เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 16-17
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 16 การติดสินบนเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง
จ่างซุนอยู่ในพระราชวังเป็นเฟิ่งหวงที่เฉิดฉายมากที่สุดตลอดมา แม้จะชราอยู่บ้าง แต่ก็เป็นที่เทิดทูนของบรรดาสนมสาวๆมาโดยตลอดไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากว่าหลี่ซื่อหมินเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จะมีเพียงจ่างซุนเท่านั้น
สาวงามโรยราง่าย ขุนพลผมหงอกขาว เป็นผลที่เกิดจากกฎของเวลาตามธรรมชาติ ต่อให้จ่างซุนยังคงสวยงาม แต่หลังจากกำเนิดบุตรห้าคนติดๆกันในเวลาสิบกว่าปีแล้ว ก็หนีไม่พ้นที่ทำให้รูปร่างอันเหนือกว่าผู้ใดต้องผิดรูปไป ยังดีที่นางไม่เพียงแค่สวยงามแต่สติปัญญาก็ยังเหนือกว่าผู้ใด ขณะที่พบว่าความสวยงามไม่สามารถพึ่งพาได้จึงตัดสินใจเดินในเส้นทางที่ใช้สติปัญญา จากสภาพการณ์ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสติปัญญาย่อมมีคุณประโยชน์เหนือกว่าความสวยงามแน่นอน
ตามที่อวิ๋นเยี่ยรู้มา ในหนึ่งเดือนหลี่ซื่อหมินอย่างน้อยจะมีครึ่งเดือนที่อยู่กับจ่างซุนด้วยกัน ครึ่งเดือนที่ไปนั้นยังเพราะถูกจ่างซุนไล่ออกไปไม่มีที่นอนจึงต้องหาสนมสักคนนอนด้วย
ห้องนอนจ่างซุนเป็นที่เดียวในวังหลังที่อวิ๋นเยี่ยสามารถอยู่ได้ หากไปที่อื่นเพื่อคิดชมบรรดาสนมจำนวนมหาศาลของหลี่ซื่อหมิน ก็จะมีขันทียืนอยู่ตรงหน้าจ้องดูเจ้าด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก หากยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก เสียงแหลมเล็กของพวกเขาก็จะดังสนั่นไปทั้งวัง
สระไท่เยี่ยฉือเพิ่งถูกโอรสสามคนช่วยกันจัดการแล้วเสร็จ นับได้ว่าร่มรื่นด้วยกิ่งหลิวทั้งระลอกคลื่นบนผิวน้ำพลิ้วไหว เพียงแต่ในนั้นไม่สู้จะมีปลามากนัก บางครั้งจะมีปลาแฟนซีคาร์ปสีแดงโผล่ขึ้นมาสองสามตัวก็ให้เห็นเพียงแวบเดียว สระบ้านตระกูลอวิ๋นกลับมีอยู่มากมาย หลายวันก่อนยังขนเอาไปให้สถานศึกษาส่วนหนึ่ง พวกวายร้ายในสถานศึกษาใช้เวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วันก็เปลี่ยนปลาที่อยู่เต็มสระกลายเป็นปลาย่างกับซุปปลา
ไม่ใช่ว่าไม่ให้เนื้อพวกเขากิน แต่เป็นเพราะพวกเขาหลังจากเรียนรู้การย่างปลาจากหวงสู่แล้ว มักรู้สึกว่าฝีมือตัวเองถูกทอดทิ้งไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ การจับปลาสักตัวสองตัวร่วมชิมกับเพื่อนๆจึงกลายเป็นแฟชั่น ปลาตัวดำๆข้างนอกจะมีรสชาติอะไร มีเพียงปลาแฟนซีคาร์ปสีแดงในสระของสถานศึกษาจึงนับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ
หลี่ซื่อหมินหลังจากกินปลาหลีฮื้อตุ๋นที่อวิ๋นเยี่ยทำให้แล้วก็ไม่ห้ามเรื่องกินหลีฮื้ออีก ถึงแม้ไม่ได้ประกาศออกมา แต่ทางราชการเวลานี้เห็นพ่อค้าหาบหลีฮื้อเร่ขายก็ไม่ได้สนใจแล้ว
ดวงอาทิตย์ใกล้จะเบนทางทิศตะวันตกแล้วจ่างซุนก็ยังไม่กลับมา ชุดขุนนางหนาที่สวมใส่อยู่ใกล้ถูกเหงื่อซึมจนเปียกโชกแล้ว รองเท้าบู๊ทเปียกเหงื่อจนลื่น ถุงเท้าก็แนบติดเท้าอึดอัดมากๆ
มองดูบริเวณรอบๆ มีเพียงขันทีสองคนที่นั่งสัปหงกอยู่ที่ระเบียงประตู หลี่ไท่ทิ้งอวิ๋นเยี่ยที่นี่แล้วก็หายไปชนิดไม่มีร่องรอย คงกำลังไปหาคนตรวจสอบความจริงแท้ของพระธาตุ หมอนี่ไม่เคยเชื่อคำพูดคนอื่น จะต้องหาทางตรวจสอบด้วยตัวเองก่อนแล้วจึงจะยอมเชื่อ นี่เป็นนิสัยเสียที่สถานศึกษาอบรมมา ชาตินี้คงไม่มีโอกาสแก้ไขได้อีก
ถอดบู๊ทออกแล้วเอาถุงเท้าซักก่อน กลิ่นน่ากลัวมาก แต่อวิ๋นเยี่ยกลั้นหายใจซักจนเสร็จ ตากถุงเท้าบนก้อนหิน คาดว่าราวหนึ่งก้านธูปก็จะแห้ง พลิกบู๊ทกลับออกระบายกลิ่นแล้วแช่เท้าในสระน้ำ น้ำที่ใสเย็นซัดผ่านหลังเท้าทำให้สบายอย่างที่สุด ความเค็มของเท้าคงมีมากจนปลาต่างถูกดึงดูดเข้ามาวนเวียนอยู่รอบเท้าชื่นชมอยู่กับกลิ่นนี้
จ่างซุนจะต้องเล่นไพ่นกกระจอกเป็นเพื่อนหลี่ยวนแน่เลย หลี่ยวนเวลานี้ต้องอาศัยไพ่นกกระจอกให้ผ่านไปวันๆหนึ่ง หากไม่เล่นสักสิบกว่ารอบต่อวันก็จะรู้สึกไม่สบาย ได้ผลชัดเจนมาก ตั้งแต่มีไพ่นกกระจอก ความเร็วในการผลิตคนของเขาช้าลงจนได้ สองปีนี้เพิ่งเพิ่มน้องชายกับน้องสาวให้หลี่ซื่อหมินอย่างละคน นับว่าเป็นอัตราการเพิ่มปกติ หากไม่ใช่ไพ่นกกระจอก อนาคตยังไม่รู้ว่าจะมีคนได้เป็นอ๋องอีกกี่คน ผลงานตลอดชีวิตของโจโฉ อยู่ที่ต้าถังก็แค่ระดับไพ่นกกระจอกเท่านั้น
ใต้ต้นหลิวเงียบเชียบมากไม่มีใครส่งเบาะนั่งมาให้ ก้นที่นั่งอยู่บนหินชิงสือนานๆมีโอกาสเป็นริดสีดวงทวาร โหวเหยียในพระราชวังยังไม่ใหญ่โตเท่าตะพาบน้ำในแม่น้ำจินสุ่ย เห็นพวกขันทีกำลังโยนผลไม้สดผักสดและเนื้อชิ้นเล็กๆไปให้ตะพาบน้ำที่อยู่ใต้เพิงกันแดดในแม่น้ำจินสุ่ย ปล่อยให้โหวเหยียจักรวรรดิที่นั่งอยู่บนก้อนหินได้อาย
ได้ยินเสียงแหลมเล็กของขันทีแล้ว อวิ๋นเยี่ยรีบเผ่นขึ้นมาใส่ถุงเท้าอย่างรวดเร็วแล้วสวมบู๊ท ปรับกล้ามเนื้อบนใบหน้าทุกมัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ดูดีที่สุดแล้วตบกระพุ้งแก้มตัวเอง ชีวิตของซีถงอยู่ที่ปากนี้แล้ว หากบอกว่าหลี่ซื่อหมินเวลานี้ยังไม่รู้ว่ามีโจรกบฏหนึ่งคนเข้ามาในบ้านตระกูลอวิ๋น ตีอวิ๋นเยี่ยให้ตายก็ยังไม่ยอมเชื่อคำพูดนี้
หัวหน้าหน่วยข่าวกรองคนใหม่ได้ยินว่าเป็นก้งเฟิ่งวังที่ติดตามหลี่ซื่อหมินมานาน พวกลักเพศเหล่านี้ ได้แสดงความสามารถให้เห็นชัดเจนตั้งแต่ก่อนที่หลี่ซื่อหมินครองราชย์ มีแผนทุกก้าวฆ่าคนในสิบก้าว เ**้ยมโหดสุดยอด ไร้ความปรานี คนชนิดนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นขุนนางราชสำนัก เหมาะเพียงเลี้ยงเป็นก้งเฟิ่งในวังที่ไม่มีใครพบเห็น ฮ่องเต้อื่นมักสังหารคนชนิดนี้หลังใช้งานแล้ว คงมีเพียงหลี่ซื่อหมินที่เลี้ยงไว้ใกล้ตัวไม่ได้สังหารแม้เพียงคนเดียว
เมื่อครั้งที่พระราชวังจัดงานเลี้ยงครอบครัว อวิ๋นเยี่ยถูกหลี่เฉิงเฉียนลากไปร่วมด้วย เผลอดื่มสุรามากไปสองถ้วย โดนพวกเฒ่าลักเพศนี้ถามกันวุ่นวาย มีหลายครั้งที่เกือบเผลอหลุดไป โชคดีที่พวกเขาฟังศัพท์สมัยใหม่ที่อวิ๋นเยี่ยใช้ไม่เข้าใจ คิดว่าเมาสุราจนใช้คำพูดมั่วซั่วไม่เช่นนั้นต้องยุ่งยากแน่นอน พวกที่แม้แต่เวลานั่งยังต้องหาเฉพาะที่มืดเท่านั้นใครจะกล้าดูแคลนได้
“อากาศร้อนเช่นนี้เจ้ามาพระราชวังทำไม” จ่างซุนท่าทางคงเล่นชนะได้เงินมาจึงมีอารมณ์ดีมากเห็นอวิ๋นเยี่ยแล้วไม่ได้เสียดสีเหน็บแนมอีก
“เหนียงเหนียงหารู้ไม่ว่า บ้านกระหม่อมเพิ่งกลั่นน้ำมันอย่างหนึ่งออกมาจากสะระแหน่ ได้ยินอาจารย์ซุนว่ามีผลดีมากต่อผิวของสตรี พอกระหม่อมรู้ถึงสรรพคุณนี้จึงรีบส่งมาให้เหนียงเหนียง ถึงแม้เหนียงเหนียงไม่ต้องใช้ของพื้นๆพวกนี้ แต่เป็นความภักดีของกระหม่อม ขอให้เหนียงเหนียงโปรดรับไว้ด้วย”
“อ๋อ อาจารย์ซุนว่ามีประโยชน์ เช่นนั้นข้าก็ต้องลองดู สะระแหน่ปกติใช้ทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ที่เอามาใช้ในด้านนี้ได้ด้วยเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก” รับขวดกระเบื้องเล็กๆจากนางกำนัลพอเปิดจุกไม้ก๊อกออกแกว่งไปทีเดียว กลิ่นหอมเย็นของสะระแหน่ก็กระจายออกมาทันทีทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมา ของสิ่งนี้ก็คือผลิตภัณฑ์ใหม่ของเชิงซินในระยะนี้
หมอนี่เดี๋ยวนี้ไม่ใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าอีกแล้ว ทุกวันนอกจากไปทำงานที่โรงงานน้ำหอมแล้วก็มุดไปมุดมาในตลาดซื้อหาขนมมากมาย แม้แต่ผักดิบก็ยังอยากพุ่งขึ้นงับสักคำสองคำ ทีแรกก็ไม่เข้าใจ ตอนหลังได้ยินเขาพูดจึงรู้ว่าหลี่หยวนชางอยากให้เขามีกลิ่นหอมทั้งตัวจึงไม่ให้กินอย่างอื่น ให้กินข้าวเพียงนิดเดียวแล้วกินกลีบดอกไม้ต่างๆทั้งเกสรก็กินด้วยกัน ให้ทำเช่นนี้ติดต่อกันสามปี ดังนั้นเวลานี้จึงอยากชิมของทุกอย่างที่มีในโลกนี้ทั้งหมดทันที ที่บีบคั้นน้ำสะระแหน่ออกมาก็เพื่อใช้ทดลองทาหน้าในฤดูร้อนให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
“ไม่เลว ข้ารับไว้ หากไม่มีธุระอื่นก็กลับไปเถอะ” จ่างซุนรับของแล้ว ไม่ถามต้นสายปลายเหตุก็เตรียมไล่อวิ๋นเยี่ยกลับไป การไม่ถนอมน้ำใจเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของราชวงศ์จริงๆ
อวิ๋นเยี่ยแกล้งหิ้วถุงผ้ายกขึ้น เพียงแค่จ่างซุนถามถึงตัวเองก็สามารถถือโอกาสเล่าเรื่องซีถง สายตาจ่างซุนโดนดึงดูดเข้ามาจริงๆ มองดูแล้วพูดว่า “มีธุระอะไรก็พูดเถอะ ไม่ต้องมาใช้กลยุทธ์อะไรกับข้า หากเรื่องราวใหญ่โตแล้วของในถุงผ้าเจ้าไม่มีคุณค่าพอละก็ลองดู”
ชอบที่สุดตรงที่จ่างซุนพูดตรงๆ เปิดถุงผ้าออกให้เห็นหนังหมีขาว กำลังจะคุยโวโอ้อวดก็ได้ยินเสียงโกรธอย่างสุดกำลังของจ่างซุน “ข้านึกว่าเป็นของวิเศษวิโสอะไร ที่แท้เป็นหนังหมีดำ เจ้ามาล้อข้าเล่นหรือ”
หนังหมีดำ? นี่มันหนังหมีขาวชัดๆจะกลายเป็นหนังหมีดำได้อย่างไร หนังสองอย่างนี้มีอะไรเทียบเคียงกันได้หรือ ดูให้ละเอียดถี่ถ้วนอีก ไม่ผิดนี่เป็นหนังหมีขาว สีขาวจนแทบจะโปร่งแสงแล้วทำไมนางจึงว่าเป็นหนังหมีดำ?
“เหนียงเหนียง นี่เป็นหนังหมีขาว จะเป็นหนังหมีดำได้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยเกาศีรษะมองจ่างซุน ยายคนนี้คิดจะมากินรวบหรืออย่างไร
จ่างซุนก็ประหลาดใจมาก หนังหมีดำชัดๆทำไมอวิ๋นเยี่ยว่าเป็นหนังหมีขาว ดูท่าทางเขาก็ไม่เหมือนแกล้งทำ หรือว่าวันนี้ข้าเล่นไพ่นกกระจอกมากเกินไปจนตาลาย แต่พอดูให้ละเอียดอีกก็เป็นหนังหมีดำจริงๆ
“ฮวาเหนียง เจ้าดูสิว่าเป็นหนังหมีขาวหรือว่าหนังหมีดำ” จ่างซุนบอกนางกำนัลประจำตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ
นางกำนัลลังเลนิดหนึ่งแล้วพูดว่า “เหนียงเหนียง บ่าวดูแล้วเป็นหนังหมีเทา”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งอวิ๋นเยี่ยกับจ่างซุนต่างงงงัน อวิ๋นเยี่ยขยับตัวไปด้านข้างแล้วดูหนังหมีบนพื้นอีกกลายเป็นสีเทาจริงๆ พอเดินห่างไปอีกสีก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ จ่างซุนก็เดินเข้ามาที่หนังหมี นางพบว่าพอดูจากที่ใกล้หนังหมีเป็นสีขาว แต่พอดูจากที่ไกลเป็นสีดำ เพราะอะไรกันแน่?
อวิ๋นเยี่ยกับจ่างซุนต่างมองหน้ากันคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก อวิ๋นเยี่ยบอกจ่างซุนอย่างครุ่นคิดว่า “เหนียงเหนียง หรือว่าขนบนหนังหมีมีความโปร่งใส อยู่ติดกับอะไรก็เปลี่ยนเป็นสีนั้น?”
จากการพิสูจน์ ขนหมีเปลี่ยนสีได้จริงๆ ค่อยๆเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำได้ตามความสว่างมากน้อย นี่เป็นของวิเศษทีเดียว จ่างซุนชอบหนังหมีผืนนี้จริงๆเป็นผืนเดียวในโลกแท้ๆ
“ของขวัญไม่เลว นับได้ว่าเป็นของวิเศษที่หายากยิ่งในโลกนี้ มีธุระอะไรบอกมาเลย แต่พูดไว้ก่อนนะ เรื่องในราชสำนักนั้นไม่ได้ จะต้องให้ฝ่าบาทว่าไปเอง” แม้ว่าจะโดนหนังหมีเย้ายวนจนยึดครองสติไปแล้ว จ่างซุนยังคงถือกฏเกณฑ์เคร่งครัด รักษาเส้นตายสุดท้ายของตัวเองไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ขณะที่อวิ๋นเยี่ยเล่าความเป็นมาทั้งหมดแล้ว สีหน้าจ่างซุนเคร่งเครียด “เจ้ารู้แน่ชัดว่าเถียนเซียงจื่อตายแล้วจริงๆ?”
“ถ้าหากเขายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่สามารถพูดอะไรออกได้อีก พระธาตุของเขากำลังจะโดนชิงเชวี่ยใช้เป็นของขวัญถวายให้ฮ่องเต้อยู่แล้ว กระหม่อมเชื่อว่าเป็นความจริงแท้แน่นอน ต่อให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่แล้วจะทำอะไรได้ เมื่อไม่มีลูกน้องอีกต่อไปอย่างมากเขาก็เป็นแค่ชายชราอายุแปดสิบกว่า จะกลัวเขาไปทำไมหรือ” คนที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจไม่ใช่คำพูดซีถงแต่เป็นคำวินิจฉัยของซุนซือเหมี่ยว ในสถานที่อวิ๋นเยี่ยพบกับเถียนเซียงจื่อ เขาพบว่าเถียนเซียงจื่อมีโรคปอดที่ป่วยหนักหนาสาหัสมาก หากสามารถรอดได้ถึงหนึ่งปีถือว่าทรหดมากยิ่งรวมกับที่ซีถงเล่าแล้ว อวิ๋นเยี่ยเลือกที่จะเชื่อว่าเถียนเซียงจื่อได้ตายไปแล้ว
“กวนอินปี้ไม่ต้องคิดมากเถียนเซียงจื่อตายแล้วแน่นอน บ้านเก่าที่ลู่โจวรกร้างแล้วทั้งผู้คนแตกฉานซ่านเซ็น พวกระดับหัวหน้าตั้งแต่ไปมั่วเป่ยแล้วก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอีก คงมีเศษมนุษย์ปางตายคนหนึ่งคลานกลับมา เดิมทีนึกว่าจะตามดูว่าเขาจะไปพบใคร ไม่นึกว่าเขาถึงขนาดไปอย่างเปิดเผยที่บ้านหลานเถียนโหว แถมยังมีโอรสคนหนึ่งอยู่ด้วยต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน นับว่าเจ้าพอรู้กาลเทศะไม่ได้หูตามัวซัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าหน่วยข่าวกรองได้ดักรอตะครุบสังหารคนนี้บริเวณบ้านเจ้าแล้วถือโอกาสจับเจ้ากลับมาให้ปากคำ ดังนั้นหนังหมีผืนนี้ซื้อได้เพียงชีวิตน้อยๆของเจ้า หากต้องการให้ข้าอภัยให้เศษมนุษย์คนนั้น เจ้าต้องเอาหนังหมีอีกผืนมาแลก”
[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...
ตอนที่ 17 ภรรยายี่สิบเอ็ดคนของซีถง
หลี่ซื่อหมินยกหนังหมีขึ้นมาสะบัด ขนบนหนังเป็นระลอกคลื่นราวกับคลื่นน้ำ พอเป่าลมเข้าไปจะปรากฏหลุมก้นหอยบนนั้น นี่คือลักษณะพิเศษของหนังชั้นดี ตรวจสอบหนังหมีที่ขึ้นเงาใสแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างยิ้มเยาะว่า “เจ้านี่คิดจะอาศัยฮองเฮาทะลุช่องใช้หนังหมีผืนเดียวหักด่านข้าไป ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก อู่จิ่วแพร่ข่าวในกลุ่มเพื่อนวรรณกรรมว่าเจ้าหาญกล้ารับโจรกบฏเข้าประตูบ้านเหิมเกริมยิ่งนัก เวลานี้ให้เจ้าเลือกจะให้โจรกบฏตายหรือเนรเทศเจ้าไปหลิ่งหนานห้ามกลับบ้านเกิดตลอดชีวิต”
หลี่ซื่อหมินไม่ได้หวังดีหรอก หลี่อันหลานเพิ่งจะไปถึงหลิ่งหนานจะต้องพบอุปสรรคชนิดแสนสาหัส อยู่ในความคาดหมายของอวิ๋นเยี่ยนานแล้ว การลงหลักปักฐานใหม่ทั้งหมดมีหรือที่จะมั่นคงได้ง่ายๆ ขั้นตอนนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปี
หลี่อันหลานอยากเป็นราชินีโดยไม่มีการลงทุนจะทำได้อย่างไร มีทหารเชี่ยวชาญการรบชั้นเยี่ยมสามพันคน ต่อให้เลวร้ายมากที่สุดก็ยังรักษาชีวิตได้แน่นอน มีทั้งที่ปรึกษาทั้งขุนพลโด่งดังช่วยนางวางแผนมากมาย หากไม่สามารถรับมือคนเหลียวไม่กี่คนได้ก็สู้รีบกลับมายังจะดีกว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอเลือกทางที่สามดีกว่า” พูดจบก็วิ่งไปตรงที่เพิ่งล้างเท้าเมื่อครู่นี้หยิบหนังหมีออกมาจากใต้ก้อนหินใหญ่อีกผืน กลับเข้าตำหนักปูไว้ที่แทบเท้าหลี่ซื่อหมิน
“สมควรฆ่าทิ้งจริงๆสมควรฆ่าทิ้งจริงๆ กล้ามาเล่นตลกต่อหน้าข้า รนหาที่ตายแท้ๆ” หลี่ซื่อหมินอายจนโมโหเตะหนังหมีกระเด็นไป สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปข้างใน
“ฝ่าบาท ท่านตกลงแล้วนะ” อวิ๋นเยี่ยถามเสียงดัง ขอให้เป็นฝ่ายถูกก็ไม่ต้องห่วงอะไรมาก หลี่ซื่อหมินมีชื่อเสียงดีที่สุดในเรื่องนี้
“เอาละ ได้โอกาสแล้วไม่ต้องมาเล่นอะไรอีก ไม่กลัวเดี๋ยวฝ่าบาทโมโหจริงๆแล้วต่อให้เจ้านำหนังหมีมาอีกแปดผืนสิบผืนก็ไม่มีประโยชน์ ไปบอกแขกของเจ้าแล้วกันว่าครั้งนี้ถือว่ารอดไป แต่ถ้ามีเรื่องเลวร้ายของเขาเล็ดรอดเข้ามาอีกแม้เพียงเรื่องเดียว ไม่ว่าบนฟ้าหรือบนดินก็จะไม่มีที่ยืนให้เขาอีกแน่นอน เจ้าต้องจำไว้ความกรุณาของราชวงศ์นั้นมีข้อจำกัด ต่อไปเจ้าอย่าได้วุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้อีก เรื่องเทพเทวดาไม่มีประโยชน์อะไรต่อเจ้าสักนิด”
คำพูดของจ่างซุนปลอบประโลมอวิ๋นเยี่ยได้เล็กน้อย สถานที่ยุ่งยากอยู่นานนักไม่ได้ ยุคสมัยนี้มาตรฐานคนดีคนเลวไม่รู้จะวัดกันอย่างไร คนที่ถูกหลี่ซื่อหมินประหารไม่ใช่ว่ามีแต่คนเลว คนอยู่ในสถานะต่างกันย่อมวัดค่าของคนต่างกันด้วย เหมือนเช่นคำพูดที่ว่าไม่รู้จักภาพแท้จริงของเขาหลูซันเพราะตัวเจ้าอยู่ในเขานั่นเอง
เวลาที่อวิ๋นเยี่ยมาอยู่ในโลกนี้ยังน้อยเกินไปจึงไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บแค้นที่มากเป็นพิเศษ นอกจากชนเผ่าวอเหรินที่มีโทษมาแต่ดั้งเดิมแล้ว อวิ๋นเยี่ยมองทุกคนในโลกนี้ด้วยความเสมอภาคกันหมด
ขี่ม้ากลับบ้านด้วยความลำบากลำบน วันนี้ยุ่งตั้งแต่เช้าจนค่ำเนื้อตัวราวกับแยกออกไปเป็นชิ้นๆ พยายามฝืนทนไปห้องพักแขกเยี่ยมซีถงเล่าเรื่องวันนี้ให้เขาฟังทั้งหมด
ใบหน้าดำเมื่อมเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมากขึ้น หากให้เขาไปขอชีวิตเองนั้นแม้ตายก็ยังไม่ยอมไป เขาจึงต้องไปแทนในฐานะเพื่อน ถึงแม้ว่ายังไม่มีความรู้สึกชนิดฝากชีวิตให้กันไว้ แต่ความรู้สึกผิดต่อเหล่านักผจญภัยที่ต้องเสียชีวิตไปของอวิ๋นเยี่ยทำให้เขามีการกระทำที่เสี่ยงอันตรายครั้งนี้
ซีถงออกอาการน้ำตาซึม แต่หันศีรษะยกชามยาดื่มยาทั้งหมดจนเกลี้ยง พอหันศีรษะมาก็กลับเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งปานเหล็กไหลเหมือนเดิมคนนั้น
“ขณะที่เข้ามาถึงเหอเป่ย ข้าสู้ไม่ไหวแล้วจริงๆไข้ขึ้นสูงจนทนไม่ได้ ข้าคิดจะหมอบลงดื่มน้ำริมลำธาร แต่ดื่มได้เพียงอึกเดียวก็หมดสติอยู่ที่นั่น พอฟื้นขึ้นมาพบว่าข้านอนอยู่ในโรงนามีหญ้าปกคลุมร่างอยู่ ข้านึกว่าเสียชีวิตไปแล้ว ไม่ได้นึกกลัวเกรงหรอกแต่รู้สึกเสียใจ ข้าได้ฆ่าหมีขาวทั้งถลกหนังพวกมันมาห้าตัว เอามาให้ท่านก็เพื่อจะบอกท่านว่า ถิ่นที่ท่านและอาจารย์ท่านได้ไปในครั้งนั้นพวกเราก็ได้ไปด้วย จริงๆแล้วเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะยังคงมีอยู่ แต่ในที่สุดก็ตายไม่สำเร็จเพราะถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งช่วยเอาไว้ได้ พวกนางว่าเวลานี้ผู้ชายน้อยมากเกินไปแล้วหากตายไปอีกคนจะน่าเสียดายมาก
พื้นที่เหอเป่ยพวกผู้ชายล้วนติดตามโต้วเจี้ยนเต๋อทำสงครามจนตายไปเกือบเกลี้ยง ดังนั้นแต่ละหมู่บ้านส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ผู้หญิงและเด็ก ที่ข้าอยู่นั้นเป็นบ้านของผู้หญิงคนหนึ่ง จุดที่นางจะได้รับความอบอุ่นก็คือกองฟางนั้น เหอเป่ยเดือนสี่ยังคงหนาวมาก ดูผู้หญิงคนนั้นพยายามซุกอยู่ที่อกข้าแล้วข้าก็นึกขำ นางไม่ได้สวยงามทั้งไม่อวบอัดแต่นัยน์ตาสวยมาก ท่านรู้ไหมว่านางเป็นผู้หญิงชนิดที่มองแล้วทำให้ท่านรู้สึกสุขสบาย เกิดความคันในหัวใจอดไม่ได้อยากกอดนางเอาไว้
ข้ากำลังไข้ขึ้นสูง ที่นางเบียดเข้ามาเพราะต้องการความอบอุ่น ข้ามองเห็นหนังหมียังอยู่จึงห่มให้ผู้หญิงคนนั้น ที่ไหนได้พอนางตื่นขึ้นมาก็บอกว่าให้เก็บหนังหมีไว้ขาย จะได้ซื้อเสบียงอาหารกลับมาได้มากๆทุกคนในครอบครัวกำลังรอกินข้าวกัน
ข้าแปลกใจมาก ข้าซีถงอยู่โดดเดี่ยวมาตลอดเวลาไม่เคยมีใครต้องให้เป็นห่วงจะไปมีครอบครัวมาจากไหน พอไข้ลดจึงรู้ว่าขณะที่ข้าสะลึมสะลือนั้นได้ทำพิธีแต่งงานไป เวลานี้ข้ามีภรรยายี่สิบเอ็ดคนกับเด็กอีกแปดคนต้องเลี้ยงดู ที่นางว่ามีครอบครัวใหญ่นั้นไม่ผิดเลยรวมทั้งตัวข้าเป็นสามสิบคน ใช่แล้วทำไมท่านไม่เห็นขำ ข้าบอกคนระหว่างทางว่าข้ามีภรรยายี่สิบเอ็ดคนพวกเขาต่างหัวเราะงอหายกันทั้งนั้น”
“ข้าหัวเราะออกได้อย่างไร เหล่าวีรบุรษทั้งโลกจำได้เพียงฮ่องเต้ใช้ทหารม้าร้อยคนทำลายกองทัพหนึ่งแสนคน แต่ลืมคิดไปว่ามันเป็นชีวิตคนหนึ่งแสนคนนะไม่ใช่หมูหนึ่งแสนตัว”
ฟังซีถงเล่าจบแล้วอวิ๋นเยี่ยไม่ได้นึกบ่นสิ่งที่เกิดขึ้นในพระราชวังวันนี้เลยแม้แต่นิด ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรอก จัดการได้พอดีไม่นับว่าผิดหลักธรรมดาไป
“หรือว่าในหมู่บ้านมีเจ้าเป็นผู้ชายคนเดียวเท่านั้นหรือ”
“ก็ไม่เชิง มีอีกคนที่ขาขาดไปข้างหนึ่ง เขามีภรรยาสิบคนแต่คาดว่าคงจะขอแต่งใหม่กับข้า อวิ๋นโหว ไม่ก็ไปเหอเป่ยกับข้า ข้าแบ่งให้ท่านสิบคน ให้ท่านเลือกก่อน”
“ข้ายอมดีกว่าไม่มีวาสนาพอ แล้วเจ้าจะยอมรับภรรยาทั้งยี่สิบเอ็ดคนนี้หรือ” อวิ๋นเยี่ยมองซีถง นึกไม่ถึงว่าเขาไม่ปฏิเสธแถมตั้งใจแต่งงานกับผู้หญิงเหล่านี้จริงๆ
“อวิ๋นโหว ท่านดูถูกข้าซีถงเกินไปแล้ว บุญคุณคนแม้น้ำเพียงหยดเดียวยังต้องตอบแทนด้วยธารน้ำ พวกนางเพื่อช่วยชีวิตข้าทำให้ต้องแบ่งอาหารที่มีเพียงน้อยนิดให้ข้ากิน ควรรู้ว่าเดือนสี่เป็นช่วงเวลาที่ขาดแคลนอาหารมากที่สุด เด็กที่เปลือยก้นจ้องมองข้ากินข้าวต้ม ข้าจะแบ่งให้พวกเขากินสักนิด พวกเขาว่าต้องรอบิดาอิ่มก่อนพวกเขาจึงจะได้กิน ก็เพราะคำว่าบิดานี้ อวิ๋นโหว ข้ามีบุตรแล้วแปดคนชายสามหญิงห้า รอให้พวกเขาโตหน่อยส่งมาเรียนหนังสือที่ท่านตรงนี้ เด็กๆไม่เรียนหนังสือคงไม่ไหว ตกลงเลยนะ”
“อาการบาดเจ็บของเจ้าอย่างน้อยต้องรักษาสามเดือน อีกสามเดือนค่อยกลับไปเถอะ ข้าจะเตรียมเสบียงอาหารให้เจ้าเยอะหน่อย” โลกมนุษย์เวลานี้ไม่มีอะไรปกติเลย ซีถงมีภรรยายี่สิบเอ็ดคนสมควรต้องโดนตำหนิติเตียนจึงจะถูก แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งมีภรรยามากยิ่งหมายความว่าคนนี้เป็นคนดี นี่มันเป็นโลกอะไรกันแน่นะ
อวิ๋นเยี่ยนึกขึ้นได้กะทันหันถึงคนโบราณเล่าว่าขอทานแคว้นฉียังมีภรรยาสองคน นิทานนี้อาจเป็นจริงก็ได้ อาจารย์กิมย้งเคยอาศัยปากอึ้งเอี๊ยะซือหัวเราะเยาะฝ่ายปัญญาชนว่า มีหรือขอทานที่มีภรรยาสองคน แสดงว่าคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง หลังจากสงครามโหดร้ายผ่านไปซีถงก็อุตส่าห์มีภรรยาได้ยี่สิบเอ็ดคน ดังนั้นการที่ขอทานมีภรรยาสองคนจึงไม่นับว่าแปลกอะไร
ซีถงขยับข้อเท้าแล้วพูดว่า “อาจารย์ซุนได้จัดเส้นเอ็นที่ผิดปกติให้แล้ว ข้ารับปากพวกเขาว่าจะต้องกลับไปก่อนหิมะตกครั้งแรก พรุ่งนี้ท่านช่วยเตรียมเสบียงอาหารให้ข้ามากหน่อยกับพวกผ้าต่างๆและหนังที่ให้ความอบอุ่นอีกสักนิด ทั้งสุราอีกถังหนึ่งแล้วข้าก็จะกลับไปแล้ว นี่ก็เดือนเก้าแล้วข้าเกรงว่าผู้หญิงพวกนั้นจะอยู่ไม่รอดถึงตอนหิมะตก”
อวิ๋นเยี่ยน้ำตาซึมผลักประตูเดินออกไป คงเหลือซีถงนั่งหัวเราะหึๆอย่างเหม่อลอยอยู่คนเดียวในห้อง
ผู้ดูแลบ้านเฉียนยืนอยู่หลังประตูร้องไห้จนยืนไม่ติด อวิ๋นเยี่ยหยุดสั่งเหล่าเฉียนว่า “เจ้าจัดการข้าวของสำหรับคนร้อยคน ทั้งเตรียมเงินเหรียญทองแดงให้เขากับเงินปิ่งจื่อด้วย เลือกวัวตัวผู้แข็งแรงให้ลากเกวียนสองตัว วัวตัวเมียห้าตัวกับเตรียมม้าให้อีกสองตัว จัดการให้เรียบร้อย ถ้าอยากร้องไห้ก็ให้ห่างข้าไปหน่อยเห็นแล้วกลุ้มใจ”
ตกดึกนอนไม่หลับ ซินเย่ว์นึกว่าสามีโกรธเรื่องที่ตัวเองใช้อารมณ์ตอนกลางวัน จึงเอาตัวเข้าแนบชิดกระซิบกระซาบขอโทษขอโพย อวิ๋นเยี่ยกอดซินเย่ว์เงียบเชียบ สักพักถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “หากข้าแต่งภรรยาอีกยี่สิบคนจะเป็นอย่างไร”
ซินเย่ว์สดุ้งโหยงตัวแข็งทื่อ แต่ก็อ่อนลงมาทันทียิ้มพูดว่า “ท่านเป็นโหวเหยีย อยากแต่งเท่าไรก็ต้องแล้วแต่ท่าน ใครจะกล้าขัดขวาง”
“ปากอย่างใจอย่าง เจ้ารู้ไหมว่าที่เหอเป่ยมีแต่คนดีจึงจะมีภรรยาหลายๆคน คนเลวล้วนไม่ชอบผู้หญิง เจ้าว่าแปลกประหลาดไหม”
“ท่านหมายถึงหมู่บ้านแม่หม้าย ทั่วแผ่นดินมีหมู่บ้านแม่หม้ายมากมาย ท่านไม่รู้หรือเมื่อก่อนนี้ที่ฉู่จงก็มี พวกนางขังตัวเองไว้ในลานใหญ่อาศัยทอผ้าไหมเลี้ยงชีพ ได้ยินว่าผู้หญิงที่นั่นจะไม่พบผู้ชายจนตาย”
พอพูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้วซินเย่ว์สดใสขึ้นมาทันที ฟุบอยู่บนอกอวิ๋นเยี่ยเล่าเรื่องเอ้อร์โก่วกับหลวนเหนียงอย่างออกรสออกชาติ ถึงแม้เรื่องนี้นางเล่ามาหลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมเบื่อที่จะเล่าเลย
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำผมของซินเย่ว์ มองผ่านมุ้งบางๆเห็นดวงจันทร์กลมลอยขึ้นมาที่หน้าต่างทอแสงทองทรงกลดนิดๆ พรุ่งนี้อาจมีลมพายุไม่ใช่วันดีที่เหมาะกับการออกเดินทาง
แต่ถึงแม้พรุ่งนี้ไม่ใช่วันดีที่เหมาะกับการออกเดินทาง แต่จะต้องเป็นวันดีที่เหมาะกับการปล้นทรัพย์ เมืองฉางอันทุกแห่งมีแต่แกะตัวอ้วน บ้างก็เมาสุราที่ซีซื่อ บ้างก็ร้องรำทำเพลงในหอนางโลม พออิ่มท้องอิ่มสุราแล้วก็หาความสุขทางโลกีย์ต่อกันอีก ถือเป็นการไขว่คว้าหาความสุขให้แก่ชีวิต
การชี้นำให้พวกผู้บริโภคที่ตาบอดเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของตัวเองหรือ ไม่ได้มีสายตานักลงทุนเลยแม้แต่นิด รู้จักเพียงซื้อบ้านขยายที่ดิน ซื้อพวกเครื่องแก้วเพื่อคงค่าทรัพย์สินตัวเองไม่ดีหรือ
ได้ยินว่าขุมทรัพย์กษัตริย์โซโลมอนมีแต่พวกเครื่องแก้ว ดูพวกนั้นเก็บทรัพย์สินกันมากมาย พวกโลภหาขุมทรัพย์ยุคหลังต่างค้นหากันด้วยความลำบากยากเย็นจนเจอ พอเปิดประตูได้พบว่านอกจากเครื่องแก้วเมื่อพันกว่าปีก่อนแล้วก็ไม่มีของอย่างอื่นอีก กลายเป็นเรื่องตลกใหญ่ที่สุดในโลก
รอให้กองคาราวานจากสถานที่ต่างๆมาชุมนุมที่ฉางอันให้ครบก่อน มหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้จะเปิดการแสดงเรื่องปล้นชิงทรัพย์ที่บ้าคลั่งให้ดู มองดูดวงจันทร์ที่ค่อยๆหายไปจากหน้าต่าง รอยยิ้มของอวิ๋นเยี่ยเปลี่ยนเป็นหวานจ๋อยมากๆ ลากผ้าห่มให้ซินเย่ว์ นางหลับสนิทไปนานแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น