เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 28-34
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 28 ค่าตอบแทนของสัญลักษณ์
หยิบเครื่องแก้วหมาป่าที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ออกไปจากโต๊ะ พอปล่อยให้มันตกแตกบนพื้นเป็นชิ้นๆ แล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ เก็บกวาดเศษของเครื่องแก้วหมาป่าที่กระจัดกระจายอยู่อย่างระมัดระวัง เห็นเศษๆ ที่ไม่สามารถหยิบออกได้ เขาก็ถอนหายใจและใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดอีกที ถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจ
ผู้เฒ่าของชาวถู่อวี้หุนเดินขึ้นไปบนเวที เก็บเศษแก้วที่แตกออกเป็นชิ้นๆ มารวมกัน เหมือนอยากจะเอามาติดเข้าด้วยกัน ดวงตาที่ขุ่นหมองเต็มไปด้วยน้ำตา มือของเขาถูกเศษแก้วบาดจนเหลือดออก
เศษแก้วที่โดนเลือดก็กลายเป็นสีแดงฉานทันที ผู้เฒ่าวางเศษแก้วลงบนพื้นและพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความสิ้นหวังว่า “เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้ สมบัติทั้งหมดของเจ้ามีราคาแค่ร้อยเหรียญ พวกข้าให้ราคาเจ้ามากกว่าเกือบสามร้อยเท่า ทำไมเจ้ายังไม่พอใจ ถึงแม้ว่าที่ชนเผ่าฉ่าวหยวนจะมีวัวและแกะจำนวนมากมาย แต่มันก็ไม่ได้มีอยู่ทุกที่ วัวตัวหนึ่งกว่าจะเติบโตเต็มที่ก็ใช้เวลาราวสองปี ระหว่างนั้นยังต้องเจอกับฤดูหนาวที่โหดร้าย คนเลี้ยงสัตว์ยังต้องไล่ต้อนพวกมันไปหาอาหารท่ามกลางหิมะที่ตกหนักทุกๆ ฤดูหนาว อย่างน้อยก็มีแค่สามส่วนที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ทุกครั้งที่มีวัวตาย พวกคนเลี้ยงสัตว์ก็ล้วนแต่ทุกข์ทรมานกับความหนาวเย็นและความหิวโหย ว่ากันว่าชาวฮั่นเป็นชนเผ่าที่มีเมตตา เหตุใดเจ้าถึงไม่มีจิตใจสงสารเพื่อนมนุษย์เลยสักนิด วัวหกพันตัวเป็นสมบัติของคนกว่าหมื่นคนในชนเผ่า ถ้าเอาให้เจ้า ก็จะต้องมีคนกว่าหมื่นคนที่ไม่สามารถมีชีวิตรอดจากฤดูหนาวของปีนี้ได้ หรือว่านี่คือจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของเมืองต้าถัง?”
คำพูดพวกนี้อาจจะทำให้ใครบางคนโศกเศร้าเสียใจ ชาวหูต่างพากันก้มหน้า ถึงขั้นมีคนร้องไห้ แม้แต่พ่อค้าในโรงละครก็รู้สึกเศร้าไปด้วย เงินจำนวนเกือบสองหมื่นเหรียญหายไปในทันที ไม่ใช่มีแค่ชนเผ่าหูเท่านั้นที่เลือดออกในหัวใจ
ดวงตาของหลี่จิ้งก็เต็มไปด้วยน้ำตา เว่ยเจิงแทบจะกระโดดลงไปข้างล่างด้วยความโมโห แม้แต่หลี่เฉิงเฉียนที่นั่งอยู่กับผู้หญิงของตัวเองก็ยังยืนขึ้นด้วยความตกใจ ฝางเสวียนหลิงกับตู้หรูฮุ่ยโศกเศร้าเสียใจราวกับพ่อแม่ของตัวเองตาย ถังเจี่ยนหน้าซีด เซียวอวี่ตัวสั่นไปหมด
จั่งซุนโมโหจนเส้นเลือดสีฟ้าที่คอโผล่ออกมา ถ้าไม่ได้อยู่ในโรงละคร เขาจะต้องเฆี่ยนอวิ๋นเยี่ยอย่างน้อยสักสามสิบทีแน่นอน ไม่ใช่สิ ห้าสิบที ทุบค้อนทีหนึ่งวัวหนึ่งพันตัวไม่เหลือแล้ว นี่มันไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้แล้ว นี่มันกบฏ
หลี่ซื่อหมินมองดูปฏิกิริยาของผู้คนด้านล่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมาและพูดกับจั่งซุนว่า “เราเหนื่อยแล้ว จะพักสักหน่อย อวิ๋นเยี่ยขายหมาป่าเสร็จแล้วค่อยเรียกข้า” พูดเสร็จ เขาก็เอนตัวลงบนเก้าอี้แล้วหลับตา
อวิ๋นเยี่ยทำอะไรไม่ถูก ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่เข้าใจหลักการที่ว่าของหายากคือของมีค่า คนรุ่นหลังที่ขายเครื่องลายคราม ถ้ามีขวดที่เหมือนกันสองขวด ปกติก็ต้องทุบแตกอันหนึ่ง แล้วขึ้นราคาอันที่เหลืออยู่เป็นสามสี่เท่า ถึงขั้นขึ้นราคาเป็นสิบเท่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทำไมพอเป็นพวกเขา ทุกคนก็กลายเป็นคนโง่เขลา กว่าข้าจะมีโอกาสแบบนี้ ปล่อยให้หลุดมือไปคงเป็นเรื่องที่โง่เขลา
“ตั้งแต่สมัยโบราณพวกคนเลี้ยงสัตว์ต่างก็อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ล่อแหลม สู้กับท้องฟ้า สู้กับพื้นดิน สู้กับคน แล้วยังต้องมาเจอกับภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งโรคระบาดของวัวและแกะ ภัยแล้งและภัยพิบัติปีแล้วปีเล่า
ข้าอาศัยอยู่ในแดนฉ่าวหยวนมานานกว่าครึ่งปี ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ยุงและแมลงวันในฤดูร้อน ความหนาวเย็นในฤดูหนาว ล้วนทำให้ข้าต้องทนทรมาน ข้าเห็นศพที่ถูกแช่แข็งใต้หิมะ แล้วก็เห็นศีรษะของคนตายที่ถูกเตะอย่างกับลูกบอล ภายใต้ความหิวและเหน็บหนาว คนเลี้ยงสัตว์พวกนั้นกอดตัวรวมกันเพื่อความอบอุ่น เอาแก่ที่สุดอยู่วงนอก กอดพวกเล็กๆ ไว้ข้างใน พวกคนแก่ที่อยู่ข้างนอกต้องร้องโหยหวนเพื่อต้านทานกับความหนาวเย็น คิดเช่นนี้ หัวใจของข้าก็แทบจะแตกสลาย”
ใครก็ตามที่ได้เห็นเรื่องราวที่น่าเศร้าเช่นนี้ก็ต้องเกิดความสงสารกันทั้งนั้น ชาวต้าถังล้วนแต่เป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยเล่า ตัวเองยังรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ชนเผ่าหูพวกนั้นก็ยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ชนเผ่าหูที่อยู่ในโรงละครก็ต่างพากันร้องไห้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเข้มแข็งหรือไม่เข้มแข็ง กอดกันไว้ถึงจะรู้สึกสบายใจ
ผู้เฒ่าที่ร้องไห้อยู่ก็เงยหน้าขึ้นและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เครื่องแก้วหมาป่าที่เหลืออยู่ ข้าเอาวัวสี่พันตัวมาแลกได้ไหม”
อวิ๋นเยี่ยก็กำลังร้องไห้ นึกถึงประสบการณ์ในแดนฉ่าวหยวนที่ตัวเองเคยเจอ ได้ยินคำที่ผู้เฒ่าเสนอมา เขาก็เช็ดน้ำตาและพูดว่า “ไม่ได้ น้อยกว่าเจ็ดพันตัวไม่ขาย” พูดเสียงไม่ดัง แต่กลับหนักแน่นผิดปกติ
อวี้ฉือกงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มองไปที่อวิ๋นเยี่ยราวกับเห็นผี จับเฉิงเหย่าจินที่กำลังตกตะลึงและถามว่า “เจ้าไปนรกมา? เหตุใดถึงได้พาปีศาจร้ายเช่นนี้มาที่โลกมนุษย์”
เหล่าเฉิงส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ตบที่เหล่าหนิวแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนสอนเขา? ในบรรดาพี่น้องก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่โหดร้ายเช่นนี้”
หนิวจิ้นต๋าผลักเฉิงเหยาจินออกไปอย่างหงุดหงิดและพูดว่า “ข้าฆ่าคนไม่ใช่ปัญหา แต่จะให้ข้าร้องไห้ไปด้วยฆ่าคนไปด้วย ข้าก็ทำไม่ได้”
หลี่จิ้งมองไปที่อวิ๋นเยี่ยที่กำลังร้องไห้ จากนั้นก็มองไปยังผู้เฒ่าที่กำลังอึ้งจนพูดไม่ออก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำไปเมื่อสักครู่มันไร้ประโยชน์ เมื่อกี้ยังคิดอยู่ว่าจะจัดการกับพวกชนเผ่าหูอย่างไร ตอนนี้เห็นว่า เมื่อพวกเขาต้องกลับไปที่แดนฉ่าวหยวน มีแค่กางเกงใส่ ก็คือคำอวยพรจากเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา
รัชทายาทกับคู่หมั้นของตัวเองที่ยืนอยู่บนเวที ก็เริ่มที่จะขุ่นเคือง ตระกูลซูถามรัชทายาทด้วยความเป็นห่วงว่า “นี่คือเพื่อนสนิทของเจ้า?”
หลี่เฉิงเฉียนพยักหน้าและยิ้มอย่างมีความสุข เขาหันไปรอบๆ บนเวที จากนั้นก็ดึงคนตระกูลซูเข้ามาจูบ ไม่รอให้คนตระกูลซูมีปฏิกิริยาอะไร ก็เอามือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปจับหน้าอก
จั่งซุนขาอ่อนจนนั่งลงไปบนตักของหลี่ซื่อหมิน ใช้มือปิดหน้าโดยไม่พูดอะไร นางสาบานว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ชายที่เลวที่สุดเท่าที่นางเคยเจอมา หน้าด้านและไร้ยางอายที่สุด เมื่อก่อนทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับเขานิดหน่อยตัวเองก็รู้สึกผิด แต่ตอนนี้ มันคือความใจอ่อนและโง่เขลาเกินไปของนางเอง
หลี่ซื่อหมินลืมตาขึ้นมาชำเลืองมองไปที่ฮองเฮา ไม่สนใจภรรยาที่นั่งอยู่บนตักของตัวเอง ก้มหน้าและเปลี่ยนเป็นท่านอนที่สบาย เขาวางแผนที่จะดูละครของคืนนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ชาวเซวียเหยียนถัวบางคนโมโหจนอยากจะขึ้นไปต่อยกับอวิ๋นเยี่ยบนเวที แต่กลับถูกพวกทหารของตระกูลอวิ๋นขัดขวางเอาไว้ ซ่านอิงไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอวิ๋นเยี่ย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร อวิ๋นเยี่ยก็ยกค้อนขึ้นมาอีกครั้ง จะเอาทุบลงไปตรงคอหมาป่า ถ้าผู้เฒ่าและชาวเซวียเหยียนถัวกล้าที่จะไม่เห็นด้วย เขาก็จะทุบลงไปอย่างไม่ลังเล เขารู้อยู่แล้วว่าชาวเติร์กตะวันตกไม่ได้อยากได้วัวแกะของเขา ชนเผ่าอาซือน่าครอบครองดินแดนขนาดใหญ่จากตะวันออกของภูเขาจินไปถึงทะเลตะวันตก วัวและแกะหลายพันตัวของชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้หุนไม่เพียงพอตามเงื่อนไขของชาวเติร์กตะวันตกได้ ตอนนี้ชาวเติร์กตะวันตกต่างก็บอกว่าตัวเองเป็นบุตรของพระเจ้าหมาป่า เอาแต่ปราบปรามทุกฝ่าย ถ้าชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้หุนคิดที่จะหลบหนีทหารของต้าถัง ไปสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวเติร์กตะวันตกล่ะก็ พวกเขาจะทิ้งเครื่องแก้วหมาป่าตัวนี้ไม่ได้
ผู้เฒ่าหันไปมองที่ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวที่กำลังหน้าซีด พวกเขาสบตากัน จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ ผู้เฒ่าทำอะไรไม่ถูก เขาอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดและพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความยากลำบากว่า “ตกลง”
อวิ๋นเยี่ยที่กำลังร้องไห้ก็ยิ้มขึ้นมาทันที จับไปที่แขนของผู้เฒ่าและพูดว่า “เยี่ยมเลย ตกลงตามนี้ ข้าคิดว่าคงไม่มีใครเสนอราคาที่สูงกว่านี้แล้ว ผู้เฒ่า เงินก้อนนี้คุ้มค่ามาก แค่วัวไม่กี่ตัว ก็สามารถแลกกับสมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้ ท่านดูหมาป่าตัวนี้สิ สง่างามเพียงใด ท่านดูฟันของมัน แหลมคม…
เหอเซ่า! เหอเซ่า! รีบไปเลือกวัวดีๆ มาเจ็ดพันตัว เอาป้ายของข้าออกไปจากเมือง พรุ่งนี้เช้าต้องต้อนวัวพวกนั้นไปที่คอกของเรา เลือกเอาตัวเมียเยอะๆ หน่อย ที่เจ้าเอามาจากฉ่าวหยวนครั้งที่แล้วมีแต่ตัวผู้ เจ้าโดนหลอกแล้ว ครั้งนี้ต้องระวังหน่อย ตัวผู้ตัวเมีย เจ้ารู้จักใช่ไหม”
เจ้าอ้วนเหอเซ่ายิ้มทีก็เห็นแค่ปากกับฟัน เขาคลำหาป้ายของอวิ๋นเยี่ย พยายามลืมตาขึ้นมาเจรจาเรื่องการจ่ายเงินของชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้หุน
ผู้เฒ่าที่ถือเครื่องแก้วหมาป่าอยู่ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูด เขาก็แทบจะกระอักเลือด เดินลงมาจากบนเวทีทีละก้าว และยื่นหมาป่าตัวนั้นให้กับทูตของชนเผ่าเซวียเหยียนถัว จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น เขาหวังเพียงว่าเครื่องแก้วหมาป่าตัวนี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของชาวเติร์กตะวันตก และต่อสู้เพื่อสันติภาพของชนเผ่าถู่อวี้หุน
ทูตของเกาลี่ยืนมองชาวหูที่โชคร้ายอย่างมีความสุข ตัวเองยืนดูคนอื่นที่กำลังพยายามเอาตัวรอดอยู่บนฝั่ง ช่างมีความสุข มันเป็นแบบนี้นี่เอง หลังจากนี้อีกพันกว่าปีก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้หุนไปกันหมดแล้ว พวกพ่อค้าที่ยืนอยู่ตลอดก็ถือโอกาสหาที่นั่ง ในฐานะพ่อค้า พวกเขาชื่นชอบการกระทำของอวิ๋นเยี่ย พวกเขาคิดว่าการที่อวิ๋นเยี่ยทำแบบนี้มันไม่ได้ผิดอะไร แสวงหาผลกำไรที่มากที่สุดคือการมีชีวิตอยู่ของพ่อค้า เหตุการณ์ในวันนี้ ทุกคนต่างก็ได้รับผลประโยชน์ รู้สึกว่าการเสียค่าเข้าสามสิบเหรียญนั้นคุ้มค่าจริงๆ
กำจัดไปได้แล้วคนหนึ่งก็มีอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ การตามล่าหาสมบัติของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่มีภาระต่างก็กระตือรือร้นอยากที่จะลองมานานแล้ว สมบัติชิ้นใหญ่พวกนั้นไม่มีพรหมลิขิตกับตัวเอง แต่ชิ้นเล็กๆ พวกนั้น ก็ไม่มีส่วนไหนเป็นของตัวเอง?
การประมูลจะไม่สิ้นสุดลงเพราะการกระอักเลือดของผู้เฒ่า แต่กลับครึกครื้นยิ่งกว่าเดิม ผู้หญิงที่ไปดูการแสดงชุดเสื้อผ้าก็กลับมาด้วยความพอใจ พูดคุยกันว่าเครื่องประดับอันไหนถึงจะเข้ากับชุดใหม่ที่ซื้อมา ในมือของสาวใช้ก็เต็มไปด้วยกล่องเสื้อผ้าเครื่องประดับที่พึ่งเลือกมา โดยเฉพาะปิ่นระย้าและปิ่นปักผมหลากสี ทำให้พวกเขาหลงใหล คนที่รีบร้อนก็เอาเครื่องประดับปักที่หัวแล้วเรียบร้อย ถ้าผู้ชายของพวกนางเห็นสิ่งของพวกนี้ คงจะทุบโต๊ะด้วยความโกรธอย่างแน่นอน ข้าวของของอวิ๋นเยี่ยจะมีราคาถูกได้อย่างไร ไม่เห็นชนเผ่าหูที่ทำการค้าขายเก่งกระอักเลือดไปเมื่อครู่เหรอ
คนรับใช้ขึ้นไปทำความสะอาดบนเวทีอย่างรวดเร็ว เอากะละมังใส่น้ำมาเช็ดเลือดที่กระอักออกมาของผู้เฒ่า ฉีดน้ำหอมบนเวทีสักเล็กน้อย นายท่านของตัวเองเป็นคนรักสะอาด
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 29 ส่งออกเครื่องแก้ว
ข้าวของของอวิ๋นเยี่ยมีราคาแพงอย่างที่คิดไว้ กาน้ำอันหนึ่งราคาหนึ่งร้อยเหรียญ แถมถ้วยชาให้อีกหกใบ นี่เป็นราคาพิเศษสำหรับเพื่อนร่วมงานของเขา
ตระกูลอวิ๋นต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะพวกขุนนางพวกนั้น ในฐานะเพื่อนร่วมงานก็ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ ทนมองดูคนของตระกูลอวิ๋นคลานออกไปขออาหารไม่ได้ แล้วมันก็ยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของขุนนางไม่ใช่เหรอ เมื่อขุนนางพวกนั้นไม่ยอมเสนอราคา มีกลุ่มขุนนางระดับกลางยื่นมืออกมาช่วยตระกูลอวิ๋นด้วยความเมตตา
อะไรกัน? ราคาประมูลไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเหรียญ? กาน้ำอันหนึ่งก็ต้องห้าหกร้อยเลยเหรอ ภายใต้ความโมโหก็เลยตัดสินใจไม่ซื้อ ปล่อยให้ตระกูลอวิ๋นหิวโหยต่อไป ข้าเสนอราคากาน้ำหนึ่งร้อยสิบเหรียญกลับถูกไล่ออกมา น่าอับอายที่สุด
ชาวเกาลี่วางแผนที่จะเอาเงินทั้งหมดที่หาได้ในฉางอันมาซื้อเครื่องแก้วกลับไป ผ่านไปไม่นาน เงินมากกว่าสองหมื่นเหรียญก็ถูกเปลี่ยนเป็นกล่องสมบัติ ฮุ่ยหยวนหยูลูบจับเครื่องแก้วทุกชิ้นด้วยความหลงใหล ราวกับการลูบไล้ขาของคนรัก จมปลักอยู่กับสิ่งของพวกนั้น ท่าทางของเขาเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับหลายๆ คน แต่ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร พวกเขาเองก็หวังว่าสักวันตัวเองจะมีสิทธิ์ทำให้คนอื่นรังเกียจเช่นนี้
เมื่ออวิ๋นเยี่ยกำลังประมูลสินค้าล็อตที่สามสิบ ซึ่งเป็นเครื่องแก้วชิ้นที่ยี่สิบอยู่นั้น หยุนซานก็วิ่งขึ้นมาจากหลังเวที กระซิบหูของอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอวิ๋น กลุ่มผู้ค้าของเราเดินทางไปถึงเหลียวเหอแล้ว เจ้าของร้านหลินบอกว่าเครื่องแก้วหกสิบเอ็ดชิ้นอันที่เอาไปไม่ได้รับความเสียหายสักชิ้น แม่ทัพตู้จะเตรียมเรือขนของให้เรา พรุ่งนี้สินค้าก็จะถึงเกาลี่ แล้วเครื่องแก้วดอกโบตั๋นที่เอาให้แม่ทัพตู้ เขาชอบมากขอรับ”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าบอกว่ารู้แล้ว เครื่องแก้วหกสิบชิ้นก็เพียงพอที่จะครอบครองตลาดของเกาลี่ ซินหลัว และไป่จี้ได้แล้ว เจ้าของร้านหลินเดินทางไปมาเหลียวตงตลอดหลายปี เขาคุ้นเคยกับเกาลี่ ซินหลัว ไป่จี้เป็นอย่างมาก ครั้งนี้เมื่อสองเดือนก่อนเขาได้นำกลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่ไปที่เหลียวตงเรียบร้อยแล้ว
อวิ๋นเยี่ยบอกว่าต้องเอาโสมเกาลี่กลับมาเท่านั้น อย่างอื่นเขาไม่ต้องการ เขาจะซื้อเสบียงจำนวนมาก มีเท่าไหร่เอาเท่านั้น ทั้งหมดเอาให้กับกองทัพชายแดน ถ้ามีเสบียงเหลืออยู่ก็เอาไปหมักให้เป็นเหล้าแล้วขายให้ชนเผ่าซู้โม่ ในการแลกเปลี่ยนม้าศึกและขนสัตว์ นี่เป็นธุรกิจระยะยาว ถ้าสามารถสร้างการค้าที่มั่นคงได้จะเป็นเรื่องดีที่สุด พยายามบริโภคเสบียงของเกาลี่ให้ได้นานๆ คนหมักเหล้าได้ติดตามพวกเขาไปมากกว่าสิบคน ขอแค่ยังมีเหล้าขาย ก็จะบริโภคเสบียงของเกาลี่ได้จำนวนมาก
สำหรับเสบียงของพวกทหาร ต้องมีพวกทหารข้าศึกจัดสรรเงินให้กับตระกูลอวิ๋นอยู่แล้ว ตระกูลอวิ๋นอยู่ที่ฉางอันก็สามารถมารับเงินจากเหลียวตงได้ ทหารข้าศึกก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางหลายพันลี้เพื่อขนเสบียงไปยังกองทัพชายแดน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
อวิ๋นเยี่ยหันไปมองฮุ่ยหยวนหยู ไม่รู้ว่าเขาเอาเงินทั้งหมดมาซื้อเครื่องแก้ว หลังจากกลับไปแล้วราคาตก เขาจะบอกกับหลงหลิวอ๋องอย่างไร หรือเขาต้องบอกกับเฉวียนไก้ซูเหวิน?
ในที่สุดตระกูลอวิ๋นก็สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับทุกคน เครื่องแก้วแปดสิบชิ้นถูกขายจนหมด ทำให้ตระกูลอวิ๋นเหลือเพียงเครื่องแก้วที่เป็นรูปหมาป่าขนาดใหญ่อยู่เจ็ดแปดชิ้น แล้วก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
แดนเติร์กตะวันตกกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีของพวกจักรพรรดิ ทุกชนเผ่าต่างก็พูดว่าตัวเองเป็นบุตรของพระเจ้าหมาป่า เอาแต่ตำหนิฝ่ายตรงข้ามว่ามีเลือดที่เหมือนตะกอน ไม่ใช่บุตรที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าหมาป่า แต่แค่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริง ทำได้แค่ต่อสู้กันด้วยวาจา อวิ๋นเยี่ยเกาหน้าผากและคิดอยู่ตลอดว่า ถ้าส่งเครื่องแก้วหมาป่าไปให้พวกเขาแต่ละชนเผ่า พวกเขาจะทำสงครามกันขึ้นมาไหม บางทีอาจจะมีวีรบุรุษที่อยากจะรวบรวมหมาป่าเจ็ดแปดตัวนี้โผล่ขึ้นมาสักสองสามคน เหมือนกับที่จักรพรรดิหวงรวบรวมแผ่นดิน
ถ้าเป็นแบบนี้ สงครามก็คงจะไม่น้อย ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด คงไม่มีอารมณ์ไปสนใจคนนอกอย่างพวกเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน เกาลี่ และแดนซิวซือ
หวงปี้ขุนนางผู้ดูแลด้านพิธีกรรมได้ใช้เงินหกร้อยเหรียญซื้อเครื่องแก้วที่ห้อยที่เอวของอวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็ถือเล่นไม่ยอมปล่อย พอให้เป็นพิธี ก่อนออกเดินทางอวิ๋นเยี่ยเลยหาอะไรมาห้อยแทน หวงปี้ประมูลเครื่องแก้วไม่ได้ก็เลยโมโห เพื่อที่จะทำให้เขาหายโมโหก็เลยต้องเอาของตัวเองขายให้เขาไป ตั๋วเงินอยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ย หวงปี้เอาเครื่องแก้วแขวนที่ห้อยอยู่ที่เอวของอวิ๋นเยี่ยออกไปอย่างไม่เกรงใจ อย่างไรตอนนี้มันกลายเป็นของเขาแล้ว
พอเอาพระสารีบุตรออกมา จิวหมัวซือก็หยิบเอามากอดร้องไห้ เขาไม่ได้ร้องไห้เพราะพระภิกษุสงฆ์ที่ตายไป แต่เขาร้องไห้เพราะแม้แต่พระสารีบุตรยังถูกเอาออกมาขาย นี่มันคือการดูหมิ่นศาสนา ไม่ว่าจะเป็นใคร ในฐานะพุทธศาสนิกชนก็ไม่ยินยอมให้ดูหมิ่นศาสนาเช่นนี้
มีอภินิหารจนกลายเป็นพระสารีบุตรห้าสีได้ ถ้าบอกว่าไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ที่มีคุณธรรม ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เขามีเพียงแปดพันเหรียญ แต่อย่างไรเขาก็จะเอาพระสารีบุตรห้าองค์ ถ้าไม่ให้ เขาก็พร้อมที่จะนั่งขัดสมาธิตายอยู่บนเวที ทำให้งานประมูลเสียบรรยากาศ ไม่มีใครกล้าเสนอราคา และก็ไม่มีใครอยากฆ่าพระภิกษุสงฆ์ให้ตาย
วิธีของเขาประสบความสำเร็จ เขาถือพระสารีบุตรแล้วก็เดินออกไปจากงานประมูล เหลือไว้เพียงเงินที่จะต้องจ่าย
หลี่จิ้งกับธิดาแส้แดงรอตั้งนานกว่าจะถึงตอนนี้ สามีภรรยาคู่นี้ไม่สนใจเครื่องแก้ว ไม่สนใจสมบัติ สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้คือหนังหมีขาวในตำนาน พวกเขาอยากจะสอบถามอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับที่มาของข้าวของจำพวกนี้
เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้มีส่วนร่วมในการออกแบบให้อวิ๋นเยี่ย แต่ถูกคนอื่นจับได้ ทำให้ไม่กล้าถามคำถามเขาโดยตรง ได้ยินมาว่าเขามีเพื่อนที่พึ่งกลับมาจากไป๋อวี้จิง ไม่รู้ว่าได้เจอกับน้องชายคนที่สามของตัวเองหรือเปล่า นี่คือโรคทางใจของเขา ฝังอยู่ในใจมานานถึงยี่สิบปี มันกำลังจะทำให้พวกเขาเป็นบ้า
มองดูหนังหมีที่ห้อยอยู่ข้างบน เมื่อต้องแสงไฟก็เห็นเป็นสีขาวราวกับหิมะ แต่ในที่มืดกลับเป็นสีดำราวกับหมึก เป็นที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ถ้าไม่ใช่สิ่งของที่หายาก คงจะไม่ใช่หนังหมีที่งดงามเช่นนี้
“ทุกท่านคงเคยได้ยินมาว่าบนโลกใบนี้มีสถานที่ที่เราไม่รู้อยู่ตั้งมากมาย หนังหมีผืนนี้มาจากที่ที่มีกลางคืนครึ่งปี และมีกลางวันครึ่งปี โปรดเชื่อเถอะ นี่ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ แต่มันคือเรื่องจริง สวมใส่หนังหมีผืนนี้ ไม่ว่าอากาศจะหนาวเพียงใด ท่านก็จะรู้สึกเหมือนสายลมของฤดูใบไม้ผลิ ไม่พูดอะไรมากแล้ว ถ้าอยากได้ก็เสนอราคามาได้เลย ของทุกชิ้นที่เอามาในวันนี้ล้วนแต่จะเอาออกมาขาย พวกท่านสามารถเยี่ยมชมกันได้”
พูดเสร็จก็กระโดดลงจากเวที ไปนั่งพักอยู่ข้างๆ เฉิงเหย่าจิน คืนนี้เหนื่อยจริงๆ
“เจ้าแน่ใจเหรอไม่ ว่าของพวกนี้เป็นของจริง เขาไม่ได้หลอกเจ้า?” เหล่าเฉิงถามอวิ๋นเยี่ย
“ท่านลุงเฉิงไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาแน่นอน หนังแบบนี้มีอยู่ที่เดียว หลอกไม่ได้ ถ้าท่านอยากได้ก็รอปีหน้า หลานชายอย่างข้าจะทำให้ท่านสักผืน ถึงตอนนั้นออกไปรบที่ไหนก็เอาไปเป็นผ้าห่มได้ จะหนาวแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัว จะได้ไม่ต้องหนาวขาอีก ลมฝนอะไรก็ไม่ต้องกลัว ข้าจะทำให้ท่าน ท่านลุงหนิว และท่านลุงฉินด้วย”
เหล่าหนิวยื่นหน้าเข้ามาและชี้ไปที่พวกขุนนางที่กำลังประมูลหนังหมีอยู่บนเวที “อยากจะเอาเปรียบกันทั้งนั้น ไม่สนศักดิ์ศรีแล้ว เดี๋ยวเจ้าเอาบ้านของข้าที่อยู่ในตรอกซิ่งฮว่าฟางไปขายซะ ข้าไม่เอาแล้ว หาเงินให้ได้เยอะๆ ดีกว่า ครอบครัวของข้าอยู่กันอย่างเรียบงาย คนแค่สามคนจะเอาบ้านพวกนั้นมาทำอะไร”
“ท่านลุงหนิว ต่อไปก็จะไม่ใช่แค่สามคนแล้ว ไม่แน่อาจจะเพิ่มเป็นห้าคน สองสามวันก่อนท่านซุนบอกให้พาฮูหยินไปหาเขา เขาคิดว่าในท้องของพี่สะใภ้มีเด็กอยู่สองคน เขาอยากจะพิสูจน์สักหน่อย”
“จริงเหรอ” เหล่าหนิวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แม้แต่เก้าอี้ก็ล้มลงด้วย ไม่สนใจบ้าน สนใจหนังหมีอะไรทั้งนั้น รีบหันหลังกลับไปที่บ้านของตัวเอง สำหรับเขาแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของลูกชาย
พวกขุนนางชั้นสูงดูเหมือนจะสง่างามมากกว่าคนอื่นๆ สมบัติพวกนี้ไม่เหมาะกับพวกขุนนางชั้นต่ำและพวกพ่อค้า แต่ละคนเอาแต่ดู เอาแต่เป่าลม เอาแต่คำนวณพื้นที่ สรุปก็คือเอาแต่ทำการทดสอบต่างๆ
“หากทุกท่านไม่ขัดข้องอะไร หนังหมีผืนนี้ก็ตกเป็นของท่านผู้เฒ่าในราคาแปดพันเหรียญ ไม่ทราบว่าท่านใดยังจะเสนอราคาอีกหรือไม่” คืนนี้จั่งซุนอู๋จี้นั่งเงียบตลอดทั้งคืน เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็คิดไม่ออกว่าอะไรผิดปกติ คืนนี้กลิ่นอายของพ่อค้ารุนแรงมาก ล้วนแต่พูดถึงเรื่องเงิน ตัวเองมองไม่อะไร ก็เลยต้องนิ่งเงียบ นี่คือวิธีการป้องกันตนของเขา คนอื่นเห็นเครื่องแก้วก็เหมือนกับเห็นสมบัติ แต่จั่งซุนอู๋จี้เห็นอวิ๋นเยี่ยพยายามขายเครื่องแก้วให้พวกเกาลี่ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยดี เขาห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่อย่างไรก็ตาม อยู่ในสังคมแบบนี้ พวกเขาจะเป็นอิสระได้อย่างไร หากคืนนี้เขาไม่ซื้ออะไรเลย ต่อไปคนอื่นอาจจะว่าเขาได้ เขาก็เลยต้องทำตัวเอง หลังจากเห็นเครื่องหนังนี้ เขาก็เชื่อว่าเครื่องหนังนี้คุ้มค่าคุ้มราคา เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นของปลอม ก็เลยยอมเสนอราคาสูง
จั่งซุนอู๋จี้ซื้อหนังผืนแรกไปแล้ว คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นก็พับหนังหมีใส่ถุงผ้าที่สวยงาม ยื่นให้จั่งซุนอู๋จี้
ผืนแรกขายออกไปแล้ว ตู้หรูฮุ่ยกลัวคนอื่นจะว่าเอา เลยซื้อผืนที่สองไปในราคาแปดพันเหรียญเหมือนกัน สำหรับผืนที่สาม ยังไม่ทันได้หยิบขึ้นมาก็ถูกเฉิงเหย่าจินเอาไปแล้ว แถมยังตะโกนอย่างหยิ่งยโสว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเสนอราคาเท่าไหร่ ข้าก็จะเสนอมากกว่าพวกเจ้าหนึ่งร้อยเหรียญ”
หลี่ซื่อหมินพักผ่อนอิ่มแล้ว ก็ลุกขึ้นมาดูโรงละครที่กำลังเงียบสงบลง หาวและพูดกับจั่งซุนว่า “อวิ๋นเยี่ยทำเงินไปได้เท่าไหร่แล้ว ถ้ายังไม่ถึงล้านเหรียญก็คงจะผิดต่อความพยายามของเขา”
“หม่อมฉันนับดูแล้วน่าจะถึงล้านเหรียญแล้วเพคะ มันคือสามส่วนของภาษีประจำปีของต้าถัง ตอนนี้หม่อมฉันสงสัยว่าเขาสามารถเปลี่ยนดินให้กลายเป็นทองคำได้ ก็ถือว่าเขามีความสามารถ แต่เขาขายหมาป่าพวกนั้นให้ชาวเซวียเหยียนถัวกับชาวถู่อวี้หุนมันจะไม่เป็นปัญหาเหรอเพคะ”
“เจ้าไปบอกเขาว่า ก่อนที่เราจะกลับพระราชวัง ถ้าเรายังไม่เห็นหมาป่าที่มีสภาพสมบูรณ์แบบอย่างน้อยสองตัว เราจะถลกหนังเขา เอาเงินสามพันเหรียญซื้อยาขวดนั้นเสร็จ พวกเราก็จะกลับพระราชวัง ดึกแล้ว เราเหนื่อยแล้ว”
องค์หญิงตัวน้อยนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้ ถึงแม้ว่าจะหลับไปแล้ว แต่ก็ยังคงถือขวดนมไว้ไม่ปล่อย หลี่ซื่อหมินมองไปที่ลูกสาวของตนเอง จับที่แก้มของนางแล้วก็ดื่มเหล้าองุ่นด้วยความพอใจ รอให้อวิ๋นเยี่ยส่งหมาป่าตัวอื่นๆ มาให้เขา เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่มีทางออก
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ขันทีสองสามคนยกกล่องขึ้นมาสองกล่อง หลี่ซื่อหมินเปิดออกเห็นเครื่องแก้วหมาป่าแปดตัวที่แกะสลักอย่างประณีต ทั้งร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยอัญมณีหลากสี และก็ตัวใหญ่กว่าของพวกชาวเซวียเหยียนถัวกับชาวถู่อวี้หุน
“ฮองเฮา เจ้าดูสิ ไอ้หมอนี่ร้ายจริงๆ เขาอยากจะให้ชนเผ่าอาซือน่าวุ่นวายไปตลอดเหรอ”
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 30 บทเพลงจบลงผู้คนก็จากลา
เหนื่อยมาแล้วทั้งวัน อวิ๋นเยี่ยเกือบจะใช้พลังงานไปจนหมดแล้ว ถือโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังดูแบบจำลองบ้าน เขาแอบมานั่งหลับบนเก้าอี้ที่หลังเวที ว่าจะงีบหลับสักเดี๋ยวหนึ่ง แล้วจะเริ่มเอาบ้านในตรอกซิ่งฮว่าฟางออกมาขายให้หมด
เวลาเหลือน้อยมาก หลี่ซื่อหมินให้เวลาแค่คืนเดียว พอถึงพรุ่งนี้ ฉางอันต้าถังก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ข้อยกเว้นในครั้งนี้ ก็แค่เหมือนกับการโยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำที่สงบเท่านั้น
บนเก้าอี้มีกลิ่นหอมของขนมอยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเคยมานอนบนเก้าอี้ตัวนี้ อวิ๋นเยี่ยแคะจมูก เขาชอบกลิ่นหอมนี้มาก เขาบอกให้หยุนซานคอยยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็หลับไป
เหมือนว่ามีใครบางคนกำลังมองลงมาที่เขา ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้ว่าตัวเองเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกว่ามีคนคอยจับตามองตัวเองอยู่
คิดแล้วก็รู้สึกโมโห ล้วนแต่เป็นฝีมือของไอ้หลี่ซื่อหมิน พวกจักรพรรดิ ไม่มีอะไรให้ทำก็ชอบมาจับตาดูคนอื่น ทำให้เขามีความรู้สึกแบบนี้ แต่ว่า คนที่แอบมองเขาตอนนี้คงไม่ใช่จักรพรรดิจิตวิปริตหรอก
ลืมตาขึ้นมา เห็นดวงตากลมโตคู่หนึ่งโน้มตัวเข้ามาข้างหน้า มือของเขาดูเหมือนจะเอื้อมไปหาอะไรบางอย่าง
ผู้หญิง ต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ดวงตาที่อยู่บนใบหน้ามีสายตาที่สดใส
นางคงรู้สึกอาย แอบจูบเขาแล้วยังถูกเขาจับได้ เป็นใครก็อาย โดยเฉพาะผู้หญิง
“ถ้าเจ้าอยากจูบข้า ก็ตามสบาย ข้าหลับแล้ว ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
คำพูดของอวิ๋นเยี่ยอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษ ในสายตาไม่มีความร้อนรน แต่ในใจกลับกำลังร้องเพลง คิดไม่ถึงว่าท่านอนที่สมบูรณ์แบบของเขาจะสามารถทำให้ผู้หญิงรู้สึกอดใจไม่ไหว
เพื่อที่จะไม่ให้ผู้หญิงรู้สึกอาย อวิ๋นเยี่ยจงใจหลับตา พร้อมที่จะให้นางเข้ามาจูบได้ทุกเมื่อ
คิดมากเกินไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเอามือปิดปากหัวเราะ แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าแค่อยากจะหยิบห่อผ้าที่อยู่ตรงเก้าอี้ออกมา ใครอยากจะจูบเจ้ากัน”
หันไปมอง เห็นห่อผ้าสีเขียวอ่อนที่วางอยู่ข้างกำแพง เป็นผู้หญิงที่จะมาร้องเพลงในคืนนี้?
เคยเจอเรื่องแบบนี้มาอยู่แล้ว เรื่องเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไม่ทำให้อวิ๋นเยี่ยถึงกับหน้าแดง ก็แค่นักร้อง ตอนนี้ข้าเป็นถึงขุนนางแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะลากนางมาอยู่ด้วย ทั่วทั้งฉางอันก็คงพูดได้แค่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
ขุนนางจะหยิบห่อผ้าให้คนอื่นเหรอ ไม่มีทาง ทำได้แค่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นไปหยิบเอาเอง ขุนน้ำขุนนางเช่นเขา ตีให้ตายก็ไม่ลุกออกจากเก้าอี้หรอก
เป็นอย่างที่คิดไว้ ร่างกายที่นุ่มนวลบีบไปบีบมา เป็นความรู้สึกดีที่อธิบายไม่ถูก
ผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่าเป็นคนใจกว้าง ไม่รังเกียจที่จะถูกอวิ๋นเยี่ยแต๊ะอั๋ง แถมยังเป็นคนเริ่มอีกต่างหาก และยังมีเสน่ห์บางอย่างอยู่ในทีด้วย
แต๊ะอั๋งส่วนแต๊ะอั๋ง แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะผิดหวังและไม่พอใจ ดูเหมือนว่าอยากจะเอาห่อผ้ากลับไปวางที่เดิม และเอื้อมมือไปหยิบใหม่อีกครั้ง
“ท่านไม่เข้าใจความสงสารจริงๆ ให้ข้าถือห่อผ้าหนักๆ เช่นนี้คนเดียว ท่านก็ไม่ช่วยข้า”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ข้ากลัวว่าถ้าข้าช่วยเจ้าแล้วเจ้าจะวิ่งเข้ามาหาข้าที่บ้าน บอกว่าข้ามีบุญคุญอะไรต่อเจ้า สุดท้ายคืนบุญคุณด้วยการเอาตัวเองมาแลก ข้าก็ซวยสิ”
“หม่อมฉันไม่สวยพอ ไม่เข้าตาท่านเหรอเจ้าคะ”
อวิ๋นเยี่ยไม่ตอบคำถาม เขายืนขึ้น ยิ้มและสะบัดมือให้ผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็เรียกให้หยุนซานเดินเข้ามา เตรียมตัวกลับเข้าไปข้างใน หลี่จิ้งกำลังจะเป็นบ้าแล้ว
“ท่านอวิ๋น เมื่อครู่ก่อนข้าน้อยออกไปเตรียมน้ำชาให้ท่าน ไม่เห็นว่าแม่นางกวนเข้ามา”
หยุนซานพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความรู้สึกผิด คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นเยี่ยมีไม่มาก แผงขายของก็เปิดกว้างเกินไป คนที่เชื่อใจได้ก็มีน้อย มีแค่คนรับใช้ของตระกูลที่ออกมาทำงาน แต่ดีที่ทุกคนต่างก็เป็นคนเอาการเอางาน ออกไปเข้านอกก็เก็บของที่บ้านอย่างเข้มงวด พวกเจ้าของร้านที่อยากจะติดสินบนก็ต้องตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นวิธีที่โง่ แต่จงรักภักดีอย่างแน่นอน
เว่ยเจิ้งเดินเข้าไปหาอวิ๋นเยี่ย เขาชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งแล้วพูดว่า:“ข้าชอบบ้านหลังนั้น หนึ่งพันเหรียญ พรุ่งนี้บอกให้ผู้ดูแลเอาโฉนดไปให้ด้วย”
“เว่ยกง ราคาบ้านหลังนี้สองพันเหรียญ เจ้าให้น้อยไปหรือเปล่า”
“เช่นนั้นข้าติดเจ้าไว้ก่อน จะคืนให้ภายหลัง พี่กุ้ยหยู้ของเจ้ากำลังจะแต่งงาน ถึงตอนนั้นเจ้าไม่ต้องส่งของขวัญไปเยอะก็ได้”
“ข้าส่งของขวัญหนึ่งพันเหรียญให้ท่าน ท่านก็กล้ารับไว้?” อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจกับวิธีการติดสินบนของเว่ยเจิงเหอ คนอย่างเขาก็ติดสินบน?
“เป็นเงินของคนอื่นข้าคงรู้สึกผิด เพราะรับเงินมาแล้วแต่ทำอะไรไม่ได้ แต่เงินของเจ้าข้าจะเอาเยอะหน่อย มันก็แค่มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้เหรอ ถึงแม้ว่าข้าอยากจะทำให้เจ้ามีความสะดวกสบาย แต่ก็กลัวว่าเจ้าจะไม่เห็นด้วย”
เอ่ยเสร็จ เขาก็หยิบเงินหนึ่งพันมาไว้ในมือของอวิ๋นเยี่ย พาลูกชายซื่อบื้อของเขามองไปที่บ้านหลังนั้นด้วยความพอใจและยิ้มให้กัน เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความเป็นพ่อของเว่ยเจิง อวิ๋นเยี่ยคิดว่าให้ส่วนลดเขาครึ่งหนึ่งก็คงไม่เป็นไร
หลี่ซื่อหมินหยิบน้ำขวดหนึ่งไปโดยพลการ แถมยังออกไปอย่างไม่บอกกล่าว จั่งซุนบอกว่านางจะหักเงินซุนซือเหมี่ยวสามพันเหรียญ ไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยแตะต้องเงินก้อนนั้น ใครฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
ยาแก้อักเสบขวดหนึ่ง ในสายตาของหลี่ซื่อหมินมันมีค่ามากกว่าหนังหมีพวกนั้น หลี่ซื่อหมินที่เติบโตมากับกองทัพทหาร เห็นหัวหน้าที่เสียชีวิตเพราะบาดแผลอักเสบ และทหารที่เสียชีวิตในสนามรบมาเยอะ คนที่ตายส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บ มันคือหกส่วนของความน่ากลัว
ฉันไม่รู้ว่าเหล่าซุนควบคุมมาตรฐานเชื้อราอย่างไร ยาขวดนี้ อวิ๋นเยี่ยให้ตายก็ไม่ยอมให้คนในครอบครัวของตัวเองใช้ มีแค่คนที่กลัวตายอย่างหลี่ซื่อหมินเท่านั้นที่ใช้ยาตามอำเภอใจแบบนี้
หมู่บ้านชั้นสูงก็ต้องให้คนชั้นสูงอยู่อาศัย ดูแค่ชื่อก็รู้ว่าไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะอาศัยอยู่ก็ได้
แน่นอนว่าระหว่างคนชั้นสูงกับคนชั้นต่ำถูกกั้นด้วยกำแพง ตัวอย่างเช่นชายอ้วนที่ทั่วตัวห้อยเต็มไปด้วยจี้หยก แค่เดินบนถนนยังต้องให้สาวใช้คอยประคอง แบบนี้คือคนชั้นสูงอย่างแท้จริง
“ท่านอวิ๋น ถึงแม้ว่าตระกูลข้าน้อยจะมีแค่เหมืองแร่ไม่กี่เหมือง แต่ก็ร่ำรวยมาหลายชั่วอายุคน อยากจะมีวัฒนธรรมกับเข้าบ้าง ท่านดูสิว่าข้าซื้อบ้านสักหลังหนึ่งในราคาแปดพันเหรียญได้หรือไม่ ถ้าเงินไม่พอ ท่านอยากได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น”
ถ้าคนชั้นสูงแบบนี้อาศัยอยู่ไม่ได้ แล้วยังจะมีใครอาศัยอยู่ได้? ก็มีแค่คนอย่างเว่ยเจิงที่ให้เงินหนึ่งพันเหรียญ แล้วยังจะมาติดสินบน ชื่อเสียงของอวิ๋นเยี่ยเสียหายหมด
“เรื่องเงินไม่มีปัญหา แต่บ้านของเจ้าอยู่ติดกับบ้านของตระกูลเว่ย ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีความคิดเห็นเช่นไร”
“ถ้าท่านให้ข้าน้อยออกเงินตกแต่งบ้านใหม่ให้เหล่ากั๋วกง ข้าน้อยออกเงินให้หมื่นเหรียญได้หรือไม่”
แน่นอนว่าไม่มีพ่อค้าคนไหนโง่ บ้านราคาหมื่นเหรียญ เพื่อนบ้านล้วนเป็นขุนนางระดับสูง ถ้าเชิญขุนนางพวกนั้นมาจัดงานเลี้ยงที่บ้านของตัวเองบ่อยๆ เงินแค่สองพันเหรียญก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ที่ชอบมากสุดคือประเพณีที่เรียบง่ายตอนนี้ ขอแค่เป็นเพื่อนบ้าน ไปเยี่ยมเยียนบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีใครปฏิเสธ ถึงแม้ว่าจะเป็นขุนนางชั้นสูงแค่ไหนก็หนีการมาเยี่ยมเยียนของเพื่อนบ้านไม่ได้ เพื่อนบ้านของจั่งซุนเป็นครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง บ้านเป็นบ้านของบรรพบุรุษ ยังใหญ่ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของบ้านจั่งซุน แต่ตอนที่ลูกชายของพวกเขาแต่งงาน เขาก็ส่งบัตรเชิญไปให้จั่งซุน จั่งซุนไม่กลัวที่จะนั่งดื่มเหล้าอยู่กลางกลุ่มผู้ค้า แล้วก็กลับบ้าน
พ่อค้าปล่อยขายบ้านมีจำนวนจำกัด การสร้างหมู่บ้านก็มีประโยชน์ต่อเขา วันธรรมดาก็การเก็บค่าสุขาภิบาล ค่าธรรมเนียมหรือค่าสนับสนุนการจัดกิจกรรม ก็ล้วนแต่เป็นที่มาของการหาเงิน ไม่เหมือนกับขุนนางพวกนั้น ขี้งกกันทุกคน ซื้อบ้านตอนนี้อารมณ์ดี แต่พอถึงตอนเก็บค่าธรรมเนียม ก็จะต้องไม่พอใจแน่นอน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พวกพ่อค้าเรียบง่ายกว่าเยอะ
หลี่ซื่อหมินออกไปแล้ว แถมยังออกไปอย่างเงียบๆ แม้แต่ขุนนางก็ยังไม่ตกใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเดินออกไปส่งอย่างระมัดระวัง แต่หลี่ซื่อหมินก็แค่พยักหน้าและเดินผ่านคนใช้ไป ไม่ใช่ไม่ดีใจ แต่แค่รู้สึกมีความสุข
เมื่อจัดการบ้านทั้งหมดเสร็จ ข้างนอกก็ได้ยินเสียงไก่ขัน นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสโต้รุ่ง ชาวถังหวงแหนเป็นอย่างมาก ถือโอกาสนี้พูดคุยกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ดื่มเหล้าชั้นดีสักสองสามแก้ว ก็เป็นสิ่งที่มีความหมาย
บ้านของตระกูลอวิ๋นในตรอกซิ่งฮว่าฟาง จัดเตรียมไว้นานแล้ว ซินเย่วพาท่านย่ากลับมาพักผ่อนตั้งนานแล้ว เสี่ยวยากับพวกเด็กๆ ก็ถูกพาออกไปแล้ว มีแต่ซือซือที่นอนรออาจารย์ยุ่งเสร็จแล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน
องค์ชายองค์เจ้าหญิงของราชวงศ์ดูจะตื่นเต้นกันมากขึ้น ฉางเล่อที่มีนิสัยอ่อนโยนไม่มีความง่วงนอนแม้แต่น้อย นั่งดูพวกพี่ๆ เล่นไพ่อยู่ในห้อง ผู้หญิงของหลี่เฉิงเฉียนถูกเสด็จพ่อของเขามารับไปแล้ว เขาก็เลยตัดสินใจเล่นไพ่กับหลี่ไท่และหลี่เค่ออย่างเดี่ยวดาย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องชายทั้งสองที่โตมาในสำนักศึกษา กระดาษแปะเต็มหน้าของพวกเขา เห็นแค่ตา นี่ล้วนแต่เป็นฝีมือของฉางเล่อ พอจบตาหนึ่ง ก็รีบตัดกระดาษแปะหน้าพี่ๆ ทั้งสามคนทันที
ไม่ว่าค่ำคืนจะยาวนานแค่ไหนแต่ก็ต้องผ่านไป เสียงระฆังของเมืองฉางอันดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนก็แยกย้ายจากกันไป คืนเมื่อวานทำให้พวกเขาประทับใจมาก
ความงดงามของนักร้อง การร่ายรำที่สง่างาม แขกผู้มีเกียรตินับหมื่นคน สมบัติที่ล้ำค่า เสื้อผ้าที่แปลกตา บ้านที่สวยงาม และยังมีความเลือดเย็นและเ**้ยมโหดของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อชาวต่างถิ่น ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นตำนานที่เต็มไปด้วยสีสัน
วิธีการเล่านิทานที่แปลกๆ แบบนั้น ได้เข้ามาในชีวิตของชาวต้าถังเป็นครั้งแรก ที่แท้การเล่านิทานยังเล่าแบบนี้ได้ด้วย
ค่ำคืนของต้าถังน่าเบื่อเกินไป ตื่นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น หลับเมื่อดวงอาทิตย์ตก ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไปกับการนอนหลับ ไม่รู้สึกถึงความโกรธ เมื่อคืนที่ผ่านมา ประเพณีนี้ถูกล้มล้าง ทำให้ผู้คนมีความสุขในการแหกกฎต้องห้ามนั้น
ผู้คนออกไปหมดแล้ว เหลือแต่สถานที่ที่รกรุงรัง อวิ๋นเยี่ยหาวและกำลังจะกลับบ้านไปนอน อย่าหวังว่าเขาจะลุกออกจากเตียงในสามวันนี้
หลี่จิ้งยืนรับลมอาบแสงแดดยามเช้าอยู่บนบันได ในมือถือหนังหมีอยู่ เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกมา เขาก็สะบัดหนังหมีและถามอวิ๋นเยี่ยว่า “น้องชายข้าอยู่ไหน”
มองไปที่หมายเลขบนหนังหมี มันคือหนังหมีของตระกูลจั่งซุน หลี่จิ้งมีเรื่องจะมาพูด
“ข้าไม่เห็น มีคนตั้งสองร้อยคนไปที่นั่น แต่กลับมาแค่ซีถงคนเดียว แม้แต่เถียนเซียงจื่อที่ใครๆ ก็รู้ว่าเขาชั่วร้ายแค่ไหนก็ยังตายอยู่ที่นั่น น้องชายคนที่สามของเจ้าน่าเป็นห่วง”
หลี่จิ้งหันหลังไป เหมือนไม่อยากให้อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าเขาเสียใจ จากนั้นเอ่ยถามว่า “เถียนเซียงจื่อตายแล้ว?”
“ตายแล้วสิ ไม่งั้นเขาจะเอาพระสารีบุตรที่ไหนมาประมูล คิดไม่ถึงว่าศพของเขาจะเผาออกมาเป็นพระสารีบุตรได้ น่าทึ่งจริงๆ หรือว่าโลกใบนี้เปลี่ยนไปแล้ว มีคนบอกว่า คนชั่วตายดี คนดีไม่ตายดี ตระกูลอวิ๋นทำเรื่องดีๆ มาตั้งมากมาย ถึงได้เจอแต่กับปัญหา”
“เจ้าไม่ต้องมาใช้คำพูดถากถางข้า เจ้าไม่ใช่คนดีอะไร เอาหางใส่ให้เจ้า เจ้าคงร้ายกาจกว่าหมาป่าซะอีก เจ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรหรือ”
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 31 เรื่องมงคลของวั่งไฉ
ชอบนอนเปลรับบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงเป็นที่สุด อากาศก็ค่อนข้างเย็น แต่ว่าใบของต้นเมเปิ้ลที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็ยังคงร่วงลงมาบนตัวอยู่ตลอดเวลา จากนั้นไม่นาน มันก็ซ้อนทับกันเป็นชั้นหนาๆ ลำต้นที่สูงใหญ่ ใบไม้สีเขียวมรกต จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ จำได้แค่ว่าบทกวีนี้ทำให้ตัวเองต้องลำบาก
ไอ้บทกวี ‘ต้นเมเปิ้ล’ นี่ ตอนนั้นไอ้เฟิงจึข่ายนึกอยากจะเอาใจภรรยาที่รักในบทกวี กัดฟันท่องบทกวีนี้จนจำได้ แล้วก็แกล้งทำเป็นว่าตัวเองเป็นคนเขียน อ่านให้ภรรยาฟัง
สุดท้ายไม่ต้องบอกก็รู้ เลือกบทกวีที่มีชื่อเสียงมากเกินไป มีชื่อเสียงมากจนภรรยารู้ที่มาที่ไป เอาใจไม่ได้ยังไม่พอ แถมยังถูกหัวเราะเยาะ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ซินเย่วดีกว่าตั้งเยอะ นอนแอ้งแม้งอยู่ใต้เปลของอวิ๋นเยี่ยแล้วยังคอยผลักเปลเป็นครั้งเป็นคราว มองดูสามีที่แกว่งไปมาในอากาศ นางก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความสุขของตัวเองไว้ได้แล้ว
ขอแค่เป็นบทกวีที่ออกมาจากปากของอวิ๋นเยี่ย นางก็จะเชื่อว่าสามีของนางเป็นคนเขียน ถึงแม้ว่าคนอื่นพึ่งจะอ่านไป แต่นั่นก็คือสามีนางเป็นคนเขียน ถ้าไม่เชื่อก็ให้เหล่าเจียงไปถามว่าใครเป็นคนเขียนกันแน่
หลี่จิ้งก็เอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับเรื่องของซีถง เขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีทางพูดความจริง ต้องไปถามจากซีถงเองเท่านั้น
ไม่เป็นไร ซีถงเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ส่งคนของหลี่จิ้งไป ก็ถือว่าช่วยเอาของขวัญให้เขา ตอนขากลับก็ถือโอกาสเอาจดหมายอะไรกลับมาสักสองฉบับ
หลี่ซื่อหมินโมโหมาก บอกว่าพวกขุนนางอยู่สุขสบายก็ไม่อยากจะทำงานอะไร ชีวิตตกต่ำ เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ตัวเขาเองตอนแรกจะบริจาคเครื่องแก้วนกอินทรีสองตัว เตรียมขายให้กับชาวหูเพื่อจัดเตรียมเสบียงมาช่วยบรรเทาทุกข์คนที่ยากลำบากในเหอเป่ย
จั่งซุนเองก็บริจาคชุดเครื่องประดับเครื่องแก้ว รัชทายาทก็บริจาคเครื่องแก้วลูกบอล หลี่ไท่ หลี่เค่อก็เอาเครื่องแก้วที่อยู่ในมือออกมาบริจาค แม้แต่ฉางเล่อก็ยังบริจาคด้วย
สัญญาณที่เห็นได้ชัดนั่นก็คือ จักรพรรดิของต้าถังไม่ชอบเห็นสิ่งของมีค่าพวกนี้กระจัดกระจายอยู่ในต้าถัง ดังนั้นพวกที่ซื้อเครื่องแก้วพวกนั้นไป ไม่อยากบริจาคก็คงไม่ได้
ชาวหูมีกระเพาะที่ใหญ่ พวกเขาไม่เคยปฏิเสธเครื่องถ้วยแก้วที่สวยงามพวกนั้น แถมยังซื้อไปในราคาที่สูง
ถ้าห้าปีก่อนพ่อค้าของรัชศกเจินกวนเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดของต้าถังไป ก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเครื่องแก้ว
หลังจากขายเครื่องแก้วเสร็จ หลี่ซื่อหมินเห็นว่าเงินมากเกินไป ก็เลยคืนกำไรค่าเครื่องแก้วของอวิ๋นเยี่ยให้พวกขุนนาง สำหรับคนที่ไม่จ่ายเงิน เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และแอบหัวเราะดีใจ
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าจะขอบคุณหรือจะโกรธดี แผนการแก้แค้นของเขาต้องล้มละลายเพราะการทำเช่นนี้ แต่เขาจะกำจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน
เว่ยเจิงรับสินบนของตระกูลอวิ๋นเยี่ยไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ไว้หน้า คำนวณรายได้ของตระกูลอวิ๋นเยี่ยที่ได้จากงานประมูลแล้วเขียนบัญชีออกมาอย่างถูกต้อง ดังนั้นค่าภาษีก็ต้องชำระให้ถูกต้องตามที่เขียนไว้ด้วย ไม่ให้ตระกูลอวิ๋นมีโอกาสได้คั่งค้าง
หลังจากจบงานประมูล ตระกูลของพวกเศรษฐีก็เริ่มชำระค่าภาษี ต่อไปตระกูลใหญ่ก็คงจะทำธุรกิจได้อย่างเปิดเผย กฎห้ามตอนกลางคืนของฉางอันก็อนุญาตให้ดึกกว่าเดิมได้อีกหนึ่งชั่วโมง
ตระกูลอวิ๋นสะสมเงินได้จำนวนนับไม่ถ้วน หลี่กังเห็นแบบนี้ก็รีบขอให้ทำการขยายสำนักศึกษาครั้งที่สองทันที จ้าวเหยียนหลิงที่คุ้นเคยกับเรื่องของดาราศาสตร์ ก็ยื่นใบขอเงินจำนวนสามพันเหรียญอย่างไม่มีความเกรงใจ บอกว่าจะสร้างแผนที่ดาราศาสตร์ของตัวเองในสำนักศึกษา เพื่อที่จะแสดงให้เห็นได้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ เขาวางแผนที่จะฝังดวงดาวทั้งหมดไว้บนหลังคารูปโค้งขนาดใหญ่ ทิ้งหลักฐานไว้เพื่อดูว่าดาวหมาป่า กลุ่มดาวหมีใหญ่ กลุ่มดาวที่ไม่เป็นมงคลพวกนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะได้เตือนราชวงศ์ให้เตรียมรับมือกับความโกลาหลของโลก
ไม่รู้ว่ากลุ่มดาวพวกนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของโลกอย่างไร แต่เห็นสีหน้าที่ดื้อรั้นและไม่มีทางยอมแพ้ของจ้าวเหยียนหลิง อวิ๋นเยี่ยก็ให้เงินสามพันเหรียญเขาไปโดยไม่ลังเล ใครจะรู้ เขาอาจจะค้นพบอะไรตอนระหว่างดูดาวก็ได้ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ต่างอะไรจากการซื้อหวย
บางทีตอนที่กำลังวิจัยความยาวของหางหมูอยู่ อาจจะค้นพบว่าทำไมวัวถึงมีสี่กระเพาะ คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจความมหัศจรรย์ของเรื่องพวกนี้ และแน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เข้าใจ แค่คิดว่าคนที่มีความรู้อยู่เต็มสมองจู่ๆ ก็เลิกวิจัยเรื่องของใบชา เปลี่ยนมาวิจัยในสิ่งที่ตัวเองถนัด มันก็คือการพัฒนาตัวเองนั่นแหละ
ใบของต้นเมเปิ้ลยังคงร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกยังร่วงลงมาเชื่องช้า แต่ต่อมากลับร่วงลงมาเป็นชั้นๆ แม้แต่เท้าของซินเย่วก็ถูกใบไม้พวกนั้นทับถมไปหมด ซิวเย่วหยิบใบไม้ที่ตกลงบนหน้าของอวิ๋นเยี่ยออกทิ้งข้างๆ และเอ่ยกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เมื่อกี้ยังตกลงมาช้าๆ อย่างสวยงาม ตอนนี้ตกลงมาราวกับโดนหมาไล่ เสียบรรยากาศ เยี่ยจึ เรากลับกันเถอะ ถ้าเจ้าหลับที่นี่เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
เอ่ยเสร็จ อวิ๋นเยี่ยก็จามออกมาเสียงดัง มีน้ำมูกไหล เขารีบหยิบใบไม้มาเช็ดแล้วก็พูดกับซินเย่วว่า “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่ามีหายนะกำลังใกล้เข้ามา ความรู้สึกเช่นนี้ช่างไม่ดีเอาซะเลย”
สองสามีภรรยาครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะมีหายนะอันใด
สุดท้ายซินเย่วก็บอกว่า “เจ้าไม่สบายแล้ว ตากลมเย็น ร่างกายก็ต้องเย็นเป็นธรรมดาน่ะสิ”
วั่งไฉวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมห่างไปไหน หรือว่ามันก็รู้สึกว่าจะมีหายนะเหมือนกัน มันโค้งหัวให้อวิ๋นเยี่ยไม่หยุด ราวกับว่าอยากจะทำอะไรบางอย่าง
เมื่อถูกวั่งไฉผลักเข้ามาที่คอกม้า เห็นวั่งไฉกัดที่เสาไม้ตลอดเวลา ราวกับว่ามีอะไรอยากจะบอกอวิ๋นเยี่ย พอเดินเข้ามาในคอกม้า อวิ๋นเยี่ยจับหัวแล้วนั่งลงกับพื้น รู้สึกว่าตัวเองหมดสติ ท่อนไม้ที่ทำไว้ให้วั่งไฉแปรงฟันในคอกมีเห็ดขึ้น ก็คือหมายความว่า วั่งไฉใช้น้ำลายปลูกเห็ดขึ้นมาน่ะสิ
การที่เห็ดหลินจือขึ้นบนคานบ้านเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องมงคลที่ยิ่งใหญ่ ถึงขั้นต้องเอาไปรายงานต่อราชสำนัก อวิ๋นเยี่ยคิดมาโดยตลอดว่าการที่มีเห็ดขึ้นบนคานบ้าน แสดงได้ถึงปัญหาเดียวก็คือ คานบ้านกำลังจะเน่าเสียและบ้านก็กำลังจะพัง แต่ก็ยังหยุดพวกนักประพันธ์ที่ชอบร้องเพลงสรรเสริญโอ้อวดคุณธรรมไปทุกหนทุกแห่งไม่ได้
ตอนนี้วั่งไฉได้ปลูกเห็ดขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ซินเย่วจูบบนใบหน้าที่ยาวของวั่งไฉ มือหนึ่งลูบท้องของตัวเอง อีกมือหนึ่งลูบท้องของวั่งไฉ แล้วหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “บ้านของเรากำลังจะมีเรื่องที่ดี เจ้าอย่าพูดว่ากำลังจะมีหายนะอะไร เจ้าดูสิ แม้แต่วั่งไฉยังปลูกเห็ดยาชูกำลังที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ ตระกูลอวิ๋นเยี่ยยังจะมีเรื่องร้ายได้อย่างไรกัน”
หยุนซีที่มีหน้าที่ดูแลวั่งไฉตะโกนร้องและวิ่งเข้าไปที่สวนหลังบ้าน ไปเล่าเรื่องที่วั่งไฉปลูกเห็ดขึ้นมาให้ท่านย่าฟัง สักพักก็ทำให้บ้านตระกูลอวิ๋นครึกครื้นขึ้นมา
เหล่าเฉียนทรุดตัวลงบนพื้นแล้วร้องไห้ ราวกับว่ามันเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ร้องไห้ออกมาสักนิดหนึ่งมันคงไม่เพียงพอที่จะแสดงถึงความภาคภูมิใจภายในใจของเขา
ท่านย่ากัมหัวเคารพบรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นและพูดว่า นี่คือพรของบรรพบุรุษ ตระกูลอวิ๋นจะต้องเจริญรุ่งเรือง
เมื่อออกมาจากห้องบูชาบรรพบุรุษ สิ่งแรกที่เริ่มทำคือเตือนซ่านอิง ต่อไปไม่อนุญาตให้รังแกวั่งไฉแล้ว มันอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำ ชอบให้มันดูอ้วนๆ หน่อย จะลดน้ำหนักทำไม ตาแก่อ้วนที่อยู่ในหมู่บ้านพึ่งจะตายไป มีอายุตั้งแปดสิบปี ใครบอกว่าต้องผอมถึงจะมีอายุยืน ผอมเหมือนไม่มีอันจะกินถึงจะดูดีอายุยืนก็ไม่ใช่มั้ง
ซ่านอิงมองดูท่อนไม้อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ไปเอามาจากที่อื่นจริงๆ เขาก็เลยมองไปยังวั่งไฉตั้งแต่หัวจรดเท้า อยากจะดูว่ามันปลูกเห็ดที่ดีแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
แค่ซ่านอิงปรากฏตัว วั่งไฉก็รีบวิ่งไปหลบอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยทันที ต่อมาเห็นว่าหลบอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยไม่ปลอดภัยก็เลยวิ่งไปหลบอยู่หลังท่านย่าแทน ถึงแม้ว่าก้นที่ใหญ่ของมันจะโผล่ออกมาข้างนอกก็ไม่สนใจ
เรื่องมงคลเช่นนี้เมื่อเอาไปรายงานต่อราชสำนัก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากมณฑลหลานเถียนเซี่ยนได้มาตรวจสอบพื้นที่นี้ด้วยตัวเองและยังหารือกับอวิ๋นเยี่ยอย่างละเอียดว่า เป็นไปได้ไหมที่วั่งไฉจะเป็นม้าวิเศษ จากนั้นก็รีบกลับไปที่มณฑล ผ่านไปไม่นาน ก็มีม้าเร็วออกมาจากสำนักงานของหลานเถียนเซี่ยน และมุ่งหน้าไปยังฉางอัน
วั่งไฉปลูกเห็ดออกมาจริงๆ แต่อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าวั่งไฉไม่ใช่ม้าวิเศษ ถ้าหลี่ซื่อหมินอยากจะได้ส่วนใดส่วนหนึ่งของม้าวิเศษไปทำยา เขาจะต้องให้หรือไม่ให้ล่ะ
หลี่กังพาพวกศิษย์ของสำนักศึกษามาเดินรอบคอกม้านานกว่าชั่วโมง จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งสวดมนต์ขึ้นมา
จุดเริ่มต้น จุดจบ เหตุและผลของเรื่องราว เมื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงและลางสังหรณ์ของเรื่องราวอย่างละเอียด เพราะนักบุญสามารถรู้ล่วงหน้าก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เขาถึงได้แสดงออกมาเป็นวาจา แสดงออกมาให้เห็นเป็นภาพ ในเมื่อเรื่องราวต่างๆ คาอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ จึงสามารถรู้ถึงเหตุและผลผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่มีหยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดตัวเลข มีตัวเลขถึงจะสามารถบันทึกได้ การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดรูปร่าง มีรูปร่างถึงจะสามารถบันทึกได้ ดังนั้น สามารถรับรู้เหตุและผลของเรื่องราวต่างๆ ได้จากการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขและรูปร่าง วันนี้มีม้าตัวผู้ทำให้ทุกสิ่งฟื้นฟูขึ้นมา…
ผู้เฒ่าหลายคนต่างพากันส่ายหน้าและสวดมนต์ จมอยู่ในกับบทสวดจนไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้
เมื่อเห็นเห็ดอันอวบอิ่ม อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะเอามาชิมสักหน่อย แต่กลับถูกท่านย่าปัดมือที่กำลังยื่นออกไป
“หลานชายสุดที่รัก ถ้าเจ้าอยากทานเห็ดก็ให้อวิ๋นชีไปซื้อที่ร้านขายยา อย่าทำของมงคลพวกนี้เสียของ” เอ่ยจบนางก็มองไปยังท่อนไม้ซึ่งเต็มไปด้วยเห็ดด้วยความดีใจ
พึ่งจะถึงตอนเที่ยง บ้านของตระกูลอวิ๋นก็กลายเป็นสถานที่ครึกครื้นไปเสียแล้ว หลี่เฉิงเฉียนพาขันทีมาดูสัญลักษณ์ของความมงคลนี้ เขานึกว่าเป็นฝีมือของอวิ๋นเยี่ย คิดว่าจะมาดูละครสักหน่อย
หลังจากฟังที่อวิ๋นเยี่ยเล่าอย่างละเอียด และได้ยินที่ท่านย่าเล่า ถึงได้เชื่อว่าวั่งไฉปลูกเห็ดขึ้นมาจริงๆ หลังจากตรวจสอบในคอกม้าแล้ว เขาก็มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้ามึนงง
เฉิงเหย่าจินก็มาด้วย ดูสัญลักษณ์ของความมงคลเสร็จเขาก็พูดออกมาว่า “กลุ่มพ่อค้ากลุ่มสุดท้ายของฉ่าวหยวนกำลังจะมาถึงฉางอัน ภรรยารองชาวเติร์กของเจ้าก็มาด้วย พรุ่งนี้ก็จะมาถึงฉางอัน เจ้าส่งคนไปรับหน่อยเถิด จะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลของเจ้าได้มาก อย่าปล่อยให้หลุดมือไป ผู้หญิงเช่นนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ”
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยรู้แล้วว่าทำไมตัวเองรู้สึกเหมือนหายนะกำลังใกล้เข้า เด็กคนนี้จะมาฉางอันก็ไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ตอนนี้เป็นไงล่ะ ภายใต้การจู่โจมที่กะทันหัน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อยเลย
อีกไม่กี่เดือนซินเย่วก็จะคลอดแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องมีความสุข หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยจะเผาตระกูลอวิ๋นทิ้งให้หมด
“ท่านพี่ เหตุใดมีสีหน้าเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้น” ซินเย่วเห็นว่าสามีที่กลับมาจากข้างนอกดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุข นางเลยวางงานเย็บปักถักร้อยในมือลง และเอ่ยถามอวิ๋นเยี่ย
“ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่ชอบให้พวกเขาเรียกวั่งไฉไปๆ มาๆ ข้าไม่สบายใจ” อวิ๋นเยี่ยก็เลยต้องหาข้ออ้างโกหกไป
“เยี่ยจึ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า เจ้าอย่าโกรธข้านะ วันนี้ท่านลุงเฉิงมาที่บ้านเรา คงจะปิดเจ้าไม่ได้ ข้าเรียกน้องน่ารื่อมู่ที่ฉ่าวหยวนกลับมาที่ฉางอัน”
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 32 น้ำตาของน่ารื่อมู่
ผู้หญิงไม่เคยแน่นอนอยู่แล้ว เพื่อที่จะไปรับน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยจงใจให้ซินเย่วทำงานที่นางชอบทำมากที่สุด นั่นก็คือการนับเงิน
เหอเซ่าขนเงินจากฉางอันมาที่บ้านเป็นรถเข็น เอามากองอยู่ในโกดังใหญ่ กองใหญ่รกรุงรังนับไม่ถ้วน เหอเซ่าตอนนี้ไม่นับเงินทีละเหรียญอีกต่อไป แต่ใช้เครื่องชั่งขนาดใหญ่ในการชั่งน้ำหนัก ดังนั้นตอนที่นักบัญชีของตระกูลอวิ๋นบันทึกเงิน ก็จะคำนวณตามน้ำหนักที่ชั่งได้ มันทำให้เว่ยเจิงที่คอยนับเงินของตระกูลอวิ๋นรู้สึกหดหู่
มองดูตระกูลอวิ๋นจ่ายค่าภาษีหนึ่งแสนเหรียญ แล้วมองดูกองเงินที่ใหญ่เท่าภูเขาของตระกูลอวิ๋น มีหลายครั้งที่เขาอยากจะอ้าปากบอกให้ตระกูลอวิ๋นจ่ายค่าภาษีให้เยอะๆ หน่อย เพราะว่าเงินของตระกูลอวิ๋นได้มาอย่างง่ายดาย แต่คำพูดก็ติดอยู่ที่ปากไม่กล้าพูดออกมา ไม่มีอะไร ตอนนี้ในฉางอันก็มีแค่ตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่จ่ายค่าภาษี ต่อมาก็มีตระกูลเหอ ตอนนี้ดูเหมือนจะมีตระกูลเฉิง หนิว ฉินเพิ่มขึ้นมาอีกสามตระกูล
ซินเย่วนั่งอุ้มท้องอยู่ที่เก้าอี้ มองดูคนรับใช้ที่ขนเงินเข้าออกราวกับมดอย่างไม่ยิ้มแย้มเลยสักนิด
เหล่าเฉียนเอาเงินและทองไปฝากไว้ที่ธนาคารของหมู่บ้านแล้ว ที่เหลือเป็นเงินที่ตระกูลอวิ๋นเตรียมไว้สำหรับเป็นเงินเก็บของสำนักศึกษา
เสี่ยวตงคอยเดินนับตามคนรับใช้และเก็บเหรียญที่ตกกระจัดกระจายอยู่ข้างทาง เขาหวงแหนเงินทองทุกบาททุกสตางค์ แม้แต่เหรียญที่อยู่ในโคลนก็ต้องขุดออกทีละเหรียญ ล้างให้สะอาดแล้วค่อยเก็บไว้ เงินพวกนั้นก็กลายเป็นของตัวเอง ตั้งชื่อให้ว่า เก็บมา
ซินเย่วที่กำลังทำบัญชี ทำอยู่ดีๆ ก็ขว้างปากกาที่ถืออยู่ในมือออกไปอย่างหงุดหงิด ถอนหายใจแล้วมองไปยังประตู
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ในศาลาที่ห่างออกไปสามสิบเมตร น่ารื่อมู่จะมาถึงในวันนี้ เมื่อกลุ่มพ่อค้าของตระกูลเฉิงปรากฏขึ้นมาในสายตา อวิ๋นเยี่ยก็หยิบกาลาฮ้านออกมาจากกระเป๋าแล้วเอามาใส่ไว้ตรงหน้าอก น่ารื่อมู่จะต้องดูทุกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะคิดว่าถ้าอวิ๋นเยี่ยยังคงเก็บกาลาฮ้านไว้แสดงอวิ๋นเยี่ยชอบตัวเอง บอกว่าเทพพระเจ้าอะไรสักอย่างบอก
ชนเผ่าฉ่าวหยวนมีเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากมาย แม้แต่บ่อน้ำก็มีเทพเจ้า แค่ออกมาจากกระโจมก็จะต้องเจอเข้ากับเทพเจ้าสักองค์หนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม น่ารื่อมู่เชื่ออย่างหนักแน่นว่ารอบตัวนางเต็มไปด้วยเทพเจ้า เพราะแบบนี้ แค่นางไปตักน้ำที่บ่อน้ำนางยังต้องอธิษฐาน ตัดหญ้าก็ต้องอธิษฐาน หรือแม้แต่ก่อไฟก็ต้องขอให้เทพแห่งไฟประทานไฟให้นาง
ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอาที่จุดไฟให้นาง แต่นางก็ยังคงเชื่อว่าเทพพระเจ้าแห่งไฟเป็นคนบอกให้อวิ๋นเยี่ยเอาให้นาง นางก็เลยไม่เคยขอบคุณอวิ๋นเยี่ยเลย ขอบคุณแต่เทพพระเจ้าบนสวรรค์
ได้ยินเสียงม้าร้องมาแต่ไกล ใช่ มันเป็นเสียงของม้าต้าชิง ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเลี้ยงสัตว์อะไร สุดท้ายมันก็จะเข้ากับเขาได้ดีตลอด เมื่อได้กลิ่นของอวิ๋นเยี่ย ก็ต้องร้องทักทายเป็นธรรมดา
เงาสีแดงลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมที่อยู่ข้างหลังถูกลมพัดโบกสะบัด หญิงชาวฮั่นคนหนึ่งที่ขี่ม้าด้วยความชำนาญ ตะโกนเรียก “ท่านพี่” มาแต่ไกล…
เท้าหน้าของม้าต้าชิงกระโดดขึ้นสูง เท้ายังไม่ทันลงถึงพื้น หญิงที่ใส่ชุดสีแดงก็พุ่งตรงไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยล้มลงกับพื้นทันที ไม่สนใจสายตาแปลกๆ ของคนอื่น น่ารื่อมู่นั่งทับบนท้องของอวิ๋นเยี่ยและล้วงเข้าไปในหน้าอกของเขา
กาลาฮ้านพึ่งจะอุ่นได้อุณหภูมิพอดี น่ารื่อมู่หยิบมันมาลูบกับหน้า จากนั้นใส่กลับเข้าไปในหน้าอกของอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง
หอมแก้มของอวิ๋นเยี่ยและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าสวยไหม ตอนนี้ข้าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในฉ่าวหยวน เซ้อเหลิงยังต้องเอาวัวตั้งห้าร้อยตัวมาเป็นสินสอดขอแต่งงานกับข้า แต่เจ้ากลับให้ข้าแค่ก้อนหินก้อนเดียว”
พูดเสร็จนางก็หยิบจี้หยกสีขาวของอวิ๋นเยี่ยออกจากคอด้วยความน้อยใจ เอาวางไว้ตรงหน้าให้อวิ๋นเยี่ยดู
ไม่ได้เจอน่ารื่อมู่สองปี นางโตขึ้นแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงก้นที่นั่งอยู่บนท้องของอวิ๋นเยี่ย แค่หน้าอกที่ยื่นออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้ ถึงแม้ว่าบนใบหน้าจะมีร่องรอยของการฝ่าฟันอุปสรรค แต่กลับทำให้นางดูสง่างาม
อวิ๋นเยี่ยแอบดมกลิ่นที่คอของนาง โชคดีที่มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ตระกูลอวิ๋นเป็นคนผลิต ไม่ใช่กลิ่นวัวกลิ่นแกะเหมือนแต่ก่อน
น่ารื่อมู่ดีใจมากที่ได้เจอกับอวิ๋นเยี่ย เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ชนเผ่าฉ่าวหยวนให้เขาฟัง จับวัวจับแกะ แขนเสื้อที่เต็มไปด้วยขิงและร้องไห้กับพวกนายพลถังในค่ายทหาร แกะถูกตัดขนจนเกลี้ยงเกลาวิ่งไปวิ่งมา เอ่ยจบ สุดท้ายนางก็นอนร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย บอกว่าหลายครั้งที่ฝันว่าอวิ๋นเยี่ยไปหานางที่ฉ่าวหยวน แต่พอตื่นขึ้นมา ก็มีแค่น้ำตาบนใบหน้าแต่กลับมองไม่เห็นใคร
คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นเยี่ยก็ต่างพากันหันหลังให้เป็นวงกลมล้อมรอบอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่ที่อยู่ข้างใน จะมองดูท่านขุนนางของพวกตนถูกผู้หญิงนั่งทับท้องไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ลูบผมของน่ารื่อมู่ ปล่อยให้นางพูดให้เต็มที่ นางร้องไห้หนักมาก จนเสื้อผ้าของอวิ๋นเยี่ยเปียกโชกไปหมด ผิวบริเวณหน้าอกก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่อยู่ในน้ำตาเหล่านั้น
น่ารื่อมู่จับมือของอวิ๋นเยี่ยมาจับลงที่หน้าอกของตัวเองและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า ใหญ่ขึ้นไหม ข้าดื่มนมทุกวัน เพื่อที่จะได้มีลูกที่แข็งแรงในอนาคต ให้เขาเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของฉ่าวหยวน
ปล่อยให้นางนั่งบนท้องของตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว คนที่ว่างเว้นมานานอย่างอวิ๋นเยี่ยไม่สามารถทนต่อความหอมที่เย้ายวนเช่นนี้ได้
เขาอุ้มน่ารื่อมู่ขึ้นมา แต่นางกลับไม่ยอมลงจากเอวของอวิ๋นเยี่ย หัวเราะคิกคักและห้อยอยู่บนตัวของเขาราวกับสลอธ มือสองข้างกอดคอของอวิ๋นเยี่ย ขาสองข้างรัดเอวของอวิ๋นเยี่ยไว้แน่น
ขี่ม้าในท่านี้คงจะถูกคนฉางอันสาปแช่งเอาได้ เพราะฉะนั้น นั่งรถม้าจึงกลายเป็นทางเลือกเดียว ฮ่วนเหนียงใช้เวลาสองปีในการอบรมสั่งสอนน่ารื่อมู่ให้กลายเป็นแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายกย่องจริงๆ
หันหน้าไปมองฮ่วนเหนียงที่นั่งอยู่ในรถม้า ดูเหมือนว่านางก็ดูเด็กลงไม่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้า มองดูน่ารื่อมู่ที่กำลังอ้อนอวิ๋นเยี่ย ราวกับกำลังมองลูกสาวที่ยังไม่โตของตัวเอง
“สองปีนี้ลำบากเจ้าแล้ว” อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอ้อมค้อมอะไร แต่พูดถึงประเด็นสำคัญโดยตรง
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว สองปีนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของข้า ชีวิตในฝันของข้าก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ขอบพระคุณท่านที่คอยสนับสนุนและเมตตากับฉ่าวหยวน หากไม่มีท่าน พวกเราก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จ น่ารื่อมู่ยังคงเด็ก ท่านโปรดสงสาร”
น่ารื่อมู่ที่ห้อยอยู่บนตัวของอวิ๋นเยี่ย มองที่อวิ๋นเยี่ยแล้วก็มองไปที่ฮ่วนเหนียง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนครอบครัวเดียวกันต้องเกรงใจกันขนาดนี้
จิตใจที่บริสุทธิ์ไม่สามารถทนต่อความสกปรกในเงามืดได้ อวิ๋นเยี่ยกับฮ่วนเหนียงยิ้มให้กัน แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก วันนี้ไม่ควรที่จะมาคิดกังวลอะไร ได้มาเจอกันเช่นนี้จะต้องดีใจเท่านั้น
น่ารื่อมู่ไม่ยอมออกห่างจากอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย นั่งบนรถม้าเล่าถึงความสำเร็จนั่นนี่ของตัวเอง นางก็แค่อยากจะให้อวิ๋นเยี่ยภูมิใจในตัวนางเท่านั้น
จู่ๆ ชาวเติร์กที่ขี้ม้าติดตามมาด้วยก็พากันร้องเพลงขึ้นมา ฟังไม่เข้าใจ แต่แค่รู้สึกว่าบทเพลงนี้เต็มไปด้วยคำอวยพร
จู่ๆ น่ารื่อมู่ก็รู้สึกอายขึ้นมา เอาหัวซุกเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย แต่ก้นกลับงอนขึ้นสูง
“พวกเขาร้องเพลงอะไรกัน ช่างไพเราะ” อวิ๋นเยี่ยถามพร้อมกับตบก้นนาง
“เพลงส่งตัวเจ้าสาว ท่านพี่ พวกเขาส่งตัวข้ามาแต่งงานกับเจ้า เเต่ต้าอาหม่านกลับไม่เห็นด้วย ข้าเชิญต้าอาหม่านมา ข้ารับปากว่าจะให้วัวเขาสิบตัวเป็นการขอบคุณ แต่เขาก็ไม่ยอมมา เขาบอกว่าสักวันหนึ่งข้าจะถูกเทพเจ้าลงโทษ”
พูดถึงเทพเจ้าน่ารื่อมู่ก็ตัวสั่นไปหมด ในใจของอวิ๋นเยี่ยโมโหราวกับถูกไฟแผดเผา ดูเหมือนว่าต้าถังยังทำให้พวกเขาก้มหัวไม่ได้ พวกเขายังคงเชื่อในเทพเจ้าของตัวเองอย่างหนักแน่
เมื่อเช็ดน้ำตาให้น่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของชาวฮั่น ต่อไปเทพเจ้าของชนเผ่าฮั่นจะปกป้องเจ้าเอง ต้าอาหม่านไม่เห็นด้วยที่เจ้าแต่งงานกับข้า แถมยังสาปแช่ง บรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นต้องลงโทษเขาเป็นแน่ ไม่เพียงแต่ลงโทษเขาคนเดียว แต่จะลงโทษอาหม่านทั้งหมด”
น่ารื่อมู่ที่ไร้เดียงสาฟังไม่เข้าใจคำพูดที่ซับซ้อนของอวิ๋นเยี่ย แต่แค่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก มีกลุ่มบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่คอยปกป้องตัวเอง
“แล้วบรรพบุรุษจะชอบข้าไหม แต่ก็ไม่เป็นไร พวกเขาจะต้องชอบน่ารื่อมู่ที่งดงามแน่ๆ” นางมีความมั่นใจอยู่เสมอ
ประตูของตระกูลอวิ๋นในช่วงพระอาทิตย์ตกดูยิ่งใหญ่อลังการ ซินเย่วพึ่งจะให้คนทาสีใหม่ไปสองครั้ง ดูหรูหราและเคร่งขรึมอย่างบอกไม่ถูก ซินเย่วต้องลงทุนมากแค่ไหน แค่เพียงเพื่อจะแสดงอำนาจให้น่ารื่อมู่เห็น
ไม่มีประโยชน์ ทุกสิ่งที่นางพยายามเตรียมไว้ไม่มีผลต่อน่ารื่อมู่เลยสักนิด นางแค่คิดว่าประตูของตระกูลอวิ๋นมีสีสันสวยงาม ซินเย่วเสียเงินเปล่าแล้ว
น่ารื่อมู่เดินเล่นในตลาดที่กำลังจะปิด สนุกสนานราวกับนกกระจอกตัวน้อย นางชอบไปหมดทุกอย่าง แต่ที่น่าหดหู่ก็คือ ของในที่นี้เก็บเอาไม่ได้ ต้องจ่ายเงินซื้อ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนที่บ้านรออยู่ แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เร่งน่ารื่อมู่ เดินเล่นเป็นเพื่อนนาง จนกระทั่งเห็นว่าน่ารื่อมู่จะยกหม้อขนาดใหญ่สองใบไปขึ้นรถม้า อวิ๋นเยี่ยถึงได้ห้ามพฤติกรรมที่ไร้สาระของนาง
ตอนนี้ในรถม้าเต็มไปด้วยสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง ผ้าไหมสวยๆ เก้าอี้สไตล์ใหม่ กระโถนสีแดง กลองของเล่นเด็ก กังหันลม และยังมีผลไม้ต่างๆ ของฤดูใบไม้ร่วง
นางอุ้มทับทิมสองลูกที่อวิ๋นเยี่ยแกะให้นาง กัดซ้ายกัดขวาอยากพอใจ เคี้ยวเมล็ดทับทิมอย่างเอร็ดอร่อย
น่ารื่อมู่มองดูพ่อค้าแม่ค้าออกไปจากตลาดด้วยความผิดหวัง ที่ฉ่าวหยวนมีแค่ในวันเกิดของเทพเจ้าเท่านั้นถึงจะมีการรวมตัวของผู้คนมากมายเช่นนี้ ทุกครั้งที่จากลากัน อาจจะเป็นการจากลาที่ตลอดไป น่ารื่อมู่ก็เลยไม่ชอบการจากลา ไม่ชอบเลยสักนิด
“พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาก็มาเหมือนเดิม ครึกครื้นเช่นนี้ทุกวัน”
“จริงเหรอ พรุ่งนี้พวกเขาไม่ไปต้อนแกะเหรอ”
“ไม่ไป พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการขายของ ก็เหมือนกับกลุ่มพ่อค้าที่เจ้าเห็นในฉ่าวหยวน”
คนที่ไร้เดียงสา ความเศร้าเสียใจมาเร็วไปเร็ว ได้ยินอวิ๋นเยี่ยบอกว่าพวกเขาแค่กลับไปนอนหลับพรุ่งนี้ก็มาใหม่ ความเศร้าในใจก็หายไปทันที และเต็มไปด้วยความดีใจ
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าน่ารื่อมู่ไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบของที่บ้าน เขาก็เตรียมพร้อมที่จะช่วยน่ารื่อมู่ไว้แล้ว แค่เห็นคอที่ยื่นออกมาของซินเย่ว ก็รู้แล้วว่าน่ารื่อมู่จะต้องเจอกับอะไร
แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่อวิ๋นเยี่ยคิดไว้ วิธีการที่น่ารื่อมู่เคารพท่านย่าแทบจะไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะเป็นคำทักทายหรือการโค้งคำนับ ก็เป็นไปตามกฎระเบียบ
ท่านย่าประคองน่ารื่อมู่ขึ้นมาด้วยความดีใจ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงหู หน้าอกและบั้นท้ายเป็นสัญลักษณ์ของการมีลูกที่ดีมาโดยตลอด ตระกูลอวิ๋นตอนนี้มีลูกแค่สองคน น้อยไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นเยี่ยคัดค้าน ท่านย่าคงให้อวิ๋นเยี่ยแต่งภรรยารองไปแล้วไม่รู้กี่คน
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 33 บทสนทนาของสามีภรรยาในยามค่ำคืน
น่ารื่อมู่ชื่นชอบชุดของซินเย่วเป็นพิเศษ ชุดสีแดง ด้านบนปักรูปดอกไม้ มงกุฎไข่มุก ปิ่นสีทองปักอยู่บนเส้นผม นกยูงที่อยู่ข้างบนเหมือนกำลังกระพือปีกบิน
ดูก็รู้ว่านางอยากได้ปิ่นปักผมอันนั้น แต่ซินเย่วทำหน้าเชิด ทำให้นางไม่กล้าขยับ บึนปากและทำความเคารพซินเย่วด้วยความน้อยใจ จากนั้นก็จับแขนอวิ๋นเยี่ยไม่ปล่อย
ชี้ไปยังปิ่นบนหัวซินเย่ว เขย่าแขนของอวิ๋นเยี่ยไม่หยุด บอกว่านางก็อยากได้เหมือนกัน
สีหน้าของซินเย่วเปลี่ยนไป กำลังจะโมโหอะไรสักอย่าง แต่ก็กลับยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว นางนึกถึงวันที่ตัวเองไปขอชุดให้น่ารื่อมู่ที่หงหลู่ซื่อ ชุดของผู้หญิงระดับเจ็ด ท่านอวิ๋นกับภรรยารองต่างก็ชอบสิ่งของระดับเจ็ดพวกนี้
นางยิ้มและโบกมือให้น่ารื่อมู่ หยิบชุดที่อยู่ในกล่องด้านหลังออกมาให้น่ารื่อมู่ สีขาวหิมะ มีผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากเส้นไหม มงกุฎไข่มุกก็มี แต่แค่ไข่มุกไม่ใหญ่เท่าของซินเย่ว ไม่ได้สง่างามเท่าของนาง
ซินเย่วรู้จักความเหมาะสม รู้ว่าตัวเองแสดงอำนาจบาตรใหญ่ได้แค่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่ จะทำให้คนนอกเห็นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นเยี่ยจะโกรธเอาได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวนางเอง
น่ารื่อมู่ยิ้มราวกับลูกสุนัขน้อย เห็นชุดที่สวยงาม มองซ้ายมองขวาแล้วก็ปิดประตูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกเพื่อลองชุดใหม่
เลือดกำเดาของอวิ๋นเยี่ยกำลังจะไหลออกมา ซินเย่วอ้าปากค้าง น่ารื่อมู่เปิดเผยรูปร่างที่สวยงามต่อหน้าพวกเขาสองคน หน้าอกที่เนินสูง บั้นท้ายที่กลมกลึง เอวที่รีดบาง ต้นขาที่แข็งแรง รูปร่างที่สวยสมบูรณ์แบบ
นี่คือชุดที่สวยที่สุดในโลก ไม่มีการตัดเย็บ ไม่มีไข่มุก สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็คือความงามอีกอย่างหนึ่ง
ซินเย่วก้มมองลงไปที่หน้าอกของตัวเอง มองขาของตัวเอง จากนั้นก็มองแขนของตัวเอง สุดท้ายมองมาที่ท้องที่กำลังป่อง ถึงได้มีความมั่นใจขึ้นมา
ในฐานะพี่สาว นางไม่มีทางปล่อยให้น่ารื่อมู่ยืนเปลือยกายใส่ชุดด้วยตัวเอง นางยืนขึ้นไปช่วยน่ารื่อมู่ใส่ชุด แล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “มีคนบอกว่าแต่งภรรยาให้ดูที่คุณธรรม แต่งภรรยารองให้ดูความงาม ไม่ผิดจริงๆ เจ้าสามารถหาคนที่สวยงดงามเช่นนี้ได้ในฉ่าวหยวน ท่านพี่ช่างเก่งกล้าสามารถ”
มองซินเย่วที่กำลังกัดฟัน อวิ๋นเยี่ยได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ใครจะรู้ว่าแค่สองปีน่ารื่อมู่จะเปลี่ยนไปขนาดนี้ เด็กผู้หญิงที่เคยผอมแห้ง ถูกลมพัดก็ปลิว ขี่ม้าตลอดทั้งวัน ทำให้พระเจ้าประทานรูปร่างที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้แก่นาง
น่ารื่อมู่อวดชุดใหม่ให้อวิ๋นเยี่ยกับซินเย่วดูไม่หยุด เด็กหญิงคนนี้ใส่ชุดเช่นนี้ ก็มีความงามที่แตกต่างออกไป
ซินเย่วดูออกแล้วว่า น่ารื่อมู่เป็นแค่เด็กที่ไม่รู้ประสาอะไร ตัวเองอยากจะสอนมารยาทให้นาง มันก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง ถึงแม้ว่าไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่ในใจกับยิ้มอย่างพอใจ ผู้หญิงเช่นนี้ ไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลตระกูลอวิ๋น
แสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปแล้ว รอยยิ้มก็ดูมีเมตตาขึ้นมาไม่น้อย จับแขนน่ารื่อมู่ให้มายืนแต่งตัวอยู่ที่หน้ากระจกของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร ภรรยารองของตระกูลอวิ๋นที่สวยสดงดงามก็เป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูล
ความงดงามของฮูหยินคนที่สองของตระกูลอวิ๋นแพร่กระจายไปทุกตำหนักในฉางอันอย่างรวดเร็ว แต่งภรรยารองไม่จำเป็นต้องให้เจ้าของบ้านออกหน้า พวกฮูหยินในตำหนัก หลูฮูหยิน สาวใช้พวกนั้นต่างพากันยื่นคอออกมา พร้อมที่จะดูว่าความงดงามของฉ่าวหยวนเป็นเช่นไร
ผู้หญิงในฉ่าวหยวนไม่เคยอายที่จะอวดความงดงามของตัวเอง นิสัยร่าเริง ความกล้าหาญ ทำให้ผู้หญิงที่เติบโตมาด้วยความถนุถนอมมีความรู้สึกแปลกตาเป็นอย่างมาก
สุดท้ายก็กลายเป็น อวิ๋นเยี่ยแต่งภรรยารองที่งดงามจนเป็นหายนะของประเทศและประชาชน หลี่เฉิงเฉียนถามแปดครั้งว่า น่ารื่อมู่มีพี่สาวน้องสาวไหม ถ้ามี จงหยวนยินดีต้อนรับและจะดูแลเป็นอย่างดี
“ตอนที่เจ้าแต่งงานกับภรรยารอง อย่าให้ข้าได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ครั้งที่ผ่านมาที่เจ้าแต่งงานกับตระกูลซู แผลภายในข้ายังไม่หายดีเลย ผ้าพันแผลยังพันรอยแส้พวกนั้นไม่หมด ข้ารับไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้ามีภรรยาเยอะเหมือนกับพ่อของเจ้า ข้าโดนเฆี่ยนอยู่ทุกครั้ง ข้าคงจะอยู่ได้ไม่นาน ขอร้องเจ้าล่ะ เจ้าไปหาเพื่อนเจ้าบ่าวคนใหม่ได้ไหม อย่างเช่นหลี่ไท่น้องของเจ้าก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”
หลี่ไท่ที่กำลังดื่มชาถึงกับสำลัก สะบัดมือแล้วพูดว่า “ผู้หญิงพวกนั้นอย่างกับคนบ้า ข้ายังเห็นมีคนถือเข็มยาวๆ เยี่ยจึ ก้นของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง พวกเขาไม่เบามือเลย”
หลี่เค่อส่ายพัดในวันที่อากาศเย็น แล้วพูดเบาๆว่า “เยี่ยจึ เจ้าเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าคิดว่ารอให้ข้าแต่งงานปีหน้า ข้าก็จะเชิญเจ้าไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
หลี่ไท่หัวเราะและพูดว่า “เพื่อนเจ้าบ่าวของเราทั้งสามคนล้วนเชิญเจ้ามาเป็น ข้าลองนับดูแล้ว แต่งงานครั้งหนึ่ง เจ้าจะต้องถูกเฆี่ยนสามสิบกว่าที กฎระเบียบของราชวงค์ ท่านพี่ต้องมีภรรยารองสิบสองคน พวกข้าสองคนมีอีกแปดคน ลองนับดู เจ้าก็จะถูกเฆี่ยนแปดร้อยกว่าที บวกกับมเหสีอีกสามคน ก็คือหนึ่งพันที เจ้าน่าจะยังพอไหว”
“ถ้าอนุญาตให้ข้าใส่ชุดเกราะในงานแต่งของพวกเจ้าก็ยังพอคุยกันได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะต้องกลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกผู้หญิงเฆี่ยนจนตายเพราะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
“เรื่องมงคลของวั่งไฉรายงานให้กับราชสำนักเรียบร้อยแล้ว วั่งไฉของเจ้าจะได้รับรางวัล น่าจะเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงความคิดที่ไม่ดีของเจ้า ตำแหน่งขุนนางของข้าสูงส่งและบริสุทธิ์ ยังไม่ถึงขั้นต้องมาเป็นเทพพระเจ้าให้สัตว์พวกนี้”
นี่ก็คือสามคนที่มาแสดงความยินดีกับอวิ๋นเยี่ยที่แต่งภรรยารอง พูดจาถากถาง จิตใจโหดเ**้ยม หนึ่งในนั้นยังมีคนที่มาขัดขวางความคิดที่ไม่มีอยู่จริงของอวิ๋นเยี่ย
เอาพี่น้องสามคนนี้ออกไปจากบ้านได้แล้วก็กลับมาที่ห้องโถงด้านหลัง เห็นว่าซินเย่วกำลังอุ้มท้อง ยุ่งอยู่ในห้องหอ ปูพื้นให้ชุดชงชา จุดเทียนในโคมไฟ แล้วยังสะบัดผ้าห่มตั้งหลายครั้ง ดูว่ามีพวกวอลนัทที่นูนออกมาจากข้างใต้หรือป่าว
น่ารื่อมู่นั่งอยู่หน้าเตียง ส่งสายตาให้อวิ๋นเยี่ยเพื่อบอกว่าให้ซินเย่วออกไปได้แล้ว ผู้หญิงที่ไร้เดียงสาก็ไม่อยากให้มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องของตัวเองในคืนแต่งงาน
“รัชทายาทไปแล้ว? ทำไมไปเร็วจัง ยังเช้าอยู่เลย ตอนที่เราแต่งงานกัน เจ้ากลับมาตั้งดึก เหตุใดกัน หรืออาลัยอาวรณ์คนสวยของเจ้า?”
ซินเย่วนั่งลงและเหลือบไปมองอวิ๋นเยี่ย รู้สึกขุ่นเคือง ราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่อยู่ด้วยกันคือเรื่องผิด ตัวเองเสียเปรียบมาก
“ไม่อยากไปก็อยู่ต่อได้ ไม่รู้ว่าคืนนี้จะร้องไห้เช่นไร ข้าจะรอดู”
ปวดใจอย่างไม่มีเหตุผล นางทำการทำงานที่ไหนกัน นางหาข้ออ้างให้ตัวเองทั้งนั้น จะได้อยู่ที่ห้องหอต่อ ดูว่าน่ารื่อมู่จะทำอะไรกับสามีตัวเอง
พูดเสร็จ ซินเย่วก็ลุกขึ้นไปบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงปลายจมูก เหลือให้เห็นแค่ดวงตาสองข้าง ตั้งหน้าตั้งตาดูว่าสองนี้จะเริ่มต้นอย่างไร
ยังจะเริ่มอะไรอีกล่ะ นอนหลับท่ามกลายเสียงเอะอะโวยวายของน่ารื่อมู่ ถอดชุดของนางออกแล้วยัดเข้าไปใต้ผ้าห่ม ตัวเองก็ถอดชุดคลุมออก นอนอยู่ตรงนอกสุดแล้วเป่าเทียนให้ดับ
เสียงหัวเราะของซินเย่วดังออกมาจากผ้าห่ม น่าเตะซะจริงๆ แต่ว่าตอนนี้นางท้องอยู่ จะรุนแรงกับนางไม่ได้
น่ารื่อมู่ก็ยังคงพึมพำไม่หยุด แถมยังให้นิ้ววาดวงกลมบนท้องของอวิ๋นเยี่ย โดนซินเย่วเตะที่ก้นสองทีถึงได้เงียบลง
ถ้าบอกว่าน่ารื่อมู่ไม่รู้อะไรเลยก็คงจะดูถูกนางเกินไป วันนั้นที่นางถอดเสื้อผ้าต่อหน้าซินเย่ว ในใจนางคิดที่จะโอ้อวด แน่นอนว่ามันกระทบต่อซินเย่วไม่เบา
มันทำให้ซินเย่วกลัวว่าตัวเองจะสูญเสียความเป็นที่รักไป เพราะท้องอยู่เลยไม่สามารถทำให้สามีมีความสุขได้ วันนี้ถึงได้มีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นนี้
“เจ้าสองคนฟังนะ ถ้าไม่ผิดพลาดอะไร ชีวิตนี้ของข้าก็จะมีแค่พวกเจ้าสองคน อาเย่วท้องแล้ว คาดว่าจะเป็นลูกผู้ชาย ชีวิตนี้ของข้าไม่มีพรสวรรค์ที่จะมีลูกสาว ถึงแม้ว่าข้าจะอยากมีลูกสาวแค่ไหนก็ตาม
ชีวิตจะสั้นจะยาวแค่ไหนก็เถอะ อาเย่ว เดิมที่ข้าจะแต่งกับเจ้าคนเดียว เจ้าก็รู้ แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่แต่งกับน่ารื่อมู่ไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงของฉ่าวหยวน ไม่ใช่เรื่องที่เด็กโง่อย่างนางจะรับมือได้คนเดียว เด็กคนนี้เอาชีวิตของนางให้ข้า ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งนางได้
ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา คิดว่าเรื่องทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของตัวเอง แต่น่าเสียดาย ข้าคงยังมีจุดยืนที่ไม่มั่นคงพอ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่าได้โศกเศร้าเสียใจ ถ้าข้าตายไป พวกเจ้าก็เอาข้าไปแบ่งเป็นสองส่วน เก็บไว้เป็นที่ระลึกคนละส่วน ถือว่าข้าขอโทษ เพราะอย่างไรเรื่องนี้ข้าก็เป็นคนผิด”
น่ารื่อมู่กอดอวิ๋นเยี่ยแน่น เหมือนว่าจะใช้แรงทั้งหมดที่มี นางไม่พูดอะไร ใช้การกระทำบอกกับอวิ๋นเยี่ยว่าตัวเองห่วงใยเขามากเพียงใด
ซินเย่วออกมาจากผ้าห่ม ร้องไห้ตีอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “วันดีเช่นนี้ยังจะมาพูดจาเช่นนี้อีก ไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วยก็บอก ข้าออกไปก็ได้ ไม่ต้องพูดจาเหมือนเอามีดมาแทงหัวใจเช่นนี้”
“ถอดชุดออก นอนดีๆ ฟังข้าพูด อย่าพูดแทรก” อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นไปถอดเสื้อผ้าของซินเย่วออก แล้วก็ยัดเข้าไปในผ้าห่ม
“ตระกูลของเราจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เล็กก็ไม่เล็ก ถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในฉางอัน แต่ก็ยังคงเป็นตระกูลชั้นสอง ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็เลยจัดอะไรบางอย่างไว้ที่ฉ่าวหยวน หลี่จิ้งสงสัยในสิ่งที่ข้าทำ แต่เขาไม่มีหลักฐาน พูดอะไรไม่ได้”
“ไอ่แก่นี่เอาเปรียบเราขนาดนั้น ยังจะมามีปัญหากับตระกูลเราอีก ไม่มีจิตสำนึกเลย ท่านพี่ต้องหาเงินเหนื่อยเช่นนั้น ยังจะมาทำกันเช่นนี้ ท่านพี่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ตระกูลเราไปหลบอยู่ที่เขาหยู้กันเถอะ น้องน่ารื่อมู่ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน เงินของเรามีมากพอสิบชั่วอายุคน”
“มิเช่นนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่ฉ่าวหยวน หญิงพี่ก็ไปด้วย กลางวันเราต้อนวัว กลางคืนฟังท่านพี่เล่านิทาน ดูดาว ท้องฟ้าของฉ่าวหยวนสดใสที่สุด เราให้ฮ่วนเหนียงดูแลลูกของเรา ท่านย่าชงชาอยู่ในกระโจม ดีไหม”
“การใช้ชีวิตสองแบบนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดในชีวิต รอให้น้องๆ ออกเรือนแต่งงานกันหมดแล้ว เราก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของราชวงค์ ช่วงบรรยากาศดีๆ เราก็ไปอยู่ที่ฉ่าวหยวน ก่อนจะถึงหิมะแรกเราก็กลับไปที่เขาหยู้ ต้องมีความสุขมากแค่ไหนที่มีช่วงเวลาเช่นนี้”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองมาอยู่ตรงกลาง ผู้หญิงสองคนกอดแขนเขาคนละข้าง กระซิบข้างหูของเขาเบาๆ ข้างหนึ่งคือความเงียบสงบของเขาหยู้ ข้างหนึ่งคือความกว้างใหญ่ไพศาลของฉ่าวหยวน พร้อมกับร้อยยิ้ม อวิ๋นเยี่ยเข้าสู่โลกแห่งความฝัน
โลกแห่งความฝัน ความฝันของทุกคนกำลังโบยบิน แค่โบกมือเบาๆ ก็จะมีความฝันที่หอมหวานกลายเป็นผลไม้ที่หวานฉ่ำให้เขาได้ลิ้มลอง…
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 34 เซอร์ไพรส์ของน่ารื่อมู่
รองเท้าจะใส่สบายหรือไม่ มีเพียงเท้าเท่านั้นที่รู้ นอนด้วยกันมาหนึ่งคืน สถานการณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก ปล่อยให้มันเป็นตามธรรมชาติคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ฮ่วนเหนียงถอนหายใจที่เห็นน่ารื่อมู่กระโดดโลดเต้นแต่เช้า มีเจ้าสาวที่ไหนเป็นเช่นนี้ พอเช้าวันต่อมาแทนที่จะเดินขากะเผลก สีหน้าดูเหมือนคนป่วย ทำไมเด็กผู้หญิงที่สนิทยิ่งกว่าลูกตัวเองคนนี้ถึงได้ไม่รู้จักกาลเทศะเอาซะเลย ยังไปแข่งปีนต้นไม้กับเสี่ยวยาอีก
ท่านย่ายิ้มดั่งดอกไม้บาน ท่านป้า ท่านอาก็อยู่ข้างๆ ท่านย่าเอามือปิดปากแอบยิ้มด้วยเช่นกัน ซินเย่วหน้าแดง ถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือ ทำตัวไม่ถูก
เรื่องที่เมื่อคืนทั้งสามคนนอนด้วยกัน ผู้อาวุโสในบ้านต่างก็รู้แล้ว แล้วดูจากที่น่ารื่อมู่วิ่งไปวิ่งมาแต่เช้าเพื่อเยี่ยมชมบ้านตัวเอง ท่าทางจะยังไม่รู้ความคิดของซินเย่ว
ตอนนี้ท่านย่าไม่ยุ่งเรื่องอะไรทั้งนั้น เอาแต่รอที่จะได้อุ้มหลานอย่างดีใจ ทุกเช้าต้องมีนมหนึ่งถ้วย ไข่ไก่สองฟอง ไม่เคยขาด เพราะอยากจะอยู่ต่อไปอีกนานๆ ดูตระกูลอวิ๋นลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองก่อนถึงจะวางใจไปพบบรรพบุรุษ
อวิ๋นเยี่ยกำลังกินข้าวอยู่กับซือซือ ซือซือเป็นคนรู้ประสา กินข้าวเป็นเพื่อนอาจารย์ ไม่เหมือนพวกเสี่ยวยา บ้างก็เอาแต่นับเงิน บ้างก็เอาแต่ฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่ทุกคนล้วนมีจิตใจดี อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าน้องสาวที่ตัวเองสอนนั้นแทบจะไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงบ้านอื่น สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง และมีศักดิ์ศรีในตัวเองด้วย
อี้เหนียงแต่งงาน ซินเย่วเป็นคนจัดเตรียมสินสอดทองหมั้น อวิ๋นเยี่ยก็เอามาเพิ่มให้อีกไม่น้อย ท่านย่า ท่านป้า ท่านอาก็นำส่วนของตัวเองมาเติมเต็มให้กับเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแม่คนนี้
ตอนที่อวิ๋นเยี่ยอุ้มอี้เหนียงไปไว้บนรถม้า นางดึงเสื้อของอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย น้ำตาไหลจนเครื่องสำอางที่แต่งมาเริ่มเลอะ
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจ อี้เหนียงเป็นคนจิตใจดี อ่อนโยน ตอนนี้ต้องมาแต่งงานกับคนหยิ่งยโสโอหังเช่นนี้ ชายผู้นี้เอาเปรียบกันมากเกินไปแล้ว
“อี้เหนียง ถ้าเขารังแกเจ้าให้รีบบอกข้า ข้าจะหักขาเขาให้”
ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะยอมหรือไม่ อี้เหนียงก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ดูขบวนรับเจ้าสาวที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ค่อยๆ จากไป อวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งรู้สึกใจหาย
รุ่นเหนียงเริ่มเชื่อฟังมากขึ้น หลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน ตั้งใจเรียนกับอาจารย์เหวินฟู่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันสามารถท่องบทความหนึ่งพันตัวอักษรได้แล้ว ดีมาก นี่คือแมวป่าที่ดูแลยากที่ตระกูลฉินส่งมา ทุกวันต้องมีคนคอยดูแล
น่ารื่อมู่ชอบสวนดอกไม้ในบ้าน เห็นดอกเบญจมาศก็มักจะเด็ดดอกใหญ่มาเสียบหัว แล้วเอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยว่าตัวเองสวยไหม
ต้นพลับเต็มไปด้วยลูกพลับสีแดง ต้องรอให้น้ำค้างแข็งเกาะถึงจะอร่อย แต่น่ารื่อมู่ไม่สนเรื่องพวกนี้ ตัวเองถือไม้สอยตีลูกพลับให้ตกลงมาแล้วให้คนรับใช้รอรับ คนรับใช้ผู้น่าสงสาร ถือกระโปรงคอยรอรับ หลบไม่ทันก็โดนลูกพลับตกใส่หัวจนเห็นลูกพลับลอยอยู่บนหัวเต็มไปหมด อยากจะร้องไห้ก็ไม่กล้าร้อง
อวิ๋นเยี่ยทนดูไม่ได้ หาไม้สอยมาแล้วเอาเหล็กบางมาทำเป็นโค้งๆ แล้วเย็บผ้าลงไปเป็นที่ใส่ลูกพลับ เพียงแค่เหล็กเกี่ยวเอาลูกพลับได้ ลูกพลับก็จะตกใส่ถุง แค่นี้ลูกพลับก็ไม่ช้ำแล้ว
ปัญหาเรื่องเก็บลูกพลับได้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่มีปัญหาเรื่องกินลูกพลับมาแทนที่ เด็กหญิงผู้ใสซื่อกัดลูกพลับที่ยังไม่ได้ปลอกเปลือกเต็มปากเต็มคำ กว่าอวิ๋นเยี่ยจะรู้ ปากของน่ารื่อมู่ก็เต็มไปด้วยรสฝาดแล้ว ไม่รู้ว่าลูกพลับที่ฝาดขนาดนั้นนางกินไปได้อย่างไร
เห็นท่าทางนางอยากกินมาก อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยทำขนมลูกพลับให้นางกิน
นำลูกพลับที่ปลอกเปลือกสับจนเละแล้วนำมาผสมกับแป้ง นวดจนเข้ากัน ใส่น้ำมันวัวลงไปนิดหน่อย สุดท้ายวางใส่ถาดนำเข้าเตาเผา โชคดีที่ทำสำเร็จ รสชาติหวาน กลิ่นหอมน่ากินทีเดียว
ความอดทนของอวิ๋นเยี่ยมีจำกัด ทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งรอบ แต่เขาจะไม่ทำรอบที่สองแน่นอน แต่น่ามู่รื่อนำขนมลูกพลับไปแบ่งให้ท่านย่า ท่านป้า ท่านอา และฮ่วนเหนียง ตัวเองเหมือนลูกหมาวิ่งกลับมาให้อวิ๋นเยี่ยทำให้ใหม่
“เฮ้อ ได้ใหม่แล้วลืมเก่า ทำขนมกินก็ไม่แบ่งข้าสักคำ ดูแล้วลูกในท้องข้าคงจะไม่มีคนรักเสียแล้ว”
ถึงแม้ว่าซินเย่วกับน่ารื่อมู่จะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เรื่องคำพูดกลับไม่มีใครยอมใคร ทนเห็นอวิ๋นเยี่ยอยู่กับน่ารื่อมู่สองคนแล้วปล่อยตัวเองทิ้งไว้ไม่ได้
ยังจะพูดอย่างไรได้อีก แต่ละวันเหมือนผ่านไปอย่างทรมาน นอนกับน่ารื้อมู่ก็ต้องคอยกันไม่ให้ซินเย่วเข้ามา
กว่าจะหาโอกาสอยู่กับน่ารื้อมู่สองคนได้ พอเสร็จพิธี ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ซินเย่วก็โวยวายจะเข้ามาดูเจ้าสาว เจ้าบ่าวก็เอาไม่อยู่ถูกผลักไปอยู่อีกข้าง เปิดผ้าห่มออกเห็นเจ้าสาวไม่ได้ใส่อะไรเลย น้ำเย็นที่เพิ่งตักขึ้นมาถูกสาดไปที่น่ารื่อมู่จนร้องกรี๊ดออกมา ซินเย่วตีที่บนตัวของเจ้าบ่าวจนพอใจ แล้วเดินออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสบายใจ เหลือเพียงคู่บ่าวสาวนั่งห่มผ้าห่มมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“อยากกินก็บอกดีๆ ไม่เห็นต้องพูดอะไรแบบนั้นเลย เดี๋ยวข้าทำให้ใหม่ก็ได้”
ผู้หญิงคนนี้นี่จริงๆ เลย อวิ๋นเยี่ยทำขนมลูกพลับอีกรอบ พอขนมออกจากเตาก็ถูกซินเย่วจองหมด ตัวเองเอาไปสามชิ้น ให้น่ารื่อมู่หนึ่งชิ้น ช่างแบ่งได้เท่ากันเสียจริง
ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพร้อมกับดึงภรรยาอีกสองคนเข้ามาในห้อง “พวกเราเป็นแบบนี้จะโดนคนในบ้านหัวเราะเข้าได้ เอาแบบนี้ไหม พวกเราไปเช่าเสี่ยวโหลวอยู่ข้างนอก ไม่ต้องพาใครไป ไปแค่เราสามคน คนรับใช้ก็ไม่ต้องเอาไป ใช้ชีวิตสบายๆ สักสองสามวัน”
ภรรยาอีกสองคนเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ไม่ไปเสี่ยวโหลว ไปฉางอันแทน ไปอาศัยที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง และต้องเอาคนรับใช้ไปด้วย ไม่เช่นนั้นจะโดนดูถูก ใครที่กล้ารับใช้ให้ตามไปด้วย
มองดูฮูหยินที่กำลังชี้มือชี้ไม้ออกคำสั่ง อวิ๋นเยี่ยจึงบอกกับน่ารื่อมู่ว่า “ท่าทางเจ้าไม่น่าเกรงขามเอาเสียเลย”
อะไรเรียนรู้ได้น่ารื่อมู่ก็เรียนหมด นางคิดว่าตัวเองควรเรียนให้เยอะกว่านี้ เรียนแบบอย่างซินเย่วทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ทรงผมยันเสื้อผ้า อีกทั้งการเดิน การพูด ไม่มีอะไรที่ไม่เรียน แม้แต่ตอนที่ซินเย่วว่าคนเทน้ำชายังเรียนแบบจนเหมือน
ลมเหนือมาแล้ว ที่ฉ่าวหยวนหิมะเริ่มตก น่ารื่อมู่กลับไปไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้กะว่าจะให้น่ารื่อมู่กลับไปฉ่าวหยวน ฤดูหนาวที่ที่ฉ่าวหยวนเคยอยู่นั้นเหมือนกับโดนลงโทษ ตอนนี้ที่ฉ่าวหยวนมีคนตระกูลอวิ๋นคอยดูแลอยู่ น่ารื่อมู่ยังกลับไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร รอฤดูใบไม้ผลิมาถึงค่อยกลับไป เอาดอกไม้แห่งฉ่าวหยวนเก็บไว้ในห้องจะเฉาเอาได้
น่ารื่อมู่เอาแต่พูดว่า ‘ลูกแพะจะผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้หรือไม่’ อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางคิดถึงฉ่าวหยวนแล้ว
“ถ้าคิดถึงฉ่าวหยวนแล้วก็ให้ร้องเพลง เจ้าไม่ใช่อยากร้องเพลงหรอกหรือ เช่นนั้นก็ร้องเลยสิ”
“ไม่ได้ท่านพี่ ที่นี่คือฉางอัน ไม่ใช่ฉ่าวหยวน หากข้าร้องมั่วซั่วจะโดนหัวเราะเอา” น่ารื่อมู่นั่งลง ถอดรองเท้าของอวิ๋นเยี่ยออก แล้วเปลี่ยนเอารองเท้าที่เพิ่งผิงไฟอุ่นๆ ให้เขา อวิ๋นเยี่ยมองน่ารื่อมู่พร้อมเอ่ยว่า
“ไม่เป็นไรหรอก คืนนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง เจ้าก็ร้องเพลงที่นั่น ข้าร้องเพลงเป็นเพื่อนเจ้า ฮูหยินก็ไปด้วย แค่พวกเราสามคน หากเจ้าชอบร้องเพลง พวกเราก็จะร้องเพลงกันไปทั้งคืน เพลงของน่ารื่อมู่พวกเราฟังไม่เบื่อหรอก”
ผู้หญิงต้าถังได้ยินคำซึ้งเป็นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในเมืองที่เรียบร้อยอ่อนหวาน หรือหญิงสาวผู้ร่าเริงแห่งฉ่าวหยวน ได้ยินคำซึ้งหวานๆ ของอวิ๋นเยี่ยก็ซึ้งน้ำตาไหล ตัวร้อนผ่าว ขาอ่อนแรงไปหมด
ท้องของซินเย่วเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะเดินเหินแต่ละครั้งต้องใช้แรงมาก ท้องของนางราวกับว่ากลืนลูกบาสลงไป ต้องประคองท้องไว้ทั้งวัน
มีหลายครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเป็นห่วงซินเย่ว เขาเปิดเสื้อนางออกเพื่อดูท้องของนางที่กลมโตจนตึงไปหมด เส้นเลือดสีเขียวเห็นได้ชัดเจน เขามักจะกังวลกลัวว่าท้องนางจะระเบิด
ผู้หญิงท้องเวลาทำอะไรจะดูงี่เง่า ปรนนิบัติซินเย่วเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า อวิ๋นเยี่ยจะทำเองไม่ให้ผู้อื่นทำให้ แม้กระทั่งตอนกลางคืนที่นางตื่นมาบ่อยครั้ง เขาก็จะคอยดูแลเองตลอด
ซินเย่วเป็นตะคริวง่าย ทุกวันต้องนวดขากับเท้า อวิ๋นเยี่ยแบ่งเวลาไว้ชัดเจน ไม่เคยผิดเวลา หากในบ้านมีเรื่องเกิดขึ้นเขาก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ขนาดฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่ ยังแทบจะไม่ได้เจออวิ๋นเยี่ยเลย จนในฉางอันมีข่าวลือที่น่าขันว่าอวิ๋นเยี่ยหลงภรรยาจนโงหัวไม่ขึ้น
นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย เซอร์ไพรส์ของน่ารื่อมู่คืนนี้สิถึงเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่เซวียเหยียนถัวยั่วโมโหแดนเติร์กตะวันตก ก็ถูกคนของแดนเติร์กตะวันตกตัดหัวผู้ก่อการร้ายเสียบหัวประจานเพื่อเป็นการเตือนไปทั่วสี่ทิศ เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความกังวลของอวิ๋นเยี่ยแต่อย่างใด
ตาแก่ชาวถู่อวี้หุนเอาหัวโขกเสาประตูตำหนักเหยียนเหนียนของต้าถังก็ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ยเลย อยากตายเอง ใครก็ห้ามไม่ได้
เจ้าของร้านหลินไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ตามข่าวที่ส่งมา ผู้ปกครองแดนเกาลี่ชอบเครื่องประดับเครื่องแก้ว โดยเฉพาะลูกแก้ว เขามองว่ามันเป็นของที่มีน้อย หาได้ยาก เขาไม่สนใจการคัดค้านของเหล่าใต้เท้า นำเสบียงที่สะสมไว้ไปแลกเครื่องประดับแก้วมาสามสิบชิ้น ตอนนี้เสบียงเหล่านี้ถูกส่งไปที่เหลียวตง มีนายพลผู้ใจกว้างรับซื้อทั้งหมด เมื่อวานหน่วยทหารได้นำเงินเหรียญไปแลกเป็นทองคำและฝากไว้ในบัญชีตระกูลอวิ๋นโดยไม่ได้ขอลดราคาเลย
ซินเย่วยืนอยู่บนเตียง หวีผมและแต่งหน้าให้น่ารื่อมู่อย่างประณีต ตั้งใจสางผมน่ารื่อมู่เพื่อถักเปียให้นาง พร้อมสวมเสื้อที่ตระกูลอวิ๋นทำขึ้นมาเอง
ฟ้ากำลังจะมืด น่ารื่อมู่เร่งอวิ๋นเยี่ยให้รีบไปเตรียมการ นางรอไม่ไหวอยากรู้ว่าสถานที่ที่นางจะไปร้องเพลง เป็นแบบไหน สวยงามหรือไม่ เห็นอวิ๋นเยี่ยชมให้ฟังมาทั้งวัน
ไม่ได้ไปนอกเมืองและก็ไม่ใช่ที่สวนในพระราชวัง แต่คือโรงละครที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง น่ารื่อมู่ไม่ชอบหากเป็นในห้อง ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่นางก็แกล้งทำเป็นชอบ เพียงแต่ดวงตาดูเศร้าจนใครๆ ก็มองออก
รถม้าหยุดอยู่บนสะพาน คนดูแลโรงละครตระกูลอวิ๋นทำความเคารพเสร็จแล้วก็ไปจัดเตรียมสถานที่ ความปลอดภัยในการจุดโคมไฟในค่ำคืนนี้ต้องให้พวกเขาคอยดูแล
บนเวทีเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวขจีที่มีความยาวสองคืบ มีลูกแพะสีขาวราวปุยเมฆเจ็ดแปดตัวกำลังเล็มหญ้า แล้วยังมีกระโจมตั้งอยู่กลางเวที มีสุนัขตัวใหญ่ผูกอยู่ข้างเสาไม้ วั่งไฉยื่นหัวเข้าไปดูในกระโจมด้วยความอยากรู้อยากเห็น นักแสดงผู้นี้วิ่งมาดูสถานที่เพราะความอยากรู้
ชาวเหม่ยขาดแพะไม่ได้ พอเห็นลูกแพะ น่ารื่อมู่ก็รีบวิ่งไปกอดลูกแพะพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ท่านพี่ ท่านปลูกหญ้าบนเวทีได้อย่างไร” ซินเย่วขยับเข้ามาถามอวิ๋นเยี่ย
“ง่ายมาก นำดินใส่ลงไปในกระสอบบางๆ นำเมล็ดหญ้าหว่านลงไป ต้นอ่อนของหญ้าก็เติบโตทะลุกระสอบออกมา”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น