ลำนำบุปผาพิษ 697-702

 บทที่ 697 ข้าไม่ต้องการเจ้า 5


ถึงแม้จะกล่าวไว้ล่วงหน้าชัดเจนแล้วว่าการประลองครั้งนี้เดิมพันด้วยชีวิต ทุกคนต้องทุ่มเทสุดกำลัง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นประลองแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างศิษย์ร่วมสำนัก ไม่ควรทำให้คนได้รับบาดเจ็บหรือทำร้ายคนอื่น แต่อวิ๋นชิงหลัวกลับจงใจทำเช่นนั้น ไม่เหลือไมตรีสักเศษเสี้ยว ถ้าถูกกระบี่นั้นแทงเข้าจริงๆ มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าหลานไว่หูจะสิ้นชีพ…


ตอนนั้นเยี่ยนเฉินมองเห็นแจ่มแจ้งชัดเจน เนื่องจากขวางไว้ไม่ทัน เขาตกใจจนหน้าซีด ยามนี้ก็ทะยานมาถึงข้างกายหลายไว่หูแล้ว เห็นได้ชัดว่าแม่นางน้อยตกใจจนขวัญเสียแล้ว ร่างกายสั่นสะท้าน แววตาเลื่อนลอย


“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เยี่ยนเฉินวางมือบนไหล่นาง


หลานไว่หูร้องไห้โฮทรุดลงในอ้อมกอดเขา เยี่ยนเฉินตัวแข็งทื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่จิ้งจอกน้อยโผเข้าหาอ้อมกอดเขาต่อหน้าฝูงชน เขาแข็งค้างไปครู่หนึ่งก็ค่อยๆ โอบกอดนางไว้ ตบหลังนางเบาๆ


ทว่าสายตาที่มองไปทางอวิ๋นชิงหลัวกลับเยียบเย็น…


เมื่อก่อนเขาคิดมาตลอดว่าถึงแม้นิสัยของอวิ๋นชิงหลัวผู้นี้จะนิเย็นชาไปบ้าง แต่นางก็จัดการเรื่องราวได้เหมาะสมนัก ปฏิบัติต่อสหายร่วมชั้นและอาจารย์อย่างมีสุภาพ ซ้ำยังทำให้คนรู้สึกว่าน่ารักใคร่ทะนุถนอมยิ่ง แต่ยามนี้นึกไม่ถึงเลยว่าเพื่อชัยชนะนางจะทำได้ทุกอย่างเช่นนี้!


คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ…


สายตาที่กู่ฉานโม่มองอวิ๋นชิงหลัวก็ค่อนข้างเยียบเย็นเช่นกัน มองนางฟุบอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้น สั่งการให้ผู้ติดตามส่งหมอคนหนึ่งไปดุอาการนางอย่างเฉยชา จากนั้นก็หันหลังจากไป


….


ณ ห้องนอนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง


กู้ซีจิ่นั่งหมิ่นๆ อยู่บนเตียง เจ็บปวดจนใบหน้าน้อยๆ ซีดเผือด หยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดออกมาไม่ขาดสาย


ในอดีตไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยถูกสิ่งใดทิ่มแทงจนบาดเจ็บ แต่ว่าไม่เคยเจ็บถึงขนาดนี้มาก่อน! หากว่าความเจ็บปวดมีระดับ เช่นนั้นความเจ็บปวดของเธอในยามนี้คงเจ็บปวดยิ่งกว่าการคลอดลูกที่เป็นระดับความเจ็บปวดในตำนาน ความเจ็บปวดระดับสิบ!


ความเจ็บนี้ทำให้คนอยู่ไม่สุขยิ่งนัก ที่แย่ไปกว่านั้นคือ กระบี่เล่มนั้นยังเสียบอยู่บนร่างเธอ ขยับเล็กน้อยก็เหมือนถูกแมงป่องต่อย ดังนั้นแผ่นหลังเธอจึงไม่อาจเอนพิงสิ่งใดได้ แต่ความเจ็บนั้นก็ทำให้ตัวเธอนั่งไม่ติด…


และคนที่โอบประคองอยู่ข้างกายเธอผู้นี้ก็ยิ่งทำให้เธอนั่งไม่ติด!


หากเป็นไปได้ เธอไม่อยากให้เขาสัมผัสแม้แต่มุมชุดเสี้ยวหนึ่งด้วยซ้ำ!


กลิ่นอายของเขาโอบล้อเธอไว้ ทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นอย่างน่างประหลาด ในใจคล้ายมีมีกระแสบางอย่างล้นทะลักออกมา ปานจะล้นขึ้นมาถึงลำคอ แล้วถูกบังคับสะกดลงไปอีกครั้ง


ถึงแม้เธอจะเจ็บจนทั้งร่างอ่อนยวบ แต่ยังต้องการจะผลักเขาออกอย่างสุดกำลัง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ชายหญิงมิพึงชิดใกล้! ท่านโปรดปล่อยเสีย!”


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ็บปวดจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ก็ยังคงต่อสู้ดิ้นรนอย่างดุดันเช่นนี้…


และพอเธอดิ้นรน เลือดที่ทะลักออกมาจากปากแผลทั้งสองแห่งที่ทรวงอกและแผ่นหลังของเธอก็ยิ่งมากขึ้น เตียงที่อยู่ใต้ร่างถูกย้อมจนแดงฉาน และอาบย้อมอาภารณ์สีม่วงของเขาด้วย


วงแขนของตี้ฝูอีกที่โอบกอดนางไว้กระชับแน่น ไม่กล้ากักนางแน่นเกินไป แถมนางยังบาดเจ็บเช่นนี้จึงไม่อาจสกัดจุดนางได้…


เขาทำได้เพียงพูดหว่านล้อมนาง น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ปานกล่อมเด็ก “ซีจิ่ว ข้าจะรักษาให้เจ้า เจ้าเป็นเด็กดีนะ ให้ข้าตรวจดูหน่อย ได้ไหม?”


กู้ซีจิ่วไม่รับน้ำใจเขา เธอรังเกียจกลิ่นอายเขา รังเกียจที่แนบชิดเขา รังเกียจทุกอย่างที่เป็นเขา! เธอไม่ต้องการให้เขารักษาเธอ ไม่ต้องการ!


“ไม่จำเป็น! เจ้าสำนักหลงสามารถตรวจอาการให้ข้าได้ ท่าน..ท่านให้เขาเข้ามา…ข้ากับท่านชายหญิงมิพึงชิดใกล้…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ขอท่านอย่าได้สอดมือเข้ามายุ่งอี…”


เธอเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้แต่หูก็ยังได้ยินเสียงเคาะประตูรวมถึงเสียงเรียกของหลงซือเย่ที่แว่วมาจากด้านนอก…


“เขาไม่ใช่บุรุษหรือไง? เจ้ากับเขาก็มิใช่ชายหญิงมิพึงใกล้ชิดหรอกหรือ?!” ตี้ฝูอีถามกลับ แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนกระบี่ล้ำค่าที่เสียบบนร่างนาง กระบี่ล้ำค่าเล่มนั้นเนื่องจากปลายกระบี่แทงทะลุออกมาที่ด้านหลัง ดังนั้นรูปร่างจึงชัดเจนยิ่ง


นี่คือกระบี่พิเศษเล่มหนึ่ง ปลายกระบี่แยกเป็นง่าม บนง่ามมีลักษณะเหมือนตะขอเบ็ด ตัวดาบก็ไม่เรียบเนียนเช่นกัน แต่มีลักษณะเป็นฟันเลื่อย หากว่าดึกกระบี่นี้ออกมาก็จะดึงเลือดเนื้อส่วนหนึ่งติดมาด้วย ทำให้ร่างกายได้รับความเสียหายถึงสองครั้งสองครา…


————————————————————————————-


บทที่ 698 ข้าไม่ต้องการเจ้า 6


ตี้ฝูอีกำมือแน่น นี่ไม่ใช่กระบี่ธรรมดา แต่เป็นกระบี่ต้องสาป!


ผู้ที่โดนกระบี่นี้แม้ว่าจะถูกแทงเพียงเล็กน้อยทั้งร่างก็จะปวดร้าวอย่างไม่อาจต้านทานได้ ทำให้คนสูญเสียกำลังในการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง กระบี่นี้ไม่นับว่ามีพิษ ทว่าร้ายแรงกว่าพิษเสียอีก มีผลในการดูดกลืนพลังวิญญาณ สามารถดึงพลังวิญญาณบนร่างคนไปอย่างรวดเร็ว…


ดังนั้นจะต้องดึงออกแล้วทำการรักษาให้ทันเวลา


อวิ๋นชิงหลัวยอมสละกระบี่นี้ออกมาเพื่อจัดการสหายร่วมสำนัก ดูเหมือนเจตนาแอบแฝงของนางจะมิได้ง่ายดายปานนั้น…


หากเป็นผู้อื่นที่โดนกระบี้นี้ ตี้ฝูอีไม่จำเป็นต้องใคร่ควรญเลย แค่ดึงกระบี่ออกมาตรงๆ ก็พอ อย่างมากก็เกี่ยวเลือดเนื้อและอวัยวะภายในออกมานิดหน่อย ของเพียงคนไม่ตาย เขาก็มีวิธีรักษาคนให้รอด


แต่ตอนนี้ ตอนนี้เขาทำไม่ลงอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเห็นนางเจ็บปวดจนเหงื่อไหลโชกก็ยิ่งทำไม่ลง…


นอกเสียจากจะใช้วิธีนั้น…


แต่วิธีนั้นยากเกินไปสำหรับเขาในยามนี้ ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็มากมายเกินไป


เป็นครั้งแรกที่ฝ่ามือและปลายจมูกของเขามีเหงื่อผุดพราย


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเรี่ยวแรงในร่างตนคล้ายจะไหลออกไปที่กระบี่ ค่อนข้างวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง


อ้อมกอดของเขาอบอุ่นมาก เพียงแต่เธอไม่อยากให้เขากอด! จึงฝืนความเจ็บปวดไว้แล้วมองเขา “ท่าน…ท่านไม่เข้าใจการผ่าตัด ท่านให้เจ้าสำนักหลงเข้ามาเถอะ เขาเชี่ยวชาญด้านนี้…เขาสามารถ…เขาช่วยดึงกระบี่ออกให้ข้าได้…”


เธอเองก็เป็นหมอ ย่อมทราบดีว่าจุดไหนสำคัญ ตอนเข้าไปช่วยจิ้งจอกน้อยในยามนั้นก็พยายามหลีกเลี่ยงจุดสำคัญแล้ว ถึงแม้เธอจะกล้าสู้ แต่ก็ไม่ได้คิดจะนำชีวิตตัวเองมาล้อเล่นจริงๆ…


กระยี่เล่มนั้นทะลุเริมปอดของเธอ ทำให้ปอดมีแผลเล็กน้อย ตอนนี้เธอรู้สึกว่าหายใจหอบจนไม่กล้าสูดหายใจแล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้คมกระบี่นั้นเสียดสีปอดอีกในระหว่างที่หายใจ หนำซ้ำความเจ็บปวดยังทำให้คนต้องการสูดลมหายใจอย่างยิ่ง เธอทำได้เพียงพยายามควบคุมไว้สุดชีวิต


ความเจ็บนั้นทำให้เธออยากร้องไห้ และทำให้อยากคลั่ง แต่เธอไม่อยากคลั่งต่อหน้าเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเขา


น้ำตาสตรีจะหลั่งให้ผู้ที่ห่วงหามองเท่านั้น แต่คนที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับไม่ใช่…


ขณะที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเส้นประสาททุกเส้นของเธอล้วนตึงเครียด ความตึงเครียดนี้ผนวกกับความเจ็บปวดนั้น ทำให้เหงื่อเธอซึมออกมามากกว่าเดิม


“ให้ข้าเข้าไป! ตี้ฝูอี เจ้าให้ข้าเข้าไปตรวจนางเถอะ!” หลงซือเย่ที่ทุบประตูอยู่ด้านนอกเสียงดังกว่าเดิม


“ท่าน…ท่านให้เขาเข้ามานะ…” กู้ซีจิ่วสูดหายใจตื้นๆ แล้วเอ่ยออกมา พยายามทำให้ตัวเองสงบเยือกเย็น นัยน์ตางดงามคู่นั้นฉายแววสงสัยระคนเดือดดาล “ทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย ท่าน…มิใช่ว่าท่านอยากให้ข้าตายเพื่อ…เพื่อล้างแค้นให้อวิ๋นชิงหลัวกระมัง?”


ข้อนี้เป็นไปได้ที่สุด! ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สนามกีฬาเขาพูดจาหนุนหลังอวิ๋นชิงหลัวอยู่ตลอด ไม่ว่าอวิ๋นชิงหลัวจะยื่นข้อเรียกร้องอะไรเขาล้วนเปลี่ยนลู่ทางเพื่อตอบรับเสมอ


เมื่อกี้ถึงแม้อวิ๋นชิงหลัวจะแทงเธอ แต่เธอก็ถือโอกาสซัดอวิ๋นชิงหลัวไปหนึ่งฝ่ามือเหมือนกัน ต่อให้ซัดไม่โดนหัวใจของอวิ๋นชิงหลัว แต่ก็ทำให้ซี่โครงนางหักไปหลายซี่ อาการบาดเจ็บของอวิ๋นชิงหลัวน่าจะสาหัสมากเป็นแน่…


ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง มองตรงเข้าไปในดวงตาของนาง


นางแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ทว่าในดวงตาคู่นั้นของนางกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังขัดขืน นางถึงขั้นหวาดกลัวเขาอยู่บ้างจริงๆ…


ในใจคล้ายถูกบางอย่างทิ่มแทง เสียดแทงหัวใจ ความเจ็บปวดสายหนึ่งเริ่มแผ่ลามมาจากขั้วหัวใจ


วงแขนเขาโอบล้อมนางไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางที่ชวนให้คนรู้สึกวางใจ แต่ท่าทีของนางกลับเหมือนปลาที่ถูกคนกดไว้บนเขียง และเขาคือคนเชือดสัตว์


เขาอยากรักษานางและต้องการให้เหมาะสมกับนาง แต่ยามนี้หัวใจนางกลับอยู่ในสภาวะต่อต้านขัดขืนถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าไม่เหมาะแล้ว…


“เจ้าคิดว่าที่ข้าช่วยเจ้ากลับมา เพราะต้องการให้เจ้าตายหรือ? ถ้าข้าอยากให้เจ้าตาย จะทำให้ยุ่งยากเช่นนี้หรือ?” เขาลองอธิบายเหตุผลกับนาง


เรื่องที่เขาแค่ยกมือก็สามารถทำได้ต้องทำให้ซับซ้อนเช่นนี้ด้วยหรือ?


บทที่ 699 ข้าไม่ต้องการเจ้า 7


กู้ซีจิ่วเจ็บปวดจนสมองโง่งมไปแล้ว ยามนี้ปฏิเสธที่จะใคร่ครวญ เธอมีแค่ลางสังหรณ์ของเธอ และลางสังหรณ์ของเธอมีสาเหตุมาจากท่าทีบนเวทีก่อนหน้านี้ของตี้ฝูอี…


และจิตใต้สำนึกของเธอก็ไม่ต้องการให้เขาสัมผัสเธอ ดังนั้นเธอจึงหดกายไปด้านหลังเล็กน้อย เนื่องจากนั่งไม่อยู่ มือจึงจับเสาเตียงไว้ พยาพยามจะอยู่ให้ห่างจากอ้อมกอดเขาทีละนิด ห่างไปอีกนิด


ตอนนี้เธอไม่อยากพูดจากับเขาให้มากความ เธอรู้แค่ว่าเธอเจ็บมาก และหลงซือเย่เป็นหมอที่เก่งกาจด้านการผ่าตัดอย่างไร้ผู้ใดเทียม


เธอกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ พยายามใช้คำพูดที่เข้าเค้าขึ้นมาหน่อย “หากท่านหวังดีต่อข้าจริงๆ ก้เชิญเจ้าสำนักหลงเข้ามา เชิญเขาเข้ามา ข้าต้องการเขา…”


นางต้องการเขา นางต้องการหลงซือเย่!


มือของตี้ฝูอีกำแน่นอีกครั้ง นิ่งไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะฉวยโอกาสดึงวิญญาณเจ้าไปคืนชีพให้ซากน้ำแข็งนั้นหรือ?”


“ไม่หรอก เขาไม่ทำหรอก คนที่เขาต้องการคืนชีพให้ก็คือข้า…”


กู้ซีจิ่วไม่อยากต่อความยามสาวความยืดกับเขาต่อแล้ว แทบจะมองเขาอย่างอ้อนวอน “ท่านให้เขาเข้ามาเถอะ…เขามีวิธีรักษาข้า ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…ซีจิ่วกับท่าน…ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ แล้ว และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ท่านจงให้เจ้าสำนักหลงเข้ามา…”


เธอพยายามพูดจาให้สุภาพขึ้นมาหน่อย พยายามมีท่าทีเคารพนบน้อบ “ท่าน…ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ขอท่านโปรดเมตตา…”


ตี้ฝูอีเงียบงัน


ใบหน้าเขาซีดขาวอยู่เบื้องหลังหน้ากาก


ผลักนางออกไปจากข้างกายตนคือสิ่งที่เขาต้องการ ต้องการตัดทางถอยของตนเสีย ทำให้ตนหันกลับไปไม่ได้อีก


เพื่อไม่ให้พัวพันกับความยุ่งยากไม่ชัดเจน ที่จะทำให้ตนและนางต้องเป็นทุกข์


แต่ยามนี้ได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงแล้ว นางไม่ต้องการเขาแล้วจริงๆ มองเขาเหมือนภัยพิบัติร้ายแรง เขาเหมือนกลับไปไต่หน้าสูงหมื่นจั้งด้วยเท้าเดียวอีกครั้ง!


ปรารถนาจะโอบนางไว้ในอ้อมแขนยิ่งนัก ปรารถนาจะบรรเทาความเจ็บปวดบนร่างนางเหลือเกิน ปรารถนาจะปกป้องนางไว้ใต้ปีกตนไม่ให้ถูกลมฝนด้านนอกซัดสาดอีกแล้ว ปรารถนาให้ในใจนางมีเขาเพียงผู้เดียว แต่ไม่ได้แล้ว…


เขาฝืนข่มกลั้นไม่กอดนางต่อ เพียงปกป้องเธออย่างระมัดระวังเท่านั้น อาการบาดเจ็บของนางไม่อาจล่าช้าได้…


ในที่สุดเขาก็ยกมือขึ้นดีดนิ้วคราหนึ่ง แว่วเสียงประตูเปิดออก หลงซือเย่ถลาเข้ามาทันที “ซีจิ่ว…”


ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดหลงซือเย่ก็เข้ามาแล้ว!


ทันทีที่เธอโล่งอก ก็ทรงตัวนั่งไม่อยู่กว่าเดิม เบื้องหน้าพลันมืดมัว ศีรษะเกือบจะทิ่มลงบนพื้น เคราะห์ดีที่ตี้ฝูอีพยุงไว้ทัน ทำให้นางนั่งตรงๆ


“ขอบคุณมาก” ในยามที่จำเป็นกู้ซีจิ่วก็ยังคงกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพและมีมารยาทยิ่งนัก จากนั้นเธอก็จับเสาเตียงพยุงไว้ ออกห่างจากอ้อมแขนเขา


ยามที่หลงซือเย่เข้ามาเห็นฉากนี้ กู้ซีจิ่วที่เลือดท่วมร่างกำลังนั่งหมิ่นๆ อยู่บนเตียง ตี้ฝูอีนั่งอยู่ข้างกายเธอ แขนข้างหนึ่งโอบประคองเธอไว้ เขาสวมหน้ากากไว้ทำให้คนมองไม่เห็นสีหน้าอารมณ์ เห็นเพียงริมฝีปากบางของเขาที่เจือรอยยิ้มไว้เสมอยามนี้กลับเม้มแน่นยิ่งนัก


ส่วนกู้ซีจิ่วใบหน้าน้อยๆ ซีดเซียวอย่างหนัก พอเห็นเขาเข้ามานัยน์ตาเธอพลันทอประกาย มองเขาอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง


ยามที่มนุษย์ป่วยคือช่วงที่อ่อนแอที่สุด ยามที่บาดเจ็บสาหัสย่อมเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุดเช่นกัน ช่วงเวลานี้คนที่เธอที่ปรารถนาจะเห็นที่สุดคือคนผู้นั้นที่เธอไว้ใจที่สุด…


ถึงแม้จะเคยประสบกับการหักหลังของหลงซี ทำให้ความเชื่อใจที่เธอมีต่อเขาลดลงไปมาก แต่อย่างไรเสียความเข้าใจผิดก็คลี่คลายไปเกือบหมดแล้ว ความเชื่อใจที่เธอมีต่อเขาจึงกลับคืนมาครึ่งหนึ่ง หากนำหลงซือเย่กับตี้ฝูอีในยามนี้มาเปรียบเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าเธอไว้ใจหลงซือเย่มากกว่า


ส่วนตี้ฝูอี เธอก็เคยเชื่อใจเขาอยู่บ้างเหมือนกันเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ทำลายความเชื่อใจที่เธอมีต่อเขาแล้ว…


หลงซือเย่ยังไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรตี้ฝูอี ถึงอย่างไรวรยุทธ์ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ก็เหนือกว่าเขามาก ถ้าปะทะกันขึ้นมาจริงๆ คงมีเพียงเขาที่เสียเปรียบ เขากับตี้ฝูอีอาจไม่เป็นไร แต่อาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วกลับล่าช้าไปมากแล้ว


เมื่อหลงซือเย่เข้ามา หัวใจกู้ซีจิ่วก็สงบลงมากเธอหันไปมองตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไม่ว่าด้วยเหตุใดซีจิ่วก็ขอขอบคุณยิ่งนักที่ครานี้ท่านยอมยื่นมือมา ตอนนี้ก็มอบ…มอบเรื่องของซีจิ่วแก่เจ้าสำนักหลงเถิด ท่าน…ท่านโปรดออกไปเสีย อ…อวิ๋นชิงหลัวน่าจะต้องการการรักษาของท่านยิ่ง…”


————————————————————————————-


บทที่ 700 ให้ฉันดูแผลเธอก่อน…


แววตาของนางจริงใจ ท่าทาของนางก็จริงใจ ร่างกายของตี้ฝูอีแข็งทื่อเล็กน้อย หลุบตามองนาง “เจ้าอยากให้ข้าไปดูนางหรือ?” น้ำเสียงคล้ายสะกดกลั้นบางอย่างไว้ แฝงความหม่นหมองไว้รางๆ


ตอนนี้กู้ซีจิ่วเพียงอยากให้เขาจากไป จึงไม่สังเกตเห็นอารมณ์ที่ผันผวนของเขาเลย พยักหน้าทันที “ใช่ ถึงแม้นาง…นางจะลงมืออย่างชั่วร้ายก่อน แต่ด้วยฐานะของท่าน ยามนี้สมควรไปอยู่…ไปอยู่ข้างกายนางจริงๆ…”


ตอนนี้เขาคงจะเป็นคนรักของอวิ๋นชิงหลัวแล้ว เช่นนั้นมิใช่ว่าเขาสมควรไปอยู่ข้างกายอวิ๋นชิงหลัวหรอกหรือ?


ตี้ฝูอีมองนางครู่หนึ่ง “หากว่า…ข้าอยากเฝ้าอยู่ข้างกายเจ้าเล่า?”


กู้ซีจิ่วตะลึง


แววตาเธอเยียบเย็นลง ยิ้มเยาะ “ข้าไม่อยากให้ท่านอยู่ข้างกายข้า!”


คนผู้นี้เมื่อคืนยังอยู่กับอวิ๋นชิงหลัวในเทศกาลความรักอยู่เลย จู๋จี๋กันต่อหน้าเธอ วันนี้ตอนอยู่บนเวทีก็พูดคุยกับอวิ๋นชิงหลัวอยู่ตลอด จู่ๆ เหตุใดยามนี้ถึงได้มาเล่นละครมามีเยื่อใยต่อเธออยู่ที่นี่อีกเล่า? จะเหยียบเรือสองแคมหรือ?


หรือว่าเขาจะคิดแบบเดียวกับผู้ชายส่วนใหญ่ในยุคนี้ ของเพียงเป็นสตรีที่ชมชอบก็จะรั้งไว้ข้างกายทั้งสิ้น คิดจะเปิดฮาเร็มสาวงามหรือ?


หากกล่าวว่าการกระทำทั้งหมดของเขาก่อนหน้านี้เป็นการตบหัวเธอ เช่นนั้นยามนี้คิดจะมาลูบหลังสินะ?


เธอไม่ต้องการ! อย่าว่าแต่เขาจะลูบหลังเธอเลย ต่อให้เขามอบถุงน้ำผึ้งที่หอมหวานให้เธอก็ไม่ยอมรับ!


ความโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นมาในทรวง เธออดไม่ได้ที่จะสูดหายใจถี่ๆ แต่แบบนี้ยิ่งทำให้บาดแผลที่ทรวงอกถูกกระเทือนกว่าเดิม รู้สึกเพียงว่าพลังวิญญาณในร่างเธอไหลออกไปเร็วกว่าเก่า แน่นอนว่าความเจ็บปวดนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวด้วย ทำให้คนเข็มแข็งแบบเธอแทบจะกรีดร้องออกมา!


“เจ้าปล่อยนางซะ!” เห็นชัดว่าหลงซือเย่มองออกว่าอารมณ์ของกู้ซีจิ่วแปรปรวน วาดแขนออกไป ผลักตี้ฝูออกไปทันที


ตี้ฝูอีใจลอยอยู่บ้าง เมื่อถูกเขาผลักก็ซวนเซ ถอยหลังไปหลายก้าว


หลงซือเย่ก็คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จง่ายดายเช่นนี้ ตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็โอบกู้ซีจิ่วเข้ามาไว้ในอ้อมอกทันที


เดิมทีกู้ซีจิ่วก็เจ็บจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว ยามนี้พอเปลี่ยนเป็นหลงซือเย่โอบประคองเธอไว้ เธอย่อมรู้สึกโล่งอก ร่างกายพลันอ่อนยวบ พิงอยู่ในอ้อมอกเขา บ่นพึมพำประโยคหนึ่ง “ครูฝึกหลง ระงับความเจ็บปวดได้หรือเปล่า? ระ…ระงับความเจ็บให้ฉันก่อน…บาดแผลนี้…เจ็บเกินไป เหมือนมีตัวต่อนับไม่ถ้วนต่อยอยู่ข้างในเลย…”


หลงซือเย่กอดเธอแน่น มองดวงหน้าที่แทบชุ่มไปด้วยเหงื่อของเธอ ตอบไปตามสัญชาตญาณ “ได้! ให้ฉันดูแผลเธอก่อน…”


สายตาหันเหไปยังกระบี่ที่เสียบอยู่บนอกเธอ ชะงักไปเล็กน้อย สังเกตดูรูปร่างกระบี่เล่มนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป “ซีจิ่ว ตอนนี้นอกจากเจ็บแล้วเธอยังรู้สึกอะไรอีกไหม?”


ถึงแม้เขาจะพยายามสงบเยือกเย็นสุดความสามารถแล้ว แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่เล็กน้อย


“เจ็บแทบตาย แล้วก็…แล้วก็ไม่มีแรง เรี่ยวแรงทั้งหมดล้วนถูกกระบี่เล่มนี้สูบออกไป รู้สึกคันนิดๆ ด้วย”


ตอนนี้กู้ซีจิ่วเจ็บจนเบื้องหน้ามืดมัวแล้ว ทว่ายังฝืนตอบ


ในอดีตเธอได้รับบาดผลน้อยใหญ่มาไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว อย่าว่าแต่บาดแผลแทงทะลุเลย ต่อให้กระดูกหักก็เคยมาหลายครั้งแล้ว แต่เธอกลับไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน!


ในอดีตต่อให้บาดเจ็บสาหัสเธอก็สามารถแย้มยิ้มดั่งสตรีผู้ห้าวหาญได้ ถูกหลงซีขนานนามว่ากวนอูหญิง


แต่ตอนนี้ความเจ็บปวดนี้ทำให้เธออยากเป็นเหน็บชา อยากหลังน้ำตา อยากพุ่งชนกำแพง อยากฆ่าตัวตายซะ…


นิ้วหลงซือเย่แตะด้านกระบี่เบาๆ เห็นได้ชัดว่าใช้แรงน้อยนิดยิ่ง แต่กู้ซีจิ่วกลับเจ็บจนกายสั่นสะท้าน กันฟันเอ่ยออกมาว่า “อย่าแตะ…”


หลงซือเย่เงยหน้ามองตี้ฝูอีที่ยื่นอยู่ด้านข้างในทันใด สายตาคุกรุ่นดั่งเปลวแพลิง “เป็นกระบี่แฝงอคำสาปหรือหรือ?!”


ตี้ฝูอีพยักหน้า “ใช่!”


หลงซือเย่กำมือแน่น “อวิ๋นชิงหลัวผู้นี้ชั่วช้านัก! นางใช่สานุศิษย์สวรรค์จริงหรือ?”


บทที่ 701 ลิขิตให้ถูกผู้อื่นเหยียดหยามไปชั่วชีวิตใช่ไหม?


ในที่สุดสายตาของตี้ฝูอีก็หันเหมาที่ใบหน้าหลงซือเย่ “ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรใส่ใจที่สุดคือทำอย่างไรถึงจะถอนกระบี่เล่มนี้ได้โดยเร็ว! มิใช่เวลามาซักไซ้เรื่องไร้สาระพวกนั้น! เจ้ามีวิธีหรือไม่?”


ยามนี้เรื่องนี้ถึงจะสำคัญที่สุด เรื่องอื่นล้วนเป็นรองทั้งสิ้น


ช่วยคนก่อนค่อยว่ากันอีกที…


หลงซือเย่หน้าซีด สูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วิธีของข้า…เกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว กระบี่นี้ต้องดึงออกมาภายในครึ่งชั่วยาม…แถมยัง แถมยังใช้ยาชาระงับความเจ็บปวดไม่ได้ด้วย”


ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็มาถึงโลกนี้ยังไม่นานนัก ไม่ทราบว่าสรุปแล้วกระบี่ต้องสาปเล่มนี้เป็นสิ่งของเช่นใด เพียงแต่เมื่อได้ยินบทสนทนาของสองคนนี้เธอก็รู้ว่าผิดปกติแล้ว รีบสอบถามหยกนภาที่อยู่ตรงข้อมือทันที ‘เสี่ยวชาง กระบี่ต้องสาปเล่มนี้คืออะไร?’


หยกนภามีความรู้ทางด้านนี้มากจริงๆ ‘กระบี่ชนิดนี้มิใช่ทั้งทองและเหล็ก มันคือสิ่งที่สร้างจากวัตถุดิบพิเศษบางอย่างหลอมรวมกับคำสาป เมื่อฟันถูกเลือดเนื้อจะทำให้เจ็บปวดมากขึ้นหลายเท่า กระบี่ดูดพลังวิญญาณได้ ผ่านไปครึ่งชั่วยามจะดูดพลังวิญญาณออกไปครึ่งหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะดูดออกไปทั้งหมด บนกระบี่มีซี่หนาม เมื่อถอนออกจะเกี่ยวเลือดเนื้อชีพจร อย่างหนักคือถึงตาย อย่างเบาคือเป็นอัมพาฒ…’


กู้ซีจิ่วตะลึง


จะอย่างไรเธอก็นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงหลัวจะสละกระบี่เล่มนี้ออกมาใช้ในการประลองกับเพื่อนร่วมสำนัก เธอนึกว่าเป็นเพียงกระบี่ธรรมดา แค่มีคมตะขอนิดหน่อย เมื่อดึงออกจะเจ็บมากเท่านั้น ไม่นึกเลยว่า…


เธอเองก็เป็นหมอ ย่อมทราบว่าบาดแผลแทงทะลุไม่อาจทำการผ่าตัดดึงกระบี่ออกมาได้ภายในครึ่งชั่วยาม สามารถถอนออกมาได้ภายในหนึ่งชั่วยามก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นคือยังต้องเตรียมอุปกรณ์ผ่าตัดบางอย่างด้วย…


ถ้าผ่านไปหนึ่งชั่วยามพลังยุทธ์จะสูญสิ้น เช่นนั้นพลังวิญญาณที่เธอฝึกฝนมาอย่างยากลำบากมิใช่การฝึกที่สูญเปล่าหรอกหรือ?!


เบื้องหน้าเธอมืดมัว ความจริงอันโหดร้ายเช่นนี้ต่อให้เป็นเธอ ก็ค่อนข้างรับไม่ไหวอยู่บ้าง


หรือเธอจะถูกชะตาลิขิตให้ต้องเป็นสวะไร้ค่าไปชั่วชีวิตจริงๆ? ลิขิตให้ถูกผู้อื่นเหยียดหยามไปชั่วชีวิตใช่ไหม?


เธอฝืนตั้งสติ ถามหลงซือเย่ “หากว่า…หากว่าถอนออกมาหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะเป็นอย่างไร? ถ้าหากพลังยุทธ์ทั้งหมดหายไปฉันสามารถกลับมาฝึกอีกครั้งได้ไหม?”


นี่คือเรื่องที่เธอกังวลที่สุด เธอใช้เวลาหนึ่งปีเปลี่ยนจากสวะไร้ค่ามาเป็นอัจฉริยะ เช่นนั้นหลักจากเธอหายดีจะฝึกฝนใหม่อีกครั้งก็ได้กระมัง? เธอก็แค่เสียเวลาไปปีเดียวเท่านั้น


หลงซือเย่ชะงักค้าง เขาใจไม่แข็งพอจะบอกความจริงกับเธอ


เนื่องจากบาดแผลจากกระบี่ต้องสาป ถ้าล่วงเลยนไปหนึ่งชั่วยาม คำสาปบนกระบี่จะผนึกชีพจรพลังวิญญาณทั้งร่างของเธอไว้ ชั่วชีวิตนี้เธอจะฝึกฝนไม่ได้อีกแล้ว


หากว่ากระบี่เล่มนี้แค่ฟันจนเป็นแผล มิใช่บาดแผลแทงทะลุ เช่นนั้นอย่างมากคือเจ็บเจียนตาย สูญเสียพลังวิญญาณไปส่วนหนึ่งเท่านั้น


แต่ยามนี้กระบี่เล่มนี้เสียบเข้าไปในร่างเธอ ทะลุอวัยวะภายในของเธอ ประกอบกับซี่หนามเหล่านี้ ทำให้ไม่อาจดึงออกได้ ทำได้เพียงผ่าตัด และต่อให้เป็นการผ่าตัดถ้าต้องการถอนกระบี่ออกมาให้เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง…


หลงซือเย่ทราบนิสัยหยิ่งทะนงไม่ยินยอมล้าหลังผู้อื่นของเธอ แล้วเขาจะหักใจบอกผลลัพธ์เช่นนี้กับเธอได้อย่างไรเล่า?


ไม่เพียงแต่หลงซือเย่ที่แข็งใจกล่าวไม่ลง แม้แต่หยกนภาก็แข็งใจบอกเธอไม่ลงเช่นกัน…


หยกนถาเอ่ยพึมพำอยู่ในสมองกู้ซีจิ่ว ‘หากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ก็คงดี เขามีวิธีถอนดาบออก’


กู้ซีจิ่วเงียบงัน


ไม่มีข่าวคราวของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาสามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่ายามนี้เขาไปจิบชาอยู่ที่ไหน?!


ผู้มีชื่อเสียงท่านนี้หาตัวยากนัก ดังนั้นต่อให้เขามีวิธีทว่าน้ำที่อยู่ไกลก็มิอาจดับความกระหายอันใกล้นี้ได้…


มือเท้าของเธอเย็นเฉียบ ทว่ายังโอบกอดความหวังสายหนึ่งไว้ เอ่ยถามหยกนภา ‘อะไร…วิธีอะไร? เจ้า…เจ้าพูดมา บางทีหลงซือเย่อาจทำได้เหมือนกัน…’


หยกนภาปฏิเสธ ‘หลงซือเย่ไม่มีพลังยุทธ์เช่นนั้น! ต้องใช้วิชากลั่นวิญญาณเพื่อกลั่นกระบี่เล่มนี้ออกโดยตรง จุ๊ๆ อย่างน้อยก็ต้องบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบถึงสามารถควบคุมได้ บนโลกนี้คงจะมีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำได้…’


————————————————————————————-


บทที่ 702 เช่นนั้นสรุปแล้วเขารู้เรื่องเธอมากน้อยแค่ไหนกัน?


กู้ซีจิ่วเศร้าสลด


หรือเธอมีชะตาต้องเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต?


ไม่ว่าเธอจะมุมานะเพียงใดก็ไร้ความหมาย ลำบากลำบนมาหลายสิบปี กลับสูญสลายไปในชั่วข้ามคืน ก็คือคำบรรยายที่แท้จริงที่สุดของเธอในยามนี้


หลงซือเย่ทนเห็นเธอหดหู่ไม่ได้ กุมมือข้างหนึ่งของเธอไว้ “ซีจิ่ว เธออย่าเศร้าไปเลย ก็ไม่ใช่…ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีเลย อย่างมาก…อย่างมากพวกเราก็ละทิ้งร่างนี้ซะ เธอก็รู้นี่ ฉันมีร่างโคลนอยู่ที่นั่น…”


กู้ซีจิ่วตะลึง


เธอนึกถึงดรุณีในโลงน้ำแข็งคนนั้น รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาตามสัญชาตญาณ


ร่างโคลนนิ่งเป็นหนามที่ฝังลึกในใจเธอ เธอรังเกียจคำนี้ตามสัญชาตญาณ ยามนี้สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องกลายเป้นร่างโคลนนิ่งสินะ?


“นางไม่อาจเปลี่ยนร่างได้อีก!” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เอ่ยขึ้นมา บัดนี้เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา “”ถ้าเปลี่ยนร่างอีกวิญญาณนางจะแตกสลาย!


หลงซือเย่หน้าถอดสี “อะ…อะไรนะ?”


“หลงซือเย่ เจ้าก็น่าจะรู้กฎการสิงร่างของโลกนี้ วิญญาณจากภายนอกมิอาจยืมร่างคืนชีพได้ง่ายๆ ยกเว้นนางที่เข้ากับร่างเดิมนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงขั้นที่ว่าร่างนี้ก็คืออดีตชาติของนาง สรุปคือ ผู้ที่สามารถยืมร่างคืนชีพได้ เป็นหมื่นเป็นพันคนก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้สักคน แต่นางกลับประสบความสำเร็จแล้ว นี่ถือว่านางมีโชคมากแล้ว แต่ก็แฝงโชคร้ายไว้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากอย่างไรเสียวิญญาณนางก็มาจากภายนอก ยามที่มันเข้าผสานกับร่างนี้น่าจะผูกพันธะกับร่างนี้ไปด้วย ร่างนี้รองรับมันอย่างสมบูรณ์ แต่ดวงวิญญาณของมันก็ผสานเข้ากับส่วนต่างๆ ของร่างนี้ เชื่อมต่อกันแนบแน่น แยกออกจากกันไม่ได้อีกแล้ว หากแยกออก เช่นนั้นจิตกับวิญญาณจะแยกออกจากกัน นางไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสความเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าจากการที่วิญญาณแยกจากร่างเท่านั้น วิญญาณก็จะกระจัดกระจายไปด้วย ต่อให้เจ้ามีฝีมือสามารถรวบรวมวิญญาณได้ ถ้าต้องการจะประกอบนางให้สมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี อีกทั้งร่างนั้นที่เจ้าสร้างถึงจะดูเข้าตายิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรก็มีข้อบกพร่อง ต่อให้อีกหนึ่งร้อยปีให้หลังนางสามารถสิงสู่ร่างนั้นได้สำเร็จ นางก็ไม่อาจฝึกฝนพลังวิญญาณได้อยู่ดี ยังคงเป็นสวะไร้ค่าที่ดีแต่งดงามเหมือนเดิม ไม่แตกต่างจากร่างในยามนี้เลย!”


ยากนักที่จะได้เห็นตี้ฝูอีพูดมากขนาดนี้ในคราวเดียว แถมเนื้อความทั้งหมดที่พูดออกมาไม่เพียงแต่ทำให้หลงซือเย่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่กู้ซีจิ่วก็ตกตะลึงไปด้วย


ฟังจากคำพูดของตี้ฝูอี เขารู้ว่าเธอยืมศพคืนวิญญาณ! เขารู้ได้ยังไง?


เธอจำได้ว่าตนเคยบอกเรื่องนี้กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และไม่เคยพูดกับคนอื่น กับตี้ฝูอียิ่งไม่เคยพูดมาก่อนเลย…


ในที่ดวงตาของเธอก็มองไปที่ตี้ฝูอี “ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้า…”


“ข้าย่อมรู้!” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเธอ “บนโลกนี้เรื่องที่สามารถซ่อนเร้นจากข้าได้มีอยู่ไม่มาก! โดยเฉพาะเจ้า…”


กู้ซีจิ่วเงียบงัน


เช่นนั้นสรุปแล้วเขารู้เรื่องเธอมากน้อยแค่ไหนกัน?


หลงซือเย่เอ่ยขึ้นมาตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อถ้อยคำเหล่านี้ของเจ้า!”


ตี้ฝูอีมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม “เช่นนั้นเจ้าอยากนำชีวิตนางมาลองดูไหมล่ะ?”


หลงซือเย่เงียบไป สีหน้าเขาซีดเซียว “ร่างนั้นที่ข้าสร้างสมบูรณ์แบบมาก หากคืนชีพให้น่าจะเป็นอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์! แถมค่าดัชนีต่างๆ ก็เสอดคล้องกับซีจิ่ว นาง…”


ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเขาอีกครั้ง “ดังนั้นเจ้ายังอยากลองอยู่?”


หลงซือเย่พูดไม่ออกอีกต่อไป!


ตี้ฝูอีผู้นี้ถึงแม้ปกติจะกระทำการที่ทำให้ผู้คนสับสนงงงวย และส่วนใหญ่ก็กวนประสาทมาก แต่ฝีมือของเขาก็เป็นที่ยอมรับนับถือของทุกคน


นอกจากตัวเขาแล้ว สานุศิษย์สวรรค์ทุกคนล้วนเคยเรียนรู้จากเขามาบ้างไม่มากก็น้อย


ต่อให้เป็นหลงซือเย่เอง ก็เคยร่ำเรียนวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุไม้มาจากตี้ฝูอีเช่นกัน


ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้รู้ศาสตร์ที่ผู้อื่นไม่รู้มากน้อยเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดทราบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)