หมอดูยอดอัจฉริยะ 696-703

 ตอนที่ 696 ปลาใหญ่กินปลาเล็ก

“ขอบคุณอาจารย์ปู่ที่คุ้มครอง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ผมต้องเสียเที่ยว?”


ข้างหลังกระดิ่งซานชิงก็ไม่มีสิ่งของอะไรแล้ว ถ้าหากเยี่ยเทียนเอาของสิ่งนี้ไปไม่ได้ อย่างนั้นการเดินทางของเขาในครั้งนี้นอกจากจะได้ฟังเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยรู้มาก่อนแล้ว ก็คือการได้ทานลูกท้อรสชาติไม่เลวที่เสินหนงเจี้ย(อาณาเขตแห่งเทพกสิกร)


ขณะที่อธิษฐานในใจเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็ยื่นมือขวาออกไป แล้วจับด้ามจับที่อยู่ข้างบนของกระดิ่งนั่น เพียงแต่อีกระยะสิบเซ็นติเมตรกว่าก็จะแตะกระดิ่งได้นั้น พลังแข็งแกร่งที่ไร้ตัวตนกลุ่มหนึ่งก็ดีดมือของเยี่ยเทียนให้กระเด็นออกไป


“ยังไม่ได้อีก?”


ในใจเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความขมขื่น เขาหวังเป็นอย่างมากที่จะหยิบของสิ่งนี้ออกไปให้ได้ แต่วาสนากลับไม่บังเกิด และเกราะป้องกันของกลุ่มพลังที่ไร้รูปไร้สีก็ไม่มีความปราณีให้กับเยี่ยเทียนเลย


“เจ้าหนุ่ม สงสัยวาสนาของเจ้าจะไม่พอ สิ่งของที่นี่ จึงไม่มีอันไหนที่เป็นของผู้อาวุโสของเจ้า!”


หลังจากเห็นการกระทำที่ไร้ผลของเยี่ยเทียน วานรขาวก็หัวเราะขันขึ้นมา ของทุกอย่างที่อยู่ในนี้มันจ้องตาเป็นมันอยากจะได้นานแล้ว แต่กลับทำลายเกราะป้องกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่มองเห็นแต่แตะต้องไม่ได้ ทำให้เจ้าลิงร้อนใจมานับสิบปี


“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเถาวัลย์วิเศษก็งอกออกมาแล้ว ข้ายังต้องเสียพละกำลังอีกมาก” วานรขาวเรียกเยี่ยเทียนเสียงดัง แล้วเดินตรงออกไปข้างนอก


“เดี๋ยวก่อน ผมขอลองอีกครั้ง!”


เยี่ยเทียนไม่ยอม จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปล่อยจิตดั้งเดิมออกมาจากจุดอิ้นถัง กลายเป็นรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง แล้วเข้าไปจับกระดิ่งซานชิงนั่น


“เฮ้ย เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากตายรึไง?!” ตอนที่วานรขาวหันหน้ากลับไปก็มองเห็นภาพนี้เข้าพอดี จึงตกใจจนตาแทบถลนออกมา


เจ้าลิงทำความเข้าใจกับจุดต้องห้ามพวกนี้มานับสิบปี จึงรู้ว่าพวกมันเจอของแข็งจะยิ่งแข็งตอบ และด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้ว เกรงว่าแรงสะเทือนกลับจะสามารถทำให้จิตดั้งเดิมของเขาแตกกระจายได้


แต่ความเร็วของจิตดั้งเดิมหลังจากที่ของออกจากร่าง ทำให้เจ้าลิงห้ามไม่ทัน แล้วฝ่ามือใหญ่ที่หลอมรวมมาจากจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน ก็ได้ปกคลุมกระดิ่งซานชิงขึ้นมา


“เจ้าหนุ่ม ข้าบอกเจ้าแล้วนะ!”


วานรขาวทนดูไม่ได้อีกต่อไป พลางใช้กรงเล็บที่มีขนปุกปุยเต็มทั้งสองข้างบังลูกตาไว้ และด้วยวรยุทธของมัน แค่กล้าปล่อยจิตดั้งเดิมออกมาทีละนิดอย่างช้าๆ เพื่อทำลายจุดต้องห้ามพวกนี้ แต่การกระทำของเยี่ยเทียนกลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ


“เอ๊ะ? นี่…ของสิ่งนี้คือ…ผู้อาวุโสของพวกเราหลงเหลือเอาไว้!”


ทว่าวานรขาวรออยู่นาน ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องอย่างเวทนาของเยี่ยเทียน และดูเหมือนเสียงของกระดิ่งจะดังมาที่ข้างหู เจ้าลิงจึงเอากรงเล็บทั้งสองออกแล้วมองดู จึงพบว่ากระดิ่งซานชิงอันนั้นได้มาอยู่ในมือของเยี่ยเทียนแล้ว


“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


วานรขาวรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก และในขณะนั้นเอง เถาวัลย์ที่อยู่นอกกระท่อมจู่ๆ ก็งอกออกมาอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มกระท่อมหลังนี้อย่างแน่นหนาจนไม่อาจมองเห็นแสงสว่างได้อีก


เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยเทียนหรือวานรขาว ก็ไม่ได้สังเกตเหตุการณ์ที่อยู่ข้างนอก เพราะกระดิ่งซานชิงที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน เวลานี้ได้ปล่อยแสงสีม่วงทองเป็นกระกายออกมา ดูเหมือนจะมาพร้อมกับเสียงของกระดิ่งเบาๆ


“เจ้าหนุ่ม เจ้าหยิบมันได้ยังไง?”


เมื่อเห็นภาพนี้ วานรขาวจึงหายตัวแวบ แล้วมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเยี่ยเทียน มันไม่รอให้เยี่ยเทียนได้ตอบสนอง แล้วกระดิ่งซานชิงนั่นก็ถูกแย่งไปอยู่ในมือของมัน


แต่ที่น่าแปลกก็คือ ตอนที่วานรขาวจับกระดิ่งซานชิง แสงสีม่วงทองเป็นประกายก็พลันหายไป ไม่ต่างจากตอนที่วางอยู่ตรงมุม กลายเป็นความมืดไม่มีแสงแวววาว


วานรขาวตกตะลึง แล้วจึงรีบนำกระดิ่งซานชิงยัดใส่ฝ่ามือของเยี่ยเทียน แล้วเรื่องที่ทำให้มันหงุดหงิดใจก็เกิดขึ้น แสงสีม่วงทองนั่นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“เจ้าจมูกโค ทำไมเจ้าจับได้ แต่ข้าจับไม่ได้?” วานรขาวกระโดดไปมาอยู่กับที่ เนื่องจากตอนนั้นมักจะถูกรังแกจากผู้ฝึกตนที่เข้ามาอยู่ในภูเขาอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเจ้าลิงจึงชอบด่าประโยคนี้เป็นประจำ


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะมันเป็นของของพวกเรากระมัง?” ดวงตาของเยี่ยเทียนเผยความตื่นเต้นดีใจออกมา แต่กลับถูกเขาเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี


เมื่อครู่ตอนที่วานรขาวจะเดินออกไป เยี่ยเทียนได้ปล่อยจิตดั้งเดิมอย่างทุ่มสุดตัว และตอนที่จิตดั้งเดิมสัมผัสกับเกราะป้องกันนั่น จู่ๆ กระดิ่งซานชิงก็เกิดเสียงดังขึ้นมา เดิมทีจุดต้องห้ามที่ล้อมรอบปกคลุมเอาไว้ ก็มลายหายไปในทันที


ขณะเดียวกัน กระดิ่งซานชิงก็เกิดเสียงดังขึ้นมา ทำให้สตินึกรู้ของเยี่ยเทียนปรากฏตัวหนังสือย่อหน้าใหญ่หนึ่งย่อหน้า “หยินสูงสุดคือหก ไฉนจึงเรียกเก้าหยิน ไท่จี๋กำเนิดสองลักษณ์ ฟ้าดินแยกออกจากกัน หยินหกคือสูงสุด ครบเจ็ดกลับคืนสู่หยวนไท่ซู่


ฉ่ายชี่มิใช่ปราณ ปิดปากเปิดตาทั้งสอง ความลึกล้ำอยู่ตรงหน้า พลังเสินก่อเกิดฟ้า จิงชี่คืออวัยวะภายใน น้ำตาคือจิง ดวงตาคือจิง…”


ถึงแม้ในช่วงเวลาที่คับขันแบบนี้เยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่เห็นได้ชัดว่ามีวิธีการฝึกวรยุทธอยู่ในนั้น และการปรากฏตัวของตัวหนังสืออย่างแปลกประหลาดนี้ ก็เหมือนกับตอนที่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์ในตอนนั้น


“ที่แท้ปรมาจารย์ของสำนักเสื้อป่านของฉัน ก็ฝึกบำเพ็ญตบะเหมือนกันเรอะ?”


ขณะที่เยี่ยเทียนตื่นเต้นดีใจ ก็เกิดความเข้าใจบางอย่าง เขาไม่รู้ว่าเป็นผู้อาวุโสคนไหนที่เคยอยู่ที่นี่ และด้วยวาสนากับโชคชะตาที่บังเอิญ ทำให้ตัวเองได้ของชิ้นนี้มา


ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เยี่ยเทียนจับของสิ่งนี้ไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะปราณชีวิตแท้ของเขาสูญสิ้น ทำให้กระดิ่งซานชิงได้รับข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน หลังจากเยี่ยเทียนปล่อยจิตดั้งเดิมออกไป ถึงทำลายจุดต้องห้ามนั้นได้


“ท่านอาวุโส ไม่รู่ว่ากระดิ่งซานชิงนี้ จะหลงเหลือมาจากการต่อสู้ในครั้งนั้นหรือเปล่า?” ด้วยความเมตตาอันใหญ่หลวงของจารย์ปู่ เยี่ยเทียนจึงอยากจะไปกราบไว้หลุมศพของอาจารย์สักครั้ง


“ไม่ใช่ ของสิ่งนี้อยู่ในมือของนายท่านมาตลอด ก่อนที่ท่านจะไปถึงได้วางมันไว้ที่นี่ วรยุทธของเจ้านั้นต่ำมาก ได้ของพวกนี้แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร!”


วานรขาวส่ายหน้า พร้อมกับสายตาที่เป็นประกายไม่หยุด เดิมทีเจ้าลิงก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไร มันคอยเฝ้าดูแลของพวกนี้ด้วยความลำบากลำบนนานนับสิบปี แต่กลับถูกเยี่ยเทียนมาเอาเปรียบไปเสียดื้อๆ


หางตาของเยี่ยเทียนเหลือบมองเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของเจ้าลิง ดวงตาของมันปรากฏแววตาของความอาฆาต ทำให้เขารู้สึกใจสั่นโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงเอ่ยพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ถึงแม้ของสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากอาจารย์ของผม แต่มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์กับผมเท่าไร ถ้าหากท่านชอบ จะเก็บไว้เล่นก็ได้นะครับ?”


วิชาคาถาที่ปรากฏขึ้นอยู่ในหัว คือสิ่งที่เยี่ยเทียนต้องการจริงๆ ต่างหาก เขาไม่อยากให้เป็นเพราะกระดิ่งซานชิงจนมีภัยมาถึงตัว นอกจากนี้รอหลังจากที่ตัวเองฝึกปราณแท้ให้สำเร็จได้อีกขั้น แล้วยังกลัวว่าจะเอาของกลับคืนมาไม่ได้อีกหรือ?


“อย่างนี้จะดีหรือ ถึงยังไงมันก็เป็นของอาจารย์ของเจ้า?”


วานรขาวปากพูดอย่างเกรงใจ แต่กลับรับกระดิ่งซานชิงนั้นมา แล้วสายตาอาฆาตก็หายไปเช่นกัน ในเมื่อเยี่ยเทียนรู้จักกาลเทศะเช่นนี้ เจ้าลิงจึงไม่มีเหตุผลที่จะเป็นคนเลวอีก


“บัดซบเอ้ย วันนี้รังแกข้า วันหน้าข้าจะเอาคืนให้หมด”


เยี่ยเทียนแอบตำหนิอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มออกมาพลางพูด “ถ้าหากท่านผู้อาวุโสสามารถดูออกว่ามาจากสำนักไหน แล้วค่อยเอามาให้ผมก็ได้ครับ!”


“ได้ อย่างนั้นข้าจะเก็บดูแลรักษาให้เจ้าก่อน ไปกันเถอะ พวกเราออกไปข้างนอกกัน!”


วานรขาวเก็บกระดิ่งซานชิงเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่สนใจใยดี สำแดงวิชาสองมือ เพื่อให้เถาวัลย์ที่ปกคลุมกระท่อมไม้หลังนี้ล่าถอยออกไป


หลังจากออกมาจากกระท่อมไม้แล้ว วานรขาวจึงเล่นกระดิ่งซานชิงที่อยู่ในมืออย่างสนุกสนาน มันเคยเห็นผู้ฝึกตนเคยใช้ของขลังมาก่อน และแต่ละอย่างก็มีอานุภาพที่สะเทือนเลื่อนลั่น ดังนั้นเมื่อครู่มันจึงเกิดความคิดอยากจะแย่งชิง


แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าลิงหงุดหงิดก็คือ กระดิ่งอันนี้เป็นเหมือนของตายเวลาที่อยู่ในมือของมัน ถึงแม้จะมีเสียงเวลาที่ส่ายไปมา แต่ก็ไม่มีลักษณะพิเศษของของขลังอะไรเลย


ถึงอย่างไรวานรขาวก็มีอายุหนึ่งร้อยสองร้อยปีแล้ว มันรู้ว่าของขลังพวกนี้จำเป็นต้องหลอมรวมจิตดั้งเดิม จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร จากนั้นก็หันไปมองเยี่ยเทียนพลางพูดว่า “เจ้าหนุ่ม สมุนไพรที่อยู่ในหุบเขา เจ้ายังพอจะเก็บได้บางส่วน ถึงแม้อาจจะไม่สามารถช่วยการรวมตัวในตันเถียนของเจ้าได้ แต่ก็มีประโยชน์มากต่อร่างกายของเจ้า”


เนื่องจากเจ้าลิงก็เหมือนแย่งของมาจากเยี่ยเทียน มันจึงรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง ที่มันพูดแบบนี้ก็เพื่ออยากจะชดเชยให้เยี่ยเทียน ถึงอย่างไรสมุนไพรพวกนี้ก็เป็นของนายท่าน เจ้าลิงก็แค่เอาของเจ้านายมาแสดงความมีน้ำใจก็เท่านั้น


“บัดซบ ทำเป็นตบหัวแล้วลูบหลัง?” มองดูกระดิ่งซานชิงที่อยู่ในมือของวานรขาว หัวใจของเยี่ยเทียนกำลังมีเลือดหยดติ๋งๆ เนื่องจากวรยุทธของเยี่ยเทียนสู้เขาไม่ได้ จึงต้องยอมเสียเปรียบและอดทนเอาไว้


แต่การกระทำของเจ้าลิง ก็ทำให้เยี่ยเทียนยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ปลาใหญ่กินปลาเล็กในโลกของผู้ฝึกตนนั้น ดูเหมือนจะตรงไปตรงมามากกว่าสังคมในยุคปัจจุบัน บางทีก็ใช้กำปั้นแทนการพูดจา


ในเมื่อเจ้าลิงพูดเช่นนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่เกรงใจ หลังจากเก็บลูกท้อกว่าสิบลูกจากบนต้นไม้แล้ว เขาก็ยังขุดสมุนไพรที่ล้ำค่าและหายากอายุนับร้อยปีออกมาจำนวนหนึ่ง


แล้วใส่จนเต็มกระเป๋าเป้ใบหนึ่งที่พกติดตัวมาด้วย เยี่ยเทียนถึงได้หยุดมือ วานรขาวแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


ตอนที่ออกมาจากตลาด ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้ทำผิดพลาดอีก หลังจากนำร่างกายออกมาจากในนั้นแล้ว เขาจึงค่อยเก็บจิตดั้งเดิมกลับไป สักพัก ทั้งคนและวานรก็กลับไปยังถ้ำที่อยู่อาศัยของวานรขาว


“จี จี!”


เพิ่งจะมาถึงหน้าปากถ้ำ แสงสีขาวราวกับสายฟ้าแลบก็แวบผ่านออกมาจากข้างใน คือเหมาโถวที่เยี่ยเทียนให้มันอยู่ที่นี่


ดูเหมือนเมื่อวานวานรขาวจะสอนวิชาอะไรให้มัน ตอนเช้าที่พวกเขาออกไปข้างนอก เหมาโถวก็ได้ดูดซับพลังแห่งฟ้าดินที่อยู่ภายในถ้ำ โดยไม่ได้ตามไปตลาดกับพวกเขา


“แกเป็นเฟอร์เร็ตหรือสุนัขกันแน่? จมูกถึงไวขนาดนี้?”


เมื่อเห็นเหมาโถวขึ้นมาก็คลานไปที่กระเป๋าเป้ที่อยู่ด้านหลังของตัวเอง เยี่ยเทียนจึงอดเยาะเย้ยขึ้นมาไม่ได้ รีบถือกระเป๋าไว้ในมือ หยิบลูกท้อขนาดเท่ากำปั้นออกมาและยื่นให้เหมาโถว


แต่ไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนขี้เหนียว เนื่องจากของที่อยู่ในกระเป๋า ต่อให้ข้างนอกมีเงินก็ซื้อไม่ได้ หากจะถูกเหมาโถวเหยียบย่ำจนสิ้นเปลือง สู้เอาไปให้ศิษย์พี่ใหญ่กลั่นเป็นยาอายุวัฒนะจะดีกว่า เพราะมันมีประโยชน์กับพวกเขาเป็นอย่างมาก


“เจ้าหนุ่ม เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่เถอะ อย่าจับของของข้ามั่วซั่ว แล้วข้าจะส่งเจ้าออกไปตอนเย็น!”


หลังจากส่งเยี่ยเทียนกลับไปแล้ว วานรขาวเหมือนอยากจะฝึกการหลอมรวมเข้ากับกระดิ่งซานชิงนี้ เมื่อพูดกับเยี่ยเทียนหนึ่งประโยคเสร็จ แล้วก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตาเดียว


“บ้าเอ้ย นี่มันสังคมอะไรกัน?”


เมื่อนึกว่าถูกเจ้าลิงปล้นของไป ในใจของเยี่ยเทียนจึงหงุดหงิดจนแทบกระอักเลือด และจากการสัมผัสการขับ เคลื่อนพลังปราณชีวิต เขาจึงรู้ดี ถ้าหากตอนนั้นตัวเองไหวตัวไม่ทัน วานรขาวก็คงคิดจะฆ่าตัวเองเป็นแน่


แต่ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ได้อะไร คาถาที่ปรากฏขึ้นอยู่ในจิตของเขานั้น เป็นวิธีการฝึกวรยุทธบทหนึ่ง ตอนนี้เขาจึงไม่มีเวลามาถือสาเจ้าลิง เมื่อเห็นเจ้าลิงออกไปแล้ว เขาจึงรีบมุดเข้าไปในถ้ำเพื่อทำความเข้าใจ


ตอนที่ 697 บุญสัมพันธ์

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ คลังสมบัติอยู่ในหัวของฉันมาโดยตลอดหรอกหรือ?”


หลังจากนั่งเซ็งอยู่ในถ้ำสองชั่วโมงกว่า ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา และก็เป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้ คาถาที่ปรากฏอยู่ในจิต คือวิชาที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่านั่นเอง


วิชานี้ไม่ได้มาจากกระดิ่งซานชิงและเข้าสู่จิตของเขา แต่มาจากการถ่ายทอดวิชาที่มีอยู่ในหัวของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านั้นวรยุทธของเขายังไม่ถึง ทำให้วิชานี้ถูกผนึกเอาไว้


ตอนที่เยี่ยเทียนหยิบกระดิ่งซานชิงขึ้นมา เสียงของกระดิ่งได้เกิดการตอบสนองกับจิตดั้งเดิมของเขา ก็ไม่รู้ว่าคาถาถูกเปิดออกได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นก็คือ วิชานี้มากพอที่จะแก้ไขปัญหาปราณชีวิตแท้ของเขาได้


จากเคล็ดวิชาทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่า หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียน มนุษย์ต้องเปลี่ยนจากการฝึกร่างกายกลายมาเป็นฝึกพลังจิตแทน และลักษณะที่สำคัญของจิตดั้งเดิมก็ไกลเกินกว่าการฝึกกายเนื้ออยู่มากนัก


เยี่ยเทียนต้องรอหลังจากที่จิตดั้งเดิมแข็งแกร่งมากพอ สร้างเส้นลมปราณภายในร่างกายใหม่แล้วค่อยฝึกตัน เถียน ถึงตอนนั้นก็จะฝึกปราณแท้ออกมาได้เอง ตอนนั้นก็จะทำให้เยี่ยเทียนได้เข้าสู่ระดับเซียนอย่างแท้จริง


ขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับวิชาที่อยู่ในจิต เยี่ยเทียนได้นั่งหันหน้าไปทางทิศเหนือโดยหันหลังให้ทางทิศใต้ นั่งสมาธิในรูปดอกบัว ตั้งจิตแน่วแน่ แล้วจิตดั้งเดิมที่เป็นกลุ่มก้อนสะเปะสะปะก็ออกจากจุดอิ้นถัง และตั้งอยู่เหนือศีรษะของเยียเทียนไปสามฟุต


“ความหมายกว้าง หลักการล้ำลึก เกิดความสราญรมย์ที่ลึกซึ้งและยาวไกล ฟ้าดินแยกกัน สรรพสิ่งในฟ้าดินนั้นไซร้ ประกอบด้วยหยินและหยาง เหตุและผลแห่งการเปลี่ยนแปลง ลางเป็นตายปรากฏ พบร่องรอยโดยมิต้องเสาะแสวง ปรากฏโดยมิต้องนัดหมาย…”


การเดินวรยุทธวิชาเซียนเทียนของอาจารย์ ทำให้จิตดั้งเดิมที่อยู่เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็กลายเป็นหลุมดำ แล้วพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินที่เต็มเปี่ยมภายในถ้ำแห่งนี้ก็ถูกจิตดั้งเดิมดูดซับแล้วกรูเกรียวเข้าไปราวกับฝูงผึ้งในทันทีทันใด


“สบายจริงๆ!” หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เยี่ยเทียนจึงลืมตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความปลื้มใจเป็นอย่างมาก


ครั้งนั้นตอนที่อยู่ฮ่องกง จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนดูดซับปราณวิเศษเข้าไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว ทำให้เขาไม่รู้สึกอะไร


แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนได้ดูดซับพลังปราณชีวิตเข้าไปในขณะที่มีสติอยู่ ราวกับว่าเขาได้กินโสมเข้าไปก็ไม่ปาน รูขุมขนหนึ่งแสนแปดหมื่นทั่วร่างกายเหมือนจะแผ่ขยายออกไปอย่างสบายตัว


เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าจิตดั้งเดิมของเขากระชับแน่นมากขึ้น เขาเชื่อว่า ขอเพียงได้ดูดซับปราณวิเศษอย่างเต็มที่ ใช้เวลาไม่ถึงสามปี เขาจะต้องตื่นรู้และเข้าสู่ระดับของการถอดจิตออกจากร่างได้อย่างแน่นอน


ความจริงการฝึกฝนวิชาที่ดีที่สุด ก็คือตอนที่อยู่ในตลาดนั่น ภายในมีพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินที่มีคุณภาพคับแน่น อย่างน้อยก็ทำให้เยี่ยเทียนสามารถย่นระยะเวลาในการสร้างจิตแห่งหยางไปกว่าครึ่ง


เพียงแต่หลังจากที่วานรขาวแย่งกระดิ่งซานชิงไป เยี่ยเทียนก็ล้มเลิกความคิดนี้ เพราะในโลกของการบำเพ็ญตนจะให้ความเคารพกับคนที่มีศักยภาพมากกว่า ถ้าหากเจ้าลิงนั่นเห็นวรยุทธของตัวเองบรรลุไปอีกขั้นอย่างกะทันหัน ไม่แน่อาจจะเกิดความคิดมิดีมิร้ายอะไรอีกก็เป็นได้


เมื่อคิดดูแล้ว เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า “ช่างเถอะ กลับฮ่องกงดีกว่า ถึงแม้จะสู้ที่นี่ไม่ได้ แต่ถ้าสละเวลาให้มากกว่านี้ ก็ต้องฝึกจิตดั้งเดิมให้ดีได้อย่างแน่นอน”


“จี…จี !”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะเข้าสู่การฝึกฝนอีกครั้ง เหมาโถวก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา พลางกระโดดมาอยู่ตรงหน้าของ เยี่ยเทียนแล้วใช้กรงเล็บโบกไปมาไม่หยุด เหมือนกำลังประท้วงอะไรสักอย่าง


“แกโทษฉัน ที่ฉันแย่งปราณวิเศษของแกเรอะ?”


ถึงแม้เหมาโถวจะพูดไม่ได้ แต่พออยู่ด้วยกันมานาน เยี่ยเทียนจึงเข้าใจความหมายของมันเป็นธรรมดา เมื่อครู่ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดูดซับปราณวิเศษอยู่เขาก็รู้สึกว่า ความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษของเหมาโถว เร็วกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า


“จี จี!” เหมาโถวใช้กรงเล็บชี้ไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน ซึ่งมีความหมายชัดเจนมาก มันอยากให้ เยี่ยเทียนชดใช้ที่มันเสียขวัญไปเมื่อครู่


“บ้าเอ้ย พวกแกแต่ละตัวเจ้าเล่ห์กันจริงๆ!”


เยี่ยเทียนสบถด่าออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วในหัวก็คิดได้จึงพูดว่า “เหมาโถว แกให้เจ้าลิงนั่นพาแกไปที่ที่หนึ่ง ที่นั่นมีลูกท้อเซียนเต็มไปหมด แกอยากกินเท่าไรก็กินเท่านั้น!”


เยี่ยเทียนมองออก บางทีพวกมันก็เป็นปีศาจเหมือนกัน ถึงแม้วานรขาวจะมีท่าทีไม่ยินดียินร้ายกับเขา แต่ก็ปฏิบัติต่อเหมาโถวไม่เลวเหมือนกัน นอกจากนี้ในเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) นี้ นอกจากวานรขาวแล้ว ก็ไม่เห็นสัตว์ที่สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้สักตัว


“จี จี?” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ดวงตาของเหมาโถวก็สว่างขึ้นทันที แล้วมุมปากของมัน ก็มีน้ำลายไหลออกมา


“แกนี่มันตะกละจริงๆ พอแล้ว ฉันจะฝึกวิชาอีกหน่อย แกอย่ามารบกวนฉันนะ!” เยี่ยเทียนจับลำคอของมันอย่างไม่ใยดี แล้วโยนมันออกไปนอกถ้ำ


แต่เยี่ยเทียนไม่ได้ฝึกวิชาต่อหรอก ทว่าเขาพยายามทำความเข้าใจในแต่ละประโยคของวิชาบทนั้นต่างหาก


การฝึกวรยุทธจะรีบร้อนไม่ได้ และถ้าหากถูกวานรขาวมาเห็นเข้า มันจะต้องรู้แน่นอนว่าตัวเองได้ของดีมา ขนาดจิตใจคนเรานั้นยังคาดเดายาก แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่ไม่ใช่พวกเดียวกันกับเขา ใครจะรู้ว่าเจ้าลิงนั่นจะเกิดความอา ฆาตขึ้นมาอีกเมื่อไร?


วิชาที่อยู่ในจิตดูเหมือนจะมีความลึกล้ำอยู่มาก และเยี่ยเทียนก็สามารถทำความเข้าใจได้น้อยจริงๆ พอนั่งสมาธิ เขาก็นำพลังจิตตกอยู่ในห้วงนั้นทันที


เมื่อเยี่ยเทียนลืมตาอีกครั้ง เขาพบว่าวานรขาวกลับเข้ามาในถ้ำตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และกำลังมองดูตัวเองด้วยความประหลาดใจและสงสัยไม่หยุด


“ท่านผู้อาวุโส พอจะรู้สรรพคุณของกระดิ่งซานชิงนั่นหรือยังครับ?” เยี่ยเทียนแอบเสียใจ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาไม่น่าจะทุ่มเทมากเกินไป หรือว่าเจ้าลิงจะมองเห็นเบาะแสอะไรออกแล้ว?


“ของสิ่งนี้มันเป็นของที่ตกทอดมา เกรงว่านอกจากคนในสำนักเดียวกันของพวกเจ้าแล้ว คนอื่นไม่มีทางใช้ได้!”


วานรขาวถลึงตาใส่เยี่ยเทียน แล้วโยนกระดิ่งซานชิงนั่นไปที่ข้างตัวเยี่ยเทียนอย่างไม่สบอารมณ์ พลางพูด “เอาของคืนเจ้าก็แล้วกัน ข้าเห็นว่าเจ้าก็มีวาสนาไม่น้อย ต่อไปถ้าหากเจ้าสามารถบรรลุระดับเซียนขั้นปลายได้ อย่าลืมกลั่นยาวิเศษมาให้ข้านะ!”


หลังจากฝึกวรยุทธจนถึงระดับเซียนเทียนขั้นปลาย จะสามารถสร้างเพลิงแท้ก่อกำเนิดได้ ซึ่งมีเพียงพวกมนุษย์เท่านั้นที่มี


ถึงแม้วรยุทธของเจ้าลิงจะบรรลุขั้นแล้ว แต่ถ้าไม่มีเพลิงแท้ก่อกำเนิด ก็ไม่อาจกลั่นยาวิเศษได้ จึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เยี่ยเทียน ไม่อย่างนั้นแม้ว่ากระดิ่งซานชิงจะไม่มีประโยชน์กับมันก็ตาม แต่มันก็ไม่มีทางคืนเยี่ยเทียนได้อย่างง่ายดายหรอก


เพียงแต่วานรขาวไม่รู้ว่า การกระทำของมันได้สร้างบุญสัมพันธ์ที่ดีให้กับตัวเอง สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายถึงชีวิตของตัวเองในภายภาคหน้าได้ และด้วยเหตุและผลนี้ถึงทำให้คนเราได้อยู่ดีกินดีมีความสุข ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ


“คืนผม?”


เยี่ยเทียนตกใจกับพฤติกรรมของวานรขาวมาก แล้วจึงหยิบกระดิ่งซานชิงมาไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่กล้าใช้พลังจิตแทรกเข้าไป เพราะกลัวว่ากระดิ่งซานชิงจะเกิดความผิดปกติ แล้วกระตุ้นอารมณ์ของวานรขาวอีกครั้ง


“จำคำพูดของเจ้าก่อนหน้านี้ได้ก็พอ”


เมื่อของล้ำค่ามาอยู่ในมือตัวเองแต่กลับใช้การไม่ได้ เวลานี้วานรขาวจึงรู้สึกกลัดกลุ้มผิดปกติ แล้วพูดว่า “ข้าจะส่งเจ้าออกจากภูเขา อ้อใช่ เหล้าที่เจ้ารับปากข้าอย่าลืมเสียละ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปก่อความวุ่นวายที่เจ้า!”


“ขอบคุณผู้อาวุโสครับ ท่านวางใจได้ หลังจากผมออกจากภูเขาแล้ว จะเอาเหล้าดีมาให้ท่านแน่นอน!”


เยี่ยเทียนลุกขึ้น แล้วจึงโค้งคำนับให้วานรขาวอย่างสุดซึ้ง ครั้งนี้เขาทำด้วยความจริงใจ โอกาสในการเดินทางครั้งนี้ หนีไม่พ้นที่ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าลิงอย่างแท้จริง


ทันใดนั้นวานรขาวก็ชี้ไปที่เหมาโถว “แล้วก็ เจ้าไปได้ แต่มันต้องอยู่ที่นี่!”


“จี…จี จี!”


หลังจากได้ยินคำพูดของวานรขาว เหมาโถวก็ไม่ฟัง รีบส่งเสียงร้องออกมาจากปากทันที จากนั้นก็กระโดดพรวดราวสายฟ้าแลบไปอยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียน พลางเอาตัวรัดพันไปที่ลำคอของเยี่ยเทียนอย่างแนบชิด


ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เหมาโถวก็เห็นเยี่ยเทียนเป็นสิ่งแรก ในใจของมันจึงนับเยี่ยเทียนเป็นเหมือนพ่อแม่ของมันไปนานแล้ว ถึงแม้มันจะสนิทกับวานรขาว แต่ก็ไม่อยากแยกจากเยี่ยเทียนอยู่ดี


“เขาเป็นคน ส่วนเจ้าเป็นปีศาจ อยู่กับเขาไม่มีอนาคตหรอก!”


วานรขาวถลึงตาใส่เหมาโถว แล้วพูดต่อ “เจ้าฝึกฝนวิชาอยู่ในภูเขากับข้า ข้าจะได้มีเพื่อน และยังสามารถแนะนำเจ้าได้ อาศัยอยู่ในภูเขาสบายจะตาย ดีกว่าอยู่กับเขาอีกนะ?”


วานรขาวถือได้ว่าเป็นห่วงโซ่อาหารสูงสุดในเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) แต่มันก็ไม่สามารถผ่อนคลายความเหงาที่ไม่มีพวกเดียวกันอยู่ด้วยได้จริงๆ


และถึงแม้เหมาโถวจะไม่ได้อยู่ตระกูลเดียวกับวานรขาว แต่มันมีอายุมาเกือบหนึ่งร้อยสองร้อยปีแล้วก็เพิ่งเคยเห็นสัตว์ที่สามารถบำเพ็ญตบะได้ ดังนั้นวานรขาวจึงให้ความสำคัญกับมัน


“จี จี!” เหมาโถวยื่นศีรษะที่ซุกอยู่ในขนออกมา


พูดตามจริง คำพูดของวานรขาวมีแรงดึงดูดมันพอสมควร เพราะในเมืองใหญ่แบบนั้นไม่เหมาะให้สัตว์อยู่อาศัยจริงๆ แต่พอมองเยี่ยเทียนอีกที เหมาโถวจึงส่ายหัวเล็กๆ ยืนกรานอย่างหนัก


“เหมาโถว แกอยู่ที่นี่เถอะ แล้วฉันจะมาเยี่ยมแกบ่อยๆ!”


เยี่ยเทียนเอามือลูบไล้ไปที่ตัวของมันอย่างแผ่วเบา เขารู้ว่าวานรขาวพูดถูก เหมาโถวอยู่กับเขา สู้อยู่กับวานรขาวจะดีกว่า ไม่แน่สักวันหนึ่ง มันก็อาจจะฝึกเข้าสู่ขั้นเดียวกับวานรขาวก็เป็นได้


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเสียดาย แต่ก็ไม่อยากให้เหมาโถวต้องเสียเวลา บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสของเหมาโถวก็ได้?


“จี จี!” เหมาโถวส่งเสียงร้องไห้เศร้าใจออกมา พร้อมกับสีหน้าอาลัยอาวรณ์ มันมีสติปัญญานานแล้ว แน่นอนจึงรู้ว่าการเลือกแบบนั้นคือทำถูกแล้ว


“พอแล้ว อย่าทำแบบนี้เลย” เยี่ยเทียนใช้มือขยี้ไปที่ศีรษะของเหมาโถวเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่อยู่ของท่านผู้อาวุโสมีของกินอร่อยมากมายนะ”


“จี จี!” พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ ดวงตาของเหมาโถวจึงสว่างขึ้นมาทันที หลังจากเอียงศีรษะน้อยๆ อยู่นาน สุดท้ายมันจึงพยักหน้า


“ของพวกนั้นล้วนเป็นของข้า!”


วานรขาวขึงตาใส่เยี่ยเทียน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มันจึงพูดกับเหมาโถวอย่างด้วยความโกรธ “ของที่ข้าไม่ให้เจ้าแตะ เจ้าห้ามแตะต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้านายท่านกลับมา พวกเราสองคนก็ซวยกันหมด!”


ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่วานรขาวก็ตั้งใจเอาไว้แล้ว หากสติปัญญาของเหมาโถวยังไม่สมบูรณ์ มันจะไม่พาเจ้านี่เข้าไปในตลาดอย่างแน่นอน


“จี จี!” เหมาโถวพยักหน้าหงึกๆ แต่ดวงตาของมันกลับหมุนติ้ว ไม่รู้ว่ามันแอบคิดแผนอะไรไว้กันแน่


เมื่อเห็นสอง “คน” ตกลงเงื่อนไขกันเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ต้องรบกวนให้ท่านส่งผมออกไปข้างนอกด้วยครับ!”


“ไปกันเถอะ!” วานรขาวเดินไปข้างนอกถ้ำ และมันก็เดินวรยุทธต่อหน้าเยี่ยเทียนโดยไม่ได้ปิดบังอะไร จากนั้นปราณแท้ยาวประมาณสิบฟุตกลุ่มหนึ่งก็พันรอบตัวของมันขึ้นมา


แล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปที่ใต้ซี่โครงของเยี่ยเทียน แต่ก็ไม่เห็นวานรขาวกระทำการใดๆ เยี่ยเทียนรู้สึกเพียงว่าร่างกายเบาหวิว แล้วทั้งตัวก็ลอยอยู่กลางอากาศ


ทั้งๆ ที่เป็นลมแรงปะทะหน้าเหมือนกัน แต่กลับพัดจนเยี่ยเทียนลืมตาไม่ขึ้น หลังจากผ่านไปประมาณสิบถึงยี่สิบนาที เท้าของเยี่ยเทียนก็หย่อนลง แล้วจึงเหยียบลงบนพื้นดิน


พอวางเยี่ยเทียนลง วานรขาวจึงพูดว่า “ตรงนี้ห่างจากภูเขาเพียงสิบกว่ากิโลเมตร ถึงเวลาเจ้าก็เอาเหล้ามาวางไว้ที่นี่ แล้วข้าจะมารับเอง!”


“พรุ่งนี้เวลาเดิม ผมจะเอาเหล้ามาให้ท่านครับ!”


เยี่ยเทียนมองเหมาโถวที่ยืนอยู่บนไหล่ของวานรขาวอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “ถึงตอนนั้นท่านผู้อาวุโสช่วยพาเหมาโถวมาด้วยนะครับ!”


ตอนที่ 698 เข้าฝัน

ฟาร์มของเหล่าฉีมีบังกะโลทั้งหมดหกหลัง พวกเขาสองสามีภรรยาอาศัยอยู่หนึ่งหลัง เอาไว้เก็บของเบ็ดเตล็ดสองหลัง ห้องครัวหนึ่งหลัง และอีกสองหลังก็หลือไว้ให้ลูกที่ไปโรงเรียนกับนักท่องเที่ยวปีนเขาพวกนั้น


เวลานี้โจวเซี่ยวเทียนก็พักอยู่ในบังกะโลที่อยู่ค่อนไปทางประตูหน้าลานบ้าน เพียงแต่ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว เขายังนอนไม่หลับ เพราะในใจยังคงเป็นห่วงเยี่ยเทียน


เมื่อหลับไปอย่างงุนงง หลังจากฟื้นขึ้นมาเขาก็เห็นกระดาษข้อความที่อาจารย์ทิ้งไว้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนกำชับให้เขารออยู่ที่นี่ เกรงว่าโจวเซี่ยวเทียนคงจะย้ายกำลังคนเข้าไปตามหาตัวในภูเขาตั้งแต่เช้าแล้ว


“หืม? มีคนมา?”


ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนกำลังนอนพลิกตัวไปมา จู่ๆ หูของเขาก็ขยับเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงรั้วตรงประตูลานบ้าน จากนั้นสุนัขท้องถิ่นที่เหล่าฉีเลี้ยงไว้ก็ส่งเสียงร้องครวญคราง


“อาจารย์ อา…อาจารย์กลับมาแล้ว?”


ไม่ทันรอให้โจวเซี่ยวเทียนลงจากเตียง ประตูห้องของเขาก็ถูกผลักออกมาจากข้างนอก โจวเซี่ยวเทียนจ้องมอง แล้วใบหน้าก็เผยความดีใจเป็นบ้าเป็นหลังออกมาทันที จากนั้นก็รีบไปอยู่ข้างกายของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว “อาจารย์ อาจารย์ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ผมตกใจหมดเลย!”


ถึงแม้จะมีอายุอานามเท่าๆ กัน และยังแสดงท่าทีเป็นผู้ใหญ่มากต่อคนภายนอก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็ทำตัวเหมือนเป็นเด็กโข่ง ขณะที่พูดจาก็ยังมีเบ้าตาแดงไปด้วย


“ฉันจะเป็นอะไรได้ นายก็ ทำไมทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงเลย?”


เมื่อเห็นลูกศิษย์แสดงออกด้วยความจริงใจเช่นนี้ ในใจของเยี่ยเทียนจึงรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย จากนั้นจึงยื่นมือหยิบลูกท้อจากกระเป๋าหนึ่งลูกแล้วโยนออกไปทันที พลางพูด “กินมันซะ จากนั้นก็ไปนั่งสมาธิโคจรลมปราณ!”


โจวเซี่ยวเทียนตกตะลึง หลังจากรับมาแล้ว จึงเอ่ยถามว่า “ฤดูนี้ไปเอาลูกท้อมาจากไหนครับ?”


หลักการที่ว่าลูกท้อสามปีออกผล ต้นพลัมสี่ปีออกผลนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็เข้าใจอยู่ เมื่อเห็นว่าย่างเข้าเดือนธันวาคมแล้ว แม้แต่ลูกท้อที่อยู่ในเพิงก็ไม่มี ทว่าลูกท้อนี้มองดูแล้วก็เหมือนเพิ่งจะเก็บมาใหม่ๆ ซึ่งมันไม่น่าจะถูกหลักการเสียเท่าไร


“ถามอะไรมากมาย ให้นายกินก็กินไปเถอะน่า!” เยี่ยเทียนถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดว่า “รีบกินแล้วก็ไปนั่งโคจรลมปราณ ฉันยังมีเรื่องที่จะให้นายทำอีก!”


“แหม ผมกินก็ได้ครับ”


เมื่อเห็นอาจารย์โมโห โจวเซี่ยเทียนจึงรีบกัดลูกท้ออย่างรวดเร็ว น้ำหวานๆ ไหลลงสู้ท้อง จากนั้นท้องน้อยของเขาก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา


สามารถอาศัยวิชาที่ไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดมาจากตระกูลแล้วฝึกให้กลายเป็นพลังเปิดได้ ถือว่าโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ใช่คนโง่เหมือนกัน หลังจากที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายแล้ว เขาก็ไม่ถามอะไรอีก รีบนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณอยู่บนเตียง


ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในป่าท้อนี้ สามารถใช้ร่างกายดูดซับได้โดยตรง หลังจากโคจรลมปราณแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ บวกกับสีหน้าที่เหลือเชื่อ


“อาจารย์ ผม…ผมเข้าสู่ขอบเขตสุดยอดของพลังแฝงแล้ว นั่นมันคือลูกท้ออะไรครับ?”


สามารถฟังออกได้ว่า โจวเซี่ยวเทียนพยายามข่มความรู้สึกตื่นเต้นดีใจของตัวเองอยู่ จากนั้นจึงรีบลงมาจากเตียงหยิบเมล็ดลูกท้อที่ตัวเองเพิ่งจะทิ้งนำมาพลิกดูไปมาอยู่ในมือ


“ไม่สามารถเข้าสู่ขั้นหลอมกายสู่จิต?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงผิดหวังเล็กน้อย โจวเซี่ยวเทียนเข้าสู่พลังแฝงมาสองปีแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าอาศัยเพียงปราณวิเศษที่แฝงเร้นอยู่ในลูกท้อ ก็สามารถทำให้โจวเซี่ยวเทียนบรรลุด่านนี้ไปได้


โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ไม่ครับ แต่ผมรู้สึกว่าจะสามารถบรรลุได้ทุกเมื่อนะครับ อาจารย์ ลูกท้อนี้เอามาจากที่ไหนกันแน่ครับ?”


โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้โชคดีโดยบังเอิญเหมือนเยี่ยเทียน ทำให้วรยุทธของเขาหยุดอยู่ที่ระดับการฝึกกายให้เป็นปราณมาตลอด


จากการคำนวณของเขาแล้ว ภายในระยะเวลาสิบปีสามารถเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตได้ก็ไม่เลวแล้ว แต่แค่ลูกท้อเพียงลูกเดียว กลับทำให้เขาประหยัดเวลาการฝึกฝนไปสิบปี โจวเซี่ยวเทียนจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก


“อ้อใช่ อาจารย์ครับ เหมาโถวล่ะ? ทำไมไม่เห็นมันเลย?” ตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนเพิ่งพบว่า เหมาโถวที่ติดเยี่ยเทียนเป็นเงาตามตัวมาตลอดไม่ได้อยู่ข้างกายของเขา


ถึงแม้เจ้าตัวเล็กจะซุกซนไปบ้าง แต่มันก็เข้าใจนิสัยของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นโจวเซี่ยวเทียนหรือครอบครัวตระกูลเยี่ย ต่างก็รักและโปรดปรานมันเป็นอย่างมาก


“เรื่องนี้ค่อยเล่าให้นายฟังทีหลัง”


เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า “ตอนนี้นายรีบออกจากภูเขา แล้วขับรถเข้าไปในเขตเมือง ซื้อเหล้าชั้นดีที่พอจะซื้อได้มาให้หมด จากนั้นก็จ้างคนให้ขนเข้ามาในภูเขา!”


เรื่องที่รับปากวานรขาว เยี่ยเทียนจึงต้องจัดการให้เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถือว่าเจ้าลิงก็เป็นตัวเริ่มที่ทำให้เขาเข้าสู่ระดับของการฝึกบำเพ็ญตบะ ถ้าหากไม่รู้จักมัน เกรงว่าเยี่ยเทียนยังคงจะเป็นกบในกะลาครอบเหมือนอย่างทุกวันนี้


“ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”


โจวเซี่ยวเทียนมีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องที่เยี่ยเทียนไม่พูด เขาก็จะไม่ซักถามเด็ดขาด จากนั้นจึงสะพายกระเป๋าเป้ทันที หลังจากบอกลาเยี่ยเทียนแล้วจึงเดินออกไปนอกภูเขา


หลังจากโจวเซี่ยเทียนออกไป เยี่ยเทียนก็กลับไปนั่งทำสมาธิที่ห้อง แล้วทำตามวิธีการฝึกฝนของจิตดั้งเดิม


พอได้รู้จักวานรขาวแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกถึงความเล็กกระจิดริดของตัวเอง เขาไม่เคยเจอยอดฝีมือมาก่อน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าแค่เพียงนิ้วเดียวก็สามารถกดเขาให้อยู่หมัดแล้ว


ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเร่งรีบอยากจะแข็งแกร่งให้เร็วขึ้นกว่าสิ่งอื่นใด และถ้าเป็นไปตามที่วานรขาวพูด หากสามารถฝึกถึงระดับเซียนขั้นปลายได้ อย่างน้อยก็จะมีอายุขัยถึงสามร้อยปี สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเป็นสิ่งที่ดึงดูดมาก


พลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินไหลเข้าสู่จิตดั้งเดิมที่อยู่เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนไม่ขาดสาย ไม่ช้าเขาก็เข้าสู่การเข้าฌานระดับลึก จนกระทั่งฟ้าสาง เสียงไก่ตัวผู้ในลานบ้านร้องขัน เยี่ยเทียนจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ


“ปราณวิเศษน้อยเกินไป ไม่แปลกใจเลยที่ไม่เห็นผู้ฝึกตนสักคนบนโลกใบนี้?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจนใจ เขานั่งขัดสมาธิโคจรลมปรารมาเจ็ดแปดชั่วโมง ผลลัพธ์ยังสู้ตอนที่ฝึกวรยุทธอยู่ในถ้ำของวานรขาวไม่ได้ ดูเหมือนจิตดั้งเดิมจะไม่มีการพัฒนาขึ้นเลย


ตรงนี้อยู่ในตำแหน่งของภูเขาลูกใหญ่ ปราณวิเศษจึงเข้มข้นกว่าในเมืองเป็นร้อยเท่า ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ก็ยังไม่พอให้เยี่ยเทียนใช้ฝึกวรยุทธ


“เอ๊ะ? น้อง..น้องเยี่ย คุณ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”


เยี่ยเทียนเดินออกมาจากประตู แล้วจึงเจอกับเหล่าฉีที่ตื่นแต่เช้าตรู่พอดี ทำให้เหล่าฉีตกใจมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะฟ้าสว่างแล้ว เขาคิดว่าคงจะเห็นผีจริงๆ


เยี่ยเทียนยิ้มพูด “กลับมาเมื่อคืนครับ พวกคุณพักผ่อนกันหมดแล้ว ผมจึงไม่อยากรบกวนครับ”


“แล้วเสี่ยวโจวล่ะ?” เหล่าฉีชะโงกศีรษะมองเข้าไปในลานบ้าน


“ลงจากภูเขาไปแล้วครับ”


เยี่ยเทียนกดเสียงพูดให้ต่ำลง พร้อมกับแสดงสีหน้าลึกลับออกมา พลางพูด “เหล่าฉี ตอนที่ผมอยู่ในภูเขาผมเจอเทพเซียนเข้าฝัน เทพเซียนบอกว่าอยากดื่มเหล้า ดังนั้นผมจึงให้เซี่ยวเทียนลงจากภูเขาไปซื้อเหล้าครับ!”


เยี่ยเทียนกลัวว่าโจวเซี่ยวเทียนเมื่อเอาเหล้าเข้ามาในภูเขาแล้วจะพูดไม่ถูก เขาจึงกุเรื่องขึ้นมาดื้อๆ ถึงอย่างไรเหล่าฉีก็เคยกล่าวคำสาบานกับเทพพยาดาที่อยู่ในภูเขามาก่อน หากพูดแบบนี้เขาจะยอมรับและเข้าใจง่าย


“เทพ..เทพเซียนเข้าฝัน?”


เหล่าฉีตะลึงกับคำพูดของเยี่ยเทียน ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินคำเล่าขานที่อยู่ในภูเขามาบ้าง แต่พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดเท่านั้น ก็รู้สึกเหมือนฟังนิทานพันหนึ่งราตรีก็ไม่ปาน


“ใช่แล้ว อาจจะเป็นเพราะนิทานที่คุณพูดก็ได้” เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดว่า “ถึงยังไงผมก็พอมีเงิน พวกเราก็ขอพรเพื่อความสบายใจก็แล้วกันดีไหม?”


“ใช่ ใช่ จะผิดใจกับเทพเซียนไม่ได้ น้องเยี่ย คุณทำธุระของคุณไปนะ ฉันจะไปให้อาหารหมูแล้ว!”


เหล่าฉีถูกเยี่ยเทียนพูดใส่จนงง ตอนที่เขาเดินไปที่ลานหลังบ้าน ก็เดินสะดุดก้อนหินจนล้มลงไป


“เหล่าฉีคนนี้ เป็นคนตลกจริงๆ!” มองดูเหล่าฉีคลานลุกขึ้นมา พร้อมกับในปากที่ยังบ่นพึมพำว่าเทพเซียนเข้าฝันไปด้วย ทำเอาเยี่ยเทียนได้ยินจนกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้


ตลอดทั้งวัน เหล่าฉีสองสามีภรรยาต่างมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาที่แปลกประหลาด จนกระทั่งเวลาพลบค่ำ หลังจากที่โจวเซี่ยวเทียนพาคนจำนวนสามสิบกว่าคนเข้ามาในภูเขาแล้ว เหล่าฉีถึงได้เชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน


“เฮ้ นายซื้อเหล้าไปเท่าไรกัน?”


เมื่อเห็นคนสามสิบคนนั้นหาบเหล้ามาคนละสามสี่ลัง คราวนี้เยี่ยเทียนถึงกับงงมาก ต่อให้เป็นหกขวดต่อหนึ่งลัง ทว่าทั้งหมดก็มีมากถึงเจ็ดแปดร้อยขวด ถ้าวานรขาวดื่มวันละสองขวดก็มากพอที่จะให้มันดื่มได้เป็นปีเลยทีเดียว


“อาจารย์ ผมซื้อเหล้าดีมาจากในเมืองตามที่อาจารย์บอกแล้วครับ!”


โจวเซี่ยวเทียนพูดอย่างละอายนิดหน่อย “ในเมืองนี้มีเหล้าเหมาไถกับอู่เหลียงเย่ไม่มาก จึงหามาได้สองสามลัง ส่วนอย่างอื่นก็มีเหล้าหลูโจวเหล่าเจี้ยนกับเจียนหนานชุน และจ่ายเงินไปทั้งหมดสามแสนกว่าหยวนครับ”


โจวเซี่ยวเทียนเข้าไปในเขตเมืองตั้งแต่เช้า เที่ยวเคาะประตูร้านขายส่งเหล้าบุหรี่รายใหญ่ของแต่ละเขต เขาเหมาเหล้าทั้งระดับกลางและระดับสูงที่อยู่ในร้านใหญ่ๆ จนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ถ้าหากหาคนที่เต็มใจยอมขนย้ายเข้ามาในภูเขาไม่เจอ คาดว่าจำนวนน่าจะมีมากกว่านี้


“ตกลง เอาไปวางในลานบ้านก่อน!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าด้วยความขมขื่น หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เยี่ยเทียนคงจะให้เขาซื้อเอ้อร์กัวโถวมาเลยจะดีกว่า เพราะหลังจากที่เอาเหล้าดีเหล่านี้มาเลี้ยงวานรขาวคนเคยตัว ไม่แน่คงจะต้องเอามาส่งแบบนี้ทุกปีเป็นแน่


หลังจากรอให้โจวเซี่ยวเทียนจ่ายเงินให้กับคนงานขนของเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงมองไปที่เหล่าฉีที่กำลังอึ้งอ้าปากค้าง พลางยิ้มพูด “เหล่าฉี คุณชอบดื่มแบบไหน มาเลือกเอาไปไว้ในบ้านสักสองสามลังสิ ส่วนอย่างอื่นผมจะเอาเข้าไปส่งในภูเขาเย็นๆ หน่อย!”


“ไม่…ไม่ เหล้าที่ให้เทพเซียน ผมจะกล้าดื่มได้ยังไง?” เหล่าฉีรีบโบกมือเป็นพัลวัน พร้อมกับตกใจจนหน้าขาวซีด


“มีเทพเซียนจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้”


เยี่ยเทียนจึงพูดว่า “เหล่าฉี เดี๋ยวคุณช่วยผม เอาเหล้าเข้าไปส่งด้วย แล้วอีกสองสามวันคุณค่อยเข้าไปดูอีกที ถ้าหากเหล้าไม่หายไป คุณก็ขนกลับบ้านได้เลย!”


เมื่อไม่มีคนนอก โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่กลัวที่จะทำให้เหล่าฉีตกใจ จากนั้นจึงมัดลังเหล้ายี่สิบลังเข้าด้วยกัน ต้องเดินไปกลับสี่ห้ารอบ ถึงได้นำเหล้าไปส่งตามตำแหน่งที่เยี่ยเทียนระบุไว้ การเดินกลับไปกลับมาแบบนี้ เกือบจะเดินกันถึงดึกดื่นเที่ยงคืน


“ไม่เลว ถือว่าเจ้ายังมีคุณธรรมนะ” แสงสีขาวผ่านแวบหนึ่ง แล้วเหล่าฉีกับโจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่ข้างกองลังเหล้าก็สลบไปทันที จากนั้นวานรขาวก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเยี่ยเทียน


วานรขาวมองดูเหล้าขาวเหล้านั้นทีละลัง แล้วจึงเกาหน้าเกาแก้มด้วยความดีใจ แต่ก่อนมันได้แต่ขโมยเหล้าที่อยู่รอบๆ หมู่บ้านเท่านั้น ทว่าตอนนี้มันรู้สึกตื่นเต้นดีใจจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว


“จี จี!” เหมาโถวกระโดดลงมาจากไหล่ของวานรขาว แล้วกระโจนไปอยู่ที่ไหล่ของเยี่ยเทียน พลางใช้กรงเล็บเกาไปที่เส้นผมของเยี่ยเทียนอย่างอาลัยอาวรณ์


“ท่านผู้อาวุโส รบกวนท่านช่วยดูแลเหมาโถวให้ดีด้วยนะครับ วันนี้ของปีหน้า ผมจะเอาเหล้ามาส่งให้อีก!” เยี่ยเทียนโค้งคำนับให้วานรขาวอย่างเต็มที่


ความสนใจของวานรขาวล้วนอยู่ที่เหล้าทั้งหมด มันจึงโบกมืออย่างรำคาญแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ มันแข็งแกร่งกว่าข้าและเจ้ามากนัก!”


เหล้ามากมายขนาดนี้ ต่อให้เป็นความสามารถของวานรขาว ก็ต้องขนไปขนมาสามรอบ ตอนที่ใกล้จะจากกัน เหมาโถวก็แอบยัดเหอโส่วอูที่มีอายุเกือบร้อยปีหนึ่งก้านใส่ในมือของเยี่ยเทียน


ตอนที่ 699 หยกดำ

“อาจารย์ครับ อาจารย์ขำอะไร? สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


เยี่ยเทียนอาจารย์และลูกศิษย์ได้ออกมาจากเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) แล้ว เวลานี้กำลังอยู่บนทางด่วนเพื่อกลับปักกิ่ง เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจของโจวเซี่ยวเทียนจึงรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นที่สุด


ได้พบกับยอดฝีมือถึงสองครั้ง แต่กลับถูกทำให้หลับจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เสียแรงที่เขาอุตส่าห์ซื้อเหล้ามาจากข้างนอกแล้วขนเข้าไปในภูเขา แต่ยอดฝีมือผู้นั้นกลับไม่ไว้หน้าเขาเลย


“เซี่ยวเทียน รอให้นายบรรลุขั้นการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้ว ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้นายฟัง รู้เร็วเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก!”


เยี่ยเทียนหยุดหัวเราะ ตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนยังฝึกไม่ถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต หากพูดเรื่องนี้เกรงว่าจะเร็วเกินไป นอกจากนี้ถ้าหากเขารู้ว่ายอดฝีมือไม่ได้มีเพียงวานรขาวเพียงตัวเดียว จึงกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ


เมื่อนึกถึงสภาพของเหล่าฉีกับโจวเซี่ยวเทียนที่ฟื้นขึ้นมาจากตอนที่หลับไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ตอนที่ทั้งสองคนเห็นลังเหล้านับสิบลังหายไปทั้งหมด สีหน้าที่ปรากฏบนใบหน้านั้นมีสีสันมากมายจริงๆ


ตอนนั้นเหล่าฉีถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นในทันที ปากก็ตะโกนว่าเทพเซียนสำแดงฤทธิ์แล้ว และยังบอกให้เทพเซียนช่วยคุ้มครองลูกชายให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ให้ได้อีกด้วย ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ลากเขากลับมา ไม่แน่ว่าเหล่าฉีอาจจะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นทั้งวันเป็นแน่


ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ได้พูดว่าตอนนั้นเขาก็หลับไปด้วย เกรงว่าเหล่าฉีคงจะกราบไหว้และมองเยี่ยเทียนเป็นดั่งเทพเซียนเช่นกัน


แต่พอลองนึกดูแล้ว เหล้าเจ็ดแปดร้อยขวดนั่นสามารถหายไปภายในระยะเวาอันสั้นโดยไม่เหลือสักขวด ในสายตาของคนธรรมดา ก็คงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะมีความสามารถเช่นนี้


เพียงแต่เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงว่า การมาเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) ของเขาในครั้งนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่มากกว่านั้น โจวเซี่ยวเทียนกว้านซื้อเหล้าระดับกลางและระดับสูงในเขตเมืองทั้งหมดภายในวันเดียว ทำให้เมืองเล็กๆ ยากที่จะหาเหล้าดีๆ มาดื่มได้


และเรื่องที่มีเซียนสุราอยู่ในภูเขา ก็ถูกเหล่าฉีประกาศออกไป ทำให้หมู่บ้านสองสามแห่งที่อยู่โดยรอบเกิดความโกลาหล ทันใดนั้นทุกคนต่างก็เข้าไปในภูเขาพร้อมกับนำเหล้าสองสามขวดติดตัวไปด้วย เพื่อขอให้เทพเซียนคุ้มครอง


แล้วประเพณีนี้ก็ถูกรักษาเอาไว้ ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเทศกาลนี้ แต่ละบ้านก็จะนำเหล้าหนึ่งขวดมาถวายไว้นอกประตูบ้าน


ทว่าก็มีอยู่สองสามครั้งที่เหล้านั้นหายไปจริง ทำให้คนเหล่านั้นคิดว่าเทพเซียนปรากฏตัว แต่กลับไม่รู้ว่าวานรขาวดื่มเหล้าชั้นดีของเยี่ยเทียนจนเคยชิน จึงไม่สนใจเหล้าพวกนั้นไปนานแล้ว


จนกระทั่งเทศกาลตรุษจีนในปีหนึ่ง คนในหมู่บ้านพบว่า เหล้าที่พวกเขานำมาถวายทุกปี กลับถูกพวกคนเสเพลในหมู่บ้านขโมยไป แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในภายหลัง


หลังจากสองวันให้หลัง อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองก็กลับมาถึงเรือนสี่ประสานในปักกิ่ง ซ่งเวยหลันเห็นลูกชายกลับมาแล้วจึงดีใจไม่หยุด ทั้งบ้านก็เกิดความครึกครื้นขึ้นมาในทันที


……


“เยี่ยเทียน เป็นอะไร? กลับมาครั้งนี้ดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือว่าข้างนอก…”


เยี่ยเทียนกลับมาถึงบ้านวันศุกร์พอดี อวี๋ชิงหย่าหยุดทำงานวันเสาร์ จึงได้อยู่ในบ้านเป็นเพื่อนเธอพอดี แต่อวี๋ชิงหย่าที่เป็นคนละเอียดกลับพบว่าสามีของตัวเองดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรไม่หยุด


“อย่าคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก” เยี่ยเทียนเคาะศีรษะของอวี๋ชิงหย่าไปหนึ่งที แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราออกไปเดินเล่นที่ลานบ้านกัน…”


ถึงแม้จะกลับมาบ้านเพียงหนึ่งวัน แต่เยี่ยเทียนก็ไม่อาจทนรับปราณวิเศษที่อยู่ในเรือนสี่ประสานอันน้อยนิดนี้ได้ ถ้าหากอยู่ที่นี่ต่อไปจริงๆ ไม่รู้ว่าปีไหนเขาถึงจะฝึกจิตดั้งเดิมให้เป็นรูปเป็นร่างได้


เช้าตรู่วันนี้ เยี่ยเทียนให้โจวเซี่ยวเทียนรีบนำลูกท้อที่เหลือสองสามลูกกับสมุนไพรไปที่ฮ่องกง ของพวกนี้คนธรรม ดาทั่วไปไม่สามารถรับได้ แต่ถ้าเป็นศิษย์พี่สองสามคนนั้นถือว่าเป็นยาบำรุงขนานใหญ่ของการยืดอายุขัยเป็นอย่างมาก


อวี๋ชิงหย่าคล้องแขนของสามี เดินมาในลานบ้านที่มีใบไม้เฉาและเหลืองร่วงหล่นหมดแล้ว จากนั้นเธอจึงพูดเบาๆ ว่า “เยี่ยเทียน นายอยากออกไปข้างนอกอีกใช่ไหม?”


“เปล่าเสียหน่อย!”


เยี่ยเทียนรีบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด พลางแอบสังเกตสีหน้าของภรรยา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ชิงหย่า พวกเราย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงกันเถอะ ที่นั่นมีบ้านหลังใหญ่ ปล่อยทิ้งไว้เปล่าๆ ก็สิ้นเปลืองนะ?”


ถึงแม้ค่ายกลรวมพลังที่ฮ่องกงจะสู้ในตลาดของเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) ไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าเรือนสี่ประสานในปักกิ่งนี้หลายเท่าตัว หากอาศัยอยู่ที่นั่นสักสามปี เยี่ยเทียนมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถฝึกวรยุทธเข้าสู่ระดับเซียนได้


“เยี่ยเทียน ฉันยังอยากทำงานอีกหลายปี” อวี๋ชิงหย่าก้มหน้าลงพลางพูด “อายุยังน้อยมัวแต่อยู่ในบ้านทั้งวี่ทั้งวัน มันจะเบื่อเอาได้ ฉันยังไม่อยากเป็นแม่บ้านเต็มตัว!”


“ได้ อย่างนั้นฉันจะอยู่ที่ปักกิ่งเป็นเพื่อนเธอ!”


เยี่ยเทียนถอนหายใจเล็กน้อย ยังไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่แต่งงานแล้ว เขาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาน้อยมาก ยิ่งตอนที่เดินทางไปอเมริกา ก็ทำให้อวี๋ชิงหย่าต้องอกสั่นขวัญแขวน เยี่ยเทียนจึงรู้สึกละอายใจมาก


“ไม่ต้อง เยี่ยเทียน นายไปทำสิ่งที่นายอยากทำ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก!”


อวี๋ชิงหย่าเอียงศีรษะซบไปที่อ้อมอกของเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “ขอเพียงไม่ทำเรื่องที่อันตรายแบบนั้นอีกก็พอ พอถึงวันหยุดฉันจะบินไปหานายที่ฮ่องกงก็ได้!”


“เรื่องพวกนี้ค่อยว่ากันทีหลัง อีกสองเดือนก็ถึงวันตรุษจีนแล้ว ผ่านวันตรุษจีนไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน เอ๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


เมื่อเดินมาถึงสระน้ำที่อยู่ตรงกลางลานบ้านแล้วนั่งลง เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้วขึ้นมา พลางครุ่นคิดขณะมองไปยังสระน้ำที่ตัวเองเหยียบอยู่


ถึงแม้เดือนพฤศจิกายนของเมืองปักกิ่งจะหนาวมากแล้ว แต่เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนก็ยังหลงเหลือพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินอยู่บ้าง แต่พอเดินไปที่ข้างสระน้ำ แม้แต่เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกหนาวสั่น


เมื่อเห็นสายตาของสามีจ้องมองไปบนผิวน้ำ อวี๋ชิงหย่าจึงพูดว่า “เยี่ยเทียน ไม่รู้ว่าสระน้ำนี้เกิดอะไรขึ้น ขนาดหน้าร้อนน้ำในสระก็ยังเย็นมาก เวลานั่งข้างสระก็จะรู้สึกหนาว!”


“หน้าร้อนก็ยังหนาว?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง เหมือนจะนึกอะไรออก จึงถอดถุงเท้ากับรองเท้าทันที ยื่นเท้าลงไปเหยียบในสระน้ำ


การกระทำของเยี่ยเทียนทำให้อวี๋ชิงหย่าตกใจ เธอจึงรีบพูด “เยี่ยเทียน นายทำอะไร? อากาศมันหนาวมาก แผลของนายยังไม่หายดี ระวังจะเป็นหวัดนะ!”


“ไม่เป็นไร สระน้ำนี้ไม่ลึกมาก ฉันขอหาของนิดหน่อย!” เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วเดินไปกลางสระน้ำ ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังจิตออกมา และเริ่มค้นหาสิ่งของภายในน้ำ


“เพราะเจ้าสิ่งนี้จริงๆ ด้วย!”


เมื่อใช้พลังจิตในการหาของ ต่อให้เป็นเข็มเล่มเดียวในสระน้ำ เยี่ยเทียนก็สามารถหาเจอ ตอนที่เห็นหินหยกดำนั่นผสมปนเปอยู่กับก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ในน้ำ เยี่ยเทียนจึงเข้าใจทันที


หยกดำนี้มีความหนาขนาดเท่านิ้วมือ เป็นของที่มังกรดำมอบให้เยี่ยเทียนตอนที่อยู่ภูเขาฉางไป๋ซาน


ตอนนั้นนอกจากความรู้สึกเย็นเยียบสุดขีดของก้อนหินก้อนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อย่างอื่นเท่าไร ต่อมาเหมาโถวมันชอบ เยี่ยเทียนจึงมอบให้มัน และจำได้ว่าเหมาโถวได้ทิ้งก้อนหินลงไปในสระน้ำ


ขณะนั้นเยี่ยเทียนมีปราณชีวิตแท้ปกป้องร่างกายอยู่ จึงเกือบแข็งตายเพราะความหนาวเย็นของหินหยกดำนี้ ทว่าตอนนี้ปราณชีวิตแท้ไม่มีแล้ว เขาจึงไม่กล้าวู่วาม จึงใช้พลังจิตห่อหุ้มมือขวา หยิบหยกดำมาอยู่ในมือ


“หืม? แปลกจัง ทำไมถึงรู้สึกอบอุ่นมาก?”


ตอนที่พลังจิตสัมผัสก้อนหินลูกนี้ จู่ๆ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็แปลกประหลาดมาก เพราะว่าตอนนั้นหูหงเต๋อเกือบจะแข็งตายเพราะหินหยกดำนี้ แต่ว่ามันกลับมีสายใยของความอบอุ่น ส่งผ่านเข้าไปในจิตดั้งเดิมของเขา


หลังจากที่ดูดซับพลังชีวิตที่ไม่รู้ว่ามีลักษณะเป็นแบบไหนเข้าไปแล้ว จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นกระฉับ กระเฉงขึ้นมา ราวกับเด็กที่ชอบกินยาที่เห็นเป็นของชอบก็ไม่ปาน และไม่ยอมปล่อยมือ


“ชิงหย่า ฉันจะเก็บตัวนั่งสมาธิที่เรือนด้านหลังสักพัก ตอนกลางวันไม่ต้องเรียกฉันทานข้าวนะ!” เยี่ยเทียนไม่สน ใจที่จะอธิบายให้ภรรยาแล้ว จากนั้นจึงรีบกระโดดออกมาจากสระน้ำ ไม่สวมแม้แต่รองเท้า แล้ววิ่งเข้าไปที่เรือนด้านหลัง


หลังจากกลับมายังห้องหนังสือในเรือนด้านหลังแล้ว เยี่ยเทียนก็ปิดประตูสนิท แบฝ่ามือออก พยายามพินิจพิ เคราะห์หยกดำที่อยู่ในมืออย่างละเอียด ทว่าระหว่างนี้ จิตดั้งเดิมของเขาก็ยังได้รับพลังงานบางอย่างที่มาจากก้อนหินนั่นตลอดเวลา


“ปราณวิเศษ ต้องเป็นปราณวิเศษแน่นอน และยังบริสุทธิ์ลึกล้ำกว่าพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดิน!”


หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏสีหน้าตื่นเต้นระคนความดีใจออกมา เขาสามารถสัมผัสได้ หลังจากที่ดูดซับพลังงานเหล่านี้แล้ว ดูเหมือนจิตดั้งเดิมจะกระชับแน่นมากขึ้น เพียงระยะเวลาสั้นๆ สองสามนาที ก็ไม่อาจเทียบกับเวลาที่เขาลำบากฝึกฝนมาหลายวัน


“นี่มันคืออะไรกันแน่?”


นอกเหนือจากความดีใจแล้ว เยี่ยเทียนก็เกิดข้อสงสัยเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อน นอกจากพลังชีวิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกแล้ว ยังสามารถดูดซับปราณวิเศษจากก้อนหินนี้ได้ และปราณวิเศษนี้ยังบริสุทธิ์มากกว่าพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินเสียอีก


“เยี่ยเทียน นายนั่งสมาธิเสร็จหรือยัง? ข้างนอกมีคนมาหานาย!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเดินพลังยุทธหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า โดยใช้หินหยกดำในการฝึกฝนนั้น เสียงของอวี๋ชิงหย่ากลับดังมาจากนอกหน้าต่าง


“ใครกัน? ชิงหย่า ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ว่างไม่ใช่เหรอ?”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ พลางลุกขึ้นด้วยความจนใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ทำไมผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้นถึงหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาและแม่น้ำสายใหญ่ เพราะบนโลกมนุษย์ ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้จริงๆ


อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย ถ้าหากเมื่อครู่เยี่ยเทียนปล่อยจิตดั้งเดิมออกมาและฝึกถึงขั้นตอนสำคัญ แล้วได้ยินเสียงของอวี๋ชิงหย่าแบบนี้ ไม่แน่อาจจะทำให้เขาบาดเจ็บก็เป็นได้


“ชิงหย่า ใครมาหาฉันเหรอ?” เยี่ยเทียนตัดความคิดที่จะฝึกฝนต่อ แล้วจึงผลักประตูห้องออกมา


“เยี่ยเทียน ขอโทษนะ พ่อของฉันมาหา แถมเขายังพาใครมาอีกคน ดูเหมือนจะแซ่จู้?” อวี๋ชิงหย่าพูดด้วยความรู้สึกขอโทษ


“จู้เหวยเฟิงเหรอ?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน แล้วสบถด่าออกมาอย่างไม่พอใจ “ตาคนนี้ ทำไมถึงเป็นแขกของพ่อได้? คิดว่าฉันเยี่ยเทียนนิสัยดีนักหรือไง?”


“เยี่ยเทียน อย่าโกรธเลย ยังไงก็ต้องไว้หน้าพ่อของฉันหน่อย” อวี๋ชิงหย่าแลบลิ้นออกมา พลางดึงแขนของเยี่ยเทียนเบาๆ


เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้ ไป พวกเราออกไปเจอพวกเขากันหน่อย”


“พ่อครับ พ่อมาปักกิ่งไม่เห็นบอกกันสักคำ ผมกับชิงหย่าจะได้ไปรับคุณครับ!”


เมื่อเดินมาถึงเซียงฝาง (เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก) ที่อยู่ตรงกลางลานบ้าน เยี่ยเทียนก็เห็นอวี๋เฮ่าหรานและคนอื่นๆ นอกจากพ่อตากับจู้เหวยเฟิงแล้ว ต่งเซิงไห่ก็มาด้วย โดยมีเยี่ยตงผิงให้การต้อนรับทักทายอยู่พอดี


“แค่กๆ เยี่ยเทียน ฉันไปรับลุงอวี๋มาเอง” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมองตัวเองกับต่งเซิงไห่เป็นอากาศ จู้เหวยเฟิงจึงยิ้มแหยๆ อยู่บ้าง


ก่อนหน้านั้นเขาได้ยินว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บ จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่จึงอยากจะมาเยี่ยม แต่ถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธ ทั้งสองคนรู้ว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักมาก คงไม่น่าจะมาร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินที่ประเทศไทยได้ ดังนั้นหลายวันก่อนจึงไม่ได้ไปหาเยี่ยเทียนอีก


แต่ถังเหวินหย่วนกลับเผลอพูดออกมา ทำให้จู้เหวยเฟิงรู้ว่าอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนหายดีเกือบหมดแล้ว ดังนั้นพวกพี่ชายเหล่านี้จึงเกิดความคิดขึ้นมา หลังจากโทรติดต่ออยู่หลายสายแต่กลับถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธ พวกเขาจึงเดินทางมาที่เรือนสี่ประสานในปักกิ่งอยู่หลายครั้งหลายครา


เพียงแต่เมื่อสองสามวันก่อนเยี่ยเทียนเดินทางไปที่เสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) พอดี แต่จู้เหวยเฟิงกลับคิดว่าเยี่ยเทียนกำลังหลบเขา ดังนั้นเขาจึงใช้เส้นสายนิดหน่อยแล้วพูดให้อวี๋เฮ่าหรานใจอ่อน หลังจากนั้นถึงได้มีคนสองสามคนมาหาถึงที่บ้าน


ตอนที่ 700 ขอเตือน

“เสี่ยวเทียน เสี่ยวจู้มาหานายสองสามครั้งแล้ว มัวแต่หลบอย่างเดียวก็ไม่ถูก แบบนี้ไม่มีมารยาทเกินไป!”


เมื่อเห็นสีหน้าเก้ๆ กังๆ ของจู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ อวี๋เฮ่าหรานจึงช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้ทั้งสองคน เขาเป็นผู้ให้วิชาความรู้กับเยี่ยเทียนตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็เป็นพ่อตาของเขาอีก ดังนั้นการพูดจาจึงไม่ต้องเกรงใจมากนัก


“พ่อครับ ทำไมผมต้องหลบพวกเขาด้วย?” เยี่ยเทียนเบ้ปาก แล้วพูดว่า “สองสามวันก่อนผมออกไปข้างนอก ไม่ได้อยู่บ้าน ใครบอกให้พวกเขามาไม่ถูกจังหวะล่ะ!”


เยี่ยเทียนรู้ดี สำหรับจุดประสงค์ในการมาของจู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ แต่ทว่าเมื่อก่อนเขาได้พูดจาแย่ๆ ไว้ก่อนแล้ว ทั้งสองคนไม่ฟัง และเยี่ยเทียนก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น


“พวกเรามาผิดเวลาเองครับ ท่านเยี่ย ท่าน…คิดว่าพวกเราควรไปคุยกันที่อื่นได้ไหมครับ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่จึงรีบยิ้มขอโทษ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่มีอำนาจในสมาคมหง เหมิน แต่ตามลำดับอาวุโสแล้ว ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้


“เยี่ยเทียน ฉันผิดเอง ฉันขอโทษนายด้วยนะ!”


จู้เหวยเฟิงก็ประสานมือคารวะเยี่ยเทียนยกใหญ่ พวกเขามาหาเยี่ยเทียนกี่ครั้งก็ไม่ได้เจอหน้า และรู้ว่าความสัม พันธ์ของเยี่ยเทียนกับตระกูลซ่งไม่ดีเท่าไร พอดีเขาได้รู้จักกับอวี๋เฮ่าหรานโดยบังเอิญ จึงถือวิสาสะใช้ความสัมพันธ์นี้


แต่พออวี๋เฮ่าหรานเห็นภาพนี้กลับงงเป็นไก่ตาแตก ถึงแม้เขาจะทำธุรกิจใหญ่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างจู้เหวยเฟิง ส่วนใหญ่ก็จะมองเขาเป็นเหมือนตู้เอทีเอ็ม จึงไม่มีความรู้สึกมั่นใจเลยสักนิด


แต่คนอย่างจู้เหวยเฟิง กลับทำท่าทีแบบนี้กับเยี่ยเทียน จึงทำให้อวี๋เฮ่าหรานรู้สึกประหลาดใจมาก หากรู้ว่าลูกเขยเก่งขนาดนี้ ตัวเองจะไปสนใจคนพวกนั้นทำไม?


อวี๋เฮ่าหรานรู้เรื่องคุณตาของเยี่ยเทียน และเขาก็รู้ถึงความไม่สามัคคีปรองดองของตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งเช่น กัน ดังนั้นเยี่ยเทียนไม่มีทางใช้หน้าตาของตระกูลซ่งมาโอ้อวดต่อผู้อื่นแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงทำให้เขาตกตะลึงเช่นนี้


เยี่ยเทียนไม่อยากให้พ่อตารู้เรื่องที่ตัวเองไปชกมวยใต้ดิน จึงรีบพูดว่า “พ่อครับ พ่อไปพักผ่อนก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาทานข้าวด้วยกัน ผมมีเรื่องต้องคุยกับพวกเขานิดหน่อยครับ”


“ได้ พวกนายไปเถอะ!” อวี๋เฮ่าหรานพยักหน้าหงึกๆ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง


ตอนแรกได้ยินว่าลูกสาวกับเยี่ยเทียนคบกัน อวี๋เฮ่าหรานไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็เห็นแก่หน้าเพื่อนเก่า ถึงได้ตกลง จวบจนวันนี้ ระดับที่เยี่ยเทียนอยู่นั้น แม้แต่เขาก็ยังมองไม่ชัดเจน


“ตอนนี้พวกคุณสองคนเก่งมากนักเหรอ?”


หลังจากเดินมาถึงเซียงฝาง (เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก) ที่อยู่ตรงลานหน้าบ้าน เยี่ยเทียนจึงมีสีหน้านิ่งขรึมทันที แล้วมองจู้เหวยเฟิงอย่างไม่เป็นมิตรพร้อมกับพูดว่า “นายนี่เก่งนักนะ ถึงมาหาพ่อตาของผมได้ คราวหน้าถ้าหาผมไม่เจอ คงไม่ลักพาตัวครอบครัวของผมเลยเรอะ?”


เรื่องของยุทธภพก็คือเรื่องของยุทธภพ เยี่ยเทียนไม่พอใจมากที่สุดก็เพราะตัวเองถึงทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนไปด้วย การกระทำของจู้เหวยเฟิง ได้ฝ่าฝืนขีดจำกัดต่ำสุดของเขาแล้ว ถ้าหากเมื่อครู่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าอวี๋เฮ่าหราน เยี่ยเทียนคงโกรธไปนานแล้ว


“เยี่ยเทียน ฉันไม่ได้ตั้งใจไปหาลุงจู้จริงๆ นะ”


เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงจึงรู้สึกหนาวถึงก้นบึ้งหัวใจโดยไม่รู้ตัว แล้วรีบพูดว่า “สองสามวันก่อนฉันไปทำธุระที่เซี่ยงไฮ้ แล้วลุงจู้ก็พูดถึงนาย เขาบอกว่าจะมาปักกิ่งพอดี ดังนั้นถึงได้มาด้วยกันยังไงเล่า”


ใช่ว่าจู้เหวยเฟิงจะไม่มีประสบการณ์ในสังคมเสียเมื่อไร ดังนั้นจึงรู้ว่าการที่ตัวเองเชิญอวี๋เฮ่าหรานให้ออกหน้านั้นไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร และเรื่องจริงก็เป็นอย่างที่เขาพูด เขาได้ “เจอ” กับอวี๋เฮ่าหรานในงานเลี้ยงโดยบังเอิญ


แน่นอนว่า ถึงแม้จู้เหวยเฟิงจะไม่ได้พูดให้กระจ่างแจ้งทั้งหมด แต่ก็แอบชี้จุดให้อวี๋เฮ่าหรานอยู่สองสามประโยค ไม่อย่างนั้นคิดว่าอวี๋เฮ่าหรานจะปล่อยธุรกิจของตัวเอง ไม่สนใจ จนว่างมากแล้ววิ่งแจ้นมาหาลูกเขยหรือ?


“อย่ามาเล่นไม้นี้ คิดว่าฉันเยี่ยเทียนโง่นักเหรอ?”


เยี่ยเทียนไม่ฟังการอธิบายของจู้เหวยเฟิงแม้แต่น้อย พลางใช้สายตาที่เย็นชากวาดมองทั้งสองคน แล้วพูดว่า “เรื่องที่ผมไม่อยากทำ ไม่ว่าใครก็บังคับผมไม่ได้ ถ้าหากวุ่นวายมาถึงครอบครัวของผม อย่าโทษที่คนแซ่เยี่ยอย่างผมจะโกรธแล้วไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นนะ!”


ก่อนที่จะเจอวานรขาว เยี่ยเทียนรู้สึกภาคภูมิใจแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ ว่าตัวเองเป็นเพียงกบในกะลาเท่านั้น โลกที่กว้างใหญ่ ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขามากมายนัก


ดังนั้นพฤติการณ์ของเยี่ยเทียนจึงไม่กำเริบเสิบสานเหมือนเมื่อก่อน กฎของยุทธภพคือการไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนในครอบครัว แล้วใครจะรู้ว่าผู้บำเพ็ญตบะจะทำตามกฎด้วยหรือไม่?


“ท่านเยี่ย ครั้งนี้ผมแซ่ต่งกับจู้เหวยเฟิงทำไม่ถูกเอง ท่านวางใจได้ ครั้งหน้าจะทำอีกอย่างเด็ดขาด!”


เมื่อนึกถึงฝีมือในการชกมวยบนเวทีมวยใต้ดินของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่จึงไม่กล้าอธิบาย และได้แต่ขอโทษด้วยความเฉลียวฉลาด เพราะคนอย่างเยี่ยเทียน จะมาเล่นแง่กับเขา ก็คงจะนำมาซึ่งความอัปยศแก่ตัวเอง


“ครั้งนี้ไม่เป็นไร ครั้งต่อไปจะทำไม่ได้อีก”


เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า “ถ้าหากจะพูดเรื่องชกมวยใต้ดินที่ประเทศไทย ก็ไม่ต้องพูดแล้ว เหล่าถังน่าจะบอกคำพูดของฉันไปแล้วใช่ไหม?”


เมื่อได้พบหน้า เยี่ยเทียนก็มองออกถึงสีหน้าของต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิง จู้เหวยเฟิงยังพอได้ เคราะห์ในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์รุนแรงและอันตราย แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต ทว่าต่งเซิงไห่นั้นอันตราย ไม่แน่อาจจะเสียชีวิตที่นั่น


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่จึงรีบอธิบายทันที “ท่านเยี่ย พวกเรารู้ว่าอาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี ผมแค่อยากจะเชิญท่านไปเพื่อสร้างความกดดันในสนามเสียหน่อย ไม่ได้ต้องการให้ท่านลงมืออย่างแน่นอน!”


ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงจัดการแข่งขันชกมวยใต้ดินในเอเชียอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ อุตส่าห์นำเรือสำราญควีนอลิซาเบธออกมาด้วย และจนกระทั้งตอนนี้ ก็มีนักชกสี่คนที่เป็นสิบอันดับแรกของโลกยอมตกลงเข้าสังเวียนแล้ว


แต่ระหว่างที่ทั้งสองคนดีใจก็รู้สึกเป็นกังวลไปด้วย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีนักมวยที่เก่งถึงขนาดกดดันสนามได้ และกลัวว่าถึงตอนนั้นจะถูกท้าทาย จึงได้มาหาเยี่ยเทียนนั่นเอง


จากมุมมองของต่งเซิงไห่ การแสดงออกของเยี่ยเทียนตอนที่อยู่ในเรือสำราญควีนอลิวาเบธ ขอเพียงเขาสามารถไปเที่ยวชมการชกในครั้งนี้ได้ ก็ไม่มีใครกล้าทำให้พวกเขาลำบากใจในการแข่งขันครั้งนี้ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุหลักที่เขามาเชิญเยี่ยเทียน


“กดดันสนามฉันก็ไม่ไป อะไรที่ควรพูด ฉันก็พูดตอนอยู่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธไปแล้ว คนที่กล้าหาเรื่องพวกคุณ ก็คงไม่ไว้หน้าผมเช่นกัน ผมไปก็ไม่มีประโยชน์”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เหล่าต่ง ผมขอเตือนพวกคุณทั้งสองคน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหา ไปไม่ได้เด็ดขาด พวกคุณไปครั้งนี้ล้วนมีเคราะห์ หากเบาหน่อยก็บาดเจ็บหนัก หากรุนแรงก็ถึงแก่ชีวิต!”


ถึงแม้เยี่ยเทียนตัดสินใจว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นแล้ว แต่ก็รู้สึกดีตอนที่อยู่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธกับทั้งสองคน เยี่ยเทียนจึงเผยความลับสวรรค์ออกมาอีกแล้ว


“เบาหน่อยก็บาดเจ็บหนัก หากรุนแรงก็ถึงแก่ชีวิต? เยี่ยเทียน นายล้อเล่นใช่ไหม?”


จู้เหวยเฟิงได้ยินจึงตกตะลึง ประเทศไทยและประเทศจีนมีพรมแดนติดต่อกัน ทั้งสองประเทศมีการไปมาหาสู่กันไม่น้อย จู้เหวยเฟิงก็มีเพื่อนทหารที่ประเทศไทยพอสมควร เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเกิดเรื่องอะไรเวลาที่อยู่ในประเทศไทย


“ใช่แล้ว ท่านเยี่ย ท่านคิดมากเกินไป การแข่งขันมวยใต้ดินครั้งใหญ่นี้ถูกจัดขึ้นโดยราชวงศ์ของประเทศไทย จึงไม่มีข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด ท่านวางใจเถอะครับ”


ต่งเซิงไห่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนเท่าไร เขาไม่เชื่อว่าฟรุสจะกล้าเล่นตุกติกลงมือกับเขาที่ประเทศไทยได้ เพราะสมาคมหงเหมินที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ไม่ได้มีไว้เฉยๆ


“อะไรที่ควรพูดผมก็พูดแล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกคุณ”


เมื่อเห็นต่งเซิงไห่ยังอยากจะพูดต่อ เยี่ยเทียนจึงโบกมือ แล้วพูดว่า “พวกคุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรื่องสกปรกครั้งนี้ผมไม่ขอเข้าไปยุ่ง พวกคุณระวังตัวให้ดีๆ ก็แล้วกัน อ้อ ตอนกลางวันผมคงไม่เชิญให้ทานข้าวด้วยกันนะครับ!”


เยี่ยเทียนไม่ให้โอกาสทั้งสองคนได้พูด และรีบส่งแขกทันที เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยืนกรานขนาดนั้น ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงจึงถูกเยี่ยเทียนส่งออกมาจากเรือนสี่ประสานด้วยความแค้นใจ


“เหวยเฟิง นายคิดว่าเรื่องนี้จะทำยังไงดี?”


พอหันกลับไปมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทแล้ว ต่งเซิงไห่จึงยิ้มเจื่อนๆ เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะไม่นึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่า นึกจะโกรธก็โกรธแบบไว้หน้ากันเลย


“จะทำยังไงได้? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!”


จู้เหวยเฟิงเบ้ปาก ถึงแม้เขาจะเคยถือปืนถือมีดอยู่ในสนามรบมาก่อน แต่ในสายเลือดของเขาก็ยังมีนิสัยของผู้ลากมากดีอยู่ ไม่เคยถูกใครไล่ออกมาแบบนี้เลยสักครั้ง เวลานี้จึงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ


“ไม่มีคนฆ่าหมูแซ่จาง แล้วคิดว่าจะยังได้กินหมูติดขนอีกหรือ?”


จู้เหวยเฟิงพูดเสียงสูงว่า “ท่านไห่ ผมไม่เชื่อหรอกว่า ขาดเยี่ยเทียนไป แล้วพวกเราจะทำเรื่องอะไรไม่ได้? ทำตามแผนเดิม ผมจะไปประเทศไทยพรุ่งนี้ เพื่อยืนยันกับฟรุสอีกที!”


“ตกลง งั้นก็ตามนี้!”


ต่งเซิงไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมจะไปโน้มน้าวบรอดฟิลด์อีกที มีเขาเป็นอันดับที่ห้าของโลกอยู่ ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร”


เพื่อการจัดการแข่งขันการชกมวยใต้ดินในเอเชียครั้งนี้ ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงได้ทุ่มเทเป็นอย่างมาก ติดต่อประสานงานทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่อยากยกเลิกเพราะประโยคเดียวของเยี่ยเทียน


และที่สำคัญก็คือ ในสายตาของพวกเขา เยี่ยเทียนแค่มีเบื้องหลังและฝีมือที่น่าตกใจเท่านั้น ส่วนเรื่องเคราะห์ร้ายอะไร ทั้งสองคนไม่เชื่อเลยสักนิด พวกเขาสองคนผ่านเรื่องราวใหญ่โตมามากมาย แล้วจะตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียนหรือ


แน่นอนว่า ถ้าหากต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงรู้เรื่องที่เยี่ยเทียนเคยทำนายเหตุการณ์ “โศกนาฏกรรม 9/11” เกรงว่าคงจะไม่ทำตัวสบายใจเช่นนี้ เพียงแต่คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยมาก ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขากับเยี่ยเทียน จึงไม่มีทางรู้อยู่แล้ว


……


“เยี่ยเทียน พวกเขาสองคนล่ะ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกลับมาที่เซียงฝางคนเดียว อวี๋เฮ่าหรานจึงตกตะลึงเล็กน้อย


“พวกเขากลับไปแล้วครับ”


เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อตาดูเหมือนไม่ค่อยดี เยี่ยเทียนจึงยิ้มพูด “พ่อครับ ไม่เป็นไรหรอก ต่อไปไม่ต้องสนใจคนแซ่จู้อีก ถ้าเขามาหาเรื่องพ่อ เดี๋ยวผมจะจัดการให้!”


“ไอ้ลูกเวร ไม่มีมารยาทเลยสักนิด นี่มันก็เที่ยงแล้ว เชิญคนมาทานข้าวหน่อยจะกลัวอะไร?” เยี่ยตงผิงสั่งสอนลูกชายอยู่ข้างๆ เพราะไอ้ลูกคนนี้ไม่ค่อยจะไว้หน้าคนในครอบครัวเลย


เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ พ่อ เรื่องที่พวกเขาทำมันอันตรายมาก ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า”


“เหรอ? อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ แกพักอยู่ที่บ้านให้สงบสุขสักวันสองวันเถอะ”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เยี่ยตงผิงจึงไม่พูดอีก เรื่องที่อเมริกาก็ได้เป็นบทเรียนมาแล้ว ถ้าหากเยี่ยเทียนเป็นอะไรไปอีกครั้ง ซ่งเวยหลันคงต้องตามหาเขาจนสุดชีวิตอีก


ความสามารถของลูกเขย คนที่เป็นพ่อตาจึงได้แต่เชิดหน้าชูตา บวกกับเยี่ยเทียนก็เป็นนักเรียนของตัวเองอีก ฉะนั้นอวี๋เฮ่าหรานจึงไม่พูดอะไรมาก ถือเสียว่าปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปก็พอ


หลังจากทานข้าวกับพ่อตาและอยู่คุยเป็นเพื่อนพักหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงให้อวี๋ชิงหย่าอยู่ต่อ แล้วตัวเองก็กลับไปที่ห้องหนังสือที่เรือนด้านหลังบ้าน ตั้งแต่จู้เหวยเฟิงสองคนมาจนถึงตอนนี้ จิตใจของเยี่ยเทียนยังคงอยู่ที่หินหยกดำนั่นอยู่


ตอนที่ 701 การฝึกฝน

ถึงแม้จะกำชับภรรยาและคนในบ้านไม่ให้มารบกวนตัวเอง แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่กล้าประมาท หลังจากสร้างวิชาค่ายกลเก็บเสียงอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือแล้ว เขาถึงเข้าไปในห้อง


หินหยกดำนั่นยังคงวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องเข้ามา ปรากฏให้เห็นสีม่วงเข้มแวววาวจ้าตา ทำให้เห็นถึงความลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง


“ตอนนั้นมังกรดำได้มอบหยกดำนี้ให้ฉันอย่างกับเป็นสิ่งของล้ำค่า สงสัยเจ้านี่คงจะไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน!”


เยี่ยเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใช้พลังจิตห่อหุ้มฝ่ามือ แล้วนำหยกดำวางไปบนมือ ขณะที่เขากำลังจะนั่งขัด


สมาธิ จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


จากนั้นจึงนำหยกดำวางไว้บนโต๊ะ แล้วเยี่ยเทียนก็เดินไปที่มุมห้อง เปิดกระเป๋าเป้ที่ตัวเองพกไปที่เสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) และหยิบกระดิ่งซานชิงออกมา


นับตั้งแต่ที่วานรขาวคืนกระดิ่งซานชิงจนถึงวันนี้ เยี่ยเทียนก็ยังไม่มีเวลาศึกษาของสิ่งนี้เลย แต่เยี่ยเทียนมีความรู้ สึกบางอย่าง ว่าการใช้งานของกระดิ่งซานชิงนี้ไม่ได้ใช้แค่เปิดผนึกของวิชาที่ถ่ายทอดอยู่ในหัวอย่างเดียวแน่นอน มันจะ ต้องมีความสามารถอย่างอื่นอีก


“กริ๊ง!”


พอจับด้ามกระดิ่งซานชิงมาเขย่าเล็กน้อย เสียงชัดและไพเราะน่าฟังก็ดังขึ้นมา ทว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นก็เหมือนกับกระดิ่งธรรมดาทั่วไป ไม่มีความผิดปกติอะไร


เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้ว พลางแบ่งจิตดั้งเดิมออกมาครึ่งหนึ่งไปห่อหุ้มกระดิ่งซานชิงเอาไว้ แล้วมือขวาก็เขย่าตาม แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ กระดิ่งซานชิงนี้กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา


แล้วสีหน้าของเยี่ยเทียน ก็พลันตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีสีหน้าที่ดีใจจนแทบบ้าคลั่งออกมา


“นี่…เจ้าสิ่งนี้มีผลกับจิตดั้งเดิม?”


ถึงแม้กระดิ่งซานชิงจะไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา แต่ เสียงดัง “กริ๊ง” กลับผ่านเข้าไปในจิตของเยี่ยเทียนโดยตรง


เสียงกระดิ่งไพเราะเสนาะหูทำให้สมองของเยี่ยเทียนปลอดโปร่ง และเสียงนี้ดูเหมือนจะมีเวทมนต์ ทำให้อารมณ์หงุดหงิดน่ารำคาญที่มีสาเหตุมาจากคนแซ่จู้และคนแซ่ต่งสองคนนั่น ได้สงบลงอย่างรวดเร็ว


นอกจากนี้ผลกระทบของเจ้ากระดิ่ง ดูเหมือนว่าจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนจะได้รับการสั่นสะเทือนไปด้วย ราวกับเสียงเพรียกร้องที่ไพเราะของพวกนก อันเป็นสัญญาณมงคลแห่งมหามรรค ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยคำพูดทั้งหมดก็เกิดขึ้นในใจของเยี่ยเทียน


เมื่อถึงระดับการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า การฝึกกายจะกลายเป็นการฝึกจิต กระดิ่งซานชิงนี้ก็มีบทบาทในการใช้จิตดั้งเดิมของคนเรา สำหรับเยี่ยเทียนแล้วจิตดั้งเดิมที่ยังไม่สามารถก่อเป็นรูปร่างได้ จึงเป็นเหมือนการส่งถ่านกลางหิมะ(การหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่กำลังลำบากได้ทันการณ์) อย่างไม่ต้องสงสัย


“แต่…แต่ตอนที่ฉันกำลังฝึกจิตดั้งเดิมอยู่ ทำยังไงถึงจะให้กระดิ่งซานชิงเขย่าได้ล่ะ?”


เยี่ยเทียนพบว่า ตอนที่กระดิ่งซานชิงไม่ได้ถูกเขย่านั้น ก็ไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ เหมือนกับตอนแรก ทำให้เยี่ยเทียนเกาหัวยิกๆ เพราะการฝึกจิตดั้งเดิมนั้นห้ามวอกแวก และเขาก็ยังทำสมาธิที่แน่วแน่ไม่ได้


หลังจากเดินวนไปมาอยู่ในห้องสองสามรอบ เยี่ยเทียนจึงหยิบเชือกสีแดงหนึ่งเส้นออกมาจากลิ้นชัก แล้วมัดไปที่ง่ามที่คล้ายกับช้อนส่อมที่อยู่ชั้นบนสุดของกระดิ่งซานชิง พลางมองซ้ายแลขวา แล้วจึงนำเชือกแดงเขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อที่อยู่ข้างโต๊ะหนังสือ


หลังจากทำเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงนั่งขัดสมาธิอยู่บนผูถวน (เบาะนั่งรูปกลมที่สานมาจากใบของต้นหางแมวและฟางข้าวสาลี) แล้ววางหยกดำไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นจึงใช้สองมือประสานกันไว้ที่หน้าอก


กลุ่มพลังจิตที่ดูสะเปะสะปะเหล่านั้น ได้หยุดอยู่ตรงด้านบนฝ่ามือทั้งสอง และกระดิ่งซานชิงก็อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนห่างออกไปหนึ่งเมตร ซึ่งเป็นระนาบเดียวกันกับหน้าผากของเขาพอดี


“ไป!”


เยี่ยเทียนใช้พลังจิต แล้วกลุ่มของจิตดั้งเดิมที่สะเปะสะปะนั่นก็แบ่งพลังจิตออกมาสายหนึ่ง จากนั้นก็เคาะไปที่กระดิ่งซานชิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ แล้วเสียงดังที่ชัดและไพเราะก็ส่งผ่านไปยังจิตดั้งเดิมทันที


การรับการสั่นสะเทือนของกระดิ่ง ทำให้จิตดั้งเดิมรู้สึกอิ่มเอิบสบายใจ เยี่ยเทียนเริ่มวิชาโคจรพลังจิต ทันใดนั้นก็มีพลังดึงดูดกลุ่มหนึ่งส่งมาจากจิตดั้งเดิม แล้วผ่านไปยังหยกดำที่อยู่กลางฝ่ามือ


หยกดำที่เดิมทีเย็นเยียบผิดปกติ ทว่าภายใต้พลังแห่งการดึงดูดนี้ ได้หลอมให้ปราณวิเศษบริสุทธิ์อย่างลึกล้ำไหลเข้าสู่จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนอย่างไม่ขาดสาย


เสียงที่มาจากกระดิ่งนั่น ทำให้ความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษของจิตดั้งเดิมนั้นเร็วขึ้นเป็นสามเท่า


เยี่ยเทียนไม่ได้เข้าฌานในระดับที่ลึกมาก ทว่ากำลังสัมผัสความรู้สึกแบบนี้อย่างละเอียด พลางแบ่งพลังจิตออก มาบางส่วนเพื่อเคาะไปที่กระดิ่งอยู่หลายครั้ง การตั้งสมาธิกับกระดิ่งนั่น ราวกับเสียงไพเราะของพวกนกอันเป็นสัญญาณมงคลแห่งมหามรรคดังอยู่ในหัว ทำให้เขาไม่ต้องถลำลึกมากจนเกินไป


ขณะที่จิตใจตกอยู่ในห้วงของการฝึกฝน เยี่ยเทียนไม่ได้สังเกตพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกที่อยู่นอกหน้า ต่างเลย ความรู้สึกอิ่มเอิบไม่ขาดสายของจิตดั้งเดิม ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่อยู่ในโลกมนุษย์ไปแล้ว


ลมหายใจของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นยาวขึ้น ไม่เห็นการหายใจเข้าออกตรงหน้าอก ระยะห่างของการหายใจเข้าและหายใจออกนั้น มีมากถึงสิบนาทีกว่าๆ และจิตดั้งเดิมที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา ก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย


จิตดั้งเดิมที่เดิมทีรวมกันจนแยกไม่ออก สามารถมองเห็นเค้าโครงหน้าได้เล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ชัดเจนมาก แต่รูปลักษณ์ของมือและเท้าน้อยๆ ก็ออกมาแล้ว นอกจากนี้ยังดูกระชับแน่นมากกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก


“ฮู้…” หลังจากผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ในที่สุดเยี่ยเทียนก็ลืมตาขึ้นมา ไม่ใช่เขาไม่อยากฝึกต่อ แต่เพราะเขารู้สึกท้องหิวร้อง “จ๊อกๆ” ต่างหาก


เมื่อไม่มีปราณชีวิตแท้หล่อเลี้ยงร่างกาย และจิตดั้งเดิมก็อยู่ในขั้นตอนการฝึกฝน ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีจิตใจอย่างเต็มเปี่ยม แต่กายเนื้อของเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว


ขณะเดียวกันตอนที่เยี่ยเทียนลืมตาขึ้น จิตดั้งเดิมที่อยู่ตรงหน้าเขาก็หยุดชะงักแล้วกลายเป็นแสงรวมกันเข้า จากนั้นก็พุ่งไปยังจุดอิ้นถังที่อยู่ระหว่างดวงตาทั้งสอง แล้วโคจรไปทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายที่ไม่สบายตัวของเยี่ยเทียนนั้นลดลงไปในทันที


“การอดข้าวอดน้ำเหมือนอย่างที่คนโบราณบอก ยังไงก็ต้องใช้ปราณแท้เพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกายอยู่ดี ถึงแม้จิตดั้งเดิมจะสำคัญ แต่กายเนื้อก็ขาดไม่ได้เช่นกัน!”


เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ในใจของเยี่ยเทียนจึงเกิดความตระหนักรู้ว่า กายเนื้อเป็นตัวนำในการฝึกฝนของจิต และทั้งสองอย่างจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้


ถึงแม้จะหยุดการฝึกฝนแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น ทว่าเขากลับนั่งหลับตาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง หลังจากทำความเข้าใจและซาบซึ้งกับจิตอย่างละเอียด จิตดั้งเดิมก็กระโดดพรวดออกมาจากจุดเทียนหลิงทันที


“ไป!”


เยี่ยเทียนส่งเสียงเบาๆ แล้วจิตดั้งเดิมที่อยู่เหนือศีรษะกลับกลายเป็นรูปมือขนาดใหญ่ ปรากฏอยู่บนโต๊ะหนังสือทันที จากนั้นก็เลื่อนไปคว้า “คัมภีร์หลิงปู่เซียนจิง (หนึ่งในคัมภีร์เต๋า)” ที่อยู่บนโต๊ะซึ่งเขาเปิดอ่านเป็นประจำ


ถ้าหากเวลานี้ยังมีคนอื่นอยู่ในห้องล่ะก็ คงจะได้เห็นหนังสือที่เดิมทีวางอยู่บนโต๊ะ จู่ๆ ก็ลอยขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วลอยมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน


จากนั้นเยี่ยเทียนจึงสั่งกระแสจิตให้ “คัมภีร์หลิงปู่เซียนจิง” นั้นลอยสูงขึ้น บินฉวัดเฉวียนไปทั่วห้อง ซึ่งใช้เวลานานกว่าหนึ่งนาทีเต็ม แล้วถึงได้กลับไปอยู่บนโต๊ะหนังสืออีกครั้ง


“ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆ!” หลังจากเก็บจิตดั้งเดิมแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะลั่น พร้อมกับความสบายอกสบายใจเป็นที่สุด


การแสดงออกของจิตดั้งเดิมเมื่อครู่ ได้เกินขอบเขตการหยิบสิ่งของกลางอากาศไปมาก และด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนที่สูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ ทำให้จิตดั้งเดิมหล่อหลอมกลายเป็นจิตแห่งหยาง เช่นนั้นก็จะสามารถลืมตัวเองกับโลกใบนี้ แล้วปล่อยให้จิตท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ได้อย่างแท้จริง


“หืม? หยกดำล่ะ? ทะ…ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”


หลังจากความดีใจผ่านไป เยี่ยเทียนก็นึกถึงหยกดำที่อยู่ในฝ่ามือ จึงแบฝ่ามืออก แต่กลับพบว่า นอกจากผงสีขาวกองหนึ่งที่อยู่บนฝ่ามือตัวเองแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใด


“เกิด…เกิดอะไรขึ้น?”


เยี่ยเทียนตื่นตระหนกตกใจ ความดีใจจากการกระชับแน่นของจิตดั้งเดิมพลันหายไปในพริบตา เมื่อไม่มีปราณวิ เศษที่บริสุทธิ์ของหยกดำแล้ว หากเขาอยากจะบรรลุขั้นจิตดั้งเดิมสามารถแทรกซึมเข้าไปในวัตถุได้ เกรงว่าจะต้องฝึกด้วยความยากลำบากถึงสามปีเป็นอย่างน้อย


สามารถพูดได้ว่า เยี่ยเทียนได้มองหยกดำเป็นเหมือนของล้ำค่าพอๆ กับกระดิ่งซานชิง กระทั่งยังสำคัญกว่ากระ ดิ่งซานชิงเสียอีก!


“ก้อนหินนั่นเป็นสีดำ ทำไมถึงเหลือผงสีขาวเอาไว้?” เยี่ยเทียนไม่ยอม แล้วเริ่มควานหาทั้งด้านหน้าและด้านหลังของร่างกาย แต่กลับไม่พบสิ่งใด


“หรือว่าฉันได้ดูดซับปราณวิเศษที่อยู่ในหินจนหมดแล้ว มันถึงกลายเป็นผงสีขาว?”


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา หรือหินหยกนี่น่าจะเป็นเพียงตัวพาหะพิเศษที่รองรับปราณวิเศษ พอปราณวิเศษค่อยๆ หายไป บทบาทของหยกดำก็สูญสิ้น มันจึงแยกสลายตัวเองออกมา


“บ้าเอ้ย ฉัน…ฉันจะไปหาเจ้าสิ่งนี้ได้ที่ไหน?”


เยี่ยเทียนลุกขึ้น แล้วสบถด่าด้วยความไม่พอใจ แค่ก้อนหินหนึ่งอันก็สามารถย่นระยะเวลาการฝึกวรยุทธของเขาได้สามปี ถ้าหากสามารถมีเป็นร้อยเป็นพันชิ้น เยี่ยเทียนเชื่อว่าตัวเองจะบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรค ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


ดั่งสุภาษิตกล่าวว่าเริ่มประหยัดแล้วฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แต่เริ่มฟุ่มเฟือยก่อนแล้วค่อยประหยัดนั้นยากนัก หลังจากได้เห็นประสิทธิภาพของหยกดำ ในใจของเยี่ยเทียนจึงเหมือนกับกรงเล็บแมวนับสิบกำลังข่วนเขาอยู่ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจสงบใจลงได้


“ช่างเถอะ ไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน”


เสียงท้องร้อง “จ๊อกๆ” ดังมา ทำให้เยี่ยเทียนต้องลุกขึ้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองฝึกวรยุทธนานเท่าไร เพียงแต่แสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากนอกหน้าต่างนั้น สามารถมองออกมาว่าเป็นยามเช้าแล้ว


พอเปิดประตู ก็เห็นท้องฟ้าที่เพิ่งส่องสว่าง จากนั้นเยี่ยเทียนก็ต้องตกตะลึง เพราะเขาเห็นแม่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง พร้อมกับสีหน้าร้อนใจบนใบหน้า


เยี่ยเทียนรู้ว่าแม่ของเขาชอบทำงานตอนกลางดึก จึงไม่เคยชินกับการตื่นนอนตอนเช้า เขาจึงรีบถามว่า “แม่ครับ ทำไมแม่ตื่นเช้าจัง?”


เมื่อเห็นลูกชายเดินออกมา ซ่งเวยหลันจึงเอ่ยพูด ทว่าเยี่ยเทียนกลับเห็นเพียงปากของแม่ที่ขยับ แต่ไม่ได้รู้ว่าแม่กำลังพูดอะไร


“เอ๊ะ ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง?”


เยี่ยเทียนรีบยกเท้าวางไปที่พื้นหนึ่งครั้ง โน้มตัวลงไปเก็บเหรียญ “ต้าฉีทงเป่า” ที่วางอยู่ในดวงตาค่ายกลกลับมา แล้วจึงได้ยินคำพูดของแม่ “เสี่ยวเทียน ลูก…ลูกออกมาแล้ว แม่ร้อนใจแทบตาย”


“แม่ครับ ผมไม่เป็นไร ผมบอกคนในบ้านไปแล้วว่าจะเก็บตัวถือศีลไม่ใช่เหรอครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง แล้วจึงรีบถามต่อ “ครั้งนี้ผมถือศีลนานเท่าไรครับ?”


ซ่งเวยหลันขึงตาใส่ลูกชายแล้วพูด “ยังจะพูดอีก ลูกอยู่ข้างในห้าวันเต็มๆ พวกเราอยู่ข้างนอกเรียกยังไงก็ไม่ขานรับ วันนี้ถ้าลูกยังไม่ออกมาอีก แม่…แม่ก็จะบุกเข้าไปแล้ว!”


“ห้าวัน? นานขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยเทียนรู้ว่าสาเหตุที่ตัวเองท้องหิวร้องจ๊อกๆ แล้ว เพียงแต่ตอนที่เขาเข้าฌานเพื่อฝึกพลังจิตนั้น กลับไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านเลยไป


ดั่งคนโบราณกล่าวว่าอยู่ในภูเขาหนึ่งวันเท่ากับเวลาหลายพันปีในโลกมนุษย์ แท้จริงแล้วก็มีความหมายเช่นนี้ และคนที่บำเพ็ญพรตเหล่านั้นมักจะใช้เวลาเป็นนานปีในการเก็บตัวถือศีล พอกลับมายังโลกมนุษย์ โลกก็เกิดวิบัตรกลับตาลตรไปหมดแล้ว


ซ่งเวยหลันเดินมาอยู่ข้างตัวลูกชาย แล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่เป็นอะไร เธอจึงโล่งอกแล้วพูดว่า “เสี่ยวเทียน คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ทำเอาพวกเราตกใจหมดเลย!”


ถ้าหากก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนไม่ได้กำชับคนในบ้านเป็นพิเศษ และตอนนี้ซ่งเวยหลันก็เชื่อในคำพูดของลูกชายอย่างไม่สงสัย เกรงว่าพวกเขาคงจะพังประตูเข้าไปนานแล้ว


“ผมรู้แล้วครับแม่ แม่วางใจได้” เยี่ยเทียนตกปากรับคำ แต่ในใจกลับทอดถอนใจ พลางคิดว่าที่บ้านไม่เหมาะสมให้ตัวเองฝึกวรยุทธจริงๆ


ตอนที่ 702 ถ่ายทอดวิชา

พูดตามจริง ในใจของเยี่ยเทียนก็สับสน ด้านหนึ่งก็ครอบครัวและคนรัก อีกด้านหนึ่งก็คือมหามรรคแห่งอายุ วัฒนะ ถ้าจะให้เลือกก็ยากมากจริงๆ หนำซ้ำความรู้สึกลอยล่องเหมือนดั่งเซียนยามที่ฝึกจิตดั้งเดิมนั้น ก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเคลิบเคลิ้มหลงใหล


“เสี่ยวเทียน ลูกคงหิวมากแล้วใช่ไหม?”


เมื่อเห็นลูกชายยืนอยู่หน้าประตูราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ซ่งเวยหลันจึงพูดด้วยความเป็นห่วง “ไป ไปที่ห้องอาหาร แม่ทำข้าวต้มปลาไว้แล้ว ลูกทานข้าวต้มไปก่อน เพราะไม่ได้ทานอะไรมาหลายวัน จะทานมากไม่ได้!”


“ขอบคุณครับแม่!” หัวใจของเยี่ยเทียนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ถ้าหากไม่มีครอบครัว แล้วมหามรรคแห่งอายุวัฒนะจะสำคัญไปใย? เยี่ยเทียนตัดสินใจในชั่วพริบตาเดียว


แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่ได้บอกว่าจะไม่ฝึกวรยุทธแล้ว แต่รอหลังจากที่เขาฝึกเข้าสู่ระกับเซียนได้อย่างมั่นคงแล้ว เยี่ยเทียนจึงจะมุ่งความสำคัญไปที่ครอบครัว เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่และภรรยาอีกหลายสิบปี


ถึงแม้ในสมัยโบราณจะมีสำนวนที่ว่าหนึ่งผู้บรรลุธรรม ไก่หมาพากันขึ้นสวรรค์ก็ตาม แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าหวังมากขนาดนั้น ถึงอย่างไรการเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ต่อให้วรยุทธของเขาสูงแค่ไหน ก็ไม่อาจดูแลครอบครัวได้ทั้งหมด


เมื่อเข้าใจจุดนี้อย่างกระจ่าง จิตใจของเยี่ยเทียนก็เบิกบานทันที หลังจากใช้วิชาการฝึกจิตดั้งเดิมแล้ว มากสุดสามปีเขาก็จะเข้าสู่ระดับเซียนได้อย่างแน่นอน และหลังจากนั้นเขาก็จะอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่และภรรยาได้จริงๆ


“เยี่ยเทียน นายออกมาแล้ว?”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังสนทนากับแม่อยู่นั้น ประตูจากห้องเซียงฝางหลักที่อยู่เรือนด้านหลังก็เปิดออก อวี๋ชิงหย่ามองเยี่ยเทียนด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ รีบใส่รองเท้าแตะแล้ววิ่งเข้าไปหา


เยี่ยเทียนอุ้มอวี๋ชิงหย่าที่โผเข้ามากอดแล้วยิ้มพูดว่า “โอ้โห น้ำหนักขึ้นอีกแล้ว แบบนี้ไม่ได้นะ ต้องลดน้ำหนัก ไม่อย่างนั้นต่อไปฉันคงอุ้มเธอไม่ไหวแล้ว!”


“นายก็ ร้ายจริงๆ แม่มองอยู่นะ รีบวางฉันลงเดี๋ยวนี้!” อวี๋ชิงหย่าหน้าแดงก่ำ พลางใช้สองมือเล็กชกไปที่หน้าอกของเยี่ยเทียน


เมื่อเทียบกันแล้ว อวี๋ชิงหย่ารู้ถึงความพิเศษเฉพาะตัวของเยี่ยเทียนมากกว่า ช่วงที่เขาไม่ออกจากห้องหลายวันนี้จึงไม่ได้เป็นห่วงมากเหมือนกับซ่งเวยหลัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอที่ช่วยเกลี้ยกล่อม เกรงว่าซ่งเวยหลันคงจะพังประตูเข้าไปตั้งแต่สองวันแรกแล้ว


“กลัวอะไร พ่อยังเคยอุ้มแม่เลย แค่เธอไม่เคยเห็นก็เท่านั้น!” เยี่ยเทียนยิ้มพูดข้างหูของอวี๋ชิงหย่า “ไปอาบน้ำล้างหน้าสิ อีกสองวันฉันต้องออกไปข้างนอก สองสามวันนี้จึงอยากอยู่เป็นเพื่อนเธอ!”


ขณะที่พูด มือใหญ่ของเยี่ยเทียนก็โอบไปที่เอวคอดของอวี๋ชิงหย่าอย่างซุกซน ทำให้อวี๋ชิงหย่าตัวอ่อนยวบยาบขึ้นมาทันที พร้อมกับลมหายใจที่กระชั้นถี่มากขึ้น จากนั้นจึงผลักมือของเยี่ยเทียนออก แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง


ซ่งเวยหลันอาบน้ำร้อนมาก่อน จึงมองออกถึงความร้ายกาจของลูกชาย จึงยิ้มพลางต่อว่า “เจ้าลูกคนนี้ ชอบรังแกชิงหย่าจริงๆ ต่อไปถ้ากล้าทำเรื่องที่ไม่ดีต่อเธอ ระวังแม่จะให้พ่อไปอัดลูกให้น่วมเลย!”


สำหรับลูกสะใภ้คนนี้ ซ่งเวยหลันพอใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ต้องพูดถึงการอบรมสั่งสอนทางบ้านของอวี๋ชิงหย่า เพราะเธอเป็นคนมีมารยาทและใจกว้าง ไม่มีมาดหยิ่งของคุณหนู แถมยังเข้ากับคนในบ้านตระกูลเยี่ยได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก


“แม่ครับ จะเป็นไปได้ยังไง ลูกชายของแม่เป็นคนที่เปลี่ยนใจง่ายแบบนั้นเหรอครับ?” เยี่ยเทียนลูบท้องแล้วพูดว่า “ไม่ได้แล้ว หิวมากจริงๆ ต้องรีบหาอะไรทานเสียหน่อย!”


เยี่ยเทียนเหมือนจับเส้นชีพจรของซ่งเวยหลันได้แม่นยำ พอพูดเช่นนี้ ซ่งเวยหลันก็ย้ายความสนใจไปที่อื่นทันที แล้วจึงลากลูกชายเดินไปที่ห้องอาหารของเรือนกลาง


“เอ๊ะ เซี่ยวเทียน นายกลับมาจากฮ่องกงตั้งแต่เมื่อไร?” พอเพิ่งจะก้าวเข้ามาที่เรือนกลาง เยี่ยเทียนก็มองเห็นโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังหยิบไม้กวาดกวาดใบไม้ที่ร่วงเต็มสวนอยู่พอดี


“อาจารย์ ผมกลับมาเมื่อวานซืนครับ”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงดีใจมาก พลางชี้ไปที่เรือนด้านหน้าแล้วพูดว่า “ท่านลุงทั้งสามมากันหมดเลยครับ แต่พวกเขาได้ยินว่าอาจารย์เก็บตัวถือศีล จึงไม่ให้ไปรบกวนท่านครับ!”


“ศิษย์พี่ทั้งสามมากันหมดเลย?”


เยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง แล้วจึงหันไปพูดกับแม่ว่า “แม่ครับ ผมกับศิษย์พี่จะทานข้าวด้วยกัน ให้เซี่ยวเทียนยกอาหารไปทางโน้นนะครับ!”


เมื่อมาถึงเรือนด้านหน้า เยี่ยเทียนก็เห็นศิษย์พี่ทั้งสามคนกำลังยืนท่าควบม้าโคจรลมปราณอยู่ เมื่อเห็นเขาเข้ามา โก่วซินเจียและคนอื่นๆ จึงหยุดเดินโคจรลมปราณแล้วลุกขึ้น เข้ามาทักทาย


“ศิษย์น้องเล็ก ลูกท้อที่เธอให้เซี่ยวเทียนเอาไปให้ เธอได้มันมาจากที่ไหน?”


ถ้าหากพูดถึงศิษย์พี่ทั้งสองของเยี่ยเทียนบวกกับหนานไหวจิ่นแล้ว คนที่อดรนทนไม่ไหวมากที่สุดก็คือจั่วเจียจวิ้น พอเจอหน้า ก็ถามออกมาตามตรง


แค่ลูกท้อเพียงหนึ่งลูก ก็ทำให้การหลอมปราณสู่จิตในขั้นต้นของจั่วเจียจวิ้นเลื่อนระดับไปอยู่ขั้นกลาง และขาดอีกนิดเดียวก็จะสามารถบรรลุได้แล้ว


“พวกศิษย์พี่ทั้งหลาย หลายวันมานี้ผมไม่ได้ทานข้าวทานน้ำเลย พวกเราทานข้าวไป แล้วก็พูดไปด้วยดีกว่านะครับ”


เยี่ยเทียนพูดพลางยิ้มเจื่อน แล้วจึงพาคนสองสามคนเดินมาที่เซียงฝางของเรือนด้านหน้า ตรงนั้นโจวเซี่ยวเทียนได้ยกหม้อโจ๊กเดินเข้ามา และซ่งเวยหลันก็ถือจานที่มีอาหารพวกกับแกล้มเดินตามหลังมาด้วย


เยี่ยเทียนรับหม้อโจ๊กเข้ามาแล้วพูดว่า “เซี่ยวเทียน แม่ครับ พวกคุณไปทานข้าวเถอะ ผมมีเรื่องจะคุยกับพวกศิษย์พี่!”


เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) เยี่ยเทียนไม่ได้ปิดบังศิษย์พี่เหล่านี้อยู่แล้ว แต่คำพูดพวกนี้ไม่เหมาะที่จะให้แม่กับลูกศิษย์นั้นได้ยิน


หลังจากรอให้ซ่งเวยหลันกับโจวเซี่ยวเทียนออกไปจากห้อง โก่วซินเจียจึงมองสีหน้าของเยี่ยเทียนอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ฉันว่า ถึงแม้เธอจะไม่ได้ทานอาหารมาหลายวัน แต่เธอก็ดูมีชีวิตชีวามากนะ”


หนานไหวจิ่นก็พยักหน้าเช่นกัน “ถูกแล้ว ใบหน้าของศิษย์น้องเยี่ยเปล่งปลั่งและสดชื่น เวลาพูดก็มีกำลัง สงสัยคราวนี้จะได้ของดีมาไม่น้อย?”


“ศิษย์พี่ทั้งหลาย ให้ศิษย์น้องได้ทานอะไรนิดหน่อยก่อนนะครับ!”


เมื่อได้กลิ่นหอมของข้าวต้มปลา เยี่ยเทียนจึงไม่อยากพูดแล้ว หลังจากตักข้าวต้มให้ตัวเองจนเต็มถ้วย เขาก็ตักเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วทานติดต่อกันสองถ้วย จากนั้นเยี่ยเทียนถึงได้วางตะเกียบลง


“การเดินทางไปเสินหนงเจี้ยครั้งนี้ ศิษย์น้องเพิ่งจะรู้ว่าอะไรคือกบในกะลา!”


เยี่ยเทียนถอนหายใจแล้วพูด “ศิษย์พี่ทั้งหลาย วิชาหลังจากการหลอมปราณสู่จิต ผมได้มาแล้วจริงๆ แต่สำหรับพวกเราแล้ว การหลอมปราณสู่จิตเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังห่างจากเส้นชัยมากนัก…”


อายุของทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน หากรวมกันก็มีอายุเกือบสองร้อยห้าสิบปี เยี่ยเทียนเชื่อว่าคำพูดของตัวเองได้ทำให้พวกเขาตกใจ แล้วจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบพบเจอตอนที่อยู่เสินหนงเจี้ยให้ฟังอย่างละเอียด


“วานรเป็นเซียน? เป็นความจริงรึ?” ตอนที่เยี่ยเทียนพูดว่าได้เจอวานรขาวนั้น ต่อให้เป็นโก่วซินเจียและคนอื่นๆ ที่มีวรยุทธสูงส่ง ต่างก็อดลุกขึ้นยืนไม่ได้


ในหนังสือและคัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋าสมัยโบราณมีบันทึกสัตว์เทพเจ้าที่คอยปกปักรักษาถ้ำอยู่ แต่ใครก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง และจากการบรรยายของเยี่ยเทียน ก็ทำให้ความรู้สึกของพวกเขานั้นกลับตาลปัตรไปหมด


“ถูกแล้ว วรยุทธของเจ้าลิงนั่นสูงกว่าผมมาก เกรงว่าแค่ฝ่ามือเดียวก็ตบผมตายได้!”


เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “พอเข้าสู่ระดับเซียน ฝึกจิตดั้งเดิม ให้กลายเป็นปราณแท้ แล้วจึงจะเข้าสู่เส้นทางของผู้บำเพ็ญพรต ตอนนี้พวกเรา ก็เป็นแค่ปุถุชนที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น


ระดับเซียนนั้นแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นปลายสามระดับ เหนือสุดนั้นยังมีบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรค และถ้ามากไปกว่านั้นสามารถสลายแกนทองก่อตั้งวิญญาณได้ นั่นถึงจะเป็นเซียนอย่างแท้จริงดังที่วานรขาวกล่าว!”


เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของโก่วซินเจียและคนอื่นๆ ก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น พวกเขาคิดไม่ถึงว่า การฝึกวรยุทธของตัวเองมาทั้งชีวิต ในสายตาของคนอื่นแล้วแม้แต่ประตูก็เหยียบเข้าไปไม่ได้


“พี่หยวนหยาง ศิษย์น้องเจียจวิ้น สงสัยคุณสมบัติของพวกรา จะยังไม่ถึงจริงๆ!”


หลังจากฟังเยี่ยเทียนพูดจบ หนานไหวจิ่นจึงถอนหายใจยาว เวลานี้เขาเพิ่งจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของยอดฝีมือท่านนั้นขณะที่ถ่ายทอดวิชาให้กับเขา ยามเป็นวัยรุ่นหากไม่อาจบรรลุระดับเซียนได้ เกรงว่าได้เสียความหวังของการเข้าสู่มหามรรคแห่งอายุวัฒนะแล้ว


ความจริงหนานไหวจิ่นก็ดูถูกตัวเองมากเกินไป พวกเขาสามคน รวมทั้งหลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนที่จากไปแล้ว ล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติชั้นเลิศ ถ้าหากอยู่ในยุคโบราณ จะต้องเป็นของมีค่าที่ถูกผู้คนแย่งชิงอย่างแน่นอน


เพียงแต่พวกเขาเกิดมาไม่ถูกเวลา ช่วงกลางราชวงศ์ชิง มีหลายสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์ เป็นผลทำให้ฟ้าดินเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ ปราณวิเศษมีน้อย ต่อให้เป็นคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์ คนที่เกิดมาหลัง จากนี้ ก็ยากที่จะฝึกฝนวรยุทธต่อไปได้


และคนที่โชคดีโดยบังเอิญอย่างเยี่ยเทียน เกรงว่าร้อยปีก็คงจะมีเขาเพียงคนเดียว แน่นอนว่า ตอนนี้การฝึกจิตดั้ง เดิมของเยี่ยเทียนก็ยังอยู่ครึ่งๆ กลางๆ แต่ก็พอฝืนให้ตัวเองผ่านคุณสมบัติได้อยู่


เมื่อเห็นหนานไหวจิ่นมีท่าทีเงียบเหงาไม่มีความสุข เยี่ยเทียนจึงปลอบใจว่า “ศิษย์พี่หนาน อาจจะเริ่มต้นช้าไปเสียหน่อย แต่คนที่มาทีหลังใช่ว่าจะตามไม่ทันนะครับ ถ้าหากทุกท่านเข้าสู่ระดับเซียนแล้ว ความสำเร็จในภายภาคหน้าก็ไม่แย่กว่าคนพวกนั้นหรอกครับ!”


หนานไหวจิ่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พวกเรายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี? ต่อให้เข้าสู่ระดับเซียน กลัวว่าจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว”


เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หนาน วรยุทธเข้าสู่ระดับเซียน อย่างน้อยก็เพิ่มอายุขัยได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีขึ้นไป พวกท่านยังถือว่าเป็นคนหนุ่มนะครับ”


“เอ๋? มีเรื่องแบบนี้ด้วย?”


หนานไหวจิ่นตาเป็นประกาย แต่ก็ยิ้มอย่างขมขื่นต่อและพูดว่า “ฉันกับศิษย์พี่ของเธอต่างก็ติดอยู่ที่การหลอมปราณสู่จิตมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แค่อีกก้าวเดียวกลับก้าวไม่ออกน่ะสิ!”


“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็ก เธอบรรลุขั้นได้อย่างสับสนมึนงง อย่างนั้นพวกเราก็ยิ่งไม่มีทางบรรลุได้ ไม่แน่ทั้งชีวิตนี้ก็คงหยุดอยู่แค่นี้แหละ!” โก่วซินเจียก็ถอนหายใจเช่นกัน เขาอายุเกือบเก้าสิบปีแล้ว ความหวังในการบรรลุยิ่งดูเลือนรางมากกว่าหนานไหวจิ่นเสียอีก


“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมได้ยินวานรขาวพูดว่า พอเข้าระดับเซียน อย่างแรกต้องก่อสร้างจิตดั้งเดิม จากนั้นนำปราณ โฮ่วเทียนที่อยู่ในร่างกายเปลี่ยนเป็นปราณแท้ของเซียน สงสัยถ้าอยากจะบรรลุ ก็ควรจะต้องเริ่มจากการฝึกฝนพลังจิตเสียก่อน”


เยี่ยเทียนพึมพำเล็กน้อยแล้วจึงพูดว่า “เคล็ดวิชาที่ผมได้รับนั้น มีวิชาของการฝึกพลังจิต เน้นการฝึกพลังจิตโดย เฉพาะ พี่กับศิษย์พี่หนานก็ได้วิชาการใช้พลังจิตมาไม่มากก็น้อย ผมรู้สึกว่าสามารถลองดูได้นะครับ!”


พอถึงขั้นปลายของการหลอมปราณสู่จิต ระดับของพลังจิตจะมีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป อย่าว่าแต่โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นเลย แม้แต่จั่วเจียจวิ้นก็ยังสามารถใช้พลังจิตในการใช้วิชาทำนายและการสัมผัสได้


“มีวิธีการฝึกพลังจิตจริงหรือ? หลายปีมานี้ฉันก็ยังบรรลุไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าพลังจิตมีไม่มากพอ”


พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หนานไหวจิ่นก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก นายเขียนวิธีการฝึกออกมา ให้พวกเราได้ลองดูแล้วค่อยว่ากัน!”


“ได้ครับ แต่ไม่ต้องเขียน เพราะผมสามารถถ่ายทอดวิชาให้พวกศิษย์พี่ได้เลยครับ!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจึงใช้วิธีการใช้เสียงถ่ายทอดด้วยพลังจิตที่วานรขาวได้สอนมาทั้งหมด นำข้อความหนึ่งย่อหน้าแยกส่งไปยังสตินึกรู้ของทั้งสามคน


“นี่คือความมหัศจรรย์ของพลังจิตใช่ไหม?”


ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าข้อความนั่นได้ปรากฏอยู่ในหัวอย่างกะทันหัน ต่อให้เป็นโก่วซินเจียที่มีจิตใจสงบนิ่งเหมือนขุนเขา ก็ยังมีสีหน้าที่ตื่นเต้นไม่หยุด


ตอนที่ 703 เยือนถิ่นเก่า

“ครับ แต่จิตดั้งเดิมของผมยังไม่ก่อตัวเป็นรูปร่าง จึงยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ดีนัก”


เยี่ยเทียนยิ้มแห้ง แม้ว่าเขาจะผ่านด่านที่ยากที่สุดของวิชาสำนักมาได้แล้ว แต่เรื่องแบบนี้ต้องฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเข้าสู่ระดับเซียนแล้วกลับกลายเป็นการตายแล้วเกิดใหม่ ทำให้ตันเถียนถูกทำลาย ตอนนี้ด้วยภาวะค้างเติ่งอยู่ตรงกลางทำให้ทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี


เมื่อคิดสักครู่แล้ว เยี่ยเทียนเอ่ยต่อว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลาย การฝึกจิตนั้นอันตรายกว่าการฝึกร่างกายหลายเท่า จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่สงบไม่ถูกรบกวนจากผู้อื่น หากตอนที่ฝึกเกิดความผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยจะต้องหยุดลงทันที อย่าได้ดันทุรังฝึกต่อ!”


จิตดั้งเดิมหลบอยู่ในห้วงความรู้สึกตัว ห้วงแห่งความรู้สึกตัวนั้นเป็นความพิเศษลี้ลับที่มีอยู่บนร่างกาย ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ทันสมัยในยุคนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้


ดังนั้นการฝึกจิตดั้งเดิมต้องห้ามไม่ให้ถูกรบกวน หากถูกรบกวนอย่างเบาจะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก อย่างหนักก็จะกลายเป็นคนวิกลจริตไป ดั่งในนิยายกำลังภายในที่เคยอ้างถึง ซึ่งไม่ได้มีที่มาลมๆแล้งๆ


โก่วซินเจียพยักหน้า “ศิษย์น้องเล็ก เรื่องนี้พวกเรารู้ดี ตอนนี้วิชาที่เธอฝึกได้ สามารถแก้ปัญหาจิตดั้งเดิมได้หรือยัง?”


โก่วซินเจียคิดอยากจะปลีกตัวไปฝึกวิชาเดี๋ยวนั้น แต่เขารู้ว่าคำเตือนของเยี่ยเทียนเตือนนั้นจริง การรีบร้อนเกินไปทำให้ไม่อาจบรรลุผลสำเร็จเร็ว


“ถ้าได้ฝึกวิชาในค่ายกลฮวงจุ้ยที่ฮ่องกงละก็ ใช้เวลาอีกแค่เพียงปีเดียว ผมก็จะบรรลุถึงระดับเซียนได้” โดยทั่วไปการจะฝึกให้บรรลุขั้นนี้ได้ต้องใช้เวลาถึงสามปี แต่ถ้ามีหยกอ่อนสีดำก้อนนั้นของเยี่ยเทียนก็สามารถประหยัดเวลาไปได้มาก


ตอนนี้จิตดั้งเดิมของเขาใกล้จะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว รอจนเกิดมีตา จมูก ปากบนใบหน้าก่อนจึงถือว่าเข้าสู่ขั้นแรกของระดับเซียนเมื่อถึงตอนนั้นจิตดั้งเดิมก็จะกลับคืนมาในเส้นลมปราณอีกครั้งและสร้างตันเถียนขึ้นมาใหม่


จิตดั้งเดิมกับจิตก่อนกำเนิดนั้นแตกต่างกันมาก มันเป็นเพียงนามธรรม เป็นการสะท้อนออกมาจากร่างกายมนุษย์ มีความสามารถจำกัด


แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นจิตก่อนกำเนิด ก็เท่ากับว่าได้พัฒนาไปอีกขึ้น แม้ว่าร่างกายได้สูญสลายไป แต่จิตก่อนกำเนิดจะดำรงอยู่ได้เอง และสร้างเลือดเนื้อขึ้นมาให้ ยิ่งกว่านั้นก่สามารถอกำเนิดกายเนื้อขึ้นมาได้เอง เรียกได้ว่าไม่ตายไม่ดับสูญ


สำหรับวานรขาวกับเจ้านายของมันแล้ว ขั้นจิตก่อนกำเนิดเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าในตำนานเท่านั้น เป็นสิ่งที่พวกเขาพอรู้อยู่บ้าง บนโลกนี้มีผู้วิเศษที่ฝึกวิชาขั้นสูงอยู่อีกหรือไม่ยังไม่แน่


“ศิษย์น้องเล็ก หรือว่าเรากลับไปฮ่องกงด้วยกัน?”


โก่วซินเจียเหลือบมองเยี่ยเทียนแล้วเอ่ยว่า “พลังวิเศษของบ้านที่นี่เกือบจะสูญไปหมดแล้ว ทั้งยังอยู่ใกล้กับพระราชวัง แม้สิ่งแวดล้อมจะเงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาน แต่สู้ที่ฮ่องกงไม่ได้ พรุ่งนี้เราเดินทางไปที่นั่นกันเถอะ!”


โก่วซินเจียได้รับการถ่ายทอดวิธีฝึกจิตแล้วก็อยากรีบเดินทางกลับไปฝึกวิชาที่ฮ่องกงโดยเร็ว พวกเขาเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้ ที่ยิ่งใกล้ความตายมากขึ้นทุกวัน


เยี่ยเทียนโบกมือ “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่กลับกันไปก่อน ผมจะไปตงเป่ยหาเหล่าหูก่อน”


หูหงเต๋อตอนแรกจะไปกับพวกโก่วซินเจีย แต่ช่วงก่อนที่หูเสี่ยวเซียนแต่งงาน หูหงเต๋อเป็นญาติผู้ใหญ่ จึงต้องอยู่ร่วมงานด้วย อยู่ไปอยู่มาเกือบครึ่งปีเข้าไปแล้ว


โก่วซินเจียชะงัก “ไปหาเขาทำไม? การฝึกวิชาของเขายังไม่ถึงขั้นฝึกพลังแฝงเปลี่ยนเป็นจิต เธอไปสอนวิชาให้เขาไม่ได้อะไร!”


“ผมจะให้เหล่าหูพาผมขึ้นเขา” เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อยแล้วบอกว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ยังจำเรื่องมังกรดำตัวนั้นบนเขาฉางไป๋ซานได้ไหม?”


“จำได้ หรือว่ามังกรดำตัวนั้นจะเป็นสัตว์ที่ฝึกวิชาบำเพ็ญตนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเจ้าวานรขาวนั่น?”


โก่วซินเจียพยักหน้า ตอนนั้นเยี่ยเทียนเล่าให้เขาฟัง พวกเขาต่างคิดว่ามังกรดำเป็นเพียงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่ามันเหมือนกับวานรขาวนั่น


“แม้มันจะมีญาณวิเศษ แต่ไม่อาจสื่อสารกับเทพได้ อาจเพราะมันฝึกบำเพ็ญเพียรตามลำพัง ไม่เหมือนเจ้าวานรขาวที่ฝึกอย่างเป็นขั้นตอน”


เยี่ยเทียนสั่นหัว “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ไม่รู้ว่าพวกพี่เคยเห็นของสิ่งหนึ่งไหม ของสิ่งนี้มีสีดำดุจน้ำหมึก มีฤทธิ์เย็นจัดถึงที่สุด สามารถทำให้เลือดของมนุษย์แข็งตัวได้ แต่กลับมีประโยชน์อย่างสูงต่อการฝึกวิชา


ตอนแรกเยี่ยเทียนไม่ได้สนใจในหยกอ่อนสีดำเลย ไม่เช่นนั้นเขาจะโยนมันให้เจ้าเหมาโถวเล่นหรอ


แต่เมื่อฝึกวิชาในหลายวันที่ผ่านมา เขาได้สัมผัสถึงประโยชน์ของหยกอ่อนสีดำ พลังของหยกถูกเขาดูดกลืนเข้าไปในร่างกายหมดแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่อธิบายปากเปล่า


“มีของแบบนี้ด้วยเหรอ? ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน”


โก่วซินเจียส่ายหัว หันไปมองหนานไหวจิ่นกับจั่วเจียจวิ้น ทั้งสองกำลังทำหน้างงงัน แสดงว่าไม่เคยได้เห็นโฉมหยกอ่อนสีดำที่ว่านี้มาก่อน


“ช่างมันเถอะ ผมจะไปเขาฉางไป๋ซานสักครั้ง ดูว่าจะหาของวิเศษมาเพิ่มได้ไหม ศิษย์พี่ทั้งหลาย พวกพี่กลับฮ่องกงกันไปก่อน”


เยี่ยเทียนมีความรู้สึกบางอย่าง เจ้าเหมาโถวเริ่มมีญาณวิเศษ หรือว่าเกิดจากหยกอ่อนสีดำ ตอนที่มังกรดำมอบหยกให้เยี่ยเทียน ดูคล้ายกับว่าเสียดายไม่อยากให้ แสดงว่าหยกชิ้นนี้ต้องเป็นของมีค่ามากสำหรับมัน


เยี่ยเทียนจึงตัดสินใจเดินทางไปเขาฉางไป๋ซานอีกครั้ง แต่จะได้หยกอ่อนสีดำกลับมาหรือไม่ เขาเองก็ไม่แน่ใจ


โก่วซินเจียพยักหน้า “เอาเถอะ ศิษย์น้องเล็ก เธอพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ติดต่อพวกเราได้ทันที”


“ของสิ่งนั้นเอาไปก็ไม่มีประโยชน์ ในหุบเขาไม่มีสัญญาณโทรศัพท์” เยี่ยเทียนยิ้มแหย ตั้งแต่เขาเปิดใจยอมรับมารดา เธอก็ได้มอบโทรศัพท์มือถือให้เขาหลายเครื่อง แต่เขาโยนทิ้งไว้ในบ้าน ไม่ได้นำไปใช้เลย


“อืม เธอระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน ศิษย์น้องเล็ก บ่ายนี้พวกเราก็จะไปเลย!”


พวกศิษย์พี่มาที่ปักกิ่งครั้งนี้มีจุดประสงค์ หนึ่งเพื่อไต่ถามถึงที่มาของลูกท้อป่านั้น สองเพื่อดูว่าเยี่ยเทียนได้ฝึกวิชาไปถึงไหนแล้ว


ตอนนี้ธุระเสร็จสิ้น พวกเขาไม่คิดอยากอยู่ในเมืองหลวงต่อไป หลังจากอาหารมื้อเที่ยง โจวเซี่ยวเทียนขับรถพาพวกเขาไปที่สนามบิน ส่งกลับฮ่องกงทันที


เยี่ยเทียนไม่ได้รีบร้อนไปที่เขาฉางไป๋ซาน เขาพักอยู่ที่บ้านอีกสัปดาห์กว่าๆเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยา เพียงแต่ทุกคืนราวกับคืนแต่งงานใหม่ ทำเอาร่างกายของอวี๋ชิงหย่าเกือบจะรับไม่ไหว


……-


“เยี่ยเทียน ทางนี้ พวกเราอยู่ทางนี้!”


เมื่อเยี่ยเทียนเดินออกมาจากสนามบินขนาดเล็กที่เล็กจนน่าสงสารของเขาฉางไป๋ซาน ก็มองเห็นมือขวาของหูเสี่ยวเซียนโบกเรียกอยู่ไหวๆ ข้างกายเธอมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้วย


“เยี่ยเทียน ทำไมนายไม่พาชิงหย่ามาด้วย? งานแต่งของฉันพวกเธอก็ไม่ได้มา น่าเสียดายจริงเลย!”


หูเสี่ยวเซียนมีนิสัยโผงผางตรงไปตรงมา ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ของเธอเป็นศิษย์รุ่นน้องของเยี่ยเทียน เธอคงจะมอบกำปั้นเป็นการต้อนรับแล้ว


“ต่อไปถ้าพวกเธอไปปักกิ่ง ค่อยทำอาหารเลี้ยงพวกเธอดีไหม?” เยี่ยเทียนยิ้มยินดี มองที่ชายข้างกายหูเสี่ยวเซียน “เสี่ยวเซียน ทำไมไม่แนะนำให้รู้จักหน่อยเล่า?”


“สามีของฉัน ซุนหยางซิน ทำงานอยู่ในสำนักงานในเมืองแห่งหนึ่ง” หูเสี่ยวเซียนต้อนรับอย่างอบอุ่น ชี้ไปที่เยี่ยเทียนแล้วบอกสามีว่า “เขาเป็นสามีของเพื่อนสนิทฉัน คราวก่อนที่ฉันป่วยโชคดีที่ได้เขาช่วยไว้”


ซุนหยางซินเป็นคนสุขุม เพียงจับมือกับเยี่ยเทียนพอเป็นพิธีแล้วไม่ได้เอ่ยอะไร แต่รับเอากระเป๋าของเยี่ยเทียนไปสะพายให้ เยี่ยเทียนพยักหน้าให้ คนๆนี้หน้าเหลี่ยมใบหูใหญ่ เป็นคนมีคุณธรรมและมีโชควาสนา


“ไปเถอะ คุณปู่ได้ยินว่านายจะมา เลยเข้าป่าไปตั้งแต่วันก่อน บอกว่าจะไปจับมังกรบินมาให้นายหลายๆตัว”


หูเสี่ยวเซียนบ่นกระปอดกระแปดว่า “คุณปู่ลำเอียง ตอนฉันแต่งงานไม่เห็นเข้าป่าเลย พอนายมาเขากุลีกุจอเตรียมตัวต้อนรับนายใหญ่”


“ดีสิ ฉันจะได้กินเนื้อมังกรบิน ส่วนเธอดื่มน้ำแกงไปก็แล้วกัน รับรองว่ามีให้เธอดื่มจนพอแน่!” เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะอย่างอามรมณ์ดี คุยกันไปพลางเดินออกจากสนามไปบินขึ้นรถของหูเสี่ยวเซียน


มาถึงบ้านวิลล่าแถวชานเมืองของหูหงเต๋อ เพิ่งจะเข้าไปในตัวบ้านก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุย หูเสี่ยวเซียนโยนกระเป๋าทิ้งแล้วร้องตะโกนวิ่งเข้าไปในห้องครัว ท่าทางดูไม่เหมือนหญิงที่แต่งงานแล้วเลย


“ถอยไป หม้อนี้ปู่เตรียมไว้ให้กับเยี่ยเทียน ของเธอกับหยางซินอยู่ในครัวโน่น ไปยกออกมาเอง!”


หูหงเต๋อถือหม้อซุปมังกรบินออกมาจากในครัว เดินไปใช้แขนกันหลานสาวให้หลีกทาง


“เหล่าหู คุณมีน้ำใจมากเลย”


เยี่ยเทียนยิ้มเดินเข้าไปรับ เขาไม่เกรงใจอยู่แล้ว พอรับตะเกียบมาได้ก็รับประทานจนน้ำแกงหยดสุดท้ายในหม้อถูกซดเข้าปากจนเกลี้ยง


“คุณปู่ลำเอียง!”


หูเสี่ยวเซียนรู้ว่าคุณปู่จับมังกรบินกลับมาได้เจ็ดตัว แต่เหลือไว้ให้ตนกับสามีแค่สองตัว ไม่ต้องถามว่าที่เหลืออีกห้าตัวไปอยู่ในท้องของเยี่ยเทียนเป็นที่เรียบร้อย


“ไป เธอกลับหยางซินกลับห้องไปได้แล้ว ปู่กับเยี่ยเทียนมีเรื่องจะคุยกัน” หูหงเต๋อตีหน้าเคร่งขรึมไล่หลานสาวและสามีกลับเข้าห้อง


หลานสาวแยกไปแล้ว หูหงเต๋อหันมาถามเยี่ยเทียนอย่างจริงจังว่า “เยี่ยเทียน ทำไมถึงจะขึ้นเขาอีกล่ะ? หลายวันก่อนหิมะตกหนักปิดกั้นทางเขาหมดแล้ว!”


เยี่ยเทียนบอกเพียงว่าจะขึ้นเขา แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปทำอะไร


ตามจริงแล้วหากขึ้นเขาในเวลานี้ หูหงเต๋อไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ตอนกลางคืนอากาศหนาวเหน็บอุณหภูมิลดต่ำลงถึงลบสามสิบถึงสี่สิบองศา หูหงเต๋อเองยังรู้สึกทนไม่ไหว


เยี่ยเทียนไม่ตอบ ถามกลับว่า “ยังจำหินที่ได้จากมังกรดำตัวนั้นได้ไหม?”


“หินก้อนสีดำนั่นน่ะหรือ?” หูหงเต๋อได้ยินแล้วตัวสั่น “ทำไมจะจำไม่ได้เล่า ของสิ่งนั้นเกือบจะทำให้ฉันหนาวตายแล้ว เป็นของอัปมงคลจริงๆ!”


หูหงเต๋อผ่านความลำบากในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ายึดสามเมืองตะวันออกของจีน เจอมรสุมชีวิตหลายครั้ง มีเพียงประสบการณ์ครั้งนั้นที่ทำให้เขาเฉียดตายมากที่สุด


“หินก้อนนั้นมีประโยชน์กับผมมาก เหล่าหู คุณพอจะรู้ไหมว่าบนเขาฉางไป๋ซานยังมีที่ไหนที่มีหินแบบนี้อีกไหม?” เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋ออย่างตั้งความหวัง


“ไม่เคยเห็น ไม่อย่างนั้นฉันจะยังมีชีวิตรอดกลับมาหรือ?”


หูหงเต๋อส่ายหน้าอย่างแรง “นอกจากบึงน้ำมังกรดำนั้นแล้ว ไม่มีที่ไหนที่จะมีของชั่วร้ายแบบนั้นอีก ให้ตายเถอะ มันทำให้คนแข็งตายได้เชียว!”


ด้วยฝีมือของหูหงเต๋อ เขามีกำลังวังชามากเหลือ เกือบเทียบเท่ากับผู้ที่ฝึกวิชาจนได้ขั้นเปลี่ยนพลังเป็นจิตแล้ว แต่ไม่อาจต้านทานกับพลังความเย็นจากหินที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย พอนึกย้อนหลังยังอดหวาดหวั่นไม่ได้


“รอให้วิชาของคุณก้าวหน้ากว่านี้แล้วจะรู้ว่าหินนั่นเป็นของมีค่ามาก!”


เยี่ยเทียนสั่นหัว หยกอ่อนสีดำชิ้นนั้นแม้แต่เจ้าวานรขาวยังไม่รู้จัก มิฉะนั้นแล้วจะต้องมีคนที่ฝึกวิชาเต๋าอีกมากเดินทางขึ้นเขาเพื่อพลิกบึงน้ำมังกรดำตามหามัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)