เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 14-15

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 14 โรคเฉพาะของคนฉลาด

 

“เจ้าไม่เก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือ”


 


 


“ที่ระลึกกะผี คนตายแล้วก็เหมือนตะเกียงดับ ในเมื่อขึ้นสวรรค์ไม่ได้ก็สมควรรับทุกข์ต่อไปในโลกมนุษย์ ซากหนังนั้นจะใช้ทำประโยชน์อะไรได้ หากไม่ใช่เพราะเคารพอาจารย์เถียนแม้แต่ศพข้าก็ไม่ลากออกมา นี่เป็นหินไม่กี่ก้อนได้ยินว่าเป็นสิ่งมงคลมหาศาล ขอมอบเป็นของขวัญแต่งงานให้น้องสาวทั้งหลายของท่าน”


 


 


หลี่ไท่ร้อนรนจนถูมือไม่หยุด ใกล้ถึงวันเกิดเสด็จพ่อเขาแล้ว กำลังกลุ้มใจเรื่องของขวัญวันเกิด ของตรงหน้านี้เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุด ทั้งมงคลทั้งคุณค่าสูงไม่ใช่ของที่จะหาได้ง่ายๆ ส่วนจะเป็นพระธาตุของพระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือของเถียนเซียงจื่อสำหรับเขาแล้วไม่ได้ต่างกัน


 


 


“หากชอบก็หยิบไปสักสองอัน ดูท่าทางท่านน่าขายหน้าจริงๆ” มองดูหลี่ไท่ที่กำลังอึกอักอยากได้แต่ไม่กล้าเอ่ยปากแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงเอ่ยปากให้แทน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเกิดการแย่งชิงกันจะยิ่งอับอายขายหน้ากว่านี้


 


 


หลังจากดื่มสุราอึกใหญ่ไปแล้วซีถงเช็ดปากแล้วพูดอีกว่า “ไม่รู้ว่าครั้งที่ท่านกับอาจารย์ท่านไปได้อย่างไร แผ่นดินปิศาจนั้นมีเวลากลางคืนทีเดียวครึ่งปีแค่มีสีขาวที่ขอบฟ้าบ้างเท่านั้นราวกับฟ้าใกล้สางตลอดเวลา พอลมพัดมาราวกับมีดกำลังกรีดเนื้อ ข้าได้ยินเสียงปิศาจร้องอู้ๆอ้าๆวนเวียนอยู่รอบตัวไม่ยอมหยุด”


 


 


หลี่ไท่ฟังจนน้ำลายหยดติ๋งๆ เด็กคนนี้ก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงให้เป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้จักก็จะเกิดความอยากรู้อยากเห็นทันที แม้นิสัยหยิ่งยโสแต่พอเจอยอดมนุษย์หมอนี่จะย่อมย่อตัวลงแน่นอน เอาตะเกียบกลางคีบอาหารให้ซีถงไม่หยุด สุราก็เติมให้จนเต็มตลอดเวลา ปรนนิบัติอย่างเต็มที่ ซีถงกลืนอาหารแล้วพูดต่อว่า


 


 


“บนฟ้าไม่มีหิมะตก แต่ลมพัดหิมะจากพื้นขึ้นไปอัดเข้ามาตามรูช่องเสื้อผ้า หากไม่ใช่เพราะท่านบอกพวกเราก่อนว่าไม่ให้เหลือช่องของเสื้อผ้า ทั้งรอยต่อทั้งหมดต้องมีสายรัดให้แน่นแล้วพวกที่ตายในหิมะจะต้องมีมากกว่าครึ่ง หนาวอย่างเดียวยังพอทนไหวสร้างบ้านหิมะสักหลังก็พอได้ พวกสิงโตทะเลที่ท่านว่าอยู่กันเต็มหาดแค่จับมาสักสองตัวเคี่ยวน้ำมันจุดไฟไม่เลวทีเดียว ตัวพรรค์นั้นมีแต่ไขมันเต็มตัวเสียอย่างเดียวเหม็นคาวมากกินไม่อร่อย”


 


 


ใบหน้าอวิ๋นเยี่ยอนาถสุดแสน ซีถงพูดอย่างสบายๆแต่ความจริงสภาพการณ์จะต้องย่ำแย่จนขีดสุด ตัวเองแค่อยู่ในทุ่งหญ้ายังหนาวจนทนไม่ไหวยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้วโลกที่หนาวจัดกว่าทุ่งหญ้าหลายเท่า หลี่ไท่ไม่ได้แตะอาหารตรงหน้าเลย สนใจยิ่งนักต่อเรื่องราวที่ซีถงเล่ามา


 


 


น่องไก่ในปากหมุนทีเดียวออกมาเหลือแต่กระดูกอันเดียว ใช้ตะเกียบชี้ปลาในจานแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนท่านบอกว่าโลกนี้มีปลาคุนยักษ์ข้านึกว่าท่านขี้โม้ ขณะที่ผ่านทะเลเดือดเพราะพายุ ที่ผิวน้ำมีเสาน้ำพุ่งสูงขึ้นมานึกว่าเป็นสัตว์ประหลาดทะเลปั่นป่วนไปหมด รีบอาศัยแสงอาทิตย์ที่มีเพียงระยะสั้นๆมองไป โอ้โฮ เป็นปลายักษ์ที่ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ”


 


 


พูดแล้วชูแขนขึ้นทั้งสองแขนแต่รู้สึกว่ายังไม่ใหญ่โตตามที่เห็น จึงชี้หอเล็กของตระกูลอวิ๋นว่าใหญ่โตขนาดนั้น


 


 


“ปลาหนึ่งตัวใหญ่โตเท่ากับบ้านทั้งหลัง” หลี่ไท่รู้สึกว่าเชื่อถือไม่ได้ จึงตั้งคำถาม


 


 


“ไม่ใช่ ที่ใหญ่เท่าบ้านนั่นแค่หัวปลาเท่านั้น” ซีถงมองหลี่ไท่อย่างดูแคลน รู้สึกว่ามีความคิดแค่ระดับเด็กๆเท่านั้น


 


 


“ขอพูดอะไรที่ท่านอาจไม่ชอบใจ ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านกำลังแต่งนิทาน” หลี่ไท่กล้าหาญมาก ถึงแม้หน้าตาท่าทางซีถงน่ากลัวมาก แต่ก็ยังถามคำถามที่คาใจออกมาอย่างไม่หวาดหวั่น


 


 


คาดว่าซีถงคงเคยคุยให้คนอื่นฟังแต่ไม่มีใครเชื่อ ก็ทำอะไรไม่ได้ เวลานี้มีพยานอยู่ย่อมคุยได้อย่างออกรสจึงชี้อวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่เชื่อท่านถามเขาดู” หลี่ไท่หันหน้าที่แสนสงสัยไปยังอวิ๋นเยี่ย


 


 


“ซีถงพูดถูกแล้วนี่ยังไม่ใช่ปลาใหญ่ที่สุด นับประสาอะไรกับแค่หอนี้ ตามที่ข้ารู้มามีปลาวาฬยักษ์ที่ผลิตหลงเสียนเซียง เรียกว่าปลาวาฬสเปิร์มหมั่วเซียงจิง เพิ่งเกิดมาก็มีความยาวสองสามจั้ง โตเต็มที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง น้ำหนักน้อยสุดหนึ่งแสนชั่ง อีกชนิดหนึ่งเรียกปลาวาฬสีน้ำเงิน แค่ลิ้นเดียวก็หนักหกเจ็ดพันชั่ง ดังนั้นที่ซีถงว่าเห็นปลาตัวโตกว่าบ้านนั้นไม่นับว่าแปลกมากสักเท่าไรกัน”


 


 


หลี่ไท่ประสานมือขอโทษซีถงทั้งยังรินสุราให้เต็มถ้วย ซีถงดื่มอย่างหน้าชื่นตาบานจนหมดแล้วพูดอีกว่า “พวกเราอยู่นานมากแต่ก็ไม่ได้เห็นแสงเหนือที่ท่านว่า คนส่วนใหญ่ว่าท่านหลอกพวกเราจะกลับมาฉีกเนื้อท่านเป็นชิ้นๆ อาจารย์เถียนบอกว่าไม่จำเป็น ในเมื่อสิ่งที่ท่านพูดไว้เรื่องกลางคืนยาวไม่รู้จบกับเรื่องปลาวาฬยักษ์ต่างก็ปรากฏให้เห็นแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีหมีขาวกับแสงเหนืออีก ให้ทุกคนอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น ใครจะรู้…”


 


 


พูดถึงนี่แล้วซีถงสะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก หลี่ไท่ควักผ้าเช็ดหน้าตัวเองให้อย่างไม่ลังเล หวังเพียงให้ซีถงระงับความโศกเศร้าแล้วเล่านิทานให้เขาฟังต่อ


 


 


สะอื้นไปหลายทีแล้วซีถงฝืนยิ้มว่า “เพิ่งกำลังสงสัย ใครจะรู้ว่าได้เจอหมีขาวในทันที ตัวขนาดพันสองพันชั่งกระโดดเข้ามากัดเลย เหล่าโจวยังไม่ทันได้สู้ก็โดนกัดตายคาที่ เหล่าเหลียงขึ้นชื่อลือชาเรื่องเอ็นทองแดงกระดูกเหล็กโดนมือตบทีเดียวหายไปเลย จนพวกเราช่วยกันฆ่าหมีได้สำเร็จค่อยไปหาเหล่าเหลียง หน้าท้องแนบติดกับหลังเครื่องในออกมาทางปากสยดสยองมาก ทีนี้ไม่มีใครบอกว่าจะคิดบัญชีกับท่านอีกแล้ว”


 


 


หลี่ไท่เคี้ยวถั่วจนมีเสียงดังกรอดๆ เรื่องเช่นนี้เหมาะกับรสนิยมเขามากที่สุด เหล่าเฉียนที่ยกอาหารมาก็ฟังจนหูผึ่งยืนอยู่ข้างๆไม่ยอมไป บอกว่าไม่มีคนคอยปรนนิบัติจะดูไม่ดี


 


 


หัวใจหมูแผ่นใหญ่เข้าปากอีก ซีถงดื่มน้ำชาแล้วยังรู้สึกกระหายน้ำจึงดื่มอีกอึกแล้วพูดต่อว่า “ครั้งที่ข้าแยกกับอวิ๋นโหวได้รับปากอวิ๋นโหวว่าจะหาหนังที่นั่นให้สักหลายชิ้น ยังดีที่ว่าตอนหลังข้าพบวิธีฆ่าหมีได้ง่ายหน่อยจึงไม่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันมาก ในถุงผ้านั้นเป็นหนังหมีห้าผืน นำมาให้ท่านแล้วถือว่าได้หมดเรื่องที่ติดค้างในใจ”


 


 


หลี่ไท่ลุกขึ้นมาวิ่งไปที่ถุงผ้าแล้วเปิดถุงออกมา ให้เหล่าเฉียนช่วยกันคลี่หนังหมี โห หลี่ไท่อุทานเสียงดัง หนังหมียักษ์คลี่ออกมาปูได้ห้าเชียะ สามารถนึกภาพหมีตัวนี้ขณะเป็นๆนั้นได้ว่าใหญ่โตขนาดไหน หนักพันสองพันชั่งตามที่ซีถงว่าไม่ได้เกินเลยแม้แต่นิด


 


 


“ห้ามเปิดปากบอกว่าจะเอา ข้าจะให้ฝ่าบาทสองผืนเพื่อขอหนังสืออภัยโทษให้ซีถง เขาจะต้องมีชีวิตต่อไปไม่ต้องไปพเนจรที่ไหนอีก ดังนั้นหนังสือรับรองจึงสำคัญมาก ที่เหลือข้าจะเปิดประมูลขายในงานประมูลเพื่อรวบรวมเงินซื้ออุปกรณ์ใช้ในการทดลองต่างๆ ดังนั้น โปรดปิดปาก”


 


 


ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้แล้วหลี่ไท่บ่นพึมพำ “ข้าก็ออกหนังสือชนิดนี้ได้ ไม่ต้องอุตส่าห์ไปหาถึงเสด็จพ่อหรอก”


 


 


“พูดชุ่ยๆ หนังสือท่านจะเหมือนของฝ่าบาทได้อย่างไร นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องตลอดชีวิตของซีถง จะต้องเป็นของฝ่าบาทจึงจะใช้ได้ เรื่องนี้ท่านจำไว้ห้ามเกี่ยวข้องด้วย ท่านไม่เข้าใจว่าเถียนเซียงจื่อเป็นตัวแทนอะไรหรือ”


 


 


เหล่าเฉียนเห็นดังนั้นแล้วรีบม้วนหนังหมีคืนทันที แบกถุงผ้าวิ่งไปด้านหลัง ไม่ได้ยินหรืออย่างไรว่านี่เป็นของขวัญให้โหวเหยีย ยังไม่รีบเก็บอีกเดี๋ยวอ๋องเหยียอยากได้ก็จะขาดไปผืนสองผืนเงินต้องขาดไปอีกตั้งเท่าไร อีกอย่างหนึ่ง ฮูหยินเล็กยังรอฟังข่าวอยู่ว่าเป็นแขกที่ไหนมา ทำให้ต้องเรียกให้นางลงจากเขา


 


 


ซีถงถามอวิ๋นเยี่ยอย่างครุ่นคิดว่า “อวิ๋นโหว ท่านว่าหนังหมีชนิดนี้ราคาแพงมากเลยหรือ”


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว หนังปกติสีขาวจะแพงที่สุด มีเสือขาวสักตัวสองตัวล้วนถือว่าเป็นมงคล จริงๆแล้วเป็นผลจากเสื่อมถอยของเม็ดสีเท่านั้น ทำให้ขาวแบบอมโรค แต่หนังหมีขาวที่เจ้านำมาขาวจนขึ้นเงา ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากขั้วโลกเหนืออีกด้วย ผืนหนึ่งได้หลายพันก้วนไม่มีปัญหาเลย หากส่งไปประมูลเจอผู้ซื้อที่ต้องการใช้เป็นกรณีพิเศษ ขายได้ถึงหมื่นก้วนก็ไม่แปลก”


 


 


“อวิ๋นโหว ถ้าปีหน้าข้าส่งมาอีกสิบผืนฝากท่านขาย ไม่รู้ว่าจะแลกเสบียงอาหารกับของใช้ประจำวันได้มากมายไหม” ซีถงลืมตาโตมองอวิ๋นเยี่ยรอฟังคำตอบจากเขา


 


 


“หากเป็นภายในเขตแดนต้าถังจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่ถ้าหากเป็นต่างเผ่าพันธุ์ เสบียงอาหารกับเครื่องเหล็กจะไม่อนุญาตให้ขนออกไปได้ ไม่ว่าเงินมากเท่าไรก็ไม่ได้” เรื่องเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยให้ความสำคัญมาก ทางกลับมาของซีถงอาจต้องผ่านแผ่นดินเกาลี่กับแผ่นดินของหมัวเจี๋ย ทั้งสองประเทศสองเผ่าพันธุ์นี้ล้วนเป็นพื้นที่ต้าถังต้องพิชิต อวิ๋นเยี่ยจะปล่อยให้เป็นภัยแฝงใดๆไม่ได้


 


 


“เป็นเส้นทางเหอเป่ยล้วนเป็นราษฎรต้าถัง หากเป็นคนเกาลี่หรือชนเผ่าป่าเถื่อนข้าคงตายแล้วตายอีกไปหลายรอบแล้ว” ซีถงดูราวกับขี้อายนิดๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับใครสักคนแน่นอน


 


 


“หากเป็นราษฎรต้าถังเจ้าจะเอาเสบียงอาหารเท่าไรก็เอาไปเถอะ ตระกูลอวิ๋นกับตระกูลเฉิงมีกองคาราวานไปเหอเป่ยอยู่แล้วให้นำไปด้วยได้เลย รีบเล่าเรื่องต่อไปกำลังรอฟังอยู่แล้ว”


 


 


หลี่ไท่พยายามสะกดความผิดหวังที่ไม่ได้หนังหมี นั่งลงมาฟังนิทานซีถงต่อ


 


 


“อวิ๋นโหว โลกนี้มีแสงสีสันมากมายบนท้องฟ้าจริงๆ ราวกับคลื่นซัดมาจากขอบฟ้าวิ่งเข้ามา คล้ายดังถนนที่มีสีสัน พวกเราตามแสงสีเหล่านี้จากซ้ายไปขวาจากหน้าไปหลัง จนกระทั่งแสงสีหายหมด กลางวันถาวรมาถึงก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้


 


 


คนมากมายตายไปเงียบๆระหว่างนี้ ขณะที่เหลือข้ากับอาจารย์เถียนเขาก็ยังไม่ยอมทอดทิ้ง สุดท้ายแล้วเขาหลับตาอย่างผิดหวังท่ามกลางทะเลที่สวยงาม กระทั่งตายเขาก็ยังซาบซึ้งใจท่าน อวิ๋นโหว ที่ท่านทำให้เขาห่างความฝันของตัวเองเพียงแค่ก้าวเดียว เขาเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกจึงทำให้ไป๋อวี้จิงปิดทางของเขาทั้งหมด


 


 


เขาสำนึกในความผิดทั้งหมดที่เขาทำก่อนที่แสงสีจะหายไป สาบานว่าชาติหน้าเขาจะไม่ฆ่าคนอีก ไม่ทำร้ายใครแม้เพียงคนเดียว จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าเชื่อว่าชาติหน้าเขาจะต้องขึ้นไปในทางแสงสีนั้นได้”


 


 


ความจริงเถียนเซียงจื่อเสียสติไปก่อนหน้านี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกว่าเขาเป็นคนบ้าที่มีสติปัญญา ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ทำให้เขาล็อคความบ้าคลั่งทั้งหมดไว้ในส่วนลึกสุดของหัวใจ จนกระทั่งปัญญาไม่สามารถกดความไม่รู้ได้อีก สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาจะทำหรือสามารถทำเรื่องอะไรออกมาได้บ้าง การระเบิดนี้จะทำอันตรายต่อต้าถังถึงขั้นล่มจมได้


 


 


คนชนิดนี้หากไม่ให้เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ห่างไกลจริงๆแล้วเขาจะไม่ยอมหยุดยั้งฝีเท้าที่บ้าคลั่งของตัวเอง โชคดีที่ไป๋อวี้จิงมีเงื่อนไขที่เหมาะสมทุกอย่างและขั้วโลกเหนือก็มีเงื่อนไขที่เหมาะสมทุกอย่าง ก็ให้เขาไปแย่งชิงกับสวรรค์เองเถอะ หากสามารถขึ้นสวรรค์ได้สำเร็จอวิ๋นเยี่ยจะจุดธูปอธิษฐานเพื่อเขา ถึงเวลานั้นแล้วเถียนเซียงจื่อจะเป็นความยุ่งยากของเง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่ใช่ความยุ่งยากของตัวเองอีกต่อไป แต่ดูแล้วเขาทำไม่สำเร็จ


 


 


หลี่ไท่กัดนิ้วตัวเองด้วยความตกใจ ตื่นเต้นดีใจที่ตัวเองรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน ในชั่วขณะนี้เขาราวกับเห็นตัวเองยืนอยู่บนก้อนเมฆที่สูงที่สุดก้มมองแผ่นดิน ตัวเองคือเทพ เถียนเซียงจื่อล้มเหลวแล้วเพราะเขาโง่เกินไปที่มองเห็นความหวังแล้วแต่ไม่สามารถคืบหน้าต่อได้ เป็นการแสดงออกถึงความโง่และไร้ความสามารถที่สูงที่สุด ข้าหลี่ไท่หากไปถึงจุดนั้นแล้วจะไม่มีทางที่จะล้มเหลวอย่างเด็ดขาด


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองหลี่ไท่อย่างใช้ความคิด คนฉลาดมักจะมีโรคชนิดเดียวกันก็คือดูถูกผู้อื่นโดยมักจะคิดว่าตัวเองจะต้องสำเร็จ เถียนเซียงจื่อไม่ใช่มีความคิดเช่นนี้จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายที่แผ่นดินรกร้างหรอกหรือ

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 15 ภารกิจลิ่นเซียงหรู

 

ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นตรงศีรษะซีถงก็เมาแล้ว เมาอย่างหนักมากจนนอนแผ่หลากางแขนกางขาอยู่บนพรมทั้งกรนดังราวฟ้าร้อง นัยน์ตาหลี่ไท่มองทื่อจ้องไปที่ถ้วยสุราตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ หลังจากอวิ๋นเยี่ยค่อยๆดื่มสุราถ้วยสุดท้ายแล้ว ก็สั่งบ่าวไพร่ให้หามซีถงลงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกสักครู่ซุนซือเหมี่ยวจะมาตรวจร่างกายเขา


 


 


“เถียนเซียงจื่อตายแล้ว?” ซุนซือเหมี่ยวเดินออกมาจากร่มไม้ข้างหลังในชุดเต๋าผ้าลินินตามเดิม


 


 


“ใช่แล้ว คราวนี้ตายแน่นอนแท้จริงไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อีก สายของเขาเหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น อาจจะยังมีลูกศิษย์เด็กๆอยู่บ้าง แต่จิตวิญญาณได้สลายหมดสิ้น การที่จะมีผู้รู้ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาอีกนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว อาจารย์ การทำลายล้างมนุษย์พิเศษคนหนึ่ง ที่แท้ไม่ได้นำความสุขสดชื่นมาให้แก่ผู้คน คงนำมาได้แค่เพียงความเสียดายเท่านั้น”


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองซุนซือเหมี่ยวอย่างรู้สึกไม่สบายใจ การที่ตัวเองมีความคิดย้อนแย้งเช่นนี้ไม่สมควรเป็นสภาพจิตใจของนักวางแผนทางอำนาจ เหล่าซุนเคยบอกไว้แล้วว่าการยืนอยู่ในตำแหน่งไหนก็จะต้องทำหน้าที่ตำแหน่งนั้นให้ดีที่สุด ไม่เกี่ยวกับปัญญาและความสามารถเกี่ยวเพียงแค่ความสูงของจุดที่เจ้ายืน การปรากฏความลังเลเช่นนี้ราวกับมีส่วนละอายที่ไม่ได้ทำตามคำสอนของเขาอยู่บ้าง


 


 


“ส่วนที่เจ้าทำให้คนชื่นชมอยู่ที่ตรงนี้คือยังมองความรู้สึกทางใจสำคัญกว่าสิ่งอื่นอยู่บ้าง การเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวเพราะเรื่องของเจ้าเจ้าย่อมตัดสินใจเอง ให้เดินไปต่ออย่างมั่นคงโดยไม่ต้องฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น รักษาธาตุแท้ตัวเองก็เพียงพอแล้ว ให้ชาวโลกได้เห็นว่าไม่ต้องเที่ยงตรงจนไม่เห็นแก่หน้าใครหรือใจเ**้ยมมือโหดก็สามารถทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ ถือโอกาสบอกเจ้าว่าสรรพคุณราเขียวไม่เลวมีประโยชน์ต่อการสมานแผลบาดเจ็บได้ดีมาก โดยเฉพาะต่อบาดแผลที่อักเสบแล้วมีสรรพคุณดีมาก เหลือเพียงปัญหาการคัดกรองให้บริสุทธิ์ที่เจ้ายังต้องคิดหาวิธีทำให้ดีขึ้น


 


 


เรื่องที่ข้ามีกล้องจุลทรรศน์ห้ามไปเที่ยวพูดที่ไหนโดยเฉพาะกับฝ่ายพุทธ ข้าสงสัยมากว่าคำพูดพวกเขาที่ว่าหนึ่งทรายหนึ่งโลก หนึ่งดอกหนึ่งสวรรค์นั้นมาจากไหน ทั้งยังว่าในน้ำหนึ่งหยดมีหนึ่งแสนชีวิตนี่ยิ่งทำให้ข้าไม่กล้าเชื่อเลยว่ามาได้อย่างไร คำพูดเหล่านี้เจ้าเคยบอกข้าที่ชั่วฟาง ข้าตรวจดูตำราพุทธแล้วพบว่ามีคำพูดเหล่านี้จริงๆ ข้าพบชีวิตในน้ำหนึ่งหยดจริงๆ ไม่ใช่มีเพียงหนึ่งหรือสองด้วยซ้ำ หากกล้องจุลทรรศน์มีคุณภาพดีกว่านี้ไม่แน่ว่าอาจพบได้มากกว่านี้อีกมาก


 


 


เจ้าต้องลองหาคริสตัลที่บริสุทธิ์กว่านี้ พวกแก้วที่เจ้าทำขึ้นมานั้นใช้ไม่ได้เพราะมีแต่ฟองอากาศ จริงด้วยสิเจ้าทำพวกเครื่องแก้วที่สวยงามน่าดูไว้เพื่ออะไร ข้าเห็นตอนไปหาแก้วเจอว่ามีอยู่เต็มบ้าน ดีที่ข้าไม่ได้สนใจของพวกนี้แต่คนทั่วไปเห็นแล้วคงอยากได้กัน เจ้าวางแผนอะไรอีก เตรียมจัดการใครหรือ”


 


 


ซุนซือเหมี่ยวเวลานี้ไม่อ่านหนังสือฝ่ายเต๋าแล้ว ทำแต่ของเลอะเทอะเปรอะเปื้อนทั้งวัน ราเขียวก็เป็นของชนิดหนึ่งในนั้น มีเมิ่งโหย่วถงคอยช่วยเหลือ มีแต่ของเหล่านี้เต็มบ้าน ทั้งหมั่นโถว แตงหวานและผักต่างๆที่ขึ้นรา ขอเพียงให้เป็นราเขียวแล้วซุนซือเหมี่ยวชอบทั้งนั้น ขูดราเขียวออกแล้วทาที่แผลอักเสบมีสรรพคุณไม่เลว แต่เห็นแล้วน่าสะอิดสะเอียนมาก


 


 


กล้องจุลทรรศน์เป็นของวิเศษสุดของเขา เขาสั่งทำเคาท์เตอร์เหล็กใหญ่โต ทั้งให้กงซูมู่ทำกุญแจล็อคเป็นกุญแจยักษ์ชนิดที่ค้อนเหล็กก็ยังไม่สามารถทุบทำลายได้ แค่กุญแจก็หนักครึ่งชั่งแล้ว แขวนอยู่ที่เอวไม่เคยห่างจากตัว


 


 


ตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีความลับกับเหล่าซุน ขอเพียงเป็นสถานที่ของตระกูลอวิ๋นไม่มีที่เขาไปไม่ได้ การผลิตแก้วได้เริ่มมานานแล้ว อวิ๋นเยี่ยนำเด็กที่ตระกูลอวิ๋นรับเลี้ยงไว้ทั้งหมดย้ายไปโรงงานแก้วโดยมีหั่วจู้เป็นหัวหน้า อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่รู้วิธีผลิตแก้วเหมือนกัน เพียงแต่เอาสิ่งที่เผาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากเตาเผาปูนของตระกูลอวิ๋นครั้งก่อนให้หั่วจู้ดู ทั้งยังให้เขาดูสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดในเตาเผาแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก ในเมื่อมีของครบหมดแล้วเพียงแค่เอาของสิบกว่าชนิดนั้นผลัดเปลี่ยนกันเผา ก็สามารถเผาให้เป็นแก้วออกมาได้แน่นอน


 


 


ไม่เสียแรงที่หั่วจู้ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะวัยเด็ก เผาเพียงเดือนเดียวก็นำแก้วเขียวใสก้อนใหญ่ให้อวิ๋นเยี่ย ถึงแม้ยังมีสิ่งปนเปื้อนในนั้นอีกมากแต่ก็นับว่าเผาออกมาสำเร็จแล้ว


 


 


หั่วจู้ที่เพิ่งอายุสิบสี่ยังไม่พอใจ หาแร่แม่เหล็กดูดผงเหล็กในเหมืองใยหินออกไปก็ได้แก้วที่แทบไม่มีสีออกมา อวิ๋นเยี่ยปล่อยให้พวกเขาทำไป ทั้งให้หลีสือสอนพวกเขาทำสิ่งของต่างๆใครชอบอะไรก็ทำสิ่งนั้น ใช้ท่อเหล็กเป่า ใช้เบ้าที่ทำขึ้น ก็มีสิ่งของรูปร่างต่างๆออกมามากมาย หลีสือชอบแก้วจึงลงมือทำเองด้วย อาศัยขณะที่ยังร้อนสร้างกระติกน้ำใสตามที่ต้องการใบแรกได้สวยงามยิ่งนัก ในเคาท์เตอร์เหล็กของซุนซือเหมี่ยวเองก็มีภาชนะแก้วชนิดหนามากมาย เพียงแต่เสียหายง่ายมากโดยปกติแล้วจึงไม่ได้นำมาใช้พร่ำเพรื่อ


 


 


“ท่านไม่รู้สึกว่าคนมีเงินในฉางอันมีมากเกินไปหรือ แต่ละคนต่างซ่อนเงินเอาไว้ เห็นว่าเงินทองแดงในท้องตลาดไม่ค่อยจะพอใช้แล้ว เวลานี้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินปิ่งจื่อกับเงินทองแดงกำลังตกลงมา แต่ก่อนต้องใช้เงินทองแดงมาก เดี๋ยวนี้เงินปิ่งจื่อหนึ่งเหลี่ยงแลกเงินทองแดงได้เพียงเก้าร้อยเหวิน เป็นเพราะคนพวกนี้ต่างซ่อนเงินทองแดงเอาไว้ ต้องให้เอาออกมาแล้วก็จะดีขึ้น”


 


 


“ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้น สุขภาพแขกของเจ้าไม่สู้ดีนัก นอกจากบาดเจ็บภายในหลายแห่งแล้ว นิ้วเท้ายังเหลือเพียงหกนิ้ว ยังดีที่นิ้วโป้งดีอยู่ ไม่เช่นนั้นคนที่สภาพดีๆก็จะกลายเป็นพิการไปโดยสมบูรณ์”


 


 


“ต้องอีกนานแค่ไหนจึงจะทำให้เขาฟื้นคืนสภาพเดิมได้”


 


 


“แม้แต่คิดยังไม่ต้องคิด ฟื้นคืนได้สักเจ็ดในสิบส่วนก็บุญโขแล้ว”


 


 


ซุนซือเหมี่ยวพูดจบก็เดินไป ใบสั่งยามอบให้เหล่าเฉียนแล้ว รอให้ซีถงหายเมาก็จะเริ่มทำการรักษา เขาไม่มีเวลาว่างพอที่จะพล่ามต่อกับอวิ๋นเยี่ย พูดจบก็นั่งเกวียนกลับไปเขาอวี้ซัน เวลานี้หากเป็นไปได้เขาจะไม่ลงจากเขาอวี้ซันแม้เพียงก้าวเดียว


 


 


หลี่ไท่นอนบนพรมถามอวิ๋นเยี่ยว่า “แก้วคืออะไร เจ้ากำลังวางหมากครั้งใหญ่อีกหรือ”


 


 


“อะไรกัน ไม่ต้องไปฝันเฟื่องว่าตัวเองจะมีสักวันที่ขึ้นไปบนแสงหลากสีได้ เวลาท่านฝันเฟื่องทำไมน่าเกลียดอะไรเช่นนี้ น้ำลายไหลยืดเหมือนเด็กเลย ต้องแก้ไขนะ เมื่อครู่นี้ท่านฟังผิดแล้ว ไม่มีแก้วอะไรหรอก”


 


 


อาจเพราะล่วงรู้ถึงความลับยิ่งใหญ่แล้ว เลยไม่ได้ใส่ใจวิธีการหากำไรอะไรอีกจึงไม่ได้ถามต่อ เรียกขันทีทหารองครักษ์เตรียมตัวกลับวัง วันนี้นับว่าได้ผลเก็บเกี่ยวมาเต็มที่ได้พระธาตุมาสองอัน พอที่เขาจะคุยโม้คุยโตได้ในงานวันเกิดของหลี่ซื่อหมินแล้ว


 


 


“รอข้าสักพัก ข้าจะไปเอาหนังหมีเข้าวังพร้อมท่าน เรื่องซีถงจบได้ยิ่งเร็วยิ่งดีจะได้สบายใจ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยกลับไปหลังเรือนอย่างเร่งรีบ ไม่รู้ว่าเวลานี้หลังเรือนเป็นยังไงกัน นิสัยซินเย่ว์เห็นของดีๆแล้วมีหรือที่จะไม่ยึดไว้เป็นของตัวเอง เป็นจริงดังนั้น ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มเย็นลงนิดๆแล้ว ซินเย่ว์หุ้มห่อทั้งตัวด้วยหนังหมีกำลังปรึกษากับเหล่าสาวใช้ว่าต้องตัดเย็บอย่างไรจึงจะดูดี ส่วนหนังที่เหลือสมควรทำเป็นหมวกสักสองใบ ร้อนจนเหงื่อท่วมศีรษะก็ยังไม่ยอมถอดหนังหมีออกมา ความคลั่งไคล้ในหนังสัตว์ของผู้หญิงไม่รู้ว่าเริ่มต้นมาในสมัยไหน


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจผู้หญิงที่กำลังคลั่งไคล้ คว้าหนังหมีบนโต๊ะสองผืนแล้วก็จะออกไป ซินเย่ว์ทำท่าเหมือนถูกควักดวงใจออกจับหนังหมีแน่นไม่ยอมปล่อย ตีตายก็ไม่ยอมอวิ๋นเยี่ยที่เอาหนังหมีของตัวเองไปให้คนอื่น ในสายตานางแล้ว ของทุกอย่างที่เข้ามาหลังบ้าน แม้แต่หนูตัวเดียวจะฆ่าจะต้มยังต้องรอให้นางสั่งการ


 


 


“ยายคนนี้ทำไมเข้าใจยาก หนังหมีสองผืนนี้จะให้ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงขอทางรอดให้แขกคนนี้ ชีวิตคนมีค่าหรือหนังสองผืนนี้มีค่ากว่า พูดไปแล้วหนังพวกนี้ก็เป็นของเขาเอง”


 


 


“ถ้าขอทางรอดท่านเอาหนังมิ้งค์จื่อเตียวที่บ้านไปให้ หนังหมีเก็บไว้ที่บ้านเรา ข้ายังจะให้ทำผ้าห่อตัวเด็กด้วย” ซินเย่ว์แกล้งยื่นพุงที่โตแล้วเข้ามา ให้อวิ๋นเยี่ยเห็นชัดว่าตัวเองมีครรภ์ใช้อารมณ์รุนแรงไม่ได้


 


 


“ของพวกนี้มีค่าแค่ไม่กี่ปีนี้ รอให้แขกหายบาดเจ็บแล้วเจ้าจะเอาเท่าไรก็มี ต่อให้ใส่กางเกงในหนังหมีก็แล้วแต่เจ้า ไม่ได้มองการณ์ไกลกันเลย หนังหมีปีนี้บ้านเราจะไม่เอาไว้แม้แต่ผืนเดียว อีกสักพักข้าจะประมูลขายไปทั้งหมด เอามารวบรวมเป็นกองทุน สถานศึกษาระยะสองกำลังจะเริ่มงานแล้ว ไม่มีเงินคงทำไม่ได้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ยินยอมซินเย่ว์ก็จนปัญญา ได้แค่กัดที่แขนอวิ๋นเยี่ยสองทีให้หายแค้น คลายหนังหมีออกอย่างสุดแสนเสียดาย ท่าทางน่าสงสารมาก อวิ๋นเยี่ยดูจนปวดใจ ควักพระธาตุสองอันออกจากอกเสื้อยัดใส่มือนางเพื่อปลอบใจ


 


 


“ไม่เอา หนังหมีไม่ให้ เอาเศษหินมาให้สองก้อนหลอกคน” ซินเย่ว์ใส่อารมณ์ขว้างพระธาตุลงพื้น


 


 


“นี่ไม่ใช้ก้อนหินธรรมดา แต่เป็นพระธาตุที่แปลงมาจากศพคนที่ฉลาดสุดแสน เป็นของวิเศษมงคลสุดยอดในโลกมนุษย์ ไม่ใช่หนังหมีผืนสองผืนจะมาเทียบเคียงได้” ขี้เกียจมีปัญหากับหญิงมีครรภ์สู้บอกความจริงไปเลยดีกว่า ซินเย่ว์จะได้รู้ว่าควรเลือกอะไร


 


 


“โห” ซินเย่ว์ร้องด้วยความตกใจรีบควานหาพระธาตุของนางทั่วพื้น สามีไม่เคยหลอกนางเรื่องพรรค์นี้ บอกว่าเป็นพระธาตุก็ต้องเป็นพระธาตุ ของวิเศษที่แม้แต่ราชวงศ์ยังไม่มี มีของสิ่งนี้แล้วหนังหมีรอหน่อยก็ได้ แค่เฝ้ารอให้สุขภาพของแขกรีบๆดีขึ้นจะได้ไปเอาหนังหมีมาให้นาง


 


 


ในพระราชวังมักมีบรรยากาศความเก็บกดตลอดเวลา ขันทีที่ชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง นางกำนัลที่แต่งหน้าจนเวิ่นเว่อร์ ราชองครักษ์ที่องอาจสง่างาม แม้แต่หัวสัตว์ที่แขวนไว้บนสระน้ำก็ยังดูน่ากลัวกว่าของชาวบ้านทั่วไป


 


 


หลังจากฮ่องเต้จัดการภารกิจประวันจนเสร็จแล้วกำลังงีบอยู่ ฮองเฮาไปฉิ่งอันไท่ซ่างอ๋องยังไม่กลับมา อวิ๋นเยี่ยแบกถุงผ้าร้อนรนจนได้แต่หมุนตัวไปมา เรื่องนี้เข้าไปหาฮ่องเต้โดยตรงไม่ได้ หากเขาไปพูดเรื่องราวจะต้องแย่หนัก พูดได้เลยว่าผลที่ออกมาคือ คนทรยศเอาไปประหารหนังหมีริบทำเสื้อคลุม ทั้งกำจัดเสี้ยนหนามทั้งยังได้ของเขามาอีก นี่เป็นกระบวนการจัดการเรื่องพวกนี้ตามมาตรฐานของราชวงศ์


 


 


หากเป็นพวกบัณฑิตนักปราชญ์ยังไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจแสดงตัวเป็นคนใจกว้างลึกล้ำ แต่พวกนักรบหรือ สันดานเลี้ยงไม่เชื่องมีตาหามีแววไม่ ฮ่องเต้ปราดเปรื่องอย่างข้าไม่รู้จักมาสยบกลับไปพึ่งพาโจรร้าย ให้ประหารดีที่สุด มีเท่าไรก็ประหารหมด


 


 


อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่หน้าห้องบรรทมฮองเฮาเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับลิ่นเซียงหรู ทั้งต้องปฏิบัติภารกิจสำเร็จ ทั้งต้องไม่เตะหมูเข้าปากหมา โดยเฉพาะทำให้ชีวิตซีถงถูกทำลายไม่ได้ เป็นภารกิจที่ยากเย็นยิ่งนัก


 


 


ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงเตรียมเริ่มต้นจากฮองเฮาก่อน นางไม่เหมือนฮองเฮาอื่นๆ ฮองเฮาของหลี่ซื่อหมินสามารถเป็นเจ้านายต้าถังตัวจริงได้ถึงสามในสิบส่วน ถึงแม้แสดงตัวตลอดเวลาว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวการเมืองราชสำนัก แต่ในโลกนี้ถ้ามีคนที่พูดแล้วหลี่ซื่อหมินเชื่ออย่างสนิทใจทันทีก็มีนางเพียงคนเดียวเท่านั้น ทีนี้ก็ต้องรอดูว่ากฏชาวโลกที่ผู้หญิงชอบหนังขนสัตว์จะเกิดผลที่ตัวนางได้หรือไม่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)