หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 692-699

บทที่ 692 สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญ...

 

“หวังเป่าเล่อรึ”


ดวงตาประหลาดและรูปร่างน่าสะพรึงของหวังเป่าเล่อ ทำให้ใบหน้าของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลายคนในที่มีสีหน้าตกใจ ความไม่อยากเชื่อฉายชัดในแววตาของพวกเขา ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะปลดปล่อยตนเองออกมาจากหมอกสีแดงได้ ภาพดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงแทบเท้า เพื่อหมอบกราบหวังเป่าเล่อราวกับว่าเขาเป็นราชันแห่งดวงวิญญาณทั้งปวงทั้งดูน่าตกใจและไม่น่าเชื่อ


กระนั้นทุกคนก็ยังเป็นผู้ฝึกตนที่มากด้วยประสบการณ์การรบจากตระกูลไม่รู้สิ้น ความตกใจที่ทุกคนรู้สึกทำให้พวกเขาหันมามองหน้ากัน ก่อนจะระเบิดความเร็วจนกลายเป็นร่างพร่ามัวทั้งสี่ ที่กระโจนเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูง


พวกเขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากแต่รีบปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนเองทันที!


ชื่อหลินโบกมือเรียกชุดคลุมเต๋าสีเทาออกมา ชุดคลุมนั้นลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา ดูราวกับว่ากำลังมีคนที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นสวมใส่อยู่ ชุดคลุมปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายไปทั่วขณะพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ


ผู้ฝึกตนที่เหลือทั้งสามล้วนมีท่าไม้ตายเป็นของตนเอง คนหนึ่งสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆเพื่อเปลี่ยนร่างของตนให้กลายเป็นภาพซ้อน อีกคนกลายร่างเป็นกิ้งก่าสีดำขนาดยักษ์ที่เข้ารวมร่างกับคนแรก กิ้งก่าที่รวมร่างเรียบร้อยแล้วนี้มีปากขนาดใหญ่ ลมหายใจเหม็นเน่าโชยออกมาโดยรอบ พลังที่ปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวและพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนราวกับว่าจะฉีกทุกสิ่งที่ขวางหน้าออกเป็นเสี้ยวๆ


ส่วนคนสุดท้ายนั้นโบกมือและฉีกร่างของตนเองเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหมด เขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าร่างจริงของตนจะถูกเปิดเผย และหมายเอาชนะหวังเป่าเล่อด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของตน


ไพ่ตายของผู้ฝึกตนคนสุดท้ายนี้แปลกประหลาดที่สุดในทั้งหมด เขาก้าวเท้ามาข้างหน้า แบ่งร่างตนเองออกเป็นหลายร่าง ร่างทั้งหมดตรงมาจากทุกทิศทาง แต่ละร่างปล่อยแสงสีฟ้าเจิดจ้า ดูก็รู้ว่ามีพิษอาบไว้อย่างแน่นอน!


หวังเป่าเล่อมองทั้งสี่ปล่อยพลังของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เมื่อผู้ฝึกตนทั้งสี่กระโจนเข้าหาเขาด้วยแรงสังหาร ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก วิญญาณมากมายที่อยู่แทบเท้าหันขวับไปมองทั้งสี่ในทันที ทุกตนอ้าปากออกกรีดร้องไร้เสียง  เสียงที่ไม่ได้ยินพุ่งตรงเข้ากรีดทำลายจิตสัมผัสของผู้เคราะห์ร้าย ก่อนที่ดวงวิญญาณทุกดวงจะพุ่งเข้าใส่ทั้งสี่ในทันทีโดยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ !


ดวงวิญญาณทั้งหมดรวดเร็วและมีจำนวนมากเหลือ พวกมันไหลบ่าเข้าหาผู้ฝึกตนทั้งสี่เหมือนน้ำทะเลที่พัดโหมเข้าฝั่ง แม้จะอ่อนแอกว่าจนจำนวนที่มากมายก็ไม่อาจเอาชนะทั้งสี่คนได้ แต่พวกมันก็เป็นเครื่องถ่วงเวลาให้หวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี


คลื่นพลังปราณซัดสาดไปทั่วห้วงอวกาศในเวลานั้น หวังเป่าเล่อที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่แม้แต่จะมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในทะเลวิญญาณ ชายหนุ่มตรงไปยังหมอกที่กักขังเฟิ่งชิวหรันไว้ข้างในทันที เขาปรากฏตัวขึ้นข้างหมอกก้อนนั้นอย่างฉับพลับ ก่อนจะวางฝ่ามือขวาลงบนรอบนอกของหมอก


ในวินาทีนั้น ดวงวิญญาณที่อยู่ในกลุ่มหมอกซึ่งกำลังชอนไชเฟิ่งชิวหรันอยู่ก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พวกมันรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังทาบเงาทะมึนอยู่เบื้องบน เงาปล่อยรังสีอำมหิตเย็นเยียบออกมา และพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น


“ไสหัวไป!”


แค่ประโยคเดียวก็แทบทำให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกมันรีบหนีกระจัดกระจายทันที หมอกสีแดงต้านทานพลังของดวงวิญญาณที่กำลังหนีตายไม่ไหว จึงระเบิดในบัดดล วิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกจากหมอก เผยให้เห็นเฟิ่งชิวหรันที่หายใจรวยรินอยู่ภายใน


เฟิ่งชิวหรันเป็นผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้นางจะถูกกักขังและโดนดูดพลังชีวิตอยู่เป็นเวลานาน แต่ความคิดของนางก็ยังชัดเจนแจ่มแจ้ง รูม่านตาของเฟิ่งชิวหรันหดแคบเมื่อเห็นว่าคนที่ช่วยชีวิตนางเป็นใคร นางจำหวังเป่าเล่อได้รางๆ ดวงตาตวัดหันไปมองดวงตาสีดำขนาดใหญ่เบื้องหลังชายหนุ่มที่กำลังปิดเปลือกตาอยู่


ภาพนั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด ราวกับกำลังจ้องเข้าไปในหลุมดำที่หมุนวนอย่างไม่หยุดยั้ง เฟิ่งชิวหรันรู้สึกเหมือนวิญญาณของตนกำลังจะออกจากร่าง ด้วยความตกใจ นางรีบกัดปลายลิ้นของตนเองเพื่อใช้ความเจ็บปวดเรียกสติ นางแตกตื่นอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ทราบแม้แต่นิดว่าดวงตาสีดำนั้นคือสิ่งใด แต่รู้ว่าหวังเป่าเล่อยังไม่ได้ปลุกพลังของมันขึ้นมา กระนั้นสิ่งนี้ก็ยังทำให้สติของนางหลุดไปได้ชั่วครู่ พลังของดวงตาสีดำดวงนี้คงจะทรงพลังมากจนประเมินไม่ได้


“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”


“อาจารย์ย่าชิวหรัน ดวงวิญญาณเหล่านี้ถ่วงเวลาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น น่าเสียดายที่ไม่นานพอให้พวกเราหนีได้ทัน ท่านช่วยจัดการสักคนหนึ่งให้ข้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มโบกมือขวาเพื่อหยิบขวดโอสถมากมายออกมา


เสียงของชายหนุ่มสงบเย็น เป็นความเย็นที่แตกต่างจากความเย็นของร่างกายเขา รวมถึงบรรยากาศน่าสยองขวัญที่ดวงตาซึ่งลอยอยู่เบื้องหลังชายหนุ่มแผ่ออกมาเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั้งเสียงของหวังเป่าเล่อที่สะท้อนอยู่ในหัวของเฟิ่งชิวหรันก็ยังเย็นเยียบ


“ได้!” เฟิ่งชิวหรันหยิบขวดโอสถมาดื่มในอึกเดียว นางพยักหน้าอย่างเด็ดขาด ตวัดสายตาไปมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ และเริ่มโจมตีคนหนึ่งที่ยังเคลื่อนไหวไม่ได้ทันที


เมื่อเฟิ่งชิวหรันปล่อยการโจมตีใส่ สีหน้าของผู้ฝึกตนคนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นตกใจ ทั้งสองเปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด พลังปราณซัดออกมาเป็นคลื่นจากแรงปะทะ


มีผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณเหลืออยู่อีกสามคน ดวงตาของหวังเป่าเล่อตวัดผ่านทั้งสาม มาหยุดอยู่ที่ชื่อหลิน


“เห็นทีจะต้องรีบจัดการเสียหน่อย…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำกับตนเอง เขาก้าวเพียงก้าวเดียวไปหาชื่อหลิน เมื่อเท้าสัมผัสลงพื้น เส้นปราณสีโลหิตก็กระจายออกจากร่าง เข้าห่อหุ้มร่างกาย และกลายเป็นชุดเกราะจักรพรรดิ!


ร่างกายของเขาผอมลงมาแล้ว จึงแปลว่าเกราะจักรพรรดิไม่ได้ดูใหญ่มหึมาเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่พลังงานกระหายเลือดที่ปล่อยออกมาไม่ได้ยิ่งหย่อนลงจากเดิมแม้แต่น้อย ดวงตาสีดำเบื้องหลังหวังเป่าเล่อยิ่งทำให้ชุดเกราะดูน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีก ราวกับชายหนุ่มได้กลายไปเป็นเทพปีศาจอย่างไรอย่างนั้น เขาก้าวครั้งที่สองมาหยุดอยู่ข้างชื่อหลิน ยกมือซ้ายขึ้นส่งหมัดไปข้างหน้า!


หมัดนั้นอัดแน่นด้วยพลังของกระบวนเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา เกราะจักรพรรดิ วิญญาณจุติดวงดารา รวมถึงดวงตาปีศาจ!


พลังของทุกกระบวนเวทที่ผนึกรวมกัน ทำให้หมัดก้าวผ่านขีดจำกัดของขั้นจุติวิญญาณไปเรียบร้อย และเป็นพลังที่ร่างกายของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไม่อาจทานทนได้ แต่หวังเป่าเล่อมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมากนัก และเกราะจักรพรรดิก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาทนต่อพลังนี้ได้ ชายหนุ่มจึงสามารถปล่อยการโจมตีที่แซงหน้าขีดจำกัดของพลังขั้นจุติวิญญาณออกมาได้!


หมัดที่ปล่อยออกมาไม่เพียงเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่มันแซงหน้าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นไปเป็นที่เรียบร้อย จนมาหยุดอยู่ที่ชั้นกลางเลยทีเดียว!


สีหน้าของชื่อหลินหวาดหวั่นขึ้นมาทันที เขากู่ร้อง โบกแขนทั้งสองขึ้นเพื่อส่งชุดคลุมเต๋าสีเทาที่ลอยอยู่เหนือศีรษะออกไปข้างหน้า ชุดคลุมสีเทาลอยลงมาข้างล่างอยู่เบื้องหน้าเขา เพื่อเตรียมพร้อมต้านทานการโจมตีของหวังเป่าเล่อ


นอกจากนี้ชื่อหลินยังเตรียมตัวล่าถอยอย่างรวดเร็ว เขาตบหน้าผากของตนเองอย่างแรงเพื่อทิ้งร่างเปลือกนอกเอาไว้ เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ภายใน


มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเขาก็เดินหน้าทำตามแผนอย่างรวดเร็ว แต่ก็สายเกินไป!


ขณะที่ชุดคลุมสีเทาบินออกมาด้านหน้าชื่อหลิน ส่วนเจ้าตัวก็กระโจนล่าถอยไปข้างหลัง ประกายแสงก็วาบเข้ามาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ดวงตาสีดำเบื้องหลังชายหนุ่มที่หลับมาตลอด ก็พลัน…ลืมตาขึ้น!


จักรวาลสั่นสะเทือน ความเงียบสงัดเข้าปกคลุม ทั้งห้วงอวกาศ เวลา และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดหยุดนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว!


ชื่อหลินก็หยุดนิ่งเช่นกัน เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับเส้นด้ายที่เชื่อมร่างกายกับวิญญาณได้ขาดสะบั้นลง ความคิดทั้งหมดทั้งมวลสูญหายไปจากจิตใจ ชื่อหลินยืนนิ่งสนิทอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ผู้ที่เดินผ่านชุดคลุมสีเทาและเจ้าของของมันไปภายในพริบตา แขนขวาของชุดเกราะจักรพรรดิสว่างวาบด้วยแสงของอาวุธเทพ


ช้าเกินไปที่จะหนีการโจมตีหรือโต้กลับ และช้าเกินไปสำหรับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่จะออกจากร่างเปลือกนอกของตน แขนอาวุธเทพฟาดไปข้างหน้าเพียงครั้งเดียว และการต่อสู้นี้ก็ปิดฉากลง… เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ศีรษะของชื่อหลินปลิวไปในอากาศ เมื่อหัวหลุดจากบ่า ร่างของเขาก็เหี่ยวย่นลงในทันที เลือดและเนื้อถูกเกราะจักรพรรดิสูบเข้าไปจนหมดสิ้น วิญญาณของชื่อหลินถูกดวงตาสีดำกลืนกินเข้าไปในตอนเดียวกันนั้น เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ข้างๆ ดวงตาสีดำ มีดวงตาที่ปิดสนิทขนาดเท่ากำปั้น…ถือกำเนิดขึ้น!


ง่ายเพียงเท่านี้เองหรือ การสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หวังเป่าเล่อหลับตาลง รู้สึกได้ถึงพลังปราณอีกชนิดที่ไหลวนอยู่ภายในกาย ดวงตาปีศาจของเขาแข็งแกร่งขึ้น และกำลังคืบคลานใกล้ระดับที่สี่ของกระบวนเวทนี้เข้าไปทุกที


สีหน้าของชายหนุ่มราบเรียบ ไร้ซึ่งความยินดีหรือความเศร้าโศก นี่คือราคาที่ต้องจ่ายจากการฝึกกระบวนเวทดวงตาปีศาจ เขาไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วขณะปลิดชีวิตผู้อื่น อันที่จริงแล้ว ความรู้สึกหิวกระหายที่บอกไม่ถูกกำลังค่อยๆ เปิดเผยตัวขึ้นในจิตใจ มันคือความรู้สึกหิวกระหายการฆ่า


น่าสนใจดี แปลว่าดวงตาปีศาจนี้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเองด้วยหรือนี่ มันกำลังพยายามจะควบคุมข้าเช่นนั้นหรือ… หวังเป่าเล่อประเมินแววหิวกระหายในจิตใจตนเอง ก่อนหันไปมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สองที่ถูกขังอยู่ ความเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตาอีกครั้งขณะก้าวเดินไปหาเหยื่อรายที่สอง!



 

 

 


บทที่ 693 ดวงตาปีศาจระเบิด

 

ตอนที่ร่างกายของเขาบรรลุความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ หวังเป่าเล่อสามารถปล่อยความเร็วได้เท่าพลังของขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย ความเร็วโดยปกติของเขาก็มากกว่าคนในระดับเดียวกันอยู่โขแล้ว แต่เมื่อมีเกราะจักรพรรดิมาช่วยเสริมพลัง เขาก็เข้าใกล้ความเร็วขั้นเชื่อมวิญญาณในทันที นอกจากนี้วิญญาณจุติดวงดารายังเสริมพลังขึ้นไปอีก สุดท้ายแล้วเมื่อมีกระบวนเวทดวงตาปีศาจ ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าน่าตกใจ!


หากเป็นการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งตามปกติ ความเร็วระดับนี้คงไม่ดีเทียบเท่าการเคลื่อนย้าย แต่มันก็มีข้อดีที่การเคลื่อนย้ายให้ไม่ได้เช่นกัน การเพิ่มความเร็วทำให้สามารถสะสมพลังงานได้ ทฤษฎีนี้ได้รับการพิสูจน์จากสหพันธรัฐเมื่อหลายพันปีมาแล้ว พลังงานเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของความเร็วแบบสะสม!


พลังกายของหวังเป่าเล่อเมื่อได้รับการเสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิ บวกกับความเร็วอันผิดธรรมดาของเขา รวมกันออกมาเป็นพลังอันแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ ที่กำลังพุ่งตรงเหมือนดาวหางเข้าไปหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สอง เขากระโจนด้วยเสียงกึกก้องเหมือนฟ้าคำราม ผ่านทะเลดวงวิญญาณมากมายในเสี้ยววินาที ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สองยืนนิ่งด้วยความตกใจ รูม่านตาหดแคบ ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าโจมตีด้วยพลังที่เทียบเท่าดาวหาง!


ผู้ฝึกตนคนนั้นร้องเสียงหลง เมื่อความตายมายืนตระหง่านให้เห็นตรงหน้า เสียงเตือนก็ดังกรีดก้องในหัว เขายกแขนทั้งสองขึ้นอย่างฉับพลัน แขนอีกสี่ข้างแทงทะลุลำตัวออกมา สองมือกำหมัดแน่น อีกสองแบมือออก และสองมือสุดท้ายก็สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ผู้ฝึกตนผู้นี้พยายามป้องกันตนเองเต็มที่เพื่อหยุดการโจมตีของหวังเป่าเล่อ


สายฟ้าฟาดกระหน่ำ ท้องฟ้าสั่นสะเทือน พลังงานพุ่งสูงขึ้นจนท่วมไปทั่วบริเวณ พลังปราณนั้นกระเพื่อมไปในห้วงอวกาศเหมือนคลื่นยักษ์ที่ถาโถม ดวงวิญญาณมากมายกรีดร้องและรีบล่าถอยในทันที ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกระอักเลือดออกมายกใหญ่ ร่างกายถูกซัดไปด้านหลัง ความตกใจฉายชัดบนใบหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ขณะพยายามหาทางหนี


แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่อีกครั้งด้วยความเร็วเทียบเท่าดาวหาง ดวงตาสีดำที่อยู่เบื้องหลังเขาเปิดออกอีกครั้ง พลังที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนิ่งสนิทอยู่กับที่ถูกปลดปล่อยออกมา ชายหนุ่มได้ยินเสียงคำรามที่อยู่ภายในใจ เสียงคำรามที่สั่งให้เขาฆ่า


ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่กำลังหนีตายอย่างบ้าคลั่ง หยุดนิ่งสนิทอยู่กับที่ทันทีที่ดวงตาสีดำเปิดออก ดวงตางงงวยเหมือนต้องมนต์สะกด ดวงตาสีดำเบื้องหลังหวังเป่าเล่อจ้องมอง สายตาของมันราวกับแปรสภาพเป็นคุกที่กักขังผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเอาไว้ภายใน ทำให้เขาชะงักค้างอยู่กลางอากาศ!


หากมีเวลามากพอ เขาอาจต้านทานพลังนี้ได้จนถึงขั้นหนีออกไปได้โดยง่ายด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้เขากำลังต่อสู้ในการต่อสู้ที่อาจพรากชีวิตไปจากเขา ดังนั้นทุกเสี้ยววินาทีจึงมีความหมาย!


ราคาที่ต้องจ่ายจากการหยุดชะงักไปนั้นช่างแพงเหลือเกิน หวังเป่าเล่อเข้าประชิดตัวในทันที ชายหนุ่มไม่ต้องใช้พลังของอาวุธเทพเสียด้วยซ้ำ เขายกมือขวาขึ้นกดฝ่ามือลงไปบนศีรษะของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น!


แล้วปล่อยพลังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีออกมา!


ร่างของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเหี่ยวเฉาลงท่ามกลางเสียงระเบิดกึกก้อง มันหดตัวลงยุบเข้าไปในมวลของตนเอง ราวกับลูกบอลที่ถูกรีดจนไร้อากาศ!


แต่ยังไม่จบแค่นั้น ชายหนุ่มยังปล่อยพลังของกระบวนเวทดวงตาปีศาจออกมาด้วย!


วิญญาณของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นถูกกระชากออกจากร่างในบัดดล เปลี่ยนสภาพเป็นแสงสีเงินเรืองรองที่พุ่งเข้าหาดวงตาสีดำ ดวงตาดวงที่สามถือกำเนิดขึ้นเบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่ไร้ซึ่งเลือด เนื้อ และวิญญาณ แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี สีเทาที่ลอยล่องรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับห้วงอวกาศ


ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สามที่ถูกวิญญาณกักขังอยู่ และคนที่สี่ซึ่งกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเฟิ่งชิวหรันเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองตกใจจนเรียกสติไว้ไม่อยู่ ความรู้สึกไม่อยากเชื่อที่อธิบายไม่ถูกถาโถมเข้ามาในจิตใจ อารมณ์ที่กำเนิดจากการโจมตีของหวังเป่าเล่อไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ พลังที่เขาสำแดงให้เห็นน่ากลัวเกินไป!


เขาสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทิ้งไปสองคนภายในระยะเวลาอันสั้น เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะก่อความกลัวให้ทวีคูณขึ้นในใจของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อดูน่าเกรงกลัวยิ่งไปกว่านั้น คือรูปลักษณ์ของเขา และเคล็ดเวทลึกลับที่เขาใช้


สิ่งที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อคือดวงตาสีดำขนาดใหญ่หนึ่งดวงและขนาดเล็กสองดวง พวกมันขยับสั่นไหวในท่วงท่าที่แสนประหลาด ราวกับกำลังดูดกลืนบางสิ่งอยู่ ดวงตาเหล่านั้นทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องขนหัวลุก เป็นความรู้สึกเดียวกันกับการได้เผชิญหน้าอสูรกายที่ทั้งน่าเกลียดน่ากลัว และทั้งน่าประหวั่นพรั่นพรึง


นั่นมันกระบวนเวทอะไรกัน


พลังนี้ดูเหมือนจะเข้าครอบงำกฎแห่งเต๋า เป็นการเล่นกับพลังงานของจิตเวทแห่งเต๋าโดยตรง ปกติแล้วมันเป็นพลังที่ต้องมีปราณอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก่อนถึงจะทำได้ แล้วหมอนี่ทำได้อย่างไรกัน


ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ยังรอดชีวิตทั้งสองทั้งตกใจทั้งสยองขวัญ พวกเขาหมดสิ้นซึ่งความกระหายอยากต่อสู้ สิ่งเดียวที่คิดได้ในตอนนี้คือต้องหนีไปให้ไกล แต่คนหนึ่งก็ติดอยู่ในการต่อสู้กับเฟิ่งชิวหรัน และอีกคนถูกดวงวิญญาณที่อยู่ใต้การควบคุมของหวังเป่าเล่อกักขังเอาไว้ ไม่มีทางเลยที่ทั้งสองจะหนีออกไปได้ในเวลาอันสั้น ความกระวนกระวายถาโถมเข้ามาในจิตใจพวกเขา


ขณะที่ทั้งสองกำลังขนลุกขนพองด้วยความหวาดหวั่น เฟิ่งชิวหรันก็กำลังอยู่ให้ห้วงความตกใจเช่นกัน นางรู้สึกเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อนำเคล็ดวิชาใหม่ๆ ออกมาใช้งาน ดวงตาที่เป็นของใหม่ล่าสุดนี้ทำให้รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามที่แท้จริง


ความรู้สึกยำเกรงของเฟิ่งชิวหรันไม่ได้ส่งตรงไปที่ตัวหวังเป่าเล่อ แต่เป็นดวงตาที่ลอยอยู่ข้างหลังเขา พลังงานที่มันปล่อยออกมาเป็นความชั่วร้ายของปีศาจอย่างแท้จริง เป็นความร้ายกาจดำสนิทที่ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างจืดชืดกลายเป็นเพียงกระดาษขาว!


หลังจากที่กินร่างกายและวิญญาณของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าไปสองคน หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากปกติแต่อย่างใด เขายังดูเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่ก็รู้สึกได้ว่าภายในกายของเขามีจิตหนึ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นจากวิชาดวงตาปีศาจ ยิ่งเขาฆ่ามากเท่าใดดวงจิตนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


ประหลาดดี หนังสือที่ข้าอ่านตอนอยู่ในนิมิตมืดไม่เห็นบอกไว้เลย ว่าไอ้ดวงตาปีศาจนี่มันมีความคิดจิตใจเป็นของตนเอง หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องนี้ในตอนนี้ แม้ดวงตาที่มีความคิดเป็นของตนเองจะถือว่าอันตราย แต่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คืออันตรายที่ใกล้ตัวยิ่งกว่า


ไม่มีเหตุผลให้ต้องกังวลเรื่องอนาคต หากเอาตัวรอดจากปัจจุบันไม่ได้ ชายหนุ่มหรี่ตาที่วาบด้วยแววเย็นเยียบ เขาก้าวออกไปข้างหน้า พุ่งตรงเข้าหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สามที่ถูกดวงวิญญาณกักขังไว้


เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนแรก ไปจนถึงตอนที่เขาคิดถึงอันตรายจากดวงตาที่มีความคิดเป็นของตนเอง มันเป็นความคิดที่ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากตัวเขา ตอนนี้หวังเป่าเล่อกำลังพุ่งเข้าหาเหยื่อรายที่สามซึ่งกำลังร้องคำรามด้วยความโกรธ จิตใจเอ่อท่วมด้วยความความกลัวจับขั้วหัวใจ จนทำให้สติแทบหลุด


เขารู้ดีว่าตนเองสู้หวังเป่าเล่อไม่ได้ เฝ้ามองดวงตาสีดำที่เปรียบเสมือนพลังของจิตเวทแห่งเต๋าที่แสนยิ่งใหญ่ค่อยๆ คืบเข้ามาใกล้ และรู้ดีว่าตนเองต้องมีชะตากรรมไม่ต่างจากเพื่อนร่วมสำนักที่ไม่มีแม้กระทั่งร่างไร้วิญญาณให้ดูต่างหน้า!


เมื่อเทียบกันแล้ว การตายแบบที่ยังเหลือร่างเอาไว้ดีกว่าอย่างเทียบไม่ติด โดยเฉพาะในยามที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าถึงอย่างไรก็หนีความตายไปไม่พ้น ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนที่สามหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ความฟั่นเฟือนวาวแสงโรจน์ในดวงตา ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ เขาก็ระเบิดตนเอง ร่างเปลือกนอกของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลฉีกขาด เผยให้เห็นศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลไม่รู้สิ้น


“มีแต่ข้าเท่านั้นที่กำหนดความตายของตนเองได้!” พลังทำลายตนเองซึ่งอัดแน่นอยู่ในร่างที่เพิ่งเผยโฉมถูกปลุกขึ้นในทันที


ฉับพลันที่พลังทำลายตนเองพุ่งสู่บรรยากาศภายนอก และเริ่มทำลายร่างของเจ้าของพลัง…ดวงตาทั้งสามเบื้องหลังหวังเป่าเล่อก็เปิดออก ความคิดของชายหนุ่มสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ และในจิตใจของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณผู้นั้น ผู้ซึ่งดวงวิญญาณกำลังแตกสลาย


“เจ้าคิดผิดแล้ว”


นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยิน คลื่นพลังทำลายล้างหยุดนิ่งอยู่กับที่ในอากาศ ถูกแช่แข็งเอาไว้ด้วยสายตาทั้งสามที่จ้องมองมา หวังเป่าเล่อก้าวผ่านผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้น พร้อมดึงเลือดเนื้อที่กำลังแหลกสลาย รวมถึงวิญญาณที่ถูกทำลายไปส่วนหนึ่งเข้าหาตนเอง


ดวงตาทั้งสามเบื้องหลังชายหนุ่มหลับลงอีกครั้ง ความเงียบงันเข้าปกคลุม และดวงตาดวงที่สี่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา!


ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังสะเทือนมาจากสวรรค์เบื้องบน


“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” เสียงที่คุ้นเคยนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโยวหรัน หวังเป่าเล่อจัดการคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่หายไปถึงสามคนก็ทำให้โยวหรันจับความรู้สึกได้ แม้จะบันดาลโทสะ แต่โยวหรันก็ออกจากเรือบินรบไม่ได้ กระนั้นชายชราก็ยังเลือกที่จะโจมตี!


การโจมตีไม่ได้มาจากตัวเขาเอง…หากแต่ด้วยเรือบินรบเต๋ามรณะ!


เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวทำให้อวกาศสั่นสะเทือน ตามมาด้วยลำแสงสีแดงกว้างสามกิโลเมตรที่สาดออกมาจากดาวพุธ ลำแสงนั้นพุ่งตรงตัดผ่านห้วงอวกาศ ก่อให้เกิดหลุมดำขึ้นมากมายตามทางที่มันพุ่งผ่าน และมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรันในทันที!


พลังนั้นทั้งรวดเร็วและทรงพลัง ความเร็วและความรุนแรงของมันเทียบเท่าแสงสว่าง และเจิดจ้าไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ลำแสงสีแดงส่งพลังทำลายล้างที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ออกมา จนอาจทำลายทั้งสองได้เป็นจุณในเสี้ยววินาที!


อันตรายใหม่ที่มาเยือนโดยไม่ทันคาดคิดนี้ ไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจแต่อย่างใด เขาหันไปมอง แววตาสว่างจ้าด้วยความบ้าคลั่ง ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นชายหนุ่มก็ส่งพลังจากมือของตนออกไปสู่บรรยากาศภายนอก มุ่งตรงไปยังทิศที่ลำแสงนั้นกำลังเดินทางมา พลังงานจากลำแสงกระเพื่อมไปในบรรยากาศ เผาเส้นขนของเขาให้มอดไหม้


“ดวงตาปีศาจ จงระเบิด!”



 

 

 


บทที่ 694 หมดทางหนี!

 

ดวงตาทั้งสี่ดวงประกอบไปด้วยหนึ่งดวงตายักษ์และอีกสามดวงตาขนาดเล็กเท่ากำปั้น ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ดวงตาทั้งสามที่เกิดใหม่พุ่งตรงจากด้านหลังของชายหนุ่ม มาปรากฏเบื้องหน้าเขา อยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าของพลังและลำแสงสีแดง ก่อนจะลืมขึ้นพร้อมกัน!


แต่คราวนี้พลังที่ส่งออกมาจากการลืมขึ้นของดวงตาแตกต่างไปจากทุกที นอกจากมันจะมีพลังทำให้ทุกสิ่งหยุดชะงักอยู่กับที่แล้ว รังสีที่ดวงตาทั้งสามปล่อยออกมายังอาบไปด้วยพลังทำลายล้างมหาศาล ก่อนที่ลำแสงสีแดงจะทันได้ไหลท่วมดวงตาทั้งสาม พวกมันก็ชิงระเบิดเสียก่อน!


คลื่นพลังปราณรุนแรงพุ่งออกจากดวงตาทั้งสาม สร้างแรงต้านที่แม้จะไม่เทียบเท่าการโจมตีจากลำแสงของเรือบินรบเต๋ามรณะ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ลำแสงขนาดใหญ่แตกออกเป็นสายได้ ลำแสงสีแดงกระจายออกเป็นเส้นแสงเล็กๆ ที่เจิดจ้าน้อยลง ส่งผลให้พลังงานของมันที่เคยร้ายแรงในตอนแรกทุเลาลงไป


กระนั้นการโจมตีที่อ่อนกำลังลงไปแล้ว ก็ยังทำให้หวังเป่าเล่อต้องถอยร่นไปด้านหลังหลายร้อยเมตร และทำให้อวัยวะภายในของเขาปั่นป่วนอยู่ด้านในเกราะจักรพรรดิ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก ทว่าเฟิ่งชิวหรันเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากกว่า นางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากอาการบาดเจ็บล่าสุด นอกจากนี้ยังถูกกลืนกินวิญญาณและบดบังจิตใจจากกรงขังหมอกแดงก่อนหน้านี้ ลำแสงสีแดงทำให้เฟิ่งชิวหรันเลือดไหลออกจากมุมปาก ขณะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะล่าถอยไป ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่นางต่อสู้ด้วยเมื่อครู่ ถือโอกาสนี้ปล่อยพลังเวทให้ตนรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสง และหลบหนีไปได้ในที่สุด!


แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น โยวหรันโกรธเกรี้ยวหนักกับความประมาทของตน และรับไม่ได้กับการสูญเสียกำลังพลสำคัญจำนวนไม่น้อยของตนเอง ความเกลียดชังในตัวหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงขึ้น แตะถึงจุดที่หากไม่สังหารหวังเป่าเล่อเสีย เขาคงไม่มีวันสบายใจ


นั่นเพราะ…ในครั้งนี้เขาเป็นคนเปิดฉากโจมตีเอง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าเขาทุ่มหินใส่เท้าตนเอง หากชายชราไม่คิดจะใช้หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นเหยื่อเพื่อล่อให้ยานรบของสหพันธรัฐออกมา เขาคงไม่ใช้วิชาหล่อวิญญาณพินาศ และหวังเป่าเล่อก็คงไม่ใช้กระบวนเวทนี้มาแทงข้างหลังเขา จนทำให้เขาต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายถึงเพียงนี้


“หวังเป่าเล่อ ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้!” โยวหรันนั่งอยู่ภายในเรือบินรบเต๋ามรณะบนดาวพุธ ผมเผ้าหลุดลุ่ยไม่เป็นทรง ประกายสีแดงวาวโรจน์ในดวงตา เบื้องหน้าของเขาคือสระน้ำที่มีร่างหนึ่งอยู่ในนั้น!


ร่างนั้นเต็มไปด้วยรอยแตก ราวกับนำชิ้นส่วนหลายชิ้นมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นร่างเดียว ร่างนั้นคือสิ่งที่หวังเป่าเล่อระเบิดทิ้งก่อนหน้านี้ หัวใจหลักของพลังแห่งเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น ชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะนั่นเอง!


โยวหรันพยายามรวมร่างเข้ากับชุดคลุมขณะที่เดินหน้าซ่อมแซมเรือบินรบ จึงไม่มีโอกาสออกจากตัวเรือไปได้ กระนั้นความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อในใจของชายชราก็รุนแรงยิ่งนัก จนแม้จะออกจากเรือไปไม่ได้ แต่ก็ยังปลีกตัวไปจัดการภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นด้วยวิธีอื่น และลำแสงที่เขาส่งออกไปก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังต่อสู้กับลำแสงนั้น โยวหรันก็ส่งคำสั่งใหม่ออกไป คำสั่งนั้นส่งตรงไปถึงผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ซ่อนตัวอยู่ในอวกาศ พร้อมที่จะซุ่มโจมตีเรือบินรบสหพันธรัฐ


ทุกคนกำลังรอคำสั่ง และเร้นกายห่างออกไปจากสมรภูมิรบ จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่โลกภายนอก ทันทีที่ได้รับคำสั่ง สีหน้าของบรรดาผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในเรือบินรบก็ฉายแววตื่นตระหนกชัดเจน พวกเขารีบกระจายคำสั่งออกไปทันที เรือบินรบเผยตัวตนให้ทุกคนได้เห็นในวินาทีนั้น เบนหางเสือไปยังสนามรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก พวกเขากระจายตัวออกเป็นครึ่งวงกลม และพุ่งเข้าใส่สนามรบนั้นทันที!


เพื่อให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อจะไม่รอดแน่นอน หลังจากส่งคำสั่งสังหารออกไปเรียบร้อยแล้ว โยวหรันก็กัดฟันและกดมือลงบนชุดคลุมที่ขาดรุ่งริ่งหมดสภาพเบื้องหน้าตน ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้กระบวนเวทใด แต่ดวงตาของชุดคลุมที่หลับอยู่ก็พลันลืมขึ้น!


ดวงตาของชุดคลุมวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชังหวังเป่าเล่อ และเป็นแววตาเดียวกับโยวหรันไม่ผิดเพี้ยน!


“หวังเป่าเล่อ!” ชุดคลุมเอ่ยปาก มันยกนิ้วชี้ขวาขึ้นด้วยความยากลำบาก เพื่อชี้ไปที่ผิวของสระน้ำ นิ้วนั้นจุ่มลงไปในน้ำเล็กน้อย เรือบินรบที่สร้างมาจากเศษเสี้ยวของเต๋าสวรรค์สั่นสะเทือนในบัดดล พลังงานสีดำกระเพื่อมเป็นระลอก ขณะที่คลื่นพลังปราณกระจายออกสู่ห้วงอวกาศ ความเร็วในการดูดพลังจากต้นกำเนิดดาราของดาวพุธเพิ่มมากขึ้น เรือบินรบกวาดเอาพลังงานทั้งหมดเข้ามาใส่ตน ในตอนนั้นเอง ก้อนพลังงานหนึ่งก็พุ่งออกไปสู่อวกาศ และเล็งเป้าไปที่หวังเป่าเล่อ!


สีหน้าของชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายเปลี่ยนไปทันที ดวงตาปีศาจและเกราะจักรพรรดิไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่วิญญาณจุติดวงดาราของหวังเป่าเล่อเปิดดวงตาของมันขึ้นในวินาทีนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวภัยอันตรายที่เข้ามาใกล้พวยพุ่งออกจากวิญญาณจุติ ไหลเข้าท่วมทุกประสาทสัมผัสในกายของหวังเป่าเล่อ


“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!” ความรู้สึกอันตรายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงแทบระเบิดเข้าครอบงำชายหนุ่ม ทำให้เขาต้องระเบิดความเร็วในทันที เขาพุ่งหนีออกไปในระยะไกล เฟิ่งชิวหรันไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นแววจริงจังในดวงตาของหวังเป่าเล่อ นางก็ไม่พูดอันใด รีบตามเขาไปทันทีโดยไม่มีข้อกังขา


แต่บริเวณนั้นทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโยวหรันเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีที่ใดที่ทั้งสองจะหลบหนีไปได้พ้น เรือบินรบที่ซ่อนอยู่ในความมืดของห้วงอวกาศปรากฏตัวขึ้นตามคำสั่งของโยวหรัน การเรียงตัวเป็นครึ่งวงกลมทำให้ฝูงเรือบินรบกวาดพื้นที่ไปได้มหาศาล ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะหันหน้าไปทิศใด ก็ยังเห็นเรือบินรบของศัตรูอยู่ในวิสัยเสมอ


เรือบินรบนับสิบลำเริ่มจับการเคลื่อนไหวของเขาได้ พวกมันสร้างวงแหวนปราณขึ้นอย่างรวดเร็ว กองทัพผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างเปลือกนอก แห่กันออกมาจากเรือบินรบ และพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อในทันที


ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าเกรงกลัวของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ แต่ก็พอเดาได้ด้วยตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากคำสั่งที่ได้รับจากโยวหรัน ส่วนผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็หน้ามืดตามัวด้วยความโลภจากการอยากได้แต้มการรบ ทุกคนต้องการสังหารหวังเป่าเล่อเพื่อรับรางวัลก้อนใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่เขลา หลายคนรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แค่ดวงตาสีดำขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อก็มากพอที่จะทำให้ใครต่อใครพากันขนหัวลุก


ด้วยเหตุนี้…แม้ทุกคนจะพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มด้วยความเร็วคงที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครอยากเป็นคนแรกที่เปิดฉากโจมตีและตายคาสนามรบ สิ่งที่พวกเขาตั้งใจจะทำคือถ่วงหวังเป่าเล่อเอาไว้ในสนามรบ และควบคุมเขาไม่ให้หนีไปไหนได้ ซึ่งดูเป็นวิธีการปลอดภัยที่จะยังทำให้พวกเขาได้แต้มการรบมาครอบครอง และนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยมทีเดียว แต่แน่นอนว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับหวังเป่าเล่อ


ชายหนุ่มยังคงถูกความกระวนกระวายใจเกาะกุม ความรู้สึกถึงอันตรายยังก่อตัวอยู่ภายในและกัดกินดวงวิญญาณของเขา แววสังหารในดวงตาทวีความรุนแรงขึ้น อวัยวะภายในกรีดร้อง หากเขาปล่อยให้ตนเองถูกถ่วงอยู่ตรงนี้ เขาย่อมต้องตายโดยไม่มีข้อสงสัยอย่างแน่นอน!


ทางเดียวที่จะรอดไปได้อาจไม่ใช่การหนี แต่ข้า…ต้องสังหารมันให้หมด! ชายหนุ่มเป็นคนเด็ดขาด เมื่อตัดสินใจได้ เขาก็หรี่ตาลงและเปลี่ยนทิศทางของตนเองทันที เบื้องหน้าของเขาคือเรือบินรบจำนวนมากที่กำลังพุ่งเข้าใส่ วงแหวนปราณเจิดจ้า และกองทัพผู้ฝึกตนมากมาย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถอยหนี เขากลับเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นและพุ่งเข้าใส่ศัตรู!


วิชาเกราะจักรพรรดิ!


หวังเป่าเล่อคำรามก้องอยู่ในใจ ชุดเกราะที่สวมใส่อยู่เปลี่ยนรูปร่าง เส้นปราณโลหิตมากมายระเบิดออกมาจากชุดเกราะ และเต้นเร่าอยู่รอบกาย เปลี่ยนชายหนุ่มให้กลายเป็นอสูรร้ายที่น่าพรั่นพรึง!


เขาไม่สนใจพลังแสงที่วงแหวนปราณของเรือบินรบปล่อยออกมา และปล่อยให้มันพุ่งเข้าหาตนเอง ลำแสงเหล่านั้นทำให้พลังปราณรอบกายเขาสั่นไหว แต่พลังงานเหล่านั้นก็ถูกเส้นปราณโลหิตของเขาหยุดเอาไว้ ลำแสงตัดเส้นปราณขาด แต่ก็เข้าไม่ถึงตัวหวังเป่าเล่อ ทันทีที่เส้นปราณถูกทำลาย เส้นปราณโลหิตเส้นใหม่ก็งอกขึ้นมาแทนที่!


ชายหนุ่มดูเหมือนรถศึกที่ไร้เทียมทาน ไร้ซึ่งข้อผิดพลาด และทรงพลังเหลือคณนา!


ดวงตาปีศาจ!


เส้นปราณสีแดงยังคงถูกลำแสงทำลายกลายเป็นเถ้าธุลี ก่อนจะถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ยังไม่เปิดออก แต่ดวงจิตเบื้องหลังเปลือกตากำลังเต้นเร่าด้วยความหิวกระหาย มันส่งแรงอาฆาตและความกระหายเลือดเข้าสู่จิตใจของหวังเป่าเล่อ ความต้องการฆ่านั้นรุนแรงมากเสียจนทำให้อวกาศที่รายล้อมดวงตาสีดำบิดเบี้ยวคดงอ


เฟิ่งชิวหรันตัวสั่นเทา หวังเป่าเล่อกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนางไปในวินาทีนั้น แต่ผู้ที่กลัวที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้น ที่เพิ่งเหาะออกมาจากเรือบินรบ หมายหยุดหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันไม่ให้หนีไปได้


“นั่นมันบ้าอะไรกัน”


“เจ้านั่นคือหวังเป่าเล่อหรือ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”


“หมอนั่นดูแปลกๆ นะ!” ความตื่นตระหนกตกใจเข้าครอบงำจิตใจของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาพยายามหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว หวังเป่าเล่อกระโจนเข้าใส่ ดวงตาสีดำเบื้องหลังลืมขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว!


ดวงตาสีดำไร้ซึ่งตาขาว นัยน์ตาดำสนิทของมันปล่อยความรู้สึกแสนประหลาดออกมา ราวกับว่า…ทุกคนกำลังจ้องเข้าไปยังดวงตามนุษย์จริงๆ อย่างไรอย่างนั้น!


ความรู้สึกนั้นอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้าย ความบ้าคลั่ง และความกระหายเลือดเข้มข้น แววตาของมันรุนแรงชัดเจนจนทำให้ทุกสิ่งหยุดการเคลื่อนไหว!


ปรากฏการณ์นี้แพร่กระจายไปทั่วห้วงอวกาศที่พร่างพราวด้วยดวงดาว เหล่าผู้ฝึกตนยืนจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์ ขณะที่ชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่พวกเขา!


สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดเกราะจักรพรรดิ คือหวังเป่าเล่อที่กำลังมีเลือดไหลออกจากมุมปาก เขาพยายามใช้พลังของดวงตาควบคุมผู้ฝึกตนที่มีจำนวนมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว จนทำให้พลังนี้ย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง


เจ็บก็เจ็บ ข้าต้องการดวงตาจำนวนมากมาต่อกรกับภัยที่กำลังมาเยือน! ความต้องการสังหารวาบผ่านดวงตาของชายหนุ่มขณะที่พุ่งเข้าโจมตี!



 

 

 


บทที่ 695 หัตถ์จิตวิญญาณอมตะ!

 

ตั้งแต่เริ่มเดินไปในเส้นทางของการฝึกตน หวังเป่าเล่อก็ผ่านประสบการณ์เสี่ยงตายมามากมาย เขาต้องเผชิญหน้ากับต้นไม้ยักษ์ หนีเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ภัยพิบัติบนดวงจันทร์ พยายามรักษาชีวิตตนในวัตถุเวทแห่งความมืดที่ใต้ดินดาวอังคาร และยังต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมายบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เหตุการณ์เหล่านั้นอาจฟังดูผ่านไปได้ด้วยดี แต่ความจริงแล้ว หากก้าวพลาดแม้เพียงก้าวเดียว สิ่งที่เหลืออยู่คงจะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ เถ้ากระดูก และเศษธุลี


การสังหารหมู่นี้ดำเนินไปหลังจากที่เรือบินรบลำแรกพุ่งเข้าโจมตี ชายหนุ่มไม่รู้แล้วว่าตนเองสังหารผู้ฝึกตนไปมากเท่าใด


ผู้ที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้จะเริ่มมีจิตใจและท่าทีเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ ความโหดเหี้ยมอำมหิตฝังลึกอยู่ในกระดูกของชายหนุ่ม และไม่เว้นแม้กระทั่งตนเอง ความไร้เมตตาปรานีแม้แต่กับตนเองนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อไร้ซึ่งความเมตตาต่อศัตรูของเขาเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ รูปร่างอวบอ้วนและนิสัยที่ติดตัวเขามาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กน้อย ทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีที่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา


นี่คือคราบของแกะน้อยที่หวังเป่าเล่อเรียนรู้ที่จะสวมใส่ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก!


ภาพชายเจ้าสำราญนี้กำลังเบาบางลงเรื่อยๆ เมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงตาปีศาจ แล้วพอเขาโยนภาพชายอารมณ์ดีทิ้งไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็เผยธาตุแท้ของตนเองออกมาในที่สุด


การสังหารหมู่อุบัติขึ้นในทันที ด้วยพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย ความไร้เทียมทานของเกราะจักรพรรดิ และพลังที่เพิ่มขึ้นจากวิญญาณจุติดวงดารา บวกกับอำนาจประหลาดของดวงตาปีศาจ ทำให้ชายหนุ่ม…เปรียบได้กับเทพเจ้าแห่งความตาย


เสียงระเบิดเปลี่ยนสภาพไปเป็นคลื่นพลังปราณที่กระเพื่อมผ่านสมรภูมิรบ ผู้ฝึกตนที่ถูกดวงตาปีศาจกักขังไว้ ตกอยู่ในสภาวะเคลื่อนไหวไม่ได้ และต้องชดใช้ความผิดพลาดนั้นด้วยชีวิต!


เส้นปราณสีโลหิตมากมายพุ่งออกจากเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อ ดูคล้ายอสรพิษสีแดงที่ชอนไชไปในอากาศ และเสียบทะลุสิ่งมีชีวิตรอบกายไปตลอดทางที่ชายหนุ่มเหาะผ่าน ความเร็วของเขาทำให้ใครก็ตามที่พุ่งเข้ามาชนแม้ในเวลาสั้นๆ ร่างระเบิดแหลกสลายกลายเป็นเศษเนื้อในทันที


เกราะจักรพรรดิลักอัคคียังคงดูดพลังชีวิตจากเหยื่ออย่างต่อเนื่อง เมื่อดูดพลังของอีกฝ่ายจนแห้งเหือดแล้ว เกราะจักรพรรดิก็ยิ่งทวีความน่าสยองขวัญขึ้นทุกวินาที เส้นกระดูกสีขาวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และเริ่มจับตัวเข้าด้วยกันเป็นกระดูกที่เสียดแทงออกจากเกราะกลายเป็นหนามแหลมคม ขณะที่การสังหารหมู่เดินหน้าต่อไปนั้น ความกระหายเลือดและความตื่นเต้นดีใจ ยิ่งเผยตัวตนให้เด่นชัดขึ้นในจิตใจของหวังเป่าเล่อที่ดวงตาปีศาจอาศัยอยู่


มันสูบวิญญาณแล้ววิญญาณเล่าเข้าใส่ตนด้วยความตะกละตะกลาม เปลี่ยนสภาพวิญญาณแต่ละดวงเป็นดวงตาสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ แม้กระทั่งตอนที่อำนาจซึ่งขังทุกคนให้นิ่งอยู่กับที่สลายไปแล้ว ผู้ฝึกตนที่กลับมาควบคุมตนเองได้อีกครั้งก็ยังหนีไปไหนไม่พ้น สิ่งที่รออยู่ปลายทางมีเพียงความตายเท่านั้น!


บัดนี้…ชายหนุ่มได้กลายมาเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวาดหวั่น และเป็นความสิ้นหวังหนึ่งเดียว ท่ามกลางผู้คนมากมายที่แทบสิ้นสติด้วยความขนพองสยองเกล้า ความรู้สึกดำมืดไร้ทางออกแพร่กระจายไปทั่วสนามรบเหมือนไฟลามทุ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับกำลังโดนเงาทะมึนทาบทับอยู่บนร่างกายและจิตใจ ทุกคนครองสติเอาไว้ไม่อยู่ รักษาตำแหน่งของตนเองในสนามรบเพื่อข่มขวัญศัตรูไม่ได้ และหมดซึ่งเรี่ยวแรงจะโจมตีกลับ อันเป็นเป้าหมายของการเข้าโจมตีก่อนของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้!


เขาต้องการสร้างความตกใจจนขาดสติและความตายให้เห็นกันต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มรู้ดีว่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคิดอย่างไรและจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร หากเขาลังเลในการกระทำของตนเองแม้แต่น้อย ทุกคนจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาสุมไฟแห่งการสู้รบให้โหมกระหน่ำ สิ่งที่รอเขาและเฟิ่งชิวหรันอยู่ย่อมเป็นการผนึกกำลังกองทัพผู้ฝึกตนกว่าหนึ่งหมื่นคนปราบพวกเขา  แม้ชายหนุ่มจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้โดยง่าย แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าขีดจำกัดของตนอยู่ตรงใด ลำพังตัวเขาเพียงลำพังคงต่อกรกับกองทัพที่มีจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน!


แม้มดจะตัวเล็ก แต่หากรวมกันมากพอก็สามารถล้มราชันอสูรลงได้!


กลยุทธ์การข่มขวัญคู่ต่อสู้คือทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาสีดำมากมายที่สร้างขึ้นโดยดวงตาปีศาจอาจควบคุมจิตใจศัตรูได้ชั่วคราวในยามที่มันเปิดออก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเช่นกัน ยิ่งร่างกายของเขาได้รับผลกระทบจากการใช้พลังเกินตัวมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ของดวงตาปีศาจที่มีต่อศัตรูก็ยิ่งอ่อนกำลังลงเท่านั้น


แผนการของหวังเป่าเล่อคือทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลหยุดชะงักไปชั่วคราว เมื่อผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเริ่มตะโกนสั่งให้ทุกคนตั้งแถว และหลอกล่อพวกเขาด้วยแต้มการรบ คนส่วนมากก็เริ่มจัดการตนเองให้เป็นระเบียบท่ามกลางความอลหม่านเลือดพล่านของสนามรบ


แต่ก่อนที่จะได้จัดแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ส่งไม้ตายออกไปจัดการ…โดยการท่องบทสวดแห่งเต๋า!


พลังอำนาจของบทสวดเข้าแทนที่ดวงตาปีศาจ พุ่งลงมาจากสรวงสวรรค์เบื้องบน และปักลงกลางใจอันระส่ำด้วยความกลัวของเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล จากนั้นการสังหารที่บ้าคลั่งก็เริ่มต้นอีกครั้ง!


หวังเป่าเล่อคลั่งไปเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกเหมือนโดนกองกำลังจากดาวพุธเพ่งเล็ง ทำให้กระดูกสันหลังของเขาเย็นวาบ สัมผัสของภัยอันตรายทำให้ชายหนุ่มหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ เขารู้สึกราวกับว่าไม่ได้มีอำนาจกำหนดชีวิตตนเอง


แต่โชคดีที่ขณะเขาเดินหน้าฟาดฟันคู่ต่อสู้ ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเย็นวาบเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไปตามจำนวนดวงตาปีศาจที่เพิ่มขึ้น


ยังไม่พอ ยังไม่มากพอ! ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ทาบลงมาบนร่าง ทำให้เขาค้นหาความอบอุ่นอย่างบ้าคลั่ง ความอบอุ่นที่จะทำให้ความเย็นจับขั้วหัวใจมลายหายไป ในตอนนี้สำหรับเขาแล้ว ทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าคือเป้าหมายที่ต้องทำลายให้สิ้น!


ฆ่า!


เขาก้าวไปข้างหน้า ปรากฏตัวขึ้นข้างผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทันที เมื่อโดนเข้าประชิดตัว ผู้ฝึกตนผู้นั้นก็ตกใจรีบผละถอยหลังไป แต่หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าใส่โดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ เสียงปะทะดังลั่นขึ้น ร่างของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งไปด้านหลังราวกับเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่พุ่งเข้าชนเครื่องบินรบ กระดูกของเขาแหลกสลายไปในทันที ส่วนดวงวิญญาณก็ดับสิ้นไป!


ฆ่า!


หวังเป่าเล่อไม่ยอมหยุด เขากระโจนไปข้างหน้าพร้อมขบกรามแน่น ขณะที่สมบัติเวทนับร้อยถาโถมเข้าใส่จากทุกทิศทาง เกราะจักรพรรดิและแขนอาวุธเทพปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมาขณะฟันไปด้านหน้า ก้อนสายฟ้าขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและระเบิดทันที เปลี่ยนเป็นตาข่ายกว้างสามกิโลเมตรที่เผาทุกสิ่งที่เข้ามาปะทะให้มอดไหม้!


ความตายที่ได้จากวิธีการโจมตีเช่นนี้มากมายก็จริง แต่พลังงานที่ต้องใช้ไปก็มากเช่นกัน แม้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีจะเดินหน้าดูดพลังชีวิตจากผู้สิ้นชีพอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอในระยะยาว เนื่องจากผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลมีมากจนเกินไป!


ความลำบากนี้ทวีเพิ่มขึ้นอีกด้วยผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในคราบคนของสำนักวังเต๋าไพศาล เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้หวังเป่าเล่อหมดทางสู้ คำสั่งของโยวหรันทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลยังคงปักหลักอยู่ที่สมรภูมิรบโดยไม่หนีไปไหน เฝ้ารอให้หวังเป่าเล่อแสดงวินาทีของความอ่อนแอให้เห็น!


พวกเขาเหมือนขดลวดสปริงที่ย่อตัวลงด้วยแรงกดทับมหาศาล และเมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มอ่อนแรงลง ก็พร้อมที่จะปล่อยพลังงานทั้งหมดที่สั่งสมไว้ออกมาทันที แต่แน่นอนว่าขดลวดสปริงเองก็มีขีดจำกัด หากแรงกดทับมีมากเกินไป ก็คงถูกทำลายย่อยยับในพริบตา หมดสิ้นซึ่งหนทางจะปล่อยพลังออกมาได้!


สิบห้านาทีผ่านไปท่ามกลางความรุนแรงอำมหิตที่เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด…ขดลวดสปริงก็พังทลายลง!


สนามรบตกอยู่ในความโกลาหล กองทัพผู้ฝึกตนไม่สามารถทานทนแรงกดดันได้อีกต่อไป จนเริ่มแสดงท่าทีว่าจะยอมจำนน ไม่มีใครรู้ว่าคนแรกที่หลบหนีด้วยใบหน้าสยดสยองคือใคร แต่ทุกคนก็แห่กันทำตามโดยไม่ลังเล สมรภูมิกลายเป็นกระแสผู้คนที่หลบหนีไปด้านหลัง กองทัพย่อยยับไปด้วยตนเองจากภายใน


“ข้าไม่สนแต้มการรบแล้ว ไอ้บ้านี่มันไม่ใช่คน!”


“ข้ายังมีมหาเต๋าอยู่เบื้องหน้าและมีหลายอย่างที่ยังอยากทำ ข้าไม่ยอมกลายเป็นก้อนกรวดให้ไอ้หมอนี่มันบดขยี้จนตายหรอก!”


การถอยร่นของกองทัพทำให้ทุกอย่างพังพินาศ ความวุ่นวายเข้าครอบคลุมสนามรบในห้วงอวกาศแห่งนี้ทันที ภาพนี้ทำให้เฟิ่งชิวหรันเย็นสันหลังวาบ นางมองหวังเป่าเล่อ และหันไปมองผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ล้อมพวกเขาทั้งสองไว้ หัวใจเอ่อล้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แต่สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจ


ขณะที่กองทัพกำลังแตกฮือเหมือนมดแตกรัง หวังเป่าเล่อก็โผล่ขึ้นที่ใจกลางสนามรบ ท่ามกลางทะเลเลือดและร่างไร้ชีวิต เกราะจักรพรรดิสีแดงชาดยังคงดูน่าสยองพองขน แต่สิ่งที่ทำให้ขนหัวลุกที่สุด คือดวงตาหลายหมื่นดวงที่ลอยอยู่เบื้องหลัง!


ดวงตาทั้งหมดปิดเปลือกตาอยู่ และกำลังดิ้นเร่าๆ จนทำให้อวกาศโดยรอบบิดเบี้ยวไม่มีชิ้นดี พวกมันลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ที่กำลังยืนอยู่ด้านบน รายล้อมด้วยซากศพมากมาย ราวกับเป็นเทพปีศาจร้ายจุติลงมาจากเบื้องบนเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ไม่ปาน!


แค่นี้ยังไม่พอ ต้องมีมากกว่านี้! หวังเป่าเล่อหอบใจหอบ อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจจนแทบยืนไม่ไหว พลังงานที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาจากเกราะจักรพรรดิและความกระหายเลือดของดวงตาปีศาจ บังคับให้ตัวเขาต้องรู้สึกทั้งความเหนื่อยล้าและความตื่นเต้นที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดง เขาขยับเท้าเพื่อพร้อมออกสังหารอีกครั้ง


ในตอนนั้นเอง เสียงประหลาดก็ดังแว่วออกจากดาวพุธ สะท้อนก้องกังวานไปทั่วอวกาศ เรือบินรบเต๋ามรณะบนดาวพุธและสายฟ้าสีดำที่ก่อตัวขึ้นนั้น ปล่อยพลังของมันออกมาโดยฉับพลัน!


สายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วนไม่ได้รวมตัวกันเป็นลำแสงกว้างสามกิโลเมตรอีกต่อไปแล้ว หากแต่ขยายออกเป็นสามสิบกิโลเมตร ลำแสงนั้นกลายสภาพเป็นมือยักษ์สีดำที่สร้างมาจากสายฟ้าทมิฬ!


มือสายฟ้ายักษ์กวาดห้วงอวกาศ ก่อให้เกิดพลังที่แซงหน้าขั้นเชื่อมวิญญาณ พลังที่น่าเกรงขามและน่าหวาดหวั่นนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยทีเดียว มันปรากฏขึ้นในสนามรบอย่างฉับพลัน และพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ หมายจะจับตัวเขาเอาไว้!


มือยักษ์อาจดูเหมือนเถ้าธุลีเมื่อเทียบกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่มันยิ่งใหญ่ราวกับเป็นทั้งผืนฟ้าเมื่อเทียบกับขนาดของสมรภูมิรบ มันพร้อมที่จะจับทั้งหวังเป่าเล่อและดวงดาวโดยรอบเอาไว้ จากนั้นก็บดขยี้จนแหลกคามือ ก่อนจับไปฝังทั้งเป็น!



 

 

 


บทที่ 696 หนีตาย!

 

หวังเป่าเล่ออาจสู้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นและชั้นกลางได้ด้วยการเสริมพลังจากวัตถุเวทและเคล็ดวิชา แต่เมื่อต้องประมือกับผู้ฝึกขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายก็ถือเป็นที่เรื่องท้าทายมาก หากพลาดไปแม้แต่นิดเดียวอาจจะต้องบาดเจ็บหนักเหมือนตอนที่สู้กับโยวหรันก็เป็นได้


ชายหนุ่มอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย แม้จะเสริมพลังด้วยวัตถุเวทและเคล็ดวิชาต่างๆ แล้วก็ยังสามารถสำแดงพลังได้ถึงเพียงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายเท่านั้น เกราะจักรพรรดิเองก็มีขีดจำกัด วิญญาณจุติดวงดาราก็มีข้อจำกัดไม่น้อย ส่วนวิชาดวงตาปีศาจก็อันตราย ผลกระทบที่ตามมาจากการใช้มันเสริมพลังนั้นรุนแรงทีเดียว


ด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบัน มีหลายวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยพลังของฝักกระบี่ หรืออาศัยพลังเฉพาะตัวของวิญญาณจุติแล้วไปหาดาวเคราะห์ที่เป็นแหล่งพลังไม่สิ้นสุดให้ตนเอง


ตอนนี้วิธีแรกนั้นเป็นไปไม่ได้ ส่วนวิธีที่สองก็ไม่มีดาวเคราะห์ให้เห็นเลยสักดวง


พลังการโจมตีจากเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย เทียบเท่าพลังขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์หรืออาจถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยทีเดียว เป็นระดับพลังที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องตัวสั่นเทิ้ม


กล้ามเนื้อและเส้นประสาททุกส่วนเริ่มกรีดร้องบอกให้หวังเป่าเล่อรีบหนีออกไปในทันที ประสาทสัมผัสทั้งหลายร้องเตือนส่งสัญญาณถึงภัยอันตรายราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่สาดซัดทุกสิ่ง


ถ้าหนีไปก็เท่ากับพ่ายแพ้ให้กับจิตใจ เช่นนั้นข้าคงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววดุดัน เขาจ้องไปยังหัตถ์สีดำขนาดมหึมาที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาตาไม่กะพริบ ขณะส่งข้อความเสียงไปหาเฟิ่งชิวหรันที่กำลังตามมาเสริมทัพ เฟิ่งชิวหรันหยุดชะงักเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มบอก ทันใดนั้น หัตถ์ยักษ์สีดำพลังกล้าแกร่งก็เอื้อมเข้ามาคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้


พลังของมันพวยพุ่งเข้าใส่ก่อนที่หัตถ์จะเอื้อมถึงตัวเสียอีก เป็นพลังที่เหมือนจะแผดเผาทุกสิ่งให้เป็นจุณได้ ชุดคลุมของหวังเป่าเล่อสลายหายไป ส่วนเกราะจักรพรรดิก็ส่งสัญญาณเหมือนจะพังทลายลง


หวังเป่าเล่อยืนต้านคลื่นพลังวิญญาณที่พวยพุ่งเข้ามา ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะยกสองมือขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือก่อนจะชี้ตรงไปยังหัตถ์ยักษ์ที่กำลังตรงมาหา


“ดวงตาปีศาจ จงระเบิด!”


เสียงร้องคำรามที่ดังขึ้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่และความดุดัน ดวงตาสีดำนับหมื่นปรากฏขึ้นเต็มผืนฟ้าด้านหลัง ดวงตาปีศาจของชายหนุ่มเบิกตาขึ้นในทันใด!


ดวงตานับหมื่นจ้องมองผ่านห้วงอวกาศ ตรึงหัตถ์ยักษ์สีดำที่กำลังตรงเข้ามาจับให้นิ่งอยู่กับที่!


แต่ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อและโยวหรันห่างชั้นกันเกินไป หัตถ์ยักษ์ทลายการจ้องมองของเหล่าดวงตาปีศาจได้ในทันที และพุ่งตรงเข้าหาชายหนุ่มต่อ!


การโจมตีเมื่อครู่ไม่ได้ไร้ประโยชน์ ทันใดที่หัตถ์ยักษ์ทลายการจ้องมองลงได้ ดวงตาสีดำนับหมื่นด้านหลังหวังเป่าเล่อก็หายวับไปและปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้า ก่อนจะระเบิดในทันใดจนกลายเป็นพายุสีดำที่เกิดจากการผสานระหว่างความชั่วร้ายและการทำลายล้าง พายุหมุนร้องคำรามขณะพุ่งเข้าปะทะหัตถ์ยักษ์สีดำ


เสียงกัมปนาทดังก้องในห้วงอวกาศ สะท้อนออกไปไกลไม่สนใจกฎของจักรวาล ดวงตาปีศาจระเบิดทันที่ที่เข้าปะทะหัตถ์ยักษ์ สร้างคลื่นปะทะโหมเข้าใส่หัตถ์ยักษ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัตถ์ยักษ์สีดำสั่นไหวและเริ่มเลือนรางเมื่อโดนคลื่นพลังวิญญาณพัดโหมเข้าใส่ซ้ำๆ


คลื่นพลังวิญญาณหลายระลอกที่เกิดจากการปะทะพัดกระแทกเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่ใกล้ๆ หลายคนเพิ่งจะได้ตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นหัตถ์ยักษ์ปรากฏขึ้น ก่อนที่ครู่ต่อมาจะโดนคลื่นปะทะเข้าใส่ฉีกกระชากร่างกายและวิญญาณออกมา


หวังเป่าเล่อไม่สนใจการตายของพวกเขาแม้แต่นิด เขายกสองมือขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆพร้อมปลดปล่อยพลังจากเกราะจักรพรรดิไปเสริมวิชาลักอัคคี ชายหนุ่มเห็นพลังกล้าแกร่งของดวงตาปีศาจ แต่ก็คิดว่ายังมีจำนวนไม่เพียงพอ ดวงตาปีศาจระเบิดปล่อยพลังทำลายล้างโหมใส่หัตถ์ยักษ์ไม่หยุด หัตถ์ยักษ์เริ่มจางหาย ขนาดเริ่มหดเล็กลง แต่แก่นในยังคงอยู่


เมื่อดวงตาปีศาจดวงสุดท้ายระเบิด หัตถ์ยักษ์ที่หดขนาดเหลือครึ่งหนึ่งก็พุ่งเหยียดมือเข้ามาหาชายหนุ่ม!


หัตถ์ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแผ่จิตสังหารของโยวหรัน มันพยายามเอื้อมเข้ามาคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ ทันใดนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแววดุดัน เส้นผมพัดปลิวไปในห้วงอวกาศนิ่งสงบ เสียงร้องคำรามราวกับเป็นเทพปีศาจดังขึ้นพร้อมกับที่หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังเกราะจักรพรรดิเต็มขั้น!


พลังแกร่งกล้าไร้เทียมทานปะทุขึ้นจากตัวหวังเป่าเล่อ จากเส้นปราณมากมาย จากเกราะจักรพรรดิ และจากแขนอาวุธเทพที่ชายหนุ่มยกขึ้นฟาดเข้าใส่หัตถ์ยักษ์อย่างรุนแรง


วิญญาณจุติภายในกายลืมตาตื่น ร่างกายชายหนุ่มเปล่งแสงสุกสว่าง ดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นและหมุนอยู่ในร่างวิญญาณจุติ มันปลดปล่อยพลังเต็มขั้น ช่วยเสริมพลังทั้งหมดที่มีให้หวังเป่าเล่อ!


หัตถ์ยักษ์สีดำและชายหนุ่มเข้าปะทะกันเกิดเป็นเสียงดังสนั่น หัตถ์สีดำหยุดนิ่งจากการต้านทานของหวังเป่าเล่อ นิ้วทั้งห้าพยายามบีบเข้าหากันเพื่อกำเป็นกำปั้นขังชายหนุ่มเอาไว้…


แต่มันก็ไม่สามารถบีบเป็นกำปั้นได้สมบูรณ์ หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่ภายในราวกับเป็นศิลาแสนดื้อรั้น ไม่ว่าหัตถ์ยักษ์จะปล่อยพลังกล้าแกร่งสักเพียงใดก็ไม่สามารถบดขยี้เขาลงได้


อาวุธเทพที่ฟาดฟันไปช่วยลดทอนพลังหัตถ์ยักษ์ลงได้ มันเริ่มเลือนรางจางสีไปมาก ถึงกระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาสักพัก อาวุธเทพจึงจะสามารถพุ่งทะลวงฝ่ามือตรงหน้าไปได้


ทั้งสองฝ่ายต้านพลังกันได้อย่างเท่าเทียม หวังเป่าเล่อหน้าแดงก่ำ การโดนหัตถ์ยักษ์บีบเข้าใส่ก็เหมือนโดนชนด้วยเรือบินที่แล่นมาอย่างรวดเร็ว อวัยวะต่างๆ เริ่มกระตุกเกร็ง ในหูได้ยินแต่เสียงอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงใดอื่นอีก


พลังที่หัตถ์ยักษ์ปล่อยออกมาเหมือนจะสามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่ง ชีวิตของเขากำลังจะดับหายไปเหมือนเปลวไฟ ชายหนุ่มกำลังจะโดนบดขยี้ทั้งเป็น!


เกราะจักรพรรดิเริ่มปริแตกจากแรงกดดัน เหมือนจะทานพลังมาจนถึงขีดสุด เลือดเนื้อที่วิชาลักอัคคีรวมรวบมาพวยพุ่งเข้าไปช่วยซ่อมแซมเกราะ ถึงกระนั้นก็ยังเกิดรอยปริแตกขึ้นทั่วอย่างต่อเนื่อง วิญญาณจุติดวงดาราเริ่มสั่นไหวเมื่อปลดปล่อยพลังจนถึงขีดจำกัด


การต่อสู้ของทั้งสองไม่ได้วัดกันที่พลังการโจมตีแต่เป็นพลังในการต้านทาน ฝ่ายใดทนไม่ไหวก่อนก็ต้องแพ้ไป!


ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต้านทานพลังกันสุดชีวิต เฟิ่งชิวหรันที่ยืนอยู่ไกลออกไปก็มองมาด้วยแววตาเป็นกังวลและใบหน้าซีดเผือด นางไม่ได้เข้าไปช่วยในทันที แต่กำลังรอหาจังหวะที่เหมาะสมอยู่ นางรู้ว่าหากเข้าไปตอนนี้ก็ช่วยอะไรหวังเป่าเล่อไม่ได้มากและรู้ดีว่าตนควรทำเช่นไร หากชายหนุ่มเป็นฝ่ายชนะ นางจะเข้าไปปกป้องและพาเขาออกจากสนามรบ แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา นางก็จะรีบเข้าไปช่วยในทันที!


นี่คือแผนที่หวังเป่าเล่อบอกนางผ่านข้อความเสียง!


เวลาล่วงผ่านไป หัตถ์ยักษ์ยังคงพยายามบีบมือเป็นกำปั้น เหมือนมันจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า ชายหนุ่มเริ่มแพ้ให้กับแรงกดดันที่ทวีความรุนแรงขึ้น เกราะจักรพรรดิส่งเสียงปริแตกดังก้อง กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิวหรันกังวลใจหนัก ไม่สามารถทนดูอยู่ห่างๆ ได้อีกต่อไป นางเตรียมพุ่งเข้าไปช่วยหวังเป่าเล่อ โดยไม่สนว่าจะเกิดผลกระทบอะไรตามมา


ทันใดนั้น เสียงคล้ายจักรวาลถูกฉีกกระชากออกก็ดังขึ้นจากที่ที่ไกลออกไป คลื่นพลังมหาศาลก่อตัวขึ้นและพัดกระจายไปทั่วบริเวณ เรือบินรบของสหพันธรัฐมากมายปรากฏขึ้นพร้อมคลื่นพลัง พวกเขาใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอวกาศมายังสนามรบ!


วงแหวนปราณหลายชั้นปรากฏขึ้นพร้อมเรือบินรบ แสงคาถามากมายพัดกระจายไปทั่วสนามรบราวกับเป็นพายุคลั่ง กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลหน้าตาตื่น รีบหลบการโจมตีและเสริมการป้องกัน เสียงที่เสริมด้วยพลังวิญญาณระเบิดก้องไปทั่วอวกาศจากภายในเรือบินรบของสหพันธรัฐ


“อย่ากลัวไปชิวหรัน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”


ดวงแสงนับร้อยสว่างวาบขึ้นภายในเรือบินรบทันใดที่เสียงของหลี่ซิงเหวินดังก้องไปทั่ว ภายในดวงแสงแต่ละดวงมีผลึกศิลาประหลาดที่ปลดปล่อยพลังไร้เทียมทานออกมา!


ดวงแสงสีแดงอีกสิบดวงสว่างวาบขึ้นดึงความสนใจจากทุกคนในสนามรบ!


ดวงแสงเหล่านี้…คือระเบิดต้านทานวิญญาณ ไพ่ตายของสหพันธรัฐ ดวงแสงสีฟ้ามีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ส่วนดวงแสงสีแดงคือลูกที่เพิ่งพัฒนาเพิ่ม ด้วยข้อจำกัดบางประการทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลมากนัก ถึงกระนั้น ระเบิดต้านทานพลังรุ่นที่สองก็มีพลังเหนือชั้นขั้นจุติวิญญาณไปมาก จนสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเลยทีเดียว!


ระเบิดต้านทานวิญญาณรุ่นที่สองมีแค่ไม่กี่ลูก มีเพียงผู้ที่มีสิทธิ์การเข้าถึงสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานได้ หลี่ซิงเหวินนำระเบิดต้านทานวิญญาณรุ่นที่สองติดตัวมาเกือบครึ่งจากจำนวนทั้งหมดที่มี เขาปล่อยระเบิดทุกลูกที่นำมาอย่างไม่ลังเลใจเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังตกอยู่ในอันตราย


ดวงแสงนับร้อยพุ่งไประเบิดพลังมหาศาลใส่หัตถ์ยักษ์สีดำในทันที!


หัตถ์ยักษ์สีดำกล้าแกร่งเกินต้านทาน แต่ก็โดนดวงตาปีศาจและการโจมตีสุดกำลังของชายหนุ่มจนอ่อนกำลังลงไป และแทบจางหาย มันไม่สามารถหลบระเบิดต้านทานวิญญาณได้จึงโดนแรงระเบิดจากระเบิดกว่าร้อยลูกเข้าเต็มๆ ระเบิดสีฟ้ายังพอต้านทานได้ไหว แต่เมื่อผสานเข้ากับการระเบิดของลูกสีแดงก็สามารถสร้างความเสียหายให้แก่นในได้!


ดวงตาของเฟิ่งชิวหรันฉายแสงวาบเมื่อเห็นโอกาสโจมตี นางปล่อยวัตถุเวทและกระบวนเวทอย่างดุดัน การโจมตีจากภายนอกช่วยผ่อนแรงที่กดดันหวังเป่าเล่อได้มาก สถานการณ์เริ่มพลิกผัน


“ตอนนี้แหละ!” เสียงเหนื่อยอ่อนของหวังเป่าเล่อดังขึ้น วิญญาณจุติดวงดาราในร่างที่ใกล้จะสลายหายไปพลันลืมตาตื่น มันปลดปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายไปยังอาวุธเทพ ชายหนุ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นดาวตก ชี้อาวุธเทพพุ่งตรงไปข้างหน้าทันใด!


เขาทะยานไปด้วยพลังมหาศาลราวกับเป็นคลื่นยักษ์ทลายเขื่อน หัตถ์ยักษ์ไม่สามารถคงรูปได้ มันสั่นไหว เริ่มปริแตก อาวุธเทพของหวังเป่าเล่อเจาะทะลุผ่านหัตถ์ยักษ์ไป สุดท้ายมันก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ!


คลื่นปะทะรุนแรงพัดกระจายไปทั่วราวกับเป็นคลื่นยักษ์ ชายหนุ่มพุ่งผ่านหัตถ์ยักษ์ที่สลายตัวลง เป็นอิสระได้ในที่สุด!



 

 

 


บทที่ 697 ล่องูออกจากรู!

 

หวังเป่าเล่อไม่อาจทนอาการบาดเจ็บรุนแรงได้อีกต่อไป ทันใดที่เป็นอิสระจากหัตถ์ยักษ์ บาดแผลก็ปรากฏให้เห็น เขากระอักเลือดออกมากองใหญ่ เลือดเริ่มพวยพุ่งออกมาจากรอยแตกบนเกราะจักรพรรดิ ไหลหลากมารวมกันเป็นสายธารโลหิตกลางห้วงอวกาศ เกราะจักรพรรดิไม่สามารถคงรูปได้เช่นกัน มันทลายลงกลายเป็นเส้นปราณขาดวิ่นหดกลับเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม


เขาไม่ได้ใช้วิชาจักรพรรดิพินาศ ซึ่งแปลว่าแม้เกราะจะเสียหายหนัก แต่ก็ยังสามารถใช้ปราณวิญญาณฟื้นฟูสภาพของมันได้ สภาพพังพินาศของเกราะบ่งบอกว่าการต่อสู้ที่หวังเป่าเล่อเพิ่งเอาชีวิตรอดมาได้นั้นหนักหนาเพียงใด


ชายหนุ่มสูญเสียการป้องกันจากเกราะจักรพรรดิ วิสัยทัศน์เริ่มพร่ามัวเมื่อเป็นอิสระ เขาใช้พลังที่มีไปจนหมดสิ้น ทว่า…ภัยอันตรายก็ยังไม่หายไปหมดแม้จะฝ่าฟันจนเป็นอิสระมาได้


ทันทีที่เขาเป็นอิสระจากหัตถ์ยักษ์สีดำ เมฆหมอกก็ก่อตัวขึ้นเป็นผนึกภายในหัตถ์ที่สลายตัวไป จากนั้นก็พุ่งตรงไปทางชายหนุ่ม หมายจะทะลวงร่าง


มันแผ่พลังรัศมีของสรรพสิ่งที่สิ้นชีวีออกมา เป็นพลังอำนาจที่พร้อมปลิดชีพทุกสิ่งให้เน่าสลาย!


หากพุ่งถึงตัว ชายหนุ่มในสภาพอ่อนแรงคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้!


หวังเป่าเล่อไม่อาจหลบการโจมตีนี้ได้ เกราะจักรพรรดิหายวับไปแล้ว ดวงตาปีศาจก็อ่อนพลังลงเรื่อยๆ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยบนหน้าผากของชายหนุ่มดูคล้ายตาดวงที่สาม ความหวังเดียวของเขาคือสิ่งสุดท้ายที่ได้บอกเฟิ่งชิวหรันไปทางข้อความเสียง หากเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งชิวหรันระหว่างที่เขากำลังต่อสู้ ชายหนุ่มคงทำได้เพียงปลดปล่อยพลังฝักกระบี่เต็มกำลังเพื่อช่วยตนให้พ้นจากความตาย


เฟิ่งชิวหรันไม่ทำให้หวังเป่าเล่อผิดหวัง นางจับตาดูการต่อสู้อย่างใกล้ชิด ทันทีที่ชายหนุ่มพุ่งผ่านหัตถ์ยักษ์ นางก็รีบทะยานตรงไปหา และปรากฏตัวข้างหวังเป่าเล่อในพริบตาต่อมา คว้าตัวชายหนุ่มไว้และหมุนรอบตัว จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะชี้มือขึ้นฟ้า พลังขั้นเชื่อมวิญญาณปะทุขึ้นจากร่าง เฟิ่งชิวหรันแบมือออก หันไปทางผนึกที่พุ่งตรงเข้ามา เตรียมรับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บอีกครั้ง


หน้าของนางซีดเผือดในทันใด ขวดสีขาวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เข้าต้านผนึกที่พุ่งมาปะทะ


ขวดระเบิดพร้อมกับเสียงกัมปนาทที่ดังขึ้น ผนึกสีดำที่พุ่งเข้ามาหยุดชะงักเพราะแรงระเบิด มันสูญเสียพลังไปจนไม่สามารถติดตามตามหวังเป่าเล่อต่อได้ เปิดโอกาสให้เฟิ่งชิวหรันมีเวลาเพียงพอในการหนี นางคว้าตัวชายหนุ่ม ก่อนจะแปลงกายเป็นเส้นสายรุ้งพุ่งหายไปจากสนามรบ ด้วยความช่วยเหลือจากหลี่ซิงเหวินและสหพันธรัฐ นางจึงขึ้นไปบนเรือบินรบลำหนึ่งได้สำเร็จ


หลี่ซิงเหวินรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นกังวลทันทีที่ทั้งสองขึ้นมาบนเรือบินรบ เขาไม่มีเวลามัวเป็นห่วงเฟิ่งชิวหรันที่ได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บ ได้แต่รับหวังเป่าเล่อมาจากอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรัน เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของชายหนุ่มที่อ่อนแรงจนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ และสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่กำลังจะดับหายไม่ต่างจากเปลวเทียนที่กำลังหมดไส้ เขาก็พูดตะกุกตะกักขึ้นอย่างเจ็บปวดใจ


“เจ้าเด็กบ้า…”


“ท่านอาจารย์ปู่…” เหมือนหวังเป่าเล่อจะได้ยินเสียงของหลี่ซิงเหวินจึงพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เขาเห็นหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันที่ยืนอยู่ข้างๆ วิสัยทัศน์เริ่มกระจ่างชัดขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม


“ศิษย์ได้ทำตามที่ท่านบอก ข้าพาอาจารย์ย่ากลับมาอย่างปลอดภัย…” เขาไม่สามารถพูดต่อจนจบได้ดังใจหวังเนื่องจากไม่อาจลืมตาตื่นได้นานนัก เมื่อได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยของผู้คนจากสหพันธรัฐก็รู้สึกโล่งใจ จึงหมดสติ หัวเอียงพับไปด้านหนึ่ง


หลี่ซิงเหวินถอนหายใจอยู่ภายในเมื่อพบว่าหวังเป่าเล่อยังนึกเป็นห่วงเฟิ่งชิวหรันแม้จะอยู่ในสภาพสะบักสะบอม เขาเงยหน้ามองเฟิ่งชิวหรัน ใบหน้าของนางซีดเผือด ดูเหมือนจะโล่งใจไม่ต่างกัน นางกระอักเลือดออกมาหลังจากพยายามฝืนทนไว้ ก่อนจะทรุดนั่งลง ไม่สามารถขยับตัวได้อีก จากนั้นก็เริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเอง


หลี่ซิงเหวินมองเฟิ่งชิวหรันกับหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวที่อยู่ห่างออกไป เขาจ้องไปทางกองเรือรบและเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ตกอยู่ในความโกลาหลหลังจากที่ระเบิดต้านทานวิญญาณทำลายหัตถ์ยักษ์สีดำทิ้งไป ชายชราสูดหายใจลึก พวกเขาอยู่ใกล้ดาวพุธมากเกินไป เป้าหมายของภารกิจนี้คือช่วยหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรัน ซึ่งก็สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นต้องสร้างเรื่องอะไรอีก ชายชรากัดฟันแน่น ห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น แม้ในใจจะร่ำร้องบอกให้ตนกลับลำเรือบินรบเพื่อไล่ตามเหล่าศัตรูไป แต่หลี่ซิงเหวินก็ตะโกนออกคำสั่งให้ถอยกลับแทน


ขณะถอยทัพกลับ หลี่ซิงเหวินก็สั่งให้เตรียมปล่อยระเบิดต้านทานวิญญาณอีกร้อยลูก พวกเขาท่องไปในอวกาศพร้อมกับขู่จะปล่อยระเบิดทุกเมื่อ เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเห็นดวงแสงเหล่านั้นก็เริ่มตื่นตัว รู้สึกลังเลใจขึ้นมา


ณ ที่ใดสักแห่งบนดาวพุธ โยวหรันนิ่งเงียบไป เขาต้องใช้พลังมหาศาลในการปล่อยหัตถ์ยักษ์ หากปล่อยการโจมตีดังกล่าวออกไปอีกครั้งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการฟื้นฟูของเรือบินรบเต๋ามรณะ ชายชราหรี่ตาลง หลังจากประเมินสถานการณ์เสร็จ เขาก็เก็บงำความคิดชั่วร้ายไว้ ไม่คิดจะไล่ตามกองทัพสหพันธรัฐที่กำลังหนีไป


กองเรือบินสหพันธรัฐหนีไปอย่างเชื่องช้า ใช้งานประตูกระแสวนจากวงแหวนปราณระบบสุริยะท่องผ่านข้ามห้วงอวกาศ สนามรบตกอยู่ในความเงียบงันหลังจากที่พวกเขาจากไป ผ่านไปครู่ใหญ่ กองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลและเหล่าผู้ฝึกตนก็กระจายกำลังออกไปอย่างเงียบเชียบ


เมื่อหลบหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย หลี่ซิงเหวินก็ออกคำสั่งให้ตั้งวงแหวนปราณคุ้มกันขึ้นรอบเฟิ่งชิวหรันเป็นการชั่วคราวขณะที่นางกำลังฟื้นฟูร่างกายตนเอง พร้อมทั้งจัดแจงผู้ฝึกตนที่ไว้ใจให้คุ้มกันนางอีกแรง เขาพาหวังเป่าเล่อไปยังห้องลับด้วยตนเองและใช้พลังจากวงแหวนปราณระบบสุริยะกับทรัพยากรของสหพันธรัฐมากมายจัดแจงบริเวณโดยรอบให้เหมาะกับการฟื้นฟูร่างกายของชายหนุ่ม


หลี่ซิงเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าหวังเป่าเล่อแค่หมดสติไป ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงถึงตาย เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปเพื่อคอยดูแลคุ้มกันผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองคน


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะกองทัพสหพันธรัฐท่องผ่านห้วงอวกาศมุ่งหน้าไปทางดาวศุกร์ หลายชั่วโมงต่อมา หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น


ความเหนื่อยล้าที่ส่งผ่านลึกลงไปถึงกระดูกและความเจ็บแปลบที่แล่นไปทั่วทั้งร่างทำให้เขาต้องกัดฟันแน่น ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลพร้อมหอบหายใจหนัก จากนั้นก็หันมองรอบกาย เขาอยู่ในห้องลับ สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณเข้มข้นที่อัดแน่นอยู่ในห้อง ภาพการต่อสู้ครั้งล่าสุดแล่นกลับเข้ามาในหัว หวังเป่าเล่อขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจดูทั่วบริเวณโดยไม่ให้คนอื่นรู้ เขาเห็นทุกอย่างบนเรือบินรบ รวมถึงเฟิ่งชิวหรันที่กำลังฟื้นฟูร่างกายตนเองและหลี่ซิงเหวินที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก


ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้จริงๆ


ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่ตาย แถมยังกลับมายังสหพันธรัฐได้อย่างปลอดภัย ชายหนุ่มลูบท้องตนเองที่บัดนี้ความนุ่มนิ่มได้หายไป เมื่อโล่งใจได้แล้ว เขาก็หยิบขนมออกมายัดใส่ปากอย่างมูมมามโดยไม่ยั้งคิด จากนั้นก็เริ่มสังเกตอาการบาดเจ็บของตัวเอง


หนักหนาน่าดู เกราะจักรพรรดิเองก็เสียหายหนัก แต่ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ของเหลววิญญาณสักสิบขวด…อาจจะสักยี่สิบขวดก็น่าจะพอฟื้นฟูร่างกายข้าให้สมบูรณ์ได้


ชายหนุ่มกินขนมต่อ ไม่ได้เริ่มกระบวนการฟื้นฟูตนเองในทันที เขาคิดคำนวณพร้อมหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาซดหมดขวด จากนั้นก็หรี่ตาลงและยกมือขึ้นแตะรูปดวงตาสีดำที่ประทับอยู่บนหน้าผาก ภาพการต่อสู้เสี่ยงชีวิตเมื่อครู่ฉายขึ้นในหัว


วิชาดวงตาปีศาจแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้ พลังของดวงตาปีศาจหมื่นดวงสามารถทำลายหัตถ์ยักษ์ไปได้ครึ่งหนึ่งแถมยังลดทอนพลังของมันไปถึงครึ่ง หวังเป่าเล่อไม่ได้ขยายจิตสัมผัสวิญญาณไปยังรอยประทับบนหน้าผากในทันที ดวงตาฉายแสงวาบขึ้นจางๆ เขาวางขนมลง จากนั้นก็หยิบของเหลววิญญาณจากกระเป๋าคลังเก็บออกมาหนึ่งขวด วางไว้ใต้จมูกและสูดดมกลิ่น


ขวดสั่นไหว ของเหลววิญญาณภายในแปรเปลี่ยนเป็นหมอกหนา ลอยผ่านเข้าจมูก ปาก ดวงตา และหูทั้งสองข้างของหวังเป่าเล่อในทันที หมอกกระจายไปทั่วร่างชายหนุ่ม และเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ


ไม่นานของเหลวในขวดก็หมดไป หวังเป่าเล่อหยิบขวดที่สอง และสามมาสูดดมต่อ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป มีขวดเปล่ากว่าสามสิบขวดกองอยู่ข้างชายหนุ่ม เขาลืมตาขึ้น ยังคงดูเหนื่อยอ่อนอยู่ แต่อาการบาดเจ็บบนร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว


เกราะจักรพรรดิกลับมาใช้งานได้อีกครั้งหลังได้ของเหลววิญญาณหล่อเลี้ยง ส่วนที่พังเสียหายได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์ แต่การกักเก็บพลังไว้ในเกราะต้องใช้วิชาลักอัคคีสูบเอาเลือดเนื้อเข้าไปเสริม เพราะเขาไม่ได้ใช้ของเหลววิญญาณไปกับส่วนนี้


เมื่อผ่านกระบวนการฟื้นฟูต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก เตรียมพักผ่อนดวงตาและสมอง จิตใจของเขาต้องได้รับการพักผ่อน จากการคำนวณ พอเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง เรือบินรบก็น่าจะใกล้ถึงดาวศุกร์แล้ว


เขายังไม่เห็นเจ้าเยี่ยเหมิงและคนสนิทอื่นๆ บนเรือบินรบลำนี้ แต่จากการขยายจิตสัมผัสวิญญาณตรวจสอบเรือบินรบเมื่อครู่ ก็ได้ข้อมูลจากบทสนทนาของเหล่าผู้ฝึกตนที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ชายหนุ่มพบว่าเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ กลับสหพันธรัฐได้อย่างปลอดภัย พวกเขาไม่ได้มาร่วมภารกิจนี้เพราะได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจอื่น


พอพวกเขาได้รู้ว่าข้าแข็งแกร่งขึ้นมากคงกลัวเกรงข้ากันไปหมดแน่ ต้องหาวิธีแสดงออกถึงความนอบน้อมถ่อมตัวเสียแล้ว


หวังเป่าเล่อค่อยๆ หลับตาลงด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม ความตึงเครียดคลายออกจากร่างกาย แต่แสงเยือกเย็นยังคงซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่ไหนสักแห่งในร่าง…เมื่อดวงตาของชายหนุ่มปิดสนิท รอยประทับดวงตาปีศาจบนหน้าผากก็เริ่มขยับ เหมือนจู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้น ดวงตาสีดำที่ปิดสนิทเหมือนจะมีความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ตอนนั้นเองมันก็…ลืมตาตื่น!


ดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในร่างตื่นขึ้นทันใด สภาพหวังเป่าเล่อในปัจจุบันคือโอกาสที่ดีที่สุดที่มันจะเข้าควบคุมอีกฝ่าย!



 

 

 


บทที่ 698 ใครกันที่เป็นปีศาจ!

 

หืม เหมือนจะเป็นเจ้าโง่อีกตัว ติดกับง่ายมาก เปลือกตาของหวังเป่าเล่อกระตุก เขาลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแววเย็นเยียบ ริมฝีปากผุดยิ้มเยือกเย็น


ชายหนุ่มมีวิธีมากมายในการจัดการกับสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้า อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักหลอมอาวุธเวท การหลอมอาวุธเวทจำเป็นต้องใช้ความตั้งมั่นและความแข็งแกร่งทางจิตใจ แม้หวังเป่าเล่อจะยังไม่อาจใช้ผลต้นเฟิงซิ่นจากกระบี่กระบี่สำริดเขียวโบราณและกระบวนเวทต่างๆ ในการต่อสู้ได้เต็มที่ แต่เขาก็สามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูสภาพจิตใจและดวงวิญญาณเมื่อพักจากการต่อสู้ได้


เขาไม่ได้ทำเช่นนี้ในตอนแรกและมัวสนใจแต่การฟื้นฟูสภาพร่างกาย เพราะต้องการจะทดสอบดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในวิชาดวงตาปีศาจ!


หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาตรวจสอบก่อนหน้านี้เพราะมัวง่วนอยู่กับการต่อสู้และการหาทางหลบหนี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาละเลยไม่สนใจ ชายหนุ่มคอยจับตาดูมันอยู่ตลอด


ทำให้เขาเลือกฟื้นฟูสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างสุดท้ายและทำเป็นว่าจะพักผ่อน ชายหนุ่มอยากรู้ว่าดวงจิตจะแสดงท่าทีหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ เมื่อสัมผัสได้ว่ามันตื่นขึ้น หวังเป่าเล่อก็เรียกผลต้นเฟิงซิ่นออกมา จากนั้นก็กินโอสถเข้าไปชุดใหญ่ทันที มืออีกข้างสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และใช้เคล็ดที่ได้รู้มาอีกเล็กน้อยเพื่อช่วยคลายความเหนื่อยล้าที่สะสมอยู่ของจิตใจและปรับสภาพให้จิตใจสมดุลแข็งแกร่งเหมือนเป็นป้อมปราการ


ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววสงสัยใคร่รู้ เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณลึกลงไปภายในเพื่อค้นหาดวงจิตของวิชาดวงตาปีศาจที่กำลังปลดปล่อยพลังอย่างบ้าคลั่ง


รูปแบบการปรากฏตัวของมันบ่งบอกว่ามันมีชีวิตอยู่ในร่างกายข้า ตอนสู้กับหัตถ์ยักษ์มันไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แสดงว่ามันมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ถึงรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนที่มันเข้าแทรกแซง มันก็เสี่ยงจะโดนทำลายได้เหมือนกัน


“แต่กลับติดกับการล่อหลอกง่ายๆ รึ เหมือนว่ามันจะไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น หรือว่ามันจะอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ กัน” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขาฉายแววเฉียบคม ทันใดนั้น ตัวตนคล้ายหมอกสีดำก็เริ่มเข้าบดบังแววเฉียบคมในดวงตา เปลี่ยนสีตาของชายหนุ่มให้กลายเป็นสีดำสนิท


หรือว่าจะทำได้แค่กลบทับสติข้าด้วยความรู้สึกกระหายเลือดและความโหยหิวความตายระหว่างที่ข้าสู้รบ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาใคร่ครวญถึงความกระสับกระส่ายที่ปะทุขึ้นภายในและความคิดอยากสังหารที่ผุดขึ้นในหัว มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนคนขาดยา หากไม่ยอมทำตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนก็จะโดนมันกลืนกินแทน  


ทำได้แค่นี้เองหรือ เสียเวลาชะมัด หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เมฆหมอกสีดำบดบังดวงตา ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนอมนุษย์ไม่มีผิด ถึงกระนั้นในหัวกลับมีสติแจ่มชัด ร่างกายและจิตใจของเขาเหมือนจะแยกออกจากกัน หวังเป่าเล่อคอยเฝ้าดูอย่างเรียบเฉย ปราศจากอารมณ์ใดๆ


เขาเฝ้าดูอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าดวงจิตที่เกิดจากวิชาดวงตาปีศาจไม่มีกลยุทธ์อื่นใดอีกจึงหมดความสนใจไป ชายหนุ่มกำลังจะสั่งให้มันเงียบ ทันใดนั้นดวงจิตก็ดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับการยัดจิตสังหารใส่หัวหวังเป่าเล่อเพียงอย่างเดียว ก็เริ่มเคลื่อนตัวไปหาวิญญาณจุติ


หวังเป่าเล่อแปลกใจ มือที่สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นหยุดชะงัก ตัดสินใจเฝ้าดูต่อ


ดวงจิตดังกล่าวเป็นเหมือนเกลียวเชือกสีดำที่รวมตัวขึ้นในร่าง ไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของร่างกำลังจับตาดูตนอยู่ มันเลื้อยไปข้างหน้าราวกับเป็นงู มุ่งหน้าไปหาวิญญาณจุติ


เล็งวิญญาณจุติอย่างนั้นหรือ ไม่งั้นพอเข้าไปใกล้วิญญาณจุติได้ ก็อาจจะเข้าครอบงำหรือกลืนกินดวงวิญญาณของข้าที่สถิตอยู่ในวิญญาณจุติก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเมื่อพบว่าดวงจิตกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด เมื่อผู้ฝึกตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ดวงวิญญาณของเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในวิญญาณจุติ เมื่อบรรลุขึ้นไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ ดวงจิตเทพก็จะกลายเป็นดวงวิญญาณเทพ!


ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีความสำคัญกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมหาศาลทั้งยังต้องการการปกป้องอย่างดี ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบเมื่อศึกษาวิญญาณจุติของตัวเอง ภายในนั้นมีทั้งฝักกระบี่และเปลวไฟสีดำอยู่ เปลวไฟสีดำก่อกำเนิดขึ้นมาตอนที่เขากลายเป็นบุตรแห่งความมืด และเป็นหลักฐานที่แสดงว่าเขามาจากสำนักแห่งความมืด และสิ่งที่อยู่ในเปลวไฟสีดำก็คือดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขานั่นเอง


ต้องปลอดภัยไว้ก่อน… ชายหนุ่มใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดปลดปล่อยพลังแห่งความมืดออกมาเล็กน้อยผ่านเปลวไฟสีดำที่อยู่ในวิญญาณจุติ ตั้งใจจะทดสอบดูว่าดวงจิตนั้นแข็งแกร่งเพียงใด


เขาปล่อยพลังแห่งความมืดออกมาเพียงน้อยนิด แต่ทันใดที่พลังพวยพุ่งออกมา เกลียวเชือกสีดำของดวงจิตที่กำลังพุ่งไปหาวิญญาณจุติก็สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับว่าได้พบตัวตนอันน่าสะพรึงกลัว มันสั่นเทิ้ม และเกือบจะสลายหายไป


“หืม” หวังเป่าเล่อตกใจ รีบลดทอนพลังแห่งความมืดลงไปเหลือเพียงหนึ่งส่วนสิบเพื่อช่วยให้ดวงจิตวิชาดวงตาปีศาจมีชีวิตรอด และให้โอกาสมันได้ปะทะกับพลังแห่งความมืดดู


ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นดวงจิตเข้าปะทะกับพลังแห่งความมืด เขาเฝ้าดูด้วยความสงสัย ก่อนจะเริ่มทำสีหน้าแปลกๆ ขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มดุเดือด ดวงจิตต้องใช้พลังสุดความสามารถในการต่อกรกับพลังแห่งความมืด พอตระหนักได้ถึงความดื้อดึงของเจ้าของร่าง มันก็ชะลอการเข้าไปใกล้วิญญาณจุติ รีบถอยไปซ่อน นอกจากนี้ยังลบจิตสังหารไปอีกด้วย


“สุดยอดไปเลย!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับว่าตนได้กระทำเกินกว่าเหตุ


เขาปลอบใจตัวเองพร้อมกับพูดพึมพำด้วยสีหน้าจริงจัง “เหมือนว่ามันจะมีจิตอันแรงกล้า เป็นความบ้าคลั่งบางอย่าง ราวกับว่ามันเคยเป็นผู้ปกครองฟ้าดินแห่งนี้ มันมีเชาวน์ปัญญาประมาณหนึ่งและมีลักษณะเหมือนเชื้อไวรัสหรือไม่ก็การครอบงำอะไรสักอย่างที่มีเขียนอยู่ในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาล!”


ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้เห็นอย่างหนักอยู่เป็นนาน มันคือตัวแทนของปีศาจ หวังเป่าเล่อคิดว่าคำนี้ช่างเหมาะสมกับมันยิ่งนัก


ช่างเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว มันสามารถต่อกรกับพลังแห่งความมืดที่ลดทอนพลังลงไปสิบเท่าได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! หวังเป่าเล่อลูบคาง จ้องมองไปยังวิญญาณจุติในร่าง พยายามคิดว่าถ้าตนเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวตนนี้ หากจะเข้าครอบงำดวงวิญญาณของตน มันจะยากเย็นสักเพียงใด


 ถ้าข้าเป็นปีศาจ ข้าจะต้องป้องกันตัวเองจากพลังแห่งศาสตร์มืด เริ่มจากลองต้านทานพลังหนึ่งส่วนพัน จากนั้นก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนสามารถต้านพลังแห่งศาสตร์มืดเต็มขั้นได้ เมื่อทำได้อย่างนั้นแล้วก็จะสามารถเข้าไปใกล้วิญญาณจุติได้…ข้าก็จะได้เห็นวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งแตกต่างจากวิญญาณจุติอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง มาถึงตรงนี้ ข้าจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และลองเข้าแทรกแซงวิญญาณจุติดวงดาราซ้ำๆ หากโชคไม่ดี ข้าอาจบังเอิญต้องเผชิญหน้ากับฝักกระบี่ประหลาด และต้องจบชีวิตลง…


แต่ถ้าโชคเข้าข้าง ข้าก็จะหลบฝักกระบี่และเข้าแทรกแซงวิญญาณจุติได้ จากนั้นข้าก็จะสามารถปล่อยตัวตามสบาย เตรียมลิ้มรสอาหารชั้นยอด พอข้ากำลังจะเข้าครอบงำดวงวิญญาณ ข้าก็จะพบเปลวไฟสีดำ พลังวิญญาณที่แผ่พุ่งออกมาคือพลังเดียวกับที่พบตอนอยู่ด้านนอกวิญญาณจุติ!


จากนั้น…ข้าก็ต้องกัดฟันอดทนต่อสู้กับเปลวไฟสีดำ พอข้าได้เจอดวงวิญญาณของเจ้าของร่าง ข้าก็จะพบว่าดวงวิญญาณนี้มีคุณสมบัติพิเศษเป็นบุตรแห่งความมืด มีพลังเหนือชั้นกว่าเปลวไฟสีดำหลายเท่า…


ข้าจะต้องพยายามอย่างหนัก ถ้าโชคเข้าข้าง ข้าก็จะเอาชนะบุตรแห่งความมืดได้ จากนั้นพอข้าคิดว่าสามารถเข้าครอบงำดวงวิญญาณของเจ้าของร่างได้แล้ว…ข้าก็จะเผชิญกับ สวรรค์ เมล็ดดูดกลืนที่แอบเฝ้าดูอยู่ รอให้ถึงตาของมันอย่างหิวกระหาย หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาคิดว่าตนควรจะเลิกทำตัวเป็นปีศาจได้แล้ว และกลับมาใคร่ครวญถึงต้นกำเนิดของตัวตนนี้


มีบางอย่างแปลกๆ ข้าไม่ได้นึกคลางแคลงใจพลังของวิชาดวงตาปีศาจ วิชานี้เป็นเคล็ดเวทที่สุดแสนจะอันตราย แต่ก็น่าแปลกที่ดวงจิตปีศาจนี้กลับไม่แข็งแกร่งอย่างที่คิด ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ความคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้สองประการ ข้อแรกคือเคล็ดเวทและดวงจิตนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วคือตัวตนที่แยกจากกัน ข้อที่สองคือตัวตนของเขานั้นชั่วร้ายและวิปริตกว่าวิชาดวงตาปีศาจหลายเท่านัก…


ข้อที่สองคือเรื่องจริงแท้แน่นอน! หวังเป่าเล่อแตะจมูกเบาๆ จากนั้นก็ขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจดูปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจไม่ทำลายมันในทันที ความคิดพิเรนทร์ผุดขึ้นในหัว


ข้าควร…เลี้ยงอสูรไว้เป็นสมุนอีกตัวดีไหมนะ ชายหนุ่มนึกลังเลใจ ก่อนจะตระหนักขึ้นได้ว่าตนลืมอะไรบางอย่างไป


“ข้าลืมอะไรไปนะ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะนึกสงสัย ดวงตาของเขาเบิกกว้างในทันใด


“เจ้าลา!” ชายหนุ่มตบหน้าผากตนเอง รีบค้นกำไลคลังเวท เขาพบเจ้าลาที่ตนเองลืมไปเสียสนิท มันตัวผอมแห้งจนติดกระดูก แทบจะไม่หายใจแล้ว


เจ้าลาเตะขาทั้งสี่ข้างอย่างไร้สติหลังจากถูกพาตัวออกมาจากกำไลคลังเวท มันหิวหนักจนถึงขั้นที่ว่าแค่หายใจก็ถือเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว มันมึนงงอยู่สักพัก จากนั้นน้ำตาก็ไหลเป็นสายธารจากดวงตาครึ่งหลับครึ่งตื่นที่แฝงไปด้วยความทุกข์ระทมเกินจะทนไหว…


“ลูกข้า…”



 

 

 


บทที่ 699 เราจะเอาคืน!

 

วงแหวนปราณระบบสุริยะทำงานขึ้นเมื่อเรือบินรบลำที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันพักฟื้นอยู่เคลื่อนเข้าไปในชั้นบรรยากาศด้านนอกของดาวศุกร์ พวกเขาผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำ หลี่ซิงเหวินทำการตรวจสอบเป็นพิเศษด้วยตนเองเช่นกันเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาโดนแทรกแซง เรือบินรบผ่านเข้าไปลงจอดในท่าอากาศยานดาวศุกร์ได้สำเร็จ


ทั่วทั้งท่าอากาศยานอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก


ภายในท่าอากาศยานถูกปิดตาย รอบนอกหุ้มด้วยเกราะป้องกัน ผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนคุ้มกันอยู่อย่างระแวดระวัง พวกเขาได้รับคำสั่งจากต้วนมู่ฉีโดยตรง ดวงตามากมายนับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังเรือบินรบที่กำลังลงจอดช้าๆ


ประตูเรือบินรบเปิดออก ดวงตาทุกคู่หันไปมองทางประตู เสียงทุ้มต่ำดังก้องขึ้น


“ทำความเคารพ!”


ผู้ฝึกตนและเหล่าพนักงานภาคพื้นดินทั้งหมด รวมถึงเหล่าผู้นำกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ล้วนยกมือขึ้นแสดงความเคารพตามแบบฉบับของกองทัพสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


พวกเขาทำความเคารพหวังเป่าเล่อ!


ทั้งหมดได้ฟังรายงานจากเจ้าเยี่ยเหมิงและประมุขสำนักสวี อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังพาตัวเฟิ่งชิวหรันกลับสหพันธรัฐด้วยตนเอง บุญคุณที่เขามีต่อสหพันธรัฐนั้นเกินกว่าใครจะเทียบเท่าได้!


รายงานต่างๆ เผยว่าหวังเป่าเล่อเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยให้พวกเจ้าเยี่ยเหมิงกลับมาอย่างปลอดภัย และทำให้สหพันธรัฐทราบถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น การกลับมาของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันช่วยเสริมความมั่นใจให้กับสหพันธรัฐที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่


ตอนที่แผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐดำเนินการครั้งแรก ต้วนมู่ฉีเองก็ป่าวประกาศชื่อหวังเป่าเล่อไปด้วยเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งสหพันธรัฐรับรู้ถึงชื่อเสียงและความดีความชอบที่ชายหนุ่มสร้างให้สหพันธรัฐ แม้แต่ต้วนมู่ฉีเองก็ยังไม่รู้ว่าตนควรมอบตำแหน่งอะไรตอบแทนหวังเป่าเล่อดี…


การทำความเคารพนี้จึงเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มควรได้รับเป็นอย่างยิ่ง!


แต่…ขณะที่ทุกคนกำลังยืนทำความเคารพ เตรียมต้อนรับการมาเยือนของฝูงชนบนเรือบินรบ เสียงร้องของลาที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นก็ดังก้องไปทั่วทั้งท่าอากาศยาน ทุกคนตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเรือบินรบเปิดออก พวกเขาต่างมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ ต้วนมู่ฉีเองก็สะดุ้งตกใจ


คนกลุ่มแรกที่เดินออกมาจากเรือบินรบคือหลี่ซิงเหวินและต้นไม้ยักษ์ พวกเขาเดินออกมาตามปกติ ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ทั้งสองดูจะอับอายอยู่เล็กน้อย หวังเป่าเล่อตามหลังมาไม่ห่าง เขาดูสบายดี ไม่ได้เหนื่อยอ่อน แต่งกายสุภาพ รูปร่างผอมเพรียว ไม่ได้อ้วนท้วน พลังที่แผ่พุ่งออกมาแตกต่างจากตอนที่เดินทางออกจากสหพันธรัฐมากทีเดียว


ทั้งหมดเป็นเพราะระดับการฝึกตนที่สูงขึ้น วิญญาณจุติดวงดารา และความพยายามตลอดหลายปี เขาไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไป ชายหนุ่มที่โตขึ้นและเปลี่ยนแปลงตนเองไปมากน่าจะมีโอกาสสร้างความประทับใจให้กับทุกคน ตัวตนใหม่ของหวังเป่าเล่อควรจะเป็นที่เคารพยำเกรง และคงจะเป็นเช่นนั้นได้…ถ้าไม่มีเจ้าลาขี่คออยู่!


ลาที่ชายหนุ่มแบกอยู่เป็นลาสีดำตัวเล็ก ขาหลังสองข้างห้อยขนาบข้างคอ ส่วนขาหน้าวางแหมะอยู่บนหัวหวังเป่าเล่อ ตัวของมันผอมแห้งจนเห็นโครงกระดูก แต่เสียงร้องยังฟังดูสดใส…


คนขี่ลาเป็นภาพที่เห็นกันได้ปกติ แต่ลาขี่คนนั้น…ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติไปไกล สถานการณ์แสนกระอักกระอ่วนใจทวีความหนักหน่วงขึ้นด้วยถุงขนมในมือชายหนุ่มที่ยื่นไปป้อนเจ้าลา…


สีหน้าทุกคนดูแปลกพิกลไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า


หวังเป่าเล่อไม่ได้หน้าด้านไร้ยางอาย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าลาไม่ยอมกลับเข้าไปในกำไลคลังเวทหลังจากถูกปล่อยออกมา มันร้องคร่ำครวญ ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ถึงกับแลบลิ้นออกมาเพื่อบอกว่ามันยอมตายลงตรงนี้ยังดีเสียกว่า ชายหนุ่มรู้สึกผิดเมื่อได้เห็นเช่นนั้น และความใจอ่อนในตอนนั้นก็นำพาเขามาสู่จุดนี้


เมื่อเห็นสภาพหิวโหยของเจ้าลา ชายหนุ่มเลยป้อนขนมให้ เจ้าลาใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของหวังเป่าเล่อ หากเขาหยุดป้อนเมื่อไหร่ มันก็ขู่ว่าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายเมื่อนั้น


นี่เป็นเหตุให้เขาต้องเดินออกมาในสภาพเช่นนี้ หวังเป่าเล่อหันมองผู้คนด้านนอกเรือบินรบที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าแปลกพิกล เขาถอนใจอยู่ภายในก่อนจะหยุดเดิน จากนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋าทุกท่านคงจะสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงปรากฏตัวต่อหน้าพวกท่านพร้อมลาบนคอ!”


“เป็นเพราะสำหรับข้า เจ้านี่ไม่ใช่แค่สัตว์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเพื่อนร่วมศึก เป็นพันธมิตรของข้า มันช่วยข้ามาแล้วหลายครั้งตอนที่ข้าตกอยู่ในอันตราย มันเลือกที่จะเมินข้าวปลาอาหารเพื่อออกตามหาอาหารและยามาให้ข้าที่นอนไร้สติ ต้องทนหิวจนแทบจะล้มตาย!”


“หวังเป่าเล่อผู้นี้ให้คุณค่ากับมิตรภาพและความภักดียิ่งกว่าสิ่งใด การแบกมันไว้บนคอหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ข้ายอมตัดเนื้อตัวเองมาเลี้ยงมัน เพราะตอนที่ข้าเข้าสู้เส้นทางการฝึกตน ท่านอาจารย์ปู่แห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้สอนข้าไว้ว่า พวกเราเหล่าผู้ฝึกตนจักต้องตอบแทนบุญคุณอยู่เสมอ!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ฝูงชนรู้สึกประทับใจเมื่อได้ฟังเขาพูดจนจบ


สภาพหนังหุ้มกระดูกของเจ้าลาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีที่สุด คงมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้มนุษย์หรือสัตว์ยอมทนหิวโหยขนาดนี้!


การทนหิวตายถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่มันยอมทำเช่นนี้…เหตุผลคงเป็นตามที่ชายหนุ่มเล่า มันเลือกสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเจ้านายของตน!


ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อหวังเป่าเล่อ แต่หลายคนก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่ชายหนุ่มพูด พวกเขามองเจ้าลาด้วยความเคารพ เจ้าลาผู้แสนชาญฉลาดสัมผัสได้ถึงท่าทีและแววตาของผู้คนที่เปลี่ยนไป มันนิ่งไป จากนั้นก็กะพริบตา กำลังจะฉีกยิ้มกว้าง แต่ชายหนุ่มก็กระแอมกระไอขึ้นเบาๆ เบาเสียจนมีแต่เจ้าลาที่ได้ยิน


เจ้าลาตีหน้าขรึมในทันใด เหมือนจะสื่อว่าตนพร้อมตายเคียงข้างเจ้านายของตน


หวังเป่าเล่อพอใจที่เห็นเจ้าลาตอบสนองได้ไว สิ่งที่เขาพูดไปไม่ใช่แค่ช่วยแก้เขินได้อย่างเดียว แต่ยังสร้างผลกระทบแง่บวกเพิ่มด้วย ชายหนุ่มแสนพึงพอใจ ไหวพริบเชาวน์ปัญญาเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นมาก เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“พอข้าสำเร็จวิชาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ต้วนมู่ฉี ผู้นำของเราได้สอนข้าไว้อีกอย่าง นั่นก็คือ…เราจะต้องเอาคืนอยู่เสมอ! ตระกูลไม่รู้สิ้นเข้ามารุกล้ำสหพันธรัฐ เราจะต้องแก้แค้น ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเลือกเชื่อฟังคำสั่งตระกูลไม่รู้สิ้น ในฐานะผู้อาวุโสประจำสำนักวังเต๋าไพศาล ศิษย์พี่ชิวหรันและข้าจะกำจัดปีศาจทั้งหลายให้มลายไปจากสำนัก แต่ทุกสิ่งกลับเดือดพล่านจนมาอยู่ในจุดที่ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีเคยสอนข้าไว้ พวกเรา ผู้ฝึกตนแห่งสหพันธรัฐจะไม่มีวันลืม เราจะเอาคืน!”


ชายหนุ่มใช้พลังทั้งหมดในการตะโกนคำสุดท้ายออกไป ด้วยระดับการฝึกตนของเขา เสียงร้องคำรามถ้อยคำสุดท้ายจึงมีพลังเหมือนดังพายุซึ่งพัดกระจายไปทั่วท่าอากาศยาน คำพูดของเขาเป็นเหมือนสายฟ้าที่แล่นเข้าสู่จิตใจของฝูงชน หลายคนพร้อมใจกันตะโกนขึ้น


“เราจะเอาคืน!”


เหล่าผู้ฝึกตนสหพันธรัฐฮึกเหิมขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อพูดปลุกใจ พวกเขาเขยิบเข้าใกล้กัน พลังรวมเป็นหนึ่งปลุกจิตวิญญาณนักสู้ขึ้นในตัว เหล่าตัวแทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ก็ได้รับการปลุกเร้าไม่แพ้กัน พวกเขาเริ่มส่งเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และคนอื่นๆ ที่คุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อ รู้ดีว่าชายหนุ่มมีนิสัยชอบพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถึงกระนั้นดวงตาของพวกเขาก็ฉายแสงเป็นประกาย ต้วนมู่ฉีผุดคิดขึ้น…หากหวังเป่าเล่อได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แม้งานด้านอื่นจะยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสามารถทำได้ดีเพียงใด แต่ถ้าเป็นการปลุกใจฝูงชนก็ถือว่าทำได้ดีกว่าต้วนมู่ฉีมาก ชายหนุ่มเหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริงๆ


เฟิ่งชิวหรันที่เดินตามหลังชายหนุ่มออกมาก็รู้สึกตื้นตันใจไม่แพ้คนอื่นๆ อาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดี ใบหน้ายังดูซีดเผือดอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินเสียงกู่ก้องของผู้คนรอบๆ และสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณนักสู้ของสหพันธรัฐ นางก็ได้แต่สูดหายใจลึกและหลับตาลง ภาพใบหน้าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล เหล่าผู้ฝึกตนที่นางต้องประมือเพื่อหนีมาปรากฏขึ้นในหัว เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววความสับสนก็หายไป กลับแทนที่ด้วยประกายแสงแห่งความมุ่งมั่น พอหวังเป่าเล่อพูดจบ นางก็เดินออกมายืนเคียงข้างชายหนุ่ม จากนั้นก็ยกมือขึ้นกุม ก้มหัวให้กับฝูงชน


“ผู้อาวุโสสูงสุดเป่าเล่อพูดถูก สำนักวังเต๋าไพศาล…ต้องได้รับการชะล้าง! เหล่าผู้ทรยศของสำนักวังเต๋าไพศาลได้ทำให้สหายเต๋าจากสหพันธรัฐได้รับบาดเจ็บ ถึงข้าจะเอ่ยขอโทษเป็นหมื่นครั้งก็ไม่เพียงพอ ข้าทำได้เพียงถวายชีวิตและความร่วมมืออย่างเต็มกำลังเพื่อร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่สหายเต๋าของสหพันธรัฐ!”


เสียงของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันดังก้องในใจฝูงชน คำประกาศจากทั้งสองทำให้ฝูงชนมีใจพร้อมสู้


“ทุกคนทำความเคารพหวังเป่าเล่อและศิษย์พี่ชิวหรัน!” ต้วนมู่ฉีตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ทั่วทั้งท่าอากาศยานเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


อารมณ์ของคณะต้อนรับพุ่งสูงถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันลงจากเรือบินรบ จากนั้นก็เดินตามหลังหลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และคนใหญ่คนโตของสหพันธรัฐเข้าไปในฐานทัพ


ต้วนมู่ฉีในฐานะตัวแทนสหพันธรัฐพร้อมและบรรดาคนใหญ่คนโตเข้าไปพูดคุยกับเฟิ่งชิวหรันถึงรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ ของสถานการณ์ในปัจจุบัน จากนั้นก็ส่งเฟิ่งชิวหรันไปยังห้องลับในฐานทัพเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูร่างกายต่อ เจ้าลาเองก็ถูกนำตัวไปเช่นกัน หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในตำหนักหลัก คนอื่นๆ แยกย้ายไปกันหมด เหลือเพียงต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉีมีสีหน้าจริงจัง หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้น


“หวังเป่าเล่อ ถ้าสหพันธรัฐชนะศึกครั้งนี้ เจ้าจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)