เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 25-27

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 25 ความสุขครั้งสุดท้าย

 

ในหนังสือประวัติศาสตร์บรรยายการร่ายรำเพลง ‘ฉินอ๋องทำลายข้าศึก’ ไว้อย่างสง่างาม ท่วงท่าโดดเด่น แต่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยสิ่งเหล่านั้นดูโง่เง่า การร่ายรำก็ไม่ได้งดงาม การยกขาไม่ตรงพอ การผสมผสานกันก็ไม่ลงตัว เพลงประกอบเหมือนเสียงเอะอะโวยวายมากกว่าเสียงดนตรี โดยเฉพาะเพลงที่หลี่ซื่อหมินประพันธ์ขึ้นมาเอง สามารถนึกภาพออกได้เลยว่ามีฝีมือแย่แค่ไหน


 


ยังดีที่ยังสามารถผ่านภัยพิบัติอันน่ากลัวมาได้ ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมของผู้คน กลองไม่มีคนเคาะ ฆ้องก็ไม่ดังอีกแล้ว เสียงเพลงของชิวฉือก็ไกลออกไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ แต่ยังดีใจได้ไม่ทันไร ความวุ่นวายจากเสียงตะโกนที่ว่า “จักรพรรดิทรงพระปรีชา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง อายุยืนหมื่นปี” ฟังเสียงร้องตะโกนของหลี่ไป่เย้าที่อยู่ข้างๆ เขา อวิ๋นเยี่ยก็เลยต้องเข้าไปร่วมตะโกนด้วย


 


เมื่อเปิดประตูมาอย่างทุลักทุเล ต้องพิงตัวลงนอนที่ราวบันไดอยู่พักใหญ่ถึงจะมีแรงลุกขึ้นมา คราวหน้าถ้ามีงานเลี้ยงที่มีเพลง ‘ฉินอ๋องทำลายข้าศึก’ อีก ให้ตายก็ไม่ไปอีกแล้ว เหอเซ่าหน้าแดงระเรื่อ เขาถามอวิ๋นเยี่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ดูจากสีหน้าของเหอเซ่า อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าเขาสนุกมากแค่ไหน โดยเฉพาะในตอนท้ายเมื่อหลี่ซื่อหมินจับมือกับผู้คนบนเวที มีหลายคนร้องไห้ออกมาอย่างตื้นตัน


 


“จะทำอะไรได้อีกล่ะ ก็ทำตามแผนที่ตกลงกัน การร่ายรำอย่างมากก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ขั้นต่อไปก็ต้องพึ่งเจ้าแล้วล่ะ ข้าออกไปให้เห็นหน้าไม่ได้ ทำให้พวกเขาดีใจแล้วค่อยเริ่มประมูล จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูที่จุดนี้แล้ว”


 


“การแสดงรำดาบเมื่อครู่สนุกมาก ข้ารำจนเลือดกำเดาไหลออกมาแล้ว” เหอเซ่าเลียริมฝีปากอันอวบอิ่มแล้วพูดอีกว่า “มีหลายคนอยากดูอีก ข้าว่าเรารำอีกสักรอบดีไหม”


 


หลังจากจัดการลากคนพวกนั้นออกไป เหนื่อยจนต้องนอนอยู่แถวราวบันไดอันกว้างขวางเพื่อพักสักครู่ ในตอนนี้ไม่กล้าเข้าไปในงานแล้ว มีคนดึงชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ยไว้ เมื่อเขาหันกลับไปดูก็พบว่าเป็นซือซือกับซินเย่ว เขายิ้มอย่างเหน็ดเหนื่อยพร้อมกับพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่เข้าไปล่ะ การร่ายรำสนุกมาก ไม่ต้องสนใจข้า ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย พักสักครู่ก็ดีขึ้น”


 


“ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า ข้าจะไม่พูดอะไร เจ้านอนพักสักครู่ ข้าจะจับมือเจ้าไว้” ซินเย่วร้องไห้แล้ว ใครกันที่แกล้งนาง พอกำลังจะถาม ซินเย่วก็จับที่ใบหน้าของเขาแล้วร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม


 


“ไม่มีใครแกล้งข้า ไม่มีใครแกล้งข้า ข้าแค่ไม่สบายใจที่เห็นเจ้าท่าทางอ่อนล้า เจ้าคนเดียวต้องรับมือกับคนทั้งงาน ข้ากลัวเจ้าจะเหนื่อย อาเยี่ย เราไม่ได้ต้องการเงินแล้ว เรากลับบ้านกันดีไหม ข้าจะกล่อมเจ้านอน ห่มผ้าห่มอุ่นๆ ให้ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว กลับบ้าน นอนด้วยกันไปจนฟ้าสาง เหมือนตอนที่เราเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ดีไหม”


 


คำพูดนางเกือบทำให้อวิ๋นเยี่ยน้ำตาไหล แต่ไม่ได้หรอก คนพวกนั้นติดหนี้ข้าอยู่ จะไม่ให้เอาคืนได้อย่างไร ข้าต้องทำให้ฉางอันไม่เหลืออะไรเลย แล้วยังต้องทำให้คนพวกนั้นติดหนี้เหยียนอ๋องของหลี่ซื่อหมินด้วย จะใจอ่อนไม่ได้


 


อวิ๋นเยี่ยยืดเส้นยืดสายด้วยการกระโดดดีดตัวขึ้นมา แต่เขาดีดตัวไม่ขึ้น จึงพลิกตัวลุกขึ้นเอง จากนั้นก็บริหารคอพร้อมกับพูดกับซินเย่วว่า “การเป็นภรรยาควรจะทำอะไรกัน เจ้าควรไปชมการแสดงมากกว่าอยู่ตรงนี้สิ การทำให้ภรรยามีความสุขเป็นเรื่องสำคัญ ตรงนี้เป็นงานของผู้ชาย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก”


 


พูดจบก็ให้ซินเย่วกับซือซือเข้าไปด้านใน ส่วนอวิ๋นเยี่ยไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองรอดผ่านตาข่ายเพื่อดูภายในงาน กวนต้าเจียสะบัดแขนเสื้อเต้นรำอย่างงดงาม แขนเสื้อยาวขนาดนี้ไม่รู้ว่านางสะบัดขึ้นได้อย่างไร ยากกว่าการเล่นลูกตุ้มดาวตกเสียอีก เอวบางอรชร แต่พอดูข้างล่างกลับมีเนื้อมีหนัง ก้นกลมๆ ถูกคลุมด้วยผ้าบางๆ เพียงหนึ่งผืน แม่เจ้า เมื่อครั้งที่แล้วเจอนางที่หอเอี้ยนไหลโหลวไม่ใช่แบบนี้นี่ เมื่อฝ่าบาทมา นางก็เปลื้องผ้าออกจนหมด นางแม่มด!


 


อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าไม่ใช่เสียงตนเอง เป็นผู้อื่นที่พูดว่า ‘นางแม่มด’ หรือว่าจะเป็นเสียงสะท้อน? สามารถพูดเสียงสะท้อนภายในใจออกมาได้เช่นนี้มีไม่มากนัก ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังจึงหันกลับไปมอง เห็นพวกผู้หญิงวิ่งกรูกันออกมา การร่ายรำของกวนต้าเจียไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงจะรับได้ จะว่าไปแล้ว เดิมทีการร่ายรำก็ไม่ได้รำเพื่อให้ผู้หญิงดู คงเป็นเพราะรับท่าทางหื่นกามของผู้ชายที่มองกวนต้าเจียไม่ได้จึงพากันวิ่งออกมา


 


เฉิงฮูหยินโกรธจนหูแดง บิดหูของอวิ๋นเยี่ยพร้อมกับถามว่า “งานเต้นรำดีๆ เจ้าก็ไปเอานางแม่มดมาก่อเรื่อง เจ้าดูข้างในสิ น้ำลายไหลกันหมดแล้ว เสียภาพพจน์หมด” คำพูดของนางทำให้เหล่าฮูหยินสูงอายุทั้งหลายมารายล้อมอวิ๋นเยี่ย ดึงแขนเสื้อเขาบางก็มี สถานการณ์กำลังคับขัน เหอเซ่าก็โผล่มาพอดีพร้อมกับตะโกนว่า “น้องเยี่ย น้องเยี่ย รีบมาดูเร็ว กวนต้าเจียกำลังดีดพิณ” ช่างเป็นเพื่อนที่รักกันเสียจริง สถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ ยังอุตส่าห์เรียกอวิ๋นเยี่ยไปดูด้วยกัน


 


“ท่านป้าทั้งหลาย เรื่องนางโลมข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ เหอเซ่าเป็นคนเชิญมา ท่านไปถามเขาจะดีกว่า” บางทีเพื่อนก็มีเอาไว้ขาย โดยเฉพาะเวลาเจอสถานการณ์เช่นนี้


 


ผู้หญิงแห่งต้าถังโหดมาก โดยเฉพาะฮูหยินของฝางเสวียนหลิง ในมือนางอุ้มแมวสีขาวหนึ่งตัว พุ่งเข้าไปยังเหอเซ่าอย่าเอาเรื่อง ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือฮูหยินของอวี้ฉือเก่งศิลปะการต่อสู้ นางถกกระโปรงขึ้นพร้อมกับยกเท้าเหยียบลงบนคอของเหอเซ่า เหอเซ่าถึงกับสำลักน้ำลาย พวกฮูหยินทั้งต่อยทั้งเตะ บางคนก็เอาปิ่นมาทิ่มเหอเซ่า เล่นเอาอวิ๋นเยี่ยที่ยืนมองอยู่กลัวจนตัวสั่น


 


กว่าพวกฮูหยินจะระบายจนพอใจก็เล่นเอาเหอเซ่าถึงกับหมดแรง นอนหงายไร้สภาพอยู่กับพื้น แม้แต่ที่เป้าของเขาก็มีรอยเท้าอยู่สามสี่รอย ฮูหยินทั้งหลายเดินกลับเข้าไปในงานอย่างสบายใจ อวิ๋นเยี่ยรีบไปประคองเหอเซ่าขึ้นมา แม้แต่หน้าของเขาก็บวมไปหมด เหอเซ่ากุมเป้าพร้อมกับร้องโอดโอย สักพักเขาก็หยุดร้องแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ครั้งนี้จะปล่อยให้โดนซ้อมฟรีๆ ไม่ได้ หลังประมูลสินค้าเสร็จข้าจะเอาคืนได้หรือไม่”


 


“แล้วแต่เจ้าเลย จะเอาคืนข้าด้วยก็ได้”


 


“เสียดายเจ้าไม่ได้ดูกวนต้าเจียนอนตะแคงดีดพิณ นางยกขาขึ้นสูงมาก ถ้าแสงไฟในห้องสว่างกว่านี้จะดีมาก” เหอเซ่าโดนซ้อมจนชินไปแล้ว ถึงจะจมูกเขียวหน้าบวมก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ว่าตามตัวมีรอยเลือดไม่น่ามองสักเท่าไหร่นัก


 


“แม่นางกวนทำไมไร้มารยาทได้ถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทกับท่านหญิงก็อยู่ในงาน ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย” จะว่าไปเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนก่อ ที่นี่ไม่ใช่หอนางโลมแต่เป็นเวทีการแสดง การแสดงเปลื้องผ้าแบบนี้ในยุคต่อมาไม่เป็นไร แต่นี้เป็นต้าถัง แน่นอนว่ามันดูไม่งาม


 


“แม่นางกวนเคยถามข้า ให้นางช่วยจัดงานได้หรือไม่ แต่ใครจะไปรู้ว่านางร่ายรำได้ แถมยังเต้นยั่วยวนอีกด้วย” เหอเซ่าเห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้ ตอนนี้ที่บ้านก็มีเมียเล็กเมียน้อยอยู่แล้วเจ็ดแปดคน ยังไม่รู้จักเปลี่ยนนิสัย สมแล้วที่โดนรุมซ้อม


 


ภายในงานเริ่มครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยรีบเข้าไปดูข้างใน ดีที่เป็นกงซุนกำลังรำกระบี่ แต่งองค์ทรงเครื่องครบครัน แต่ทว่าพอรำไปรำมากระบี่ก็หลุดออกจากมือนาง กระบี่เกือบจะไปปักบนอกของพ่อค้า นางได้ดึงกระบี่กลับคืนมา ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นที่ด้ามของกระบี่มีเชือกสีขาวผูกติดอยู่ สามารถควบคุมกระบี่เวลาโยนออกไปได้ทั้งสี่ทิศ หรือว่าจะเป็นกลอนที่ตู้ฝูเขียนไว้ว่า ‘รำดาบสะท้านสี่ทิศ’ ผู้คนต่างพากันแห่มาดูเยอะเท่ากองภูเขา ต่างตื่นเต้นกับการรำกระบี่ของนาง แม้แต่ฟ้าดินยังถูกสะกดด้วยการร่ายรำของนางจนสนั่นหวั่นไหวไปหมด แสงดาบแพรวพราว ดั่งเช่นโฮ่วอี้ยิงพระอาทิตย์เก้าดวง การเต้นที่แข็งแรงและว่องไว ดั่งเช่นเทพเจ้าขี่มังกรเหาะ ร่ายรำกระบี่ทรงพลังราวกับฟ้าร้อง ทำให้คนตกตะลึง เมื่อการร่ายรำจบก็กลับคืนสู่ความสงบ ดั่งการรวมคลื่นแสงของทะเล? แบบนี้ไม่ต้องรวมแสงอะไรกันแล้ว ตกใจกันจนฉี่จะราดกันอยู่แล้ว พ่อค้าต่างก็น้ำลายฟูมปากกันไปหมด คนข้างๆ ก็พากันเอามือปิดจมูก ไม่ต้องไปยืนดูข้างหน้าก็รู้


 


อีกคนเต้นระบำหุนทัว อีกคนรำกระบี่ ทำเอาซะคนที่อยู่ตรงนั้นต้องงัดทักษะดูแลข้าวของออกมาใช้ ที่ทำไปก็เพราะอยากเห็นหลี่ซื่อหมินยิ้ม ตอนนี้หลี่ซื่อหมินได้ก้าวผ่านระดับของเปาซื่อไปนานแล้ว ทุกคนในต้าถังยกเขาเป็นเอกลักษณ์ของต้าถัง ช่างน่าอิจฉาเสียจริง


 


ผู้อื่นเล่นพิเรนทร์ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นจั่งซุนจะถูกลงโทษ จั่งซุนต้องรีบมาที่หน้าห้องโถงของฝ่าบาท ขออนุญาตเข้าเฝ้า พอเข้าไปในห้องกลับพบว่าหลี่ซื่อหมินกำลังหัวเราะอยู่ จั่งซุนจึงหัวเราะออกมาเช่นกัน ซ้ำฝ่าบาทยังชื่นชมด้วยท่าทางที่พึงพอใจ


 


เมื่อนางรำกระบี่เสร็จ ขณะกำลังเตรียมตัวลงจากเวที หลี่ซื่อหมินก็พูดออกมาว่า “น่าสนใจ กงซุนผู้นี้ให้นางเข้าวังไปสอนรำกระบี่คงจะดี” ฝ่าบาทถูกใจนางอย่างนั้นหรือ?


 


ท่าทางจั่งซุนไม่หือไม่อืออะไร นางจึงตอบตกลงด้วยตนเอง กงซุนคงรอข่าวนี้มานานแล้ว


 


ในที่สุดก็มีเสียงเป่าเยื่อไม้ไผ่ดังขึ้น เสียงพิณดังอย่างธรรมชาติ เสียงผิวปากเริ่มดังขึ้น เสียงดนตรีบรรเลงให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่าลึก งูไม้ไผ่คลุมด้วยผ้าลินินย้อมสี ตัวหนึ่งสีขาว อีกตัวหนึ่งสีเขียว รวมกับท่าทางเลื้อยไปเลื้อยมา ตาข้างหนึ่งสีเขียวมรกต อีกข้างหนึ่งสีแดงดั่งเพลิง เมื่อกระทบเข้ากับแสงไฟยิ่งดูเหมือนงูจริงๆ ผ่านไปชั่วครู่ในงานก็เงียบสงบลง อักษรงูสีแดงยืดออกมาเรื่อยๆ เป็นการแต่งตัวของนักเรียนของห้องหนังสือ เพลงระบำที่แสดงก่อนหน้านี้เทียบไม่ติดเลย ควันลอยขึ้นมากลบตัวงู พอควันจางไปก็มีผู้หญิงรูปร่างหน้าตางดงามนอนหมอบอยู่ คนหนึ่งสวมชุดสีเขียว อีกคนหนึ่งสวมชุดสีขาว เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน


 


อวิ๋นเยี่ยไม่มีมีเวลาดูอะไรแบบนี้แล้ว เขาต้องไปหลังเวทีกับเหอเซ่าเพื่อเตรียมงานประมูล ในมือของคนรับใช้ตระกูลอวิ๋นถือกล่องไม้อยู่ขณะนั่งที่หลังเวที กล่องไม้ทุกกล่องจะมีลำดับเลขติดอยู่ เรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย


 


สินค้าที่ใช้ประมูลชิ้นแรกคือไม้จินสื่อหนาน ราคาต่ำสุดอยู่ที่สามร้อยเหรียญ ขายเพียงสิบท่อนเท่านั้น ที่เหลือรอให้สร้างตำหนักเสร็จก่อนค่อยเพิ่มราคาขาย ข้าวสีม่วงยังไม่ทันได้ประมูลขายก็ถูกฝ่าบาท ตระกูลอวิ๋น ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิว ตระกูลฉินแบ่งไปหมดแล้ว ข้าวสีม่วงช่วยบำรุงร่างกายเป็นอย่างดี มีแค่ที่หลงเหยียนซีเท่านั้น ผลผลิตได้ปริมาณน้อย แต่ราคากลับไม่แพง เพียงแค่ไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง


 


เหลือเวลาอีกเพียงสองก้านธูปงานเลี้ยงก็จะจบลง คนที่อยู่ในงานคงได้ยินประโยคอันหวานซึ้ง แต่สำหรับอวิ๋นเยี่ย นี่เป็นการบอกรักที่น่าขัน คนร้องไห้สะอึกสะอื้น เพียงชั่วพริบตาก็เกิดลมพัดแรง พื้นดินภูเขาสั่นสะเทือน นางงูเขียวถูกเทพเกราะทองยิงด้วยธนู นางงูขาวที่บาดเจ็บอยู่กำลังต่อสู้กับเทพอย่างสุดแรง ได้ยินเสียงเด็กร้องระงม ในมือเทพถือตรีศูลต้องการแทงนางงูขาวแต่แทงไม่เข้า นางงูขาวใช้คาถาหลบตรีศูลของอวี้ฉือ ซ้ำยังถีบเทพตกลงมาจากเวที ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่งนัก คนดูพากันส่งเสียงชมอย่างพึงพอใจ แต่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง อวี้ฉือรีบนำตรีศูลคืนให้เทพเกราะทอง ส่วนตัวเองเดินอย่างทุลักทุเลลงมาดูการแสดงอยู่ข้างล่าง


 


อวิ๋นเยี่ยมองรอดจากช่องว่างเห็นหลี่ซื่อหมินและภรรยาของเขาหัวเราะอย่างออกรสออกชาติ จนกระทั่งนักบวชฝาไห่เดินขึ้นมาถึงได้หยุดหัวเราะ “นางปีศาจ มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์ ปีศาจก็อยู่ส่วนปีศาจ ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน แอบมาพัวพันกับมนุษย์ จะต้องโทษมหันต์ ข้าจะขังเจ้าไว้ในเจดีย์เหล่ยเฟิงตลอดชั่วชีวิตของเจ้า” เห็นบาตรขนาดใหญ่หล่นลงมาจากฟ้า นางงูขาวรีบโยนลูกตัวเองให้กับซู่เซียนชายหัวโล้น บาตรตกลงสู่พื้นเป็นภาพฉากเจดีย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางเวที

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 26 ดึงดูดวิญญาณ

 

ยืนอยู่บนเวทีที่มีแสงสีขาวสาดส่องเข้ามา อวิ๋นเยี่ยมองไปรอบๆ เขายิ้มมุมปากพร้อมกับเอ่ยว่า “เมื่อไม่กี่วันมานี้ตระกูลอวิ๋นปิดการซื้อขายที่น่าอับอายไปหมดแล้ว แต่ใครจะรู้ ภายในยังมีสินค้าถูกขนมาอีก กองไว้ในบ้านจะดูไม่ดี ทุกท่านที่นั่งอยู่มีใครสนใจจะรับช่วงต่อหรือไม่ ของไร้ค่าพวกนี้จะให้ราคาเท่าไหร่ก็ตามแต่พวกท่าน ข้ายังกะว่าจะสร้างห้องหนังสือให้อีกสักสองสามห้องให้อีกด้วย” 


 


 


หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยพูดเสร็จก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น คนรวยพวกนั้นตะโกนออกมาทันที “ผู้สืบทอดอวิ๋น ท่านเริ่มเลยดีกว่า วันนี้ข้านำเงินมาด้วยสองหมื่นห้าพันเหรียญ ตระกูลอวิ๋นประสบปัญหา ข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร” 


 


 


ซินเย่วเดินออกมาจากห้องด้วยความโกรธ แต่กลับพบว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังยิ้มอยู่ เขาจับมือซินเย่วพร้อมกับพูดว่า “ครั้งนี้ข้าขอบคุณเจ้ามาก อีกสักพักเมื่อสินค้าถึงเป็นที่เรียบร้อยเจ้าทำให้เต็มที่ อย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าต้องไปเจอกันที่ศาล ตอนนี้ฟ้ามืดเราต้องเริ่มลงมือแล้ว” เมื่อส่งสัญญาณมือก็มีคนรับใช้ตระกูลอวิ๋นแบกท่อนไม้มากองทันที เป็นท่อนไม้ที่ถูกตัดมาจากต้น ขัดจนเงาแล้วทาด้วยน้ำมัน ลวดลายทองชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด ง่ายแก่การนำไปวางไว้บนเวทีประมูลสินค้า 


 


 


“ทุกคนรู้สถานการณ์ในช่วงนี้ดี เหล่าราษฎรเมืองฉางอันเป็นห่วงสุขภาพของฝ่าบาท กังวลว่าความชื้นในตำหนักเก่าจะส่งผลเสียต่ออาการป่วยของพระองค์ ดั้งนั้นจึงได้ระดมทุนให้แก่ต้าถังของเราเพื่อสร้างตำหนักว่านหมิน ไม้จินสื่อหนานที่ใช้ในการสร้างได้มาจากแดนเสฉวน เป็นไม้อย่างดี แต่ว่าเกินมาสิบท่อน ตอนนี้จึงขอนำมาประมูล ทุกท่อนมีมูลค่าสามร้อยเหรียญ มูลค่าจะเพิ่มทีละหนึ่งร้อยเหรียญ ขอเชิญทุกท่านร่วมการประมูล” 


 


 


ในที่สุดเส้นทางสู่ความรวยที่รอคอยก็มาถึง บรรยากาศเริ่มเงียบลง ไม่มีใครให้ราคา สักพักมีหนึ่งเสียงดังขึ้น “ข้าก็อายุมากแล้ว ควรเตรียมทำ**บศพไว้ได้แล้ว ข้าให้ราคาสามร้อยเหรียญ”  


 


 


มองไปตามเสียงที่ดังขึ้น ที่แท้ก็เป็นหลี่กัง เขานั่งอยู่แถวหน้า รอบตัวเขารายล้อมไปด้วยลูกศิษย์ ที่จริงเขามีห้องโถงส่วนตัวแต่กลับยกห้องให้แก่ลูกศิษย์ ในห้องโถงนั้นมีผู้หญิงนั่งอยู่ ตัวเองกลับมานั่งแออัดกับคนอื่นที่เก้าอี้ ดูความคึกครื้น 


 


 


“ท่านให้ราคาสามร้อยเหรียญ เช่นนั้นไม้จินสื่อหนานท่อนนี้เป็นของท่าน” อวิ๋นเยี่ยเคาะระฆังทันทีไม่รอให้คนอื่นประมูลต่อ ถ้าจะถูกเอาเปรียบก็ขอให้เป็นคนกันเองดีกว่า 


 


 


ที่ประมูลไม้จินสื่อหนานไปก็มีแต่คนกันเอง การนำไม้จินสื่อหนานมาสร้างห้องให้คนทั่วไปเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่นำมาทำข้าวของเครื่องใช้หรือ**บศพได้ มนุษย์ย่อมมีความโลภ ยิ่งเป็นของหายากยิ่งต้องแย่งมา ราคาประมูลไม้จินสื่อหนานค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ เว้นเพียงแต่ท่อนแรกที่ถูกซื้อไปในราคาที่ไม่ได้สูงมากนัก ที่เหลือราคาสูงถึงแปดร้อยเหรียญ น้อยสุดแค่เพียงห้าร้อยเหรียญ ทำเอาหลี่กังนั้นดีใจจนยิ้มไม่หุบ 


 


 


อำพันทะเลถูกนำออกมา คนรับใช้ได้นำออกมาหนึ่งก้อนไปจุดในถาดสีเงิน ควันค่อยๆ ลอยขึ้น ผ่านไปเพียงชั่วครู่กลิ่นหอมของอำพันทะเลก็ลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง อวิ๋นเยี่ยเคาะโต๊ะอยู่นานกว่าจะทำให้คนในห้องเงียบสงบลงได้ อำพันทะเลนี้สามารถทำให้คนอายุยืนยาวได้ โดยเฉพาะชาวเผ่าหูที่ต่างก็อยากได้อำพันทะเลมาครอบครอง เนื่องจากอาหารของชาวเผ่าหูส่วนใหญ่เป็นเนื้อวัวกับเนื้อแพะทำให้ร่างกายมีกลิ่นแรง จึงมักจะนำเครื่องหอมมาใช้ในการกลบกลิ่น ยิ่งได้เห็นอำพันทะเลก้อนใหญ่ ยิ่งอดไม่ได้ที่จะคว้ามันมาครอบครอง 


 


 


อำพันทะเลก้อนนี้ถูกค้นพบด้วยความบังเอิญโดยครอบครัวชาวประมงที่ริมทะเล ชาวประมงขายให้ตระกูลอวิ๋นในราคาสิบเหรียญ ตระกูลอวิ๋นไม่รับ เขาไม่ได้ดูถูกความจนของชาวประมง แต่จะรับซื้ออำพันทะเลก้อนนี้ในราคาสามร้อยเหรียญ และแน่นอนว่าสำหรับทุกท่านที่อยู่ตรงนี้ ตระกูลอวิ๋นก็จะไม่เกรงใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นอำพันทะเลก้อนนี้จะถูกตั้งราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งพันเหรียญ เชิญทุกท่านเริ่มประมูลได้ 


 


 


ทูตเกาลี่เพิ่งเสนอราคาอยู่ที่หนึ่งพันเหรียญ ก็ถูกพ่อค้าชาวเผ่าหูให้ราคามากกว่าอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ คุณชายตระกูลหลี่หัวเราะออกมาพร้อมกับเสนอราคาอยู่ที่สองพันเหรียญ จึงได้อำพันทะเลมาครอบครองไว้ การประมูลผ่านไปอย่างน่าเบื่อเนื่องจากผู้คนต่างรอที่จะประมูลของล้ำค่า 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับยกขวดแก้วสวยหรูขึ้นมา ขวดแก้วนั้นไม่ได้ถูกเปิดฝา ของเหลวในขวดแก้วมีสีแดงเข้มเมื่อต้องแสงไฟได้กลายเป็นสีม่วงสวยงาม สายตาของทุกคนถูกสะกดด้วยขวดใบนั้น ไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร รู้แค่ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ขวดแก้วมีแสงระยิบระยับ มูลค่าของมันก็มีมากอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ในขวดแก้วมีของเหลวสีแดงบรรจุอยู่ แค่มองก็รู้ว่าของเหลวสีแดงนั้นเป็นของล้ำค่ามากเพียงไหน 


 


 


“ของเหลวสีแดงที่เห็นอยู่นี้เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ผู้หญิงใช้ ได้มาจากดอกฝิ่นหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดอกไม้นรก มีลักษณะสวยงาม แต่ภายใต้ความสวยงามก็มีความอันตรายด้วยเช่นกัน ทว่าของเหลวในขวดนี้ไม่มีอันตราย ถึงไม่ระวังดื่มเข้าไปก็จะไม่เป็นอะไร เพียงหยดลงไปหนึ่งหยด กลิ่นก็จะติดทนนานไปถึงสามวัน สรรพคุณอื่นๆ ข้าจะไม่พูดถึง พวกเจ้ารู้แค่ชื่อของมันก็พอแล้ว ชื่อของมันคือ ‘ดึงดูดวิญญาณ’ ในโลกนี้มีเพียงใบเดียว และจะไม่มีอีกแล้ว ราคาประมูลต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งพันเหรียญ” 


 


 


สถานที่ประมูลสินค้าเกิดความโกลาหลขึ้น น้ำหอมของตระกูลอวิ๋นที่แท้ก็เป็นของที่หายาก หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว มีเพียงตระกูลคนรวยที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถึงจะขอต่อรองราคาได้บ้างเล็กน้อย สำหรับราคาที่ขายออกไปต่ำสุดได้เพียงห้าสิบเหรียญ เป็นสิ่งของล้ำค่าแต่เป็นราคาที่คนเอื้อมไม่ถึง 


 


 


ตอนนี้พื้นที่ในอาณาเขตตระกูลอวิ๋นเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ปลูกไว้เพื่อนำมาสกัดน้ำหอม ช่างมีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ดอกนางมารที่ปลูกไว้ของตระกูลอวิ๋นมีฤทธิ์ทำให้คนหลงใหลที่สุด แค่ฟังชื่อก็พอรู้ว่าดอกไม้ชนิดนี้ทำให้คนหลงใหลจนคลั่งได้ 


 


 


“หากฮองเฮาชอบ ให้อวิ๋นเยี่ยนำมาให้ก็ได้” หลี่ซื่อหมินอยากรู้อยากเห็นว่ากลิ่นของ ‘ดึงดูดวิญญาณ’ เป็นอย่างไร ตัวเองนั้นไม่เคยลองมาก่อน อยากรู้ว่าการถูกเย้ายวนให้หลงใหลจนเคลิบเคลิ้มเป็นความรู้สึกอย่างไร หากใช้กับผู้อื่นคงไม่ดีนัก แต่หากใช้ดื่มด่ำกับฮองเฮาคงไม่มีปัญหาอะไร 


 


 


“หม่อมฉันเคยเห็นของสิ่งนี้เมื่อนานมาแล้ว เป็นน้ำหอมชั้นดี แต่ไม่เหมาะสมกับสถานะของหม่อมฉัน มีฮองเฮาที่ไหนใช้ ‘ดึงดูดวิญญาณ’ เพื่อทำให้คนหลงใหลกัน มีแต่นางโลมเท่านั้นแหละถึงจะใช้ของพรรค์นั้น หม่อมฉันยังต้องให้นมบุตร ใช้ของพวกนี้จะไม่ดีต่อบุตร แล้วอีกอย่าง ผู้ชายใจหินเช่นท่าน เอาอะไรมาทาก็ไม่ได้ผลหรอก” 


 


 


เมื่อหลี่ซื่อหมินถูกฮองเฮาปฏิเสธเขาก็ทำได้แค่ล้มเลิกความคิดที่จะทดลองกลิ่นนั้น 


 


 


“หนึ่งพันเหรียญ!” มีฮูหยินผู้หนึ่งที่มีความกล้าไม่เกรงกลัวผู้ใดอย่างฮูหยินของฝางเสวียนหลิงตะโกนราคาออกมาอย่างเสียงดัง ทุกคนในที่นั้นต่างตกใจ แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็รีบนั่งลงทันที แต่จั่งซุนกลับยิ้มอย่างพอใจ ซ้ำยังปรบมือไม่หยุด 


 


 


“ฝางเสวียนหลิงจะยังมีหนทางรอดอยู่ไหม” เฉิงเหย่าจินที่นั่งอยู่แถวหน้ากระซิบถามฉินฉยง พวกเขาต่างโดนผู้หญิงกดขี่ ช่วงนี้เรื่องที่ผู้หญิงในเมืองฉางอันแสดงตัวออกหน้าออกตาก็คือการไปดูละครที่บ้านเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน หากมีผู้หญิงอื่นมาที่บ้าน ผู้ชายในบ้านต้องหลีกไปอยู่ที่อื่น ถึงแม้ว่าจะมียศตำแหน่งที่สูงก็ตาม 


 


 


ฝางเสวียนหลิงหน้าซีด เขาส่งสายตาบอกอวิ๋นเยี่ยเป็นนัยๆ ว่าอย่าขายของสิ่งนี้ให้ภรรยาตัวเอง ทำมืออ้อนวอนอย่างน่าขัน เขาช่างกลัวภรรยาตัวเองเสียจริง 


 


 


“หนึ่งพันหนึ่งร้อยเหรียญ” สาวใช้ห้องห้องโถงที่หกเสนอราคาใหม่ เซียวอวี่หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นภรรยาที่ตัวเองเพิ่งแต่งเข้ามาใหม่เป็นคนเสนอราคาออกไป ทุกวันนี้เขาให้ท้ายภรรยามากไป 


 


 


ถังเจี่ยนยังไม่ทันได้หัวเราะเยาะก็มีคนในห้องโถงเสนอราคาใหม่ออกมา ดูแล้วมีแต่คนมียศถาบรรดาศักดิ์ที่กำลังแย่งกันประมูล พวกคนทำการค้ากลับไม่มีใครกล้าเสนอราคา เพราะกลัวไปยั่วโมโหคนเหล่านี้เข้า อาจถูกสั่งเก็บ ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ร้องขอชีวิต 


 


 


เมื่อเปิดการประมูลแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้สถานที่ประมูลสินค้าเงียบสงบ อวิ๋นเยี่ยให้ผู้ดูแลหญิงถือขวดเดินไปทั่วทุกห้อง เปิดปากขวดออกนิดหน่อย เหมือนได้กลิ่นหอมหวาน แต่ก็เหมือนกลิ่นเครื่องเทศ แล้วยังมีกลิ่นดอกกล้วยไม้อีกด้วย ที่น่าสนใจก็คือกลิ่นไม่ฉุนมาก แต่กลับติดทนนาน เพียงแค่เขย่ากลิ่นก็กระจายไปทั่วห้อง 


 


 


การที่พวกฮูหยินเสียการควบคุมเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา หรือฮูหยิน ความปรารถนาในใจอันแรงกล้าของพวกนางได้ถูกจุดขึ้น แค่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ราคาได้ขึ้นไปถึงสามพันเหรียญแล้ว 


 


 


พวกใต้เท้าต่างมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธแค้น พวกที่ร่างกายไม่แข็งแรงก็ได้แต่บ่น ในยุคนี้ไม่นิยมอวดรวย แกล้งทำเป็นคนที่กินข้าวไม่ครบสามมื้อ แต่ตอนนี้เพียงเพื่อให้ได้น้ำหอมมาครอบครองกลับทุ่มหมดทั้งตัว ในบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลาย ข้าต้องรู้สึกอย่างไร หลี่ซื่อหมินทั้งโมโห ทั้งเสียใจ ใต้หล้านี้มีเพียงเขาที่จน แม้กระทั่งจะสร้างตำหนักยังต้องให้ราษฎรบริจาคเงินมาช่วยสร้าง 


 


 


หลี่เซี่ยวกงได้ยินคนของตัวเองเสนอราคาสามพันห้าร้อยเหรียญก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว ในหัวมีความคิดที่จะเอามือปิดปากภรรยาที่ชอบผลาญสมบัติของตนเอง 


 


 


จะให้เรื่องเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไปไม่เป็นผลดีต่อทุกคน ไม่รู้ว่ากลับบ้านไปจะมีภรรยาคนไหนถูกลงโทษบ้าง เสียงตีระฆังดังขึ้น หลี่เซี่ยวกงต่อว่าอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่พอใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยทำไปเพราะต้องการเอาคืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ 


 


 


เหล่าใต้เท้าให้พวกผู้หญิงไปดูเสื้อผ้าเครื่องประดับอีกห้องหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้กำลังโกรธ 


 


 


ของสิ่งหนึ่งที่ทำมาจากแก้วถูกวางไว้บนโต๊ะ สถานที่ประมูลเริ่มครึกครื้นขึ้น แก้วสะท้อนแสงได้ ยิ่งเป็นแสงจากโคมไฟที่สาดส่องมายิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก แสงกระจายไปทั่วสี่ทิศ หากบอกว่าไม่ใช่สิ่งของล้ำค่าก็คงไม่มีใครเชื่อ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้อธิบายว่าของสิ่งนี้คืออะไร มือลูบลงบนรูปปั้นม้าบินที่ทำมาจากแก้ว เอ่ยกับแขกผู้มีเกียรติที่เอาแต่จ้องรูปปั้นม้าว่า “ม้าตัวนี้ราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยเหรียญ” 


 


 


ผู้คนที่รออวิ๋นเยี่ยพูดถึงสิ่งของล้ำค่าชิ้นนี้ พอได้ยินราคาก็แทบจะเป็นลมไปตามๆ กัน เซียวอวี่ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธ พร้อมสะบัดมือออกจากคนรับใช้ที่กำลังจะประคองเขา เซียวอวี่ขึ้นไปบนเวที เดินวนดูรูปปั้นม้าแก้วอย่างทุลักทุเล ผลักอวิ๋นเยี่ยออกไปอยู่ด้านข้าง ตัวเองตะโกนออกมาเสียงดัง “รูปปั้นม้าบินแก้ว? ของล้ำค่าเช่นนี้ตกเป็นของเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้า ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ของสิ่งนี้ชื่อเดิมว่าม้าเชาหลงเชวี่ย ข้าดูอย่างละเอียดแล้ว เปรียบเทียบมาตรฐานของรูปร่างม้าที่กล่าวไปนั้น ขนาดแทบจะไม่ผิดกับม้าตัวนั้นเลย มีลักษณะรูปร่างที่ดี ดูน่าเกรงขาม ม้ามีลำตัวแข็งแรงและข้าทั้งสี่ข้างที่เรียวยาว กีบเท้าดูว่องไว เท้าทั้งสามลอยอยู่บนอากาศพุ่งไปข้างหน้า ขาหนึ่งข้างยืนอย่างมั่นคง หัวของม้ามองไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ หนึ่งร้อยเหรียญ? แค่ฐานรองขาม้ายังซื้อไม่ได้เลย หากไม่มีใครต้องการ ข้าจะซื้อในราคาหนึ่งพันเหรียญ” 


 


 


พูดจบเซียวอวี่ก็ยกม้าเชาหลงเชวี่ยไป มีเสียงตะโกนรั้งเขาไว้ ขงอิ่งต๋าเดินขึ้นมา ปัดมือเซียวอวี่ออกพร้อมพูดว่า “เซียวอวี่ เจ้าช่างขี้โกงเสียจริง รูปปั้นม้าชั้นดีเพียงนี้ เจ้าจะซื้อกลับบ้านในราคาหนึ่งพันเหรียญอย่างนั้นหรือ ข้าให้ราคาพันห้าร้อยเหรียญ” 

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 27 ขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูง

 

ทันใดนั้นโรงละครก็สงบลง ทุกคนมองไปที่ฮุ่ยหยวนหยูด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่ากำลังมองคนบ้า ก่อนที่คนต้าถังจะเสนอราคา คนนอกถิ่นไม่สามารถเสนอราคาได้ นี่คือกฎเกณฑ์ที่หลี่ซื่อหมินได้ตั้งขึ้นมา 


 


 


เซียวอวี่ดูเหมือนจะไม่ได้ยินคนเสนอราคาสองพันเหรียญ เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หนึ่งพันหกร้อยเหรียญ ข้าไม่มีเงิน ถ้าเจ้ายังกล้าขึ้นราคา ข้าจะทุบม้าตัวนี้ให้แตก ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น” 


 


 


“หนึ่งพันหกร้อยเหรียญ มีใครจะเสนอราคาที่สูงกว่านี้อีกไหม เมื่อกี้ท่านเซียวบอกแล้วว่านี่คือสมบัติล้ำค่า ใครอยากจะเสนอราคานี่เป็นโอกาสสุดท้าย ข้านับหนึ่งถึงสาม ทุบค้อนก็จะไม่มีโอกาสแล้ว หนึ่ง…” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยอ้าปากนับ ฮุ่ยหยวนหยูก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าเสนอสามพันเหรียญ” 


 


 


ไม่มีใครสนใจเขา อวิ๋นเยี่ยยังคงนับต่อไป “สอง สาม ตกลง ม้าตัวนี้ตกเป็นของท่านเซียว” แค่ทุบค้อน การซื้อขายก็เสร็จสมบูรณ์ ที่จริงอวิ๋นเยี่ยอยากจะขายเครื่อวแก้วให้กับฮุ่ยหยวนหยู แต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าเงินทอง ในโรงละครไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ แม้แต่ตกใจยังไม่มี ดูเหมือนว่าถ้าอวิ๋นเยี่ยขายราคาสูงให้ชาวเกาลี่ถึงจะเป็นเรื่องแปลก 


 


 


ไม่มีใครรู้ว่ามีสมบัติล้ำค่าพวกนี้เหลืออยู่กี่ชิ้นบนโลก ขายหนึ่งชิ้นก็เท่ากับสูญเสียไปหนึ่งชิ้น พ่อค้าในฉางอันเห็นว่าพวกขุนนางซื้อไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือจะไม่ตกถึงตัวเอง เตรียมป้ายไว้ให้อวิ๋นเยี่ยล่วงหน้าตั้งนานแล้ว พร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ ตระกูลที่มีอำนาจแท้จริงแล้วจะไม่ลงมือด้วยตัวเอง พวกลงมือด้วยตัวเองล้วนแต่เป็นพวกขุนนางที่ใจกว้างพวกนั้น 


 


 


ทูตเกาลี่สั่นไปหมดทั้งตัว ฮุ่ยหยวนหยูยืนขึ้นชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ขุนนางอวิ๋น ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูงสุด แต่เหตุใดข้าเสนอราคาสูงแล้ว เจ้ากลับขายให้กับผู้ที่เสนอราคาต่ำกว่าข้า ข้าจะฟ้อง” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยุ่งอยู่กับการหยิบเครื่องแก้วออกมาจากกล่อง ได้ยินที่เขาถามก็ตอบกลับไปโดยไม่หันหน้าว่า “นั่นสำหรับคนต้าถังของข้า ไม่นับรวมพวกเจ้า ถ้ามีเหลือก็ตกถึงเจ้าอยู่แล้ว จะรีบทำไม” 


 


 


พ่อค้าของต้าถังที่อยู่ในห้องโถงต่างพากันหัวเราะดังขึ้นมา จนเพดานของห้องโถงเกือบจะยกออกไป ฮุ่ยหยวนหยูและพ่อค้าของเมืองอื่นทั้งอับอายทั้งโมโห ไฟของความโมโหกำลังลุกไหม้ แต่สภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ แต่ละคนทำได้แค่กัดฟัน เตรียมที่จะเดินออกไปจากห้องโถงที่ทำให้พวกเขาต้องอับอาย 


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง อวิ๋นเยี่ยก็หยิบนกยูงตัวหนึ่งออกมาจากกล่อง มีคนที่มีแขนมีขานั่งอยู่ข้างบน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา มีปากสีแดง ขนสีน้ำเงินเขียว ราวกับมีชีวิต ตัวคนก็มีรูปร่างที่งดงาม หาที่เปรียบไม่ได้ 


 


 


ความโลภปรากฏขึ้นในดวงตาของฮุ่ยหยวนหยู ชาวหูคนอื่นๆ ก็หยุดเดิน ในสายตาไม่มีอะไรนอกจากนกยูงสีฟ้า กลุ่มผู้คนรวมตัวกันและพูดพึมพำ ฮุ่ยหยวนหยูในฐานะตัวแทนโค้งคำนับถวายพระพรหลี่ซื่อหมิน และทูลถามฝ่าบาทดังๆ ว่า “สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังที่เคารพ เกาลี่ของเรามีความกรุณาต่อราชวงศ์ถังมาโดยตลอด ของประจำปีที่ส่งให้ฝ่าบาทก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย เมืองข้าเคารพฝ่าบาทถึงเพียงนี้ เหตุใดวันนี้ถึงได้ทำให้พวกข้าอับอายเช่นนี้ ฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วย” 


 


 


ต้าถังผู้น่าสงสารยังไม่ถึงจุดสูงสุดของความรุ่งโรจน์ ยังอยู่ในช่วงของหลี่จื้อ ทูตของเกาลี่กล้าพูดออกมาแบบนี้ เขาคงจะผิดหวังไปตั้งนานแล้วถึงได้หยิ่งผยองแบบนี้ ตอนนี้ต้าถังกำลังเตรียมพร้อมสำหรับชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้ ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะถูกโจมตีทั้งสามทาง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยแอบดีใจ ที่ในที่สุดก็มีโอกาสเอาเปรียบคนพวกนี้ มีพวกเสนอราคามาก่อน พวกคนที่นั่งแถวหน้าก็ต้องบ้าคลั่งมากขึ้นแน่นอน รอฟังว่าหลี่ซื่อหมินจะพูดกับทูตพวกนี้อย่างไร 


 


 


เป็นไปอย่างที่คิดไว้ หลี่ซื่อหมินพูดอย่างขี้เกียจว่า “อวิ๋นเยี่ย อย่าเพิกเฉยต่อราคาที่ท่านทูตเสนอมา เจ้าต้องปฏิบัติต่อแขกทุกคนที่มาในงานวันนี้อย่างยุติธรรม สมบัติพวกนั้น เจ้าต้องมีธรรมคุณ เจ้าบอกว่าจะขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูงมิใช่หรือ ก็ต้องทำเช่นนั้น” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยก้มหน้ารับคำสั่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดกับฮุ่ยหยวนหยูว่า “ในเมื่อฝ่าบาทพูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องเชื่อฟัง ชิ้นที่แล้วก็ปล่อยมันไป เริ่มต้นที่นกยูงสีฟ้าตัวนี้ ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาท” 


 


 


เห็นว่าบรรลุเป้าหมาย ทูตของชนเผ่าเกาลี่ ชนเผ่าเซวียเหยียนถัว และชนเผ่าถู่อวี้หุนก็ไม่คิดอะไร และเดินกลับมานั่งที่เดิม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของพ่อค้าชาวหู รอให้การประมูลเริ่มขึ้นอีกครั้ง 


 


 


พระภิกษุสงฆ์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขุนนางอวิ๋น เจ้าอย่าเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่านกยูงสีฟ้า ระวังเจ้าจะตกนรกอย่างทุกข์ทรมาน” 


 


 


“พระภิกษุสงฆ์ท่านนี้คือใคร” อวิ๋นเยี่ยถามเหอเซ่าที่ยืนอยู่ข้างหลัง เหอเซ่าพยายามลืมตาขึ้นมาดู รีบพนมมือและบอกว่า “ท่านนี้คือท่านไต้ซือจิวหมัวซือ อยู่ในที่ราบตอนกลางมาสามสิบปีแล้ว ท่านคือพระภิกษุสงฆ์ที่ผู้คนต่างเข้าเคารพนับถือ อย่าเสียมารยาท” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรีบพนมมือด้วยความเข้าใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือ นี่เป็นเพียงนกยูงธรรมดา เหตุใดท่านต้องบอกว่านี่คือพระพุทธรูป ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ไต้ซือโปรดชี้แนะ” 


 


 


จิวหมัวซือบอกว่า “ขุนนางอวิ๋นไม่เคยออกบวช ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา ให้ข้าได้อธิบายให้ทุกท่านฟัง ในพุทธศาสนามีผู้ที่ทรงพลังชื่อว่าราชานกยูง หรือที่เรียกกันว่ามารดาของพุทธศาสนา ขจัดพิษภัยทั้งปวง ทำให้สรรพสัตว์มีชีวิตที่สงบสุข เจ้าดูสิ บนนกยูงมีคนนั่งอยู่ ในมือถือดอกบัว ผลไม้แห่งความเมตตา ผลไม้มงคล และสมุนไพรหางนกยูง สี่อย่างที่ถืออยู่นั้น ดอกบัวแสดงถึงความเคารพและความรัก ผลไม้แห่งความเมตตาแสดงถึงการรู้จักปรับตัว ผลไม้มงคลแสดงถึงการได้รับ และสมุนไพรหางนกยูงแสดงถึงการบรรเทาภัยพิบัติ นี่คือสมบัติของศาสนาพุทธที่หายาก” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้เรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน อาจารย์หลีสือเป็นคนวาดภาพพวกนั้น เขามีความรู้กว้างขว้าง แถมยังดูถูกอวิ๋นเยี่ยที่ไม่มีความรู้ เขาไม่มีทางบอกความรู้พวกนี้ให้อวิ๋นเยี่ยฟังแน่นอน ได้ยินที่จิวหมัวซือพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่านี่คือของดีที่มีราคา 


 


 


“ข้ายอมจ่ายเงินสองพันเหรียญซื้อพระพุทธรูปองค์นี้ของอวิ๋นเยี่ย” 


 


 


จิวหมัวซือมีเงิน? นี่คือพระภิกษุสงฆ์ที่ทุกคนเคารพนับถือไม่ใช่เหรอ ทำไมควักเงินออกมาสองพันเหรียญได้ในพริบตา ต้องรู้ว่าสองพันเหรียญไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ข้าวสารถังหนึ่งอย่างน้อยก็ราคาสี่เหวิน เงินหนึ่งเหรียญเท่ากับหนึ่งพันเหวิน สองพันเหรียญซื้อขายข้าวสารได้ตั้งเท่าไหร่ เขาเก็บเงินจากผู้คนที่ศรัทธาตนเองมาแล้วเท่าไหร่? ดูเหมือนว่าวัดจะหาเงินได้ดีเลย 


 


 


“หากไต้ซืออยากได้ก็ไม่มีปัญหาขอรับ แต่เมื่อกี้ฝ่าบาทบอกแล้วว่าให้ขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูง หวังว่าท่านก็เข้าใจ” พูดเสร็จ คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับเขาทันที ฮุ่ยหยวนหยูรีบเสนอราคาขึ้นมา “สามพันเหรียญ” ครั้งนี้เขาถือคติว่าเขาต้องได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสมบัติ ถึงแม้ว่ามันขี้หมาเขาก็จะต้องแย่งมาให้ได้ 


 


 


ทูตของเซวียเหยียนถัวกระโดดออกมาและพูดว่า “วัวสามร้อยตัว” 


 


 


หลี่ซื่อหมินที่นอนอยู่บนเก้าอี้ก็กระตุกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว วัวของต้าถังไม่เคยจะพอใช้ ตอนนี้เขายังกังวลอยู่ว่าจะจ่ายค่าวัวห้าพันตัว ผ้าไหม เสบียง และเครื่องเหล็กพวกนั้นให้เซวียเหยียนถัวอย่างไร คิดไม่ถึงว่าทรายกองหนึ่งก็แลกวัวมาได้สามร้อยตัว 


 


 


“ซื่อหมิน ไม่สามารถปล่อยเครื่องแก้วพวกนี้ไว้กับอวิ๋นเยี่ย ในเมื่อนกยูงตัวหนึ่งสามารถแลกวัวได้สามร้อยตัว สำหรับต้าถังแล้วสามารถพูดได้ว่าเป็นธุรกิจที่แทบจะไม่ต้องลงทุน แลกวัวได้ ก็แลกม้ารบได้ แล้วยังแลกแกะได้ แถมยังแลกเครื่องเหล็กของชนเผ่าเกาลี่ได้อีก แร่ธาตุสีแดง เราไม่ต้องจ่ายค่าอะไรทั้งนั้น มากสุดก็แค่เม็ดทราย เรารอดแล้ว” 


 


 


พอจั่งซุนคิดว่าตัวเองไม่ต้องเสียอะไรก็สามารถมีทรัพย์สมบัติทั่วโลกได้ หน้าของนางก็แดงขึ้นมาทันที หลี่ซื่อหมินก็ลุกขึ้นนั่ง คิดอยู่พักหนึ่งก็เอนตัวลงไปนอนอีกครั้งแล้วพูดกับจั่งซุนว่า “ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยคงโมโหน่าดู ถ้าเขาไม่ได้ระบายก็คงจะไม่ตั้งใจทำงาน ครั้งนี้ก็ปล่อยให้เขาได้เล่นอย่างเต็มที่สักครั้งเถอะ เราติดหนี้เขามาเยอะแล้ว” 


 


 


พ่อค้าในฉางอันยังคงไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้ พวกเขาอ้าปากค้าง มองดูสามตระกูลที่เสนอราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ในใจรู้สึกอิจฉามาก เงินทองแดงที่ได้จากสมบัติพวกนี้ เทียบเท่ากับเงินที่ตัวเองหามาเป็นปี 


 


 


เห็นว่าสุดท้ายแล้วชนเผ่าเซวียเหยียนถัวเสนอราคาเป็นวัวห้าร้อยตัว ล้วนแต่เสียดาย ไม่อยากเสียนกยูงที่อยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ยไป พวกพ่อค้าต้าถังในห้องโถงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า 


 


 


หัวใจและรูขุมขนของเว่ยเจิงกำลังร้องดัง ไม่ว่านกยูงตัวนั้นจะมีราคาแพงแค่ไหน แต่ในสายตาของเขาก็เทียบไม่ได้กับวัวห้าร้อยตัว ทรัพย์สินเงินทองอะไรก็ช่าง ขอแค่มีวัวห้าร้อยตัวนี้ ก็สามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกได้ตั้งมากมาย นี่คือรากของต้าถัง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบเครื่องแก้วหมาป่าตัวใหญ่ที่เหมือนกันออกจากกล่องมาสองตัว หมาป่าสองตัวนี้กำลังร้องโหยหวน มีเขี้ยวที่แหลมคมและแขนขาที่แข็งแรง ดูมีพลัง 


 


 


ไฟที่ส่องไปยังหมาป่าทั้งสองตัวก็ดับลงในทันที ผู้คนในโรงละครต่างก็ประหลาดใจ เห็นว่าดวงตาทั้งสี่ของหมาป่ายังคงเปล่งแสง และมีแสงสีเขียวยาวประมาณนิ้ว ทำให้หมาป่าทั้งสองกลายเป็นหมาป่าสีเขียวที่น่าเกรงขาม ราวกับว่าพวกมันเป็นวิญญาณหมาป่าที่ชั่วร้าย และพร้อมที่จะกัดกินใครสักคน 


 


 


ไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง แสงสีเขียวก็ค่อยๆ จางหายไป หมาป่าก็ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ขยับไปไหน ฉากเมื่อกี้ทำให้ทุกคนคิดว่าพวกเขาอยู่ความฝัน ต่างพากันเงียบไม่พูดอะไร 


 


 


ชมเผ่าอาซือน่าเป็นชนเผ่าหัวหน้าของแดนฉ่าวหยวน ว่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นหมาป่า สมาชิกทุกคนในชมเผ่าอาซือน่าต่างมีรอยสักรูปหัวหมาป่าที่หน้าอก ซึ่งมีท่าทางที่กำลังร้องโหยหวนเหมือนกัน 


 


 


ชาวชนเผ่าเซวียเหยียนถัวรีบลุกขึ้นยืนทันที “วัวหนึ่งพันตัว” อวิ๋นเยี่ยไม่รู้สึกอะไร เขาหันหน้าไปทางชนเผ่าถู่อวี้หุน ถอนหายใจยาวแล้วอ้าปากตะโกนราคาวัวหนึ่งพันห้าร้อยตัว 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้ดี พวกเขาก็รู้ดี แม้แต่หลี่ซื่อหมินที่หลับตาอยู่ก็รู้ดี ขอแค่พวกเขาทั้งสองชนเผ่าส่งหมาป่าสองตัวนี้ไปยังแดนเติร์กตะวันตกที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลทราย พวกเขาก็จะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้นในทันที 


 


 


ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย หลี่จิ้ง ถังเจี่ยนและคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นยืนทันที หลี่จิ้งตะโกนว่า “อวิ๋นเยี่ย ของชิ้นนี้ขายไม่ได้ มันจะทำให้ต้าถังต้องเดือดร้อน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มให้หลี่จิ้งและพูดว่า “ฝ่าบาทบอกแล้วว่า ขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูง” 


 


 


ตอนนี้ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวตกอยู่ภายใต้การคุกคามของต้าถัง ที่เขามาต้าถังในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงกับต้าถัง และไม่ถูกคุกคามจากสงครามอีก ใครจะรู้ว่าเขาจะได้มาเจอกับสมบัติที่ดีแบบนี้โดยบังเอิญ แค่ส่งของชิ้นนี้ไปให้เเดนเติร์กตะวันตก พวกเขาก็จะได้เป็นพันธมิตรกัน แบ่งปันความสุขร่วมกัน สู้ด้วยชีวิตก็จะต้องเอามาให้ได้ 


 


 


ชนเผ่าถู่อวี้หุนก็มีความคิดที่เหมือนกัน คนที่มาในครั้งนี้คือผู้เฒ่าท่านหนึ่ง และเขาก็เห็นความสำคัญของหมาป่าสองตัวนั้นเหมือนกัน 


 


 


ภายใต้การตักเตือนของหลี่จิ้ง อวิ๋นเยี่ยก็ยังคงเป็นนักธุรกิจ ไม่รู้สึกอะไร เพื่อไม่ให้สถานการณ์เปลี่ยนไป ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้หุนก็ได้ร่วมมือกัน ตัดสินใจซื้อหมาป่าสองตัวนี้ด้วยวัวจำนวนสองพันตัว จากนั้นก็แบ่งกันคนละตัว 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก หยิบค้อนออกมาจากแขนเสื้อ และทุบลงไปที่หัวของหมาป่า หัวของหมาป่าก็แตกกระจายทันที 


 


 


ท่ามกลางสายตาที่ตกใจของทุกคน อวิ๋นเยี่ยบอกกับผู้ซื้อทั้งสองฝ่ายว่า “ตอนนี้เหลือแค่ตัวเดียว ข้าต้องการราคาเป็นสามเท่า” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)