เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 23-24
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 23 ความรู้สึกของเว่ยเจิง
วันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว วันนี้เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่อวิ๋นเยี่ยได้จัดเตรียมมาตลอดทั้งปี ต้นการบูรถูกขนส่งไปยังตรอกซิ่งฮว่าฟาง ถุงข้าวที่บรรจุอย่างสวยงามก็ถูกนำไปที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางเช่นกัน นักร้องที่สวยงามและนักแสดงหนุ่มรูปหล่อจำนวนมากต่างก็ขึ้นรถม้าเดินทางไปยังตรอกซิ่งฮว่าฟาง มีกลิ่นหอมออกมาจากรถม้าสองสามคันที่มุ่งหน้าเข้าไปในตรอกซิ่งฮว่าฟางอย่างช้าๆ ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็ครึกครื้นกันขึ้นมา
“ดูสิ คนที่ถือผีผาคนนั้นคือแม่นางกวน แต่นางมีผ้าคลุมหน้าทำให้มองไม่ชัด ได้ยินมาว่านางน่ะทำให้ท่านหม่าหลงใหลจนขายทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษให้นางเชียวนะ แต่สุดท้ายท่านก็ไม่ได้อะไรเลย”
“กล่องดาบที่นักรำดาบถืออยู่คือดาบของตระกูลกงซุน หา แม่นางที่สามของตระกูลมาด้วยตัวเองเหรอเนี่ย ท่านอวิ๋นต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยแน่ๆ”
“คนตาบอดคนนั้นเป็นใคร ทำไมคนตาบอดถึงมาร่วมสนุกด้วย” ไอ้ทะลึ่งคนหนึ่งพึ่งพูดเสร็จ ก็ถูกมือของชายแก่คนหนึ่งฟาดลงอย่างแรง “ตาบอดอะไร เจ้าน่ะสิตาบอด นั่นคือฉินวัง นักดีดพิณอันดับหนึ่งของเมืองฉางอัน” พูดเสร็จเขาก็ลูบเคราของตัวเองแล้วพูดด้วยความคิดถึงว่า “สองสามปีที่ผ่านมา เขาถูกเพื่อนเก่าส่งตัวไปเป็นขุนนางที่เมืองอื่น ข้ากับคนอื่นๆ ไปส่งเขาออกเดินทางมา เขาดีดพิณอยู่ที่หอเอี้ยนไหลโหลว นึกว่าเสียงเพลงของสวรรค์ ตื่นขึ้นมานึกว่าตัวเองอยู่ในความฝัน”
“หน้าอกของเหย่าเหนียง ขาของจิ้งจอกสาว ก้นของลูกสาวตระกูลจาง เจ้าเคยลิ้มรสมาแล้วกี่อย่าง” ไอ้ทะลึ่งถูกทุบตีอย่างไม่เต็มใจ ได้ยินว่าชายแก่เคยไปที่หอเอี้ยนไหลโหลวก็อ้าปากพูดเยาะเย้ย ชายแก่โมโห จนทำให้เกิดความวุ่นวาย
แทบจะไม่สามารถเข้าไปในตรอกซิ่งฮว่าฟางได้ เทียบกับบ้านหลังอื่นแล้วกำแพงโรงละครสูงกว่ามาก ด้านบนยังเต็มไปด้วยเหล็กแหลม หน้าประตูทางเข้ามีทหารที่ใส่เสื้อเกาะยืนเฝ้าอยู่สองสามคน ดูผู้คนอย่างเงียบๆ แต่คนก็เอาแต่ยืนเบียดกัน ไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า
พ่อบ้านร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมาด้วยเสียงหัวเราะและตะโกนว่า “ทุกท่าน วันนี้เป็นวันดีของการเปิดตรอกซิ่งฮว่าฟาง ทางเจ้าภาพได้สั่งให้ข้าน้อยนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาขอบคุณทุกท่าน กรุณาเข้าแถว คนรับใช้ของเราจะทำการแจกจ่ายให้ทุกท่านทีละคน”
ได้ยินข่าวดี ผู้คนก็รีบเรียงแถวยาว คนรับใช้ถือตะกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่หลายใบ ตะกร้าไม้ไผ่แต่ละใบมีกระเป๋าผ้าขนาดเล็กจำนวนมาก ไม่อาจรู้ได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น
ไอ้ทะลึ่งคนนั้นรีบแซงเข้าไปอยู่หน้าสุด ยื่นมือออกไปรอรับของขวัญ คนรับใช้ยิ้มและยื่นกระเป๋าผ้าให้เขา บอกว่าเขาสามารถออกไปได้แล้ว หลังจากออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเปิดกระเป๋าผ้าดู แต่กลับเห็นว่าข้างในมีห่อใบบัวสองสามชิ้น พอเปิดออกก็มีก้อนเนื้ออยู่ข้างใน ดมดูมีกลิ่นหอม โยนเข้าปากก็รู้สึกว่ามันเป็นเนื้อแห้งๆ มีรสชาติหวานและมีรสเค็มอยู่เล็กน้อย เคี้ยวแรงๆ สองสามครั้ง รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมออกมาทุกครั้งที่เคี้ยว ไม่ทันได้รู้ตัว ก้อนเนื้อที่อยู่ในมือก็ถูกกินจนหมด
มองไปที่แถวยาวของผู้คนก็รู้สึกหดหู่ ทำไมไม่เหลือก้อนเนื้ออร่อยๆ อย่างนี้ไว้ให้น้องสาวบ้าง ทำได้แค่เสียใจ จากนั้นก็ยื่นหูไปฟังว่าคนอื่นพูดอะไร
“นี่คือเนื้อวัวอบแห้ง ของดีเลยทีเดียว ครึ่งกิโลตั้งหนึ่งร้อยเหรียญ” ได้ยินคนอื่นพูดแบบนี้ ไอ้ทะลึ่งยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่ ตบปากของของตัวเองสองสามทีอย่างแรง รู้สึกผิดที่น้องสาวไม่ได้กินเนื้อวัวนี้ รู้สึกสงสาร จะไปต่อแถวอีกก็ไม่ได้ ไอ้ทะลึ่งไม่ยอมเสียหน้า เดินก้มหน้ากลับบ้าน ไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะดูสาวสวย
จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาตบไหล่เขา แต่เมื่อหันไปมอง กลับเป็นพ่อบ้านร่างท้วมคนนั้น เขายื่นกระเป๋าผ้าให้ไอ้ทะลึ่งสองใบแล้วพูดว่า “เอากลับไปให้พี่ๆ น้องๆ ชิม นี่เป็นสินค้าของชนเผ่าฉ่าวหยวน ที่ฉางอันของเราไม่มี เพราะฆ่าวัวที่ฉางอันต้องถูกลงโทษ วันนี้คนเยอะ จะให้เจ้าเยอะไม่ได้ เอาไปชิมก็พอ” พูดเสร็จก็ตบไหล่ไอ้ทะลึ่งอีกครั้ง และก็รีบกลับไปแจกของขวัญให้คนอื่นๆ ต่อ
คนป่าเถื่อนที่ถูกพวกขุนนางทุบตีเป็นสามสิบกว่าทียังไม่หลั่งน้ำตา กลับรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลออกมา กลัวคนอื่นจะเห็น เลยรีบก้มหน้าวิ่งกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว
วัวสองสามตัวถูกแจกออกไปแบบนี้ เหอเซ่าไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด เขายิ้มและมองดูผู้คนค่อยๆ แยกย้ายกันไป รู้แล้วว่าเนื้อวัวอบแห้งที่มีชื่อเสียงนี้จะต้องเป็นที่นิยมขึ้นมาในฉางอันแน่นอน
กองทัพทหารมาถึงแล้ว พวกเขาเหมือนฝูงหมาป่าเข้ามาล้อมผู้คน จากนั้นก็ลงชื่อที่อยู่ทีละคน คนที่ผ่านอะไรมาแล้วมากมายอย่างแม่นางที่สามของตระกูลกงซุนก็รู้สึกตัวขึ้นมา วันนี้ฝ่าบาทจะมา? รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที หันไปพูดกับนักดีดพิณว่า “การร่ายรำวันนี้ไม่เอาจังหวะช้า เอาจังหวะเร็ว ชื่อเสียงของตระกูลกงซุนจะดังไม่ดังก็ขึ้นอยู่กับคืนนี้”
แม่นางกวนที่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปที่แม่นางที่สามอย่างไม่เชื่อ พวกเธอมีอาชีพเดียวกัน แม่นางที่สามพยักหน้าให้นาง พอรู้ว่าหมายถึงอะไร แม่นางกวนก็รีบนั่งลงทันที และเริ่มปรับสายผีผาอยู่ด้านหลัง แถมยังเปลี่ยนสายใหม่ เล็บปลอมบนนิ้วของนางนั้นสีเริ่มจางแล้ว เธอมองดูนิ้วที่เรียวยาว ทาเล็บด้วยน้ำมันอีกครั้ง คืนนี้ต้องไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น
ใกล้จะหัวค่ำ คนรับใช้ถือตะกร้าอาหารขนาดใหญ่ อาหารคนละกล่อง เหล้าคนละกระบอก กล่องอาหารทำมาจากเหล็กบางๆ มีลายดอกบัวอยู่ด้านบน ดูก็รู้ว่าทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ดอกบัวเหมือนกันทุกดอก กล่องข้าวก็เหมือนกันทุกกล่อง
ตั้งแต่นักแสดงไปจนถึงสาวใช้ ตั้งแต่นักเต้นรำหูเฉวียนไปจนถึงพวกใช้แรงงาน ทุกคนคนละหนึ่งชุด ไม่มีการปฏิบัติที่แตกต่าง ชาวเผ่าหูคนหนึ่งจับแขนของคนรับใช้และพูดว่า “เจ้าให้ข้าทานของพวกนี้? เหมือนกับพวกแรงงาน?”
คนรับใช้ยิ้ม ปัดมือของชาวเผ่าหูออกแล้วพูดว่า “นี่เป็นกฎของตระกูลเรา วันนี้ทานสิ่งนี้ ถ้าท่านยังไม่พอ ข้าจะไปเอามาเพิ่มให้ แต่ถ้าท่านอยากทานอย่างอื่น ไม่มีขอรับ นายท่านของพวกเราก็ทานสิ่งนี้ จะให้ข้าไปเอาของนายท่านเรามาให้ท่านดูไหมขอรับ”
พูดเสร็จเขาก็ยังคงยิ้ม ไม่สนใจชาวเผ่าหูเลยแม้แต่น้อย หันไปเปิดกล่องอาหารให้สาวใช้ที่ไม่รู้ว่าเปิดอย่างไรด้วยการบิดกระบอกไม้ไผ่ บอกเธอว่ามีเหล้าอยู่ในนั้น แถมยังสอนเธอใช้ช้อนอย่างพอใจ
อาหารก็อร่อย เป็นสิ่งที่พูดออกมาได้ หมูผัดซอสแดงชิ้นใหญ่ แม่นางที่สามของตระกูลกงซุนทานแล้วยังต้องชม กองทัพทหารคิดไม่ถึงว่าจะมีส่วนแบ่งของพวกเขาด้วย เพื่อความปลอดภัย ผู้นำของกองทัพสั่งอาหารแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ข้าวกล่องหนึ่งก็กินหมดแล้ว เหล้ากระบอกหนึ่งก็ดื่มหมดแล้ว และอาหารเย็นก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย พวกคนรับใช้ยกเก้าอี้มาให้นักแสดงที่ต้องแสดงในคืนนี้ พวกเขาจะได้พักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง แล้วยังแยกชายหญิงเพื่อความสะดวกด้วย นี่คือการดูแลเพียงอย่างเดียวที่แม่นางที่สามและคนอื่นๆ ชื่นชอบ
คืนนี้เมืองฉางอันไม่มีกฎต้องห้ามยามค่ำคืน และนี่ก็คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยพยายามไปต่อสู้เอามาได้ เมื่อพระอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ ขบวนรถม้าก็ออกเดินทางมาจากที่ต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และมารวมตัวกันที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง
เนื่องจากหลายตระกูลมีหญิงสาวมาด้วย ก็เลยมีเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอยู่ตลอดทั้งทางอย่างไม่ขาดสาย ค่ำคืนนี้ของเมืองฉางอันจะต้องถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ก่อตั้งต้าถังมา นี่เป็นครั้งแรกที่ยกเลิกกฎต้องห้ามตอนกลางคืน ทั่วทั้งฉางอันก็ดูเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที พ่อค้าแม่ค้าต่างพากันแบกตะกร้าออกมาขายของให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ชายชนเผ่าหูที่ไว้หนวดไว้เคราเอาพรมมาห่มที่ตัว แสดงให้คนที่ผ่านไปผ่านมาดูว่าพรมของพวกเขาสวยงามแค่ไหน
หลี่ซื่อหมินที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูตำหนักไท่จี๋ มองออกมาที่เมืองฉางอัน เห็นว่าเมืองฉางอันที่เคยไร้ชีวิตชีวากลับมามีชีวิตอีกครั้ง บนท้องถนนเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวราวกับว่ามีแม่น้ำแห่งแสงไฟไหลไปทางตรอกซิ่งฮว่าฟาง
ไอ้หมอนี่ไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าคืนนี้จะเป็นคืนที่ยอดเยี่ยม จักรพรรดิเหงาขนาดไหน หลี่ซื่อหมินจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร ชมการร้องรำทำเพลงในราชวังคนเดียวน่าเบื่อเป็นที่สุด ต้องอยู่ต่อหน้าคนอื่นถึงจะดูเป็นจักรพรรดิที่สูงส่ง ตอนนี้มีโอกาสอันดีถึงเพียงนี้ เขาจะอดใจไหวได้อย่างไร
จั่งซุนคลุมเสื้อกันลมให้เขา ยามดึกของฤดูใบไม้ร่วงเริ่มมีอากาศเย็น มองดูจั่งซุนที่ใส่เสื้อคลุมเหมือนกัน หลี่ซื่อหมินจับมือซ้ายของนางและพูดว่า “เจ้ารับปากคำเชิญของอวิ๋นเยี่ย ตอนนี้ถึงเวลาให้ข้าไปตามนัดกับเจ้าแล้ว ไปดูว่าคืนนี้ไอ้หมอนั่นคิดจะทำอะไร”
จั่งซุนใช้มือขวาหยิบใบไม้สีเหลืองที่พัดตกบนไหล่ของหลี่ซื่อหมินแล้วบอกว่า “หม่อมฉันขอให้คืนนี้เขาโชคดีและประสบความสำเร็จตามปรารถนาของเขา ให้เขาหลอกทุกคนได้สำเร็จ”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะและจับมือจั่งซุนออกจากตำหนักไท่จี๋ ความจริงเขาอยากเห็นคนพวกนั้นถูกโกงแต่พูดอะไรไม่ได้
เว่ยเจิงพาภรรยาและลูกชายของเขามาถึงที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางตั้งนานแล้ว เขาแค่อยากจะเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำเรื่องครั้งนี้สำเร็จได้อย่างไร สมองของเขายังคงสับสน ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยมีความสามารถ แต่เขาแค่คิดไม่ออกว่าเขาจะใช้วิธีไหน แต่คืนนี้ภรรยาของเขาเอาเงินเก็บทั้งหมดของตระกูลมาด้วย เขาได้ดูบ้านที่อยู่ในตรอกซิ่งฮว่าฟางไว้แล้ว บ้านของตระกูลเว่ยทรุดโทรมเกินไป ปีหน้ากุ้ยหยู้ลูกชายคนโตก็จะต้องแต่งงาน จงหยู้ลูกชายคนรองกับชูหยู้ลูกชายคนที่สามมีความสามารถมากกว่าลูกชายคนโต ตระกูลเว่ยจึงไม่ยอมให้ลูกชายคนโตสืบทอดสกุล ก็เลยต้องใช้เงินทองมาชดเชยให้เขา
อวิ๋นเยี่ยยืนทักทายแขกผู้มีเกียรติอยู่ในเงามืด ข้างหลังมีคนพาแขกผู้มีเกียรติไปที่ห้องทีละคน เห็นกลุ่มคนที่แต่งตัวแปลกๆ จำนวนมากมาที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง รอยยิ้มของอวิ๋นเยี่ยยิ่งสดใสมากขึ้น จับมือกับชาวเผ่าหูแล้วเริ่มหัวเราะพูดจาเหลวไหล เห็นแบบนี้ เว่ยเจิงก็โล่งใจ
ดูจากรอยยิ้มของอวิ๋นเยี่ยแล้ว ก็สามารถบอกได้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อแขกผู้มีเกียรติในคืนนี้อย่างไร เมื่อเจอกับรัชทายาท เว่ยอ๋อง ซู่อ๋องมากับพี่ๆ น้องๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขยะแขยง เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ให้เงินทองกับเขาไม่ได้ เมื่อเจอกับตระกูลเฉิง หนิว ฉิน อวี้ฉือ เขายิ้มต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อหลี่จิ้งมาถึง เขากลับยิ้มแปลกๆ เมื่อฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ยมาถึง เขาก็กระซิบพึมพำข้างหูของทั้งสองคน ดูเหมือนจะตกลงอะไรกัน สำหรับพวกขุนนางที่เหลือ เขายิ้มอย่างร่าเริง หล่อเหลา สุดท้ายพวกพ่อค้าเผ่าหู เขาทำราวกับได้เจอพ่อแท้ๆ ของตัวเอง เคารพและกระตือรือร้นเป็นอย่างมากทีเดียว ทำให้คนที่พบเจอรู้สึกเหมือนเป็นเขาเป็นเจ้าภาพที่มีอัธยาศัยดี สำหรับพ่อค้าคนอื่นๆ แล้ว สายตาของเขาไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม มีแต่ความไม่แยแสและโหดร้าย
เว่ยเจิงถึงได้มีเหตุผลที่จะเชื่อว่า คืนนี้คนที่โชคร้ายที่สุดคือพ่อค้าชนเผ่าหู ต่อมาคือพ่อค้าพวกนั้น สุดท้ายคือพวกขุนนาง แต่ไม่รู้ว่าเขาจะจัดการกับหลี่จิ้งอย่างไร นี้คือปัญหาที่ยากลำบาก แต่หลี่จิ้งเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ ทั้งสองคนคงจะต้องมีการต่อสู้กันขึ้นแน่ๆ คิดแบบนี้ เว่ยเจิงก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา อยากจะให้งานประมูลครั้งนี้เริ่มขึ้นเร็วๆ
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 24 ฉินอ๋องทำลายข้าศึก
เว่ยเจิงรอให้ขุนนางทุกคนเข้าไปกันหมด เขาถึงได้เข้าไปที่ห้องของตัวเองบ้าง ยังไม่ต้องดูของตกแต่งภายใน แค่เห็นลูกบิดประตูที่ทำจากทองคำและแกะสลักเป็นลวดลายมังกรที่ประตู ก็สามารถจินตนาการถึงความหรูหราของห้องข้างในได้แล้ว
เมื่อผลักประตูเข้าไป มีสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่หลังประตู บนหัวมีแค่ปิ่นปักผม ไม่มีเครื่องประดับอื่นๆ อีก แม้แต่ที่เขียนคิ้วที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงนางก็ไม่มี เรียบง่ายแต่กลับสุภาพอ่อนโยน หลังจากหมอบเคารพเสร็จ นางก็นั่งยองๆ ถอดรองเท้าให้เว่ยเจิง และเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้านุ่มๆ ให้เขา จากนั้นก็โค้งคำนับอีกครั้งและเดินกลับไปที่หลังประตูอย่างเงียบๆ ยืนกำมือด้วยความเคร่งขรึม
พรมนุ่มๆ ใต้เท้า เหยียบลงไปรู้สึกสบาย เงยหน้าขึ้นมองเห็นภรรยากำลังมองดูของตกแต่งที่อยู่ภายในห้อง กระถางดอกไม้สีเขียวสองสามกระถางเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด ใบไม้สีเขียวเข้มสลับกันไปมา ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ ดอกไม้และต้นไม้ที่หายากเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าที่นี่ก็มี
ลูกชายของเขา กุ้ยหยู้ยิ้มและช่วยประคองพ่อของตัวเองนั่งลง ตัวเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ กัน แต่เขามักจะขยับตัวไปมา ที่จริงเว่ยเจิงรักลูกชายคนโตคนนี้มากที่สุด เพราะตอนเด็กเขาเคยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หลังจากตื่นขึ้นมาเขาก็กลายเป็นคนซื่อๆ แบบนี้ และไม่ฉลาดเหมือนตอนเป็นเด็กอีกต่อไป โต๊ะตัวเตี้ยข้างเก้าอี้เต็มไปด้วยขนมนานาชนิด ถ้าเขาไม่แตะ ลูกคนนี้ก็ไม่มีทางที่จะแตะต้อง เว่ยเจิงหยิบขนมที่เขาชอบกินตอนไปเยี่ยมที่บ้านของตระกูลอวิ๋นแล้วยื่นให้ลูกชาย ขนมอันนี้กรุบกรอบ เคี้ยวเพลิน
“อาหลาง เจ้าลองคุยกับอวิ๋นเยี่ย ขอให้เขาขายบ้านถูกกว่านี้หน่อยได้ไหม ข้ารู้สึกว่าเงินของเราไม่พอ เจ้าดูสิ เศรษฐีทั่วทั้งฉางอันมากันหมด ถึงตอนนั้นหากซื้อไม่ได้ต้องอับอายมากแน่ๆ”
เว่ยเจิงมองไปตามมือที่ภรรยาชี้ เห็นว่าโรงละครแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยผ้าไหมและผ้าซาติน เดินตามคนรับใช้ไปยังที่นั่งของตนเอง
คนพวกนี้ล้วนเป็นผลผลิตของอวิ๋นเยี่ย บางคนเป็นผลผลิตจากการเกษตร บางคนเป็นผลผลิตจากการเลี้ยงสัตว์ และก็มีบางคนที่เป็นผลผลิตจากทองคำหินเหล็ก แต่น่าเสียดายที่พวกเขาต้องเจอกับคนที่เก็บผลผลิตเป็นเงินอย่างอวิ๋นเยี่ย คืนนี้ถูกกำหนดให้เป็นวันที่ดีในการเก็บเกี่ยวของอวิ๋นเยี่ย
“ฮูหยินไม่ต้องกังวล ถ้าเงินไม่เพียงพอก็ยังไม่ต้องให้ ติดไว้ก่อน มีเงินแล้วคอยคืน ไม่มีเงินก็ไม่คืน งานแต่งงานของกุ้ยหยู้มีความผิดต่อตระกูลญาติ ถึงแม้จะเป็นการหมั้นตั้งแต่เด็ก แต่ศีรษะของกุ้ยหยู้เคยได้รับบาดเจ็บ เขากลายเป็นคนซื่อๆ พูดจาไม่เป็น ตระกูลของเราก็เคยเสนอยกเลิกงานแต่งไปแล้วหลายหน แต่ก็ถูกตระกูลญาติปฏิเสธ ถ้างั้นเขาก็ต้องพิจารณาเรื่องเงินแทนพวกลูกๆ ไม่ให้เงินค่าบ้านแล้วเขาจะทำอันใดกับข้าได้” คำพูดของเว่ยเจิงทำให้ภรรยาของเขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขายังเป็นอาหลางคนที่ซื่อสัตย์ของตัวเธออยู่หรือเปล่า
“ฮูหยินไม่ต้องกังวลว่าข้าจะโลภมาก หากเป็นคนอื่น เอาเขาทองคำให้ข้า ข้าก็คงจะหัวเราะเยาะ แต่ถ้าเป็นอวิ๋นเยี่ย เอาเปรียบเขาได้ก็ควรเอาเปรียบ ข้าไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย”
เว่ยเจิงพูดถึงเรื่องการเอาเปรียบอย่างไม่รู้สึกผิด ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น มันยังไม่เพียงพอที่จะแสดงความเกลียดชังคนรวยของเขาได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาคิดว่าคนที่อยู่ในโรงละครตอนนี้ นอกจากคนส่วนน้อยที่มาชมการแสดง ส่วนที่เหลือก็คือลูกแกะที่ต้องถูกฆ่า
“อาหลาง อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเช่นนี้ สงสารก็แต่พวกท่านย่ากับซินเยว่ ตระกูลของเราจะเอาเปรียบเขาไม่ได้ เราจะเอาเงินทั้งหมดให้เขา ถ้ายังไม่มีก็ติดไว้ก่อน แต่เราจะไม่เบี้ยว” เว่ยฮูหยินพูดอย่างหนักแน่น
“ฮูหยิน พวกเจ้าคิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นไอ้ขี้แพ้จริงๆ น่ะเหรอ แต่ก็ใช่ ชื่อนี้แพร่กระจายไปทั่วฉางอัน ฮูหยินไม่ต้องกังวล ผ่านคืนนี้ไปเจ้าก็จะรู้ว่าเขาเป็นไอ้ขี้แพ้เช่นไร”
ทันใดนั้น ไฟในโรงละครก็พลันสว่างขึ้น เว่ยเจิงลุกขึ้นยืน ถ้าเดาไม่ผิด ฝ่าบาทน่าจะเสด็จมาถึงแล้ว เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากเป่าทรอมโบนเสร็จ ไฟในห้องตรงกลางก็สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน หลี่ซื่อหมินและฮองเฮายืนต้อนรับแขกอยู่ที่ระเบียงห้อง มีพ่อค้าที่เดินทางมาจากแดนไกลก้มหัวทำความเคารพอย่างตื่นเต้น และยังตะโกนของให้พระองค์ทรงพระเจริญ
หลี่ซื่อหมินบอกให้ทุกคนนั่งลงอย่างแผ่วเบาและกลับไปที่ห้องของตัวเองได้ แสงไฟของที่นั่นก็กลายเป็นแสงที่นุ่มนวลทันที ฉากเมื่อสักครู่ทำให้ทุกคนรู้สึกประทับใจ ราวกับว่ามีมังกรยักษ์โผล่หัวออกมาจากถ้ำเพื่อทักทายกับปวงชน จากนั้นก็กลับเขาไปในถ้ำดังเดิม คำพูดเพียงไม่กี่คำของหลี่ซื่อหมินทำให้เขาดูเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ หากเขาพูดมากเกินไป เกรงว่าความยิ่งใหญ่จะยิ่งลดน้อยลง
กลับเข้ามาในห้อง หลี่ซื่อหมินถอดรองเท้าและเดินเท้าเปล่าไปบนพรม ชื่นชมการตกแต่งของห้อง ที่ที่สามารถใช้ทองคำจะไม่มีการใช้ทองเหลือง ที่ที่สามารถใช้ไข่มุกและหยกก็จะไม่มีการใช้ของราคาถูก ม่านลูกปัดที่ใช้กั้นระหว่างระเบียงห้องล้วนทำมาจากไข่มุกขนาดเท่ากัน เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดกับจั่งซุนว่า “ข้านึกว่าไอ้หมอนี่โลภมากจะเอาหนึ่งพันเหรียญ คิดไม่ถึงว่ามันก็สมกับราคานี้จริงๆ ข้าชอบที่นี่มาก ให้รางวัลเขาหนึ่งพันเหรียญ”
จั่งซุนกำลังยืนมองบรรดาผู้คนที่เบื้องล่างอยู่หลังม่าน ได้ยินหลี่ซื่อหมินพูดเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วหันมาจับแขนของหลี่ซื่อหมิน แล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นเยี่ยจะเจ้าเล่ห์เพียงไหน แต่เขาก็เข้าใจคำว่าคุ้มค่า การที่จะตกแต่งห้องได้เช่นนี้ต้องใช้เงินเป็นพันเหรียญ ดอกเก๊กฮวยสองกระถางนี้บานได้สวยงามจับตา ข้าจะเอากลับไปยังพระราชวังด้วย เอาวางไว้ที่นี่ก็ไม่มีคนดูแล”
สองสามีภรรยาคุยกันอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าไฟในห้องโถงมืดลง แต่ไฟบนเวทีกลับสว่างไสวขึ้นมา มีชายร่างท้วมคนหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่บนเวที มองไปรอบด้านด้วยความหวาดกลัว และเมื่อบรรยากาศเงียบลง เขาถึงได้เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “งานประมูลในวันนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่าบาท ฮองเฮา องค์ชายรัชทายาท และแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาในงาน พวกข้ารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง เราได้เตรียมการแสดงร้องเพลงและเต้นรำไว้จำนวนหนึ่ง หวังว่าจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง” กว่าจะอ่านจบ เหงื่อที่หน้าผากของเขาก็ไหลลงมาราวกับลำน้ำ ยิ่งที่นั่งใกล้ก็ยิ่งมองเห็น ทำให้ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา มองดูแผ่นหลังที่เปียกชื้นของเจ้าอ้วน พวกเขาก็หัวเราะลั่นขึ้นอีก
“คนปอดแหกเช่นนี้ก็เอาออกมาแสดงให้ทุกคนเห็น รอบตัวอวิ๋นเยี่ยไม่มีใครอื่นแล้วหรือ ขายหน้าจริงๆ ถ้าตระกูลของข้ามีคนปอดแหกเช่นนี้ ข้าจะตีให้ตาย สร้างโรงละครอะไรขึ้นมาหรูหรา อวิ๋นเยี่ยก็มีความสามารถเพียงเท่านี้” ชายแก่ผมขาวถอนหายใจอยู่ในห้อง คิดว่าบรรดาเด็กพวกนี้ไม่มีใครมีความสามารถเลยสักคน
หลี่เฉิงเฉียนนั่งหัวเราะอยู่ที่ระเบียงระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง มีหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองที่อยู่ข้างๆ คอยจับเขาไว้ กลัวว่าเขาจะตกลงไป ระหว่างเขาทั้งสองไม่มีอะไรมากั้น ทั้งสองจึงใกล้ชิดกันมาก
“ถานเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าไอ้หมอนั่นมันเสแสร้งแกล้งทำ ปกติเขาเป็นคนกล้าหาญเจ้าเล่ห์ที่สุด ตอนนี้กลับกลัวจนเหงื่อออก มันต้องมีปัญหาแน่ๆ เจ้าบอกเสด็จพ่อของเจ้าหรือยังว่า คืนนี้ห้ามซื้อเครื่องแก้วเด็ดขาด” ในระหว่างที่หลี่เฉิงเฉียนถามคำถาม พวกเขาก็จับมือกันอยู่ตลอด ไม่ยอมปล่อยมือ ฉางเล่อที่เฝ้ามองอยู่ข้างหลังกำลังจะบอกให้พวกเขาอยู่ห่างๆ กัน นี่คือหน้าที่ที่เสด็จแม่สั่งให้เขาทำ
คิดไม่ถึงว่าจะมีมือยื่นออกมาปิดปากของเขาจากทางด้านหลัง ลากเขาออกมาทางประตู ไม่นานก็มีคนอุ้มเขาเข้าไปในห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว องครักษ์ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเห็น ยังคงยืนเป็นเสาไม้อยู่ที่นั่นดังเดิม
ฉางเล่อกลัวจวนจะเป็นลม แต่เขาก็โดนปล่อยในที่สุด แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง “เด็กโง่ ก็เห็นอยู่ว่าพวกเขาต้องการความเป็นส่วนตัว เจ้าจะยืนอยู่ที่นั่นทำไม ไม่รู้เรื่องเลย”
น้ำตาของฉางเล่อที่กำลังจะไหลพลันหายไปในทันที หันไปดูรอบๆ เห็นหลี่ไท่และพี่หลี่เค่อยืนทำหน้าทะเล้นใส่เขาอยู่ข้างหลัง เขาเป็นเด็กที่ไม่ค่อยชอบโมโห แต่พอโมโหขึ้นมาก็น่ากลัว เขาจับแขนของหลี่ไท่มากัดอย่างแรง และยังคงกัดอย่างไม่ยอมปล่อย เห็นหลี่ไท่กรีดร้อง หลี่เค่อก็ปล่อยให้พี่น้องจัดการกันเอง ส่วนตนเองก็กลับเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่กลับเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้นมาบนเวที “รับคำสั่งทางทหารจากฉินอ๋อง จัดการกับพวกกบฏ บทเพลง ‘ทำลายข้าศึก’ คืนความสงบสุขให้ประชาชน” หลี่เค่อได้ยินเสียงนี้ เขาก็รีบออกไปลากหลี่ไท่กับฉางเล่อเข้ามา และพูดกับฉางเล่อว่า “ รีบปล่อยเร็ว เพลงเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าเจ้าไม่ยืนตรง เดี๋ยวจะถูกเสด็จแม่ลงโทษเอานะ”
ทั้งสองคนถึงได้ยอมปล่อย หลี่ไท่จับแขนของตัวเองและถามหลี่เค่อว่า อวิ๋นเยี่ยบ้าไปแล้ว ร้อยยี่สิบแปดคนถึงจะสามารถบรรเลงเพลงทำลายข้าศึกได้ เขาเอามาบรรเลงที่นี่ เขาคิดอะไรอยู่ พูดเสร็จก็มองไปบนเวที เป็นอย่างที่คิดไว้ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกใส่ชุดเกราะจะเต้นรำแล้ว ฆ้องขนาดใหญ่ กลองขนาดใหญ่ เสียงที่ดังกังวานของขลุ่ยเพียงออผสมผสานกับเพลงของแคว้นแดนชิวฉือที่ไพเราะ ในโรงละครเต็มไปด้วยชาวฉางอันที่กำลังตื่นเต้น
แม้มีกระดาษยัดอยู่ในหู อวิ๋นเยี่ยก็กำลังคุยอยู่กับหลี่ไป่เย้าหนึ่งในบรรณาธิการของเพลงทำลายข้าศึก “ท่านอวิ๋นยอดเยี่ยมจริงๆ การบรรเลงเพลงทำลายข้าศึกในโรงละครแห่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด มีเสียงฆ้องและเสียงกลองหมุนไปมาอยู่ข้างในหู ดนตรีโบราณของแดนชิวฉือ นักแสดงที่อยู่บนเวทีก็ร่ายรำได้อย่างงดงาม เจ้าฟังสิ ตอนนี้กำลังจะถึงท่อนกลาง”
กระดาษยัดอยู่ในหู เสียงที่ดังกระหึ่มราวกับเวทมนตร์ยังคงดังทะลุเข้ามา “ลมแห่งทะเลทั้งสี่และสายน้ำที่ใสสะอาด ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อเกราะ วันนี้เราจะประสบความสำเร็จ” นักแสดงตะโกนคนเดียวก็พอแล้ว จะให้คนหลายพันคนในโรงละครตะโกนพร้อมกันคงจะตาย แต่ก่อนก็ไม่เคยชอบร็อคแอนด์โรล ตอนนี้ยังมาทรมานตัวเอง ก็แค่คนร้อยกว่าคนที่ออกท่าทางอย่างยิมนาสติกไม่ใช่เหรอ ผู้คนเป็นหมื่นในกีฬาโอลิมปิกก็เคยเห็นมาแล้ว เห็นคนเป็นร้อยใส่ชุดเกราะสีขาวกระโดดไปมา อวิ๋นเยี่ยก็คิดถึงภรรยายี่สิบเอ็ดคนของซีถงขึ้นมา จะให้ร้องเพลงสรรเสริญก็ไม่มีปัญหา เพราะนี่คือสิทธิของผู้ชนะ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าควรจะหาสามีที่ดีให้ผู้หญิงที่กำลังจะอดตายสิ
“เป็นเช่นไร ท่านอวิ๋น ท่านดูสิ บรรยากาศที่งดงาม ช่างอลังการงานสร้าง สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือก็บทเพลงของแดนชิวฉือ มันช่างสูงส่งและงดงาม เสียงกลองดังขึ้นไปบนสวรรค์ ถ่ายทอดออกไปเป็นพันลี้ มันทำให้โลกเคลื่อนไหวได้”
หลี่ไป่เย้าตะโกนเข้าไปที่หูของอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่รู้ว่าเขากำลังตายทั้งเป็นอยู่ เขาภาวนาให้ถึงท่อนสุดท้ายเร็วๆ “พระเจ้าผู้ก่อตั้ง ขุนนางผู้จงรักภักดี ไม่มีการทำสงคราม ประชาชนก็จะสงบสุข” รีบอ่านให้จบๆ เสียทีเถิด เขาจะได้ยังไม่ตาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น