฝ่าบาทต้องมาตกอยู่ในอันตราย ต้องลงโทษอย่างหนักเท่านั้นถึงจะทำให้ความโกรธในใจของกระหม่อมสงบลงได้”
หลี่ซื่อหมินเดินขึ้นรถม้า นอนอยู่บนรถม้าเหมือนกับที่อวิ๋นเยี่ยนอนเมื่อกี้ เหล่ตาและพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าทำตัวเหมือนพวกขุนนางมันน่ารังเกียจมากเพียงใด หนึ่งคือเจ้าไม่มีความเป็นขุนนาง สองคือเจ้าไม่มีอำนาจ ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีแต่คำว่าผลประโยชน์ มีแต่เรื่องของเงินทอง อยู่ยงคงกระพันเสียจริง พูดได้ว่าเจอพระฆ่าพระ เจอมารฆ่ามาร ภายใต้การปกครองของข้ามีคนอย่างเจ้าได้เช่นไร คนอื่นเขาห้าร้อยปีมีนักบุญ แต่เมื่อเป็นข้า พระเจ้ากลับประทานคนอย่างเจ้าให้ข้า ไม่รู้ว่าข้าไปทำกรรมอันใดไว้ พระเจ้าถึงได้ลงโทษข้าเช่นนี้”
ถอนหายใจด้วยสีหน้าที่ทุกข์ยาก หลี่ซื่อหมินเตะที่ก้นของวั่งไฉ บอกให้มันเดินไปข้างหน้าได้แล้ว
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่เว่ยเจิงที่ดูไร้เดียงสาด้วยสายตาโกรธเคือง หากสายตาฆ่าคนได้ เว่ยเจิงคงจะตายไปนานแล้ว
“อย่ามองข้าเช่นนั้น ครั้งนี้เป็นความต้องการของฝ่าบาท ข้าถูกจับมาเป็นเพื่อนร่วมทาง ฝ่าบาทต้องการจะมาพักผ่อนหย่อนใจที่เขาอวี้ซันสักสองวัน ผ่านช่วงเวลานี้ไป ถ้าอยากจะพักผ่อนหย่อนใจอีก ก็คงจะไม่มีโอกาส”
มีเสียงดังออกมาจากพุ่มไม้สองข้างทาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีองครักษ์คอยติดตามอยู่ หลี่ซื่อหมินออกมาข้างนอกจะไม่มีองครักษ์คอยปกป้องได้เช่นไร
“ท่านอวิ๋นโหวไม่พอใจคนแก่อย่างข้ามากถึงเพียงไหนกัน เจอหน้าก็อยากจะให้ฝ่าบาทลงโทษข้า เหตุใดกัน”
เว่ยเจิงกับอวิ๋นเยี่ยเดินอยู่ทางซ้ายและทางขวาของรถม้า เว่ยเจิงจงใจถามอวิ๋นเยี่ยทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้ว
“ผู้ตรวจสอบชาญฉลาดมากขอรับ ข้าน้อยไม่พอใจท่านจริงๆ คนที่ติดหนี้ก้อนโต แล้วยังสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระเช่นนี้ ช่างเป็นแบบอย่างของพวกเราเสียจริง พรุ่งนี้ขอให้หลูกั๋วกงไปเก็บหนี้ที่บ้านของท่านดีไหม”
“เจ้าเอาชื่อเสียงของข้าไปขาย ข้ายังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้า เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ลูกชายที่น่าสงสารของข้า ได้รับอิทธิพลกลิ่นอายของทองแดงจากพวกพ่อค้าทุกวัน สองสามวันก่อนยังรู้จักยืมเงินข้าไปทำธุรกิจ เขาบอกว่า แร่เหล็กในเหอเป่ยมีราคาถูก เตรียมที่จะขนส่งกลับมา เจ้าจะอธิบายเช่นไร”
“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าพี่กุ้ยหยู้แตกต่างจากคนธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ ข้าขอนับถือ หากพี่กุ้ยหยู้ขนแร่เหล็กกลับมาฉางอันในราคาต่ำกว่าราคาตลาด มีเท่าไหร่ข้าจะเอาเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าวางเงินมัดจำไว้ก่อน สักหนึ่งแสนดีหรือไม่”
ก็มีเพียงเว่ยกุ้ยหยู้ที่สมองมีปัญหาเท่านั้น ถึงคิดที่จะขนแร่เหล็กจากเหอเป่ยมาฉางอัน เขาคงจะลืมคิดถึงค่าขนส่งของพวกนั้น
เว่ยเจิงมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินฝ่าบาทที่อยู่บนรถม้าเอ่ยขึ้น
“ซวนเฉิง เจ้าให้กุ้ยหยู่อยู่ห่างจากเจ้านี่หน่อย ลูกชายของข้าก็เสียผู้เสียคนด้วยน้ำมือเขา คนบ้าที่เอาแต่ก่อเรื่องแปลกๆ วันทั้งวันพวกนั้นไม่สนใจระบบศักดินาของบ้านเมือง ในสายตามีแต่เงินทอง ใครก็ไม่สามารถพาออกมาได้ แค่อ้าปาก ก็ได้กลิ่นอายของเงินทองที่รุนแรงจนทำให้คนอยากจะอ้วก ดีที่ข้าเป็นคนเลี้ยงรัชทายาทมากับมือ เขาถึงไม่ถูกชักจูงไป เด็กซื่อบื้ออย่างกู้ยหยู้ อย่าได้ถูกเขาชักจูงไปทำเรื่องไม่ดีเชียวล่ะ”
คำพูดล้อเลียนของหลี่ซื่อหมินดังออกมาจากรถม้า ตอนนี้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ลูกทั้งสามของเขาไม่สนใจเรื่องของอำนาจฮ่องเต้ เขาได้เตรียมการไว้สำหรับสถานการณ์นี้อยู่แล้ว แต่มันกลับไร้ประโยชน์ ช่างน่าเสียดายเสียจริง
ความคิดของฮ่องเต้นั้นแปลกประหลาด เพียงแค่เรื่องต่างๆ อยู่ในความควบคุมของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เขาก็พร้อมที่จะยอมรับมัน แต่ถ้าหากเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเขา เขาก็จะไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม
ทั้งสามคนพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง เส้นทางอันยาวไกลก็มาถึงจุดสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่บนปากทางเขา มองเห็นหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นที่อยู่ล่างเขา ตอนนี้เป็นเวลาทำอาหารเย็นของพวกชาวบ้าน ตอนนี้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นกินอาหารวันละสามมื้อ อากาศเย็นก็เลยจะช้ากว่าที่อื่น
หมอกควันจากการทำอาหาร ทำให้ทั้งหมู่บ้านราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหมอก อิฐและกระเบื้องสีแดงถูกแสงพระอาทิตย์ตกดินตกกระทบราวกับเปลวไฟ
นี่คือความภาคภูมิใจของอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เคยกลัวว่าจะมีใครมาเยี่ยมชมหรือตรวจสอบ ฝางเสวียนหลิงเคยมา ตู้หรูฮุ่ยเคยมา อวี๋ซื่อหนานก็เคยมา แม้แต่ขงอิ่งต๋าที่ล้าสมัยก็ยังเคยมา
ไม่มีใครแจ้งตระกูลอวิ๋นก่อนล่วงหน้า พวกเขาล้วนแต่มาอย่างเงียบๆ และกลับไปอย่างเงียบๆ ตอนมาสงสัย ตอนกลับไปสับสน
“นี่อาจจะเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในต้าถัง” หลี่ซื่อหมินทำท่าทางโลภมาก เขาอยากจะตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้แล้วให้ต้าถังกลายเป็นแบบนี้ให้หมด
“ฝ่าบาท ในฐานะผู้ตรวจสอบ กระหม่อมได้ตระเวนไปทั่วทุกหนแห่ง เห็นหมู่บ้านชนบทมาแล้วนับไม่ถ้วน หมู่บ้านที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ก็มีเพียงที่นี่ที่เดียว ชาวบ้านคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ ตระกูลอวิ๋นด้วยเช่นกัน”
หลี่ซื่อหมินหันไปมองอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “หากข้าให้ดินแดนแห่งหนึ่งแก่เจ้า เจ้าจะใช้เวลากี่ปีในการทำให้มันกลายเป็นเหมือนบ้านของเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยคิดอย่างจริงจัง คำนวณอยู่นานถึงได้พูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท หากฝ่าบาทมอบดินแดนให้กระหม่อมดูแล บางทีหนึ่งปีอาจจะเกิดความวุ่นวาย สองปีชาวบ้านต่างก็จะไม่มีที่ทำมาหากิน สามปีพวกเขาก็จะทำการก่อกบฏ ฝ่าบาทก็จะตัดหัวของกระหม่อมไปแขวนให้สาธารณชนดู” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างขมขื่นให้หลี่ซื่อหมิน
“เหตุใดเจ้าถึงได้พูดถึงตัวเองเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้ล้อเล่น หรือว่านี่คือความคิดของเจ้า เหตุใดกัน”
หลี่ซื่อหมินกับเว่ยเจิงต่างตกใจ คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะพูดเช่นนี้
“ฝ่าบาท เว่ยกง ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดออกมาจากใจจริง การบริหารจัดการหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องง่าย หม้อใบเดียวปรุงอาหารเป็นร้อย แล้วยังต้องมีพ่อครัวที่มีฝีมือ เขาอาจจะทำอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้ แต่กลับทำให้คนส่วนมากพึงพอใจได้ มันต้องมีวิธี ความฉลาดและความรู้ ถึงขึ้นต้องใช้เครื่องปรุงรสที่ยอดเยี่ยมถึงจะทำอาหารรสเลิศออกมาได้หม้อหนึ่ง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ข้าขาดแคลน ยืนอยู่บนฝั่ง ออกความคิดเห็นให้ฝ่าบาทกับพวกขุนนางไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าให้ข้าลงไปในน้ำ ข้าคงจะถูกกลืนหายไปในคลื่นของพวกชาวบ้าน”
สีหน้าแปลกใจของหลี่ซื่อหมินค่อยๆ จางหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม พูดอย่างผิดหวังว่า “เจ้าพูดถูก ข้าบริหารจัดการประเทศนี้ บางครั้งข้าก็มักจะรู้สึกว่าเรี่ยวแรงไม่พอ บางครั้งถึงเวลาเข้านอนแต่กลับนอนไม่หลับ หยิบเสื้อคลุมมาคลุม มองดูหนังสือที่อยู่บนโต๊ะทำงาน พิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า กลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาด แค่ข้าเซ็นอนุมัติ ทุกอย่างก็กลายเป็นข้อสรุป อยากจะแก้ไขก็แก้ไขไม่ได้ ต้องระมัดระวังและรอบคอบเท่านั้น ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ก็ยังมีเรื่องที่ผิดพลาดเกิดขึ้น ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดพวกขุนนางที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาถึงได้บอกให้ข้าสร้างระบอบการบริหารจัดการประเทศ ให้ประชาชนได้อยู่อย่างสงบสุข เพราะเหตุใด”
หลี่ซื่อหมินราวกับกำลังพูดกับอวิ๋นเยี่ย แต่ก็ราวกับกำลังพูดกับตัวเอง จากนั้นก็หันกลับไปมองหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นอย่างเงียบๆ
“เมื่อวานฝ่าบาทได้ทำการสอบวิชาใหม่ของพวกขุนนาง สุดท้ายมีผู้สอบผ่านไม่ถึงสิบส่วนของทั้งหมด ส่วนผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นก็มีเพียงไม่กี่คน”
เว่ยเจิงจงใจอธิบายสาเหตุที่หลี่ซื่อหมินพูดเช่นนั้นให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจ
“ฝ่าบาท ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว ประโยคนี้อธิบายได้ถึงความคิดของพวกเขา มีแค่ความรู้ใช่ว่าจะบริหารหมู่บ้านได้ดี แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ละคนล้วนแต่บริหารประเทศชาติตามความรู้ในหนังสือ ไม่รู้หรอกว่าความรู้ก็มีข้อจำกัด หลักการเมื่อพันกว่าปีก่อน ก็เป็นแค่เรื่องตลกในตอนนี้ พวกเราต่างก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญในทุกๆ วัน แต่พวกเขากลับกำลังขุดกองหนังสือเก่าๆ กระหม่อมได้ยินมาว่าตอนนี้ยังมีการหยดเลือดเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ ถ้าเลือดของคนสองคนจับตัวกันเป็นก้อนเดียวแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดอยู่เลย?”
หลี่ซื่อหมินพึมพำและพูดซ้ำอีกครั้ง “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว เป็นเช่นนี้จริงๆ ยิ่งเป็นพวกขุนนางอายุเยอะก็ยิ่งระมัดระวัง ยิ่งเป็นพวกคนอายุน้อยก็ยิ่งกล้าคิดกล้าทำ จะเลือกคนเช่นไร ข้าจะต้องรอบคอบ”
ความหงอยเหงาเศร้าซึมของหลี่ซื่อหมินมาเร็วไปเร็ว เมื่อกี้ยังสมเพชตัวเองอยู่ แต่ในพริบตาเดียวก็เปลี่ยนมามีชีวิตชีวา
ชี้ไปที่หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ตรงหน้าข้าก็มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จอยู่ไม่ใช่เหรอ หากข้าศึกษาให้ละเอียดกว่านี้ ค่อยๆ ขยายไปในแต่ละอำเภอ หนึ่งปีหนึ่งอำเภอ ต้าถังมีทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยเจ็ดอำเภอ ช้าสุดก็ต้องใช้เวลาแค่หนึ่งพันกว่าปี ข้ามั่นใจในรากฐานของต้าถัง”
ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน พวกเขามักจะทำให้เรื่องต่างๆ ดูง่ายดายขึ้น ตามที่อวิ๋นเยี่ยรู้ หนึ่งพันห้าร้อยปีหลังจากนี้ จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาปกครองประเทศ และตระกูลหลี่ก็ได้หายสาบสูญไปตั้งนานแล้ว
“ฝ่าบาท ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ลงไปดูไหมกระหม่อม สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ว่ากันว่าหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นเจริญรุ่งเรือง คงต้องไปเห็นกับตาตัวเอง”
“ซวนเฉิงพูดถูก เราไปดูกันเถอะ” หลี่ซื่อหมินเริ่มออกเดินเท้า ไม่นั่งรถม้าอีกต่อไป เดินลงมาจากเขา
ยิ่งเดินลงมาจากเขา ต้นไม้ก็ยิ่งเบาบางลง มีองครักษ์วิ่งออกมาจากสองข้างทางเป็นครั้งเป็นคราว คอยคุ้มกันหลี่ซื่อหมินอยู่รอบๆ พอถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็ครึกครื้นไปด้วยผู้คนหลายร้อยคน
รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาขององครักษ์พวกนั้น เขาจึงรีบเดินไปพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท องครักษ์มากมายเช่นนี้ ฝ่าบาทยังจะได้ดูอะไรล่ะกระหม่อม ชาวบ้านตกใจหนีกันไปหมดแล้ว”
หลี่ซื่อหมินสะบัดมือไปข้างหลัง องครักษ์พวกนั้นก็ถอยออกไปทีละคนอย่างเงียบๆ และหายไปในพุ่มหญ้าที่อยู่รอบๆ อย่างรวดเร็ว เห็นแต่เพียงหญ้าแห้งที่สั่นไหว กระจายตัวออกไปในระยะไกล ตอนนี้หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นคงจะถูกล้อมรอบอย่างแน่นหนาแล้ว
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 45 หลี่ซื่อหมินจอมหน้าโง่
หลี่ซื่อหมินเดินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยกับเว่ยเจิงจะทะเลาะกันไม่หยุด เยาะเย้ยกันไปมา แต่สำหรับเรื่องความปลอดภัยของหลี่ซื่อหมิน พวกเขาสองคนกลับมีความคิดที่ตรงกัน ไม่กล้าออกห่าง องครักษ์ที่มีหนวดเคราคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะถูกหลี่ซื่อหมินไล่เขาไปแล้วสองสามครั้ง แต่เขาก็ยังคอยตามอยู่ข้างหลัง อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าขนของผู้ชายคนนี้ตั้งขึ้นมา หากมีคนโผล่มาตอนนี้ อย่างน้อยอาจจะถูกหักแขนหักขา อย่างมากสุดหัวคงจะหลุดออกจากคอ
หันหน้าไปยิ้มให้กับองครักษ์ แต่เขากลับส่งสายตาที่น่ารังเกียจกลับคืนมา นึกอยากโมโห แต่คิดดูแล้วก็พอจะเข้าใจ หากหลี่ซื่อหมินมีแค่รอยข่วน เขาก็คงจะไม่มีทางได้มีชีวิตอีกต่อไป ตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้หลี่ซื่อหมินตกอยู่ในอันตราย มันคงแปลกถ้าเขามีสีหน้าที่ดี
ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านมีนิสัยนั่งยองๆ กินข้าวข้างกำแพงตั้งแต่เมื่อไหร่ ชามดินเผาสีดำใบใหญ่กว่าหัวคนเต็มไปด้วยเม็ดข้าว ด้านบนคลุมด้วยเนื้อหมูติดมัน ไม่กล้ากิน นี่มันเอาไว้ให้คนดู กินข้าวจนหมดชาม แต่เนื้อหมูกลับไม่ได้แตะ ยังคงนอนอยู่ที่ก้นชาม มีแต่พวกเม็ดข้าวและผักสีเขียวที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย เนื้อหมูนั้นเก็บเอาไว้ในชาม เอาไว้ให้คนอื่นดูอีกครั้งต่อไป
ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการมีคนใหญ่คนโตมาเยี่ยมชม เมื่อวานยังมีขุนนางคนหนึ่งมากินข้าวชามหนึ่งแล้วก็จากไป
ส่วนหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่มีอะไรทำก็ชอบวิ่งเข้าไปดูเตาหุงข้าวที่บ้าน บางครั้งก็ชี้ไปที่ขาหมูที่ห้อยลงมาจากคานบ้านแล้วถามว่า ทำไมไม่กิน ฤดูหนาวกินแต่ผักแห้ง
หัวหน้าหมู่บ้านต้องมีหน้ามีตา พวกชาวบ้านไม่ได้ขาดความรู้ ดังนั้นหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นถึงได้มีนิสัยไม่กินเนื้อที่อยู่ในชาม
ปู่เฒ่ายังเอ่ยอีกว่า “พึ่งจะกินอิ่มได้กี่มื้อ ก็จะล้างผลาญกันแล้ว? กินเนื้อ? ไม่ได้มีเทศกาลสำคัญอะไรกินเนื้อทำไม หัวหน้าหมู่บ้านเป็นจอมล้างผลาญ แล้วยังจะให้ทั้งหมู่บ้านเป็นจอมล้างผลาญไปด้วยหรือ”
อวิ๋นเยี่ยเผลอไปได้ยินคำพูดพวกนี้ เขาทำได้แค่หลบหน้าแล้วเดินจากไป
หลี่ซื่อหมินไม่รู้ เขาเห็นแค่ว่าในชามข้าวของพวกชาวบ้านล้วนมีแต่ข้าว ผัก เนื้อ ทันใดนั้นก็ดีใจขึ้นมา เขารู้ถึงความยากลำบากของผู้คนทั่วทุกหนแห่ง และแน่นอนว่า เขาต้องรู้ว่าคนที่มีข้าวมีเนื้อกินหมายความว่าอะไร
กำลังจะชื่นชมอวิ๋นเยี่ยสักหน่อย แต่กลับเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งตัวเท่าลูกวัวตัวเล็ก เขมือบเนื้อที่เขากำลังมองอย่างน้ำลายไหลจนหมดเกลี้ยง แล้วยังจะแย่งเนื้อที่อยู่ในชามของพ่อเขาให้หมดอย่างโง่เขลา
พ่อของเขาก็ต้องโมโหอยู่แล้ว วางชามลงและตามล่าลูกชายจอมล้างผลาญของเขาไปทั่ว
กว่าจะจับได้ ใช้พื้นรองเท้าตีที่ก้นของลูกเขาสองสามครั้ง สั่งสอนลูกชายแล้วชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยที่อยู่ไกลๆ มันไกลเกินไป ได้ยินไม่ชัด น่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง
ลากลูกตัวเองที่น้ำมูกน้ำตาไหลกลับมาที่ข้างกำแพง เอาเนื้อในชามของตัวเองยัดเข้าไปในปากของลูก เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย ก็ตบก้นเขาอีกสองครั้ง
หลี่ซื่อหมินหัวเราะจนมองไม่เห็นลูกกะตา เว่ยเจิงก็หัวเราะจนปวดเอว แม้แต่องครักษ์ที่อยู่ข้างหลัง สีหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขาก็ค่อยๆ ละลาย
“หมู่บ้านของเจ้าก็ไม่ได้ขาดแคลนเนื้อ เหตุใดยังต้องคอยประหยัดใช้สอย แล้วยังเอาเนื้อมาเป็นหน้าเป็นตา?”
สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยมืดมนไปหมด คนพวกนี้ไม่มีใครเป็นหน้าเป็นตาสักคน ทั้งๆ ที่ก็ล้วนแต่เป็นคนมีฐานะ แต่กลับทำตัวราวกับขอทาน มีข้าวอยู่เต็มคลังก็ไม่กล้าเอาออกมากิน หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นจะไม่ปลูกข้าวที่มีราคาต่ำ พวกเขาล้วนแต่เอาข้าวสาลีของตัวเองไปแลกมา
เสื้อผ้าชุดใหม่ก็มี แต่ใส่ออกมาอวดแค่เทศกาลปีใหม่สองวัน จากนั้นก็เก็บไว้เหมือนเดิม ปีหน้าค่อยเอาออกมาใส่ใหม่ก็ยังใหม่เหมือนเดิม ก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร เอาแต่เก็บเงินเอาไว้ แล้วยังไม่มีสมอง ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ในคอกหมู สิ่งที่คุ้มกันหนาแน่นที่สุดในหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นก็คือคอกหมู แค่มีเสียงหมูร้องออกมา ก็จะมีองครักษ์ถือพลั่วส้อมออกมาวิ่งลาดตระเวนทันที
ทำให้เงินที่ออกมาจากหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมีกลิ่นอายของปัสสาวะกลบกลิ่นของทองแดงที่แท้จริง
“กระหม่อมทำอะไรไม่ได้แล้ว เสบียงไม่ขาดแคลน เนื้อไม่ขาดแคลน ไข่ก็ไม่ขาดแคลน แม้แต่ผักก็ยังไม่ขาดแคลน ทุกคนก็ล้วนแต่มีเสื้อผ้าชุดใหม่ และอาจจะมีมากกว่าหนึ่งชุด แต่ว่าพวกเขาไม่ยอมเสวยสุข ชอบเอาข้าวสาลีไปแลกข้าวเปลือก ชอบเอาเนื้อมาห้อยดูอยู่ทุกวัน ชอบใส่เสื้อผ้าที่ฉีกขาด ครั้งก่อนกระหม่อมก็เตือนพวกเขาแล้ว ดังนั้นพอถึงเวลากินข้าว ทุกหลังคาเรือนก็เลยเอาเนื้อมาใส่ในชามเพื่อทำให้กระหม่อมตายใจ เจอกับผู้เฒ่าผู้แก่ก็มักจะพูดว่ากระหม่อมเป็นจอมล้างผลาญ กระหม่อมอยากจะถอนฟันของพวกเขาออกให้หมด แต่ก็ไม่กล้า ทำได้แค่รับฟัง”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนน้ำตาไหล เว่ยเจิงยืนหอบเกาะอยู่ต้นไม้ข้างทาง
หัวเราะอยู่ดีๆ หลี่ซื่อหมินก็หยุดหัวเราะ หันมามองอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ชาวบ้านยังคงมีความวิตกกังวล กลัวว่าเสบียงจะไม่เพียงพอสำหรับปีที่จะมาถึง กลัวว่าจะหิว”
พูดเสร็จก็เดินเข้าไปหาชายแก่สองสามคน โบกมือถามว่า “ทุกท่าน ข้าเห็นว่าหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมีบ้านตั้งหลายหลัง คาดว่าน่าจะเป็นหมู่บ้านที่เจริญรุ่งเรือง เหตุใดพวกท่านถึงได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ เสื้อผ้าหน้าผม มีสิ่งใดที่พูดไม่ได้หรือไม่”
ชายแก่หนวดเคราสีขาวก้มหน้าลงมองที่ชามข้าวและเสื้อผ้าของตัวเอง นั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน คิดว่าน่าจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยของกรมโยธาหรือไม่ก็กรมคลัง ตัวเองอายุแปดสิบหก ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าขุนนางชั้นผู้น้อยพวกนี้
ไม่สนใจหลี่ซื่อหมิน หันมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไอ้เจ้านี่เป็นขุนนางระดับไหน ทำงานหนักจนโง่แล้วหรือเปล่า ชามข้าวของข้ามีผักมีเนื้อ แล้วยังมีไข่ที่หลานสะใภ้เพิ่งแกะให้ ยังกล้าพูดว่าเรียบง่าย? ดูให้ชัดเจน ของข้าคือข้าวสุก แม้แต่ข้าวของฮ่องเต้ก็ประมาณนี้ เจ้าลองมองไปรอบๆ ทั่วทั้งเมืองก็มีแต่หมู่บ้านข้าที่กินข้าววันละสามมื้อ เสวยสุขจนจะเป็นบาปอยู่แล้ว
ข้ามีชีวิตมาแปดสิบหกปี กินข้าวสุกมาแล้วกี่ปียังนับได้ รวมทั้งสองสามปีที่ผ่านมานี่อีก
ปีที่แล้วท่านหญิงมาที่หมู่บ้าน ยังมาพูดคุยกับข้าสองสามประโยค คนที่มีค่าราวกับเทพเจ้า ใส่ชุดกระโปรงยาวไม่ถึงข้อเท้า ก็เพื่อที่จะช่วยประหยัดเนื้อผ้า ข้าได้ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นและสะอาดก็พอแล้ว ชนบทจะพิถีพิถันอะไรกันมากมาย ใช้สอยอย่างประหยัดถึงเป็นหลักการที่ถูกต้อง
หัวหน้าหมู่บ้านอย่างเจ้าก็ไม่ควรพาจอมล้างผลาญเช่นนี้เข้ามาในหมู่บ้าน เสียบรรยากาศ”
พูดเสร็จ เขาก็เรียกเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลังประคองตัวเองขึ้นมา หลังงอถือชามอยู่ในมือ เอาไข่ที่อยู่ในชามป้อนเข้าปากหลานชายตัวน้อยของตัวเอง เหลือบตามองไปที่หลี่ซื่อหมิน แล้วก็หันหลังเดินออกไป ราวกับว่าถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยก็อาจจจะถูกหลี่ซื่อหมินทำให้แปดเปื้อนเอาได้
สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยเขียวจนไม่รู้จะเขียวเช่นไร องครักษ์ลังเลว่าจะฆ่าผู้เฒ่านี่ดีไหม
แต่หลี่ซื่อหมินกลับรับฟังอย่างกระตือรือร้น ไม่สนใจว่าชายแก่คนนั้นจะว่าเขาเป็นไอ้หน้าโง่หรือไอ้จอมล้างผลาญ ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นพูดถึงคนอื่น ตอนที่ชายแก่เดินออกไปก็ยังเห็นดีเห็นงาม
“ฝ่าบาท ชายแก่อายุมากแล้ว ฝ่าบาทอย่าได้สนใจเขา เขาก็เป็นเช่นนี้ กระหม่อมก็ทุกข์ใจเช่นกัน”
หลี่ซื่อหมินตบไหล่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “คำโบราณพูดไว้ไม่มีผิด ในบ้านมีคนแก่ราวกับมีสมบัติล้ำค่า คนสมัยก่อนพูดไว้ถูกต้อง ชายแก่คนนั้นบอกว่าเราเป็นไอ้โง่จอมล้างผลาญ เขาพูดถูก เราไม่ควรถามเช่นนั้น ถูกด่าก็เป็นเรื่องที่สมควร ด่าเราเช่นนี้ทุกวันเราก็โมโหไม่ลง หมู่บ้านของเจ้าช่างทำให้เราประหลาดใจได้เสมอ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมก็คิดเช่นนี้ขอรับ ชายแก่พูดถูก สามปีประชาชนอดทุกข์ได้ยาก ปีห้าเดือนสิบฝนไม่ตก ปีหกเกิดภัยแล้ง เป็นเรื่องธรรมดาที่ประชาชนมีชีวิตที่ลำบาก
แต่ในช่วงแรกที่ก่อตั้งแคว้น ต้องพบเจอกับภัยพิบัติมากมาย หากโรคตั๊กแตนเมื่อสามปีก่อนไม่ได้รับการจัดการที่ดี มันคงจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของมนุษย์ กระหม่อมถึงได้คิดว่าสิ่งที่ชายแก่คนนั้นพูดไม่ใช่เรื่องผิดอันใด”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้าและพูดว่า “เตรียมพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา ขอแค่เราพยายามอีกสักสองสามปี หลังจากทำลายดินแดนไม่ซื่อสัตย์ที่อยู่รอบต้าถังของเราออกไปได้แล้ว ข้าก็จะเริ่มขอพรให้กับประชาชน หวังว่าทุกคนบนโลกใบนี้จะได้ทานข้าวสุก พวกเรามาพยายามไปด้วยกันเถอะ”
อวิ๋นเยี่ย เว่ยเจิง รวมถึงองครักษ์คนนั้นก็โค้งคำนับให้คำมั่นสัญญา
ถนนหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นปกคลุมไปด้วยแผ่นหิน สองข้างทางเป็นบ้านของพวกชาวบ้าน ยืนหลังพิงรั้วมองเข้าไป หลี่ซื่อหมินก็ยิ้มอย่างพอใจ ในสวนมีฝูงไก่และห่านขาวตัวใหญ่สองสามตัววิ่งอยู่ กองฟางที่อยู่ข้างๆ มีไก่สองสามตัวที่กำลังออกไข่ ในสวนสะอาดสะอ้าน มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลาง เด็กผู้หญิงอายุสิบสามสิบสี่ปีกำลังหมุนถังน้ำขึ้นมาจากบ่อ เห็นผู้ชายสองสามคนกำลังยืนมองตัวเองอยู่ที่กำแพง พวกนางก็ตกใจ ปล่อยมือหลุดทันที ถังน้ำที่เพิ่งหมุนขึ้นมาก็ตกลงไปอีกครั้ง เด็กผู้หญิงพวกนั้นรีบปิดหน้าปิดตาวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
หลี่ซื่อหมินยิ้มอย่างพอใจ ชี้ไปที่กองฟางในสวนแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้านี่จริงๆ เลย กองฟางสิบกว่ากองพวกนี้ เป็นของบ้านนางหมดเลยหรือ”
“กระหม่อมคิดว่า อีกสักครู่เราก็จะรู้ขอรับ” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะพูดเสร็จ ก็มีผู้หญิงถือไม้ปัดขนไก่วิ่งออกมา กำลังจะอ้าปากด่า แต่กลับเห็นว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ทันใดนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหวมาหาซู้เหนียงเหรอเพคะ ข้าไม่ได้โม้นะ งานเย็บปักถักร้อยของซู้เหนียงเป็นงานที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน หากได้ไปเป็นสาวรับใช้ในจวน ไม่ว่าจะรับใช้ท่านหญิงท่านใดก็คงจะดีไม่น้อย ท่านคิดว่าเช่นไร?”
หลี่ซื่อหมินกับเว่ยเจิงได้ยินคำพูดของนางก็มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาที่ดูถูก เว่ยเจิงดูถูกไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หลี่ซื่อหมินที่มักมากในกาม เหตุใดถึงได้มองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น อวิ๋นเยี่ยโมโห
“บ้านเจ้ามีเสบียงตั้งมากมาย เจ้าอย่าบอกว่าแม้แต่ลูกสาวก็เลี้ยงไม่ไหว ต้องส่งไปให้ข้าเลี้ยงที่บ้าน”
“ท่านโหวคงไม่ทราบ เสบียงที่บ้านไม่ได้ขาดแคลน ที่เก็บไว้ก็มีตั้งเยอะแยะ ส่วนนี่คือเสบียงที่เก็บไว้เมื่อปีที่แล้ว ถูกหนูกัดหมดแล้ว ข้ากะว่าจะเอาออกไปตาก แล้วเอาไปขายให้กับพวกขุนนางในเมือง ส่วนเราทานของใหม่ ส่งลูกสาวไปที่บ้านของท่าน ก็เพราะว่าอยากจะให้นางได้ไปเรียนรู้ความเป็นผู้รากมากดีกับท่านย่า”
หลี่ซื่อหมินตบที่ท้ายทอยของอวิ๋นเยี่ยอย่างแรงแล้วพูดว่า “เจ้าสั่งสอนคนในหมู่บ้านเจ้าเช่นนี้เองหรือ ตอนนี้ฮองเฮากำลังเก็บเสบียงให้พวกขุนนาง เจ้ากะจะให้เราทานเสบียงที่ถูกหนูกัดแล้วใช่หรือไม่”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าก่อเรื่องขึ้นแล้ว ก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน แอบดูอยู่หลังประตู
อวิ๋นเยี่ยร้องออกมาด้วยสีหน้าที่ขมขื่น “ฝ่าบาท ชาวบ้านที่ขายข้าวก็ล้วนแต่เอาข้าวไปจากตระกูลเฉิน เก็บของดีไว้ให้ตระกูลตัวเอง เก็บไว้เป็นปีๆ จะไม่ถูกหนูกัดได้เช่นไร กระหม่อมถูกใส่ร้าย”
หลี่ซื่อหมินนึกถึงบะหมี่ชามใหญ่ที่กินไปตอนเช้า แล้วก็นึกถึงหนู รู้สึกอยากจะอ้วก ชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วก็หันหน้าเดินออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น