เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 7 ตอนที่ 11-13

[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 11 หลี่ไท่บ้าคลั่ง

 

หลี่ไท่สวมชุดทำงานผ้าลินินที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสาบแกะไปฉางอันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตามที่เขาว่า เขาอยากดูว่าพวกตัวป่วนในราชสำนักยังเหลือจิตใจที่เป็นมนุษย์อยู่บ้างหรือไม่ ตัวเองกับอาจารย์อายุแปดสิบลำบากลำบนทั้งวันทั้งคืนเพื่อรากฐานความมั่นคงของต้าถัง พวกเจ้าไม่ช่วยก็ไม่ว่า มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำอีก คิดอะไรอยู่กันแน่


 


 


ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นมาแล้ว วังไท่จี๋มีแสงทองสาดส่องดังเดิม เหล่าขันทีกับนางกำนัลเช็ดถูเสาทางเดินต้นสุดท้ายเพิ่งเสร็จ ประตูวังเปิดออกเต็มที่ วันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ อวิ๋นเยี่ยถือแผ่นอู้ปั่นเดินตามหลังหนิวเจี้ยนต๋าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าข่าวลือสนั่นเมืองนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองแม้แต่นิด เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวถามว่าเขามีแผนรับมืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วนิ่งไม่พูด บอกเพียงว่าฟ้าถล่มลงมาย่อมมีผู้สูงกว่ายันไว้ ลากแค่โหวเหยียตระกูลอวิ๋นเล็กๆออกมาอายเขาเปล่าๆ เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวก็เห็นดังนั้น จึงเตรียมใจดูละครด้วยความครึกครื้น


 


 


อวิ๋นเยี่ยยื่นคอไม่เห็นหลี่ไท่ที่มาฉางอันก่อนเขา คาดว่าคงกำลังร้องทุกข์อยู่กับฮองเฮา หลี่เฉิงเฉียนยืนอยู่ที่หัวแถวของขุนนางฝ่ายบุ๋นมองดูอวิ๋นเยี่ยแบบมีกังวลเล็กน้อย แต่เห็นอวิ๋นเยี่ยพิงเสาหลับตาตั้งสมาธิแล้วก็วางใจที่ห่วงใยลง ฎีกายี่สิบฉบับนั้นมีสิบเจ็ดฉบับที่เป็นของขุนนางฝ่ายบุ๋นวางอยู่บนโต๊ะของหลี่ซื่อหมิน ล้วนใช้คำพูดสำนวนที่ดุเดือดรุนแรง จิตใจที่แข็งแกร่งดังเหล็กเพชรตั้งปณิธานที่จะกำจัดเนื้อร้ายให้ต้าถัง เนื้อร้ายนี้ก็คืออวิ๋นเยี่ย จากการพุ่งเป้าโจมตีของเหล่าขุนนางไม่เชื่อว่าเขาจะรอดพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้


 


 


จ่างซุนอู๋จี้ ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย ถังเจี่ยนพวกผู้ยิ่งใหญ่แท้จริงเหล่านี้ต่างนิ่งเฉยราวรูปปั้นไม่แสดงอาการใดๆ ส่วนพวกรองเสนาบดีผู้ว่าการกรมกองต่างๆกลับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันลิงโลดเหลือแสน


 


 


ความกระตือรือร้นตามปกติวิสัยทุกวันของเหล่าศักดินาก็หายไปด้วย นอกจากฉินฉยง หลี่จิ้ง อวี้ฉือกงที่คิ้วขมวดแน่นแล้ว ที่เหลือทั้งหมดต่างออกอาการไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองแม้แต่นิด เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นโต้กลับอย่างรุนแรงจนฝ่ายศักดินาไม่อยากต่อกรด้วย


 


 


หลังพิธีทำความเคารพกันแล้ว ไม่ทันรอให้อัครมหาเสนาบดีรายงานเรื่องสถานการณ์ทั่วหล้า ผู้ตรวจสอบหวงโย่วก็ชิงรายงานก่อน นี่เป็นเรื่องที่ไร้มารยาทอย่างยิ่ง หวงโย่วกระเ**้ยนกระหือรือเต็มที่ที่จะต้องจัดการในทันที คำตำหนิติเตียนของเว่ยเจิงเมื่อวานนี้ นอกจากพวกเขาไม่สงบเสงี่ยมลงแล้วยังกลับทำรุนแรงขึ้น ติดต่อขุนนางระดับสี่ห้าอีกมากมายเตรียมเล่นงานอวิ๋นเยี่ย


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมหวงโย่วมีรายงาน”


 


 


หลี่ซื่อหมินส่งเสียงที่ไม่มีอารมณ์ใดๆแฝงอยู่ “พูดมา”


 


 


“กระหม่อมขอฟ้องหลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยทำผิดกฎหมายรวมยี่สิบหกคดี หนึ่งคือเพิกเฉยพระกรุณาธิคุณ รับผลประโยชน์เข้าตัว สองคือตั้งแนวร่วมกลุ่มยุทธภพ วางแผนการมิชอบ สามคือสมคบชนเผ่านอกด่าน จุดประสงค์ไม่แจ้งชัด สี่คือใช้กลยุทธ์นอกลู่นอกทาง มอมเมาจิตใจผู้คน ห้าคือสะสมผู้มีวิชาดีเลิศทั่วหล้า เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว หกคือส่งกลุ่มยุทธภพลงใต้ที่หลิ่งหนาน คล้ายดังก่อกบฏ เจ็ดคือ…”


 


 


คดียิ่งใหญ่แต่ละคดีค่อยๆครอบลงมา หากเป็นจริงเพียงแค่คดีเดียว เบาสุดก็ถูกเนรเทศไปชายแดนหลิ่งหนานตกปลา มุมปากจ่างซุนอู๋จี้กระตุกนิดๆส่วนสีหน้าตู้หรูฮุ่ยสุดจะชื่นมื่น ฝางเสวียนหลิงถองเว่ยเจิงที่อยู่ข้างๆกระซิบว่า “เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้สั่งสอนพวกเขาหรือ”


 


 


เว่ยเจิงค้อนควับบอกว่า “ข้าแทบจะบอกไปเลยว่าทั้งหมดนี้ความจริงเป็นเรื่องที่ฝ่าบาททำเอง พวกเขาเป็นลาโง่ทั้งฝูงฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง พอทรัพย์สมบัติตัวเองเสียหายก็คิดจะเอาคืนจากตระกูลอวิ๋น ความโลภบังตาหาที่ตายเองจะโทษใครได้”


 


 


“ยี่สิบหกคือวิวาทต่อยตีกับเจ้าครองอาณาจักรด้วยเรื่องสาวประเภทสองทั้งๆที่ตัวเองเป็นโหวของชาติ เป็นที่เสื่อมเสียเกียรติภูมิชาติ กระหม่อมฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยทั้งหมดยี่สิบหกข้อ ทุกๆข้อได้ผ่านการตรวจสอบแล้วเป็นจริงทั้งหมด ขอให้ฝ่าบาทลงโทษวายร้ายคนนี้เพื่อจะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างทั่วหล้า”


 


 


พูดจบแล้วก็หมอบกราบไม่ลุกขึ้นรอคำตัดสินจากฮ่องเต้ ขณะที่มีคนออกมาร้องคำว่า“ร่วมฟ้องด้วย”อีกสามสิบกว่าคน แล้วทั้งหมดก็หมอบกราบรอคอยวันสุดท้ายของอวิ๋นเยี่ย


 


 


“อวิ๋นเยี่ย เมื่อก่อนนี้ข้ามักจะเข้าใจว่าเจ้ามีมนุษยสัมพันธ์ดี ทั้งฉลาดเฉลียวคบหาสมาคมกับผู้คนได้สนิทแนบแน่นเป็นอย่างดี อาจารย์เจ้าก็เคยสั่งสอนเจ้าถึงวิธีการสร้างสื่อสัมพันธ์ต่างๆ แล้วทำไมจึงเกิดเรื่องที่คนหลายสิบคนต่างต้องการศีรษะเจ้าขึ้นมา เรื่องนี้หากเกิดขึ้นที่เว่ยเจิงนั้นไม่แปลก แต่เกิดขึ้นที่ตัวเจ้านี่ข้าคิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้ ไหนลองว่ามาทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้”


 


 


หลี่ซื่อหมินเตรียมดูการเล่นตลกของอวิ๋นเยี่ยด้วยอารมณ์สนุกทางร้ายนิดๆ จริงๆแล้วเขารู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใครๆ แต่พอเห็นอวิ๋นเยี่ยโดนรุมโจมตีจากคนจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้อยากรู้นักว่าหมอนี่จะใช้วิธีอะไรที่ทำให้รอดตัวไปได้


 


 


อวิ๋นเยี่ยฝืนยิ้มออกไปทำความเคารพแล้วยืนตัวตรงพูดกับขุนนางทั้งราชสำนักว่า “หวงโย่วเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนจึงมักเกิดความรู้สึกที่ละอายต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไป ว่าตัวเองอายุครึ่งร้อยมีบุตรชายเพียงแปดคนกับบุตรสาวอีกสี่คนเป็นที่น่าละอายใจมาก จึงได้ขอสูตรเพิ่มสมรรถภาพกับกระหม่อมว่าจะต้องมีบุตรหลานอีกสิบเจ็ดสิบแปดคนจึงจะทดแทนบุญคุณบรรพบุรษได้ แต่ถูกกระหม่อมปฏิเสธ ดังนั้นจึงได้เกิดเรื่องวันนี้ขึ้นมา”


 


 


ข้อสงสัยเหล่านั้นไม่มีสักข้อที่สามารถตอบได้อย่างเปิดเผยชัดเจน อวิ๋นเยี่ยจนปัญญาจึงต้องแต่งเรื่องมั่วซั่วออกมา ทำให้ทั้งราชสำนักหัวเราะกันครื้นเครงทันที หวงโย่วใบหน้าแดงก่ำพูดเสียงแหบแห้งว่า“พูดมั่วซั่ว”


 


 


รอจนราชสำนักสงบเงียบลงมาแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงยิ้มพูดว่า “ย่อมเป็นเรื่องมั่วซั่ว เรื่องมั่วซั่วที่ข้าแต่งขึ้นมาเองแต่แต่งสู้ของท่านไม่ได้ มีตั้งยี่สิบหกข้อมากจริงๆเลย ท่านลองคลำหน้าอกถามใจตัวเองดูสิว่าความผิดทั้งหมดนี้ตัวท่านเองเชื่อหรือไม่เชื่อ”


 


 


“ข้าเป็นขุนนางฝ่ายกล่าวโทษ การฎีกากล่าวโทษเป็นงานในหน้าที่ เจ้าทำชั่วมากมาย วันนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหลุดรอดไปได้”


 


 


“เหล่าหวงเอ๋ย ไม่ใช่เพราะท่านคิดอยากร่วมหุ้นร้านฝูลุ่ยที่ถูกท่านทอดทิ้งไปก่อนแล้วโดนเขาไล่ออกจากร้านหรอกหรือ เงินเล็กน้อยเพียงไม่กี่พันก้วนทำให้ท่านต้องโมโหโทโสถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะมาจัดการข้าถึงตาย ท่านนึกว่าท่านเป็นใคร ก็แค่คนโง่เง่าคนหนึ่งเท่านั้น หากข้าทำผิดใหญ่โตอะไรมากมายเช่นนั้นจะต้องรอให้ท่านมาพบเห็นหรือ”


 


 


“ท่านมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหัวหน้าที่ทุ่งหญ้า เอาเสบียงอาหารกับอุปกรณ์เหล็กแลกขนแกะที่ไร้ค่ามีหลักฐานชัดเจน เวลานี้ขนแกะของท่านถูกล็อคไว้ที่ท่าเรือฮวงโห ท่านยังจะมีอะไรพูดอีก”


 


 


ไม่ทันรอให้อวิ๋นเยี่ยพูดก็มีเสียงที่เคืองแค้นจนสุดแสนผ่านเข้ามา “ที่แท้เจ้าเป็นคนขัดขวางขนแกะของข้าไว้ที่ฝั่งแม่น้ำไม่ให้ข้ามมา” หวงโย่วกำลังจะหันหน้าไปดูว่าเป็นใครกันแน่ ได้ยินเพียงเสียงลมดังเฟี้ยว กระบองอันหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า


 


 


มีเสียงดัง“ป๊อก” อวิ๋นเยี่ยสูดลมเย็นถอยไปสองก้าว ฟันเต็มปากของหวงโย่วเหลือเพียงไม่กี่ซี่ทันที หลี่ไท่ที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทั้งตัวโกรธชนิดสุดใจขาดดิ้น ยิ่งคิดยิ่งโมโห ตัวเองลากอาจารย์อายุแปดสิบทำงานถวายชีวิตชนิดไม่รู้วันรู้คืนแต่โดนพวกวายร้ายเหล่านี้ฉุดรั้งไว้ เวลานี้ยังคิดจะสังหารอวิ๋นเยี่ย ตัวเองอยู่กับอวิ๋นเยี่ยมาสามปีมีหรือจะไม่รู้ถึงความสำคัญของอวิ๋นเยี่ย จะถูกสังหารเช่นนี้ได้หรือ


 


 


จึงยังคงยกไม้กระบองตีหวงโย่วที่สลบไปแล้วต่ออย่างไม่ยั้ง แต่พอเห็นเหล่าขุนนางอื่นๆที่ร่วมฟ้องด้วยก็หลับหูหลับตาตีแหลกไปทั้งฝูง


 


 


ทหารองครักษ์หน้าตำหนักกว่าจะแย่งไม้กระบองจากหลี่ไท่ได้ก็โดนกันไปหลายไม้ หลี่เฉิงเฉียนขึ้นไปกอดหลี่ไท่ที่ผอมจนไม่เหลือสภาพเดิมร้องไห้ลั่น หลี่ซื่อหมินจึงสังเกตได้ว่าคนบ้านั้นเป็นบุตรชายสุดหวงแหนของตัวเอง รีบลงมาจากบัลลังก์มังกร เห็นสภาพที่แสนอนาถของหลี่ไท่แล้ว ความโกรธพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า


 


 


“อวิ๋นเยี่ย สถานศึกษาเจ้ามีผีดูดเลือดหรือ ลูกชิงเชวี่ยข้าทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ในสามเดือน เจ้าต้องอธิบายให้ข้าพอใจ มิฉะนั้นข้าจะเอาข้อหายี่สิบหกข้อนั้นรวมไว้บนศีรษะเจ้าทั้งหมด” ดูหลี่ซื่อหมินที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเวลานี้ ไม่ได้เป็นฮ่องเต้ของจักรวรรดิอีกแล้ว กลายเป็นบิดาที่รักบุตรอย่างที่สุดชนิดไม่คำนึงถึงเหตุผลใดๆทั้งสิ้น


 


 


“ฝ่าบาท ไม่ว่าเป็นใคร ขอให้นอนเพียงวันละสองชั่วยามโดยทำงานไม่หยุดหย่อน เพียงสามเดือนก็จะกลายเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น” อวิ๋นเยี่ยรีบชี้แจงให้หลี่ซื่อหมินเข้าใจ หากไม่แล้วจะเอาไว้ไม่อยู่แน่นอน


 


 


อธิบายแล้วก็ยังไม่ได้ผล หลี่ซื่อหมินยังคงคว้าคอเสื้อสอบสวนอวิ๋นเยี่ยต่อ “แล้วเจ้าปล่อยให้ลูกชิงเชวี่ยข้า ทำงานทั้งวันไม่เลิก เขาเป็นองค์ชายไม่ใช่กุลี เจ้ากล้าทำกับองค์ชายเช่นนี้หรือ”


 


 


“ฝ่าบาท ให้ชิงเชวี่ยพูดเองดีกว่ากระมัง หากเขาไม่ยินดี ใครเลยจะกล้าบังคับฝืนใจองค์ชายได้” หลี่ซื่อหมินคิดแล้วก็เป็นจริงดังนั้นจึงปล่อยอวิ๋นเยี่ยออก สั่งทหารองครักษ์นำหวงโย่วกับขุนนางอื่นๆที่หัวร้างข้างแตกไปให้หมอหลวงรักษา แล้วตัวเองมาเบื้องหน้าสองโอรสที่กำลังกอดคอร้องไห้บอกหลี่ไท่ว่า “ลูกชิงเชวี่ย เจ้าบอกเสด็จพ่อสิ หากมีความคับแค้นใจ เสด็จพ่อจะจัดการให้”


 


 


หลี่ไท่นึกถึงความตรากตรำที่ราวกับอยู่ในนรกสามเดือนแล้วสะเทือนใจ หากไม่มีเสด็จพ่อ ตัวเองสามารถรับความทุกข์ยากมากกว่านี้ก็ยังไหว แต่พอเสด็จพ่อถามขึ้นมา น้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที


 


 


“เสด็จพ่อไม่รู้ อาจารย์ข้ากงซูมู่ประดิษฐ์เครื่องจักรกล สามารถปั่นขนแกะเป็นเส้นด้ายแล้วทอให้เป็นผ้าขนแกะได้ ผ้าชนิดนี้เนื้อผ้าหนาแน่นกันหนาวได้ดีเยี่ยม แต่ทดลองมาแล้วหลายครั้งยังไม่สำเร็จ แม้ทอผ้าได้แล้วแต่ยังไม่ได้คุณภาพตามที่คิดไว้ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ให้ผ่านมาตรฐานบอกว่ายังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ลูกเกิดความคิดประหลาดจึงผสมใยลินินเข้าไปปั่นด้ายด้วยกัน ดูว่าจะได้ผ้าที่มีเนื้อทนทานไม่ฉีกขาดได้ง่ายไหม ลูกกับอาจารย์อายุแปดสิบกินนอนอยู่ในโรงงานทั้งวันทั้งคืน เฝ้าดูพวกช่างปั่นทอทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


พอทดลองมากครั้งเข้าขนแกะก็ไม่พอใช้ ลูกจึงให้ตระกูลอวิ๋นไปรับซื้อที่ทุ่งหญ้า อาจารย์อายุแปดสิบของลูกสู้ไม่ไหวจริงๆจึงล้มป่วย ไข้ขึ้นจนสะลึมสะลือก็ยังไม่ลืมเรื่องคุณภาพของผ้าว่าสำเร็จหรือไม่อย่างไร


 


 


เสด็จพ่อ ท่านว่าลูกจะกล้าผ่อนคลายอะไรได้แม้เพียงเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยพยายามเปลี่ยนเมนูอาหารให้ข้า แต่ในเมื่อทอผ้ายังไม่ได้คุณภาพ ไม่ว่าอาหารจะเลอเลิศแค่ไหนลูกก็ยังไม่สามารถกลืนได้ลงคอ ตอนนี้กำลังทดลองในขั้นที่สำคัญมากที่สุด พวกเขากลับล็อคขนแกะไว้ที่ท่าเรือไม่ให้ข้ามแม่น้ำมา เมื่อขาดขนแกะแล้วลูกจะไปทดลองอะไรได้ ฟังอวิ๋นเยี่ยว่า ขอเพียงให้ของนี้ทดลองสำเร็จทุ่งหญ้าก็จะไม่มีวันเป็นศัตรูกับจงหยวนอีกตลอดไป จะกลายเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้มากสุดของจงหยวน มีคุณค่ามากกว่ากองทหารนับล้านคนทีเดียว”


 


 


พูดแล้วก็ควักกระเป๋าเอาชิ้นผ้าที่ยังทดลองไม่สำเร็จให้หลี่ซื่อหมินดู หลี่ซื่อหมินลูบคลำชิ้นผ้าที่เนื้อผ้าหยาบกร้าน แล้วมองดูโอรสที่ผอมโซ รู้สึกนัยน์ตาร้อนผ่าว นี่มันเป็นชิ้นผ้าที่ไหน มันคือเลือดเนื้อของโอรสตัวเองแท้ๆ แต่ก่อนนี้เป็นเพียงเด็กน้อยอ้วนท้วนที่คอยออเซาะฉอเลาะ ตอนนี้สามารถแบ่งเบาภาระที่หนักอึ้งของตัวเองได้แล้ว


 


 


อาศัยสายตาที่เฉียบคมของหลี่ซื่อหมินมีหรือจะไม่รู้ว่าหากขนแกะที่ไร้ค่ากลายเป็นทรัพย์สินมหาศาลได้แล้ว ชิ้นผ้าเล็กๆชิ้นนี้ ไม่แน่ว่าจะสามารถเทียบเคียงกับกองทหารนับล้านได้จริงๆ

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 12 มีของเช่นนี้ด้วยหรือ

 

ความจริงย่อมพิสูจน์ได้ว่าสติล้วนเป็นของหายากสำหรับทุกคน ฮ่องเต้ยิ่งใหญ่พันปีหลี่ซื่อหมินก็ไม่มีเช่นกัน ภายใต้ความโกรธที่รุนแรง การตัดสินใจย่อมห่างไกลเหตุผล ฝ่ายตรวจสอบยื่นฎีกาไร้ซึ่งความจริง ดำเนินการตามอำเภอใจ เก่ยซื่อจงเว่ยเจิงถูกลดบรรดาศักดิ์หนึ่งขั้น ผู้ตรวจสอบหวงโย่วโดนส่งไปไกลสามพันลี้ ผู้ร่วมฟ้องอื่นๆทั้งหมดถูกงดเงินปีหนึ่งปี อวิ๋นเยี่ยทำการด้วยความคึกคะนองขาดความสำรวมถูกงดเงินปีหนึ่งปีเช่นกัน นี่เป็นคำตัดสินลงโทษขุนนางฝ่ายตรวจสอบที่กล่าวโทษเนื่องจากข่าวที่ได้ยินเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สร้างชาติมา ทำให้ราชสำนักสะเทือน ต่อไปหากจะฟ้องร้องคนอื่นโดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดก็สู้ระวังตัวไว้ก่อนจะดีกว่า


 


 


ไม่มีใครเอ่ยถึงข้อหายี่สิบหกคดีนั้นอีก ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แม้แต่ผู้ที่เพิ่งร่วมฟ้องในวังไท่จี๋ที่ต้องการศีรษะอวิ๋นเยี่ย ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสประสานมือบอกลากัน ราวกับว่าไม่เคยรู้จักหวงโย่วที่ร้องไห้โฮโดนทหารคุมตัวไป อวิ๋นเยี่ยรู้สึกถึงการคุกคามสุดแสนจากรอยยิ้มอย่างเต็มที่จากพวกเขา


 


 


หลี่ไท่ถูกฮ่องเต้มีโองการให้พักผ่อนในวังหนึ่งเดือน รอให้ร่างกายฟื้นคืนสภาพแล้วจึงไปสถานศึกษาร่วมค้นคว้ากับอาจารย์กงซูมู่ได้ การที่บุคคลเก่งกาจหาได้ยากสองคนถูกทำลายเพราะผ้าชิ้นเดียวนั้นไม่สมควรยิ่งนัก


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจเงินปีเพราะตั้งแต่เขาเป็นขุนนาง ขอเพียงอยู่ในเมืองหลวงเงินปีมักโดนลงโทษจนไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว สำหรับการเมืองต้นยุคเจินกวนที่มั่นคง เรื่องที่เกิดขึ้นสองวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องสะเทือนขวัญมากที่สุดแล้ว


 


 


ยังดีที่เกิดขึ้นก่อนตัวเองจะเริ่มแย่งชิงเงินทอง ทำให้พวกอีกาที่น่ารังเกียจเหล่านี้หุบปากลงได้ หากครั้งนี้ได้เงินทองสำเร็จ ตัวเองจะเตรียมเดินทางไกลสักครั้งเพื่อหลบการปะทะของฝ่ายพุทธกับฝ่ายเต๋าที่กำลังจะเริ่มขึ้น


 


 


หลี่ฉุนเฟิงมาแล้วสามรอบ หวังให้อวิ๋นเยี่ยร่วมงานฉลองวันก่อตั้งสำนักเหล่าจวิงกวน ถึงเวลานั้นร่วมกันชมสุริยุปราคาเต็มดวง หวงเทียนกังเป็นผู้คำนวณสุริยุปราคาเต็มดวงในฉางอันครั้งนี้ ผลการคำนวณของหลี่ฉุนเฟิงศิษย์อาจารย์ร่วมกับผู้มีวิชาฝ่ายเต๋านับไม่ถ้วนนั้นต่างกันไม่เกินครึ่งชั่วยาม ตัวเลขนี้นับว่าแม่นจนน่ากลัว ควรรู้ว่าการคำนวณวงโคจรของดวงอาทิตย์หวงเต้ากับการคำนวณวงโคจรของดวงจันทร์ไป๋เต้า ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรทั้งสิ่งของและแรงงานมากมาย ในยุคที่ทุกคนต่างใช้วิธีคำนวณโดยการใช้ไม้นับจึงเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก


 


 


ส่งตัวเลขให้อวิ๋นเยี่ยแล้ว อวิ๋นเยี่ยเปิดดูเครื่องมือถือของตัวเอง ได้วันที่เกิดสุริยุปราคาแน่นอนคือวันที่หนึ่งตามจันทรคติ จึงทำให้อวิ๋นเยี่ยมีโอกาสขี้เกียจได้ เพียงแค่คำนวณวงโคจรที่ตัดกันในวันนั้นก็เพียงพอแล้ว หากแม่นยำไปถึงนาทีก็ออกจะดูถูกสติปัญญาของฝ่ายเต๋า ช่วยไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงทำได้เพียงปรับความแม่นยำไปถึงชั่วหนึ่งกาชาก็พอ


 


 


เช่นนี้แล้วยังถูกหลี่ฉุนเฟิงยกย่องราวกับเป็นเทวดา เพียงคืนเดียวก็สามารถใช้ตัวเลขจำนวนมหาศาลนั้นจนมีผลออกมาได้ เป็นเรื่องที่เทวดาจึงจะทำได้ กำลังเตรียมกราบไหว้เทวดา ก็ถูกหลี่ไท่ที่กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยกบอกเคล็ดวิธีของเขา “เขามีลูกคิด เร็วกว่าการใช้ไม้นับไม่รู้กี่สิบเท่า การคำนวณได้ในคืนเดียวไม่นับว่าแปลกหรอก”


 


 


อวิ๋นเยี่ยย่อมไม่บอกเรื่องจริงว่าตัวเองใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็คำนวณออกมาได้ ได้แค่ยอมรับว่าที่หลี่ไท่พูดนั้นเป็นความจริง ต้ายาเวลานี้อยู่ในห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ยเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากไม่เข้าใจอะไรก็จะวิ่งไปถามพวกหลี่กังกับอวี้ซัน อวิ๋นเยี่ยยังไม่กล้าพอที่จะให้ต้ายาไปอยู่ในห้องเรียนจึงพูดให้ดูดีว่ามาดูแลตัวเอง


 


 


อวิ๋นเยี่ยรับน้ำชาที่ต้ายาส่งให้แล้วนอนอยู่ข้างเก้าอี้นอนของหลี่ไท่ หันไปดูหลี่ฉุนเฟิงที่กำลังเหม่อลอยอยู่กับลูกคิดแล้วถามหลี่ไท่ว่า “ฝ่าบาทไม่ใช่ไม่ให้ท่านเที่ยววิ่งไปโน่นนี่หรือ ทำไมจึงยังมาที่อวี้ซันอีกเล่า สถานที่ทดลองโดนทหารปิดตายไปแล้วข้ายังเข้าไปไม่ได้ แล้วท่านยังกลับมาทำอะไร ปีหน้าท่านก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋องแห่งอาณาจักรแล้วควรต้องเตรียมตัวก่อน ไม่ใช่ไปถึงอาณาจักรตัวเองแล้วมืดแปดด้าน กลายเป็นไปสร้างบาปกรรมให้ราษฎรโดยไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


“เยี่ยจื่อ เวลานี้ข้าเบื่อหน่ายการเมืองมาก พอเห็นพวกนั้นแล้วก็ปวดศีรษะ ที่เจ้าสั่งสอนข้าไม่ใช่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าหลงใหลในวิชาคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ เคมี ชีวะพวกนี้หรือ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าแย่งชิงราชบัลลังก์กับพี่ชายใหญ่ อีกทั้งเจ้าเองก็ไม่เคยปิดบังวัตถุประสงค์ของเจ้า เวลานี้ทำได้สำเร็จแล้ว ทำไมยังกลับมาบอกให้ข้าสนใจการเมืองอีกเล่า”


 


 


อวิ๋นเยี่ยพบว่าต้าถังมีคนโง่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ความจริงวัตถุประสงค์ของตัวเองถูกหลี่ไท่มองทะลุมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าแผนการของอวิ๋นเยี่ยทำสำเร็จ แต่เพราะหลี่ไท่เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง หากเขาไม่ชอบย่อมไม่มีเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า


 


 


“ชิงเชวี่ย ข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟังสักเรื่อง ท่านฟังแล้วแค่หัวเราะเฉยๆก็ได้ ในยุคโบราณนานมาแล้ว มีพระราชาที่ปราดเปรื่องมากคนหนึ่ง เขามีโอรสและธิดาจำนวนมาก ขณะที่พวกเขายังเล็กอยู่พระราชาบอกว่า โอรสตัวเองจะต้องเป็นเด็กที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวมากที่สุดในโลก สวรรค์คุ้มครอง โอรสของเขาเก่งกาจตามที่เขาหวังไว้ แต่ปัญหาเกิดขึ้นตามมา ราชบัลลังก์มีเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้น…


 


 


หลี่ไท่ฟังอย่างตั้งใจ ฟังจนกระทั่งพระราชาที่ปราดเปรื่องตายไปอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย อดไม่ได้น้ำตาไหลพราก “ปลูกแตงใต้นั่งร้าน แตงสุกลูกทิ้งห่าง เด็ดหนึ่งเพื่อแตงดี เด็ดสองเพื่อแข็งแรง เด็ดสามยังพอได้ เด็ดสี่ได้เพียงเถา” หลี่ไท่ท่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงคำรำพึงรำพันที่โศกเศร้าของพระราชาในนิทานเมื่อครู่นี้


 


 


“เยี่ยจื่อ ข้ารู้ว่าในโลกนี้อาจมีหินชนิดหนึ่งเรียกว่าหินสามชาติ สามารถมองเห็นอดีตและอนาคต ข้าสงสัยอยู่ตลอดเวลาถึงความเก่งกาจของเจ้า ไม่มีใครสามารถมีความรู้ได้กว้างขวางมากเท่าเจ้า ข้ายอมรับว่าตัวเองฉลาดเฉลียว ความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าข้าเป็นคนฉลาด แต่ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าพอเห็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นก็รู้ไปถึงตอนจบได้ เจ้าอาศัยอะไรที่มาตำหนิสิ่งที่ข้ายังไม่ได้ทำ บอกข้าสิ ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าหินสามชาติหรือไม่”


 


 


ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหลี่ไท่เป็นนักฉวยโอกาส เพิ่งกำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่ก็หักมุมได้ทันที ทั้งยังจะล้วงความลับที่เขาต้องการรู้อย่างที่สุดจากปากของอวิ๋นเยี่ย


 


 


“เสี่ยวไท่ พรุ่งนี้ข้าจะต้อนรับแขกคนหนึ่งที่มาจากทางไกลอย่างเอิกเกริก หากท่านสนใจก็มาด้วยกันได้ จำไว้ว่า ให้นำแต่หูมา อย่านำปากมาด้วย ให้เขาเล่าเรื่องที่ท่านยังไม่เคยได้ยินกับของที่ไม่เคยสัมผัสได้ เขาว่าจะมีของขวัญให้ข้าด้วย ข้าตั้งใจเฝ้ารออยู่ทีเดียว”


 


 


“เป็นเพื่อนเทวดาของเจ้าหรือ คืนนี้ข้าไม่กลับไปแล้วจะอยู่บ้านเจ้า ข้าไม่อยากพลาดเรื่องนี้แม้แต่ขั้นตอนเดียว ตั้งแต่เวลานี้ข้าจะไม่ออกห่างจากตัวเจ้า หากเจ้าจะแปลงร่างก็ให้แปลงร่างต่อหน้าข้า ข้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว”


 


 


การบอกเรื่องที่จริงจังให้หลี่ไท่รู้เป็นความผิดพลาดสมบูรณ์แบบ เนื่องจากเขาจะเอาความเข้าใจของตัวเองใส่เข้าไปด้วยจนทำให้เรื่องจริงจังของท่านเละเป็นโจ๊ก ไม่แน่ว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจต่างมีนิสัยเช่นนี้


 


 


เตรียมการให้หลี่ไท่สอนลูกคิดแก่หลี่ฉุนเฟิงแล้ว ตัวอวิ๋นเยี่ยเดินมาที่หน้าต่างผลักบานหน้าต่างไม้สลักลายสองบานออก เขาอวี้ซันทั้งหมดราวกับโผเข้ามาในอ้อมกอดตัวเองทันที อยากแปลงร่างเป็นลมโถมเข้าไปด้วยจริงๆ


 


 


จากขบวนคนสองร้อยคนมีเหลือรอดชีวิตกลับมาเพียงซีถงคนเดียว นอกนั้นต่างฝังร่างในแผ่นดินรกร้างตั้งแต่ครั้งโบราณกาล อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านี่เป็นบาปเคราะห์จากตัวเอง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคำขอร้องของซีถงที่ต้องการพบเขาแบบสบายๆ พรุ่งนี้ในเวลาเดียวกับที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ประตูใหญ่ตระกูลอวิ๋นจะเปิดออกเพื่อเตรียมต้อนรับผู้กล้าหาญที่สุดในโลกนี้ ไม่ได้สนใจเลยว่าเขาเป็นนักโทษสำคัญที่ราชสำนักกำลังติดตามจับตัว


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าพวกเขาผ่านช่วงกลางคืนตลอดเวลาได้อย่างไร และไม่รู้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ทั้งปีได้อย่างไรในแผ่นดินรกร้าง ไม่ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาเป็นอย่างไร ล้วนเป็นวีรบุรุษทุกคน


 


 


“พี่ชาย ท่านร้องไห้ทำไม” ต้ายายืนอยู่เบื้องหลัง นางยังไม่เคยเห็นพี่ชายใหญ่ร้องไห้จึงเป็นห่วงมาก


 


 


“พี่ชายเพียงแค่คิดถึงพวกเพื่อนเก่าหลายคนที่ตายไป พวกเขาทุกคนต่างกล้าหาญมาก พี่ชายเป็นคนขี้ขลาดใช้ไม่ได้ที่สุดในกลุ่มนี้” หากว่าจะสำรวจโลกใหม่แล้วอวิ๋นเยี่ยย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่มีข้อสงสัย เขาใช้เป้าประสงค์ที่เห็นแก่ตัวส่งกลุ่มเถียนเซียงจื่อไปสู่พื้นที่มรณะ ให้พวกเขาตายไปทีละคนในแผ่นดินรกร้างภายใต้ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่รู้ว่าขณะที่เถียนเซียงจื่อตายได้หลับตาทั้งสองข้างหรือไม่


 


 


เวลาแห่งความเศร้าโศกจะยาวนานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถลำลึกลงไป แค่ไว้อาลัยเถียนเซียงจื่อสักพักก็พอแล้ว อีกทั้งเมื่อครู่นี้ยังเสียน้ำตาไป ถือว่าเพียงพอต่อการชดใช้บาปกรรมของตัวเองแล้ว


 


 


ชวีจัวหิ้วถังน้ำผ่านสายตาอวิ๋นเยี่ยไปสามรอบแล้ว ขณะที่เขากำลังแอบย่องผ่านเป็นรอบที่สี่ โดนอวิ๋นเยี่ยเรียกให้หยุด “ชวีจัว เจ้าไม่ไปกำจัดหญ้าทางโน้น กลับหิ้วถังน้ำวิ่งไปวิ่งมาเพราะอะไรกัน”


 


 


“อาจารย์หวางสู่ต้องการต่อน้ำจากลำธารไปที่ร้านตัวเอง เขาตัดลำไผ่จำนวนมากแล้วตีทะลุปล้องไผ่ทุกลำ เตรียมต่อให้ยาวทั้งหมดเพื่อรับน้ำจากน้ำตก บอกว่าน้ำจากแม่น้ำตงหยางเวลานี้มีรสเปรี้ยวคล้ายรองเท้า ดังนั้นข้าน้อยจึงวิ่งมากเที่ยวหน่อย เตรียมนำน้ำจากบ้านอาจารย์หวางสู่ชงน้ำชาให้เหล่าอาจารย์หลังจากต่อน้ำเสร็จแล้ว


 


 


“มารดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เดินได้แล้วยัง”


 


 


“ยังไม่ได้ อาจารย์ซุนบอกว่าถึงอย่างไรก็ต้องรออีกสามเดือน เวลานี้เริ่มมีความรู้สึกที่ขาแล้ว ข้าน้อยรับงานตัดเย็บเล็กน้อยจากสถานศึกษาให้มารดา เวลานี้พวกเรามีความเป็นอยู่ที่ดีมาก ขอบคุณอาจารย์มาก”


 


 


เห็นชวีจัวหิ้วถังไปไกลแล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าความกลัดกลุ้มของตัวเองก็หายไปหมด หรือตามที่พูดกันว่าหากทำความชั่วแล้วรีบทำความดี จะสามารถรักษาบาดแผลหัวใจของตัวเองอย่างได้ผล มิน่าที่ฝ่ายพุทธบอกว่า วางดาบฆ่าคนแล้วบังเกิดดวงตาเห็นธรรม ขอเพียงให้ตัวเองจิตใจโปร่งโล่ง แม้ไม่มีดวงตาเห็นธรรมก็ต้องเห็นธรรม


 


 


การคาดเดาของหลี่ไท่เกี่ยวกับหินสามชาติวันนี้อาจจะถูกต้อง ตัวเองไม่แน่ว่าอาจเป็นวิญญาณดวงหนึ่งที่หนีพ้นยมบาลออกมาได้ บนหินสามชาติจึงไม่มีชื่อของข้าอยู่ด้วย


 


 


ทุกครั้งที่สัมผัสกับเถียนเซียงจื่อ รากฐานทฤษฎีไร้ศาสนาของอวิ๋นเยี่ยที่วนเวียนในสมองก็จะอ่อนแรงลง ยังดีที่เขาได้ตายไปแล้ว


 


 


เพียงแค่คิดว่าคนยิ่งใหญ่เช่นนั้นจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในแผ่นดินรกร้าง ไม่พูดไม่ได้ว่าเป็นความเสียใจอย่างหนึ่ง หลี่กังทำใจได้ดีมาก เพียงขอโลงไม้หนานมู่ขลิบทองโลงหนึ่งจากอวิ๋นเยี่ยเท่านั้น นอกจากนี้แล้วไม่ได้ต้องการของอื่นใดอีก


 


 


คนที่คิดมีชีวิตอมตะได้ตายไปแล้ว แต่คนที่พร้อมจะตาย เวลานี้อยู่จนผมดำงอกใหม่ออกมาจากหนังศีรษะ หลี่ซื่อหมินได้เขียนหนังสือเป็นพิเศษให้ปรากฏการณ์มงคลนี้บนป้ายว่า ‘เทพอมตะ’


 


 


พรุ่งนี้พบหน้าซีถงแล้วไม่รู้จะสามารถรั้งตัวเขาไว้ได้หรือไม่ พเนจรมาแล้วครึ่งชีวิตย่อมต้องการที่ดินสักผืนเพื่อใช้พำนักได้ ครั้งนี้ไม่ต้องคิดมาใช้คำพูดที่น่าทุเรศว่าเพื่อให้ข้าใช้งานอีก คิดเพียงแค่ให้เขามีพื้นที่ว่างของเขาเอง ให้เขาสามารถเลียแผลของเขาได้

 

 

 


[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้...

 

ตอนที่ 13 ก้อนหินของเถียนเซียงจื่อ

 

ซีถงมาถึงฉางอันเป็นวันที่สามแล้ว วันก่อนเขาให้คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นในฉางอันส่งข่าวที่ตัวเองมาถึงฉางอัน คิดว่าอวิ๋นเยี่ยคงจะหาสถานที่เงียบๆพบกับตัวเอง ไม่นึกว่าคนดูแลบ้านตระกูลอวิ๋นมาหาเขาถึงที่เขาพักอยู่ บอกเขาว่าโหวเหยียจะรอรับแขกสำคัญในบ้านที่อวี้ซัน


 


ภายในเวลาเพียงปีเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจทำให้ชายล่ำสันสูงแปดเชียะจากกวนซีถูกทรมานจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่เหลือแม้แต่สตางค์แดงเดียว มีเพียงถุงย่ามใหญ่โตที่สะพายหลังให้คนรู้สึกได้ว่านี่เป็นคนคนหนึ่งไม่ใช่ปิศาจร้ายที่ไหน


 


บ้านที่ขออาศัยนั้นเป็นเพื่อนแต่เก่าก่อนที่ซีถงเคยมีบุญคุณต่อเพื่อนคนนี้ เจ้าของบ้านป่วยเสียชีวิตนานแล้ว เหลือเพียงบุตรชายสองคนกับมารดาที่เป็นม่าย หากไม่ใช่เพราะมารดายืนกรานให้ซีถงพักอยู่ที่บ้านตัวเอง เขาก็ถูกบุตรชายสองคนที่ไม่เห็นคนจนอยู่ในสายตาไล่ออกไปนานแล้ว


 


การมาของเหล่าเฉียนทำให้ครอบครัวนี้ตกใจมาก เพียงแค่ชุดผ้าต่วนราคาแพงระยับบนร่างเหล่าเฉียนก็สามารถซื้อทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวพวกเขาได้ ยังไม่ต้องพูดถึงแผ่นหยกลายเมฆที่ห้อยอยู่ตรงเอว บุตรชายคนโตที่เป็นช่างหยกประเมินราคาไว้ต่ำสุดก็ต้องสี่สิบก้วน


 


คนดูแลบ้านที่มีท่าทางไม่ธรรมดาคนนี้ถึงขนาดทำความเคารพซีถงที่ราวกับขอทาน ทั้งยังดูไม่ออกถึงความไม่จริงใจแม้แต่นิดเป็นการเชื้อเชิญแขกผู้มีเกียรติอย่างเต็มที่ ทั้งรถม้าที่อยู่เบื้องหลังและทหารคุ้มกันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นบ้านตระกูลสูงส่งเชิญไปเป็นแขกผู้มีเกียรติ


 


“ไม่ได้เจอกันสองปี โหวเหยียบ้านเจ้าสบายดีนะ” ซีถงถามอย่างยิ้มแย้ม


 


“รบกวนท่านถาม โหวเหยียสุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด ในบ้านใกล้จะเพิ่มนายน้อยคนใหม่ขึ้นมา ทุกคนต่างสุขภาพดีเยี่ยม ได้ยินว่ามีเพื่อนเก่ากลับมาจากทิศเหนือสุดจึงยินดียิ่งนัก กำลังปัดกวาดเช็ดถูอาคาร เปิดประตูใหญ่ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ”


 


“คนป่าคนดอยไม่สมกับการต้อนรับใหญ่โต พวกพิธีการจอมปลอมก็ช่างเถอะเห็นแล้วน่ากลัว ได้ยินว่าสุราบ้านเจ้าไม่เลวอาหารก็อร่อย บอกเขาเตรียมไว้มากหน่อยข้าอดอยากมานานจะได้บำรุงสักหน่อย” พูดถึงนี่แล้วซีถงยิ้มเห็นฟันขาว ยิ้มด้วยความสดชื่นยิ่งนัก


 


“ดีที่แขกท่านรู้จัก สุราตระกูลอวิ่นนับได้ว่าสุดยอดในฉางอัน นายท่านเมื่อวานนี้ขุดหาในสวนทั้งวันจนพบสุราที่เคยฝังไว้เมื่อหลายปีก่อน คิดว่าต้องยอดเยี่ยมแน่นอน แขกท่านเป็นยอดคนที่หาได้ยากในแผ่นดิน คงได้ร่วมเมากับนายท่าน”


 


“ไม่คุยกับเจ้ามากนักแล้ว ร่างกายข้าเหนื่อยเพลียอย่างมาก ทิ้งเงินไว้บ้างแล้วก็ไปเถอะ บอกนายของเจ้าด้วยว่า ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นข้าจะไปถึงบ้านเขาแน่นอน” เหล่าเฉียนคำนับตามพิธีการ ทิ้งกล่องไม้จันทน์เล็กไว้กล่องหนึ่งแล้วลาจากไป


 


ซีถงมองยังไม่มองกล่องไม้จันทน์นั้น บอกหญิงชราว่า “ซ้อใหญ่ ในนั้นมีเงินอยู่บ้าง ท่านเก็บไว้ดูแลตัวเอง บุตรชายสองคนของท่านหวังพึ่งยาก มีเงินอยู่บ้างจะได้ไม่อดตาย”


 


คำพูดนี้ทำให้สองพี่น้องอายจนใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาที่ร้อนรนจ้องดูกล่องไม้จันทน์ตาไม่กระพริบ หญิงชราถอดใจพูดกับซีถงว่า “ท่านอาพูดเล่นแล้ว ตั้งแต่สามีจากไปเหลือเพียงข้ารับความทุกข์ยาก เงินส่วนนี้ให้พวกเขาไปเถอะ ถือว่าเป็นของขวัญจากท่านอาคนนี้ พรุ่งนี้ท่านอาออกเดินทางข้าจะไม่ส่งแล้ว”


 


ทั้งคู่ต่างไม่สนใจสองพี่น้องที่ละโมบ ต่างคนต่างกลับห้องตัวเอง ซีถงเดิมคิดเห็นแก่หญิงชราจะเหลือความสัมพันธ์ก่อนเก่าอยู่บ้าง แต่พฤติกรรมของสองบุตรชายทำให้หญิงชราตัดขาดความคิดนี้โดยเด็ดขาด ใช้เงินกล่องนี้จบความสัมพันธ์ที่มีกับซีถง


 


ถือโอกาสที่ประตูเมืองยังไม่ปิด ซีถงแบกถุงย่ามของตัวเองถือดาบเดินไปเขาอวี้ซัน เขาไม่คิดจะอาศัยแรงช่วยจากคนอื่น ในเมื่อตัวเองสามารถคลานขึ้นมาจากขุมนรกนั้นด้วยตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยอมรับความสงสารจากใคร


 


เห็นชัดเจนว่าบาดแผลเก่าที่ขายังไม่หายดี เดินหน้าแต่ละก้าวจะมีอาการชะงักนิดๆที่สังเกตได้ยากทุกครั้ง แต่ความมุ่งมั่นไปข้างหน้าคงมีอยู่อย่างแรงกล้า เขาอาศัยความมุ่งมั่นนี้จากแผ่นดินน้ำแข็งที่อยู่เหนือสุดกลับมาจงหยวนที่จากไปนานแล้ว ขอเพียงให้ถุงย่ามนี้แก่อวิ๋นเยี่ยแล้วตัวเองก็หมดภาระตามสัญญาทั้งหมด ไม่มีอะไรต้องห่วงใยอีก จะอิสรเสรีเช้าดื่มน้ำจากแม่น้ำตงเหอเย็นหลับนอนได้ที่เขาซีซัน ขอเพียงแค่พอใจจะเป็นลูกจ้างยายป้าที่ไหนตลอดชีวิตก็ได้


 


เขาเดินได้สักพักก็ต้องหยุดสักพัก ถึงแม้จะมีเกวียนไม่น้อยหวังส่งเขาสักระยะหนึ่งแต่เขาก็ยิ้มปฏิเสธไป ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยรอต้อนรับเขาด้วยพิธีการใหญ่ ตัวเองก็ไม่สามารถทำให้พิธีการใหญ่เช่นนี้ต้องแปดเปื้อนแม้เพียงนิดเดียว


 


โก่วจื่อเชิญเขากินหมั่นโถวข้าวบาร์เลย์ลูกใหญ่และเหล่าปิงเชิญเขาดื่มสุราชามหนึ่ง ถึงแม้เป็นเวลากลางดึกเขาก็ไม่ได้รั้งรอ หัวเราะร่วนบอกเหล่าปิงว่า “ข้าบอกแล้วว่าจะต้องไปถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ให้อวิ๋นเยี่ยเตรียมสุราอาหารอย่างดี ข้าจะต้องกินให้ได้ทั้งหมด”


 


ในโลกนี้มีเพียงอวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองกับพวกที่ตายทั้งสองร้อยกว่าคนไปทำอะไรกันแน่ ตายไปอย่างเงียบเชียบเทียบไม่ได้กระทั่งสุนัขข้างถนน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซีถงต้องการ ถ้าหากทุกคนรู้แต่แรกว่าเพื่อไป๋อวี้จิงที่แสนลี้ลับ เช่นนั้นสุดท้ายแล้วคือมีชีวิตเพื่อให้มีชีวิตต่อเท่านั้น


 


ถ้าหากไม่ให้พวกเขาเทียบไม่ได้แม้กระทั่งสุนัขข้างถนน ก็จะต้องให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองทำอะไรไป อีกทั้งตัวเองยังนำหลักฐานที่ชัดแจ้งกลับมาด้วยนั่นคือหนังหมีขาวที่สมบูรณ์แบบห้าผืน


 


มองดวงอาทิตย์ที่โผล่มาแล้วครึ่งดวง ด่าไปคำหนึ่งเพราะสายไปนิดหนึ่ง ประตูใหญ่บ้านตระกูลอวิ๋นเปิดกว้างเต็มที่ ตลาดหน้าบ้านว่างเปล่าไม่มีแม้แต่คนเดียว ร้านค้าก็ยังไม่เปิดประตู เหตุผลเพราะบ้านอวิ๋นวันนี้มีแขกสำคัญมาเยือน ดังนั้นร้านค้าต้องเปิดช้าไปหนึ่งชั่วยาม


 


ข้างหลังประตูบ้านเต็มไปด้วยคน ร่องประตูมีแต่ลูกตาคนที่อยากรู้อยากเห็น เดิมคิดว่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติอะไรที่ไหน ที่แท้เป็นชายร่างผอมจนเหลือหนังหุ้มกระดูก ดูอาการเดินโซซัดโซเซแม้แต่ลมยังพัดให้เขาล้มลงไปได้


 


พ่อค้าที่มีประสบการณ์ดูออกว่าคนนี้จะต้องเดินทางไกลมากๆ รองเท้าบู๊ทหนังม้าที่เคยประณีตแต่ก่อน ว่ากันว่าใส่ห้าปีเดินทางไกลพันลี้ยังไม่เสียหาย เวลานี้พังยับเยินจนเหลือเพียงตราตระกูลหม่าติดอยู่ด้านบนราวกับเป็นเรื่องตลก เถ้าแก่ร้านตระกูลหม่าที่ตลาดอยากพุ่งขึ้นไปเอาบู๊ทคู่ใหม่ที่ดีๆมาแลกบู๊ทคู่ที่พังยับเยินนั้น ท่านคนนี้เดินทางไกลสักแค่ไหนนะ ตราที่ติดนี้เพิ่งเรียนรู้มาจากตระกูลอวิ๋นเมื่อสองปีก่อนนี้เอง การใส่บู๊ทคู่นี้เหมือนตั้งใจจะมาตบหน้าตระกูลหม่าชัดๆ


 


เหล่าเฉียนเปลี่ยนชุดหรูหราออก เวลานี้ใส่ชุดเขียวหมวกเล็กยืนรออยู่ที่หน้าประตู ซีถงรู้สึกผิดเล็กน้อยบอกเหล่าเฉียนว่า “ข้ามาช้าไปหน่อยแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว”


 


“พอดีๆ ดวงอาทิตย์วันนี้ขึ้นเร็วไปนิด อาจเป็นเพราะนายท่านเร่งให้เร็วขึ้น” คำตอบของเหล่าเฉียนมีอารมณ์ขัน


 


ซีถงฟังแล้วหัวเราะฮ่าๆพูดว่าไม่เสียแรงเป็นผู้ดูแลบ้านผู้ยิ่งใหญ่ ใช้คำพูดที่ทำให้คนฟังแล้วสบายใจ แล้วก็ไม่ได้เกรงใจใช้เท้าที่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะเหยียบขึ้นไปบนพรมแดง เหล่าเฉียนเดินเป็นเพื่อนอยู่นอกพรมแดง ถือโอกาสบอกเขาว่านอกจากนายท่านแล้วยังมีแขกอีกคนมีเกียรติสูงส่งไม่ควรละเมิด แต่คำพูดของเขาเสียเปล่า ซีถงกำลังตกอยู่ในภวังค์เกียรติยศจนไม่ได้รับรู้คำเตือนเลยแม้แต่นิด


 


พรมแดงสิ้นสุดในบริเวณที่ร่มรื่น มีเสื่อผืนใหญ่บนนั้นปูพรมขาวทับไว้ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่นักตั้งอยู่บนนั้น อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ที่ประธาน ที่แขกด้านข้างเป็นชายหนุ่มผอมบางแววตามีแต่ความอยากรู้อยากเห็นสิ่งแปลกประหลาด


 


พอเห็นซีถงมาถึง อวิ๋นเยี่ยที่ใส่ชุดลินินเขียวผมสยายอยู่กลางแผ่นหลังถอนหายใจแล้วพูดว่า “สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายสยดสยองเช่นนั้นยังไม่สามารถรั้งท่านไว้ที่นั่นได้ ชะตาท่านช่างแข็งจนน่ากลัว ต่อไปจะต้องอยู่ด้วยกันกับท่านน้อยหน่อย ไม่เช่นนั้นเวลาฟ้าผ่าลงมาจะโดนแค่ข้าไม่โดนท่าน ไม่คุ้มแน่ๆ” แล้วหันไปบอกหลี่ไท่ว่า “เสี่ยวไท่ นี่เป็นคำอธิบายของคำว่าผู้มีปัญญาย่อมไม่ยืนอยู่ริมกำแพงที่หมิ่นเหม่จะล้ม ในโลกนี้มักมีตัวประหลาดที่ชะตาแข็งเหมือนแมลงสาบอยู่ด้วย ขอเตือนท่านไว้ว่าให้อยู่ห่างพวกเขาไกลๆหน่อย”


 


“ของที่ท่านต้องการ ข้านำมาให้แล้ว” ราวกับไม่ได้ยินคำวิจารณ์เหน็บแนมของอวิ๋นเยี่ย ซีถงโยนห่อผ้าไว้ที่พื้นอย่างโล่งอกแล้วก็นั่งตรงที่นั่งแขกสำคัญอย่างสบายใจเฉิบ ยิ้มแยกเขี้ยวให้หลี่ไท่ถือว่าเป็นการทักทาย


 


ใบหน้าดำเมื่อมมีแต่รอยแผลเป็นทั้งฟันก็หายไปสองซี่ การยิ้มเช่นนี้ทำให้หลี่ไท่แข็งเกร็งไปทั้งตัว นึกอยากยิ้มด้วยแต่ก็หวาดหวั่น ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าตื่นเต้นนัก มนุษย์ประหลาด ถ้าไม่แปลกแยกกว่าคนอื่นจะเรียกว่ามนุษย์ประหลาดได้หรือ


 


เพิ่งนั่งเรียบร้อย สาวใช้ที่แต่งเต็มยศก็ถืออ่างน้ำอุ่นให้ซีถงเช็ดหน้าล้างมือ รอจนพวกนางจัดการเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงดึงเศษกระดาษม้วนในรูจมูกสองข้างออกมา แล้วหายใจยาวมาก


 


“โรคบ้าความสะอาดของท่านเดี๋ยวนี้ยิ่งทำให้น่ารำคาญมาก ถึงแม้เสื้อผ้าข้าจะปุปะไปหน่อยแต่ก็ไม่ส่งกลิ่นเหม็นโฉ่” อาการรักสะอาดของอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่เห็นซุนซือเหมี่ยวเพาะเลี้ยงเชื้อเห็ดราแล้วยิ่งเป็นหนักขึ้น หากไม่ล้างมือวันละเจ็ดแปดรอบแล้วก็จะรู้สึกไม่สุขสบาย


 


ไหกระเบื้องเขียวเล็กๆใบหนึ่งถูกอวิ๋นเยี่ยโยนมา “ชิมดู ของดีเลย เจ้าโชคดีมาก ข้าค้นหาสุราที่เก่าเก็บมานาน เมื่อวานค้นหาเจอแล้ว ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่ไหเล็กนี้เท่านั้น”


 


ซีถงแกะกระดาษไขที่ปิดปากไหออก กลิ่นหอมรุนแรงพุ่งออกมาทันทีจนลูกกระเดือกขึ้นๆลงๆ แหงนคอแล้วเทลงไปครึ่งไห กลั้นหายใจไว้นานมากจึงพ่นลมหายใจออกมา รู้สึกว่าทุกรูขุมขนทั้งร่างกายต่างอ้าปากเรียกร้อง


 


น่องไก่สีแดงม่วงข้างหน้าเคี้ยวทีเดียวหมด ซีถงเอามือมันย่องเช็ดผ้าลินินแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อาจารย์เถียนตายแล้ว ข้านำศพเขาไปถึงแนวป่าจึงได้เผาไป สภาพการณ์เวลานั้นราวกับแผ่นดินปิศาจ ข้าเหนื่อยเกินไปหาไม้ได้ไม่มากก็เผาศพเลย คิดว่าไม่พอค่อยไปหาเพิ่มเพราะห่วงว่าจะมีสัตว์ป่ามากิน ใครจะรู้ว่าไม้แค่นิดเดียวนั้นเผาศพได้จนหมดเกลี้ยงราวกับศพไหม้ไฟเอง ถูกแล้ว ที่นี่ยังมีพระธาตุที่เหลืออยู่หลังเผาศพหมดแล้ว เขาไม่นับถือพุทธแต่ทำไมจึงมีของเช่นนี้ได้นะ”


 


พูดจบก็ควักกระเป๋าหยิบหินสีสันสดใสออกมาเจ็ดแปดอัน วางอยู่บนโต๊ะ แล้วหาของอร่อยบนโต๊ะกินต่อ


 


อวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่ต่างถูกหินสีเหล่านี้ดึงดูดความสนใจกันหมด เคยแต่ได้ยินเรื่องของพวกนี้แต่ไม่เคยเห็น คนรุ่นหลังส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกพระธาตุเป็นของปลอม เวลานี้มันถูกวางอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริงทั้งยังมีถึงเจ็ดแปดอัน พระธาตุสีขาวเป็นกระดูก พระธาตุสีดำเป็นเส้นผม พระธาตุสีแดงเป็นกล้ามเนื้อ แล้วก้อนหินสีเขียวเป็นส่วนไหนกัน เถียนเซียงจื่อตายแล้วก็ยังไม่ยอมให้คนอยู่เฉย ยังคงมีตำนานที่แพร่หลายเกี่ยวกับเทพยดา เพียงดูท่าทางหลี่ไท่ที่ตื่นเต้นนักหนาก็รู้ว่าตำนานนี้จะต้องแพร่หลายในอีกไม่นานนี้


 


แต่ก่อนได้ยินว่าเวลาเผาศพให้ใช้ไฟอ่อนค่อยๆเผา ขณะที่กระดูกถูกเผาจนเป็นขี้เถ้าแต่ยังคงรูปร่างอยู่ จะมีกระดูกส่วนที่ไม่เป็นขี้เถ้าก็คือส่วนกะโหลกในนั้นมีกระดูกรูปร่างคล้ายคนกำลังนั่งสมาธิ เป็นตัวแทนส่วนที่สุดยอด มีคนมากมายต่างหวังจะได้สิ่งนี้ขณะเผาศพเครือญาติตัวเอง ไม่เคยเห็นจึงไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด


 


สิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือเมื่อสองปีก่อนอาจารย์ฟู่อี้เคยใช้เขาแกะหลิงหยางกระแทกหินจินกังสือที่พระสงฆ์จากนอกด่านบอกว่าเป็นพระทนต์ของพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าเขาแกะหลิงหยางจะกระแทกพระธาตุแตกได้ไหม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)