เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 4-6

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 4 ข้าจะเข้าศึกษา

 

“พี่ชายข้าอยากเข้าศึกษา” ต้ายาเงยหน้าพูดชัดๆออกมาทำเอาอวิ๋นเยี่ยตกใจ นี่ไม่ใช่ประเทศจีนในอีกหนึ่งพันสี่ร้อยปี ต้ายาก็ไม่ใช่เด็กไม่ได้เรียนหนังสือเพราะยากจนจึงเข้าโรงเรียนไม่ได้ นางมีอาจารย์สอน นักการศึกษาอายุเจ็ดสิบที่หนวดเคราหงอกแล้วทั้งหมด


 


“เจ้าไม่ใช่ศึกษาอยู่หรือ อาจารย์ซ่งหย่วนสอนได้ไม่ดีหรือ เขาเป็นอาจารย์ที่พี่ชายตั้งใจเชิญมาจากฉางอันโดยเฉพาะ เจ้าไม่ใช่ชอบเรียนกับอาจารย์ซ่งหย่วนมาตลอดอยู่แล้วหรือ”


 


“อาจารย์ว่าข้าฉลาดเฉลียวจนเขาไม่มีอะไรจะสอนข้าได้อีกแล้ว วันสองวันนี้ก็จะขอลาออกกับพี่ชาย เช่นนี้แล้วข้าก็จะไม่มีอาจารย์สอนอีก พี่ชาย ข้าชอบการศึกษาจริงๆ ท่านให้ข้าไปเข้าสถานศึกษาจะได้ไหม”


 


เป็นครั้งแรกที่ต้ายาลากแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ยแกว่งไปแกว่งมาอย่างออเซาะ เรื่องเช่นนี้แต่ก่อนเป็นลิขสิทธิ์ของพวกเสี่ยวยาเท่านั้น ต้ายาไม่เคยทำมาก่อน


 


“เอาเถอะ เอาเถอะ พี่ชายมึนหัว เจ้าให้พี่ชายนั่งลงแล้วพวกเราค่อยๆคุยเรื่องนี้กัน ไม่ใช่ยังมีรุ่นเหนียง เสี่ยวยา ตงซีหนานเป่ยอีกหลายคนหรือ อาจารย์ซ่งหย่วนก็ไม่มีอะไรจะสอนพวกนางแล้วเหมือนกันหรือ”


 


รู้สึกไม่สู้พอใจนัก เป็นอาจารย์นักเรียนดีก็ต้องสอนนักเรียนเลวก็ต้องสอนไม่ใช่มาเลือกสรรหาเอง หากอาจารย์ต่างเหมือนกับเจ้า นักเรียนไม่ใช่ต้องไปเลี้ยงแกะกันหมดแล้วจะได้ความรู้อะไรกัน


 


“พี่รุ่นเหนียงไม่เคยเข้าเรียน เสี่ยวยาวิ่งทั้งวันจนข้าวิ่งตามไม่ทัน เสี่ยวตงคิดเงินทั้งวัน เสี่ยวหนานหาเรื่องกินทั้งวัน เสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยติดตามทหารคุ้มกันฝึกวิทยายุทธ ที่เข้าเรียนมีข้าคนเดียวเท่านั้น”


 


เพื่อเข้าศึกษาแล้วต้ายาเล่าเรื่องการเรียนออกมาทั้งหมด ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เรื่องนี้ท่านย่าคงจะเห็นด้วย นางไม่ชอบให้เด็กผู้หญิงเรียนหนังสืออยู่แล้วมักบอกว่าเด็กผู้หญิงเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ อนาคตหากความรู้ดีเกินไปจะทำให้ฝ่ายสามีลำบากใจ แค่รู้หนังสือก็พอแล้วเขียนจดหมายได้ก็ถือว่าได้มาตรฐาน หลานชายตัวเองฉลาดมากเกินไป หากเด็กผู้หญิงก็ฉลาดด้วยจะทำให้สวรรค์อิจฉาไม่แน่ว่าอาจจะส่งภัยร้ายอะไรลงมา ดังนั้นพอพวกเด็กสาวสามารถเขียนจดหมายได้ก็จะไม่สนใจแล้วปล่อยให้พวกนางทำอะไรก็ได้ ต้ายาชอบเรียนหนังสือดังนั้นจึงยืนหยัดอยู่ต่อเรื่อยๆจนกระทั่งเหวินฟู เหวินซ่งหย่วนไม่มีอะไรจะสอนอีก


 


“อวิ๋นซัน ไปตามน้องสาวในบ้านมาทั้งหมด ข้ามีเรื่องจะถาม” อวิ๋นเยี่ยโมโหมากที่แต่ละคนเพิ่งหลุดจากผู้ไม่รู้หนังสือก็ไม่ยอมเรียนหนังสืออีก นี่เป็นความอัปยศของตระกูลอวิ๋น เรื่องอื่นยังพอให้อภัยมีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผ่อนปรนไม่ได้ มารดาที่มีความรู้กว้างขวางจะมีผลกระทบต่อบุตรตัวเองเท่าไรอวิ๋นเยี่ยเข้าใจได้อย่างดีมาก เขาไม่ต้องการให้รุ่นหลังของตระกูลอวิ๋นโง่ลงรุ่นต่อรุ่นไปเรื่อยๆจนรุ่นสุดท้ายแล้วต่างน้ำมูกไหลเลี้ยงแกะกัน หากผลสุดท้ายเป็นเช่นนี้แล้วตัวเองจะเปิดสถานศึกษาไปทำไม


 


พวกน้องๆเดินเข้ามาทีละคน ที่เดิมเคยหัวเราะร่าก็คอยดุนหลังกัน พอเห็นอวิ๋นเยี่ยหน้าตาบึ้งตึงก็ค่อยๆสงบลงทีละคน แม้แต่เสี่ยวยาที่ซนที่สุดก็ยังยืนนิ่งๆไม่กล้ามีเสียง


 


“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าไม่ต้องเรียนหนังสือ ข้าไม่ใช่บอกเหตุผลให้พวกเจ้ารู้หมดแล้วหรือ ทำไมแต่ละคนจึงยังเล่นอย่างโง่ๆไปเรื่อยๆ รุ่นเหนียงเจ้าอายุมากที่สุดเจ้าพูดมา”


 


เสียงของอวิ๋นเยี่ยดุดันขึ้นโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นเรื่องที่น้องๆทั้งหมดไม่เคยประสบมาก่อน ก่อนนี้พี่ชายจะคุยกับพวกนางด้วยเสียงเบาที่นิ่มนวล เวลานี้เกิดเป็นทางตรงข้ามอย่างมหาศาลจนแทบจะรับไม่ไหวแล้ว ดูพวกนางแต่ละคนตัวสั่นงันงกโดยเฉพาะเสี่ยวยาน้ำตาคลอเบ้า อวิ๋นเยี่ยออกจะใจอ่อน แต่พอนึกถึงผลในอนาคตก็ต้องแข็งใจไล่ถามต่อไป


 


“พี่ชาย ท่านย่าว่าเด็กผู้หญิงไม่ต้องการให้รู้มากเกินไป สามารถอ่านจดหมายเขียนจดหมายได้ก็พอแล้ว” รุ่นเหนียงใจกล้าพูดออกมา


 


“ท่านย่าอายุมากแล้ว บางเรื่องเป็นความคิดที่ล้าสมัย สามารถอ่านจดหมายเขียนจดหมายจะต่างอะไรกับพวกคนป่าคนเถื่อนที่ไม่รู้หนังสือ ข้าตระกูลอวิ๋นไม่ผลิตขยะ เด็กผู้หญิงก็ต้องชำนาญโคลงกลอนรู้เรื่องราวโลก ครั้งนี้ข้าให้อภัยพวกเจ้า ตั้งแต่นี้ไปจะต้องตั้งใจศึกษาห้ามปล่อยปละละเลย ทุกสามวันข้าจะทดสอบความรู้พวกเจ้า รุ่นเหนียงต่อไปห้ามวิ่งไปบ้านฉินเด็กสาวโตแล้วต้องรู้จักสำรวม เสี่ยวยาห้ามไปวุ่นวายที่ตลาดอีก เสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยห้ามไม่ให้ฝึกวิทยายุทธให้เรียนได้ทันก่อนจึงให้ไปได้ เสี่ยวตงหากข้าเห็นเจ้าเล่นกระป๋องเงินอีกข้าจะริบมา เสี่ยวหนานห้ามไม่ให้วุ่นแต่เรื่องกินให้ตั้งใจเรียน ครั้งนี้ถ้าว่าพวกเจ้าผิดนั้นสู้ว่าข้าผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ใส่ใจพวกเจ้าเอง


 


การเรียนเป็นเรื่องใหญ่มีผลตลอดชีวิต เวลานี้ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ อนาคตพวกเจ้าจะรู้ความห่างของผู้มีความรู้กับผู้ไม่มีความรู้ ทีหลังพวกเจ้าจะเป็นภรรยาเป็นมารดาของคนอื่น หากแต่ละคนไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วจะช่วยสามีจะสอนบุตรได้อย่างไร จะดูแลกิจการครอบครัวอย่างไร ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่มีสมบัติเป็นหมื่นก้วนแล้วจะยืนหยัดอยู่ได้สักกี่น้ำ จำไว้ว่าไม่ว่าต่อไปพวกเจ้าจะแต่งงานกับใครมีชีวิตอย่างไร ต้องจดจำถึงความสำคัญของการศึกษา เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับลูกหลานรุ่นต่อๆไปจะไม่ใส่ใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว จำกันได้ไหม”


 


น้องๆทุกคนต่างตอบรับเสียงเบา เห็นพวกนางต่างพอเข้าใจใบหน้าอวิ๋นเยี่ยจึงคลายความขึงขังลงมา เสี่ยวยาร้องโฮแล้วโผเข้ากอดอวิ๋นเยี่ยร้องไห้แทบจะขาดใจ คนอื่นก็ล้อมอวิ๋นเยี่ยร้องไห้ ต้ายารู้สึกผิดจนแทบทนไม่ได้


 


กอดปลอบพวกตัวเล็กกันแล้วบอกอี้เหนียงว่า “ระหว่างนี้เจ้าก็ต้องฝึกหัดการดูแลบ้าน พี่สะใภ้เจ้าไม่อยู่เจ้าก็ต้องเป็นคนดูแลให้ขอคำสั่งสอนจากผู้ดูแลบ้านเฉียน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการเรียนของน้องๆเจ้าก็ต้องดูด้วย ความจริงข้ารู้สึกติดค้างเจ้ามากที่สุด ตอนนี้ยังมีเวลาถ้าเรียนได้ก็ให้เรียนเถอะ


 


วันนี้หากต้ายาไม่มาพูดเรื่องเข้าศึกษาก็แทบจะทำให้พวกเจ้าพลาดกันไปทั้งชีวิต ข้าในฐานะเจ้าบ้านไม่เหมาะสมห่วงแต่สถานศึกษากับราชสำนักทำให้ทอดทิ้งพวกเจ้าไป เป็นความผิดของพี่ชายเอง”


 


“พี่ชายเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดในโลก เพราะพวกเราขี้เกียจเกินไปไม่คิดใฝ่หาความรู้คิดแต่เล่นสนุก ต่อไปจะไม่อีกแล้ว พวกเราจะเรียนกับอาจารย์ซ่งหย่วนดีๆ” อี้เหนียงก็ร้องไห้บอกอวิ๋นเยี่ย


 


เวลานี้เอง เหวินซ่งหย่วนที่หนวดเคราหงอกขาวเดินย่างเท้าเข้ามา อาจารย์มีลักษณะพิเศษคือไม่เคยเดินเร็ว ต่อให้บ้านไฟไหม้ก็ยังจะไปเรื่อยๆโดยไม่ตกอกตกใจ เขาให้ความสำคัญกับความเรียบร้อยมากตามที่เหล่าเฉียนว่า ผมของอาจารย์เหวินฮูหวีอย่างเรียบร้อยถึงแม้ไม่มากแต่ทำให้ดูสดใส


 


“อาจารย์ซ่งหย่วน ก่อนนี้ข้าละเลยไปทำให้การสอนของอาจารย์ไม่สามารถทำได้ เป็นความผิดของข้า ขออาจารย์อย่าได้ถือโทษ ข้าได้สั่งสอนน้องๆที่ไม่เอาถ่านไปแล้ว ขอให้อาจารย์เห็นแก่ความไม่รู้ของพวกนาง สั่งสอนพวกนางใหม่เถอะ”


 


เหวินฮูกวาดสายตาไปที่เหล่าเด็กสาว ลูบหนวดเคราว่า “การสอนหนังสือเป็นหน้าที่ของข้าไม่กล้าละเลย ย่อมฟังคำสั่งโหวเหยีย เพียงแต่คุณหนูต้ายานั้นข้าได้สอนจนสิ้นความรู้ข้าแล้ว เด็กคนนี้ฉลาดเฉลียวความสามารถสูงส่ง ข้าแสนละอายที่ความรู้ตื้นเขินไม่สามารถสอนเด็กคนนี้ได้อีก จะได้ไม่ทำให้ลูกหลานคนอื่นเสียโอกาส”


 


สำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วอาจารย์ชราก็ยังมีความรู้สึกที่ดี บรรยากาศในบ้านมีความติดดินไม่ฟุ้งเฟ้อ คุณหนูน้อยเหล่านี้แม้ไม่ชอบเรียนหนังสือแต่ก็เป็นเด็กดีมีมารยาทให้ความเคารพอาจารย์ ผู้หญิงเรียนหนังสือไม่ได้ถูกมองเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว ตระกูลอวิ๋นถือว่าเป็นตระกูลเปิดกว้างที่หาได้ยาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยทวงถามเรื่องเด็กผู้หญิงที่ไม่ได้เข้าเรียน


 


“ต่อนี้ไปขอให้อาจารย์เข้มงวดในการสั่งสอนให้ถือเสมือนว่าพวกนางเป็นเด็กผู้ชาย การทำโทษเช่นไม้บรรทัดตีนั้น ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ใส่ใจขอให้อาจารย์ทำได้เต็มที่ ในเมื่อต้ายาได้จบการศึกษาจากอาจารย์แล้ว ขอให้อาจารย์มีจดหมายรับรองเพื่อจะได้ให้นางหาอาจารย์ใหม่ต่อไป”


 


อาจารย์ชราเหวินฮูย่อมพยักหน้าติดๆกัน ให้สอนเด็กผู้หญิงเช่นเดียวกับสอนเด็กผู้ชายง่ายขึ้นมามาก ควรรู้ว่าเด็กผู้หญิงเกรงกลัวการถูกลงโทษยิ่งกว่าเด็กผู้ชาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการสอนของตัวเองก็จะสบายขึ้นมาก


 


เรื่องความรู้อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถตัดสินเองได้ จึงนำต้ายาไปสถานศึกษาให้อาจารย์หลี่กังทดสอบดูว่ามีความรู้ถึงระดับไหนแล้ว เวลาสามปี เด็กผู้หญิงคนหนึ่งสามารถดึงความรู้จากนักวิชาการชราไปจนหมดเกลี้ยง อวิ๋นเยี่ยออกจะไม่เชื่อ


 


หลี่กังเองก็แปลกใจ แต่ความเป็นจริงที่ผ่านมาตระกูลอวิ๋นมักมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น จึงร่วมกับอาจารย์อวี้ซันด้วยความชื่นมื่นทดสอบต้ายาไปชั่วยามกว่า ยังดีที่ต้ายาคุ้นเคยกับอาจารย์หลี่กังกับอวี้ซันจึงผ่านไปได้โดยราบรื่น หากเป็นอาจารย์อื่นแค่ความขี้อายคงทำให้นางพูดอะไรไม่ออกเลย


 


เมื่อการทดสอบแล้วเสร็จ อวิ๋นเยี่ยรอผลการประเมินจากอาจารย์ชรา ใครจะรู้หลี่กังมือไม้สั่นถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ปิศาจเช่นนี้ ตระกูลอวิ๋นเจ้ายังมีอีกเท่าไร หากมีเล็กกว่านี้สักสองปี ขอให้หลานชายคนเล็กข้าจะได้ไหม”


 


“ไม่รู้ ที่เหลือมีแต่ห่วงเล่นแล้ว ยังดูไม่ออก หากหลานชายคนเล็กท่านมีฝีมือให้ไปบ้านอวิ๋นหาเองข้าไม่คัดค้าน รับรองว่าหลานชายคนเล็กท่านคงได้ตายอนาถด้วยฝีมือพวกนาง”


 


“เช่นนั้นถือว่าตกลงแล้ว หลานชายข้าไม่ใช่ธรรมดา อีกไม่กี่วันก็จะมาเข้าเรียนที่สถานศึกษา หากเขาล่อหลอกสาวบ้านอวิ๋นไป ข้าไม่ขอรับผิดชอบด้วย”


 


ตาแก่คนนี้อยู่อย่างสุขสบายอิสรเสรี บุตรชายหลี่เซ่าสือแสนจะโง่เง่าไม่เหมาะที่จะคลุกอยู่ในวงการขุนนาง อาศัยบารมีบิดาได้เป็นซือหม่าที่กวนโจวบ้านเดิมในเหอเป่ย เมื่อเติบใหญ่ขึ้นตามวัยของหลี่กังอวิ๋นเยี่ยเลยใช้อิทธิพลทางทหารย้ายเขามารับตำแหน่งที่ฉางอันได้เลื่อนตำแหน่งเล็กๆอีกหนึ่งขั้น ตามที่หลี่กังฝากฝังมา บุตรชายตัวเองมีฝีมือระดับไหนตัวเองย่อมรู้ดี เป็นขุนนางเล็กๆระดับหกยังพอไหวหากต้องรับผิดชอบอะไรจริงจังจะต้องเกิดปัญหาแน่นอน จึงทำตามที่เขาต้องการบรรจุเขาให้เป็นขุนนางลอยที่ซือหนงซื่อ


 


หลี่กังสิ้นหวังต่อบุตรชายมานานแล้วแต่รักหลานชายคนเล็กหลี่อันเหรินสุดสวาทขาดดิ้น มีอายุเพียงสิบเอ็ดปี ตามที่หลี่กังคุยโม้เองว่ามีความสามารถพิเศษที่ความจำสุดยอดอ่านอะไรแล้วไม่ลืมเลย แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างชัดเจนถึงปรากฏการณ์ที่แข็งแกร่งและอ่อนด้อยมีการสลับรุ่นกัน


 


อวี้ซันก็ชื่นชมต้ายาถูกต้ายาพยุงออกมานอกอาคารด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส ชมเชยตระกูลอวิ๋นไม่หยุดปากว่ามีอัจฉริยะหญิงแบบเซี่ยเต้าอวิ่นอีกคนแล้ว บอกว่าครั้งก่อนนั้นซินเย่ว์ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา หากเติบโตข้างกายเขาจะไม่แพ้ต้ายาแน่ ทำให้หลี่กังกับอวิ๋นเยี่ยหัวเราะงอหาย พูดกันใหญ่ว่าอาจารย์อวี้ซันช่างขี้อิจฉาแท้ๆ


 


อาจารย์หยวนจางเพิ่งจบการสอนออกมายกกระติกน้ำชาตัวเองดื่ม หลังจากที่ได้รับรู้ถึงสาเหตุที่ทุกคนหัวเราะแล้วถามต้ายาไม่กี่คำแล้วบอกว่า “พี่ชายเจ้าหากไม่ได้รับความรู้จากอาจารย์ผู้วิเศษเหล่านั้น ไม่เหมาะที่จะถือรองเท้าให้เจ้าด้วยซ้ำ”


 


ผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านี้อายุอานามมากแล้วมองทะลุสังคมโลกไปหมดแล้ว ชื่นชอบต่อการที่ได้เห็นพวกเด็กๆเล่นสนุกกันอย่างมากที่สุด ไม่ได้สนใจเรื่องราวราชสำนักเลย ขังตัวเองอยู่ในหอคอยงาช้าง มีชีวิตอย่างสุดแสนรื่นรมย์ ค้นคว้าวิชาการที่ตัวเองชื่นชอบ นึกอะไรได้ก็เขียนอะไรลงไปบ้าง ย่อมมีลูกศิษย์ลูกหาคอยรวบรวมเป็นเล่มพิมพ์ออกเป็นตำรา สำหรับพวกเขาแล้วตำราที่มีกลิ่นหมึกใหม่ๆเป็นสุดที่รักของพวกเขา


 


ในสถานศึกษาล้วนมีแต่พวกมนุษย์ประหลาดที่หลงใหลการอ่านรู้เพียงการสอนหนังสือ สองปีก่อนยังมีความคิดจะไปคลุกในวงการขุนนางแต่ใครจะรู้ว่าพออยู่ในสถานศึกษานานเข้า แต่ละคนล้วนลืมความตั้งใจดั้งเดิมต่างรักสถานศึกษานี้ การเป็นขุนนางก็ใช่ว่าจะเป็นที่เคารพของผู้คนมากเท่าเป็นอาจารย์

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 5 ร้านค้าเงิน (ส่วนแรก)

 

ผ่านไปแล้วสองเดือนฉางอันยังคงซบเซา ตลาดตะวันตกนอกจากมีเสียงเร่ขายของสาวหูจีที่พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ได้ยินสำเนียงท้องถิ่นเหนือใต้ที่ไหนมาแทรกอีกเลย คนเดินตลาดก็น้อยลงไปมากมาย มองดูสินค้าที่ตุนจนเป็นภูเขาเลากา ทั้งกองคาราวานอูฐที่มากันไม่ขาดสาย พ่อค้าหูไม่เหลือรอยยิ้มที่เคยติดอยู่บนใบหน้า เสื้อผ้าสาวหูจียิ่งนุ่งยิ่งน้อยลงเอวสะโพกยิ่งสั่นยิ่งรุนแรง แต่น่าเสียดายที่บรรดาตระกูลเศรษฐีศักดินาต่างกวดขันไม่ให้ลูกหลานตัวเองเข้าไปมั่วสุมกันในตลาดหรือซ่องโสเภณี


 


 


ตลาดสะดวกซื้อร้านซุปเปอร์เวลานี้อวิ๋นเยี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เหล่าเหอก็ไม่มีส่วนด้วย เขาเดินตามรอยเท้าอวิ๋นเยี่ยเสมอมา พออวิ๋นเยี่ยชักสามในสิบส่วนที่เป็นหุ้นของตัวเองออกมา เหล่าเหอแม้แต่คิดยังไม่ต้องคิดก็ชักสองในสิบส่วนที่เป็นหุ้นของตัวเองขายคนอื่นทันที เหล่าศักดินาในฉางอันมีแต่คนถือเงินรอกันอยู่ หุ้นห้าในสิบส่วนนี้ถูกแตกจนละเอียดกลายเป็นแต่ละครึ่งของหนึ่งในสิบส่วน ดังนั้นจึงขายได้ราคาสูงขึ้นมาก ทุกคนต่างอยากให้ลูกหลานมีหนทางได้รับเงินที่ไม่รู้จบ ตลาดสะดวกซื้อย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


 


 


มีแต่พวกไม่รักดีจึงไม่ไปซื้อของที่ร้านค้าตัวเอง ในตลาดสะดวกซื้อมีขายทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งระยะทางใกล้สินค้าดีงามไม่ต้องไปซื้อข้างนอก ผู้ถือหุ้นซื้อสินค้าได้รับส่วนลดถูกกว่าซื้อข้างนอกมากมาย เอาสินค้าไปแล้วคิดบัญชีสิ้นเดือนหักออกจากผลกำไร พอถึงวันสิ้นเดือนจะมีเจ้าบ้านหรือฮูหยินรอคนดูแลตลาดสะดวกซื้อเข้าบ้าน แสดงบัญชีละเอียดว่าแต่ละเดือนตัวเองกินใช้ไปแค่ไหนใช้เงินไปเท่าไร ตัดหนทางที่คนดูแลบ้านจะได้รับเบี้ยบ้ายรายทาง มาตรฐานการครองชีพของครอบครัวไม่ได้ลดลงกลับสูงขึ้นไปอีกทั้งค่าใช้จ่ายยังลดลงไปอีกหนึ่งส่วน


 


 


หลังจากที่เจ้าบ้านหรือฮูหยินค้นพบประสิทธิผลส่วนนี้แล้ว สิ่งของทุกอย่างที่หาได้ในตลาดสะดวกซื้อจะไม่ให้ไปซื้อที่อื่นเด็ดขาด ผู้จัดการตลาดสะดวกซื้อยังออกแคมเปญส่งรายละเอียดการซื้อของลูกค้ารายใหญ่ หากซื้อของถึงเป้าที่กำหนดพอถึงสิ้นเดือนก็จะส่งบัญชีไปที่ลูกค้ารายใหญ่ เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าลูกค้ารายใหญ่อย่างยิ่ง


 


 


หุ้นส่วนใหญ่ของตลาดสะดวกซื้อเป็นผู้หญิงชื่อหมิงเยวี่ย ไม่เคยต้องดูแลงานการอะไรเพียงใช้เวลาห้าวันต่อเดือนในการนั่งรถม้าอ้อมรอบเมืองฉางอัน ดูร้านค้าทั้งหมดที่มีแล้วนำถุงที่ใส่เงินหรือทองในรถม้ากลับวังพร้อมกัน หมายเหตุคือกลับวังพร้อมกัน เวลานี้หากศักดินาคนไหนไม่รู้ว่าหมิงเยวี่ยคือสาวใช้ประจำตัวของฮองเฮาเหนียงเหนียงละก็ จะต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะ


 


 


ร้านค้าภายนอกที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันต่างกำลังถดถอย ราคาอาหารตกต่ำจนถึงขีดอันตราย เวลานี้ ฮองเฮาเหนียงเหนียงที่มีใจเมตตายิ่งนัก เพื่อเตรียมเสบียงให้ปีภัยพิบัติ จึงควักเงินในเน่ยฝู่ออกมามหาศาลซื้อเสบียงอาหารทั่วฉางอัน ไม่ว่าข้าวสาลี ถั่ว ข้าวฟ่าง ไม่มีปัญหารับซื้อทั้งหมดในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดหนึ่งในสิบส่วน เหล่าพ่อค้าเสบียงอาหารต่างร้องไห้โฮ ไม่ใช่เพราะอะไร เหนียงเหนียงรับซื้อแต่เสบียงที่มาจากเกษตรกรโดยตรงไม่ต้องการเสบียงจากร้านค้า เกษตรกรที่เคยโดนขูดรีดจากพ่อค้าเสบียงอาหารเวลานี้หาบธัญพืช ขี่เกวียน แม้แต่มองยังไม่มองพ่อค้าธัญพืชต่างขายเสบียงที่เหลือกินของตัวเองให้ฮองเฮาเหนียงเหนียง


 


 


ขณะที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงนั่งรถม้าเล็กที่คลุมด้วยแพรบางวนเวียนอยู่ในยุ้งฉาง ฮ่องเต้ก็มีพระราชโองการสั่งให้โจวทั้งหมดทั่วแผ่นดิน นอกจากโจวที่ประสบภัยพิบัติต้องการความช่วยเหลือ โจวที่ไม่ประสบภัยพิบัติทั้งหมดต้องรับซื้อเสบียงอาหารส่วนเกินจากราษฎรในราคาสูงกว่าท้องตลาดหนึ่งในสิบส่วน ห้ามไม่ให้เกษตรกรเสียเปรียบ ส่วนเหล่าพ่อค้า พระราชโองการไม่ได้พูดถึงดังนั้นจึงไม่อยู่ขอบเขตที่หน่วยราชการจะช่วยเหลือ


 


 


“เหนียงเหนียง ปีนี้ซื้อเสบียงอาหารมาทั้งหมดหนึ่งล้านเจ็ดแสนสามหมื่นหาบ เสบียงที่เหลือทั้งหมดในกวนจงคงอยู่ที่นี่หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ถั่วหรือข้าวฟ่าง ล้วนเป็นเสบียงชั้นดีเยี่ยม” ขุนนางดูแลคลังเสบียงถือท่อเหล็กแหลมยาวทิ่มเข้าไปในที่เก็บเสบียง หลังจากดึงออกมาแล้วยื่นให้นางกำนัลให้นางกำนัลส่งต่อให้ฮองเฮาตรวจสอบ


 


 


ส่งท่อเหล็กเข้าไปแล้วจ่างซุนเทธัญพืชในท่อเหล็กลงถาดเงิน เกลี่ยแล้วตรวจดูเห็นข้าวสาลีเม็ดอ้วนกลมแห้ง หยิบขึ้นมาลองเคี้ยวดู ดีมาก ไม่ขึ้นรา ไม่มีกลิ่นแปลกปลอม เป็นเสบียงที่ดีจริงๆ


 


 


จั่งซุนลุกขึ้นมายืนแหวกม่านออก มองดูคลังเสบียงที่แน่นไปด้วยเสบียงอาหาร เหม่อลอยเล็กน้อย นางไม่เคยนึกฝันว่าอาศัยเพียงเงินในเน่ยฝู่ ก็สามารถรับซื้อเสบียงที่เหลือทั้งหมดของกวนจง ในบ้านมีเสบียงไม่อะไรต้องกังวล เหล่าราษฎรไม่ได้เสียเปรียบ คนอื่นจะเป็นจะตายในความสั่นคลอนครั้งใหญ่นี้ใครจะไปสนใจ ดื่มเลือดราษฎรมานานปีขนาดนี้แล้วไม่ถ่มออกมาบ้างจะได้อย่างไร


 


 


ต้าถังยังคงมีรูปแบบการปกครองคล้ายตระกูลใหญ่ที่มีระบบเลี้ยงตัวเองที่ใหญ่โตมโหฬาร อาวุธยุทโธปกรณ์มีจวิงชี่เจี้ยนดูแล เรือและสะพานมีเจียงจั้วเจี้ยนดูแล เพียงแค่มีเงินมีเสบียงพร้อมก็จะไม่เกิดเรื่องใหญ่โตทั่วหล้า


 


 


อวิ๋นเยี่ยบอกว่าจะต้องล้างไพ่ใหม่ ไม่เข้าใจว่าล้างไพ่หมายความว่าอะไร อย่างไรก็ตามก็คือต้องการปรับปรุงกลุ่มพ่อค้าธุรกิจใหม่ ขับไล่อิทธิพลกลุ่มตระกูลใหญ่ออกไปจากกลุ่มพ่อค้าธุรกิจ กลุ่มตระกูลใหญ่ดูออกเลยว่าเบื่อหน่ายตัวเองกับอวิ๋นเยี่ยพอๆกัน


 


 


จนถึงสิ้นเดือนเก้า กลุ่มพ่อค้าธุรกิจฉางอันที่ใกล้จะแขวนคอตายได้ดีอกดีใจกันขึ้นมา พวกตระกูลใหญ่ที่พวกตัวเองเคยอาศัยพักพิงเริ่มถอยร่นถอนหุ้นออกไป ถอนกันจนเกลี้ยง บางคนที่หน้าด้านยังตีราคาหุ้นลมเป็นเงินดึงออกไปด้วย


 


 


มียอดฝีมือคนหนึ่งชื่อหวงจื้อเอินเปิดร้านที่เรียกว่าร้านค้าเงิน ได้ยินว่ามีเบื้องหลังแข็งแกร่งมากเงินทองมากจนนับไม่ถ้วน เห็นเหล่าพ่อค้าธุรกิจอยู่ด้วยความหวาดผวาแล้วทนดูพวกเขาล่มสลายจนบ้านแตกสาแหรกขาดไม่ได้ ตัดสินใจเอาเงินตัวเองให้เหล่าพ่อค้าธุรกิจกู้ยืมเพื่อใช้หมุนเวียน ขอเพียงพ่อค้าธุรกิจมีความต้องการต่างสามารถนำสิ่งของไปจำนำ ให้มาเป็นเงินสดไม่มีการชักช้าไม่ถ่วงเวลา ได้ยินว่าดอกเบี้ยก็ไม่สูงด้วย มีเรื่องดีเช่นนี้? คงไม่ใช่เป็นพวกขี้ฉ้อจอมหลอกลวง


 


 


เถ้าแก่เฉาร้านจิ่นเฟิงไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้แล้ว ตระกูลไต้ถอนหุ้นไปแล้วกวาดเงินทุนที่ร้านจิ่นเฟิงต้องนำมาซื้อสินค้าไปจนหมดเกลี้ยง ทั้งยังค้นเงินที่ตระกูลเฉาเก็บสะสมมาหลายปีไปด้วย จนเห็นว่าตระกูลเฉาถูกสูบจนแห้งแล้วจึงรามือ


 


 


เวลานี้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจผ้าลินินของร้านจิ่นเฟิงดีเยี่ยมที่สุด ถึงเวลาที่ต้องรับซื้อผ้าลินินแล้วแต่ไม่สามารถเอาเงินจากลิ้นชักออกมาได้ หากไม่สามารถสู้ให้ผ่านพ้นปีนี้ได้ร้านจิ่นเฟิงก็ต้องล้มละลาย บุตรภรรยาตัวเองไม่แน่ว่าต้องโดนทางการตัดสินให้ตกเป็นทาส เวลานี้ขอเพียงให้มีคนลงเงินทุนให้ร้านจิ่นเฟิง ต่อให้เป็นผีร้ายเถ้าแก่เฉาก็ยอมทั้งนั้น


 


 


กัดฟันบอกกลุ่มพ่อค้าที่ห้อมล้อมดูอยู่รอบๆว่า “เหล่าเถ้าแก่ทั้งหลายบ้านเฉาสู้ไม่ไหวแล้ว ต่อให้เป็นด่านนรกข้าเหล่าเฉาก็ต้องลุยเข้าไป ถือว่าไปสำรวจต้นทางให้ทุกคน หากไม่รอดปีนี้ไปก็ไม่มีทางรอดให้ข้าอีกแล้ว”


 


 


เหล่าเถ้าแก่ที่ห้อมล้อมต่างค้อมตัวทำความเคารพ มองดูเถ้าแก่เฉาเข้าไปในประตูที่หรูหราโอ่อ่าด้วยใบหน้าที่โศกเศร้าระคนฮึกเหิม เขาทำใจแล้วว่าไม่หวังผลสำเร็จอะไรของร้านจิ่นเฟิง ขอเพียงให้บุตรภรรยาของตัวเองพ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้ก็พอใจแล้ว


 


 


เพิ่งก้าวเข้าประตูใหญ่ก็มีลูกจ้างชุดสีเขียวเข้ามาต้อนรับนำเขาเข้าไปห้องโถงข้าง มองผ่านหน้าต่างสามารถเห็นในโถงใหญ่มีเคาน์เตอร์มากมาย หลังเคาน์เตอร์ทุกตัวต่างมีพนักงานคนหนึ่ง มีหลายคนที่เป็นคนคุ้นเคย เพียงแต่เวลานี้ต่างสวมชุดเขียวกันหมด นั่งดื่มน้ำชาอยู่หลังเคาน์เตอร์รอให้ลูกค้าเข้ามา บนเคาน์เตอร์มีเส้นลวดขึงขวางหลายเส้น ทั้งยังมีที่หนีบไม้ไผ่หนีบแผ่นกระดาษเอาไว้ไม่รู้ไว้ใช้ทำอะไร บนโต๊ะยังมีของประหลาดอย่างหนึ่งภายในกรอบสี่เหลี่ยมมีเม็ดกลมร้อยเป็นชุดๆแบ่งเป็นช่องบนช่องล่างสองช่องไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรเหมือนกัน ความเงียบที่ประหลาดจนทำให้เหล่าเฉาแทบอยากวิ่งหนีออกไป


 


 


ลูกจ้างนำน้ำชาสีเขียวอ่อนมาให้เขาดื่มทำให้จิตใจของเขาสงบนิ่งลงมาได้บ้าง นี่เป็นของที่ตระกูลอวิ๋นมีเท่านั้น เขาเคยเห็นเถ้าแก่ลุ่ยหยวนติดต่อกับตระกูลอวิ๋น ได้รับของขวัญจากผู้ดูแลบ้านอวิ๋นท่อนหนึ่งเป็นกระบอกไม้ไผ่ขนาดลำไผ่กว้างหนึ่งนิ้วยาวครึ่งเชียะ ตั้งแต่เหล่าหม่าได้มาเคยวางโชว์ให้ทุกคนได้เห็นครั้งเดียว ให้เพียงดมแต่ไม่ได้ให้ลองดื่ม


 


 


ชานี้ไม่เคยขายให้ใคร ได้ยินว่ามอบให้พระราชวัง สถานศึกษากับญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดบ้าง นอกนั้นไม่ต้องหวังว่าจะได้ ร้านลุ่ยหยวนมีบุญวาสนา ตระกูลอวิ๋นร่วมลงทุนร้านเขาหุ้นหนึ่ง ครั้งนี้ตระกูลอวิ๋นก็ถอนหุ้นด้วยแต่ไม่ได้นำเงินไป ให้ทิ้งไว้ที่ร้านเหล่าหม่าอีกสามปีเต็ม ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้


 


 


มือของเหล่าเฉาสั่นด้วยความตื่นเต้น หากธุรกิจนี้เป็นของตระกูลอวิ๋นเรื่องก็คงไม่เลวร้ายมากถึงไหน ตระกูลอวิ๋นในฉางอันมีชื่อเสียงเรื่องใจบุญ ถึงแม้โหวเหยียอารมณ์รุนแรงหน่อยแต่ก็เป็นเรื่องปกติของขุนนางใหญ่ที่หนุ่มแน่น แม้มีสมญานามว่าฉางอันสามร้ายแต่ก็ไม่เห็นเคยรังแกใคร แค่เคยอัดคนไม่เข้าท่าสองคนไม่นับว่าเป็นเรื่องอะไร ดูจากสิ่งที่ร้านลุ่ยหยวนประสบมา ชื่อเสียงตระกูลอวิ๋นใจบุญคงเป็นเรื่องจริง


 


 


หวงจื้อเอินเดินยิ้มเข้ามาโถงข้างบอกเหล่าเฉาว่า “เหล่าเฉา ถึงแม้เราไม่เคยพบหน้ากัน แต่เคยได้ยินชื่อเสียงร้านจิ่นเฟิงของท่าน ข้าคือหวงจื้อเอินหรือเผิงหยาง ท่านเรียกข้าว่าเหล่าหวงก็ดีแล้ว”


 


 


“พี่หวง ข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ คลื่นลมครั้งนี้ทำท่าจะท่วมข้าจนมิด ขอให้พี่หวงช่วยเหลือด้วย ข้าจะสำนึกในบุญคุณพี่หวงตลอดแปดชั่วคน”


 


 


“ในเมื่อพี่เฉาร้อนใจข้าก็ไม่พูดอ้อมค้อม ในร้านค้าเงินตราแห่งนี้ฐานะของข้ากับท่านเหล่าเฉาเหมือนกันล้วนเป็นผู้จัดการ ท่านนอกจากเป็นผู้จัดการแล้วยังเป็นเถ้าแก่ ข้าเป็นเพียงผู้จัดการเท่านั้น ท่านไม่ต้องถามว่าเป็นเงินตระกูลไหน ข้าบอกได้เพียงว่าเงินทุกเหวินที่นี่ล้วนเป็นเงินบริสุทธิ์ดังนั้นโปรดวางใจได้ หากจะกู้ยืมเงินจะต้องมีของจำนอง ไม่รู้ว่าพี่เฉามีของจำนองหรือไม่”


 


 


เถ้าแก่เฉาเป็นคนทำธุรกิจมีหรือที่จะไม่รู้ ในย่ามเตรียมทั้งโฉนดที่ดิน โฉนดบ้านและสัญญาร้านค้า หวังว่าใช้ของเหล่านี้สามารถยืมเงินจำนวนที่เพียงพอได้


 


 


มีนักบัญชีเดินมานำเอกสารต่างๆของเหล่าเฉาไปประเมิน เหล่าเฉาตาละห้อยมองทรัพย์สมบัติสุดท้ายของตัวเอง ในใจเฝ้าภาวนาให้ประเมินมากหน่อย โฉนดที่ดินตัวเองอย่างมากได้เพียงแปดร้อยก้วนเขาเองก็รู้อยู่ ความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่ตัวร้านจะประเมินได้เท่าไร เพียงแปดร้อยก้วนยังห่างไกลจากที่ต้องการอีกมาก


 


 


เหล่าเฉาดื่มน้ำชาอีกอึกระหว่างการรอคอยที่แสนจะร้อนรน สร้างความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง รสชาติของใบชาเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย เขาเห็นเพียงเอกสารต่างๆของตัวเองเลื่อนไปเลื่อนมาบนเส้นลวดหลายครั้ง จนกระทั่งมีเสียงก๊อกแก๊กรัวอย่างรวดเร็วผ่านไป เอกสารของเขาก็เลื่อนมาที่มือของหวงจื้อเอิน เขาดึงสิ่งที่หนีบไว้ออกมาดูแล้วก็คืนเอกสารให้เถ้าแก่เฉาแล้วถามว่า “สภาพการณ์ของพี่เฉาข้ารู้หมดแล้ว ไม่รู้ว่าท่านคิดจะกู้ยืมเท่าไร”


 


 


“ขอบอกความจริงให้พี่หวง ข้าร้อนเงินสดที่จะรับซื้อผ้าลินิน เวลานี้เหลือวันที่จะต้องซื้อผ้าลินินอีกเพียงไม่กี่วัน หากสามารถยืมได้สักสองพันก้วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินก็จะดีมาก”

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 6 ร้านค้าเงิน (ส่วนหลัง)

 

“เหล่าเฉาเอ๋ย พวกเรามาพูดกันตรงๆเลยดีกว่า ร้านจิ่งเฟิงของท่านทุกอย่างปกติเพียงแต่ขาดเงินสด ขอเพียงมีเงินสดก็จะเป็นธุรกิจที่รุ่งโรจน์ทันที สองพันก้วนเพียงแค่พอให้ท่านซื้อวัตถุดิบพวกผ้าลินิน รายจ่ายอื่นอีกเล่าท่านคิดจะทำอย่างไร สู้ให้ท่านกู้ยืมไปเลยทีเดียวสามพันก้วนดอกเบี้ยสิบละหนึ่งครึ่งท่านเห็นเป็นอย่างไร เงินสามพันก้วนไม่ต้องเอาบ้านท่านมาจำนองเพียงแค่ร้านก็เพียงพอแล้ว” หวงจื้อเอินมองดูตัวเลขที่ฝ่ายบัญชีส่งมาแล้วบอกเถ้าแก่เฉา


 


 


“จริงหรือพี่หวง ขอบคุณมาก ดอกเบี้ยสิบละหนึ่งครึ่งต่อเดือนถือว่าดีมาก ขอขอบคุณด้วย” เถ้าแก่เฉาได้ยินคำพูดหวงจื้อเอินแล้วซาบซึ้นจนน้ำตาร่วง แต่ก่อนนี้ที่วัดให้ดอกเบี้ยอุ่นไอรักดีที่สุดคือสิบละหนึ่งครึ่งต่อเดือน ไม่นึกว่าร้านค้าเงินไม่ได้ฉวยโอกาสหักคอ ให้อัตราดีพิเศษสุดๆเช่นนี้


 


 


“เหล่าเฉาท่านยังไม่ได้ฟังชัดเจน ดอกเบี้ยสิบละหนึ่งครึ่งต่อปี นี่ไม่ใช่เงินอิ้นจื่อที่เคี้ยวคนทั้งกระดูก ในหนึ่งปีท่านต้องจ่ายดอกเบี้ยสิบละหนึ่งครึ่ง หากถึงกำหนดแล้วไม่สามารถจ่ายเงินต้นคืน หลังจากจ่ายดอกเบี้ยแล้วสามารถขอขยายเวลากู้ต่อไปได้อีก ท่านมีโอกาสขยายเวลากู้ได้สองครั้ง คราวนี้ฟังชัดเจนแล้วสินะ”


 


 


ลำคอเถ้าแก่เฉามีเสียงดังกึกกัก กึกกักไม่หยุด รู้สึกฟ้าดินเปลี่ยนสีไปหมด มีเพียงดอกเบี้ยต่อปี คำนี้วนเวียนอยู่ในสมอง ฟ้าเมตตาเปิดดวงตาสวรรค์แล้วหรือ ข้าจะเป็นลมไม่ได้ จะต้องยืนหยัดเซ็นสัญญาเงินกู้ก่อนค่อยเป็นลม หรือสมองข้าฟั่นเฟือนไปแล้ว? ข้าต้องนิ่งสงบ นิ่งสงบให้ได้


 


 


นิสัยสงบนิ่งของเถ้าแก่เฉาที่อยู่ในวงการธุรกิจมานานปีรับสัญญากู้แล้วค่อยๆอ่านอย่างรอบคอบทีละตัวทีละบรรทัด ไม่ผิด ใช้ร้านจิ่นเฟิงค้ำประกัน กู้เงินสามพันก้วนดอกเบี้ยสิบละหนึ่งครึ่งต่อปี มีโอกาสขยายเวลาได้สองครั้ง นี่ไม่ใช่ทำธุรกิจแต่เป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดแล้ว


 


 


ประทับตรา ประทับลายนิ้วมือแล้วเซ็นชื่อ เหล่าเฉาประทับลายนิ้วมือไปสี่ห้านิ้ว เขาอยากเอาทั้งตัวโผลงไปประทับด้วยนัก เรียบร้อยแล้ว เซ็นเสร็จแล้ว รอรับเงินแล้ว รอรับเงินแล้ว บรรพบุรุษปกป้องคุ้มครองให้ข้าได้รับเงินด้วย


 


 


“เหล่าเฉา เจ้าพิมพ์ลายนิ้วมืออะไรมากมาย สัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่โน่นมีเจ้าหน้าที่เอกสารทางการอยู่ พวกเราจะให้ทางการเก็บสำเนาไว้เป็นหลักฐานภายหน้า” หวงจื้อเอินมองดูสัญญาสองชุดที่พิมพ์ลายนิ้วมือมากมาย รู้สึกว่าเหล่าเฉาท่าจะเสียสติ


 


 


เหล่าเฉารู้จักเจ้าหน้าที่เอกสารทางการ เป็นเจ้าหน้าที่เอกสารอำเภอฉางอันคนคุ้นเคยกัน เจ้าหน้าที่ชราดูสัญญาแล้วถามว่า “ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกัน?” หวงจื้อเอินพยักหน้า เหล่าเฉาพยักหน้าจนแทบเป็นไก่จิกข้าวเปลือก


 


 


ทางการมีสำเนาไว้ทำให้เหล่าเฉาวางใจลงไปมาก ยังไม่ทันถามเรื่องเงินหวงจื้อเอินก็ถามเขาว่า “เหล่าเฉา ท่านต้องไปหมู่บ้านซื้อผ้าลินินย่อมใช้เหรียญทองแดงดีที่สุด เช่นนี้ดีไหม ให้ท่านเป็นทองหนึ่งพันก้วน แผ่นเงินหนึ่งพันก้วน เหรียญทองแดงหนึ่งพันก้วนเจ้าจะว่าอย่างไร”


 


 


“พี่หวงคิดได้รอบคอบข้าไม่เห็นเป็นอย่างอื่นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว เหรียญทองแดงใช้กับชาวหมู่บ้าน แผ่นเงินใช้กับทางการ ทองใช้กับร้านค้าอื่น ร้านค้าเงินคิดได้รอบคอบข้านับถือมากนัก”


 


 


เพื่อขยายผลกระทบให้กว้างขวาง หวงจื้อเอินจงใจนำเหล่าเฉามาคลังสมบัติ พอเปิดประตูเหล่าเฉาก็มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ทองก้อนเป็น**บๆ แผ่นเงินเต็มชั้นเก็บ เหรียญทองแดงกองสูงเป็นภูเขาเลากา จนทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก


 


 


เดาะทองก้อนในมือ กัดแผ่นเงินทุกแผ่น ตรวจสีสันเหรียญทองแดงแล้ว รถม้าเหล็กจะขนเงินส่งไปให้เหล่าเฉา พอเงินถึงมือเหล่าเฉาก็ออกนิสัยพ่อค้าทันที


 


 


“พี่หวง นี่เป็นเงินมหาศาล หากข้านำออกไปเลยอาจทำให้ทางบ้านมีภัย ไม่รู้ว่าที่นี่ยังคงเก็บรักษาเงินเหล่านี้ได้ไหม ข้าจ่ายค่าดูแลรักษาเองจะได้ไหม”


 


 


“เหล่าเฉา ท่านเป็นลูกค้าคนแรก ข้ามัวแต่คิดเรื่องให้ท่านรับเงิน ลืมไปว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งเรียกว่าฝากเงิน หมายความว่าเงินสามพันก้วนนี้ท่านไม่สามารถใช้หมดไปทันทีแน่นอน สู้เก็บไว้ในร้านค้าเงินต่อ ท่านไม่ต้องจ่ายค่าดูแลรักษา ร้านค้าเงินจะจ่ายค่าดอกเบี้ยให้ท่านทุกเดือน ดอกเบี้ยสิบละหนึ่งต่อปี ให้หลักฐานท่านไว้แล้วท่านจะมาเอาเมื่อไรก็ได้ เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องภัยอันตราย”


 


 


เถ้าแก่เฉารู้สึกว่าวันนี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร้านค้าเงินส่งคลื่นกระแทกเขาทีละคลื่นไม่หยุดหย่อน เรื่องดีเทียมฟ้าตกอยู่บนศีรษะตัวเอง เวลานี้ให้คนดูแลรักษาเงินนอกจากไม่เก็บค่าดูแลยังให้เงินมาอีก นี่มันเป็นเหตุผลอะไรแน่


 


 


ลากหวงจื้อเอินมาข้างๆแล้วทำความเคารพหนึ่งทีพูดว่า “พี่หวง นี่ไม่ใช่วิธีการทำธุรกิจ เวลานี้ข้าก็กู้เงินแล้ว ท่านช่วยกระซิบข้าหน่อยว่าธุรกิจนี้ใครทำกันแน่ ตระกูลอวิ๋น ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิว หรือทั้งสามตระกูลร่วมหุ้นกันทำ ถ้าไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้วจิตใจข้าเหมือนล่องลอยอยู่”


 


 


“คิดอะไรเช่นนั้น ตระกูลอวิ๋น เฉิง หนิวสามตระกูลนี้จะกล้าทำธุรกิจซื้อใจคนหรือ ท่านไม่เปิดตาดูสิว่าพวกคนรักษาความปลอดภัยคลังสมบัติเป็นใครบ้าง ยังไม่เข้าใจอีก ตำราทำธุรกิจที่เรียนรู้มาหลายปีหายไปไหนหมดแล้ว”


 


 


เหล่าเฉาลืมตาจนกลมโต เขาไม่กล้าคิดอยู่แล้ว หันกลับไปดูคนที่สวมชุดเกราะคาดดาบไว้สะพายธนูแบบทหารคุ้มกัน หากคนฉางอันไม่รู้จักองครักษ์ราชวงศ์ ยังจะมีหน้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนฉางอันหรือ


 


 


เหล่าเฉาชูนิ้วชี้ฟ้าอย่างยากลำบาก ถูกหวงจื้อเอินตบลงมา “อย่าพูดชุ่ยๆ นี่เป็นเงินของเหนียงเหนียงกับรัชทายาทร่วมกัน ระยะนี้สถานการณ์พวกพ่อค้าลำบาก ทั้งล้มละลายบ้านแตกสาแหรกขาดมากจนนับไม่ถ้วน เหนียงเหนียงทนดูไม่ได้จึงรวบรวมเงินทองเตรียมช่วยเหลือพ่อค้าเหล่านี้ เหนียงเหนียงขนทั้งเงินซื้อเครื่องสำอางออกมาด้วย กระโปรงเหลือสั้นจนคลุมเท้าไม่มิด รัชทายาททนดูเหนียงเหนียงลำบากไม่ไหว ขนทั้งเงินที่ตัวเองเตรียมแต่งงานออกมา ฟังความคิดอวิ๋นโหวก่อตั้งร้านค้าเงินเช่นนี้ ไม่ค้ากำไร เพียงไม่อยากเห็นพวกท่านบ้านแตกสาแหรกขาดเท่านั้น”


 


 


หากเมื่อครู่นี้เหล่าเฉายังมีความคิดที่รู้สึกได้เปรียบ เวลานี้นอกจากซาบซึ้งแล้วก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีก จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หมอบอยู่บนพื้นผินหน้าไปทางพระราชวังกราบลงไปอย่างสวยงาม


 


 


เหล่าเฉาเดินออกจากร้านค้าเงินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บอกเหล่าพ่อค้าที่มาห้อมล้อมว่า “พวกเรามีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความสันติสุขเป็นโชคอย่างมหาศาล ท่านทั้งหลายที่ต้องการเงินก็เข้าไปเถอะ ที่ไม่ต้องการเงินก็อย่าได้วุ่นวายด้วย ข้าเหล่าเฉาใช้ชีวิตทรัพย์สินรับประกัน หากต้องการเงินท่านจะได้รับเงินตามต้องการ แม้ไม่ต้องการเงินท่านก็ต้องซาบซึ้งในบุญคุณ หากมีใครกล้าเอ่ยถึงราชวงศ์ในทางลบอีก ข้าเหล่าเฉาจะพลีชีพสู้กับเขา”


 


 


พูดจบก็นำรถม้าที่บรรทุกเหรียญทองแดงกลับไปยังร้านของตัวเองเตรียมการที่จะทำธุรกิจอย่างเต็มที่ เขาไม่เคยมีความเชื่อมั่นมากเท่านี้มาก่อนเต็มไปด้วยความหวังในอนาคต การถอนหุ้นของตระกูลไต้เวลานี้ทำให้เหล่าเฉาคล้ายกับรู้สึกว่าได้สลัดภูเขาทิ้งออกจากอก


 


 


เบื้องหลังตัวเองมีมนุษย์ยักษ์คุ้มอยู่ เพียงแค่ตัวเองทำธุรกิจดีๆจ่ายภาษีตามกฎหมาย ก็จะไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามไม่ได้ ต้นทุนตัวเองมีเงินของราชวงศ์อยู่ด้วยเป็นเงินค่าเครื่องสำอางของฮองเฮาเหนียงเหนียง หากใครจะเข้ามางาบสักคำ ข้าจะพลีชีพสู้


 


 


เสียงร้องไห้ในร้านค้าเงินทำให้อวิ๋นเยี่ยที่นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ในลานหลังเรือนได้ยินจนเศร้าสลดไปด้วย ความจริงแล้วทั้งหมดเกิดจากบาปกรรมที่ตัวเองสร้างไว้ ทำให้จิตใจของพ่อค้าเหล่านี้ล่องลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และนรก การขับไล่อิทธิพลของตระกูลใหญ่โตออกจากกลุ่มพ่อค้าจะต้องมีความเจ็บปวด เพียงแต่บางคนทนไหวบางคนทนไม่ไหวเท่านั้นเอง พวกแขวนคอตายกระโดดน้ำตายไม่ต่ำกว่าร้อยคนกระทั่งมีกินยาตายทั้งครอบครัว หรือตัวเองเริ่มไม่เห็นความสำคัญของชีวิตคนตั้งแต่เมื่อไรกัน


 


 


ธุรกิจค้าเงินกลายเป็นพระโพธิสัตว์ ดอกเบี้ยสิบละหนึ่งครึ่งต่อปีความจริงไม่นับว่ากำไรต่ำ แต่ในสังคมที่การกู้ยืมต้องเสียดอกเบี้ยถึงสิบละสามต่อปีย่อมมีคุณสมบัติที่เป็นพระโพธิสัตว์ได้ แต่ก็ไม่มีใครไปคิดคำนวณ หุ้นของราชวงศ์จะค่อยๆถอนออกตามจำนวนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น สุดท้ายแล้วฮองเฮาจะกลายเป็นสัตว์ยักษ์ที่ใช้เงินของพวกเขาเองมาค้ากำไร เวลานี้เพียงเปิดทำการในฉางอันเท่านั้นจนมีเงินทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดเลยฮองเฮากับรัชทายาทย่อมจะเปิดให้ทั่วต้าถัง ถึงเวลานั้นแล้วก็จะไม่ต่างกับยุคหลังนี้มากเท่าไร


 


 


หวงจื้อเอินเตรียมการเรื่องร้านค้าเงินอยู่สามปีกว่า ภายใต้การชี้แนะเพียงนิดเดียวของอวิ๋นเยี่ย เขาคลำทางด้วยตัวเองคิดหาวิธีการที่ดูเหมือนง่ายๆแต่สามารถใช้ได้ผล ทั้งเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้ยอมรับอนุญาตให้เขาทดลองใช้ในฉางอัน


 


 


วันนี้อวิ๋นเยี่ยถูกลากตัวจากอวี้ซันไปฉางอันแต่เช้า บอกว่าหากไม่มีอวิ๋นเยี่ยกำกับอยู่จิตใจเขาจะไม่หนักแน่นพอ เงินหนึ่งแสนก้วนของฮองเฮากับรัชทายาทไม่ใช่จำนวนที่มากมายนัก หวังว่าเขาจะสามารถยันให้ผ่านไปได้ ขอเพียงให้พ่อค้าเหล่านั้นอย่าขนเงินออกไปทั้งหมดก็จะไม่มีปัญหาอะไร


 


 


ร้านค้าเงินยุ่งไม่หยุดตั้งแต่ส่งเหล่าเฉิงไปเมื่อเช้านี้ พ่อค้าที่ได้ข่าวต่างมากลุ้มรุมกัน แถวที่เตรียมกู้เงินยาวตั้งแต่ร้านค้าเงินไปจนถึงถนนจูเชวี่ย


 


 


“อวิ๋นโหว ผู้จัดการให้บอกท่านว่าเวลานี้กู้ออกไปแล้วสามหมื่นสี่พันสามร้อยห้าสิบก้วน นำออกไปแล้วหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยเจ็ดสิบก้วน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเงินของพวกเราจะไม่พอ ผู้จัดการถามว่าให้กำหนดวงเงินกู้จะดีกว่าหรือไม่”


 


 


“ไม่มีปัญหาหรอก เจ้าไปบอกผู้จัดการ ไม่ว่าเป็นใครขอเพียงให้ของที่มาจำนองเหมาะสมก็ปล่อยกู้ให้ไปไม่ว่าเท่าไร เวลานี้เป็นช่วงสูงสุดที่พ่อค้าต้องใช้เงินจะต้องให้พวกเขาไป เงินที่นี่จะต้องมีมากจนไม่หมดไม่สิ้นจึงจะได้”


 


 


ฉางอันมีร้านค้าที่ต้องการเงินกู้สักเท่าไร อวิ๋นเยี่ยเคยประเมินไว้ว่าไม่เกินหนึ่งพันร้าน ต่อให้พวกเขากู้ทุกร้านก็ไม่เกินห้าแสนก้วนเท่านั้น ยิ่งมีชื่อเสียงของราชวงศ์ค้ำประกันอยู่จะไม่มีใครเอาเงินไปจนหมดเกลี้ยง เก็บไว้ในคลังสมบัติราชวงศ์จะต่างอะไรกับเก็บไว้ในคลังหลวง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นทำเช่นนี้เหล่าพ่อค้าจะไม่วางใจมากเท่านี้ พวกเขาคงต้องเอาออกไปจนเกลี้ยง คงมีเพียงฮองเฮากับรัชทายาทจึงมีความน่าเชื่อถือมากเช่นนี้


 


 


ชื่อเสียงจ่างซุนมีค่ามาก ชื่อเสียงของนางทำให้ประหยัดเงินได้เท่าตัว หากทีหลังฮองเฮารู้ว่าตัวเองเอานางมาค้ากำไรไม่รู้จะโดนจัดการหรือไม่นะ


 


 


ขณะที่เสียงกลองเคลียร์ถนนดังขึ้นมา ลูกจ้างเตรียมตัวปิดร้าน ภายใต้คำขอร้องของเหล่าพ่อค้า ร้านค้าเงินแจกบัตรคิวให้พวกเขา พรุ่งนี้ยังคงทำการปกติตามลำดับบัตรคิว ให้พวกเขาวางใจได้ หากไม่มีเคอร์ฟิวแล้วคาดว่าถนนจูเชวี่ยคงต้องมีคนนอนมากมาย


 


 


รัชทายาทไม่มีอารมณ์เอ้อระเหยเช่นเดียวกับอวิ๋นเยี่ย วันนี้นั่งอยู่ที่ห้องรับแขกชั้นสองตั้งแต่เช้าดูสภาพการณ์การทำธุรกิจ จากเสียงที่ซาบซึ้งของเหล่าเฉา เขาก็ฟังออกว่าธุรกิจนี้มีแต่ผลดีต่อตระกูลหลี่โดยไม่มีผลเสียแม้แต่นิด ถึงแม้ว่าเงินเหล่านั้นจะถูกกู้ไปหมดก็ไม่มีปัญหา อีกเพียงหนึ่งปีอวิ๋นเยี่ยบอกว่าเงินเหล่านี้ก็จะกลับมา อีกสามปีก็จะกลายเป็นหนึ่งล้านก้วน อีกสิบปีร้านค้าเงินจะมีเงินมากกว่ากระทรวงการคลัง


 


 


เขาไม่กล้าคิดว่าสักวันหนึ่งเงินในมือตัวเองจะมากกว่าคลังหลวง มันจะเป็นภาพเช่นไรกันเขาไม่กล้าคิด คำตักเตือนของอวิ๋นเยี่ยยังคงก้องสะท้อนในสมองของเขา เงินเหล่านี้ไม่ใช่ของเจ้าล้วนเป็นของราษฎร หากตระกูลหลี่เจ้าไม่ต้องการแผ่นดินอีกแล้วเจ้าก็สามารถโลภเงินร้านค้าเงินได้ เจ้าสามารถชี้แนะทางไปของเงินเหล่านี้แต่นำเงินจากที่นั่นโดยไม่สมควรแม้เพียงเหวินเดียวก็ไม่ได้เด็ดขาด หากเกิดเรื่องขึ้นมายังน่ากลัวกว่าเภทภัยทหารอีกมากมาย หลี่เฉิงเฉียนเห็นจริงดังนั้นจึงตัดสินใจให้ร้านค้าเงินมีความมั่นคง โดยตรากฏหมายแบ่งแยกขอบเขตของร้านค้าเงินกับของประเทศให้แยกกันโดยเด็ดขาด สร้างเป็นเส้นตายที่เคร่งครัดให้อนุชนรุ่นหลังสืบต่อมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)