เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 18-22
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 18 ของวิเศษราคาถูก
ซีถงไปแล้ว นำคำมั่นสัญญากับหน้าที่ของตัวเองไปด้วย เขาเหมือนซ่านอิงมากต่างเป็นประเภทที่ชอบเอาโซ่ตรวนคล้องคอตัวเอง คนหนึ่งเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่บิดาทิ้งเอาไว้จึงทอดทิ้งอาชีพโจรที่ใจรัก อีกคนหนึ่งเพื่อแต่งงานกับภรรยาหลายๆ คนยอมทอดทิ้งภาพลักษณ์จอมยุทธพเนจร ขอความช่วยเหลือจากอวิ๋นเยี่ย
โง่เง่าจริงๆ โง่เง่าทั้งนั้น คนโง่ที่ห้อมล้อมรอบตัวเองยิ่งวันยิ่งมากขึ้นทุกที นี่ไม่ใช่สภาพการณ์ที่ดี สัญญาบ่าวไพร่ของตระกูลเหล่าหนิวกำลังทำเหมือนตระกูลอวิ๋น ตระกูลเหล่าเฉิงก็เช่นกัน ได้ยินว่าตระกูลเหล่าฉินก็เตรียมแก้กำหนดบ่าวไพร่ให้อิสระเหลือเพียงสามปี
บีบคั้นพวกเขาตลอดชาติอย่างถูกต้องไม่ดีกว่าหรือ ตระกูลอวิ๋นนั้นช่วยไม่ได้เพราะมีท่านย่าใจบุญสุนทาน อีกทั้งเจ้าบ้านเป็นพวกพิเรนทร์ผิดมนุษย์มนา แม้แต่ทำนาก็ยังกลายเป็นเรื่องตลกได้ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรออกมาล้วนไม่แปลกประหลาดอยู่แล้ว พวกเจ้าตระกูลหนิว ตระกูลเฉิง ตระกูลฉินจะตามไปทำบ้าอะไรด้วย แต่ละตระกูลฆ่าคนเป็นว่าเล่นจนเลือดท่วมตัวอยู่แล้วยังจะมาทำเป็นมีใจกุศลอะไรกันอีก?
“เด็ดหัวทิ้ง แล้วใช้นิ้วสอดเข้าใต้หนังรอบคอใช้แรงดึงลงไปก็ถลกหนังได้หมดแล้ว ไอ้หนู เจ้าถลกหนังเป็นหรือเปล่า” สามเพื่อนเกลอนั่งอยู่ใต้ชายคาโดยมีกาชาคนละกาคุยกันอย่างรื่นรมย์ เหล่าเฉิงจะคอยหยอกเย้าอวิ๋นเยี่ยกับเฉิงฉู่มั่วที่กำลังถลกหนังกระต่ายอยู่ใต้ร่มไม้
สามขุนพลชราถือธนูออกไปล่าสัตว์แต่เช้า ออกไปเตร่เพียงชั่วยามกว่าก็นำกระต่ายกับไก่ป่ามาได้สิบกว่าตัว ในเมื่อผู้อาวุโสล่ามาเองอวิ๋นเยี่ยจึงต้องจัดการเอง เหล่าหนิวเรื่องอื่นไม่แคร์อะไรแต่ให้น้ำหนักลำดับอาวุโสอย่างหนัก ดีที่เฉิงฉู่มั่วก็อยู่ด้วยทั้งสองคนลงมือได้ไวมาก ขณะที่หนิวเจี้ยนหู่รีบกลับมาถึง บนพื้นเหลือไก่ป่าเพียงสามสี่ตัว
ทิ้งงานที่เหลือให้นิวเจี้ยนหู่แล้วอวิ๋นเยี่ยก็ล้างมือ แล้วมาเบื้องหน้าเหล่าเหยียจื่อสามคนพูดว่า “ท่านลุง ที่ผู้น้อยเชิญท่านทั้งสามมาที่อวี้ซันครั้งนี้ ก็เพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกท่านผู้อาวุโส ถือโอกาสขอให้ท่านลุงทั้งหลายให้ความเห็นด้วย เรื่องนี้ใหญ่โตจริงๆ เกี่ยวข้องทั้งจำนวนคนกับจำนวนเงินมหาศาล”
“ไอ้หนู เจ้าจะทำอะไรกันแน่ อยู่ให้สบายๆ เถอะ ถ้าว่างนักก็ไปสอนหนังสือที่สถานศึกษาให้มากหน่อย เจ้าสร้างสถานศึกษาจนใหญ่โตแต่ตัวเองกลับวุ่นวายอยู่กับเงินทองทุกวัน นี่ไม่ใช่แผนการระยะยาวที่ดี” เหล่าเฉิงรู้จักพิษสงของอวิ๋นเยี่ยเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ทุกครั้งมีผลได้อย่างมากมายแต่ก็ต้องคอยอกสั่นขวัญแขวนอีกด้วย
“ท่านลุงลองดูก่อนค่อยพูด พวกเรามาทำความรู้จักเรื่องนี้ก่อน แล้วค่อยมาปรึกษากันว่าเรื่องนี้สมควรทำหรือไม่ อีกสักครู่ รัชทายาทก็จะมาด้วย พวกเราลองคุยกันดูก่อน”
กลุ่มอวิ๋นเยี่ยเดินมาถึงข้างเขาจำลองในสวน เห็นเหล่าเจียงที่นั่งดื่มสุราอยู่ในศาลาดึงสายโซ่ข้างหลัง เห็นประตูทางเข้าอุโมงค์มืดดำปรากฏอยู่ต่อหน้าทุกคน
“ที่นี่เดิมทีเป็นที่ปรุงน้ำหอมของตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมาก แต่ท่านย่าเข้มงวดมากไม่ยอมให้แพร่งพรายออกไป บอกว่าถ้าความลับรั่วไหลจะทำให้ลูกหลานไม่มีข้าวกิน”
อวิ๋นเยี่ยนึกว่าจะพูดตลกผ่อนคลายบรรยากาศ แต่ขุนพลชราทั้งสามคนกลับไม่มีอารมณ์ขันด้วย เหล่าเฉิงลากตัวอวิ๋นเยี่ยพูดว่า “รีบเลยไอ้หนู ข้าชักรู้สึกมีลางร้าย ครั้งนี้ยุ่งยากมากแน่ๆ ” เหล่าฉินกับเหล่าหนิวก็ผงกศีรษะแสดงว่าเห็นด้วย
อุโมงค์ไม่ได้มืดมัว มีตะเกียงส่องแสงจนสว่างโร่ ห้องเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ มักจะมีสาวใช้ตระกูลอวิ๋นปรากฏตัว อวิ๋นเยี่ยเห็นเชิงซินกำลังดมกลิ่นน้ำหอมด้วยอาการเคลิบเคลิ้มในห้องเล็กห้องหนึ่ง
เหล่าเฉิงอยากรู้อยากเห็นให้ชัดเจนกลับโดนป้าหมุนตัวปิดประตูแน่น คลำจมูกตัวเองยิ้มพูดว่า “ข้าแค่อยากเห็น แค่สนใจเท่านั้น แค่สนใจเท่านั้น”
เหล่าฉินผลักเหล่าเฉิงอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่มันสถานที่ลับของบ้านเขา เข้ามาได้ก็นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แค่มารยาทการเป็นแขกก็ยังไม่รู้เลยหรือ”
ยิ่งเดินลึกเข้าไปกลิ่นหอมก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น ที่นี่ล้วนเป็นคลังเก็บของ ขณะที่ท่านย่าสร้างคลังเก็บของนี้ต้องลงแรงไปมากมาย รอบๆ ล้วนเป็นหินหมาสือร่องหินยาด้วยปูน พอเห็นก็รู้เลยว่าแข็งแกร่งสุดกำลัง
ทหารชราสองคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกบนโต๊ะเล็ก ได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นเป็นอวิ๋นเยี่ยก็ก้มหน้าเล่นหมากรุกต่อ
ประตูเหล็กตรงกลางสุดห้อยกุญแจขนาดยักษ์ ป้าหยิบกุญแจยื่นให้อวิ๋นเยี่ยแล้วก็กลับห้องตัวเองไป พอเปิดประตูแล้วอวิ๋นเยี่ยจุดตะเกียงน้ำมันในห้อง ตะเกียงน้ำมันถูกจุดขึ้นมาทีละดวง สายตาของสามขุนพลชราก็เปลี่ยนจากปิดมิดชิดกลายเป็นทรงกลดขึ้นมา
“โอ้สวรรค์ ไอ้หนู เจ้าไปปล้นวังมังกรทะเลตงไห่มาหรือ” เหล่าเฉิงเห็นเครื่องแก้วใสแจ๋วระยิบระยับเต็มห้องแล้วตกตะลึงเต็มที่ ลูบนี่คลำนั่น รู้สึกดีหมดทุกชิ้น นี่นกอินทรียืนบนหินก้อนใหญ่กำลังจะโผบิน นั่นม้าศึกกำลังกระโจนทั้งสี่เท้า เอ๊ะนี่หมูอ้วนสุดแสนน่ารักสองตัวก็ไม่เลว
เหล่าฉินสูดลมหายใจเย็นวาบ เหล่าหนิวกุมศีรษะนั่งยองๆ อย่างมีกังวล พวกเขาไม่มีอารมณ์ชื่นชมของวิเศษเช่นเหล่าเฉิง ของเต็มห้องเช่นนี้ แต่ละชิ้นพอเอาออกไปแล้วล้วนเป็นของหายากในโลก นี่มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เหลือหลาย
อวิ๋นเยี่ยหยิบลูกแก้วใสแจ๋วขนาดกำปั้นถามเหล่าฉิน “ท่านลุง ท่านดูของชิ้นนี้ควรขายเท่าไรจึงจะเหมาะสม”
เหล่าฉินรับไปพิจารณาดูเทพเหินฟ้าในลูกบอลแก้วอย่างละเอียดลออแล้วพูดว่า “ข้าตั้งราคาไม่เป็น แต่หากมีคนบอกข้าว่าของชิ้นนี้เขาซื้อมาในราคาห้าพันก้วน ข้าต้องเชื่อแน่นอน”
กระดิ่งทองแดงหลังประตูดังขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยบอกผู้อาวุโสทั้งสามว่า “รัชทายาทมาไวกว่าที่คิด ในเมื่อพวกท่านลุงไม่มีความเห็นก็รอราชวงศ์ให้ความเห็นดู ข้าเพียงแต่อยากให้ขยะเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปโดยเร็ว”
“ขยะ ไอ้หนูพูดเกินไปแล้ว” เหล่าเฉิงกำลังถือม้าบินตัวหนึ่งพิจารณาดู ได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกไม่ชอบใจเลย
“ท่านลุงเฉิง ของในห้องนี้ทั้งหมดยังไม่ได้มีราคาเท่าแผ่นหยกอวี้เป้ยที่เอวท่านลุงเลย พูดตรงๆ ของเหล่านี้ล้วนทำขึ้นมาจากเม็ดทราย ท่านว่าต้องใช้ทุนสักเท่าไร หนึ่งพันก้วนก็เยอะมากแล้ว นี่เป็นสิบเท่าของทุนแล้ว”
เหล่าเฉิงราวกับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองแตกดังเพล้ง มองดูม้าบินในมือทั้งดูแผ่นหยกอวี้เป้ยที่เอว ถึงอย่างไรก็รู้สึกว่าแผ่นหยกตัวเองยังไม่พอซื้อขาม้าเพียงขาเดียว แต่อวิ๋นเยี่ยไม่ได้หลอกเขาแน่นอน ในเมื่อบอกว่าไม่มีราคาเท่าแผ่นหยกอวี้เป้ยก็ไม่มีราคาเท่าแผ่นหยกอวี้เป้ยจริงๆ
“ไอ้หนู เจ้าหมายความว่าของนี้จะตั้งราคาเท่าไรก็ได้หรือ” เหล่าหนิวฟังออกถึงความหมายในคำพูดของอวิ๋นเยี่ย
“พวกหูจื่อใช้ของนี้มาหลอกเงินต้าถังไปแล้วตั้งเท่าไร ต้นตระกูลเราทำของสิ่งนี้มาก่อนนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำสืบต่อกันเท่านั้น ไอ้หนูได้ค้นพบวิธีทำกลับคืนมา ที่แท้ง่ายจนน่ากลัว เวลานี้ถึงคราวที่พวกหูจื่อที่สมควรตายต้องชำระหนี้แล้ว”
“ไอ้หนู ข้าดูเจ้าเหมือนจะเล่นงานคนมีเงินในฉางอันทั้งหมดในคราวเดียวกัน คนดูแลบ้านบอกว่าไม้ของเจ้าขนมาถึงฉางอันแล้วตอนนี้กำลังงมขึ้นมา ยังมีจื่อหมี่ หลงเสียนเซียง ได้ยินว่ายังมีพระธาตุ มีหนังหมีที่เปลี่ยนสีได้ รวมทั้งน้ำหอม มีดดาบ รถม้าบ้านเจ้า นี่เจ้าตั้งใจจะปล้นพวกศักดินาร่ำรวยเหล่านี้ทั้งหมดเลยหรือ”
“ปล้น ใครจะปล้น ที่นี่ไฟฟืนมืดมัวจึงเหมาะที่จะลงมือ” เสียงหลี่เฉิงเฉียนดังมาจากไกลๆ เลี้ยวผ่านมุมกำแพง แล้วประสานมือทำความเคารพสามผู้อาวุโส
เสร็จแล้วจึงถามอวิ๋นเยี่ย “เยี่ยจื่อ ปัญหาใหญ่ของเจ้าคืออะไร มีเรื่องอะไรที่เจ้ายังแก้ไขไม่ได้”
“ปัญหามีเงินมากเกินไป” อวิ๋นเยี่ยทำสีหน้าเจ็บปวดบอกหลี่เฉิงเฉียน หากปล่อยแก้วออกไปจะเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอของต้าถังแค่ไหนอวิ๋นเยี่ยยังไม่สามารถรู้ได้ รู้เพียงว่าถ้าจัดการไม่ดีจะเกิดภัยมหันต์ ดังนั้นจึงตามตัวหลี่เฉิงเฉียนมาเพื่อหาคนตัวใหญ่พอที่จะรับมือเรื่องนี้ได้
“เงินมากก็ดีสิ ข้าจนจะแย่ จะแต่งงานอยู่รอมร่อแล้ววังตงกงยังโกโรโกโส เจ้าให้เงินข้า ข้าช่วยเจ้าคลายกังวล” เขาเข้าใจว่าอวิ๋นเยี่ยเล่นตลกจึงเล่นตลกด้วย ไม่ทันสังเกตเห็นอาการสมน้ำหน้าของสามผู้เฒ่าเลย
“ดีมาก มีคำพูดนี้ของท่านก็พอแล้ว ตอนนี้เงินทั้งหมดเป็นของท่านแล้ว” พูดจบอวิ๋นเยี่ยก็โยกตัวหลบออกจากประตู หลี่เฉิงเฉียนเงยหน้าขึ้นมองอย่างงงงวย เห็นของวิเศษสารพัดระยิบระยับเต็มห้องจนตาลายมองแทบไม่ไหว
“เยี่ยจื่อ เจ้าว่าของเหล่านี้ล้วนให้ข้าหรือ” หลี่เฉิงเฉียนหันหน้าอย่างยากลำบากมองที่อวิ๋นเยี่ย
“ถูกต้องล้วนเป็นของท่าน ตอนนี้ท่านเป็นคนรวย” อวิ๋นเยี่ยกอดไหล่หลี่เฉิงเฉียงอย่างสนิทแนบแน่นพูดกับเขาด้วยความอบอุ่นยิ่งนัก
ลำคอหลี่เฉิงเฉียนเกิดเสียงครอกๆ แทบจะสำลัก ยังดีที่ว่าผู้สืบทอดต้าถังผ่านประสบการณ์มามากจึงสามารถประคองตัวให้ผ่านไปได้ ดันอวิ๋นเยี่ยออกแล้วโผเข้าไปในห้องดูโน่นดูนี่ ยังคงมีอาการเดิมคือพอเห็นอะไรที่ขนาดเหมาะสมก็ยัดใส่กระเป๋า
อวิ๋นเยี่ยลากตัวเขาออกจากกองเครื่องแก้วแล้วบอกเขาว่า “ข้ารับผิดชอบผลิตของ ท่านรับผิดชอบขายพวกมันออกไป เงินแบ่งกันเจ็ดสามท่านเจ็ดข้าสาม ท่านกลับไปปรึกษาเหนียงเหนียงได้เลย ข้าไม่ไปพระราชวังแล้วไปแต่ละครั้งโชคร้ายบรม ท่านวางม้าตัวนั้นไว้ดีกว่ากระมัง กระเป๋าท่านยัดเข้าไปไม่ได้หรอก”
ไม่รู้ว่าหลี่เฉิงเฉียนจะได้ยินหรือไม่แต่เห็นเขากำลังห่อของอยู่ อวิ๋นเยี่ยพูดอีกว่า “ท่านบอกเหนียงเหนียงให้ชัดเจนว่าหากอยากได้สูตรลับ ไม่มีปัญหา ให้ส่งขุนนางที่เชื่อถือได้มาเรียน เงินเหล่านี้สามารถทำกำไรได้ราวสองสามปี หลังจากสองสามปีแล้วข้าจะขายของเหล่านี้ให้ถูกกว่าเครื่องกระเบื้องอีก”
หลี่เฉิงเฉียนกลับไปพร้อมด้วยข้าวของเต็มตัว ส่วนคำพูดอวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ ตั้งแต่รู้ว่าของวิเศษทั้งห้องนี้เผามาจากเม็ดทรายแล้ว เหล่าเฉิงก็ไม่ได้สนใจสิ่งของระยิบระยับเหล่านี้อีกต่อไป อย่างมากก็แค่รู้สึกว่าน่าดูเท่านั้น เรื่องต่างๆ ในโลกนี้ล้วนไม่สามารถทนรับกับการขุดคุ้ยได้ เมื่อรู้ไปถึงรากเง่าแล้วรัศมีรอบตัวหายไปจนเหลือแค่เนื้อแท้ ก็จะเช่นดังเครื่องแก้วแค่มาจากการเปลี่ยนสถานะจากกองทรายเท่านั้น
ขณะที่ทั้งหมดล้อมวงกินกระต่ายหม้อไฟ เหล่าฉินบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เตรียมตัวรับฝ่าบาทได้เลย อย่างช้าพรุ่งนี้เจ้าจะต้องได้พบฝ่าบาทหรือฮองเฮาหนึ่งในสององค์นี้ ในพระราชวังคืนนี้คงมีคนนอนไม่หลับแน่นอน”
“ท่านอาทั้งหลายกังวลเกินเหตุแล้ว หลานรับรองว่าฝ่าบาทคืนนี้ต้องหลับได้สบายอย่างที่สุด ไม่แน่ว่าอาจหัวเราะจนตกใจตื่น เขาคิดตลอดเวลาที่จะลดทอนความแข็งแกร่งของขุนนางสืบทอด เวลานี้ได้รับโอกาสจากสวรรค์ มีหรือที่จะไม่ลงมือ เพียงแต่คราวนี้ลงมือที่เงินทองเท่านั้น การฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือดจึงจะเป็นสุดยอดฝีมือ”
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 19 ฟันที่แหลมคม
ไม่ควรป้อนอาหารให้กับสุนัขล่าสัตว์ ไม่งั้นมันจะล่าเหยื่อเป็นได้อย่างไร นกเหยี่ยวป่าก็ควรต้องผูกเชือกไว้ที่ลำคอเพื่อไม่ให้มันกลืนกินปลาตัวใหญ่เข้าไป หลี่ซื่อหมินพยายามทำตัวเป็นนายพรานและชาวประมง แต่กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ตระกูลที่มีอำนาจก็ยังคงเจริญรุ่งเรือง ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก กำจัดไปได้แล้วคนหนึ่งก็มีอีกคนหนึ่งมาแทนที่ ราวกับเนื้องอกร้ายบนร่างกายที่ไม่สามารถตัดทิ้งได้ทั้งหมด โดยหากตัดทิ้งทั้งหมดอาจถึงตายก็เป็นได้ ตัดทิ้งไปได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อไม่ปล่อยให้มันเติบโตจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต
ชาวบ้านล้วนแต่ขายผ้าเอาหน้ารอดให้ผ่านไปวันๆ ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนอะไร อวิ๋นเยี่ยกับหลี่ซื่อหมินเคยถกกันอย่างล้ำลึกครั้งหนึ่งในพระราชวัง ครั้งนี้ ในที่สุดหลี่ซื่อหมินก็แสดงความโลภออกมาให้อวิ๋นเยี่ยได้ประจักษ์ ทั้งที่มีผ้าขนสัตว์แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำสงครามกับชนเผ่าฉ่าวหยวนอีกต่อไป ทว่าทุ่งหญ้าที่ไร้พรมแดนหมายถึงความมั่งคั่งอันไม่มีที่สิ้นสุด เป้าหมายต่อไปจึงเป็นชนเผ่าเซวียเหยียนถัวและชาวถู่อวี้หุน แค่มองเห็นผลประโยชน์ ฝ่าบาทก็พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้น เพียงแต่ว่าในตอนนี้บ้านเมืองยังคงได้รับความเสียหายอย่างมาก และการทำสงครามก็คือการต่อสู้ปลุกระดมความกล้าหาญ ซึ่งถ้าหากปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกทหารก็คงจะอยู่กันสบายเกินไป เมื่อให้ยกดาบขึ้นสู้รบอีกครั้งก็จะเป็นการยาก
ยิ่งไปกว่านั้น เกาจู้ลี่ที่อยู่ทางตะวันออกก็คอยจ้องมองมาอย่างมุ่งร้าย แคว้นที่รบชนะอย่างแคว้นสุยก็เกิดโลภเพิ่มขึ้นมาอีกทันที พวกเขาเริ่มขยายอาณาเขตไปทางทิศตะวันตกตามแผนการที่วางไว้ และอาจจะมีสงครามเกิดขึ้นในไม่ช้า
ผู้นำของฝ่ายเริ่มคือหลี่ซื่อหมินมาโดยตลอด ขอแค่เจ้าไม่เป็นมิตรกับข้า เจ้าก็คือศัตรูของข้า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หลี่ซื่อหมินก็พร้อมที่จะแทงเข้ามาจากทางด้านหลัง แทนที่จะพูดว่าเรื่องนี้เป็นการหาเงินให้ตัวเอง ไม่สู้พูดว่าเป็นการเก็บเงินให้กับพวกทหารเห็นจะเหมาะกว่า
เมื่อศิษย์ในสำนักศึกษานั่งนับจำนวนเศรษฐีในเมืองฉางอัน ศิษย์ที่สนใจได้ทำสถิติขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง พวกขุนนางและผู้มีอำนาจที่อยู่ใกล้บริเวณเมืองฉางอันเป็นผู้ครอบครองพื้นที่สามส่วนของทั้งหมด ส่วนบรรดาราชวงศ์ก็ครอบครองพื้นที่ห้าส่วนของทั้งหมดเช่นกัน ในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดนี้ ประชากรนับล้านคนครอบครองพื้นที่เพียงสองส่วนเท่านั้นเอง
นี่คือรายงานของหม่าโจว หากเรื่องราวไม่ถูกเปิดเผย ทุกคนล้วนไม่มีทางรู้ว่ามันร้ายแรงถึงเพียงไหน ทว่าพอมีข้อมูลตัวเลขที่แท้จริงออกมา คำพูดที่สวยงามเพียงใดก็ไม่สามารถปกปิดความจริงที่โหดร้ายนี้ได้ คนมีความสามารถล้วนต้องถูกมองเห็น ถึงแม้ว่ารอบนี้จะไม่ได้รับการแนะนำ แต่หม่าโจวก็ยังคงเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดจากเหล่าศิษย์ทั้งหมดในสำนักศึกษา
เมื่อหนังสือเรื่อง ‘การกระจายที่ดิน’ ตีพิมพ์ออกมา มันได้แยกหม่าโจวออกจากพวกขุนนางชั้นสูงในราชวงศ์ทันที อวิ๋นเยี่ยได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องเรียกว่ามีหยดเลือดและน้ำตาไปทั่วทุกหนแห่ง และไม่ได้มีเพียงข้อมูลในอดีตของราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังมีสถานการณ์ปัจจุบันของแผ่นดินฉางอันอีกด้วย เพราะได้บอกวิธีแก้ปัญหาไว้ว่าให้สลับเปลี่ยนกรรมสิทธิที่ดินของพวกเหล่าขุนนางไปเป็นที่ดินที่ไร้การพัฒนาแทน ที่ดินในกวนจงซึ่งเป็นผืนที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนา เมื่อปรับเปลี่ยนแล้วเหล่าขุนนางก็จะต้องใช้ทรัพย์สินมาพัฒนาพื้นที่ห่างไกลยากจนข้นแค้นเหล่านั้นเอง ซึ่งคิดไม่ถึงเลยว่าพื้นที่ที่ไกลที่สุดจะเป็นเกาะไหหลำไปได้
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าจะอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงแม้เจ้าจะยกเกาะห่างไกลเช่นเกาะภูเก็ตให้กับข้า ก็ใช่ว่าข้าจะพาครอบครัวของข้าไปอยู่ที่เมืองสวรรค์นั่นไม่ได้ แต่ความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่เพื่อนร่วมห้องของเขายังไม่เห็นด้วยที่เขาจะทำเช่นนี้
สำนักศึกษาถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสม จึงมีการจำลองเป็นสมรภูมิให้กับพวกเขาภายในโรงอาหารเพื่อให้พวกเขาได้ถกเถียงประลองฝีปากกัน ให้พวกเขาได้รู้จักการประนีประนอม ยอมอ่อนข้อให้ซึ่งกันและกัน และบรรลุสัญญาในตอนท้ายที่สุด
ศิษย์ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ถกเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครกล้าที่จะไม่สนใจ และเมื่อบรรลุสัญญา สำนักศึกษาก็จะนำไปเสนอให้กับพระราชสำนัก ให้จักรพรรดิได้ทำการตัดสินใจ
เมื่อเดินผ่านโรงอาหารของสำนักศึกษา ก็เห็นคนนั่งอยู่ข้างในนั้นเต็มไปหมด บางคนก็ถกเถียงกันต่อเนื่องอย่างดุเดือด อวิ๋นเยี่ยไม่อยากจะฟังเนื้อหานัก หม่าโจวเป็นคนมีความสามารถในการเสนอปัญหา แต่ไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหา เขาไปในทางอุดมคติมากเกินไป
จั่งซุนมีปฏิกิริยาต่อเรื่องเงินอย่างรวดเร็ว ตอนเที่ยงได้รับรายงานจากหลี่เฉิงเฉียน ตอนบ่ายก็มีกองทัพทหารเข้ามาล้อมที่บ้าน โชคดีที่ท่านย่าพาพวกเด็กๆ ไปที่เขาหยู้แล้ว ทั้งบ้านเหลืออยู่แค่อวิ๋นเยี่ยกับพวกป้าน้าอา ให้พวกเธอทรมานได้ตามอําเภอใจ
รุ่งเช้าของวันต่อมา รถม้าของจั่งซุนก็ได้มาถึงบ้านตระกูลอวิ๋น เธอตรงดิ่งเข้าไปที่ถ้ำโดยไม่พูดอะไรเลย สวนดอกไม้เต็มไปด้วยกองทัพทหาร ในถ้ำถูกตรวจค้นทุกซอกทุกมุม ทว่าตระกูลอวิ๋นก็ได้ย้ายการผลิตน้ำหอมออกไปจากถ้ำแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา
จั่งซุนมองไปยังสินค้าเครื่องแก้วที่สวยงามพวกนั้น เห็นได้ว่าขาของเธออ่อนแรงลง เธอไล่สาวใช้ข้างกายกับผู้ดูแลทั้งหมดออกไปแล้วปิดประตู เหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยกับรัชทายาทอยู่
“เจ้าจะจัดการกับสิ่งของพวกนี้อย่างไร” จั่งซุนถามอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทีน่าเกรงขาม
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วคว้าเครื่องแก้วรูปหงส์ขึ้นมาหนึ่งชิ้น ใช้แรงหักที่คอหงส์แก้ว เห็นสีหน้าเสียดายของจั่งซุน เขาขว้างเครื่องแก้วรูปหงส์ที่คอหักไปยังมุมกำแพงแล้วเอ่ยกับจั่งซุนว่า “ฮองเฮา สิ่งของพวกนี้ไม่ได้มีค่าอะไร เครื่องแก้วทั้งหมดในห้องนี้ล้วนเกิดจากการเผาทรายทั้งนั้น เครื่องแก้วของพวกโจรพวกนั้นก็เกิดจากการเผาทรายเช่นกัน ยังเผาไม่ดีเท่าของเราด้วยซ้ำไป แต่กลับเอาไปหลอกขายเสียได้ ที่น่าตลกคือกลับมีคนหลงกล”
พูดจบก็มองไปที่เครื่องประดับแก้วสีเขียวที่อยู่ตรงเอวของจั่งซุน ได้ยินมาว่าซื้อมันมาในราคาสูง
จั่งซุนดึงเครื่องประดับออกและพูดด้วยความโมโห “เจ้ารู้นานแล้วใช่ไหม เห็นข้าอับอายขายขี้หน้าก็ไม่พูดอะไร หัวเราะเยาะข้าทุกวัน?”
“ฮองเฮา ใครจะมามองเครื่องประดับของท่านตลอดเวลา กระหม่อมหมายถึง แก้วพวกนี้ไม่ใช่สิ่งมีค่าอะไร ที่กระหม่อมพูดเช่นนี้เพียงต้องการบอกท่านว่ากระหม่อมจะเอาเครื่องแก้วพวกนี้ไปหลอกขาย ผ่านไปสองปีก็ไร้คุณค่าแล้ว เหมือนเครื่องลายครามที่อยู่ในบ้าน กลายเป็นของใช้จำเป็นไป”
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าหลอกเอาเงินประชาชนของต้าถัง เจ้าเป็นนักต้มตุ๋นที่ใหญ่โตที่สุดในโลก คนที่ร่วมมือกับเจ้าล้วนแต่จะเป็นบาปกรรม พวกชาวนาทำนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเป็นปีๆ ไม่คู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่เผาด้วยทรายเช่นนี้ เจ้าร่ำรวยอยู่แล้ว ปล่อยชาวนาพวกนั้นไปซะ”
เพียงแค่สถานการณ์ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง จั่งซุนก็เปลี่ยนท่าทีหารือกับอวิ๋นเยี่ยทันที ใช้ท่าทีราวกับแม่ไก่ฟักไข่เพื่อป้องกันไม่ให้อวิ๋นเยี่ยทำร้ายชาวนาที่ไม่มีทางสู้พวกนั้น
“ฮองเฮา ท่านเห็นกระหม่อมเป็นคนเช่นไรกัน ถึงพวกชาวนาจะยากจนแต่ก็มีน้ำกับน้ำมัน เป้าหมายของกระหม่อมในครั้งนี้คือพวกพ่อค้า แม่ค้า และพวกตระกูลเศรษฐีต่างหาก พวกเขามีเงินมากเช่นนั้นแต่ก็ยังไม่ยอมควักออกมาใช้ คราวนี้กระหม่อมวางแผนที่จะจัดงานประมูลครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมา”
จั่งซุนเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่คิดที่จะหลอกเอาเงินจากชาวบ้านก็หมดกังวลไปไม่น้อย พวกเศรษฐีกับพวกชาวหูพวกนั้น ล้วนแต่เป็นพวกที่จั่งซุนเกลียดชัง ขูดเลือดขูดเนื้อจากพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร
“และนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าเดิมพันกับเว่ยเจิงเหรอ เจ้ามั่นใจว่าสามารถทำเงินได้สองล้านเหรียญใช่ไหม เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเมื่อเจ้าขายของพวกนี้ในราคาที่สูง ผ่านไปสองปีราคาตก เจ้าจะอยู่ในเมืองฉางอันได้อย่างไร หรือเจ้าคิดว่าหลังจากที่เจ้าได้เงินแล้วเจ้าก็จะกลับบ้านเกิดไม่สนใจเรื่องรอบตัว ตระกูลอวิ๋นของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน”
ยอดเยี่ยมมากทีเดียว ในที่สุดจั่งซุนก็คิดแทนตระกูลอวิ๋นแล้ว ถ้าขายของออกไปในราคาสูง ตระกูลอวิ๋นจะถูกมองว่าเป็นตระกูลของนักต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อไปก็คงไม่มีใครสนใจตระกูลเช่นนี้อีก และเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส ทุกคนคงพร้อมที่จะเหยียบย่ำ
“เกรงว่าพวกขุนนางในพระราชวังคงทำให้เจ้าโกรธมากใช่ไหม เจ้ายิ่งเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอยู่ ไม่ให้เจ้าแก้แค้นเจ้าก็คงจะไม่ยอม ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะเบามือหน่อย และคิดถึงอนาคตของเจ้าให้มากๆ อย่าทำลายทุกสิ่งที่เจ้าพยายามสร้างมันขึ้นมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และสิ่งที่เจ้าทำไปเมื่อสองสามวันก่อน เจ้าอย่าได้ทำมันอีก”
“ฮองเฮาคงไม่ทราบว่ากระหม่อมพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียอยู่ตลอดเวลา กระหม่อมเลือกแต่สิ่งที่มีกำไร ไม่เลือกสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อนของกระหม่อมที่มาเมื่อสองสามวันก่อนทำให้กระหม่อมได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขา ท่านทราบหรือไม่ เขามีภรรยายี่สิบเอ็ดคนภายในคืนเดียว ล้วนเป็นคนที่หิวโหยในเหอเป่ย แต่เขากลับไม่ปฏิเสธ หัวเราะแล้วก็ยอมรับโดยดี เขาตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูภรรยาทั้งยี่สิบเอ็ดคนและลูกอีกแปดคนด้วยตัวเอง เขาคิดว่ามันเป็นความสุขแบบหนึ่ง คนเช่นนี้ ท่านยังคิดว่าเขาปล่อยวางได้หรือไม่”
จั่งซุนถอนหายใจ แตะกำแพงเย็นเยียบ เธอตบกำแพงแล้วพูดว่า “คนดีกับคนเลวเป็นสิ่งตรงข้ามกัน อวิ๋นเยี่ย บางครั้งคนเราก็ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ การเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยไม่ใช่เรื่องโชคดีมากนัก แต่กลับเป็นเรื่องโชคร้ายต่างหาก หัวหน้าครอบครัวอย่างเจ้าในฉางอันก็มีแค่คนเดียว มีคนบอกว่าเจ้าเป็นไอ้ขี้แพ้ ขี้แพ้หรือไม่ขี้แพ้พวกเขารู้ที่ไหนกัน มีคนบอกว่าเจ้าไม่เอาไหน ใครจะไปรู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าก็มีความรอบคอบเหมือนกัน ดูบ้านหลังนี้ที่เต็มไปด้วยสมบัติหายากสิ แต่ที่แท้มันกลับเป็นเพียงเม็ดทราย เรื่องธรรมดากับปาฏิหาริย์ห่างกันเพียงแค่ก้าวเดียว”
หลังจากที่จั่งซุนได้เห็นเครื่องแก้วด้วยสายตาตนเอง เธอก็ถือกลับไปที่พระราชวังสองชิ้น ที่เหลือก็ปล่อยให้รัชทายาทหลี่เฉิงเฉียนเป็นคนจัดการ ฮ่องเต้คงได้เตรียมการเอาไว้แล้ว การจะกระจายเงินออกไปเมื่อไหร่และเตรียมที่จะหลอกเอาเงินใคร คงจะต้องมีแผนการที่รอบคอบ
ฟ้ามืดแล้วแต่อวิ๋นเยี่ยกลับยังไม่ง่วงนอน เขาเดินไปตามทางบนถนนจนถึงสำนักศึกษา ไม่ได้เจอท่านย่าและซินเย่วมาหลายวันแล้วล่ะ คิดถึงพวกเขามาก เดินผ่านหน้าประตูสำนักศึกษาก็ได้เห็นหม่าโจวนั่งดื่มเหล้าอยู่หน้าร้านของหวงสู่ตามลำพัง ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งแล้วยังอ่านออกเสียงฮึมฮัม ภรรยาและลูกสาวของหวงสู่กลับไปตั้งนานแล้ว ทิ้งให้หวงสู่นอนอยู่บนโต๊ะคนเดียว และเขาก็ไม่เคยไล่ลูกค้าออกนอกร้าน
ชายหนุ่มส่ายหน้า เดินหลบพวกนั้นออกมา ผ่านไปไม่นาน ก็เดินมาถึงบ้านตระกูลอวิ๋นจนได้ เมื่อยืนอยู่ข้างล่างแล้วมองไปในบ้านที่มีแสงไฟสว่าง เขานึกอยากเดินเข้าไป อยากสัมผัสความอบอุ่นนี้ เขาเริ่มลังเล
ได้ยินเสียงของอี้เหนียงที่กำลังจับเสี่ยวยาล้างเท้า และก็ได้ยินเสียงของรุ่นเหนียงที่กำลังบ่นต้ายา นอกจากนั้นยังได้ยินเสียงคนตีกันเป็นพักๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสี่ยวซีกับเสี่ยวเป่ยกำลังทะเลาะกันอยู่ เงาของซินเย่วสะท้อนออกมาจากผ้าม่านสีขาว คงกำลังเย็บปักถักร้อย เมื่อนึกถึงฝีมือการเย็บปักของซินเย่ว อวิ๋นเยี่ยก็อยากที่จะหัวเราะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเย็บปักถักร้อยอะไรอีก แต่หวังว่าเมื่อลูกชายได้ใส่ในอนาคตแล้วจะไม่รู้สึกอายใครก็แล้วกัน
ซือซือทำตัวเหมือนแมว โผล่ขึ้นมาข้างหลังอวิ๋นเยี่ยอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ สองสามวันนี้ท่านอาจารย์เหนียงเอาแต่บ่นหาท่าน” อวิ๋นเยี่ยดึงหางเปียของซือซือและกระซิบบอกว่า “เดี๋ยวอาจารย์ยังจะต้องไปทำเรื่องใหญ่ ตอนนี้ยังไม่กล้าคิดอะไรฟุ้งซ่าน ซือซือเป็นเด็กดี ช่วยอาจารย์ดูแลพวกเขาด้วยนะ”
เมื่อตัดสินใจที่จะไม่ไปรบกวนชีวิตที่มีความสุขของพวกเขา งานที่หนักและสกปรก ผู้ชายก็ควรเป็นคนทำอยู่แล้วนี่ ขอแค่พวกเขามีความสุขก็พอ คิดแบบนี้แล้วก็ค่อยรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ลูบหัวซือซือเสร็จก็หันหลังเดินลงเขาไป ได้เห็นทุกอย่างที่ต้องการเห็นก็เพียงพอแล้วล่ะ เขาจะต้องลับเล็บให้คมในวันพรุ่งนี้เพื่อล่าเหยื่อให้ได้มากๆ จะได้เลี้ยงดูที่บ้านอย่างดี
มองออกไปในเมืองฉางอัน นึกถึงพวกเศรษฐีที่คงกำลังหลับใหลอยู่ในความฝัน อวิ๋นเยี่ยก็เปิดปากหัวเราะ มาดูกันว่าการกระจายข่าวนี้ออกไปจะสามารถกระตุ้นความโลภทางใจของคนพวกนี้ได้หรือไม่
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 20 โรงละครต้าถัง
ฤดูใบไม้ร่วงมักจะเป็นฤดูที่ทำให้คนปลื้มใจ ผลลูกเดือยสีเขียวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง รวงข้าวที่หนักขึ้นต่างพากันก้มโค้งลง กองฟางสูงใหญ่มองจากไกลๆ ดูราวกับทะเลเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ใครล่ะจะไม่ชอบผลเก็บเกี่ยวที่ดี เมื่อวานนี้ฝ่าบาทยังทรงเสด็จไปเยี่ยมชมต้นข้าวที่กำลังเติบโตในพื้นที่เพาะปลูกนอกเมืองด้วยตัวเอง ทรงพูดคุยและหยอกล้อเล่นกับชาวนาอย่างมีความสุข ประเทศเจริญรุ่งเรือง โลกสงบสุข ต้าถังก็คงจะสงบสุขต่อไปอีกสองสามปี
มีความสุขก็ต้องมีความซวย มีคนประสบความสำเร็จก็ต้องมีคนพ่ายแพ้ อวิ๋นเยี่ยไอ้ขี้แพ้ที่คนในเมืองฉางอันต่างก็รู้จักกันดี เขาพร้อมที่จะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่อาจารย์ของเขาหลงเหลือไว้ให้ออกไปขาย สองสามปีที่ผ่านมา ตระกูลอวิ๋นก็ขายทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่ของบรรพบุรุษใช้ชีวิตไปวันๆ พอถึงตอนนี้ แม้แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายก็ไม่เว้น ถ้าวิญญาณอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ใต้พื้นพิภพ เขาคงจะโมโหจนตายอีกครั้ง
ได้ยินมาว่าหนึ่งร้อยเหรียญ สมบัติชิ้นหนึ่งขายหนึ่งร้อยเหรียญ มันต่างอะไรกับการให้ไปฟรีๆ กัน ข่าวจากเขตเขาหยู้บอกว่า ท่านย่าของตระกูลอวิ๋นพาหลานสะใภ้ไปอยู่ที่เขาหยู้ได้สักพักแล้ว ก็เพราะว่าไม่อยากเห็นการกระทำของหลานชายขี้แพ้ เพื่อที่จะได้ไม่โมโหจนล้มป่วยไป เลยหนีไปอยู่ในที่ที่ลับหูลับตาให้รู้แล้วรู้รอด ตระกูลใหญ่ที่ได้ยินข่าวแบบนี้ก็ต่างพากันเตรียมเงิน พร้อมที่จะซื้อสมบัติกันคนละชิ้นสองชิ้น
มีการสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ขึ้นตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่กลับไม่ยอมเปิดขายบ้านสักที มีเหล่าขุนนางจำนวนมากมายเฝ้ารอที่จะซื้ออยู่ พอมีคนเข้าไปพูดจาถามไถ่ เขาก็บอกว่าบ้านพวกนี้จะขายหรือไม่ขายก็ยังไม่แน่นอน ถ้าเกิดขุนนางอวิ๋นบ้าคลั่งขึ้นมาก็อาจจะรื้อมันทิ้งอีกครั้งก็เป็นไปได้
หลังจากการประชุมครั้งใหญ่เสร็จสิ้นลง อวิ๋นเยี่ยยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตู ถือบัตรเชิญกองใหญ่ไว้ในมือ เห็นแค่ตัวหนังสือสีแดงที่เขียนด้วยผงทองคำบนบัตรเชิญ ความสง่างามของมังกรนั้นไม่ธรรมดาเลย และยังหรูหราเป็นที่สุด โดยทั่วไป ผงทองคำจะใช้ในการแปะพระพุทธรูป ใช้เขียนตัวหนังสือแบบนี้ก็พึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ
“นี่ ท่านเสนาบดีขอรับ ข้ากำลังวางแผนที่จะจัดงานประมูลของที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางในคืนพรุ่งนี้ ท่านกับท่านป้าต้องมาด้วยนะ” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างกับตุ๊กตาแล้วยื่นบัตรเชิญไปให้เขา
ฝางเสวียนหลิงหยิบบัตรเชิญอันบนสุดด้วยความแปลกใจ ถูกต้องแล้ว มันเป็นของเขาเอง มองไปอันที่อยู่ด้านล่าง พบว่าเป็นของเหล่าตู้ เขาก็เลยพูดกับตู้หรูฮุ่ยว่า “พี่ตู้ เจ้าก็อย่าคิดที่จะหนี นี่ยังมีบัตรเชิญของเจ้า แล้วดูเหมือนจะมีของคนอื่นๆ อีกด้วยนะ”
เป็นเรื่องยากที่จะหาบัตรเชิญจากอวิ๋นเยี่ย ขนาดตอนไอ้หมอนี่เลื่อนตำแหน่งยังไม่เชิญไปเลี้ยงเลย แล้วครั้งนี้จะยอมพลาดได้อย่างไรกัน ได้ยินมาว่าการประมูลครั้งนี้จะมีสมบัติหายากมากมาย พวกขุนนางทั้งหลายเลยพากันมาหาบัตรเชิญของตัวเอง
“ไอ๊หยา นี่ของพี่หลี่ นี่ของพี่หวัง ของพี่ซุนเมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย หายไปไหนอีกแล้ว…”
หลังจากผ่านช่วงชุลมุนวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับขุนนางที่ได้รับบัตรเชิญว่า “ท่านผู้อาวุโสและเพื่อนๆ ทุกท่าน คืนพรุ่งนี้ข้าได้เตรียมผักผลไม้ไว้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางโดยเฉพาะ ขอเชิญชวนทุกท่านมาชมและรับฟังการร้องเพลงร่ายรำ ข้าจักขอบพระคุณเป็นที่สุด
นอกจากนั้นยังมีข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกท่านได้รับชมกันด้วย มีความสุขอยู่คนเดียวหรือจะสู้มีความสุดร่วมกัน มาร่วมสนุกด้วยกันดีไหมขอรับ”
พอมองดูพวกขุนนางตอบตกลงแล้วเดินจากไปทีละคน รอยยิ้มของอวิ๋นเยี่ยก็สดใสขึ้นกว่าเดิม เว่ยเจิงที่ยืนพิงเสาศึกษาเกี่ยวกับบัตรเชิญอยู่ เดินเข้ามาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าวางแผนจะโกงพวกเขาจริงๆ เหรอ”
“เก่ยซื่อจง[1]พูดอะไรกัน มีท่านอยู่ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านเป็นถึงเก่ยซื่อจง มีหน้าที่สืบสวนคนทรยศหักหลัง ใครจะกล้าล่ะขอรับ”
“ข้าไม่เชื่อว่ากระจกเคลือบสีจะราคาหนึ่งร้อยเหรียญ เจ้าหลอกใคร ถ้าเป็นกระจกจริงๆ ขายเป็นพันเหรียญก็ไม่ถือว่าแพง แล้วพระสารีบุตรนี่อีก เจ้าแน่ใจเหรอว่านี่คือพระสารีบุตรจริงๆ ไม่ใช่ก้อนหิน หนังหมีขาวที่เปลี่ยนสีได้? บนโลกมีของเช่นนี้ด้วยเหรอ ไม้จินสื่อหนาน[2]ก็คงไม่ต้องพูดถึง ข้ายังอยากจะซื้อไปทำโลงศพ แล้วข้าวกล้อง เจ้าไปเอามาจากที่ใดกัน น้ำหอมอีก มันไม่แปลกที่เจ้าจะมีอำพันทะเล[3]แต่เหตุใดขวดเล็กเช่นนี้เจ้าถึงได้ขายเป็นพันเหรียญ? มดตัวใหญ่คู่หนึ่งขายห้าสิบ น้ำล้างศพถังหนึ่งขายสามร้อยเหรียญ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
เว่ยเจิงถอดหมวกและเกาหัว เขาคิดไม่ตกนัก ของราคาเป็นพันเหรียญขายแค่ร้อยเหรียญ แต่ของที่ไม่มีราคากลับขายแพง นี่มันเหตุผลอะไรกัน
“คืนพรุ่งนี้ท่านก็รู้ แนะนำให้ท่านวางแผนซื้อบ้านให้กับพี่กุ้ยหยู้ของข้า บ้านที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางไม่ได้หาได้ง่ายๆ อย่าลืมพาท่านป้ากับพี่กุ้ยหยู้มาด้วยล่ะ ห้องของท่านอยู่ชั้นสอง” พูดเสร็จเขาก็ขยิบตาให้เว่ยเจิงแล้วเดินไปทางด้านหลังของพระราชวัง
บทสนทนาเรื่องเดียวกันถูกพูดขึ้นที่ห้องโถง บัตรเชิญที่หลี่ซื่อหมินเพิ่งได้มา ราวกับเป็นที่ระลึกว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินก็ไม่เคยได้รับบัตรเชิญให้ไปร่วมงานอะไรจากใคร โดยทั่วไปแล้วเขาจะเป็นคนชวนคนอื่น เขาถึงได้แปลกใจ พลิกดูกลับไปกลับมา
เห็นนกอินทรีแก้วสองตัวที่หยาบกระด้างวางอยู่บนโต๊ะของหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกอับอายขายขี้หน้า เลยพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาทเอาเจ้าสองตัวนี้ทิ้งไปเถอะขอรับ วางอยู่บนโต๊ะของฝ่าบาทเช่นนี้มันน่าอาย”
“ที่เราเอามันวางไว้ตรงนี้ไม่ใช่เพราะว่ามันมีค่า แต่เราเอาไว้คอยเตือนตัวเอง มูลสัตว์สามารถกลายเป็นอาหารชั้นเลิศได้ เม็ดหินดินทรายกลายเป็นมุกหยกได้ เหตุผลนี้ ก็เหมือนกันกับมนุษย์ มุกหยกก็สามารถกลายเป็นเม็ดหินดินทรายได้เช่นกัน สิ่งของพวกนี้ ล้วนเป็นไปตามเจตจำนงของมนุษย์ นี่ เจ้ารู้ไหมว่านานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้รับบัตรเชิญ ตั้งแต่เราขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ก็มีแต่เราที่เชิญผู้อื่น ไหนลองพูดสิ เจ้าวางแผนจะให้เราไปดูอะไร”
หลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะเสียใจ แต่เขาก็ขับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างรวดเร็ว คนอย่างเขาไม่ต้องการอารมณ์ที่ไร้สาระพวกนี้
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้จัดงานขึ้นที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง เพื่อใช้สำหรับรับชมการแสดงและร้องเพลงร่ายรำ ความรู้สึกแบบนั้นเป็นความรู้สึกที่ฝ่าบาทไม่อาจได้สัมผัสในราชวังได้ การร่ายรำของบทเพลงฉินอ๋องทำลายข้าศึกของที่นั่น จะต้องทำให้ฝ่าบาทประทับใจแน่นอน”
ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกสร้างขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน มีบ้านหลังใหญ่ลักษณะแปลกตาอยู่ที่ตรงใจกลาง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าบ้านหลังนั้นใช้ทำอะไร หลังจากที่เหอเซ่าได้หาช่างที่มีฝีมือมาตกแต่งเสร็จ ทุกคนต่างพากันสับสนเข้าไปใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยเก้าอี้ ด้านหลังยังมีแผ่นป้าย ชั้นสองมีห้องเล็กๆ หลายห้อง หนึ่งในห้องที่ดีที่สุดถูกตกแต่งอย่างงดงาม พรมปูพื้นที่นุ่มจนสามารถฝังไปถึงข้อเท้า มีการแขวนแท่งเหล็กสีทองแดงจำนวนมาก เพื่อใช้ในการปรับอากาศให้เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน และยังสามารถเชื่อมกับเตาถ่านเพื่อให้ความร้อนในฤดูหนาวอีกด้วย นี่คือผลสำเร็จครั้งใหม่ของสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยสาบานว่า เขาแค่เสนอความคิดไปแค่นั้น และไม่เคยถามไถ่อะไรอีก เมื่อมีรายงานเข้ามา เขาถึงได้รู้ว่า มันกำลังจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
หลังคาทรงโดมและทางเดินถูกออกแบบเป็นผนังสะท้อนเสียง แค่คุณตะโกนอยู่บนบนเวที คนทั้งห้องจะได้ยินเสียงโดยทั่วกัน หลี่เค่อพานักดนตรีจากในพระราชวังมาเล่นที่นี่โดยเฉพาะ นักดนตรีทุกคนต่างมีความสุข นอกจากนี้ ยังมีไฟสปอร์ตไลท์ที่ผลิตจากแก้ว เพียงแค่จุดเทียนให้สว่างสักสองสามเล่ม ก็สามารถทำให้ทั้งเวทีสว่างเหมือนเวลากลางวัน
อวิ๋นเยี่ยยังออกแบบผ้าม่านมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะด้วย เขาหาจิตรกรมาวาดฉากหลังบนเวทีตั้งมากมาย วางแผนที่จะเปลี่ยนการแสดงหนังตะลุงให้กลายเป็นคนจริงแสดง การแสดงหนังตะลุงเป็นที่นิยมมากในตอนนี้ แต่เรื่องราวน่าเบื่อไปหน่อย ล้วนแต่เป็นเรื่องราวของลูกชายที่แสนจะกตัญญู หรือไม่ก็สาดน้ำหย่าร้างกับภรรยา ไม่มีอะไรใหม่ๆ เสียเลย
ด้วยเหตุนี้ อวิ๋นเยี่ยถึงต้องเสนอเรื่อง ‘ตำนานงูขาว’ ให้กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษา ว่ากันว่า บางคนถึงกับเคยหมกมุ่นอยู่กับละครเรื่องนี้ พวกเขาไม่สามารถแยกแยะเรื่องจริงกับละครได้ และยังมีบางคนขว้างก้อนหินขึ้นไปบนเวที โชคดีที่เขาไม่ได้มีฝีมือขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้
ยังเคยให้ซินเย่ว์ ต้ายา เสี่ยวยา ซือซือดูแล้วหนหนึ่ง ตอนที่เห็นพวกเขาพรากจากกัน ซินเย่ว์ ต้ายาก็พากันร้องไห้หนัก ซือซือกัดฟันไม่ให้น้ำตาไหลออกมา มีแต่อวิ๋นเยี่ยกับเสี่ยวยาสองคนที่เอาแต่หยอกล้อเล่นกันอย่างไม่รู้สึกอะไร ก็เหมือนกับที่เสี่ยวยาบอก ถ้าเขาเป็นงูขาวตัวนั้น เขาจะกินซู่เซียนคนนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะร้องไห้กันทำไม เขาได้รับคำชมจากอวิ๋นเยี่ย และได้รับสายตามองบนจากซินเย่ว์กับต้ายา
“มัวแต่คิดอะไร เจ้าได้ยินที่เราพูดไหม” ฝ่ามือตบลงที่ท้ายทอย ทำไห้อวิ๋นเยี่ยกลับมามีสติอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทว่าอะไรนะขอรับ เมื่อกี้กระหม่อมใจลอยไปหน่อย ฟังไม่ค่อยชัด” อวิ๋นเยี่ยมองหลี่ซื่อหมินด้วยความมึนงง เมื่อกี้ไม่ได้ฟังว่าหลี่ซื่อหมินพูดอะไรจริงๆ
ฝ่ามือของหลี่ซื่อหมินขยับเปลี่ยนท่าแล้วเปลี่ยนอีก ถึงทำให้เขากลับมาสงบลงได้อีกครั้ง กล้าใจลอยต่อหน้าฮ่องเต้ ทั่วทั้งต้าถังคงมีแค่เพียงเขาคนเดียว “เราบอกว่า เหตุใดถึงได้มีบัตรเชิญของฮองเฮา ขุนนางนอกอย่างเจ้า ให้บัตรเชิญฮองเฮา ไม่คิดว่ามันไร้มารยาทเหรอ”
ข้าเห็นภรรยาของท่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หูของข้าก็โดนฮองเฮาหยิกมาแล้วตั้งหลายครั้ง ตอนนี้พึ่งจะมานึกถึงเรื่องมารยาท ในใจคิดแบบนี้แต่ปากกลับพูดออกไปว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้เชิญแค่ฮองเฮาขอรับ ฝางฮูหยิน ตู้ฮูหยิน เว่ยฮูหยิน ป้าตระกูลเฉิง ป้าตะกูลหนิว ป้าตระกูลฉินกระหม่อมก็เชิญขอรับ ป้าอวี้ฉือถ้ากระหม่อมไม่เชิญ คงจะถูกตี กระหม่อมก็เลยเชิญมาด้วยขอรับ”
โรงละครเป็นของอวิ๋นเยี่ย แต่การจัดห้องกลับไม่ใช่หน้าที่ของอวิ๋นเยี่ย หลี่ซื่อหมินมองดูแผนผัง แล้วเขียนด้วยปากกาสีแดง ในที่สุดเขาก็ยินยอมเป็นหน้าเป็นตาให้อวิ๋นเยี่ย เอาห้องขนาดกลางที่อยู่ถัดจากห้องใหญ่ให้ตระกูลอวิ๋นห้องหนึ่ง
“ฝ่าบาท ห้องพวกนี้ต้องเก็บเงินด้วยนะขอรับ แล้วราคาก็ไม่ได้ถูกด้วยขอรับ” หลี่ซื่อหมินมักจะให้ความสนใจกับคนที่กล้าเก็บเงินกับตัวเอง เขาเงยหน้าไปมองอวิ๋นเยี่ย อยากจะดูว่าไอ้หมอนี่กล้าที่จะเก็บเงินเขาไหม
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะคิดราคาเหมาให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทไปที่นั่นแค่ครั้งเดียว ฝ่าบาทก็จะหลงรักที่นั่น ต่อไปมีการเฉลิมฉลองอะไรอาจจะต้องย้ายไปแสดงที่นั่นก็เป็นได้ โรงละครแห่งนี้สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงจากสำนักศึกษาของเรา ราคาก็ย่อมจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งค่าซ่อมบำรุงประจำปีและค่าธรรมเนียม กระหม่อมไม่กล้าเก็บจากฝ่าบาทมากเกินไป ปีละพันเหรียญได้ไหมขอรับ”
หลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะได้ยินเสียงครวญครางในใจของตน ไอ้หมอนี่กล้าเก็บเงินเขาจำนวนมากถึงพันเหรียญ เงินเดือนเสนาบดียังไม่ได้เท่านี้ เขากัดฟันและพูดว่า “หากเราไม่ตกลงล่ะ”
“หากฝ่าบาทไม่ตกลง กระหม่อมก็จะไม่เก็บฝ่าบาทสักสตางค์เดียว” หลี่ซื่อหมินถึงได้โล่งอก เขาตัดสินใจว่าต่อไปจะไม่อยู่กับไอ้หมอนี่อีก เขาโยนบัตรเชิญของจั่งซุนไปให้อวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ของฮองเฮาเจ้าเอาไปให้เอง เราไม่สนใจ”
——
[1] เก่ยซื่อจง ขุนนางที่มีความใกล้ชิดกับจักรพรรดิ
[2] ไม้จินสื่อหนาน ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่เนื้อไม้มีลวดลายเหมือนดิ้นทอง นิยมนำมาทำโลงศพหรือเฟอร์นิเจอร์
[3] อำพันทะเล หรือ อ้วกวาฬ เป็นของหายาก ราคาแพง เกิดจากการสำรอก และขี้ของวาฬหัวทุย
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 21 เรื่องฉาวของพระราชวัง
จั่งซุนพลิกบัตรเชิญไปมา แม้แต่คำแนะนำเกี่ยวกับละครที่เขียนอยู่ด้านหลังก็ยังอ่าน จะบอกอะไรที่ไม่น่าเชื่อให้ฟัง จั่งซุนไม่เคยได้รับบัตรเชิญเลย บัตรเชิญที่เป็นทางการเช่นที่อวิ๋นเยี่ยเอามาให้นางแบบนี้ ตอนที่นางยังไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ออกไปงานสังสรรค์ข้างนอกก็จะออกไปกับหลี่ซื่อหมินทุกครั้ง เป็นเพียงผู้ติดตามตลอด และถึงแม้ว่าจะได้บัตรเชิญ ทว่าเงยหน้าดูก็คือบัตรเชิญของหลี่ซื่อหมิน ไม่มีทางเป็นบัตรเชิญของตนเองได้เลย
“องค์หญิงยังเล็กอยู่ ข้าต้องคอยดูแล ข้าคงจะไปไม่ได้” จั่งซุนรู้สึกเสียดาย แต่ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ทำให้นางปฏิเสธคำเชิญของอวิ๋นเยี่ย ยังต้องให้นมลูกสาว จั่งซุนป้อมนมลูกด้วยตัวเองเสมอ ไม่เคยผ่านมือใครอื่น
“ท่านอย่าได้กังวลไปเลยขอรับ โรงละครได้เตรียมห้องพิเศษสำหรับฮองเฮาและฝ่าบาทไว้แล้ว การออกไปสังสรรค์ครั้งนี้ ฮองเฮาก็ถือเสียว่าเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องบ้านเมือง เรื่องงานราชการ เพียงแค่ออกไปชมดนตรีและการแสดงเท่านั้น ถือโอกาสซื้อของที่ฮองเฮาชอบติดมือกลับมาด้วย ข้าจะบอกอะไรฮองเฮาให้อย่าง ที่นั่นมีกระโปรงที่ออกแบบเป็นพิเศษโดยช่างทอผ้าของสำนักศึกษาด้วยนะ รวมถึงเครื่องประดับงามตาที่ออกแบบโดยตระกูลกงซูอีก น้ำหอมที่ผลิตโดยตระกูลอวิ๋นก็มี ชื่อก็ตั้งเรียบแล้ว ชื่อว่าดึงดูดวิญญาณขอรับ”
สาวใช้ส่วนตัวมองไปที่ฮองเฮาอย่างมีความหวัง ถ้าฮองเฮาไป นางก็จะต้องได้ไปด้วย แต่ถ้าฮองเฮาไม่ไป นางก็คงได้เลี้ยงเด็กอยู่ในวัง ตอนที่ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยแนะนำ ด้วยมีชีวิตในวังที่เงียบเหงามานานหลายปีก็เกิดทำให้นางรู้สึกถึงหัวใจที่อยากจะโบยบินตั้งนานแล้ว
ในขณะที่จั่งซุนกำลังลังเลอยู่นั้น อวิ๋นเยี่ยก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ฮองเฮา สำหรับเรื่องป้อนนมองค์หญิงน้อย กระหม่อมได้คิดไว้แล้วขอรับ นี่คือขวดนม กระหม่อมได้เตรียมไว้สำหรับลูกของกระหม่อมในอนาคต ตอนนี้กระหม่อมเอาให้ฮองเฮา ฮองเฮาต้องเก็บน้ำนมไว้ในขวดนม เมื่อองค์หญิงหิว ก็ให้อุ่นด้วยน้ำร้อนแล้วป้อนให้องค์หญิงขอรับ”
อวิ๋นเยี่ยหยิบขวดนมแก้วออกมาจากแขนของเขา แก้วทำได้ง่าย แต่จุกยางข้างบนเกือบทำให้อวิ๋นเยี่ยทรมานตาย เพื่อที่จะหาวัสดุทดแทนที่สะอาดและถูกสุขอนามัย เขาลองใช้วัสดุมากมายนับไม่ถ้วน เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตีเอ็นเนื้อให้เละ ต้มเป็นยาง แล้วใส่ลงในแม่พิมพ์สำหรับอัดขึ้นรูป ใครจะรู้ว่าเมื่อรอให้เอ็นแห้งแล้ว จุกขวดนมกลับแข็งขึ้นมาทันที ลูกใครจะชอบจุกขวดนมแข็งกันล่ะ
ตอนแรกกงซูมู่ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำอะไร พอเขารู้ เขาก็หัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ออก บอกว่าอวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองฉลาดแต่กลับถูกความฉลาดขัดขวาง แทนที่จะใช้วัสดุสำเร็จรูป แต่เขากลับคิดอยู่ตั้งนาน แถมยังเสียเวลา ช่างโง่เขลาจริงๆ ตาแก่คนนี้ไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะได้หัวเราะเยาะอวิ๋นเยี่ยไปแน่ แล้วจึงตัดท่อนไม้อ่อนท่อนหนึ่งจากลานบ้านของตัวเอง ใช้มือหักครึ่งแล้วยื่นให้อวิ๋นเยี่ย ก่อนจะพูดว่า “ของแบบนี้มีอยู่ทั่วไป เจ้าตัดให้มันเป็นจุกนมก็ได้แล้ว นุ่มกำลังดี แปรงฟันของหลานชายข้าก็ทำมาจากสิ่งนี้ ไม่มีปัญหาแน่นอน” อวิ๋นเยี่ยรับมันมา ใช้มือลองบีบดู เขาก็หน้าแดงขึ้นมา แม่งเอ๊ย ทำไมคิดไม่ถึงไม้อ่อนนะ
จั่งซุนตกใจไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็หน้าแดงขึ้นมา หยิบขวดนมขึ้นมาดู แล้วยังสั่งให้สาวใช้เอาขวดนมไปล้างแล้วเทน้ำนมลงไป ตัวเองลองหยิบขึ้นมาดูด เห็นน้ำนมสีขาวค่อยๆ ไหลออกมาจากขวด นางก็ดูดเข้าไปในปาก พยักหน้าด้วยความพอใจและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าเชิญข้าไปร่วมงานด้วยได้ แต่ขวดนมนี้ต้องเป็นของข้า”
“กระหม่อมเอามาให้ฮองเฮาอยู่แล้วขอรับ คงไม่ต้องพูดอะไร”
“ข้าหมายความว่าข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าทำของสิ่งนี้ขึ้นมา เจ้าเข้าใจไหม” จั่งซุนมองซ้ายมองขวาไม่ยอมปล่อยมือจากขวดนม
“ของสิ่งนี้ฮองเฮาเป็นคนบอกให้กระหม่อมทำขึ้นมา ใครกล้าสงสัย กระหม่อมไม่ยอมแน่ขอรับ” เห็นท่าทางอกผายไหล่ผึ่งของอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนกับสาวใช้ส่วนตัวที่คอยข่มขู่เขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ เจ้านายกับคนใช้ก็น่ารังเกียจเหมือนกัน เรื่องขวดนมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอแค่นางไปเป็นเกียรติให้กับงานพรุ่งนี้ที่โรงละครก็คุ้มค่ามากพอแล้ว ขายขวดนมจะได้สักเท่าไหร่กัน
จัดการกับทั้งคู่ได้เรียบร้อย ก็ถือว่าเป็นผลความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม อวิ๋นเยี่ยเดินออกมาจากพระราชวังอย่างสบายใจ เห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามา เขาหาทางหลบ ถึงได้เดินผ่านประตูด้านข้าง และเดินตรงไปที่พระราชวังตะวันออกเพื่อไปปรึกษากับหลี่เฉิงเฉียนเรื่องงานแต่งของเจ้าตัวว่าต้องการจะให้ตัวเขาไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือไม่ เพื่อนเจ้าบ่าวของรัชทายาทนั้น โดยปกติแล้วจะต้องเป็นคนในราชวงศ์ ขุนนางยศต่ำต้อยอย่างเขาไม่อาจได้หรอก
“เฮ้ย หยุดเลยนะ” น้ำเสียงผู้หญิงที่น่ารักทำให้อวิ๋นเยี่ยจำเป็นที่จะต้องหยุดเดิน เพราะว่าตรงนี้นอกจากตัวเขาเองก็มีแค่กลุ่มเด็กผู้หญิงพวกนั้น แสดงว่านางกำลังเรียกเขา
หันหลังไป เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียววิ่งเข้ามา ต้องยอมรับว่าลูกสาวของหลี่ซื่อหมินมีหน้าตาสวยงาม โดยเฉพาะคนที่วิ่งเข้ามาคนนี้ น่าจะอายุสักสิบสองขวบ นางรวบผมขึ้นหมด น่าจะเพิ่งไปตกปลามา เพราะว่าในมือกำลังถือไม้ไผ่คู่หนึ่งอยู่ แล้วยังมีตะกร้าปลาห้อยอยู่ที่เอวด้วย ดูจากท่าทางที่ผ่อนคลายของนาง ในตะกร้าปลาน่าจะไม่มีปลาอยู่
“อวิ๋นเยี่ย ลับๆ ล่อๆ ทำอะไร เจ้าขโมยของหรือเปล่า” สายตาของเด็กผู้หญิงคนนั้นมองอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางตื่นเต้นเหมือนจับโจรได้
“เหอผู่ เจ้าก็ยังมีนิสัยอคติกับข้า สิ่งของในวังมีอะไรให้ข้าขโมย เจ้าดูสิ หญ้าขึ้นกำแพงหมดแล้ว เก่ากว่าบ้านของข้าซะอีก สมบัติสองชนิดนั้นข้าก็เป็นคนเอามาให้ เจ้าจะโอ้อวดทำไมกัน” สำหรับองค์หญิงเกาหยางผู้ที่จะยิ่งใหญ่ในอนาคต อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเสแสร้งแกล้งทำ เด็กคนนี้ถูกหลี่ซื่อหมินตามใจจนเสียคน จะต้องสั่งสอนเสียบ้าง
“เจ้ากล้าพูดว่าบ้านของเจ้าดีกว่าพระราชวัง เจ้ารนหาที่ตายชัดๆ ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ บอกให้เสด็จพ่อเอาเจ้าไปแขวนตากแห้งที่เสาธง” นางตะโกนออกมาอย่างดุเดือด
“ข้าเป็นถึงขุนนางคนสำคัญของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ทำอะไรข้าหรอก เหอผู่ ข้าได้ยินมาว่าที่ดินของเจ้าอุดมไปด้วยไข่มุก เมื่อไหร่จะส่งมาให้ข้าบ้าง ข้าจะได้ไม่ต้องลงโทษฝางอี๋อ้ายที่สำนักศึกษา ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เขาแบกก้อนหินวิ่งทุกวัน มันคงกดความสูงของเขาลงสักสามนิ้วกระมัง” มันไม่เหมือนกันกับที่กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ เกาหยางกับฝางอี๋อ้ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้อวิ๋นเยี่ยสับสนเล็กน้อย
“ไอ้โง่คนนั้น เจ้าจะทรมานเขาจนตายข้าก็ไม่สนใจ เอ่อใช่ ข้าได้ยินพี่อั้นบอกว่าเจ้าเอาหัวใจแกะไปเปลี่ยนให้พี่โย่ว จริงหรือเปล่า” เหอผู่ขยับเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะอากาศร้อน นางจึงไม่ได้ใส่เสื้อข้างในเลยทำให้เห็นหน้าอกเล็กๆ นางคงจงใจ เด็กคนนี้เป็นนางมารร้าย
อวิ๋นเยี่ยถอยออกห่างไปหนึ่งก้าวแล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “หัวใจดวงเดิมของเขาเต็มไปด้วยความสกปรก เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่นใด ข้าก็เลยเปลี่ยนหัวใจให้เขา หลี่โย่วไม่ได้บอกเจ้าเหรอว่า ทุกเที่ยงคืนหัวใจของเขาจะเจ็บปวดมาก ไม่กี่วันที่ผ่านมาฮองเฮายังบอกเลยว่า จะส่งพวกเจ้าไปเรียนที่สำนักศึกษาดีไหม ต่อไปจะได้จัดการที่ดินได้ ข้ารอคอยการมาของเจ้า เจ้าหญิงผู้ยโสเช่นนี้ ก็คงเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ได้เช่นกัน เจ้าก็อาจจะต้องเปลี่ยนหัวใจเหมือนกัน เจ้าว่า เอาหัวใจของวัวดีไหม”
จู่ๆ น้ำเสียงของอวิ๋นเยี่ยก็ฟังดูโหดร้าย นึกถึงภาพหลี่อั้นที่เต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตา ท่าทางที่ตายทั้งเป็นของหลี่โย่ว เหอผู่ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ก้มลงมองหน้าอกของตัวเอง ไม่กล้าจินตนาการภาพของหัวใจวัว นางกรีดร้องและวิ่งหนีราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัวที่สุดในโลก หลี่โย่วถูกเปลี่ยนหัวใจแล้ว ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนที่น่าเชื่อถือ แต่เหอผู่เชื่อ เพราะว่าหลี่อั้นไม่เคยโกหกนาง
เหอผู่วิ่งหนีไปแล้ว หลานหลิงก็มาอีก ลากสุนัขขนหยิกมาด้วยตัวหนึ่ง มองไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วตะโกนว่า “สุนัขดูน่ารักทีเดียว แต่ทำไมถึงถูกเรียกว่าฉางอันแสนอันตรายเหมือนกับเจ้าได้ล่ะ”
จะบอกเด็กคนนี้อย่างไรดีว่าสุนัขพันธ์นี้เชี่ยวชาญเรื่องการกัดผู้ชาย เด็กผู้หญิงอายุสิบขวบนั้นจะบอกว่าโตก็ยังไม่โต จะบอกว่าเด็กอยู่ก็ไม่เด็ก ก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่อง “ข้าชอบทานเนื้อสุนัข มันก็เลยโชคดี ถูกเรียกว่าแสนอันตรายยังไงล่ะ”
“เจ้าทำอาหารอร่อยนี่ เราทานสุนัขตัวนี้กันดีไหม” หลานหลิงดีใจที่ได้ยินแบบนี้ เขาก็ชอบทานเนื้อสุนัขเหมือนกัน
สุนัขตัวนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ใต้เท้าของอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้เลยว่าเจ้าของกำลังอยากจะทานเนื้อของมัน
ไม่มีอะไรจะพูดกับเด็กที่ไม่มีหัวใจ ทำได้แค่ก้มหน้าวิ่งหนีไป แล้วด้านหลังยังมีเสียงของเด็กผู้หญิงที่เอาแต่พูดยุยงว่าสุนัขตัวนั้นดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี
ในพระราชวังมีเพียงวังทางตะวันออกเท่านั้นที่ทานมังสวิรัติ หลี่เฉิงเฉียนกำลังทำงานอยู่ นั่งกระซิบกระซาบอยู่บนเก้าอี้ หลี่เฉิงเฉียนนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่หลังโต๊ะทำงาน เอาแต่เขียนอะไรบางอย่างด้วยพู่กัน เห็นว่าเขากำลังยุ่งอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็เดินออกไปที่สวนดอกไม้ รอให้เขาทำงานเสร็จก่อนแล้วค่อยไปหาเขา
สวนดอกไม้แสนเงียบสงบ บอกให้คนรับใช้ของตนเอาเก้าอี้และชงชามาให้ เขาเตรียมที่จะงีบหลับสักพักหนึ่ง พอตัวเองหลับตื่นขึ้นมาก็คงพอดีกับการดื่มชาที่เย็นลงแล้ว
ในขณะที่กำลังหลับใหลอยู่ในความมึนงง ก็มีเสียงดังขึ้นที่ข้างหู “ท่านอวิ๋น ท่านจะไม่ยอมให้พวกเรามีชีวิตรอดจริงๆ เหรอ” นี่ไม่ใช่ความฝัน อวิ๋นเยี่ยได้ยินมันอย่างชัดเจน
ลุกขึ้นมานั่งมองไปรอบๆ ไม่พบใครอื่น มีเพียงขันทีแก่กำลังตัดหญ้าอยู่ใต้ต้นไม้ มองไปที่ขันทีแก่คนนั้น อวิ๋นเยี่ยก็พูดว่า “ข้าไม่พูดอะไร ก็ให้พวกเจ้ามีชีวิตแล้ว ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ายุ่งเรื่องของหลี่อันหลาน และก็อย่ามาแตะต้องลูกของข้า มิฉะนั้น ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”
เป็นอย่างที่คิดไว้ เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “องค์หญิงอยู่ไกล พวกข้าไม่มีทางเข้าไปยุ่ง คนของเจ้าไม่ยอมให้พวกเราเข้าใกล้องค์หญิง ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะเชื่อใจเจ้ามาก เจ้าเป็นผู้ชายของเขา พวกข้าแค่อยากมีชีวิตรอด เมื่อวานก็มีนางรับใช้ในวังฆ่าตัวตายไปแล้วอีกสองคน ท่านอวิ๋น พวกเรามันคนต่ำต้อย ชีวิตราวกับต้นหญ้า แค่อยากมีชีวิตอยู่ไปจนแก่เฒ่าเท่านั้น ท่านอวิ๋นได้โปรดเมตตาด้วย”
ไม่เห็นคนที่พูด มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว เคยเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลกมนุษย์มาแล้วมากมาย เขาอ้าปากแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งมากเหรอที่ทำเสียงแบบนี้ได้ มีมือมีเท้าก็หาทางเอาตัวรอดเองไม่ได้หรอกหรือ ถ้าหากข้าช่วยพวกเจ้า ภายใต้ความทะเยอทะยาน พวกเจ้าก็จะเติบโตเป็นมังกรพิษ ต่อไปก็อาจจะเกิดภัยพิบัติ โลกที่กำลังสงบสุขก็อาจจะต้องแตกแยกอีกครั้ง ผลที่ตามมาร้ายแรงเกินไป ข้าไม่กล้าทำ”
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 22 พ่อค้าในฉางอัน
“ท่านอวิ๋นมีความรู้ที่กว้างขวาง เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว ข้าแค่ขอเพียงกินอิ่มนอนหลับและมีเสื้อผ้าใส่ จะได้ไม่ถูกพวกสุนัขกัดกินศพ แค่นี้ก็พอใจแล้ว” ขันทีแก่ก็ยังคงมองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
“สอนให้เขารู้จักวิธีตกปลาดีกว่าเอาปลาให้เขา ส่งเงินทั้งหมดของพวกเจ้าไปที่บ้านของตระกูลอวิ๋นที่อยู่ฉางอันในวันพรุ่งนี้ ข้าช่วยได้แค่ให้พวกเจ้าตั้งเนื้อตั้งตัว ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเอง”
พอทนดูไม่ได้ ความใจอ่อนก็มักจะคอยทรมานอวิ๋นเยี่ยอยู่เสมอ เมื่อกี้สายตาของขันทีแก่เผยให้เห็นกลิ่นอายของความตาย ตั้งแต่ครั้งก่อนที่รู้ว่ามีคนที่ต่ำต้อยพวกนี้อยู่ เขาก็ตั้งใจไปดูสภาพความเป็นอยู่ของขันทีและสาวใช้ในราชวังโดยเฉพาะ ใช้คำเปรียบเทียบได้เพียงคำเดียวคือ น่าสังเวชอย่างยิ่ง ถูกขับไล่ออกจากพระราชวังในวัยชรา มีเงินติดตัวอยู่เพียงไม่กี่เหรียญ บวกกับการใช้ชีวิตในพระราชวังเป็นเวลานาน ก็เลยไม่สามารถเข้ากับฝูงชนได้ ฝูงชนก็ไม่ยอมรับพวกเขา ใช้เงินหมดแล้วก็ทำได้แค่ขอทานหรือไม่ก็อดตาย ผู้ชายกับผู้หญิงก็เหมือนกันหมด
ขันทีแก่ก้มลงจูบเท้าของอวิ๋นเยี่ยอยู่ที่พื้น จากนั้นก็เดินออกไปจากสวนดอกไม้
รู้สึกไม่มีอารมณ์นอนอีกต่อไป พรุ่งนี้ก็คงใช้เงินของพวกเขาหาเงินเพิ่มอีกหน่อย ซื้อที่ดินในพื้นที่ห่างไกลให้พวกเขาแล้วจ้างชาวนาบางคน พวกเขาคงพอได้อาศัยค่าเช่าของคนเช่าในการใช้ชีวิตต่อไป แบบนี้ถึงจะได้ไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง ขันทีหนุ่มคงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ให้เงินพวกเขา มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน
สองสามวันนี้หลี่เฉิงเฉียนดูมีความสุข อวิ๋นเยี่ยถามเขาว่าลูกสาวของตระกูลซูหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ เขากลับมีสีหน้าที่หวาดระแวง ดูเหมือนจะกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะคิดแผนการชั่วร้าย เขาบอกแค่พอดูได้ แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ลูกสาวขอตระกูลซูต้องเป็นคนที่สวยงามคนหนึ่งแน่นอน
“ตอนที่เจ้าแต่งงานอย่าให้ข้าต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้ไหม ตอนที่ข้าแต่งงาน เฉิงฉู่มั่วยังถูกตีจนโง่ เจ้าเป็นรัชทายาท พวกเขาไม่กล้าตีเจ้า แล้วข้าจะไม่ถูกตีจนตายเลยเหรอ”
ชาที่ชงไว้ช่างไร้ประโยชน์ หลี่เฉิงเฉียนยกดื่มไปหมดแล้ว นี่ก็เป็นนิสัยที่ได้มาจากอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนถอนหายใจที่ตัวเองแก้นิสัยของรัชทายาทกับอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม หลี่ซื่อหมินไม่สนใจด้วยซ้ำ บอกให้ไม่ต้องจับสองคนนี้มาฝึกมารยาทด้วยกัน ถึงได้ทำให้พวกเขารอดพ้นไป
“ข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนแค่คนเดียว พวกพี่น้องผู้ชายในตระกูลท่านลุง เจอข้าก็ราวกับหนูเจอแมว แทบไม่กล้าหายใจ ข้าเหนื่อยมากพอแล้ว ให้คนอื่นได้ผ่อนคลายบ้าง ก็แค่สิบกว่าที ทนๆ เอาหน่อยเถอะ” อย่างไรก็ไม่ใช่ตัวเองที่ถูกตีก็เลยพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย
“งานประมูลเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินว่ามีการร้องเพลงร่ายรำที่น่าสนใจ ข้าจะพาพี่ๆ น้องๆ ไปดูด้วย จะได้สดชื่นขึ้นบ้าง ได้ยินมาว่าทั้งฉางอันกำลังจับตาดูเจ้าอยู่เลยนะ”
“เจ้าหยุดเพ้อฝันได้แล้ว ยังจะพาพี่ๆ น้องๆ ไปดูด้วยอีก ห้องของเจ้าก็แค่ห้องสี่เหลี่ยมหกฟุต พี่น้องเจ้าเยอะขนาดนั้นจะอยู่ได้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยหันหลังนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมกับยกขาไขว่ห้างพูดกับหลี่เฉิงเฉียน
“หากเจ้าไม่หาเงินเจ้าจะตายเหรอ เอาห้องเล็กเช่นนั้นให้ข้า ข้าบอกพวกเขาไปแล้ว ไม่ได้ เจ้าต้องเปลี่ยนเป็นห้องใหญ่ให้ข้า ห้องเบอร์หกนั่นก็ได้”
อวิ๋นเยี่ยเอาภาพห้องที่หลี่ซื่อหมินเป็นคนจัดเตรียมให้รัชทายาทดู
“หา ทำไมเสด็จพ่อถึงได้เอาห้องเล็กให้ข้า หา? ของเจ้าก็ห้องเล็ก ของชิงเชวี่ย เสี่ยวเค่อก็ไม่มี เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ายังบอกตระกูลซูว่าจะพาพวกเขามาดูด้วย”
“นั่นเป็นปัญหาของเจ้า ไม่ใช่ปัญหาของข้า เจ้าไปโน้มน้าวใจฝ่าบาทเอาเอง ข้าจะกล้าจัดห้องเองได้อย่างไร เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไรล่ะ”
“เยี่ยจึคิดหาทางออกให้ข้าหน่อยสิ ไม่เช่นนั้นข้าต้องอับอายขายขี้หน้ามากแน่ๆ ข้าเป็นถึงรัชทายาท ข้าจะขายหน้าไม่ได้หรอกนะ” หลี่เฉิงเฉียนรีบร้อนไปหมด หลี่ซื่อหมินเอาห้องใหญ่ให้กับหลี่เต้าจง ไม่มีใครกล้าขัดหลี่ซื่อหมิน รัชทายาทก็ไม่กล้า
“มีอยู่ทางเดียวคือเจ้าเอาห้องนั้นให้พี่น้องของเจ้า แล้วถ้าเจ้ามีความสามารถหลอกล่อตระกูลซูออกมาได้ ข้าจะช่วยหาที่ลับส่วนตัวเพื่อชมการแสดงให้เจ้า ถ้าเจ้าถือโอกาสจัดการกับตระกูลซูได้ พี่ชายอย่างข้าก็อวยพรให้กับเจ้าแล้ว”
“เหลวไหล นั่นภรรยาของข้า ข้าจะรีบทำไม นับดูเวลาก็สองสามเดือนแล้ว เดือนหน้าแต่งงานกับตระกูลโหว เดือนถัดไปแต่งงานกับตระกูลซู ไม่รีบร้อน เจ้าแน่ใจเหรอว่าส่วนตัว จะไม่มีใครเห็นเหรอ”
“มีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกมาระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ตอนแรกข้าเตรียมไว้ให้ตัวเอง แต่ตอนนี้คงต้องยกให้เจ้า นั่นคือสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมการแสดงแล้ว แต่หลี่เฉิงเฉียน ทำไมข้ารู้สึกว่าข้าเหมือนแม่สื่อ เจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นเช่นนั้นหรอกใช่ไหม”
“ข้าไม่คิดกับเจ้าเช่นนั้นแน่นอน แต่ข้าบอกน้องสาวข้าว่า เจ้าเป็นคนคิดที่จะหลอกล่อตระกูลซูออกมา เขาบอกว่าถ้าเจอเจ้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ”
ผู้ชายสองคนพูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์เช่นนี้ช่างน่ารำคาญใจ ดีที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน วันนี้มีการซ้อมใหญ่ที่โรงละคร อวิ๋นเยี่ยอยากไปดูว่าเป็นอย่างไร ถ้ายังดีไม่พอ เขาก็จะเปลี่ยนการแสดงทันที นักระบำหมุนหูเสวียนแปดเก้าคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว ระบำหมุนหูเสวียนปกติจะทำการแสดงคนเดียว แต่อวิ๋นเยี่ยอยากให้นักระบำทั้งเก้าคนแสดงด้วยกัน และยังต้องระบำให้พร้อมเพรียงกันด้วย ถึงแม้ว่านักระบำจะมีศักดิ์ศรีและไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แต่ภายใต้การข่มขู่ถึงสองครั้ง รวมถึงเงินของอวิ๋นเยี่ย ก็เลยจำเป็นที่จะต้องยินยอมทั้งน้ำตา และหากทำการแสดงได้ไม่ดีจะถูกตีจนขาหักด้วย!
เมื่อก้าวเดินเข้าไปในโรงละคร ก็รู้สึกเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ โดมทรงกลมสีขาวราวกับหิมะ เรียงรายไปด้วยโคม ทว่าเพียงจุดไฟที่อยู่ตรงหน้าสุด โคมไฟทั้งแถวก็จะสว่างขึ้นมา โคมที่ทำจากกระจกจะสะท้อนแสงก็จะทำให้แสงทั้งหมดกระจายไปทั่วโรงละคร เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้แสง ก็เพียงแค่ดึงที่จับ แผ่นเหล็กบางๆ ก็จะพลิกกลับและรัดขั้วหลอดไฟ ไฟก็จะดับลง
เดิมทีอยากจะใช้ก๊าซชีวภาพ แต่สิ่งนั้นมันอันตรายเกินไป มันระเบิดไปแล้วถึงสองครั้ง สำนักศึกษาระบุว่ามันเป็นสิ่งของอันตรายไปแล้ว ตอนนี้คนที่ทำงานพวกนี้ต่างต้องสวมชุดเกราะ ถ้ามันระเบิดต่อหน้าหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยคงต้องตายอย่างน่าอนาถแน่นอน
อวิ๋นเยี่ยลูบไปที่เก้าอี้ไม้ทรงกลม คิดถึงโรงละครเก่าที่อยู่หน้าบ้านของเขา มันเป็นเก้าอี้ที่พับเก็บได้ เก้าอี้ทรงกลมนี้ถูกวางจัดไว้ในโรงละครเป็นแถวๆ หากมีกิจกรรมอื่นๆ เก้าอี้พวกนี้ก็จะถูกเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่
มีประตูทั้งหมดหกบาน แต่ละประตูก็กว้างใหญ่ กรณีที่เกิดเพลิงไหม้ก็สามารถอพยพฝูงชนออกไปได้อย่างรวดเร็ว ห้องที่อยู่ชั้นบนก็มีประตูหลังอยู่ด้านขวา สามารถที่จะเข้าออกได้ง่าย
มีเวทีอยู่ข้างหน้า นักแสดงและนักระบำที่หามาในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นคนที่มีเสียงดัง ไม่มีทางเลือกอื่นอีก ในเมื่อยังไม่มีไมโครโฟนก็ต้องตะโกนด้วยด้วยลำคอ ไม่มีเสียงเพลง มีแต่เพียงบทสนทนา ศิษย์ในสำนักศึกษาสูญเสียเหล้าหมักไปแล้วมากมายนับไม่ถ้วน
ผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสีขาวกำลังพูดอยู่กับซู่เซียนบนเวทีว่า “องค์ชาย เหตุใดถึงได้รีบร้อน ธรรมชาติของฤดูใบไม้ผลิ นกนางแอ่นบินหลบสายฝน ดอกไม้เติบโตที่ริมทะเลสาบ ทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ ก็ไม่สามารถหยุดเจ้าไว้ได้ เหตุใดเจ้าไม่แวะชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิอีกสักหน่อยล่ะ”
ได้ยินแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะขึ้นมา นี่คือคำพูดหยอกล้อของชายหญิงที่ดูเปิดเผยที่สุดในสำนักศึกษา คำพูดพวกนี้ทำให้สำนักศึกษาเกิดเสียงร้องโหยหวนราวกับหมาป่าในยามค่ำคืนเพิ่มมากขึ้น ถ้าคำพูดพวกข้ารักเจ้ามาเป็นหมื่นๆ ปีพูดออกไป ไม่รู้ว่ามันจะทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าหรือเปล่า
มีศิษย์หลายคนจากสำนักศึกษาที่มาช่วยงานนั่งอยู่บนที่นั่ง โดยเฉพาะพวกที่มีส่วนร่วม พวกเขารับชมอย่างหลงใหล ไม่รู้ว่ามันจะเหมาะกับรสนิยมของคนพวกนั้นหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็แค่งานประมูลสินค้า
ตรวจดูขั้นตอนทั้งหมดอีกครั้ง รวมทั้งรักษาความปลอดภัยในห้องของหลี่ซื่อหมิน ทุกอย่างเป็นไปตามปกติถึงได้โล่งใจ หวังว่าพรุ่งนี้จะประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น
เหอเซ่าถือถุงกระดาษน้ำมันเดินเข้ามา รูปร่างอ้วนของเขากลมขึ้นเรื่อยๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยและเปิดถุงกระดาษออก ข้างในมีขาหมูที่ราดด้วยซอสสีแดงสองขา อวิ๋นเยี่ยหยิบขึ้นมาแทะหนึ่งขาอย่างไม่เกรงใจ
“เสี่ยวเยี่ย ครั้งนี้พวกพ่อค้าชาวหูต้องการเข้าสู่สังคมหลักของต้าถัง เพราะเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทุ่มเงินจำนวนมหาศาล บัตรเชิญที่ข้าเอาไปห้าสิบใบแจกหมดภายในครึ่งชั่วโมง พวกเขารวมตัวกันเป็นสองสามกลุ่ม พ่อค้าในเปอร์เซียขายอินทผลัม ส่วนขนมแป้งทอดและเครื่องดื่มเสริมกำลัง พวกพ่อค้าหูเป็นคนก่อตั้งขึ้น และยังมีชาวหูพวกอื่นที่ได้ก่อตั้งกลุ่มพ่อค้าขึ้นอีก แดนชิวฉือ แดนซูเลย และแดนเกาชังก็ได้ก่อตั้งกลุ่มพ่อค้าธุรกิจขนาดใหญ่ แดนเกาลี่และแคว้นวอก็มีกลุ่มธุรกิจ พวกเขามีเงินและน้ำมันจำนวนมาก แค่เงินขอบคุณพวกเราก็สองพันเหรียญแล้ว”
“หาตัวแทนเป็นพ่อค้าท้องถิ่นได้แล้วหรือยัง” อวิ๋นเยี่ยกัดขาหมูอย่างเอร็ดอร่อยแล้วถามเหอเซ่า
“ไม่ต้องห่วง พวกพ่อค้าในฉางอันล้วนแต่เป็นคนที่เราสนิทสนมด้วย เจ้าบอกว่าอนุญาตให้พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงเครื่องแก้วพวกนั้น แต่สุดท้ายทำไมกลับคำพูด พวกเขาไม่ค่อยพอใจ”
“เครื่องแก้วพวกนั้นไม่ค่อยมีคุณค่านัก ราคาเริ่มต้นหนึ่งร้อยเหรียญ ข้าทำมาพอแล้ว อีกสองปีของพวกนี้ก็จะราคาสองเหรียญ มันเป็นแค่สิ่งที่เผามาจากทราย ต่อไปคงจะมีราคาเท่ากับชามดื่มชาของเจ้า ถ้าข้าไม่กลับคำพูด ข้าจะรอให้พวกเขาล้มละลายเหรอ”
“แต่สิ่งของพวกนั้นดูสวยงาม ประณีตสดใสเหมือนสิ่งมีค่า”
“ที่บ้านมีเป็นโกดัง ถ้าเจ้าชอบ รอให้เสร็จเรื่องนี้ก่อนแล้วเจ้าค่อยไปเอาเอง”
“เป็นโกดัง?” เหอเซ่าเป็นพ่อค้าฉลาดอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เขาตกใจไปพักหนึ่ง แล้วก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ลดเสียงลงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหมายความว่าเราจะรวยแล้ว?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน ข้าจะทำพวกนี้ทำไม ข้าจะบอกให้ แค่จัดงานประมูลครั้งนี้ให้ดี เราก็จะกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่งของฉางอัน คราวนี้ข้าจะทำให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออกเลย”
เหอเซ่ากำลังดีอกดีใจ นี่เป็นธุรกิจใหญ่ แต่เมื่อเขานึกถึงพวกขุนนางพวกนั้น เขาก็ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยจึ เราโกงพวกพ่อค้าหูให้ถึงที่สุดไม่เป็นไร แต่พวกพ่อค้าที่ขุนนางพวกนั้นเป็นคนควบคุม พวกเขาไม่ยอมฟังคำสั่งหรอก และถ้าพวกเขามาสร้างปัญหา เราขาดทุนขึ้นมาจะทำอย่างไรดี และพ่อค้าในแดนอื่นที่เตรียมที่จะกัดกินตระกูลเยี่ยอีกล่ะ จะทำอย่างไร”
อวิ๋นเยี่ยลังเลไปสักพักก่อนที่จะถอนหายใจและพูดว่า “ช่างเถอะ ปล่อยพวกเขาไปก่อน ทักทายกับพวกเขาตามปกติ นี่คือเส้นทางการหาเงินที่พ่อค้าในฉางอันจงใจเข้ามาเพื่อชดเชยความเสียหายเมื่อสองสามวันก่อน ให้พวกเขาได้ยกมือเสนอราคา ต้นการบูร ข้าวกล่อง พระสารีบุตร หนังหมี แม้แต่บ้านในตรอกซิ่งฮว่าฟางก็ให้พวกเขาได้เสนอราคา แต่เครื่องแก้วพวกนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอาเอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น