เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 35-36

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 35 สร้างความสุขด้วยตัวเอง

 

น่ารื่อมู่ยิ้มหวานให้อวิ๋นเยี่ยแล้วหันกลับไปมองรูปวาดท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว และทุ่งหญ้า นี่เป็นสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยขอให้อาจารย์หลีสือวาด ใช้เวลากว่าสามวันถึงจะวาดเสร็จ แต่เพราะเหตุนี้เอง ประวัติศาสตร์ถึงได้รู้สัดส่วนของธรรมชาติ เพียงลงมือวาดก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้ ภูเขาที่อยู่ไกล เมฆบนท้องฟ้าอันสดใส 


 


 


อุ้มลูกแพะขึ้นมาหอม แล้วก็ลูบหัวสุนัขเลี้ยงแพะ ดันหัวของวั่งไฉออกจากกระโจม ม้วนตัวไปมาบนพรมนุ่มๆ สองรอบ ปั้นก้อนนมที่อยู่ก้นหม้ออย่างชำนาญ นี่คือบ้านของนาง อวิ๋นเยี่ยสร้างกระโจมที่ไม่ได้ใหญ่มากนักตามแบบอย่าวที่นางเคยเล่าให้ฟัง 


 


 


หยิบต้นหญ้าขึ้นมาจากพื้นดินหนึ่งต้น คาบไว้ในปากแล้วคายออกมา นี่คือหญ้าจริงๆ ไม่ได้ฝันไป 


 


 


นางวิ่งออกมาอย่างดีใจ ชวนอวิ๋นเยี่ยและซินเย่วเข้าไปในกระโจมของตนเอง เหมือนกับต้อนรับคนที่ตนเองเคารพรัก 


 


 


ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม เดินเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว ไม่มีเชื้อเพลิง ทำให้น่ารื่อมู่กังวลใจ มีแขกมาเยี่ยม แต่กลับไม่มีนมร้อนไว้ต้อนรับแขก ช่างเสียมารยาทเสียจริง ดีที่อวิ๋นเยี่ยแก้ไขปัญหานี้ไว้แล้ว เขายกเตาสีแดงขนาดเล็กออกมาจากด้านหลัง ในเตามีถ่านไฟอยู่แล้ว 


 


 


น่ารื่อมู่ดีใจขึ้นมาทันที ตักนมสดออกมาจากถังไม้ใส่ลงไปในหม้อแล้วนำไปตั้งไฟ ใส่เนยและเกลือลงไป คนให้เข้ากัน แล้วใช้ช้อนเคาะปากหม้อเพื่อให้นมไม่ติดช้อน จากนั้นหยิบระป๋องชาออกมาจากชั้นไม้ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนสอนนาง น่ารื่อมู่ชอบกินชานมเนย ต้องกินทุกมื้อ เพียงแต่ว่าใบชาค่อนข้างแพง ชาวเหม่ยคนอื่นๆ ไม่มีทางได้ดื่มของพวกนี้ มีเพียงตัวเองกับฮ่วนเหนียงที่ดื่มทุกมื้อ 


 


 


กลิ่นเนยหอมระอุ แต่ซินเย่วกลับมีท่าทางอยากจะอ้วก นางรับกลิ่นเนยไม่ไหว ดีที่น่ารื่อมู่ใส่ใจต้มนมสดให้นางดื่ม ถึงช่วยชีวิตนางไว้ได้ 


 


 


ชานมเนยของน่ารื่อมู่กับชานมในยุคปัจจุบันมีความคล้ายกันมาก เพียงแต่อีกอันใช้น้ำ อีกอันใช้นมก็แค่นั้น 


 


 


ถ้วยเล็กสีเงินถูกสลักด้วยรูปดอกไม้ นก แมลง และเต่า น่ารื่อมู่ยกชานมเนยสีน้ำตาลกลิ่นหอมเย้ายวนมาเสิร์ฟตรงหน้า ราวกับภรรยาผู้อ่อนโยนกำลังปรนนิบัติสามีที่กลับมาจากสงคราม 


 


 


รับถ้วยเงินไป ใช้นิ้วคนนมในถ้วยเล็กน้อย ข้างในตาดูมีความสุข อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมกับดื่มชานมเนยร้อนๆ ไปด้วย 


 


 


น่ารื่อมู่คำนับอวิ๋นเยี่ยกับซินเย่ว จากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงที่พื้น ร้องเพลงบ้านเกิดที่ตัวเองชอบ 


 


 


นกอินทรีที่อยู่บนท้องฟ้า 


 


 


บินอยู่ในกระโจม 


 


 


บินวนไปมาสามรอบ 


 


 


ไม่ไปไหน 


 


 


ม้าที่อยู่บนทุ่งหญ้า 


 


 


วิ่งอยู่บนพื้นดิน 


 


 


วิ่งวนไปมาสามรอบ 


 


 


ไม่ไปไหน 


 


 


ท่านพี่ที่รัก 


 


 


ไปตัดหญ้า 


 


 


ไปตั้งสามวัน 


 


 


กว่าจะกลับมา 


 


 


ร้องไปด้วยถอดรองเท้าให้อวิ๋นเยี่ยไปด้วย ส่วนซินเย่วนั้นได้ถูกน่ารื่อมู่ที่กำลังดื่มด่ำกับจินตนาการลืมไปเสียสนิท 


 


 


เสียงร้องเพลงที่อ่อนโยนดังขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาแห่งความอ่อนไหวเกือบจะเอ่อล้นออกมา ดั่งความรู้สึกหญิงสาวเพิ่งแต่งงานที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อมาสามวัน พอได้เห็นสามีกลับมาบ้านก็รู้สึกตื้นตัน 


 


 


หญิงสาวชาวเหม่ยผู้งดงามได้ปลดปล่อยความสนุกสนานอย่างสุดขีด นึกถึงผู้ชายฉ่าวหยวนสมัยนี้ที่ร้องเพลงขานรับกับคนรักของตัวเอง ก็เหมือนกับที่น่ารื่อมู่ร้องเพลงแล้วอวิ๋นเยี่ยต้องขานรับ ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะคิดว่าไม่ใส่ใจ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยดื่มชาเพื่อให้คล่องคอ จากนั้นก็เริ่มร้องเพลงขึ้นมา 


 


 


หญ้าสีเขียวที่อยู่แสนไกล 


 


 


ยาวแล้วยาวอีก 


 


 


ท่านพี่ตัดหญ้า 


 


 


สามคันรถ 


 


 


มีฝูงหมาป่ามา 


 


 


เยอะเหลือเกิน 


 


 


ท่านพี่สู้กับหมาป่า 


 


 


ใช้ไม้สามง่าม 


 


 


หนังหมาป่าที่ถลกออกมา 


 


 


ทั้งอ่อนทั้งนุ่ม 


 


 


ทำเป็นเสื้อให้ท่านน้อง 


 


 


ทั้งหมดสามชุด 


 


 


ซินเย่วนึกไม่ถึงมาก่อนว่าอวิ๋นเยี่ยก็ร้องได้ แถมยังร้องได้ดีอีกด้วย เห็นน่ารื่อมู่คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ยดูท่าทางหวานหยดย้อยก็รู้สึกน้อยใจ ตัวเองเป็นถึงภรรยาที่มีหน้ามีตา กลับไม่ได้รับความใส่ใจจากสามีเท่าภรรยารอง 


 


 


คุณยายสมัยโบราณส่วนใหญ่จะดุและเข้มงวดมาก น่ารื่อมู่ไม่มีคุณยาย แต่มีพี่สาวที่ดุเอามากๆ โดนดีดหน้าผากอยู่หลายครั้ง ถึงได้ตื่นขึ้นจากฝันหวานๆ 


 


 


มองซินเย่วอย่างสับสน อยู่ๆ น่ารื่อมู่ก็ร้องไห้ขึ้นมา มุดอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมปล่อย ในความฝันของนางไม่เคยมีซินเย่วอยู่ในนั้นเลย 


 


 


“เจ้าร้องเพลงได้ทำไมไม่เคยร้องให้ข้าฟัง ไม่ได้ อย่างไรคืนนี้เจ้าก็ต้องร้องเพลงรักให้ข้าฟัง ต้องร้องให้เพราะกว่าที่ร้องให้น่ารื่อมู่ฟังด้วย” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะลั่นพร้อมกับพูดว่า “ที่จริงคืนนี้ก็เป็นของพวกเราสามคนอยู่แล้ว อยากร้องเพลงก็ร้อง หากเจ้าอยากร้องข้าก็จะร้องเป็นเพื่อนเจ้า วันนี้เป็นวันดี พวกเราต้องพึ่งพากันและกันในอนาคต การเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขไว้เป็นเรื่องที่ควรทำ” 


 


 


ซินเย่วก้มหัวลงด้วยความเขินอาย ผู้หญิงที่ปกติกล้าต่อล้อต่อเถียงแต่ในวันนี้กลับหายไปซะอย่างนั้น 


 


 


น่ารื่อมู่หยุดร้องไห้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตามองไปที่อวิ๋นเยี่ยที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขอย่างไม่เข้าใจ การผูกขาดของความรักทำให้นางไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป 


 


 


แต่งงานกับภรรยาหลายคนก็เหมือนกับเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง นอกเสียจากว่าจะไม่สนใจความรู้สึกของพวกนาง เพียงแค่เพลิดเพลินไปกับความสุขทางกาย การไม่เป็นห่วงความรู้สึกกันและกันแบบนี้ถึงอยู่กันได้นาน 


 


 


หากเจ้าหวังจะมีความสุขในชีวิต ทางที่ดีควรมีภรรยาคนเดียว ถึงใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับทรมานเหลือเกิน 


 


 


ทำให้คนหนึ่งพอใจ แต่กลับทำให้อีกคนเสียความรู้สึก แถมยังไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว คนที่อ่อนแอมีแต่จะทรมาน 


 


 


เขาไม่กล้านึกถึงภาพอันน่ากลัวหากหลี่อันหลานเข้ามาพัวพันด้วย หากมีวันนั้น เขาจะตัดสินใจหนีออกจากบ้าน พาวั่งไฉเร่ร่อนไปทั่วทุกทิศ 


 


 


สามคนนั่งบนพื้นหญ้า วั่งไฉยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่เจอเห็ดในคอกม้า ความสุขในชีวิตมันก็กลับมาอีกครั้ง ข้างในถุงเงินที่อยู่ใต้คอเต็มไปด้วยเหรียญ ตอนนี้พวกเจ้านายแห่งตระกูลอวิ๋น หากไม่มีอะไรทำ ก็จะเอาเหรียญในถุงเงินของมันไปซ่อน ซ่านอิงวางแผนให้มันลดน้ำหนักแต่ก็ต้องล้มเหลวอีกครั้ง 


 


 


ซินเย่วร้องเพลงไม่ออก อ้าปากกี่ครั้งก็ร้องไม่ออก เล่นเอาน่ารื่อมู่ที่หลบอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยแอบหัวเราะ สุดท้ายถูกซินเย่วลากมาหยิกสองทีถึงยอมปล่อยไป 


 


 


“มาร้องเพลงลำนำภูเขา 


 


 


ทางนี้ร้องมาทางนั้น 


 


 


ลำนำภูเขาดีกว่าลำนำแม่น้ำ” 


 


 


เพิ่งร้องได้สามประโยค ซินเย่วก็ตีไปที่ขาของอวิ๋นเยี่ย ไม่ให้อวิ๋นเยี่ยร้องต่อ ด้วยความคิดที่ว่าผู้ชายอกสามศอกที่ไหนร้องเพลงแบบนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีเอาซะเลย นางก็เป็นเสียแบบนี้ ตัวเองไม่มีความสุข ก็ไม่ให้คนอื่นได้ไม่มีความสุข 


 


 


น่ารื่อมู่เข้าไปในกระโจม นำหม้อลงมาจากเตา เนื้อแพะต้มจนสุกแล้ว ชาวเหม่ยกินเนื้อแพะโดยมีแค่เกลือก็อร่อยแล้ว แต่ก็แปลกที่ว่าน้ำต้มเนื้อพอต้มเสร็จกลับมีกลิ่นหอมมากกว่าอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศในวังเป็นร้อยเท่า 


 


 


มีแต่เนื้อแพะชิ้นใหญ่ อวิ๋นเยี่ย น่ารื่อมู่ถือชิ้นเนื้อไว้ในมือ โรยเกลือเล็กน้อย กำลังเคี้ยวเนื้อแพะอย่างเสียงดังก็ถูกซินเย่วตีเอา มีสามีที่ไหนกินข้าวกับภรรยาแล้วเคี้ยวเสียงดังเช่นนี้ 


 


 


ทานไม่มีเสียง ก็เหมือนทานข้าวแล้วขาดเกลือ ไม่มีรสชาติ กัดเล็กๆ ทีละคำ ทานข้าวกันสามคนราวกับทานข้าวกับผี 


 


 


คืนนี้นอนที่นี่ อวิ๋นเยี่ยกะจะสร้างความอบอุ่นในครอบครัวเสียหน่อย แต่กลับไม่สมดั่งหวัง เรื่องวนกลับมาเป็นเหมือนเดิม ซินเย่วไม่ยอมลดฐานะตัวเอง ถึงแม้จะอิจฉาความหวานของอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่ แต่ก็ไม่ยอมลดทิฐิลง รู้สึกเหมือนไม่มีใครเข้าใจนาง การที่นั่งกินเนื้อแพะกับพวกเขาสองคนบนพื้นหญ้า ก็ถือว่านางยอมให้มากแล้ว 


 


 


นอนในกระโจมทำให้น่ารื่อมู่รู้สึกเหมือนได้กลับไปที่ฉ่าวหยวน อาการนอนไม่หลับกระสับกระส่ายเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว อ้าปากหาว นางอยากจะนอนหลับอย่างสบายใจ 


 


 


ได้กลิ่นหญ้าที่เขียวขจี ก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่านางถูกซินเย่วห้ามความคิดที่จะเอาลูกแพะมากอดนอน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนอนหนุนตักซินเย่วอยู่บนพื้นหญ้า สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของลูกที่ดิ้นอยู่ในท้อง ไม่กล้าลงน้ำหนักมากเกินไป กลัวซินเย่วจะไม่สบายตัว 


 


 


ระหว่างสามีกับภรรยานั้นช่างน่าแปลก อะไรที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่สิ่งที่ต้องใช้ใจรับรู้ ซินเย่วสางผมอวิ๋นเยี่ยด้วยความเบื่อหน่าย ทำให้เขารู้สึกเหมือนลิงตัวหนึ่งกำลังเอาใจลิงอีกตัว 


 


 


“เจ้าไม่สบายใจที่เห็นข้ากับน่ารื่อมู่อยู่ด้วยกันใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามซินเย่ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังนาง 


 


 


ซินเย่วเงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งพร้อมกับพูดว่า “ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงขี้หึงเช่นนั้นหรือ ข้าเคยอ่านหนังสือ ‘ข้อควรปฏิบัติของผู้หญิง’ ข้าไม่ใช่ผู้หญิงโง่เช่นนั้นซะหน่อย” 


 


 


เห็นความเย่อหยิ่งของซินเย่ว เขาก็ตีไปที่ก้นนางเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่างเจ้าไม่เรียกว่าขี้หึง? ข้าแทบจะปีนกำแพงหนีอยู่แล้ว มีที่ไหนจะแต่งภรรยาทั้งทีก็ทำอย่างกับเป็นโจร ทั้งฉางอันก็มีข้าคนเดียวนี่แหละ” 


 


 


“เจ้าพูดผิดแล้ว ยังมีฝางฮูหยินอีกคน จะว่าไปแล้วท่านลุงอวี้ฉือก็ปฏิเสธความหวังดีของฝ่าบาทไปแล้วไม่ใช่หรือ ตัวอย่างที่ดีไม่เลียนแบบ ไปเลียนแบบที่ไม่ดี” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยลืมไปว่าเขากับฮูหยินผู้มีชื่อเสียงของเฮอชู่เป็นคนยุคเดียวกัน นี่เป็นแบบอย่างของผู้หญิง ส่วนอวี้ฉือกงแน่นอนว่าทำให้คนนับถือเขาอย่างมาก 


 


 


“ถึงแม้ภรรยาจะไม่อ่อนโยน แต่ก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันเสมอ ข้าเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกมาว่าความรวยไม่ได้ขึ้นอยู่กับภรรยา ดังนั้นข้าไม่ขอทำตามความประสงค์ของฝ่าบาท” 


 


 


คำพูดนี้บอกวิสัยทัศน์ของคนได้ชัดเจน ความชอบธรรมมักมีในผู้ที่ต่ำต้อย ไม่มีความรู้หรือยศถาบรรดาศักดิ์ พวกเกิดในตระกูลสูงศักดิ์มักมีภรรยามากมายไว้บำเรอความสุข 


 


 


ซินเย่วหอมแก้มอวิ๋นเยี่ยพร้อมกับพูดว่า “เราเป็นครอบครัวที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดในฉางอัน ภรรยาในบ้านก่อเรื่องบ้างเล็กน้อย ท่านก็อย่าใส่ใจเลย พูดอะไรที่ไม่ดีท่านก็ปล่อยให้มันผ่านไปเสียเถิด ดังนั้น ความกล้าของข้าก็เป็นท่านที่ให้มานั่นแหละ เป็นท่านที่ตามใจข้าจนข้าเคยตัว วางใจเถิด ข้าไม่ถือสาน้องน่ารื่อมู่ ท่านก็มีข้อเสียแค่เรื่องนี้นี่แหละ อย่างมากก็ให้ท่าองค์หญิง แต่งเพิ่มอีกคนก็จะทำให้ท่านยิ่งกลุ้มใจ หากมีภรรยามากมายเอะอะโวยวายในบ้าน อย่าว่าแต่ข้าเลย ท่านเองก็คงรับไม่ไหวเช่นกัน ข้าชอบท่านก็ตรงนี้แหละ ใส่ใจทุกคนที่อยู่รอบตัว” 


 


 


“พูดจาเหลวไหล ไม่ใช่ไก่นะ จะได้ร้องเอะอะโวยวายดังลั่นบ้าน” 


 


 


“ข้าพอจะมองออก ท่านกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง บ้านเรากิจการรุ่งเรือง ท่านมีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวที่จะวางรากฐานให้ครอบครัวได้ ถึงเวลาคนรุ่นหลังจะได้มีกิจการไว้ทำมาหากิน เด็กในท้องข้าเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดแล้ว เขาจะสานต่อความกล้าหาญของท่านเอง สืบทอดกิจการทางบ้านต่อไป” 


 


 


“จบกัน เจ้ารู้หมดแล้ว โจรทั้งฉางอันถูกเจ้ามองออกหมดแล้ว เกรงว่าฝ่าบาทคงจะกำลังไตร่ตรองเรื่องนี้” 


 


 


“ท่านคิดมากแล้ว ครอบครัวใครบ้างไม่เป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ครอบครัวเรา พวกสายเลือดกษัตริย์ก็พยายามสร้างกิจการให้ก้าวหน้ากันทั้งนั้น ไข่ไก่ไม่สามารถวางไว้ในตะกร้าเดียวกันได้ทั้งหมด เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ บ้านเราไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าเทียบกับพวกที่ขายที่ทางไม่หยุด ท่านก็แค่หาเงินบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง” 


 


 


“ช่วงนี้ท่านหลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน ท่านไม่รู้เรื่องข้างนอก แต่ท่านก็ไม่ถาม งานอภิเษกสมรสของรัชทายาทท่านก็ไปแค่วันเดียว อี้เหนียงแต่งงานแล้ว ท่านเพียงแอบพานางออกมานอกบ้าน ข่าวลือไปทั่วทุกทิศแล้ว เซวียเหยียนถัวทำสนธิสัญญาไม่สำเร็จ ก็เป็นเพราะแผนของท่าน ถู่อวี้หุนขึ้นจงรักภักดีต่อต้าถัง แม้แต่เรื่องเหลียวตงก็เป็นแผนของท่าน ข้าไปข้างนอกมีคนนับหน้าถือตาก็เพราะท่าน ท่านพี่ ท่านกำลังหลบอะไรอยู่ ตอนพวกเราไปคำนับฮองเฮา นางยังบอกว่าไม่ให้ท่านหลบอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน บอกว่าต้าถังยังไม่มีคนที่เหนือกว่าจักรพรรดิ” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งลง หลับตาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกซินเย่วว่า “ท้องของเจ้าใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว ช่วงนี้ไม่ต้องออกจากบ้านไปไหน ใครเชิญไปบ้านไหนก็อย่าไป” 

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 36 เรื่องราวของชวีจั๋ว

 

 


อวิ๋นเยี่ยนั่งลง หลับตาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับซินเย่วว่า “ท้องเจ้าก็โตขึ้นเรื่อยๆ อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว ช่วงนี้อย่าออกไปไหน ใครเชิญไปบ้านก็ไม่ต้องไป เราจะทำแบบหลี่จิ้ง ไม่ต้อนรับแขก ไม่พบใครทั้งนั้น”


เมื่อหิมะแรกโปรยลงมา ตระกูลอวิ๋นเปิดประตูใหญ่ต้อนรับการมาของท่านโหร ก็คือเพื่อนเก่าอย่างถังเจี่ยน


อวิ๋นเยี่ยสวมชุดสีคราม ยืนอยู่กลางลานกว้างรอรับการถ่ายทอดคำสั่งจากถังเจี่ยน ไอ้หมอนี่ผ่านไปตั้งหลายปีก็ยังดุหนุ่มแน่นอยู่ เสื้อคลุมขนสัตว์ที่ใส่ดูเงางาม เมื่อหิมะตกใส่เสื้อคลุมก็ไหลลงสู่พื้น ไม่ติดเสื้อคลุมแม้แต่น้อย ไม่เหมือนอวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่ครู่เดียวแต่หัวกลับเต็มไปด้วยหิมะ ใบหน้ายังดูแก่กว่าถังเจี่ยนเสียอีก


“ถังกงลำบากเดินทางไกลถึงหมื่นลี้เพื่อสัมพันธไมตรีกับฉ่าวหยวน ใช้เวลาไม่นานก็กำจัดเซวียเหยียนถัวไปได้ เป็นวิธีที่ดีจริงๆ ขอแสดงความยินดีกับต้าถัง ของแสดงความยินดีกับถังกง!”


ถังเจี่ยนเหมือนจะไม่ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูด ถอดเสื้อคลุมยื่นให้ผู้ติดตามหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง หนุ่มน้อยหัวเราะอวิ๋นเยี่ยจนเห็นฟัน พอมองอย่างละเอียดถึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือชวีจั๋ว ขุนนางผู้น้อยประจำสำนักศึกษา เมื่อสามเดือนก่อนสำนักศึกษามีศิษย์จำนวนหนึ่งเข้ารับใช้แผนกจงยางของต้าถัง ในนั้นไม่น่าจะมีชวีจั๋ว เพราะเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ ยังมีคุณสมบัติไม่ถึง


“เป็นอะไรไป เห็นลูกศิษย์ตัวเองทำภารกิจสำเร็จแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ ให้เจ้าวิ่งไปไกลเป็นหมื่นลี้ก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าเจ้า ดังนั้นหยุดคิดเรื่องทำภารกิจเสียเถอะ ที่พวกเรามาก็เพราะเป็นคำกำชับของฝ่าบาท จะให้เจ้ารับรู้ความเป็นมาของเรื่องราว กันไว้เผื่อภายหน้าเจ้าจ้องแต่จะเอาคืน ไม่สนใจเรื่องราวที่ผ่านมา”


ที่แท้ชวีจั๋วเป็นลูกศิษย์ข้า? ไปทำภารกิจที่ฉ่าวหยวนได้สำเร็จ? อวิ๋นเยี่ยเบิกตากว้างมองชวีจั๋วที่รูปร่างสูงโปร่ง ชวีจั๋วที่ถือเสื้อคลุมขนสัตว์ก้มหน้าหัวเราะเล็กน้อย หน้าตาดูภูมิใจ รู้สึกยิ่งใหญ่ แต่ต้องแกล้งทำเป็นนอบน้อม


ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเปิดโปงเขา เขาอาศัยตำแหน่งของสำนักศึกษา ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือความจริง หากเปิดโปงตอนนี้จะมีแต่ผลเสีย


“ถังกง อีกสักครู่ให้ลูกศิษย์ที่ไม่รักดีของข้าอยู่ที่นี่เถิด ข้าอยากถามเขาเรื่องภารกิจที่ฉ่าวหยวน”


มองชวีจั๋วเพียงพริบตาเดียว ไม่อยากสนใจใบหน้ายิ้มแย้มประจบสอพลอของเขาที่กำลังเดินเข้าไปในห้องด้านในพร้อมกับถังกง


“ข้าถูกแช่แข็งมาตลอดทั้งทาง หิมะตกลงมาในเดือนแปด ทั่วพื้นดินมีแต่หิมะ ข้าทานแต่เนื้อมาสามเดือน ไม่มีผักใบเขียวเลยแม้แต่น้อย ให้ท่านโหรทานผักจะดีกว่า แล้วก็เอาเหล้าที่ท่านมีมาด้วยหนึ่งไห พวกเราทานไปคุยไปกันเถอะ เรื่องสั่งสอนลูกศิษย์ยังมีเวลาอีกเยอะ รอท่านโหรกิรอิ่มแล้ว ท่านค่อยสอนข้าก็ยังไม่สาย”


ทุกครั้งที่ท่านโหรมาจะต้องมาทานข้าวบ้านอวิ๋นเยี่ยเสมอ จนเหมือนจะเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติไปแล้ว เห็นถังเจี่ยนท่าทางเหน็ดเหนื่อยก็รู้ว่าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง บ้านตัวเองยังไม่ทันได้กลับ ก็ถูกหลี่ซื่อหมินไล่มาตระกูลอวิ๋น


ผ่านไปชั่วครู่กับข้าวก็ถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ถาดเกี๊ยวที่วางอยู่ตรงกลางทำให้ถังเจี่ยนถึงกับไม่เข้าใจ


“อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้ไม่มีเทศกาลเสียหน่อยทำไมถึงมีหุนตุ้น หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ท่านโหรยังไม่รู้”


“แน่นอนว่ามี ทางบ้านเรามี เกี๊ยวน้ำกับบะหมี่ไข่ต้อนรับกลับบ้าน เป็นประเพณีของตระกูลอวิ๋น ถังกงเดินทางมาไกล ก็ต้องเอาเกี๊ยวมาต้อนรับ ไม่ใช่หุนตุ้นอะไรที่ไหน ที่บ้านข้าเขาเรียกเกี๊ยวน้ำ”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่แท้เป็นเพราะข้าไม่รู้เอง ความหวังดีของท่านอวิ๋น ข้าขอรับไว้ก็แล้วกัน”


ลมพัดความสงสัยจนปลิวหายไปหมด ดูเหมือนหมอนี่คงจะหิวมาก เกี๊ยวเต็มถาดขนาดสิบนิ้ว เพียงพริบตาเดียวหายไปครึ่งถาด เกี๊ยวไส้ไข่ ไก่ กุยช่ายคงจะถูกปากเขามาก เหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ถังเจี่ยนวางตะเกียบลงแล้วส่งให้ชวีจั๋วที่นั่งอยู่ข้างๆ


“ผู้อาวุโสมอบให้ ข้าไม่กล้าปฏิเสธ เสียมารยาทเสียแล้ว” ชวีจั๋วตักเกี๊ยวเข้าปากเร็วกว่าถังเจี่ยนเสียอีก


เห็นได้ชัดว่าถังเจี่ยนชอบชวีจั๋วมาก เอ็นดูชวีจั๋วเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูหลานตัวเอง แม้แต่เกี๊ยวในถาดก็เหลือแบ่งไว้ให้เขา


อิ่มได้ที่แล้ว ถังเจี่ยนก็นั่งลงบนเบาะรองนั่งอย่างรู้สึกสบาย วางผ้าห่มบางๆ ไว้บนขา มองดูหิมะด้านนอกที่ตกลงมาก็เริ่มเหม่อลอย คนอายุมากแล้วมักจะเคยผ่านเรื่องราวที่เจ็บปวดเป็นธรรมดา


“อวิ๋นเยี่ย เดินทางไกลครั้งนี้ จะเป็นภารกิจสุดท้ายที่ข้าทำเพื่อต้าถัง ข้ารู้สึกแก่มากแล้ว การหยุดรับใช้ต้าถังก็คงเกิดขึ้นในครึ่งปี ข้ามีเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยากจะขอให้เจ้ารับปาก”


ไม่ต้องคิด เพียงแค่วันนี้เขาเอาชวีจั๋วมาด้วย แล้วยังบอกว่าตัวเองแก่แล้ว ก็รู้แล้วว่าเขาต้องการจะพูดอะไร


“ไม่ได้ ชวีจั๋วเป็นคนเลี้ยงหมูชั้นดี ตอนนี้สำนักศึกษาจะเพิ่มหมูอีกหนึ่งร้อยตัว ยังขาดคนจัดการ ชวีจั๋วคือคนที่เหมาะสมที่สุด พรุ่งนี้เขาก็ต้องไปทำงานที่คอกหมูแล้ว หน้าที่ยิ่งใหญ่ จะปล่อยไปไม่ได้”


ถังเจี่ยนโมโห มือตบโต๊ะชี้นิ้วพร้อมขึ้นเสียงใส่อวิ๋นเยี่ยว่า“อัปมงคล อัปมงคล ตลบตะแลงไม่มีใครเทียบติด คนฉลาดอย่างเจ้ากลับเป็นคนต่ำช้าเช่นนี้ ไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรืออย่างไร”


“คนต่ำช้า? สำนักศึกษาของข้าเคยมีคนต่ำช้าตอนไหน ท่านคิดว่าข้าไม่เคยให้อาหารหมูอย่างนั้นหรือ หรือท่านหลี่กังยังไม่เคยให้อาหารหมู ฉู่อ๋องที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นโรครักความสะอาด ผ่านการฝึกที่คอกหมูมา ตอนนี้ก็รู้จักลดหย่อนลงบ้างแล้ว สวี่จิ้งจงแพทย์ทหารผู้สูงส่ง ตอนนี้ก็แทบจะกอดหมูนอนอยู่แล้ว ท่านกลับพูดว่าเป็นคนต่ำช้า ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย”


“ท่านโหรอย่าเพิ่งโมโหไป ข้าน้อยอยู่สำนักศึกษาเป็นคนดูแลหมู ถือเป็นเรื่องดี ไม่ได้อัปยศอดสูแต่อย่างใด ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว สำนักศึกษามีการทดลองเลี้ยงโซ่อาหาร แหล่งแรกคือหมู มูลหมูสามารถเป็นอาหารปลาได้ ปลาตัวเล็กเป็นอาหารเป็ดได้ โคลนนำมาทำเป็นปุ๋ยได้ มีปุ๋ยผลผลิตก็จะเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า หนึ่งพันปีแล้ว ห้องใต้ดินของเว่ยอ๋องยังมีมูลหมูเก็บไว้อยู่เลย เอาขึ้นเตาก็ติดไฟได้เลย นำมาทำกับข้าว เพิ่มแสงสว่าง ให้ความอบอุ่นก็ได้ทั้งนั้น เป็นหัวข้อที่กำลังนำมาทดลอง หากสำเร็จก็จะเป็นผลดีต่อเกษตรกร แม้จะสกปรกไปบ้าง แต่กลับได้ผลตอบแทนที่มากมาย หากท่านมีคำสั่งให้ข้าไปคอกหมู ข้าจะทำตามไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย”


ถังเจี่ยนครุ่นคิด ทุกสิ่งบนโลกนี้หากไปข้องเกี่ยวกับสำนักศึกษาเข้าแล้วก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลย ขนาดพวกต่ำช้ายังเปลี่ยนเป็นมีค่าขึ้นมา ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายทอดวิชาของตัวเองให้ชวีจั๋ว ฟังอวิ๋นเยี่ยพูดแล้วก็ใช่ว่าเรื่องเลี้ยงหมูจะดึงดูดความสนใจเขาได้


สร้างตัว สร้างอาชีพการงาน สร้างคุณธรรม สร้างวาจา เป็นเส้นทางที่เด็กหนุ่มทุกคนต้องเดิน หากเลี้ยงหมูสามารถสร้างตัว สร้างอาชีพการงาน สร้างคุณธรรมได้ เช่นนั้นความรู้ที่ตนเองได้ร่ำเรียนมาก็เป็นเรื่องน่าขันอย่างนั้นหรือ


“ถังกง วิชาจ้งเหิงของท่านแน่นอนว่าไม่มีใครเทียบได้ การดูวัตถุจากภายนอกก็สามารถรู้ได้ถึงที่มาของมัน ความรู้นี้ไม่มีใครเทียบได้ แต่นี่เป็นความสามารถสืบทอดเฉพาะในตระกูลของท่าน ไม่เคยเล็ดลอดสู่ภายนอก ตอนนี้ตำราที่ซ่อนในภูเขาหนานซาน ไม่กี่ปีมานี้ถูกหนู แมลงแทะทานจนแทบไม่เหลือแล้ว ท่านไม่กลัววิชานี้จะหายไปหรือ”


ท่านทูตผู้อาวุโสในหัวได้ยินแต่เสียงพูดของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก เริ่มรู้สึกว่าความรู้ที่ตัวได้เรียนมานั้นช่างเปล่าประโยชน์


“ขุนนางอวิ๋นมีอะไรจะแนะนำข้าหรือ”


“ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ทุกเดือนท่านต้องมาสอนวิชาจ้งเหิงที่สำนักศึกษาก็พอแล้ว หากท่านรับปาก ข้าก็จะคืนชวีจั๋วให้ท่าน แต่ถ้าไม่ ข้าก็จะให้ชวีจั๋วทำงานที่คอกหมูตลอดชีวิต”


ถังเจี่ยนหัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “ชีวิตข้านี้เคยตีแต่พญานก แต่ตอนนี้กลับโดนพญานกจิกตา แผนการแกล้งทำเป็นโง่ของเจ้า ข้าควรจะดูออกเสียตั้งนานแล้ว หากสำนักศึกษามีแต่พวกอิจฉาผู้ที่มีความรู้มากกว่าตน แล้วในเวลาอันสั้นนั้นจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของต้าถังได้อย่างไร เจ้าช่างเป็นอาจารย์ที่ทำเพื่อลูกศิษย์จริงๆ กลัวข้าจะมีไม้ตายซ่อนอยู่เลยต้องเพิ่มความรู้ให้ลูกศิษย์ ทำให้ข้าต้องให้ความสำคัญพวกเขาโดยปริยาย แล้วยังได้ข้าไปสอนวิชาที่ห้องหนังสือทุกเดือนอีก ช่างเป็นแผนการที่ดีเสียจริง ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ายอมแล้ว”


อวิ๋นเยี่ยก้มโค้งคำนับ ชวีจั๋วหมอบคำนับอยู่ที่พื้น เพื่อคาราวะอาจารย์ทั้งสองท่าน ตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่กลับได้รับความเมตตาจากผู้สูงส่ง เป็นบุญยิ่งนัก


บทสนทนาเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว อวิ๋นเยี่ยและถังเจี่ยนพูดคุยหัวเราะอย่างมีความสุข คุยเกี่ยวกับเรื่องข่าวลือของพวกใต้เท้า โดยเฉพาะผู้ที่หลงใหลในหญิงงามอย่างขุนนางอวิ๋นยิ่งเป็นประเด็น


ถูกผู้คนเอามาพูดเป็นเรื่องสนุก อวิ๋นเยี่ยชินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าข่าวลือของฉางอันจะไปถึงฉ่าวหยวน


“งานประมูลวันที่สามของเจ้าจบลง ข้าก็ได้รับสาร เป็นคำสั่งให้ข้าไปแดนเติร์กตะวันตกก่อนฟ้ามืด ร่วมมือกับผู้นำแดนเติร์กตะวันตกวางแผนกลยุทธ์ความสัมพันธ์ของเมืองที่ห่างไกลเพื่อเข้าโจมตีระยะใกล้ หลังจากแม่ทัพถ่งถูกลุงตัวเองฆ่า แดนเติร์กตะวันตกก็เกิดการยื้อแย่งไม่สิ้นสุด ถึงแม้จะเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับใกล้จะล่มสลายในไม่ช้า เดิมคิดว่าไปสมทบกับแม่ทัพซื่อที่เชียนฉวนร่วมมือด้วย นำเครื่องแก้วหมาป่ายักษ์ของเจ้าให้แก่เขา ให้เขาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเซวียเหยียนถัว แล้วค่อยให้หมาป่าอีกสี่ตัวแก่ผู้นำทั้งหลาย ปลูกเมล็ดแห่งความหายนะไว้แล้วรอเวลาที่มันจะงอกออกมา


ใครจะไปรู้ แม่ทัพซื่อถูกฆ่าตายตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้ในฐานะผู้นำแดนเติร์กตะวันตกอย่างตัวลู่ก็ทำได้แค่ปกครองเชียนฉวน แม้แต่ประเทศฉือก็จ้องจะโจมตีอยู่ตลอด ข้าฟังธง ไม่เกินหนึ่งปีตัวลู่ต้องแพ้ราบคาบ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เปลืองทรัพยากร ข้าได้นำหมาป่ายักษ์หนึ่งตัวให้แก่ซี่ลี่ชือ คนผู้นี้มีอำนาจทางจิตมาก มีความอดทนอดกลั้น ทรงพลัง เหมาะที่จะได้เชียนฉวนไปครอง


เจ้าเด็กน้อย เจ้าเดาได้แม่นมาก เพียงใช้เหยื่อล่อให้ซี่ลี่ชือก็ติดกับตกลงไม่ยุ่งเกี่ยวการทำศึกกันระหว่างต้าถังกับเซวียเหยียนถัว ขอแค่ไม่ทำให้เขาเสียผลประโยชน์ก็พอ มีคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนมองการ์ณตื้นเขินถูกขนานนามว่าเสือแห่งแดนเติร์กตะวันตก ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น รีบเตรียมคนไปคอยหาข่าว แต่ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะคนรอบตัวข้าถูกซี่ลี่ชือคอยจับตามองอยู่ จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ อนุญาตแค่ให้คนรับใช้ออกไปซื้อกับข้าว


ขุนนางอวิ๋น เจ้าคิดไม่ถึงล่ะสิ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ชวีจั๋วรู้จักกับลูกน้อยของชาเซียวลัวจากการออกไปซื้อกับข้าว พอชาเซียวลัวรู้ว่าข้าเป็นทูตจากต้าถังก็ให้ทหารม้ามาพาข้าไปที่บ้านของเขา แน่นอนว่ามีเครื่องแก้วหมาป่ายักษ์เป็นของกำนัล การพัวพันครั้งนี้ทำให้ข้าได้ถอดหน้ากากของแดนเติร์กตะวันตกออก การคิดที่จะขึ้นปกครองร่วมกันไม่มีทางเป็นไปได้ มีเพียงการแบ่งหน้าที่กันทำถึงจะสำเร็จตามเป้าหมายได้


ชาวเซวียเหยียนและชาวถู่อวี้หุนได้นำหมาป่าที่เจ้าขายให้พวกเขามาที่เชียนฉวน แต่น่าเสียดาย ในงานเลี้ยงกลางคืนถูกลูกน้อยของชาเซียวลัวโยนลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ


ชาวเซวียเหยียน ชาวถู่อวี้หุนโกรธมากจนชักมีดออกมา ชาเซียวลัวเห็นว่าปล่อยไปไม่ได้ จึงออกคำสั่งประหารชาวเซวียเหยียนและชาวถู่อวี้หุนที่ชักมีดออกมา งานเลี้ยงกลายเป็นงานนองเลือด เครื่องแก้วหมาป่ายักษ์ของอวิ๋นเยี่ยทำให้สองเผ่าที่รักกันอย่างพี่น้องกลายเป็นศัตรูกันภายในพริบตา ข้าคิดว่าก่อนที่ต้าถังของเราจะลงมือ เซวียเหยียนถัวและถู่อวี้หุนคงร่วมมือกันโจมตีดินแดนเติร์กตะวันตกเสียแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)