เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 37-40

 [ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 37 ทายาทจอมล้างผลาญอันดับหนึ่ง...

 

“ขั้นตอนการเจรจาไม่ได้ยากเย็นอย่างที่ข้าคิด พูดง่ายๆ ก็คือ ใครที่มีผลประโยชน์ก็จะเอามาเป็นพวก ข้าคิดว่าจะมีการต่อกรเชิงไหวพริบและความกล้า มีแผนการชั่วร้ายซ่อนอยู่ พูดประโยคเดียวก็ต้องใช้เวลาพิจารณาถึงแปดปีเสียอีก”


อวิ๋นเยี่ยผิดหวังมาก แต่เดิมคิดว่าชวีจั๋วมีความสามารถพิเศษเหนือผู้อื่น อย่างเช่นฆ่าคน เป็นนักสอดแนม หรือมีข่าวลือยุ่งเกี่ยวกับองค์หญิง แต่ที่แท้ก็พึ่งดวง พึ่งปากของตัวเอง และนิสัยที่เป็นกันเองเพื่อทำความรู้จักกับลูกเศรษฐี สุดท้ายลูกเศรษฐีก็ได้ช่วยเหลือเขาบ้างเล็กน้อย


สายตาที่ดูถูกของถังเจี่ยนเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “เจ้าคิดว่าการเจรจาคืออะไร พูดง่ายๆ ก็คือใครที่ได้เปรียบคนนั้นก็จะชนะไป ตอนนั้นโม่ตู๋กษัตริย์ชาวชงหนูมีเงื่อนไขให้ฮั่นไทเฮานอนกับเขาหนึ่งคืน ฮั่นไท่เฮาไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ปฏิเสธอ้อมๆ ว่าตัวเองอายุมากแล้ว จึงส่งสาวงามมาให้เขาแทนถึงได้จบเรื่องนี้ จากเรื่องนี้เจ้าก็จะเห็นได้ว่าการเจรจาเป็นอย่างไร คือการที่ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่อ่อนแอกว่าก็หาวิธีทำให้ตัวเองเสียหายน้อยที่สุดได้ ก็เป็นเช่นนี้แหละ เจ้าคิดว่าแคว้นอ่อนแอ ส่วนตัวเจ้านั้นแข็งแกร่ง เช่นนี้ก็ทำสิ่งที่เจ้าต้องการได้อย่างนั้นหรือ”


ปานกู้ที่ทิ้งปากกาไปจับดาบ ใช้คนเป็นหนึ่งร้อยคนบุกเข้าฆ่าคนในเขตแดนศัตรูนับไม่ถ้วน สร้างรากฐานแห่งภูมิภาคตะวันตก สุดท้ายก็แต่งตั้งตัวเองขึ้นเป็นผู้สืบทอด เจ้าคิดว่าอาวุธลับของเขาคืออะไรหากไม่ใช่อำนาจอันยิ่งใหญ่ของต้าฮั่น หากต้าฮั่นอ่อนแอ คนหนึ่งร้อยคนของเขาถูกฆ่าย่อยยับไปนานแล้ว ราชสีห์กับเสือร่วมจับมือกัน ทำไมราชสีห์ต้องสนใจความรู้สึกของแพะ


“ถังเจี่ยน ท่านคงไม่สอนให้ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาของข้าให้เป็นพวกปรับตัวไปตามสถานการณ์ใช่หรือไม่ ข้ากังวลนิดหน่อย”


มุมมองชีวิตของถังเจี่ยนมีปัญหา หากเขามีโอกาสที่จะแกล้งผู้อื่นเขาจะไม่ปล่อยไปแน่นอน หากปล่อยไป อาจโดนตลบหลัง


ชวีจั๋วนั่งคุกเขาอยู่บนเบาะรองนั่ง เอียงหูฟังอาจารย์ทั้งสองสนทนากัน คำพวกนี้ไม่สามารถได้ยินในห้องเรียนได้ เวลาหนึ่งปีกว่าของสำนักศึกษา ทำให้หนุ่มน้อยที่ฟังคำประชดไม่ออกเปลี่ยนเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถรอบด้าน


ในโลกนี้มีคนสามประเภทที่ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ ประเภทที่หนึ่งก็คือดีอยู่แล้ว แต่หลังจากเรียนหนังสือก็กลับเปลี่ยนเป็นคนเลว และเลวยิ่งกว่าผู้ที่ไม่มีความรู้เป็นร้อยเท่า เพราะเขาได้เรียนรู้วิธีชั่วร้ายมาจากการเรียนหนังสือ


คนประเภทที่สองก็คือกลุ่มคนที่มีความสับสนในการรู้หนังสือ หลังจากอ่านหนังสือแล้วความเชื่อที่เรียบง่ายของตัวเองขัดแย้งกับสิ่งที่สอนในหนังสือ กลายเป็นคนสับสนแยกไม่ออกสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด


คนประเภทที่สามก็คือคนอย่างชวีจั๋ว เรียนรู้ตัวอักษรก็พอ ไม่ควรลงลึกด้านวิชา ไม่เช่นนั้นความรู้ต่างๆ ในหนังสือจะเปลี่ยนนิสัยที่บริสุทธิ์ร่าเริงของเขา หลังจากเรียนหนังสือไปแล้วต้องไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นคนประเภทนี้ไม่เรียนหนังสือจะดีกว่า


ให้เขาเรียนรู้สิ่งที่ต้องการจากชีวิตหรือร่องรอยแนวทางของผู้อาวุโส และในที่สุดก็กลายเป็นวิชาความรู้ที่ได้ผลในวิธีของเขา


ปล่อยให้เป็นไปตามทำธรรมชาติ พูดกันเช่นนี้มิใช่หรือ ปล่อยให้เขาได้ผจญภัยด้วยตัวเอง นิสัยที่ค่อนข้างรอบคอบของเขา คงไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น


ส่งถังเจี่ยนท่ามกลางหิมะ อาการเมาเล็กน้อยทำให้หน้าของเขาแดง เดินทุลักทุเลขึ้นรถม้าไป ชวีจั๋วนั่งคุมม้าอยู่ด้านนอก บังคับม้าไปทางฉางอัน


พื้นสีขาวถูกล้อรถทั้งสองข้างเหยียบเป็นรอยลากยาว ไม่นานก็ถูกหิมะที่ตกลงมากลบรอยล้อหายไปอย่างไร้วี่แวว


หลังจากหิมะตกจะมีรอยเท้าม้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเหลือไว้เลย กาลเวลาจะชะล้างร่องรอยทั้งหมดบนโลกมนุษย์ไป


ไม่ต้องไปคิดเรื่องแผนการที่น่ารำคาญของหลี่ซื่อหมิน เจ้าจะตีกันก็ตีไปสิ สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ทำไปหมดแล้ว สิ่งที่ไม่ควรทำก็ทำไปหมดแล้วเช่นกัน วันนี้ยังส่งคนน่าเบื่อมาบ่นพึมพำ พรุ่งนี้ก็ส่งมาอีก ไม่จบไม่สิ้น ข้าย้ายบ้านจากฉางอันมาก็ยังไม่เจอความสงบเสียที กลัวว่าข้าจะซ่อนอยู่ในบ่อน้ำไม่ออกมาหรืออย่างไร


การพัฒนาของสำนักศึกษาเกินกว่าที่อวิ๋นเยี่ยคาดไว้ หากวิทยาศาสตร์วิจัยสิ่งนี้จะเป็นภัยอันตราย เพียงแค่ออกจากสิ่งที่พันธนาการไว้ก็จะสามารถดำเนินการตามกฎเกณฑ์ของตัวเองได้


หลี่ไท่กำลังหมกมุ่นกับปัญหาแผ่นดินไม่เท่ากัน หลังจากที่รู้จากอวิ๋นเยี่ยเรื่องความเร็วของแสง ก็เอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยว่าตรวจจับความเร็วแสงได้อย่างไร สุดท้ายอวิ๋นเยี่ยก็ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา


พระเจ้า ข้าเป็นครูที่บกพร่องในการสอน การที่ข้ารู้เรื่องการเบี่ยงเบนของแสงของ เจมส์ แบรดลีย์ก็ถือได้ว่าข้าพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่จะให้ข้าช่วยทำการทดลอง คิดจะหาเรื่องหรืออย่างไร


เขาหาตัวอย่างจากหนังสือโบราณ ได้นำกล้องรูเข็มของม่อจื๊อมาทดลองได้ผลสรุปออกมาว่าการเดินทางของแสงเป็นเส้นตรง แม้อวิ๋นเยี่ยจะรู้ทฤษฎีการการโค้งงอของแสงของไอน์สไตน์ แต่ก็ไม่คิดจะบอกเขา เพราะเขาไม่มีหลักฐานหักล้างหลี่ไท่ได้ หากยังถกเถียงกันเรื่องนี้ล่ะก็ต้องโดนเขาถามจนพูดไม่ออกเป็นแน่


หากกล้าพูดเรื่องหลุมดำกับขีดจำกัดของมวล ไม่แน่ว่าอาจจะโดนดูถูก อาจจะโดนสงสัยแม้กระทั่งความเป็นคน คิดว่าพูดเรื่องไรสาระ กล้องรูเข็มของเขาเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ชัดเจน หากเก่งจริงก็ต้องเอาหลุมดำออกมาให้ดูสิ


ระหัดวิดน้ำหมุนวนอยู่ทั่วแม่น้ำเล็กใหญ่ในฉางอัน เป็นการพัฒนาที่ดีในการใช้แรงจากธรรมชาติ แต่ตอนนี้กลายเป็นภัยร้าย มีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยที่ทำการแก้ไขเส้นทางน้ำเพื่อสร้างระหัดวิดน้ำเพิ่ม ทำให้เกิดตะกอนทับถม น้ำจึงไหลได้ไม่ดีนัก เมื่อเกิดน้ำท่วม ราษฎรทั้งริมสองฝั่งน้ำจะเดือดร้อน


เว่ยเจิงเริ่มลงมือตรวจสอบระหัดวิดน้ำของแม่น้ำทั้งแปดสายในฉางอัน ได้ยินมาว่าเพียงแค่เจอระหัดวิดน้ำคันไหนส่งผลกระทบต่อเส้นทางน้ำก็จะจัดการทันที ระหัดวิดน้ำของตระกูลองค์หญิงหงฮั่วถูกเขารื้อถอนไปแล้ว


หงฮั่วไปฟ้องหลี่ซื่อหมินอย่างไม่พอใจ หลี่ซื่อหมินอยากจะทำให้พอใจทั้งสองฝ่าย ก็เลยให้เว่ยเจิงขอโทษ แค่คิดดูก็รู้อยู่แล้ว เว่ยเจิงที่ไปขอโทษ ต่อว่าองค์หญิงซะไม่เหลือชิ้นดี ไม่เพียงแค่ว่าองค์หญิงเย่อหยิ่ง ยังว่านางโลภมาก ไม่เพียงแค่ขายหน้าจักรพรรดิ หน้าไม่อายเท่านั้น แม้แต่ค่าความเล็กใหญ่ที่ไม่เท่ากันของข้าวก็ไม่ยอมปล่อยไป ช่างเป็นความอัปยศของฉางอันเสียจริง


อวิ๋นเยี่ยที่หลบอยู่ในบ้านก็ไม่ได้รับความสงบแต่อย่างใด การมีเรื่องไม่เว้นแต่ละวันถือเป็นเรื่องธรรมดา คนในราชสำนักต่างก็คุ้นชินกันไปแล้ว


แต่รอบนี้ไม่เหมือนเดิม หงฮั่วบอกว่าเว่ยเจิงภายนอกดูใสสะอาด แต่ความจริงแล้วทำเรื่องทุจริตไปไม่น้อย อย่างเช่นตระกูลอวิ๋นเป็นผู้ประสบเคราะห์ร้ายที่น่าสงสาร เห็นๆ กันอยู่ว่าบ้านราคาสามพันเหรียญ ก็ถูกเอาไปดื้อๆ ในราคาเพียงแค่หนึ่งพันเหรียญ ตระกูลอวิ๋นที่น่าสงสารไม่กล้าต่อราคาผู้ตรวจสอบ เก็บความขมขื่นไว้ ยอมโดนเอาเปรียบทั้งน้ำตา


คนอื่นต่างพากันเกรงกลัวเว่ยเจิง แต่องค์หญิงหงฮั่วไม่กลัว วันนี้จะออกหน้าแทนตระกูลอวิ๋น เพื่อทวงความยุติธรรม


ได้ยินข่าวนี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะขอรับใช้องค์หญิงไปสามชั่วอายุคน แต่สำหรับความชั่วร้ายของหลี่ซื่อหมินนั้น อวิ๋นเยี่ยคิดว่าหยุดความคิดนี้จะดีกว่า


เจ้ามีเรื่องก็ไปก่อเรื่อง ไปโวยวาย ชักดิ้นชักงอก็ได้ แต่อย่าลากตระกูลอวิ๋นเข้าไปเกี่ยวได้ไหม ตระกูลอวิ๋นอุตส่าห์เงียบจนแทบจะหายไปจากฉางอันอยู่แล้ว ราษฎรก็ยังถามอยู่ตลอด ทายาทจอมล้างผลาญของตระกูลอวิ๋นไปไหนเสียแล้ว ถูกฝ่าบาทกำจัดไปแล้วใช่หรือไม่ ถือเป็นเรื่องสบายใจสำหรับทุกคน


เว่ยเจิงได้ยินคำให้การขององค์หญิงหงฮั่วก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยอมรับเรื่องนี้ ซ้ำยังเป็นคนลงมือซื้อขายด้วยตัวเอง เขาให้อวิ๋นเยี่ยเพียงหนึ่งพันเหรียญ ไม่ได้ให้มากไปกว่านั้น คิดๆ ดูแล้วตัวเองก็ให้เยอะพอสมควร บ้านของเพื่อนบ้านตระกูลเว่ยเป็นร้านขายดอกไม้ชั้นสูง อย่างชาดแดงก็ซื้อมาในราคาหนึ่งหมื่นเหรียญ ตอนนี้จัดงานเลี้ยงทุกวัน สามีไม่เอาไหนเมาสุราไปมาหาสู่กับเหล่าขุนนางทุกวัน ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเป็นเพื่อนบ้านของตระกูลเว่ย


ชื่อเสียงของตัวเองก็ถูกอวิ๋นเยี่ยเอาไปขายแล้ว เจ้าพูดสิว่าใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ


เพียงคำนี้ออกมา ฉางอันก็เกิดความโกลาหล มีหลายคนมองดูเพื่อนบ้านตัวเอง ก็อดกลั้นความโกรธไว้ไม่ได้ ขอแค่เป็นบ้านตระกูลผู้ดี เพื่อนบ้านของพวกเขาล้วนเป็นพ่อค้ารายใหญ่ และเป็นคนรวยทั้งหมด นอกจากคนมีเงินก็ไม่มีคนระดับชั้นอื่นแล้ว


เสียงเรียกร้องประท้วงอวิ๋นเยี่ยดังไปทั่วฉางอันทันที คนที่ถูกอวิ๋นเยี่ยหลอก ก็ร่วมมือกันไปทวงเงินค่าห้องของตัวเองจากตระกูลอวิ๋น


แต่สายไปแล้ว เงินของตระกูลอวิ๋นกลายเป็นสิ่งของกองเท่าภูเขาไปหมดแล้ว พอถามกับผู้ดูแลของตระกูลอวิ๋น เขาก็เอาแต่ร้องไห้พร้อมบอกว่าท่านอวิ๋นใช้เงินหมดแล้ว เอาไปซื้อแต่พวกของเก่าผุพัง


สิบล้านเหรียญเชียวนะ เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธ นี่สินะที่เรียกว่าทายาทจอมล้างผลาญ ทายาทจอมล้างผลาญทั้งฉางอันรวมกันยังสู้เขาคนเดียวไม่ได้เลย


ซินเย่วพาน่ารื่อมู่ไปไหว้ผู้ใหญ่ พอพูดถึงเรื่องการใช้เงินของสามีตัวเองก็น้ำตาจะไหล ฝืนยิ้มและบอกไปว่าที่บ้านยังพอมีเงินคงเหลืออยู่บ้าง ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าให้หมดแล้ว ใช้อย่างประหยัดหน่อยก็พออยู่ได้


“ท่านพี่ ท่านว่าข้าแสดงเป็นอย่างไรบ้าง” ซินเย่วนั่งบนเบาะรองนั่ง เอาผมมาเขี่ยที่จมูกอวิ๋นเยี่ยเบาๆ


อวิ๋นเยี่ยที่แกล้งหลับก็ต้องลุกขึ้นมานั่งอย่างช่วยไม่ได้ เห็นซินเย่วแกล้งร้องไห้จึงบีบจมูกนางเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรล่ะ ตอนนี้สามีเจ้ามีชื่อเสียด้านล้างผลาญสมบัติเสียแล้ว วันนี้จั่งซุนมาหาข้าบอกว่าหากขัดสนจริงๆ ให้บอกเขา เขาจะให้คนรับใช้นำเงินมาให้พวกเราใช้บรรเทาความเดือดร้อนไปก่อน”


น่ารื่อมู่ที่พิงหลังอ่อนนุ่มของอวิ๋นเยี่ยอยู่หัวเราะร่าเริง เมื่อวานซินเย่วยังพานางไปนับทองที่คลังสมบัติอยู่เลย นางแอบหยิบทองมาหนึ่งแท่ง กะจะให้ช่างทำเครื่องประดับเคราขาวในตลาดทำกำไลข้อมือแล้วก็เครื่องประดับผม ซินเย่วมีเครื่องประดับผมมากมาย แต่ตัวเองมีเพียงสองอัน


ซินเย่วผู้รักในทรัพย์สมบัติจะยอมให้นางมีโอกาสขโมยเงินได้อย่างไร ดึงทองจากมือไปวางเชยชมไว้บนชั้นวางของ แล้วตีก้นน่ารื่อมู่ไปสองที


เด็กสาวผู้ซื่อสัตย์แห่งฉ่าวหยวนโดนตียังไม่รู้จักวิ่งหนี ยืนรอโดนตีอยู่ที่เดิม กลับมาก็มาฟ้องอวิ๋นเยี่ย สุดท้ายก็โดนอีกหนึ่งที


อวิ๋นเยี่ยใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาทองคำสองก้อนใน**บสมบัติของตัวเองเจอเพื่อเอาให้น่ารื่อมู่ ให้นางเอาไปทำเครื่องประดับที่นางชอบอย่างสบายใจ แล้วยังให้ไข่มุกกับเครื่องแก้วอีกด้วย


นิสัยซินเย่วก็เป็นเช่นนี้ เห็นอวิ๋นเยี่ยกัดหัวไช้เท้าก็แย่งมากัดหนึ่งคำ แล้วก็บอกว่าไม่อร่อย ตอนนี้พอเห็นสมบัติก็ตาแดงก่ำ แย่งกันกับน่ารื่อมู่ ซินเย่วกำลังตั้งครรภ์ น่ารื่อมู่ไม่กล้าแย่งกับนาง ตามองทองคำสองก้อนที่ตัวเองมี ที่เหลือโดนซินเย่วแย่งไปหมด ดึงแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ยไว้แน่น ร้องไห้ขี้มูกโป่ง


นี่ไม่ใช่ครั้งแรก อวิ๋นเยี่ยทำได้เพียงบอกซินเย่วว่า “เครื่องแก้วกับไข่มุกในกล่องเจ้าเต็มจนจะใส่ไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมยังมาแย่งของกับเด็กอีก”


“ลูกเจ้าอยู่นี่ เจ้าอายุแค่นี้จะมีลูกสาวตัวโตขนาดนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวก็เป็นสามี เดี๋ยวก็เป็นพี่ชาย เดี๋ยวก็เป็นลูก สรุปจะเป็นอะไรกันแน่”

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 38 ความหนาวที่แตกต่าง

 

 


หิมะตก ณ ฉางอัน ทุ่งหญ้าที่แคว้นหนานจ้าวยังคงเขียวขจีอยู่ โต้วเยี่ยนซานลงมาจากหอจู๋โหลว บิดเอวด้วยความขี้เกียจ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วหยิบหนังสือที่เหน็บตรงเอวออกมา ค่อยๆ เดินไปรอบๆ หอจู๋โหลวอันงดงาม ผมยาวพาดบ่า ไม่ได้เกล้าขึ้นมา เขาคิดว่าปล่อยไว้แบบนี้รู้สึกสบายกว่า


ตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้ากลายเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว เพียงแต่ว่าหนังสือที่นี่น้อยไปหน่อย อย่างเช่นหนังสือที่เขาถืออยู่ก็คือหนังสือบอกฤกษ์


เดือนสามวันที่สามสิบ ฤกษ์สร้างบ้าน ฤกษ์สร้างฮวงซุ้ย ฤกษ์ฝังศพ เป็นวันดี ต้องหาอะไรทำเสียหน่อยแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ต้องรอให้หลี่ซื่อหมินมาจัดการ ตัวเองก็คงค่อยๆ แหลกสลายไปเอง


ด้านล่างหอจู๋โหลวของเขาไม่ได้เลี้ยงหมู พื้นสะอาดสะอ้าน มีเพียงต้นหญ้าต้นเล็กๆ ขึ้น หญ้าเติบโตได้ไม่ดีเพราะใส่ผงกำมะถันเยอะเกินไป งู แมลง มดไม่สามารถอาศัยบนพื้นที่นี้ได้ ดังนั้นหอจู๋โหลวของโต้วเยี่ยนซานจึงสะอาดมาก


ผู้ดูแลบ้านก็ยังคงคอยดูแลเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในชนเผ่าอย่างจงรักภักดี ทุกวันจะส่งคนเข้าป่าไปหาอาหาร เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกวัน


เสบียงไม่เคยพอกิน โดยเฉพาะไม่กี่วันมานี้ ตอนที่โต้วเยี่ยนซานเห็นผู้ดูแลบ้านแทะกระดูกอะไรก็ไม่รู้ ก็รู้ว่าต้องออกไปหาเสบียงเพิ่มแล้ว


ตอนแรกคิดว่าจะให้คนในชนเผ่าไปปล้นเสบียงชนเผ่าเล็กๆ มา ใครจะไปรู้ว่ามีทหารจำนวนสามร้อยนายถือไม้ไผ่สวมเกราะสานบุกเข้าไปในป่า สุดท้ายกลับออกมาไม่ถึงหนึ่งร้อยคน ที่เหลือเป็นอาหารมดไปหมดแล้ว ไม่มีใครหิวจนตาลายตอนอยู่ในป่าที่น่ากลัวนี้แล้วออกไปตระเวณหาอาหารหรอก เพราะจะกลายเป็นศัตรูของป่าแห่งนี้ทันที


โต้วเยี่ยนซานหักเสบียงตัวเองออกครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็พึ่งหน่อไม้กับมันเทศมาประทังชีวิต


ในคอกหมูยังมีหมู แต่ไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดที่จะฆ่าหมูของโต้วเยี่ยนซาน แม้แต่ผู้ดูแลบ้านก็ไม่เห็นด้วย หมูเป็นเสบียงสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตคนทั้งชนเผ่าได้ ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด


ท้องของโต้วเยี่ยนซานกำลังร้อง เขาเพิ่งค้นพบว่าการหิวโหยมันน่ากลัวถึงเพียงนี้ กระดูกทั่วร่างกายกำลังร้องครวญคราง หัวใจ ตับ ม้าม ปอดและไตกำลังร้องโอดโอย เห็นอะไรก็กลายเป็นของกินไปหมด


เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ได้กินข้าวอย่างจริงจังคือเมื่อไหร่ เมื่อคืนฝันว่ากำลังกินข้าวอยู่คนเดียว มีเนื้อแพะย่างเป็นตัว โต้วเยี่ยนซานที่เป็นถึงทายาทคนโตของบ้าน ตอนนี้อยากได้ขนมเปี๊ยะมากินกับเนื้อแพะ หรือจะเป็นกัวคุยที่พวกทาสกินกันก็ได้


เกาะอยู่บนคอกหมูอีกรอบมองดูหมูตัวอ้วนที่กำลังส่งเสียงร้องก็น้ำลายไหล หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด… มีหมูอ้วนทั้งหมดยี่สิบสองตัว เขาตกอยู่ในจุดที่ต้องนั่งนับหมูทุกวัน


คอกหมูมีสิ่งดำๆ ตัวที่ยี่สิบสามกำลังปีนป่าย เขาหวังว่าตัวสีดำสุดท้ายที่กำลังแย่งอาหารกับหมูก็เป็นหมูเหมือนกัน


พอนางเงยหน้าขึ้นมาเห็นโต้วเยี่ยนซานกำลังจองอยู่ ก็รู้ได้เลยว่านั่นไม่ใช่หมู นั่นคือคน เป็นผู้หญิงเสียด้วย


“ทั่นเกอ ดูเจ้าสิ ตอนนี้ในชนเผ่า มีเพียงเจ้าที่ได้กินทุกวัน แม้อาหารแย่นิดหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มี ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ทำไมพวกเจ้าจนเช่นนี้ พวกเรามีเพียงสามสิบคนก็กินเสบียงที่พวกเจ้าสำรองไว้หมด ขี้เกียจเกินไปแล้ว พวกเจ้าช่วยอาศัยช่วงที่เสบียงเยอะกักตุนไว้ให้มากกว่านี้ไม่ได้หรอ”


ทั่นเกอลุกขึ้น กลืนหญ้าเขียวลงไป ร่างกายสูงใหญ่ แต่หน้าอกกลับดูซูบไปเล็กน้อย มีเพียงเศษผ้าพันรอบเอว นางคำรามใส่โต้วเยี่ยนซาน แต่ถูกโซ่ล่ามไว้ โซ่ล่ามไว้ค่อนข้างตึง ไม่ว่านางจะใช้แรงเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้โต้วเยี่ยนซานได้


“ทั่นเกอ ข้ารู้ว่าทุกๆ ชนเผ่ามีของล้ำค่าซ่อนอยู่ ตามที่กล่าวไว้ก็น่าจะหนึ่งพันปีแล้ว เป็นเผ่าพันธุ์ของเจ้าที่ใช้เม็ดทรายทองที่ร่อนมาได้หลอมขึ้นมา เพียงแค่เจ้าบอกข้าว่าเครื่องทองพวกนี้อยู่ที่ไหน เจ้าก็ยังคงเป็นองค์หญิง ต่อไปข้าและคนของข้าจะไปให้ไกลเอง แล้วจะไม่กลับมาอีก เจ้าจะว่าอย่างไร”


ทั่นเกอเห็นว่าไม่สามารถเข้าใกล้โต้วเยี่ยนซานได้ก็เลยนั่งลง หยิบอาหารหมูจากรางหินหนึ่งกำมือ ใส่เข้าปากเคี้ยวต่อ โดยไม่มองโต้วเยี่ยนซานอีกเลย


สองคนนี้เป็นแบบนี้มาจะครึ่งปีกว่าแล้ว ต่อให้ทั่นเกอถูกเครื่องทรมานที่น่ากลัวแค่ไหนก็ไม่หลุดพูดออกมาสักคำ ตอนนี้ได้เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งในระยะยาวแล้ว


โต้วเยี่ยนซานถอนหายใจอีกครั้ง ตัวเองไม่ใช่ว่าไม่มีเงิน แต่ว่าเงินทั้งหมดอยู่ที่จงหยวน ตัวเองก็กลับไปไม่ได้ ส่งคนไปสี่คนพอออกจากป่าก็เงียบหายไม่มีข่าวอีกเลย


พวกเขาไม่มีทางหนีไป คนพวกนี้เป็นทหารที่จงรักภักดีต่อตระกูลโต้วที่เลี้ยงมา เพื่อตระกูลแล้วขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ปริปากสักคำ ไม่เห็นร่องรอยก็แสดงว่าพวกเขาไม่ตายก็ถูกพวกไป่ฉีซือจับไปแล้ว


นี่ข้าต้องถูกขังจนตายในป่านี้อย่างนั้นหรือ โต้วเยี่ยนซานยังไม่ทันมีเวลาได้ถอนหายใจ หมอกหนาก็ถูกพัดลอยมาจากหุบเขา เขาพูดออกมาอย่างโอดครวญ “มาอีกแล้วหรือ”


พอถึงฤดูหนาว หมอกก็จะมาไม่ขาดสาย แล้วยังตรงเวลาด้วย เพียงแค่ไม่มีพระอาทิตย์ก็จะมีหมอกขึ้นมาหนามาก


เกล็ดน้ำค้างที่ไม่ทำให้เสื้อเปียก ช่างเป็นฉากที่สวยงาม หมอกและเกล็ดน้ำค้างพวกนี้มีผลเหมือนกัน พอโดนบนตัวแม้ไม่ทำให้เสื้อเปียก แต่ความเย็นจะลึกเข้าไปถึงกระดูก


เดินสองสามก้าวเข้าไปในหอจู๋โหลว ห้องเรียบง่ายที่ถูกเติมเต็มรอยร้าวด้วยโคลนเช่นนี้ กักหมอกที่หนาขนาดนั้นไม่ได้ เปลวไฟในเตาก็ดูเหมือนจะมอดลงแล้ว


โต้วเยี่ยนซานเอามือซุกในกระเป๋าเสื้อ นั่งตัวสั่นอยู่ข้างเตาไฟ ความคับแค้นในใจพรั่งพรูออกมาจากกระดูก


หลี่ซื่อหมิน ข้าจะฆ่าเจ้า อวิ๋นเยี่ย ข้าจะทำให้เจ้าอยู่กับหมูไปตลอดชีวิต


ฮันฮันใช้ปากดันประตูให้เปิดออก จมูกยาวๆ ดมฟุดฟิดไปทั่ว เป้าหมายของมันคือใบหญ้าโคลเวอร์ที่อยู่ในกระถาง นั่นคือตอนที่อวิ๋นเยี่ยเห็นน่ารื่อมู่แปรงฟันแล้วเลือดออกอยู่บ่อยๆ ก็เลยเก็บมาจากสำนักศึกษา กะจะผัดให้น่ารื่อมู่กินกับข้าว หญ้าชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยห้ามเลือดอย่างดี ซุนเต้าจั่งเคยทดลองผลของมันแล้ว


ในห้องดูเหมือนจะไม่มีคน ฮันฮันเบียดประตูเข้าไป ร่างกายอวบอ้วนแต่กลับคล่องแคล่ว พอมาถึงกระถางต้นไม้ ก็มีรองเท้าลอยมาโดนหูของมัน ฮันฮันผู้ร่าเริงก็มุดหัววิ่งหนีไป ที่แท้มีคนอยู่ในห้อง


เดือนสามวันที่สามสิบเอ็ด ฤกษ์ไหว้คำนับ ฤกษ์ย้ายเข้าบ้าน ฤกษ์ขอพร ในมือของอวิ๋นเยี่ยก็มีหนังสือ ไม่ต่างอะไรกับหนังสือของโต้วเยี่ยนซาน เป็นหนังสือดูฤกษ์ทั้งคู่


“นับตามเวลาที่กำหนด หลี่อันหลานน่าจะคลอดแล้ว ไม่แน่อาจจะเป็นวันนี้”


บ่นพึมพำกับตัวเอง แล้ววางหนังสือฤกษ์ยามไว้บนโต๊ะ พนมมือขึ้น ขอพรให้หลี่อันหลานและลูกของนางปลอดภัย


ไม่รู้ว่าหลี่อันหลานที่อยู่ไกลเป็นหมื่นลี้จะสบายดีหรือไม่ ใจของอวิ๋นเยี่ยเป็นกังวล อยู่ไม่เป็นสุข ตากระตุกอย่างรุนแรง


สูดหายใจเข้าลึกๆ กั้นหายใจไว้ จนจะขาดใจก็ยังไม่สงบลง จดหมายฉบับที่แล้วบอกว่าตัวเองสบายดี ครรภ์แข็งแรง


คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นก็ส่งจดหมายมาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแค่องค์หญิงรู้สึกเหนื่อยล้าบ้าง คนพื้นที่พวกนั้นไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย หาเรื่องให้ตลอด แม่ทัพหงฆ่าไปแล้วสามกลุ่ม แต่ยังมีคนสร้างความวุ่นวายอยู่


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ใช้วิธีประนีประนอม แต่ใช้กำลังบังคับชาวเหลียวให้ยอมสยบ เพื่อจะได้เริ่มแผนเส้นทางรวยของตัวเอง


พวกทหารที่รีบอยากรวยไม่ออมมือแน่ๆ เกรงว่าตอนนี้ดินแดนแห่งเหลียวคงเต็มไปด้วยศีรษะมนุษย์


กองทัพที่ไม่มีวินัยทางทหาร ก็เหมือนกลุ่มโจรดีๆ นี่เอง แต่ที่ไม่เหมือนก็คือพวกเขามีประสิทธิภาพมากกว่า มีระเบียบมากกว่า และโหดร้ายมากกว่า


ชาวเหลียวจะตายหรือไม่ตาย อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถเข้าไปจัดการได้ แล้วก็ไม่มีวิธีเข้าไปจัดการด้วย เพราะอยู่เหนือการควบคุมของเขา ต่อให้เป็นความประสงค์ของฝ่าบาทก็ไม่อาจควบคุมสถานที่ที่อยู่ไกลกว่าหมื่นลี้ได้


ไม่รับคำสั่งจากจักรพรรดิของเมืองอื่น คำพูดนี้เป็นความจริง กว่าจดหมายจะไปถึง เรื่องราวก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะที่หลิ่งหนาน ไม่ต้องพูดถึงความทุรกันดาร คนที่พึ่งพาตนเองได้มีเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ หลายร้อยกว่าคนกล้าพูดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์ เพื่อเสบียงแล้วจะอะไรพวกเขาก็ทำได้ทั้งนั้น


หวังว่าหลี่อันหลานจะทำตามการเตรียมการของตัวเอง ไม่เข้าร่วมการสังหารก่อนหน้านี้ รอให้การสังหารของแม่ทัพผ่านไปแล้วค่อยเริ่มดำเนินการปลอบใจราษฎร เหล่าทหารทำเกินกว่าเหตุ ต้องหยุดให้อยู่ในขอบเขต อย่างไรก็รวบรวมจิตใจของราษฎรไว้ก่อน


ในหัวมีแต่ภาพม้าพยศวิ่งไปวิ่งมา เดี๋ยวก็เป็นเสียงเด็กร้อง เดี๋ยวก็เห็นพื้นที่เต็มไปด้วยศพ สองภาพนี้วนเวียนอยู่ด้วยกันไม่หยุด ยากที่จะแยกออก


ซินเย่วเปิดประตูเดินเข้ามา ในมือถือเค้กข้าวพุทรา นี่เป็นขนมอย่างเดียวที่นางทำเป็น อวิ๋นเยี่ยกินจนจะอ้วกอยู่แล้ว บอกว่าเป็นเค้กข้าวพุทรา แต่ที่นางทำมีแต่พุทรา หาเม็ดข้าวแทบไม่เจอ หวานจนออกขม


ตัวนางเองชอบทานของหวานมาก คนเดียวกินทั้งถาดก็ไม่เลี่ยน


นำถาดของล้ำค่าไปไว้ใต้จมูกอวิ๋นเยี่ย ให้เขาดมว่าหอมหรือไม่


ความจริงแล้วพุทราเมื่อนึ่งสุกแล้วจะมีกลิ่นชวนอ้วกอย่างบอกไม่ถูก อวิ๋นเยี่ยแต่ไหนแต่ไรไม่กินพุทราแบบต้มหรือแบบนึ่ง แต่เพราะเป็นความหวังดีจากซินเย่วจึงกัดฟันกินเล็กน้อย แล้วบอกว่าตัวเองไม่ชอบของหวาน


เหลืออีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว อวิ๋นเยี่ยคอยบอกให้นางขยับร่างกายบ้าง ขยับร่างกายบ่อยๆ ดีต่อนางและลูก จะได้คลอดได้ง่ายๆ


ตรงหน้ามีผู้หญิงท้องใหญ่กำลังขยับไปมา ทางไกลหมื่นลี้ก็มีอีกคนกำลังต่อสู้กับโชคชะตา ในยุคนี้การคลอดลูกก็ไม่ต่างอะไรกับเดินเข้าสู่ประตูผี


“ท่านพี่ วันนี้สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย หรือเป็นเพราะว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ จริงด้วย น่ารื่อมู่ชอบนอนดิ้น ตอนกลางคืนนอนแนวตั้งแท้ๆ พอมาตอนเช้ากลายเป็นแนวนอนเสียได้ เมื่อคืนก็เอาขามาพาดอกข้า เล่นเอาฝันร้ายทั้งคืน”


รู้ถึงความเคยชินของอวิ๋นเยี่ย ซินเย่วแบ่งเค้กข้าวพุทราเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนอวิ๋นเยี่ย ดูกรามเขาขยับขึ้นลงแสดงว่ากำลังเคี้ยว ตัวเองหั่นชิ้นใหญ่ ตักเข้าปากเพลิดเพลินกับผลผลิตของตัวเอง


ส่วนน่ารื่อมู่กินลูกพลับแช่แข็งมากเกินไปทำให้ปวดท้อง ร้องโอดโอยอยู่นาน ไม่รู้ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง


ห่มผ้าห่มลงบนขาของซินเย่ว ข้างนอกหนาวจนไม่สามารถเอามือออกมาได้ ชายคาบ้านเต็มไปด้วยน้ำแข็งย้อย เหล่าเฉียนใช้ไม้ไผ่ตีให้มันตกลงมา ของแบบนี้หากตกลงบนหัวจะเป็นอันตราย


ท้องฟ้าด้านนอกสว่างจ้า พระอาทิตย์ส่องแสงมา แต่อวิ๋นเยี่ยกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น ลมหนาวพัดมาดั่งถูกมีดกรีดแทง แต่หวังว่าค่ำคืนนี้จะดีขึ้น


อวิ๋นเยี่ยเอามือถูกัน อดไม่ได้ที่จะคิด

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 39 เพียงแค่มีลูกชายก็ไม่ขออะไร...

 

พระอาทิตย์ขึ้นและตกมานานนม เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้นไม้ใบหญ้าเปลี่ยนไปทุกสี่ฤดู ในหนึ่งปีมีสิบสองเดือน นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการนับวันที่ สำหรับเขาแล้ว ความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมทั้งหมดบนโลกใบนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับการหมุนวนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพียงเท่านั้น 


 


 


ต้าถังอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การพัฒนามาแล้วหกปี ส่วนแคว้นฉ่าวหยวนมีการรบราฆ่าฟันกันไม่หยุด เซวียเหยียนถัวร่วมมือกับถู่อวี้หุนโจมตีแดนเติร์กตะวันตก ชาวเติร์กตะวันตกจำต้องรีบหยุดการฆ่าฟันกันเอง แล้วรวมกองกำลังทหารไปรบกับผู้ที่เคยยอมสยบอยู่ใต้อำนาจของตัวเอง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยมาอยู่โลกใบนี้ได้สี่ปีแล้ว เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีได้กลายเป็นขุนนางระดับสามแห่งต้าถัง นี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ใส่ชุดข้าราชการสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางคนใหญ่คนโต จิตวิญญาณไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ท่ามกลางใบหน้าเ**่ยวย่นมีหนึ่งใบหน้าเด่นชัดที่ดูหนุ่มแน่น 


 


 


“เจ้าจะเขย่งเท้าทำไม ไม่รู้จักสำรวมเอาเสียเลย” หนิวจิ้นต๋าที่ยืนข้างๆ ดึงเขาไว้เพื่อให้สำรวมท่าทาง อย่ายืนเขย่งเท้ายืดอกเช่นนั้น ที่นี่มีแต่ผู้อาวุโสอย่าให้พวกเขาคิดว่าเจ้าทำอวดเก่งไม่เห็นหัวผู้อื่น 


 


 


หดคอลงยืนให้ดีๆ วันนี้เหล่าหนิวตำหนิไปหลายรอบแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่นึกอยากยั่วโมโหเขาหาเรื่องให้ตัวเอง 


 


 


ก็แค่บวงสรวงไม่ใช่หรือ ท้องฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้ไม่รู้ว่าเทพองค์ไหนรองานเลี้ยงสุดหรูหราในวันนี้ 


 


 


พิธีการเช่นนี้ หลี่ซื่อหมินจะจัดขึ้นทุกปี ปีละหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าปีนี้พิเศษกว่าปีอื่น บนโต๊ะบูชาไม่ได้มีเพียงวัว แพะ หมู ยังมีก้อนมันฝรั่งกลมๆ อีกด้วย ราชวงศ์ได้เพาะเลี้ยงมาเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็เพาะเลี้ยงจนเกิดผลผลิตที่เพียงพอ สิ่งนี้ที่กรมนาปลูกว่ากันว่าใช้พื้นที่ไปทั้งหมดถึงสี่ร้อยไร่ 


 


 


ในใจอวิ๋นเยี่ยรู้สึกยินดี ฮันฮันที่บ้านลุยใบหญ้าโคลเวอร์จนเละไปหมดก็ไม่โกรธ เสี่ยวตงที่กำลังกอดโถนับเงินเห็นอวิ๋นเยี่ยมาก็รีบหลบไปอยู่ข้างหลัง ก้มหัวลงรอพี่ชายตำหนิ คิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะหยิบโถไปดูแล้วยังใส่เงินเพิ่มไปในโถอีกสองเหรียญ ใบไม้ร่วงลงอย่างมีจังหวะ ฝุ่นลอยขึ้นมาคือความงาม ลอยอยู่ในฝุ่นเหมือนดั่งปีศาจขี่เมฆ หรือจะเป็นปีศาจหวงเฟิง เมืองฉางอันที่เคยน่ารำคาญกลับดูน่าสนใจในวันนี้ 


 


 


ความโชคร้ายเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาถูกปัดออกไป สุดท้ายหลี่อันหลานได้คลอดลูกชายอ้วนจ้ำม่ำ น้ำหนักสามพันเจ็ดร้อยกรัม เห็นจดหมายที่นางส่งมาดูก็รู้ว่านางเหมือนแม่ไก่ที่ออกไข่ได้สำเร็จ 


 


 


ในจดหมายยังบอกอีกว่า หากซินเย่วไม่ได้ลูกชาย ลูกชายของนางหลี่หรงก็สามารถสืบต่อกิจการของอวิ๋นเยี่ยได้ เปลี่ยนชื่อเป็นอวิ๋นหรงได้เลย 


 


 


เพียงแค่มีลูกชายก็ไม่ขออะไรแล้ว หลี่อันหลานได้ลูกชายแน่นอนจึงมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก สิ่งที่อยากได้ก็สมเหตุสมผล ช่วงหลังคลอดร่างกายยังคงอ่อนแอ ต้องการเสบียงห้าพันชั่งมาบำรุงร่างกาย ลูกน้อยยังมีร่างกายอ่อนแอ มักเป็นไข้บ่อยๆ ต้องการสมุนไพรหลายชนิด สรุปก็คือเอามาให้เต็มรถก็พอ ไม่รู้ว่าลูกชายมีอะไรผิดปกติถึงต้องใช้ยาพวกนี้ หมดนี้ก็พอกินไปสองชาติแล้ว 


 


 


ลูกชายไม่มีพ่อปั้นของเล่นดินเผาให้มักร้องเสียงดัง ทำเอาคนเห็นรู้สึกกังวล ให้ทองไปหนึ่งร้อยจินก็ไม่สน จะเอาแต่รถดินเผา และต้องส่งมาในวันที่ลูกชายมีอายุครบร้อยวัน เมื่อถึงวันนั้น นางในฐานะผู้เป็นแม่สามีจะเชิญชาวเหลียวที่หลิ่งหนานมาให้หมด บอกพวกเขาว่าราชาของชาวเหลียวได้ประสูติแล้ว แม้ว่าจะรู้แต่เรื่องร้องกินนม แต่หากใครไม่ฟังคำสั่งของราชาก็จะต้องเสียใจ 


 


 


มีเด็กเกิดใหม่ แต่คนรับใช้ในบ้านมีไม่พอใช้งาน ชาวเหลียวก็ไม่รู้จักดูแลเด็กอย่างอ่อนโยน ยังคงเป็นคนรับใช้ตระกูลอวิ๋นที่รับใช้ได้ดี จึงเลือกคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลอวิ๋น เพราะไม่ต้องการผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เด็กไม่มีคนคอยดูแลยังนับเป็นปัญหา ต้องส่งเกราะมาสามสิบอัน และต้องการเพียงเกราะหมิงกวังเท่านั้น 


 


 


ท่านย่ารับปากทั้งหมดยกเว้นชุดเกราะ เสบียงห้าพันชั่งจะไปพออะไร ตระกูลอวิ๋นเป็นเจ้าของร้านอยู่ที่เวยโจวไม่ใช่เหรอ รีบส่งไปสิ ใช้เสบียงจากที่นั่นส่งไป 


 


 


เสื้อผ้าลูกชายของนางใส่มาเต็มคันรถ อวิ๋นเยี่ยปั้นตุ๊กตาดินเผาเอาเข้าเตาอบให้แห้งแข็งแล้วส่งไปด้วย และเพื่อให้มีอนาคตที่ดีกว่านี้หลิวจินเป่าจึงอาสาไปที่หลิ่งหนาน พาองครักษ์ไปด้วยหกคน เป็นเด็กๆ ในตระกูลทั้งหมด เมื่อสิ้นหวังในการสืบทอดกิจการของครอบครัว จึงลองไปเสี่ยงที่หลิ่งหนานดู 


 


 


หยุนซานถูกส่งไปเพื่อดูแลนายน้อยโดยเฉพาะ ยังมีภรรยาเขาติดตามไปด้วย แม้ต้องจากอวิ๋นเยี่ยไป เขากลับไม่มีอาการเสียใจเลย แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก 


 


 


“เดี๋ยวเจ้าก็เป็นลิงเป็นค่าง เดี๋ยวก็ทำตัวโง่ๆ พูดเองตอบเองไม่พอ ยังยิ้มโง่ๆ อีก หรือว่ามีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้น บอกข้ามาสิมีอะไรน่าสนใจ” 


 


 


เหล่าเฉิงขยับเข้ามาใกล้ เขาอยู่ด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยและเหล่าหนิว ไม่รู้ว่ามาโผล่ตรงนี้ได้อย่างไร เหมือนจะให้ความสนใจอวิ๋นเยี่ยอยู่นานแล้ว 


 


 


“ท่านลุงเฉิง ท่านลุงหนิว หลังจากพิธีบวงสรวงสวรรค์ พวกเราไปตรอกซิ่งฮว่าฟางกันเถิด ข้าจะทำอาหารสองสามอย่างไปด้วย เรามาดื่มด้วยกันสักสองสามแก้ว ข้ามีเรื่องยินดี แต่ไม่สะดวกที่จะพูดที่นี่” 


 


 


เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง แล้วยืนตั้งใจฟังหลี่ซื่อหมินพูดพร่ำพรรณนากับเหล่าเทพต่อไป 


 


 


บ้านเกิดเมืองนอน มีรบมีพัก อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าทุกครั้งที่บวงสรวงสวรรค์ หลี่ซื่อหมินทำด้วยความสัตย์จริง กินมังสวิรัติล่วงหน้าสามวัน อาบน้ำทุกเช้าเย็น ปกติหลี่ซื่อหมินเป็นคนมักมากในกามแต่ช่วงนี้ก็จะหยุดเรื่องอุ่นเตียงไปก่อน นั่งกินแครอทคนเดียวในตำหนักสักการะด้วยใจบริสุทธิ์ 


 


 


เสียงดาบเหล็กกระทบกันดังขึ้นเป็นเสียงทุ้มต่ำ เหมือนกับกาบินวนใกล้พื้นดิน ทุกครั้งหลี่ซื่อหมินจะยืนอยู่ที่สูงสุด กางแขนออกแสดงถึงการโอบกอดท้องฟ้าและพื้นดิน นักรบที่ไม่ใส่เสื้อเหล่านั้นก็จะตีกลองหนังวัวขนาดใหญ่ แล้วต่อด้วยฆ้องเหล็ก และสุดท้ายตามด้วยเสียงดาบเหล็ก 


 


 


การเผาเงินกระดาษ อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าเริ่มมีตอนไหน จึงไปถามนักประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ ฉู่ซุ่ยเหลียงดูถูกคำถามของอวิ๋นเยี่ย สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่เริ่มเป็นมนุษย์คลอดออกมา ก็ควรรู้จักเผากระดาษให้บรรพบุรุษ อวิ๋นเยี่ยถามเรื่องนี้ แสดงถึงความอกตัญญู 


 


 


ไม่เพียงแต่เขาที่ดูถูก ขงอิ่งต๋าที่บังเอิญได้ยินเข้าก็มองอวิ๋นเยี่ยด้วยหางตา เหมือนเห็นขี้ก้อนหนึ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว ความกตัญญูเป็นพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี เป็นปัญหาที่ไม่ควรถามอย่างเช่นว่าทำไมคนต้องมีสองมือ 


 


 


“แต่ว่ากระดาษถูกขุนนางสร้างขึ้นสมัยตงฮั่น หรือว่าก่อนหน้านี้เราเผาไม้ไผ่? ก่อนหน้านี้ไปอีกเราเผากระดองเต่า? ศิลาจารึก? เครื่องสังคโลกสามขา?” 


 


 


“ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี” สองคนนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย พวกเขาไม่สนใจว่าสิ่งต่างๆ จะสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ รู้แต่ว่าความกตัญญูยิ่งใหญ่คับฟ้า เป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ 


 


 


แพะคุกเข่าคำนับดั่งเด็กให้ความเคารพผู้อาวุโส นกกากลับรังดั่งหนุ่มสาวกลับไปดูแลคนแก่คนเฒ่า เป็นภาพที่สวยงามบนโลกมนุษย์ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนอกตัญญูเอาแต่ถามถึงความเป็นมา ช่างเป็นที่น่าอับอายของโลกมนุษย์ 


 


 


เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวดูความครึกครื้นอย่างสนุกสนาน แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยที่กำลังถกเถียงกับผู้มีความรู้ทั้งสอง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยอยากจะเล่าให้พวกเขาทั้งสองฟังว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้สามารถหาที่มาที่ไปของมันได้ จะเชื่ออย่างงมงายไม่ได้ ก็เหมือนกับที่ฉู่ซุ่ยเหลียงได้บันทึกวิธีการเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น ทั้งหมดมีหกตัวอักษรคือ ‘นำโคลนเข้าพิมพ์เผาไฟ’ 


 


 


ไม่ผิดหรอก มีเพียงหกตัวอักษร เขาผู้นี้เป็นผู้ที่จดบันทึกที่สำคัญของต้าถัง มีประโยชน์ต่อทั้งการทหารและเศรษฐกิจของแคว้นเป็นอย่างมาก การคิดค้นครั้งใหญ่ แต่บันทึกลงไปเพียงหกตัวอักษร 


 


 


ไม่รู้ว่าใครจะสามารถเผาอิฐออกมาได้ตามหกตัวอักษรนี้ แต่ข้างล่างกลับมีบันทึกความเป็นมาของอวิ๋นเยี่ยและบรรพบุรุษ เป็นหลักฐานข้อความที่มีรายละเอียดชัดเจน ความสัมพันธ์ของบรรพบุรุษ เพราะอวิ๋นติ้งซิ่งคนกะล่อนทำให้เป็นที่สนใจ ช่างเป็นความขายหน้าแห่งประวัติศาสตร์ แล้วยังทำให้ตระกูลอวิ๋นแปดเปื้อนอีกด้วย 


 


 


“เติงช่านกง ปั๋วซือกง ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลอวิ๋นไม่มีความสามารถขนาดนั้น ข้าน้อยขอแค่ตอนที่จดบันทึกถึงตระกูลอวิ๋น เขียนแค่ชื่อตระกูลอวิ๋นลงไปก็พอแล้ว อย่าได้ต้องเปลืองหมึกท่านเลย แต่ขอให้ท่านจดการเผาอิฐที่ทำจากโคลน วิธีก่อสร้างทางวิศวกรรมนี้ลงไปด้วย เมื่อสืบต่อไปในภายภาคหน้า จะเป็นประโยชน์ให้แก่ลูกหลาน” 


 


 


ฉู่ซุ่ยเหลียง อวี๋ซื่อหนานมองหน้ากันแล้วหัวเราะ บอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เชื้อสายของจูโหวมีชื่อเสียงกึกก้อง การเผยแพร่วีรกรรมบรรพบุรุษ มีแต่คนต้องการ ทำให้มีชื่อเสียงไปสามชั่วอายุคน เหตุใดเจ้าจึงอกตัญญูเช่นนี้” 


 


 


“อาจารย์ทั้งสองท่านมีวิชาความรู้ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ไม่เหมือนข้า ไม่มีวิชาความรู้ไปเทียบท่านได้ ข้าเพียงแต่คิดว่า การค้นพบทฤษฎีใหม่ๆ นั้นจะทำให้แคว้นเข้มแข็งขึ้น ราษฎรมีรายได้ ก็ควรจดบันทึกให้มากกว่านี้ เพียงแค่หกตัวอักษร ไม่สามารถเข้าใจความหมายได้ทั้งหมดจริงๆ หากขาดการสืบทอด ก็จะเป็นผลเสียต่อลูกหลานเรา ข้ายอมให้ตระกูลข้าไม่มีชื่อเสียงกึกก้อง แต่จะไม่ยอมให้ความพยายามของสำนักศึกษาศูนย์เปล่า” 


 


 


“หลังจากนี้หากใครกล้าพูดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นจอมล้างผลาญ หรือว่าผู้ทำลายล้างฉางอัน ข้าจะตบปากเขาอย่างแน่นอน” อวี๋ซื่อหนานย้ายคทามาถือไว้ที่มือซ้าย ตบไปที่บ่าอวิ๋นเยี่ยเบาๆ สองที เอาหนังสืออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งเล่ม ยัดลงไปที่มือของอวิ๋นเยี่ย หัวเราะอย่างพอใจแล้วเดินจากไปพร้อมกับฉู่สุ้ยเหลียง 


 


 


หนังสือที่ไม่มีชื่อ ข้างนอกเป็นปกแข็งเปล่าๆ เปิดดูหน้าแรก ข้อความบรรทัดหนึ่งได้ดึงดูดสายตาของอวิ๋นเยี่ย 


 


 


ฤดูใบไม้ผลิปีที่สี่ภายใต้การปกครองของหลี่ซื่อหมิน ได้มีลูกศิษย์ต่างแดนนามว่าอวิ๋นเยี่ย ฉลาดหลักแหลม มีความมหัศจรรย์ สามารถทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้ เผาอิฐเป็นหมื่นก้อน วันเดียวหมื่นก้อน สิบวันหนึ่งแสนก้อน สร้างตึกสูง สร้างสระว่ายน้ำ เป็นผู้มีคุณธรรม 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเปิดไปอีกหน้า เห็นเพียงวิธีปลูกมันฝรั่ง การใช้ปุ๋ยของตระกูลอวิ๋น รถไถ วิธีสอดเชือกเข้าจมูกวัว การปลูกผักใบเขียวในฤดูหนาว มีหมดทุกอย่าง ฝึกใช้รถราง เครื่องสูบน้ำ ปฏิทิน และอื่นๆ อีกมากมาย 


 


 


ใช้ความคิดที่น่ารังเกียจเพื่อคาดเดาจิตใจของคนที่ดี อวิ๋นเยี่ยรู้สึกละอายใจ เอาหนังสือซุกไว้ที่อก เดินตามฉู่สุ้ยเหลียงกับอวี๋ซื่อหนานที่เดินนำไปแล้ว ยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนโค้งคำนับแล้วเดินเข้าตำหนักสักการะ 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยได้ของขวัญอันอบอุ่นจากราชสำนักแห่งต้าถัง ไม่ต้องมีค่าทางทรัพย์สิน เพียงแต่มีค่าทางใจก็พอแล้ว 


 


 


หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น เพียงแค่อยากบอกกับชาวต้าถังทุกคนว่าอย่าได้ลืมทุกเรื่องที่ตัวเองเสียสละทำเพื่อโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ก็ต้องมีการจารึก สะสมไว้เล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 


 


 


พอได้เห็นพวกเขาเข้าใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หลังจากการล้มลงของตระกูลโต้ว ชาวฉางอันก็ได้รู้ถึงพละกำลังที่ตนเองมี คนรับใช้ของพวกขุนนางที่ร่ำรวยก็เริ่มตั้งตัวได้ 


 


 


ไม่มีใครฆ่าคนรับใช้ได้ตามอำเภอใจ ยุคการฆ่าคนอย่างผักปลาในที่สุดก็ได้จบลง 


 


 


เพียงแค่ต้องรักษาวิธีนี้ให้คงอยู่ตลอดไป ให้การที่ทุกคนได้กินอิ่มนอนหลับไม่ใช่แค่ความฝัน 


 


 


เพลงประกอบพิธีดังขึ้นมาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยตั้งใจขอพรต่อสวรรค์ ในที่สุดเขาก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของต้าถังแล้ว 

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 40 วีรบุรุษผู้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับ...

 

จากหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมุ่งหน้าไปทางเหนือ มีหนึ่งเส้นทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยแผ่นหิน สองปีที่ผ่านมานี้ถูกรถม้ารถวัวเหยียบจนเป็นร่องตื้นๆ และบนแผ่นหินมีน้ำค้างแข็งชั้นบางๆ คล้ายหิมะสีขาว 


 


 


เมื่อใช้เส้นทางลาดเล็กๆ เดินลงไป จะมองเห็นต้นสนที่ปกคลุมสำนักศึกษาได้แต่ไกล 


 


 


ชวีจั๋วเหยียบหิมะลื่นไถลลงมาจนถึงประตูหลังของสำนักศึกษา มองขึ้นไปก็เห็นลวดลายแกะสลักรูปกิเลนและมังกรบนแผ่นป้ายเหนือบานประตู หูได้ยินเสียงท่องพระคัมภีร์ดังอยู่นาน หลังจากที่เขาเดินผ่านประตูเข้าไป สายตามองตรงไปไม่มองซ้ายมองขวา เดินตรงผ่านลานด้านหน้าไป จนมาถึงห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ยเพื่อรอเขาเลิกงาน 


 


 


ห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ยได้รับการยกย่องว่าเป็นที่ที่ลมเข้าได้ ฝนเข้าได้ ลูกศิษย์ อาจารย์ก็เข้าได้ มีเพียงเว่ยอ๋องหรือหลี่ไท่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ดังนั้นชวีจั๋วจึงนั่งได้อย่างสบายใจ พิงพนักเก้าอี้ดูห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ย 


 


 


เป็นห้องที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ทั้งห้องเป็นสีหินอ่อน ดูเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน มองดูชั้นหนังสือในห้องที่ถูกวางหนังสือไว้จนไม่เหลือช่องว่าง หลังจากเข้ามาในห้องก็ได้กลิ่นไอกระดาษจากหนังสือ แยกไปทางด้านทิศตะวันตกจะเป็นห้องชุด แขวนผ้าม่านผืนหนาสีฟ้า ที่ริมหน้าต่างมีตู้หนังสือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ที่ใส่ปากกาทำจากหยกถูกแกะสลักอย่างประณีต ที่ใส่ปากกาหยกและที่ทับกระดาษหยกเป็นสิ่งของที่อวิ๋นเยี่ยรัก นอกจากของเหล่านี้ก็ไม่เห็นอย่างอื่นอีก ไม่เห็นหนังสือและกระดาษ ผนังทั้งสี่ด้านก็ไม่เห็นภาพวาดหมึกหรือกรอบรูป มีเพียงแผนที่แปลกๆ ของเขตชายแดนต้าถังบนกำแพงด้านทิศตะวันตก 


 


 


ทุกครั้งที่ชวีจั๋วมาก็อดคิดไม่ได้ ลายลักษณ์อักษรที่แขวนเต็มกำแพงของบัณฑิตผู้รอบรู้เหล่านั้น ในความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่อาจไม่ใช่ผู้มีความรู้โดยแท้จริง เหมือนอาจารย์อวิ๋นเยี่ยผู้มีความรู้ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครรู้ มีเพียงแค่ตัวเองที่รู้ก็พอ ไม่ต้องเขียนอะไรไว้บนกำแพงหลอกผู้อื่น 


 


 


กระดิ่งด้านนอกหน้าต่างดังขึ้น อวิ๋นเยี่ยหนีบหนังสือไว้ข้างเอวหนึ่งเล่ม ในมือถือไม้บรรทัดที่ทำจากไม้ และไม้บรรทัดสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา เพิ่งจะวางของในมือลง ชวีจั๋วก็เอากาน้ำชาที่อุ่นกำลังดีมาเสิร์ฟ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมรับน้ำชาในมือ จิบน้ำชาไปเล็กน้อย จากนั้นวางกาน้ำชาลงพร้อมกับถามชวีจั๋วว่า “เจ้าไม่ไปเรียนวิชากับถังกงหรือ เหตุใดจึงมาหาข้าถึงที่นี่” 


 


 


“สามวันก่อนอาจารย์สั่งให้ข้ามารอที่นี่ เหตุใดถึงไม่ยอมรับแล้ว สามวันก่อนตอนลากันท่านยังตบไหล่ข้าเบาๆ สามทีอยู่เลย หากยังไม่ชัดเจนอีก ข้าก็ไม่มีอะไรจะเอ่ยแล้ว” 


 


 


“ข้าตบไหล่เจ้าสามทีเพื่อให้กำลังใจเจ้าในการเล่าเรียน ไม่เห็นต้องคิดไปไกล เป็นคนควรซื่อตรงจะดีกว่า จะคิดซับซ้อนไปทำไมกัน” 


 


 


“อาจารย์อย่าหลอกข้าเลย ข้าคนฐานะต่ำต้อย อาจารย์เมตตาข้า เลือกข้าจากในบรรดาคนเหล่านั้น ยากที่จะตอบแทนได้ มีเพียงใจที่กตัญญู หากอาจารย์ออกคำสั่ง บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่กลัว” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพยุงชวีจั๋วที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้น หัวเราะแล้วเอ่ยบอกว่า “สำนักศึกษาไม่เคยแสดงความเมตตาต่อใครเพื่อให้ตอบแทน ทุกอย่างที่พวกเราทำก็เพื่อให้คนที่อยู่ใต้หล้านี้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ฉลาด ไม่ผิดหรอก ตบบ่าสามทีก็เพื่อบอกเจ้าเป็นนัยๆ หากเจ้าเข้าใจ ข้าก็จะมีงานสำคัญให้เจ้าทำ แต่ว่าเรื่องสำคัญที่สุดของเจ้าในตอนนี้ก็คือตั้งใจร่ำเรียนวิชาของถังเจี่ยน แล้วภายหลังเจ้าจะมีโอกาสพัฒนาฝีมือได้อีกมาก มียศตำแหน่งดีๆ ที่ต้องการคนอย่างเจ้ามารับผิดชอบอยู่พอดี” 


 


 


“อาจารย์เรียกข้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้หรือขอรับ” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้าบอกกับเขาว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นคน ข้าคิดแบบนี้ สำนักศึกษาก็คิดแบบนี้ ฝ่าบาทก็คิดแบบนี้เช่นกัน ทุกครั้งที่มีคนเหมาะแก่การฝึกฝนปรากฏขึ้น ผู้นั้นย่อมต้องได้รับการทดสอบ เจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดี เพราะผู้นั้นต้องพบกับความยากลำบาก และบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต” 


 


 


จิบน้ำชาไปหนึ่งอึกแล้วเอ่ยอีกว่า “เจ้าสามารถรู้ถึงความหมายของการตบบ่าสามที ข้าภูมิใจในตัวเจ้า เด็กน้อย เตรียมตัวรับมันไว้ให้ดี เจ้าจะพบเจอปัญหามากมายไม่ขาดสาย ข้าหวังว่าเจ้าจะทนไหว” 


 


 


“แม่เพิ่งได้รับอิสระจากการเป็นทาส ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ว่าตัวข้านั้น ท่านอย่าได้คิดว่าข้าเป็นคนเลย ข้าทนลำบากมาตั้งแต่ยังเด็ก เคยเกือบโดนวัวเหยียบตาย แล้วยังเคยเกือบต้องหนาวตาย มีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้ก็ถือว่าสวรรค์เมตตามากๆ แล้ว ที่ข้ามีชีวิตรอดมาได้เพราะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนนี่ล่ะ อาจารย์ ท่านไม่ควรบอกข้า ไม่เป็นการดีแน่หากข้านึกกลัวไปก่อนเช่นนี้?” 


 


 


“เจ้าได้ยินตอนไหนว่าสำนักศึกษาให้บอกจุดมุ่งหมายของตัวเองกับคนอื่น ตัวเองเลือกทางเดินเอง จงอย่าได้เสียใจภายหลัง ไปเถิด ในเมื่อเจ้ารับปากแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมรับไว้ให้ดี ข้าจะไม่ช่วยเจ้า แล้วก็จะไม่เพิ่มความลำบาก หากรับไหว เจ้าจะได้รับการยอมรับ หากรับไม่ไหว สำนักศึกษาก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้า ปล่อยไปตามยถากรรม” 


 


 


เห็นชวีจั๋วจากไป อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างเอ็นดู พร้อมพูดเบาๆ กับตัวเองว่า “เจ้าเด็กน้อย ข้าช่วยเจ้าได้ถึงตรงนี้” 


 


 


ต้นเหตุของเรื่องราวนี้เป็นเรื่องปกติ ก็เหมือนกับที่เรากินข้าวอยู่ทุกวัน การทำภารกิจของชวีจั๋วครั้งนี้โดนดูถูกอยู่ไม่น้อย ผู้ดูแลวัดหงจ่งซื่อกังวลเกี่ยวกับเขาอยู่มาก โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กของถังเจี่ยน ถังซ่านจื้อไม่พอใจที่พ่อตนเองถ่ายทอดวิชาความรู้ให้คนนอกตระกูล ประกาศจะจัดการเด็กเลี้ยงวัวผู้นั้น 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือ แต่ก็หวังว่าเด็กคนนั้นจะผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมายหรือยศตำแหน่ง เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าคนพวกนั้น มีเพียงการให้ภาพลวงตาแก่เขา ให้คิดว่านี่คือการทดสอบ เขาก็อาจจะผ่านมันไปได้ บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่อยู่เฉยๆ แล้วจะได้มันมาเองหรอก หากเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ จะยังหวังอะไรจากคนเช่นนั้นได้อีก 


 


 


คนที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ได้มีเพียงชวีจั๋ว ผ่านก้านดอกไม้ไปอีกทางหนึ่ง มีผู้ชายสูงใหญ่สวมชุดสีคราม ในมือถือหนังสือหนึ่งเล่มเดินอย่างเศร้าสร้อยอยู่ตามลำพัง ศิษย์คนอื่นๆ เดินผ่านตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว ไม่มองเขาแม้แต่น้อย ทำเหมือนกับเขาเป็นอากาศธาตุ 


 


 


หากไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าเขาจะมียศมีตำแหน่ง อวิ๋นเยี่ยก็จะให้เขาอยู่สอนหนังสือในสำนักศึกษาไปตลอดชีวิต เพราะคงแพ้อย่างราบคราบให้แก่กลุ่มลูกคนมีตระกูล เรื่องการจับจองที่ดินเป็นปัญหาที่จัดการไม่ได้เสียที ทุกคนต่างคิดว่าต้าถังมีที่ดินมากมาย เพียงพอที่จะให้ทุกคนมีที่ดินเป็นของตัวเอง 


 


 


อย่างมากก็เป็นที่ดินใกล้ไกลต่างกัน หากหม่าโจวไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าเมื่อพวกตระกูลคนรวยได้รับเกียรติสูงสุด ก็ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย ที่ดินที่อยู่ไกลเช่นนี้ยิ่งควรแบ่งให้แก่ตระกูลที่สูงศักดิ์ ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป ในฐานะเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ชาวบ้านควรได้รับการดูแล 


 


 


ไม่กี่วันมานี้ อวิ๋นเยี่ยได้เฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ เห็นหม่าโจวถูกกล่าวโทษก็ไม่ได้ออกตัวช่วยเขาแม้สักนิด ตอนนี้ศิษย์ผู้ยากไร้ผู้นี้กำลังเข้าสู่สถานการณ์ยากลำบากทีเดียว 


 


 


คนในกลุ่มของเขาถูกพวกลูกคนรวยดึงไปเป็นพวกตัวเอง หลังจากดึงไปก็เหมือนกับนกกระจอกที่ส่งสัญญาก่อนภัยพิบัติจะมาถึง ร่ำร้องเสียงดังก่อนจะแตกรังแยกกันไป 


 


 


คนพวกนั้นไม่ได้ใช้ไม้ตายอะไร เพียงแค่อาศัยความได้เปรียบของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ช่วยจัดการปัญหาที่เป็นกังวลให้แก่ลูกศิษย์พวกนั้นก็เท่านั้นเอง 


 


 


ในสำนักศึกษา นี่เป็นสิ่งสมเหตุสมผล ทุกคนใช้สิ่งที่ตัวเองมีให้เป็นประโยชน์ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ใช้อำนาจให้ผู้อื่นเกรงขาม ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ ขอเพียงไม่ข่มขู่ก็พอแล้ว 


 


 


ลูกคนจนหากอยากบรรลุตามเป้าหมายก็ต้องหาวิธีอื่น การอาศัยบุญบารมีของผู้อื่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว เพลงสากลบอกไว้ว่าบนโลกนี้ไม่มีฮีโร่ พระเกาเซิงก็เคยบอกไว้ว่า การขอพรพระก็คือการปัดความรับผิดชอบของตัวเองด้วยคำพูดเหล่านี้ อวิ๋นเยี่ยเห็นด้วยเป็นอย่างมาก 


 


 


ความฉลาดเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด เห็นได้ชัดว่าหม่าโจวยังหาจุดบกพร่องของฝ่ายตรงข้ามไม่เจอ เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินมา ก็อยากให้อวิ๋นเยี่ยทวงความยุติธรรมให้ชาวบ้าน สำหรับเขาแล้ว อาจารย์เป็นคนยุติธรรมไม่เห็นแก่ตัว จึงคิดว่าตัวเองต้องได้รับการสนับสนุนอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาลืมไปว่า อาจารย์ก็เป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ แล้วยังเป็นตระกูลใหญ่ที่สุด 


 


 


“ท่านอวิ๋นโหว ท่านเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษา หรือว่าท่านจะมองต้าถังเดินลงเหวโดยไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ” พอพูดออกมาคำแรกก็เป็นเรื่องความชอบธรรม เขาอาจจะคิดว่าอาจารย์เป็นคนมีความยุติธรรม เห็นใครโดนเอาเปรียบไม่ได้ แม้จะขอร้องผิดคน แต่ว่าตอนนี้ก็รู้จักขอความช่วยเหลือ นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี 


 


 


“หม่าโจว เจ้าขอร้องผิดคนแล้ว ดูจากเหตุผลเจ้า ข้าก็อยู่ในฝ่ายที่ได้ประโยชน์ เจ้ากำลังขอผิดคน ขอคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ช่วยก็เหมือนกับขอร้องเสือให้ฆ่าหมาป่าที่กินคน หมาป่ากินคน เสือไม่กินคนเหรอ” 


 


 


ตบบ่าหม่าโจวเบาๆ อวิ๋นเยี่ยเดินออกไปอย่างได้ใจ ไม่สนใจหม่าโจวที่กำลังเสียใจเลยแม้แต่น้อย หากเขาไม่อยากหาวิธีเอง ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยเชื่อใจเขา คนที่มีชื่อเสียงมานับพันปีไม่ล้มลงง่ายๆ หรอก 


 


 


ร้านเล็กๆ หน้าสำนักศึกษาครึกครื้นอยู่ดังเดิม นี่เป็นที่ที่เดียวที่ให้เหล่าศิษย์ได้ปลดปล่อย ไม่ว่าพวกเขาจะเอะอะโวยวายอย่างไร หวงสู่ก็ยังคงยิ้มอยู่หลังเคาน์เตอร์ มองดูพวกเขาหยอกล้อกัน ช่วงนี้ปกติเขาจะวางถ้วยเหล้าไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วก็มักจะมีถั่วคั่วสุกเหลืออยู่ในทุกวันที่ดื่มเหล้าหนึ่งจอก 


 


 


เขาชอบวิถีชีวิตเช่นนี้ ภรรยาบอกว่าดื่มได้สองจอกต่อวัน เขาก็จะดื่มสองจอก ไม่มีทางดื่มมากกว่านั้น และไม่มีทางน้อยไปกว่านั้น 


 


 


วันนี้ถั่วเหลืองคั่วจนแห้ง เคี้ยวกรุบกรอบอยู่ในปาก ผู้หญิงบอบบางน่ารักอยู่ข้างๆ เขา รวมเม็ดถั่วเหลืองที่กระจายออกไว้ให้เขา เพื่อให้พ่อหยิบขึ้นมาง่ายๆ เท่านั้นเอง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยกำถั่วเหลืองมาหมดอย่างไม่เกรงใจ โยนเข้าปาก เคี้ยวทีละเม็ด เขาไม่ดื่มเหล้า แต่ชอบแย่งถั่วเหลืองของหวงสู่มากินเล่น 


 


 


คนที่ชอบทำแบบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เพราะทำเช่นนี้จนไม่รู้ว่าโดนสาวน้อยมองตาขวางไปไม่รู้กี่ครั้ง เนื่องจากสนิทกันมาก เด็กที่กำลังเติบโตได้ครึ่งชีวิต ยังไม่รู้จักว่าองค์ชายกับท่านโหวหมายถึงอะไร รู้เพียงแต่ว่าสองคนนี้นิสัยไม่ดี ชอบหาวิธีแกล้งพ่อตัวเอง 


 


 


“หวงสู่ ช่วงนี้เจ้าว่างจริงๆ เลย สำนักศึกษาให้เจ้าสองพันเหรียญต่อเดือนไม่ใช่ให้เจ้าเอาเวลาว่างเฝ้าร้านตัวเอง ตอนนี้คนในหมู่บ้านมากมายกำลังขุดห้องใต้ดิน เจ้าไม่ไปเฝ้าสักหน่อยหรือ หากดินยุบถล่มลงมีคนตาย เจ้าจะทำอย่างไร จะเอาหน้าแก่ๆ ไปไว้ไหนกัน” 


 


 


“ท่านโหว ตอนนี้คนในหมู่บ้านล้วนบ้าไปแล้ว ทุกบ้านขุดห้องใต้ดิน มีหลายบ้านขุดห้องใต้ดินจนพอที่จะเอาคนทั้งหมดฝังลงไปได้ก็ยังไม่พอใจอีกหรือ ใช้ไม้มุงหลังคาแล้วขุดห้องใต้ดินต่อ ก็ไม่ใช่เพราะรากบัวกับมันฝรั่งหรือ เลยทำให้ปีที่แล้วทุกบ้านหาเงินได้ ปีนี้ก็เลยอยากจะเก็บรากบัวไว้ หวังว่าฤดูใบไม้ผลิมาจะเอาไปแลกเป็นเงิน รากบัวโง่ๆ ก็ยังขายครึ่งกิโลสองเหรียญ ทั้งหมู่บ้านมีแต่ห้องใต้ดิน มีหลายบ้านขุดติดต่อหากันแล้ว เป็นแบบนี้ต่อไปหมู่บ้านจะถูกขุดพรุนไปหมด แล้วเมื่อมีภัยพิบัติทางน้ำ ทำให้ดินถล่มก็จะเดือดร้อนไปกันหมดแน่ ข้าเพิ่งจะต่อว่าไปได้ไม่กี่ครอบครัว โลภมากกันจนไม่นึกถึงชีวิตตัวเองเลย” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)