หมอดูยอดอัจฉริยะ 690-695
ตอนที่ 690 วานรขาว
Ink Stone_Fantasy
“น่าแปลกใจตรงไหน ? ถ้าข้าไม่มีเจ้านาย ข้าจะฝึกวิชาได้ถึงระดับนี้ได้ยังไง ? ”
ผู้อาวุโสตอบเยี่ยเทียนอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ เหมาโถวที่อยู่บนต้นไม้ถูกเขาดึงลงมา และถูกจับเอาไว้ด้วยมือที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด
“เฟอร์เร็ตตัวนี้ติดตามเจ้ามา เจ้าเป็นของของมันใช่มั้ย ? ”
เขานำเหมาโถวมาไว้ด้านหน้าและพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ได้สอนวิธีฝึกวิชาให้มัน เจ้าเฟอร์เร็ตตัวนี้จะก่อตัวเม็ดพลังและเริ่มฝึกวิชาได้ยังไง ? ”
“จี…จี….จี ! ”
เหมาโถวเห็นหน้าแท้จริงของคน ๆ นั้น มันเหมือนตกใจบางอย่างและเริ่มดิ้นรน แต่ดิ้นยังไงก็ไม่สามารถดิ้นให้หลุดจากมือของคน ๆ นั้นได้
“เม็ดพลัง ? เจ้าเฟอร์เร็ตมีเม็ดพลังจินตันอยู่ในร่างกายแล้วอย่างนั้นเหรอ ? ”
เยี่ยเทียนตกใจมาก ในตำราลัทธิเต๋ามักพูดถึงการบรรลุจินตัน แต่ว่า แม้แต่คนอย่างจางซานเฟิง ก็ยังไม่สามารถก่อตัวเม็ดพลังจินตันได้เลย ?
“ตัวนี้เนี่ยนะ มีเม็ดพลังจินตัน ? ”
คน ๆ นั้นหัวเราะใส่เยี่ยเทียนและพูดว่า “ระดับพลังของมันห่างจากระดับพลังจินตันอีกไกล เม็ดพลังจะมีเฉพาะในสัตว์พิเศษ มันไม่เหมือนกับเม็ดพลังจินตันที่พวกมนุษย์พูดถึง จนถึงวันนี้ มีคนที่ฝึกวิชาจนมีเม็ดพลังจินตันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“สัตว์พลังพิเศษ สัตว์ฝึกวิชาได้จริงเหรอเนี่ย ? ” เยี่ยเทียนตะลึงกับประโยคเมื่อครู่ โตจนปานนี้ ไม่เคยรู้สึกตกใจขนาดนี้มาก่อน
“มนุษย์ก็เป็นสัตว์ไม่ใช่เหรอ ? มนุษย์ฝึกได้ ทำไมสัตว์จะฝึกไม่ได้ ? ต้นไม้ใบหญ้าล้วนมีปราณ พวกเจ้ามักจะพูดว่าเซียนในดงดอกไม้ แม้แต่ดอกไม้ก็ฝึกวิชาได้เหมือนกัน”
คำพูดของเขาทำให้เยี่ยเทียนอึ้งไป ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งรอบตัวเป็นความจริง เขาคงคิดว่าตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในตำนานผีสางแล้ว
“แล้ว…แล้วเหมาโถวจะกลายเป็นคนมั้ยครับ ? ” พอเยี่ยเทียนพูดออกไป เหมาโถวที่ดิ้นอยู่ถึงกับนิ่งลงทันที
“เป็นไปได้ยังไง ? การฝึกวิชาคือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ตอนแรกเป็นยังไงก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น”
เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับคำถามของเยี่ยเทียน และตำหนิไปว่า “เจ้านี่มันรู้จริงมั้ยเนี่ย ? ผู้อาวุโสของเจ้า ไม่เคยสอนเจ้าเลยเหรอ ? ”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างหดหู่ “ลำดับอาวุโสของสำนักผมไม่สมบูรณ์ครับ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ผมฝึกถึงระดับนี้ได้ โดยไม่มีใครชี้แนะ ท่านผู้อาวุโสครับ ถ้าหากสัตว์ฝึกวิชาได้จริง งั้นจิ้งจอกในตำนานก็ฝึกจนกลายร่างเป็นคนก็ได้หรือครับ ? ”
“ไม่ต้องแปลกใจ”
คนนั้นก้มหัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มอธิบายอย่างใจเย็นว่า “การที่สัตว์ฝึกวิชา แม้มีโอกาสจะกลายร่างได้ แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน ข้าไม่เคยเห็นหรอกนะ ส่วนเรื่องจิ้งจอกกลายเป็นคนก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น เจ้าดูนิยายมากไปหรือเปล่า คิดว่ามันกลายเป็นคนได้จริงเหรอ ? ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่สั่งสอนครับ”
หลังจากฟังเรื่องที่คนนี้พูดเสร็จ เยี่ยเทียนมีสติและเข้าใจบางอย่าง มังกรดำในฉางไป๋ซานเก่งกาจมากก็จริง แต่มันไม่สามารถขจัดเปลือกนอกออกไปได้
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เจอคนฝึกวิชามาสิบกว่าปีแล้ว การที่พูดให้ฟังมากขนาดนี้ ถือว่าเป็นการคืนเนื้องูตุ๋นหม้อนั้นก็แล้วกัน”
เขาส่ายหัว พูดต่อว่า “ภายในสามวัน หิมะจะตก ปราณชีวิตแท้ของเจ้าไม่มีเลย เจ้าต้านทานไม่ไหวหรอก ข้าขอแนะนำว่าให้ออกจากป่าไปให้เร็วที่สุด ! ”
เยี่ยเทียนใจร้อนขึ้นทันทีที่ได้ยินเขาไล่ให้ออกจากป่า “ท่านผู้อาวุโส ผมเข้ามาในป่าก็เพื่อค้นหาวิธีเอาแก่นปราณกลับคืนมา รบกวนท่านผุ้อาวุโสช่วยกรุณาด้วยครับ ! ”
เยี่ยเทียนเดินทางเป็นพันลี้ ก็เพื่อหาวิธีฝึกการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า คนที่อยู่ตรงหน้ามีวิชาระดับนี้พอดี และอาจจะมีพลังสูงกว่าตัวเองด้วย เยี่ยเทียนจะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไรกัน ?
“ให้ข้าช่วยเจ้างั้นเหรอ ? ”
เขาส่ายหัวกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดและตอบไปว่า “แม้วิชาของข้าจะเก่งกว่าเจ้า แต่ข้าฝึกวิชาของสัตว์พิเศษ มันไม่เหมือนกับมนุษย์อย่างพวกเจ้าหรอก ให้สอนเจ้าเฟอร์เร็ตก็ยังพอว่า ! ”
“สัตว์…พิเศษ กับ…มนุษย์อย่างพวกเรา นี่…ท่านเป็น ? ”
ที่จริงคนนี้เคยใช้คำว่า “พวกมนุษย์” แต่เยี่ยเทียนไม่ทันสังเกต ครั้งนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจนและแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
“ข้าไม่ใช่มนุษย์ไง ก็พูดไปแล้วเมื่อครู่นี้”
คนนั้นหันตัวกลับมาอย่างไม่ปิดบังใดๆ และส่งเสียงออกมาว่า “เอาเถอะ แม้วิชาของเจ้าจะอ่อนมาก แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่ฝึกวิชา การที่ข้าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้านายหรอก ! ”
“เอ่อ…เอ่อ ? ! ”
ด้วยความสว่างของกองไฟ ทำให้เยี่ยเทียนมองเห็น “คน” คนนี้ได้อย่างชัดเจน เยี่ยเทียนรู้สึกกล้ามเนื้อเริ่มหดตัว ขนเริ่มลุก และอยากจะวิ่งหนีออกไป
แม้จะใส่เสื้อผ้าของมนุษย์ แต่ “คน” ตรงหน้ากลับมีใบหน้าเป็นวานร ตั้งแต่หัวจนถึงคอ มีขนสีขาวเต็มไปหมด คาดว่าบริเวณต่าง ๆ ที่ถูกปิดไว้ด้วยเสื้อผ้าก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
นี่มันใช่มนุษย์ที่ไหนกัน ? เป็นวานรชัด ๆ เยี่ยเทียนคาดเดาล้านสิ่ง ก็ไม่คิดว่าผุ้อาวุโสที่ตอบโต้สนทนากับเขาเมื่อครู่นี้ จะเป็นวานร !
สมองของเยี่ยเทียนถึงกับหยุดชะงัก ปากที่อ้าอยู่นั้นส่งเสียงออกมาเป็นเพียงเสียงที่ไร้ความหมาย ส่วนใบหน้าที่อยู่ตรงหน้า มันแตกต่างจากสิ่งที่รู้มาโดยตลอด 20 ปี
“เป็นอะไร ? เมื่อครู่ก็บอกเจ้าไปแล้ว มีอะไรน่าแปลกงั้นเหรอ ? ”
วานรตัวนั้นไม่พอใจท่าทีของเยี่ยเทียนมาก มันแยกเขี้ยว ยิงฟัน ใบหน้าที่เป็นริ้วรอยยิ่งดูน่าเกลียดเข้าไปใหญ่
“ท่านผู้อา…วุโส ครับ ผมตกใจมากเกินไป ผมไม่ได้ดูหมิ่นท่านนะครับ ! ”
ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนจะไม่เชื่อก็คงไม่ได้แล้ว เขาเป็นคนฝึกวิชามาตั้งแต่เด็ก จึงรับเรื่องแบบนี้ได้ค่อนข้างเร็ว แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาคงสลบไปตั้งนานแล้ว
“อืม ค่อยยังชั่วหน่อย สมกับเป็นผู้ฝึกวิชา เก่งกว่าพวกนายพรานป่าพวกนั้นมาก”
วานรพูดต่อด้วยความไม่พอใจว่า “เมื่อก่อนข้าเคยช่วยชีวิตคนในป่ามากมาย แต่คนพวกนั้นเห็นข้าเหมือนเห็นผี เจ้านายเลยสั่งข้าห้ามปรากฏตัวต่อหน้าคนธรรมดาอีก ”
มีคำ ๆ นึงผุดขึ้นในหัวของเยี่ยเทียนหลังจากได้ยินวานรพูดแบบนั้น เขาถามออกไปด้วยความกล้าหาญ “ท่านผู้อาวุโสครับ ท่านคือ “วานรขาว” ในตำนานหรือเปล่าครับ ? ”
ท่านวานรขาว ที่เยี่ยเทียนพูดถึง ก็คือ ซือถูสวนคง เป็นคนสมัยสงครามรณรัฐ เขาใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับฝูงวานรในภูเขาง่อไบ๊ วันแล้ววันเล่า เลียนแบบท่าทางของวานร จนคิดค้นชุดหมัดโจมตี “หมัดทงปี้ง่อไบ๊” ซึ่งมีผู้สืบทอดต่อมามากมาย
เนื่องจาก ซือถูสวนคง ชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว ทุกคนจึงเรียกเขาว่า “บรรพจารย์วานรขาว” บ้างก็ว่าซือถูสวนคง กลายร่างมาจากวานรเผือก หลังจากที่ได้พบกับวานรขาวตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงเชื่อในตำนานนี้ทันที
“ท่านวานรขาว ? เป็นเจ้านายของข้า ”
วานรขาวหัวเราะ และพูดว่า “เจ้ารู้ไม่น้อยเลยนะ ข้าจะบอกให้ก็ได้ เจ้านายของข้าแซ่ซือถู ตลอดชีวิตของวานรขาวเรานับถือตระกูลซือถูเป็นเจ้านาย ! ”
“บรรพจารย์วานรขาว กับ ซือถูสวนคง คือคนสองคน ? ”
เยี่ยเทียนพึมพำ ผ่านไปครู่เดียว เหมือนเขาคิดได้บางอย่าง โค้งคำนับให้กับวานรขาว และพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส เห็นแก่ผมที่เป็นคนจริงใจ ขอให้ท่านช่วยแนะนำผมกับท่านอาวุโสซือถู เพื่อผมจะขอวิธีฝึกวิชาครับ !”
ในเมื่อวานรมีเจ้านายและเจ้านายเป็นมนุษย์ ทำให้เยี่ยเทียนเห็นความหวังอีกครั้ง วานรไม่รู้วิธีฝึกวิชาของมนุษย์ แต่เจ้านายของเขาน่าจะรู้วิธี
“เจ้านายออกจากที่นี่ไปตั้งแต่ 50 ปีก่อนแล้ว ข้าจะแนะนำได้ยังไงล่ะ ? ”
วานรขาวทำหน้าเศร้าและส่งเสียงว่า “เจ้านายเคยบอกว่าเวลาของเขาหมดแล้ว ตอนนี้คงดับขันธ์ไปแล้วล่ะ ตระกูลซือถูไม่มีลูกหลาน วานรขาวอย่างพวกเราจะปกป้องใครอีกล่ะ ? ”
วานรขาวรู้สึกเศร้ามาจากข้างใน มันโยนเหมาโถวออกไปและร้องไห้ฟูมฟายตรงพื้น เสียงร้องไห้ดังก้องไปทั่ว แม้แต่เสียงหอนของฝูงจิ้งจอกยังสู้ไม่ไหว
“ผู้อาวุโส ยังไงคนก็ต้องตายสักวัน เสียใจด้วยนะครับ ! ”
เยี่ยเทียนไม่คิดเลยว่าวานรขาวจะมีความรู้สึกมากมายขนาดนี้ บอกร้องไห้ ก็ร้องออกมาจริง ๆ เขาเคยแสดงความเสียใจกับคนอื่น แต่ไม่เคยคิดว่าต้องพูดคำ ๆ นี้กับวานรขาวตัวนึง
“ใช่ เจ้านายก็เคยพูดแบบนั้น”
วานรขาวกระโดดขึ้นจากพื้นหลังจากเยี่ยเทียนพูดเสร็จ มันหมุนรอบเยี่ยเทียนอยู่หลายรอบและพูดว่า
“เจ้าเป็นคนดีนะ ข้าก็อยากจะสืบทอดวิชาให้เจ้า แต่ยาที่เจ้านายทำไว้ถูกข้ากินไปหมดแล้ว แต่ไม่อาจจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของจุดตันเถียนในตัวของเจ้าได้”
“กินไปหมดแล้ว ? ” เยี่ยเทียนทำตาโต และถามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่เหลือไว้สักเม็ดเลยเหรอ ? ”
วานรขาวส่ายหัวและตอบว่า “ไม่เหลือเลย ตอนนั้นข้าอยู่ในช่วงข้ามขั้น ปราณวิเศษในป่าไม่เพียงพอ ก็เลยใช้ยาเป็นตัวช่วย”
“นี่ท่านทำลายสิ่งของตามอำเภอใจมากไปหรือเปล่า ? ”
เยี่ยเทียนโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะยาเม็ดเพียงเม็ดเดียวสามารถแก้ไขปัญหาจุดตันเถียนที่หายไปได้ เห็นได้ชัดแล้วว่าความยากมีมากแค่ไหน แต่ยาเม็ดดันไม่มีเหลือแม้แต่เม็ดเดียว วานรขาวไม่พูดออกมายังจะดีกว่าเสียอีก
“สัตว์พิเศษอย่างพวกเราสู้พวกมนุษย์ไม่ได้ตั้งแต่เกิด ถ้าไม่ใช้ยาเม็ด ข้าจะข้ามขั้นไม่ได้เลย”
วานรขาวแสดงท่าทางเบะปากซึ่งคล้ายกับมนุษย์มากออกมา และพูดว่า “ไม่มียาเม็ดกับวิธีฝึกวิชาแล้ว แต่จิตแท้ของเจ้าเพิ่งก่อตัวขึ้น ข้าสามารถสอนวิชาเซียนเล็กน้อยให้กับเจ้าได้ เช่น วิชาส่งเสียงทางจิต เจ้าน่าจะเรียนรู้ได้นะ”
“ส่งเสียงทางจิต ? ”
เยี่ยเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคำพูดต่าง ๆ ของวานรขาว ล้วนดังขึ้นในจิตของเขา “ก็ได้ครับ ถ้าท่านผู้อาวุโสสะดวก ก็สอนผมได้เลยครับ”
ที่จริง ถ้าเทียบกับการฝึกวิชากำลังแล้ว เยี่ยเทียนไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่า ส่งเสียงทางจิตนี่หรอก เขาไม่ใช่สัตว์ ดังนั้นเมื่อมีปากก็พูดได้อยู่แล้ว วิชานี้ไร้ประโยชน์มากสำหรับเยี่ยเทียน
“เจ้าจำไว้ให้ดี แค่ทำแบบนี้…”
ส่งเสียงทางจิต ถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือใช้การสั่นของปราณทำให้เกิดภาษา ทำงานโดยตรงในสมองของมนุษย์ เยี่ยเทียนเรียนรู้เพียงครู่เดียวก็รู้วิธีใช้แล้ว
“ท่านผู้อาวุโสครับ ท่านคล้ายกับมนุษย์ขนาดนี้ ยังไม่สามารถพูดออกมาได้เหรอครับ ? ” เยี่ยเทียนใช้การส่งเสียงทางจิตเข้าไปยังสมองของวานรขาว
“เมื่อ 50 ปีก่อน ฉันถูกหลอมกระดูกแล้ว ฉันก็พูดได้ แต่มันไม่สะดวกเท่าส่งเสียงทางจิตแบบนี้”
วานรขาวพยายามส่งเสียงออกมาจากลำคอ แต่เสียงที่ส่งออกมาค่อนข้างแปลก
ตอนที่ 691 ตลาด
Ink Stone_Fantasy
“พอแล้วครับ ใช้เสียงทางจิตเหมือนเดิมดีกว่า”
เสียงแหบของวานรขาว ทำให้เยี่ยเทียนขนลุกซู่ เยี่ยเทียนรู้ว่าตรงคอหอยของวานรมีกระดูกอยู่หนึ่งเส้น หากมีการฝึกฝนมันสามารถออกเสียงแบบมนุษย์ได้ แต่ไม่คิดว่าจะน่าเกลียดถึงเพียงนี้
“ฉันไม่ได้พูดนานมากแล้ว ลองพูดสักหน่อยก็พอแล้ว”
วานรเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์มากที่สุด ฉะนั้นการลอกเลียนนิสัยของมนุษย์ไม่มีสัตว์อื่น ๆ เทียบได้ วานรขาวพูดอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงของเขาฟังดูปกติมากขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส ลูกศิษย์ของผมไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ ? ” พูดคุยกันไปครึ่งค่อนวัน เยี่ยเทียนเห็นลูกศิษย์ตัวเองไม่ตื่นสักทีก็เริ่มเป็นห่วง
“พลังระดับแค่นี้ ยังกล้ารับลูกศิษย์ด้วยเหรอ ? เสียเวลาลูกศิษย์จริง ๆ !”
วานรขาวหัวเราะเยาะเย้ยเยี่ยเทียนและพูดว่า “วิชาของเขาเก่งกว่าคนปกติไม่เท่าไหร่หรอก ตามคำสั่งของเจ้านาย เขาห้ามเห็นฉัน และฉันแค่ปิดสัมผัสทั้งหกของเขาไว้เท่านั้น ! ”
“ท่านผู้อาวุโสเก่งจริง ๆ ผมทำแบบท่านไม่ได้แน่นอน ! ”
พอเห็นวานรขาวได้ใจ เยี่ยเทียนจึงรีบเยินยอ สุภาษิตเคยกล่าวไว้ว่า การเรียนไม่มีการเรียนก่อนเรียนหลัง ผู้ที่บรรลุเข้าใจก่อนก็เป็นครูได้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงวานรตัวหนึ่ง แต่พลังวิชาของฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่าตัวเองจริง
“แน่นอน ฉันติดตามเจ้านายมาตั้งหลายปี ยังมีความสามารถอีกเยอะ ! ” วานรขาวไม่ได้คุยกับคนมาหลายสิบปี แล้วเยี่ยเทียนดันเป็นคนน่าสนใจอีก ทำให้วานรขาวรู้สึกไม่อยากไปแล้ว
พอเห็นวานรขาวดีใจ เยี่ยเทียนจึงฉวยโอกาสถามต่อ “ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่มีวิธีฝึกวิชาของมนุษย์จริงเหรอครับ ? ”
“ไม่มีหรอก ตอนที่ฝึกวิชาฉันยังอ่านหนังสือไม่เป็นเลย ตอนที่อ่านเป็นแล้ว พลังวิชาของฉันก็ก็มีระดับหนึ่งแล้วล่ะ จะไปฝึกวิชาของมนุษย์อีกทำไม ? ”
วานรขาวรู้สึกเสียหน้าเล็กๆ ที่เยี่ยเทียนเอาแต่เรียกเขาว่าท่านผู้อาวุโส เขาคิดไปครู่หนึ่งพูดว่า “ฉันมีวิชาอีกหลายอย่างนะ เช่นการปกปิดร่องรอยไม่ให้คนตาม เดี๋ยวสอนให้เจ้าทีเดียวเลยก็แล้วกัน จิตดั้งเดิมที่มีอยู่ ก็น่าจะเอามาใช้ได้แหละ”
“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้สิ่งที่ผมยังไม่มีก็คือวิธีการฝึกพลังครับ การที่ปราณชีวิตแท้หายไปหมด มันไม่ต่างจากคนไร้ประโยชน์เลยครับ”
เยี่ยเทียนจะร้องไห้ก็ไม่ได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก แม้เขาจะเรียนวิชาเหล่านี้จนสำเร็จ แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาจากต้นตอ หากจิตดั้งเดิมที่ไม่ได้รับการฝึก พลังวิชาของเขาก็จะหยุดนิ่งอยู่แค่นั้น
“เอ่อ…ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง” วานรขาวส่ายหัว ที่จริงวานรขาวก็เป็นแค่สัตว์มีพลังพิเศษทำหน้าที่เฝ้าประตูเท่านั้น เพราะมีชีวิตนานพอสมควร มันจึงมีพลังถึงทุกวันนี้ แล้วมันจะไปสอนเยี่ยเทียนได้อย่างไร ?
“ว่าแต่ ถ้ำเซียนของท่านผู้อาวุโส ซือถู อยู่ในป่าแห่งนี้ใช่มั้ยครับ ? ”
จู่ ๆ เยี่ยเทียนก็นึกถึงเรื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมา เขาถามออกไปว่า “ท่านผู้อาวุโส ซือถู วิจัยเรื่องฟ้ากับมนุษย์ ถ้ำเซียนของเขาน่าจะทิ้งวิธีฝึกกำลังไว้ในถ้ำนะ ท่านช่วยพาผมไปศึกษาหน่อยได้มั้ยครับ ? ”
ถ้าเป็นไปตามที่วานรขาวพูด ตระกูลซือถูจะต้องอาศัยอยู่ในอาณาเขตแห่งเทพกสิกรเป็นแน่ เวลาพัน ๆ ปี ต้องทิ้งวิชาฝึกกำลังไว้บ้าง ถ้าโชคดีจริง อาจจะเจอยาเม็ดก็ได้
“ไปถ้ำเซียนของเจ้านาย ? ”
วานรขาวดีดตัวขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น มันร้องเสียงแปลกว่า “อย่าแม้แต่จะคิดเลย ตอนเจ้านายออกจากที่นี่ไป เขาปิดผนึกถ้ำนั้นไปแล้วล่ะ อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ฉันเองก็ยังเข้าไปไม่ได้!”
“ท่านเข้าไปไม่ได้เหรอ ? ท่านผู้อาวุโสไม่ได้ให้ท่านเป็นคนเฝ้าปากถ้ำไว้เหรอ ? ” เยี่ยเทียนที่ได้ยินวานรขาวพูดแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจ พอพูดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าวานรขาวจะเคืองไม่เบา
“เจ้านายปิดผนึกใจกลางของถ้ำเซียนไว้แล้ว ฉันเข้าไปไม่ได้”
วานรขาวพึมพำด้วยความน้อยใจ “เจ้านายใจร้ายเกินไป ทิ้งของดี ๆ เอาไว้ข้างในหมดเลย เหลือยาเม็ดให้แค่ขวดเดียว ไม่อย่างนั้นพลังวิชาของฉันจะหยุดอยู่แค่นี้และไม่มีการพัฒนาต่อได้ยังไง ? ”
แม้ว่าจะเป็นคนใช้ของตระกูลซือถูหลายต่อหลายรุ่น แต่สัญชาตญาณความเป็นลิงไม่เคยหายไป โดยเฉพาะตัวที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน มันเป็นวานรตะกละ ไม่รู้ว่าของดี ๆ ถูกมันเอาไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว
ฉะนั้นคนของตระกูลซือถูรุ่นสุดท้าย ตอนที่จากไป พวกเขาจึงปิดผนึกห้องนอน ห้องผสมยาและห้องสำคัญต่าง ๆ แม้วานรขาวจะพยายามเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก
“ท่านผู้อาวุโส ท่านลองพาผมไปได้มั้ย ไม่แน่ว่า ผมอาจจะมีวิธีเปิดก็ได้นะ กำลังของคนอาจเปิดไม่ออก เราใช้ระเบิดก็ได้นะครับ ! ”
เยี่ยเทียนเห็นความคิดลึก ๆ ของวานรขาว จึงพยายามโน้มน้าวให้พาเขาไป แม้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่เขาทนสิ่งที่ล่อตาล่อใจในถ้ำเซียนนั้นไม่ไหว
“อะไรนะ ? ใช้ระเบิด ? ของที่มันเสียงดังมากนั่นเหรอ ? ”
วานรขาวส่ายหัวไม่หยุดและพูดว่า “อย่าแม้แต่จะคิดเลย ไปขโมยยาเม็ดของเจ้านายไม่เป็นอะไรนะ แต่ถ้าไปทำลายถ้ำของเจ้านาย ถ้าเจ้านายกลับมาคงฆ่าฉันตายแน่ ๆ !”
วานรขาวเบิกตากว้างขณะที่พูด และมองเยี่ยเทียนด้วยความไม่ปลื้มเท่าไหร่ “เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน ถ้ำเซียนของเจ้านายทำลายได้ที่ไหน ? แล้วอีกอย่างของที่อยู่ในนั้นก็เป็นของฉันทั้งหมด ! ”
ประโยคสุดท้ายของวานรขาวเผยให้เห็นความคิดด้านลึกของมันแล้ว เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่น การที่ได้พบกับวานรขาวระดับนี้ เขาไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ
ก็ถือว่าได้พบกับผู้มีพลังแล้ว แต่สิ่งที่พบกลับไม่ใช่มนุษย์ ความรู้สึกของเยี่ยเทียนก็คงไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว เขาไม่ต้องการเสียเวลากับวานรขาว จึงพูดไปว่า “ถือซะว่าผมบุญน้อย ขอถามผู้อาวุโสว่า มีใครที่มีพลังพิเศษแบบท่านอีกมั้ย ผมจะขอไปเยี่ยมสักหน่อย ”
วานรคิดครู่หนึ่งและตอบว่า “เทือกเขาคุนหลุนมีคนอยู่กลุ่มนึง แต่ไม่ปรากฏตัวมา 60-70 ปีแล้วล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่ายังอยู่ตรงนั้นมั้ย ?
แล้วก็มีจมูกวัว (คำเรียกนักพรตแบบขำในสมัยก่อน) ที่เทือกเขาชิงเฉิง ระดับขั้นของพลังก็ไม่ต่ำเท่าไหร่ แต่ไม่ปรากฏตัวนานมากพอ ๆ กับกลุ่มที่อยู่ในเทือกเขาคุนหลุน นอกจากนี้ฉันไม่รู้แล้วล่ะ “
“เทือกเขาชิงเฉิง มีผู้มีพลังเก่งกล้าจริงด้วย ! ”
เยี่ยเทียนรู้สึกดีใจที่ได้ยินประโยคเหล่านี้จากวานรขาว แต่เวลาที่วานรขาวพูดถึง แตกต่างกับสิ่งที่หนานไหวจิ่นเคยพูดเอาไว้ คนพวกนั้นไม่ปรากฏตัวหลายปี ไม่แน่ อาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้
“จี…จีจี ! ”
เยี่ยเทียนกำลังคุยกับวานรขาว เหมาโถวกระโดดกลับมาและใช้อุ้งมือวาดบางอย่างที่ใบหน้าของตนเอง ตอนนี้มันรู้แล้วว่าวานรขาวไม่มีเจตนาร้ายต่อมัน มันจึงไม่กลัว “คน” อาวุโสท่านนี้แล้ว
เยี่ยเทียนไม่เข้าใจสิ่งที่เหมาโถวจะสื่อ แต่วานรขาวกลับเข้าใจ วานรขาวจ้องมันและพูดกับมันว่า “ฉันขี้โม้ ? ตอนที่นักรบผมยาวออกรบ ฉันมีชีวิตสิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ก็เกือบจะ 200 ปีแล้วมั้ง เรื่องราวเมื่อสมัย 60-70 ปีก่อนจะไม่เคยรู้ได้ยังไง ? ”
“ผมยาว ? ท่านหมายถึงกบฏไท่ผิง ? ท่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ? ”
เยี่ยเทียนตกตะลึง ตั้งแต่ราชวงศ์ชิงส่งเสริมการตัดผมส่วนหน้าและแต่งตัวง่าย ๆ ส่วนราชอาณาจักรไท่ผิงสั่งห้ามตัดผม ห้ามเปียผม แต่ให้ปล่อยผม ด้วยเหตุนี้จึงได้ฉายาว่า “ผมยาว”
กบฏไท่ผิงเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 1850 ถ้าตอนนั้น วานรขาวอายุ 10 กว่าปี หากนับดูแล้ว ตอนนี้ก็ประมาณ 200 ปี วานรขาวน่าจะไม่ได้พูดเล่น
วานรขาวเบะปากและตอบว่า “กองทัพผมยาว มีเด็กคนหนึ่งสนิทกับเจ้านาย หลังจากกบฏพ่ายแพ้ ก็ขอให้เจ้านายออกจากป่า เขาคนนั้นคุกเข่าตรงนี้หนึ่งเดือนเต็ม แต่เจ้านายไม่ได้สนใจเขาเลย จากนั้นเขาก็จากไป”
ในตอนนั้น ความสามารถพิเศษของวานรขาวแม้จะมีบ้างแล้ว แต่มันยังพูดไม่ได้และส่งเสียงไม่ได้ วานรขาวได้ยินคน ๆ นั้นบ่นทุกวัน ทำให้มันรู้เรื่องด้านนอกอยู่บ้าง
“บ้าเอ๊ย นี่มันพจนานุกรมมีชีวิตชัด ๆ ถ้ามีคนที่วิจัยประวัติศาสตร์ช่วงอาณาจักรไท่ผิง คนนั้นจะต้องกราบไว้เขาเป็นบรรพบุรุษเป็นแน่ ! ”
เดิมทีเยี่ยเทียนคิดว่าอายุของอาจารย์กับโก่วซินเจียมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบกับวานรขาวตัวนี้แล้ว พวกอาจารย์เป็นแค่คนรุ่นหลังไปแล้ว
หลังจากที่เล่าเรื่องต่าง ๆ ของสมัยก่อนให้เยี่ยเทียนฟังเสร็จ วานรขาวถามไปว่า “ว่าแต่ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าในอาณาเขตแห่งนี้มีผู้ฝึกวิชา ? ”
“ผมได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง ด้านในมีร่องรอยแผนที่ภาพหนึ่ง น่าจะเป็นผู้เก่งวิชาทิ้งเอาไว้ และมันน่าจะอยู่ในอาณาเขตแห่งนี้ ผมจึงลองมาดูครับ”
แม้แต่วานรขาวยังพูดได้แล้ว เยี่ยเทียนไม่มีทางกลัวว่ามันจะไม่เชื่อคำพูดของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว จึงได้เปิดคัมภีร์เต๋าไคหยวนขึ้นมา จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องภาพให้วานรขาวฟัง
“หืม ? มีเรื่องแบบนี้ด้วย ? ” วานรขาวพูดต่อ “เจ้าส่งแผนที่นั้นมาให้ฉัน มันน่าจะคล้ายกับการส่งเสียงทางจิต”
เยี่ยเทียนลองใช้วิธีที่วานรขาวสอน และแผนที่แผ่นนั้นก็ส่งเข้าไปที่สมองของฝ่ายตรงข้ามได้จริง
วานรขาวเหมือนคิดบางอย่างออก หลังจากได้ดูแผนที่ภาพนั้นแล้ว พึมพำว่า “ที่นี่เองเหรอ ? แต่มันไม่มีคนไปหลายปีแล้วนะ ! ”
“ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าตลาดนั้น เป็นที่เกี่ยวกับอะไรเหรอครับ ? ” เดิมทีเยี่ยเทียนคิดว่าตลาดเป็นถ้ำเซียนของลูกหลานตระกูลซือถู พอเห็นสีหน้าของวานรแล้ว เขารู้ทันทีว่าตัวเองเดาผิด
“ตลาด เป็นตลาดที่เอาไว้แลกเปลี่ยนสิ่งของของคนที่ฝึกวิชาน่ะสิ นี่เจ้าไม่รู้เลยเหรอ ? ”
วานรพูดกับเยี่ยเทียนด้วยความไม่สบอารมณ์ “เมื่อ 60-70 ปีก่อน มีคนไปๆมาๆค่อนข้างบ่อย แต่มันถูกทิ้งไว้ให้ร้างมานานแล้วนะ ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงนั้นตายไปกันหมดหรือยัง ? ”
ต่อหน้าเยี่ยเทียน วานรขาวยังสามารถสวมรอยการเป็นผู้อาวุโส แต่ถ้าเป็นคนที่ไป ๆ มา ๆเมื่อ 60-70 ปีก่อน แค่ดีดนิ้วก็สามารถทำลายวานรขาวได้เลย ในตอนนั้น วานรทั้งหลายอยู่ด้วยความลำบากมาก พวกมันจึงไม่ค่อยชอบคนพวกนั้นเท่าไหร่
“ท่านผู้อาวุโส ท่านพอจะพาผมไปที่ตลาดนั่นได้มั้ยครับ ? ”
เยี่ยเทียนคิดไปครู่หนึ่ง มาถึงอาณาเขตแห่งเทพกสิกรทั้งทีคงกลับไปมือเปล่าไมได้หรอกมั้ง การไปสถานที่ ๆ มีผู้มีพลังวิเศษแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเก็บของที่ไม่เข้าตาสำหรับพวกเขาได้สักชิ้นก็เป็นได้
“วานรขาวพยักหน้าและตอบว่า “เจ้าถือว่าเป็นผู้ฝึกวิชา ไปที่นั่นได้อยู่แล้ว แต่คนนั้นไม่ได้ เจ้านายเคยพูดแล้วว่า คนธรรมดาห้ามเข้าไป ! ”
“เซี่ยวเทียนไปไม่ได้เหรอครับ ? งั้นเหมาโถวล่ะ ? ” เยี่ยเทียนชี้ไปที่เหมาโถว ที่กำลังทำหน้าตลกใส่วานรอยู่
“มันไปได้อยู่แล้ว นอกจากฉันแล้ว ก็มีแต่มันเนี่ยแหละที่ลอยได้”
วานรยิงฟันใส่เหมาโถว และพูดด้วยความได้ใจว่า “วันหลังฉันจะสอนวิชาให้แกสักสองสามวิชา ให้แกสามารถใช้จิตได้ แต่ถ้าอยากจะเป็นเหมือนฉันละก็ คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ! ”
การฝึกพลังพิเศษของสัตว์ ที่สำคัญที่สุดคือการเปิดปราณแห่งความฉลาด มันจะทำให้สัตว์สามารถคิดได้อย่างมนุษย์ ส่วนการออกเสียงพูด มีเพียงโครงสร้างร่างกายแบบวานรกับสัตว์พิเศษคล้ายมนุษย์เท่านั้นถึงจะทำได้
“ได้ ผมจะไปกับท่าน แต่ผมขอเขียนโน้ตไว้ให้เซี่ยวเทียนก่อน” เยี่ยเทียนคิดไปครู่นึง หยิบกระดาษ ปากกาออกจากกระเป๋า และเริ่มเขียนโน้ต
novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
หน้าหลัก
ดูอนิเมะ anime
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
จันทร์
อังคาร
พุธ
พฤหัสบดี
ศุกร์
เสาร์
อาทิตย์
ทุกวัน
จบแล้ว
จันทร์
อังคาร
พุธ
พฤหัสบดี
ศุกร์
เสาร์
อาทิตย์
ทุกวัน
จบแล้ว
Sign in Sign up
Hydra888 ดูบอลสด
CAT350 เกมส์ออนไลน์ได้เงินจริง ufabet
ufabet PANAMA888
lotto432 london168
UFAZEED Papaya111
UFA1919 UFAC4
หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 692 ระดับ
Home หมอดูยอดอัจฉริยะ ตอนที่ 692 ระดับ
ตอนที่ 692 ระดับ
ตอนที่ 692 ระดับ
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนไม่ได้เขียนอะไรเยอะ แค่เขียนไว้ว่าตัวเองจะอยู่ในป่าต่ออีกสักวันสองวัน เพราะมีโอกาสบางอย่างในที่แห่งนี้ และให้โจวเซี่ยวเทียนไปรอเขาที่บ้านเหล่าฉีก่อน
“ท่านผู้อาวุโส เราไปกันเลยครับ ไม่รู้ว่าตลาดนั้นอยู่ไกลจากที่นี่มั้ย ? ”
เยี่ยเทียนเอาเสื้อขนเป็ดห่มไว้ให้โจวเซี่ยวเทียน และใส่ฟืนเพิ่มในกองไฟ คาดว่าไฟน่าจะลุกได้ถึงเช้า จากนั้นค่อยหันไปถามวานรขาว
“ทางตรง ประมาณหนึ่งร้อยกิโล เจ้าหนุ่ม ความสามารถของเจ้า วิ่งสักสามวันก็ไม่ถึงหรอก”
วานรขาวขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่ข้าชอบเจ้า ข้าจะยอมเหนื่อยสักหน่อยก็แล้วกัน เหล้าในกระเป๋าของเจ้าถือว่าเป็นค่าเดินทางนะ ! ”
วานรได้กลิ่นเหล้าในกระเป๋าของเยี่ยเทียนมาสักพักแล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาคงเอากระบองฟาดหัวและหยิบเหล้าไปแล้ว แต่เพราะเยี่ยเทียนเป็นคนมีวิชา วานรขาวจึงไม่กล้าทำ
“ได้เลย วันหลังถ้าท่านอยากดื่มเหล้าขอแค่ท่านบอก อยากดื่มเท่าไหร่ก็ได้ ! ” เยี่ยเทียนหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าวานรขาวไม่เพียงแต่ตะกละ ยังชอบดื่มเหล้าอีกด้วย
จริง ๆ เยี่ยเทียนกลัวแค่วานรขาวไม่มีความอยาก ขอแค่วานรขาวขออะไรกับเขา ในวันข้างหน้าเยี่ยเทียนจะต้องได้รับสิ่งตอบแทนจากวานรขาวเป็นแน่ แล้วถ้ำเซียนของตระกูลซือถูก็อยู่ตรงนั้น เสียดายเปล่า ๆ
“อืม ไม่เลว ๆ ไม่เหมือนกับตาแก่พวกนั้น หวงเหล้าอย่างกับเป็นลูกในไส้…”
วานรขาวหัวเราะขึ้นมา มีอยู่ปีนึงมันแอบขโมยเหล้าของนักพรตท่านหนึ่ง แล้วถูกนักพรตท่านนั้นตีแบบจริงจังมาก
หลายปีมานี้วานรขาวก็มักจะลงจากเขาเพื่อไปขโมยเหล้าของชาวบ้าน แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังจะเอาเหล้าให้ตัวเอง มันดีใจฉีกปากกว้างจนแทบหุบไม่ได้
“เดี๋ยวข้าพาไป เจ้าห้ามขยับนะ ! ”
เยี่ยเทียนสัญญาจะให้เหล้ากับวานรขาว ท่าทีของวานรขาวจึงดีขึ้นหลายเท่า จากนั้นเยี่ยเทียนก็ย่อตัวลง ฝ่ามือขน ๆ ของวานรขาวช้อนเยี่ยเทียนขึ้น วานรขาวเพิ่งจะพูดจบ แต่ตัวเยี่ยเทียนได้ลอยขึ้นฟ้าแล้ว
เยี่ยเทียนมองลงไปข้างล่าง เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า มีกลุ่มอากาศกลุ่มหนึ่งหุ้มเขาสองคนเอาไว้ ยังไม่ทันมองดูดี ๆ มีลมแรงพัดเข้าปากของเขา และแรงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
“จี จี ! ” แม้แต่เหมาโถวก็ยังตกใจกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นกะทันหันแบบนี้ มันหดตัวเป็นก้อนและม้วนไปอยู่ตรงคอของเยี่ยเทียน
“อย่าปล่อยจิตแท้ออกมา จิตแท้ของเจ้ายังไม่สมบูรณ์ โดนลมพัดแบบนี้อาจได้รับบาดเจ็บ ! ”
ตอนที่เยี่ยเทียนคิดจะปล่อยจิตออกมาดู เสียงของวานรขาวก็ดังขึ้นในสมองของเขา เยี่ยเทียนจึงได้ลบความคิดนี้ออกไป “บ้าเอ้ย ความเร็วเท่าไหร่เนี่ย ? ”
แม้ตาจะปิดไว้ทั้งสองข้าง แต่เยี่ยเทียนรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของเขาถูกลมพัดจนเบี้ยวไปหมด ลมที่พัดนั่นเหมือนมีดที่กำลังกรีดเนื้อของเขาอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะปราณชีวิตแท้ที่หล่อเลี้ยงไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน เยี่ยเทียนคงไม่รอดแล้ว
“ถึงแล้ว ! ”
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานแค่ไหน เขาได้ยินแค่เสียงของวานรขาว จากนั้นความเร็วก็ลดลงอย่างช้า ๆ สองขาของเขาในที่สุดก็แตะพื้น
เขารีบนวดใบหน้าที่ด้านชาไปหมด พอลืมตาขึ้น ถึงกับต้องเบิกตาให้กว้างขึ้นเพื่อดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
บริเวณพื้นที่เยี่ยเทียนกับวานรขาวยืนอยู่ เป็นหมอกสีขาวทั้งหมด หมอกนั้นสูงมิดหัวเข่าของเยี่ยเทียน แต่ตอนนี้ หมอกพวกนั้นกำลังสลายตัว และซึมเข้าร่างกายของเยี่ยเทียนกับวานรขาวอย่างช้า ๆ
หลังจากผ่านไปไม่นาน หมอกรอบตัวก็หายไปหมด ถ้าไม่ได้เห็นกับตาจริง ๆ เยี่ยเทียนคงคิดว่าเกิดภาพลวงตากับเขาเป็นแน่
เยี่ยเทียนหันไปมองซ้ายมองขวา พบว่าพวกเขาอยู่ตรงกลางเขาแห่งหนึ่ง และระยะสิบกว่าเมตรด้านหน้า มีถ้ำมืดอยู่หนึ่งถ้ำ แต่เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นทางเข้าของตลาดหรือไม่ ?
“ท่าน…ผู้อาวุโส พวก…เรา บินอยู่บนเมฆหมอกเหรอ ? ”
เยี่ยเทียนมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ พวกเขาใช้เวลาแค่ 10 กว่านาทีในการเดินทางมาที่นี่ เวลาอันสั้นแค่นี้สามารถเดินทางได้เป็นร้อยกิโล ถ้าไม่ใช่ลอยมากับเมฆหมอกแล้วคืออะไรล่ะ ?
“ลอยกับเมฆหมอก ? คงใช่แหละ ”
วานรขาวเอียงหัวคิดตาม และพูดว่า “ทำไมเจ้าดูไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ในโลกมนุษย์มีคนฝึกวิชาอยู่มากมาย ชอบกำหนดพลังวิชาของตัวเองเป็น หลอมกายสู่ปราณ หลอมปราณสู่จิต หลอมจิตสู่ความว่าง หลอมความว่างสู่เต๋าและขั้นอื่น ๆ
สำหรับนักพรตเต๋าที่แท้จริง นี่เป็นการแบ่งความสามารถก่อนกำเนิดกับความสามารถหลังกำเนิด เช่น หลอมกายสู่ปราณ กับหลอมปราณสู่จิตเป็นความสามารถหลังกำเนิด สามารถฝึกด้วยร่างกาย แต่ปราณชีวิตแท้ หากเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกวิชา
ส่วนหลอมจิตสู่ความว่างกับหลอมความว่างสู่เต๋านั้นถือว่าเป็นความสามารถก่อนกำเนิด พลังเดิมแท้แปรเปลี่ยนเป็นแก่นวิญญาณ ยังสามารถเรียกอีกอย่างว่า “ปราณ” นั่นแปลว่ามันคือปราณก่อนกำเนิด อวัยวะภายในที่พร้อมใช้งาน จะฝึกจนมีปราณ แบบนี้ถึงจะนับว่าเข้าสู่เต๋าแล้วจริง ๆ “
วานรขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเสื้อผ้าชุดเต๋าของมันเหมือนจะมีปราณแท้สีขาวลอยออกมา ทันใดนั้นปราณแท้ก็เปลี่ยนไปคล้ายกับก้อนเมฆและถูกดันขึ้นมา
“ก่อนกำเนิดแบ่งเป็นสามระดับ หากเพิ่งเข้าสู่ก่อนกำเนิด จะสามารถลอยจากพื้นได้สามฟุต หากเข้าช่วงกลางถึงช่วงหลัง ปราณแท้จะควบแน่น จนสามารถลอยขึ้นฟ้าได้ ! ”
วานรขาวพูดไปด้วย เดินบนอากาศให้ดูไปด้วย มันแค่ก้าวขาออก ทันใดนั้นเมฆกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น และตัวก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งสูงถึง 10 กว่าเมตร ชุดเต๋าสีครามลอยพลิ้วอยู่กลางอากาศ เหมือนเซียน
วานรขาวหยุดอยู่กลางอากาศอยู่ครู่หนึ่งจึงลอยลงมาอย่างช้า ๆ มันเก็บปราณแท้เข้าไปและพูดอีกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะจุดตันเถียนสลายไปเพราะบาดเจ็บ พลังปราณชีวิตเดิมก็สามารถเปลี่ยนเป็นปราณแท้ได้ ส่วนข้าที่พาเจ้ามาที่นี่ก็ถือว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกวิชาเหมือนกัน ไม่ถือว่าข้าผิดคำสั่งของอาจารย์ ! ”
“นี่ผมแค่อยู่ในขั้นก่อนกำเนิดเหรอครับ ? ”
หลังจากฟังวานรอธิบายเสร็จ เยี่ยเทียนรู้สึกขมขื่น เดิมทีเขาคิดว่าความสามารถของเขา ไม่ได้เป็นที่หนึ่ง แต่ก็สามารถเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรกแน่นอน
แต่หลังจากที่ฟังวานรขาวพูดเกี่ยวกับการแบ่งระดับเสร็จ เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นแค่กบในกะลา ที่มองทุกสิ่งจากใต้หลุม ไม่เคยรู้เลยว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด
“ไม่ใกล้เลยแหละ”
วานรขาวพูดแทงใจดำเยี่ยเทียนต่อ “แม้การฝึกวิชาเพื่อเป็นเซียน ใช้การก่อจิตดั้งเดิมได้หรือไม่เป็นตัวแบ่งก่อนกำเนิดกับหลังกำเนิด แต่ถ้าไม่มีปราณแท้ เจ้าก็ไม่แตกต่างจากพวกหลังกำเนิดเหล่านั้น”
“ท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยพูดอะไรที่น่าฟังหน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ ? ” เยี่ยเทียนทำหน้าเหมือนร้องไห้ เขาถูกวานรขาวตัวหนึ่งทั้งดูถูกทั้งโจมตี จนแทบอยากจะเอาหัวชนกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
วานรขาวเบะปากและพูดด้วยความไม่ค่อยมั่นใจว่า “สิ่งที่น่าฟัง ? ก็ได้นะ ถ้าเจ้ามีวิชาหลอมจิต ไม่แน่จิตดั้งเดิมอาจแปลงเป็นทารกได้โดยตรง ถึงเวลานั้นสามารถก่อร่างใหม่ ส่วนพลังเดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ”
“แปลงเป็นทารก?นั่นมันระดับขั้นไหนเหรอครับ ? ”
หากไม่ได้พบการลอยขึ้นฟ้าของวานรขาว เยี่ยเทียนคงฟาดหน้าวานรขาวไปแล้ว จนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนยังคงสงสัยว่า บนโลกนี้มีเซียนแบบในตำนานจริง ๆ เหรอ ?
“เมื่อพลังวิชาถึงช่วงหลังของก่อนกำเนิด มันจะรวมตัวเป็นเม็ดพลัง ส่วนจินตันที่แตกสลาย จะแปลงเป็นทารกดั้งเดิม และที่มากกว่านั้น เจ้าไม่ต้องถามต่อนะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ! ”
วานรขาวอดทนเล่าเรื่องระดับขั้นในโลกของพลังวิชาให้เยี่ยเทียนฟัง ก็เพราะเห็นแก่เหล้าขวดนั้นของเยี่ยเทียน
“ดูเหมือนผมยังอ่อนด้อยมาก” เยี่ยเทียนเข้าใจสักที พลังวิชาที่ตนเองภูมิใจ ในสายตาของวานรขาวตัวนี้ แม้แต่ลมที่ผายออกมาทางก้นก็ยังเทียบไม่ได้
แต่มันก็ทำให้เยี่ยเทียนอยากจะพัฒนาตนเอง ระดับขั้นจิตดั้งเดิมแปลงเป็นทารกเขาไม่กล้าไปคิด ขอแค่เขาสามารถขี่เมฆลอยฟ้าได้ก็พอใจแล้ว
“ท่านผู้อาวุโส พลังวิชาของท่าน อย่างน้อยก็เข้าสู่บรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้วใช่มั้ยครับ ? ” ยากนักที่จะได้พบกับ “มนุษย์” ที่รู้ขนาดนี้ เยี่ยเทียนจะไม่ถามให้มันถึงที่สุดได้อย่างไร ?
“เจ้าคิดว่าบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคง่ายขนาดนั้นเลย ? แม้แต่พวกแก่ไม่ตาย ก็มีไม่กี่คนที่เข้าไปถึงระดับนั้น ข้า…ข้าเกือบจะโดนธาตุไฟเข้าแทรกถูกเผาตายแล้วด้วยซ้ำ ! ”
วานรขาวกลัวเยี่ยเทียนจะดูถูกเขามาก มันจึงพูดต่อว่า “ตอนที่เจ้านายจากไป เจ้านายอยู่ในระดับช่วงหลังก่อนกำเนิด แน่นอนแหละ สูงกว่าข้าตอนนี้นิดหน่อย ซึ่งบนโลกนี้มีผู้มียอดวิชาระดับจินตันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ !”
“เป็นแบบนี้นี่เอง ท่านทำผมตกใจหมด”
เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินวานรขาวบอกแบบนั้น และคิดว่าแค่ถึงระดับช่วงหลังก่อนกำเนิด ก็ถือว่าถึงจุดสูงสุดของคนฝึกวิชาแล้ว แล้วตัวเขาเองก็ห่างระดับนั้นไม่ไกลแล้วด้วย
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่เขาสู่ระดับก่อนกำเนิด จะต้องคอยฝึกปราณแท้ด้วยการบีบอัดและสกัดปราณ
มีเพียงฝึกปราณแท้ให้บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้น ถึงจะพัฒนาได้อีกขั้น และมันต้องใช้เวลามากกว่าร้อยปี ตัวเลขห่างไปเพียงนิดเดียวก็แตกต่างราวฟ้ากับดิน
“เอาเถอะ วันนี้ข้าพูดมามากแล้วล่ะ เจ้าหาที่นอนสักที่ก็แล้วกันนะ ห้ามรบกวนข้า ! ”
วานรเปิดขวดเหล้าของเยี่ยเทียน และกระดกทั้งขวดในพรวดเดียว ราวกับกลัวเยี่ยเทียนจะแย่ง
“เฮ้อ ท่านผู้อาวุโส พวกเราจะไปตลาดกันไม่ใช่เหรอครับ ? ” เยี่ยเทียนหงุดหงิดทันทีหลังจากได้ยินว่าให้ไปนอน เพราะหลังจากที่ได้ฟังตำนานเต๋าต่าง ๆ เสร็จ เขาไม่มีอารมณ์ไปนอนแล้ว
“ตลาด ? ดึกดื่นป่านนี้จะไปทำไม ? ”
วานรขาวสะอึก และกรอกตาพูดกับเยี่ยเทียนว่า “เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปพรุ่งนี้ ยังไงก็ห่างจากที่นี่ไม่ไกลแล้วล่ะ ข้าจะไปนอนแล้ว อย่ามากวนข้า ! ”
พูดจบ วานรโยนขวดเหล้าทิ้งลงและมุดเข้าไปในถ้ำนั้นทันที เยี่ยเทียนเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้ถ้ำนี้เป็นที่อยู่อาศัยของวานรขาวนี่เอง
“โบราณกล่าวไว้ว่า คนยิ่งแก่ยิ่งฉลาด และวานรขาวตัวนี้ก็ฉลาดมาก จะต้องมีของดีแน่นอน ”
หลังจากครุ่นคิดคำพูดของวานรขาวเสร็จ เยี่ยเทียนก็มุดเข้าถ้ำไปเหมือนกัน ส่วนเหมาโถวที่อยู่ตรงคอของเยี่ยเทียน มันทำตาโตและมองดูรอบ ๆ อย่างประหลาดใจ
เมื่อมองจากด้านนอก ถ้ำนี้มืดสนิท แต่พอเข้ามาแล้ว เยี่ยเทียนพบว่าไม่อาจคาดเดาความลึกของถ้ำได้เลย แต่พอเลี้ยวไปทาง ๆ หนึ่ง ก็มีแสงสว่างเป็นจุด ๆ สว่างขึ้นตรงหน้า
“โห นี่มันอะไรบ้างเนี่ย ? ”
เยี่ยเทียนจะดีใจก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิงออกมา หลังจากที่เห็นของตกแต่งจากแสงของไฟเหล่านั้น
ตอนที่ 693 ทองบริสุทธิ์
Ink Stone_Fantasy
ถ้ำของวานรขาวน่าจะถูกก่อสร้างขึ้นมาใหม่จากถ้ำหินปูนในภูเขา ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนยืนอยู่ ก็คือห้องนอนของเขา มีพื้นที่ที่กว้างใหญ่มาก ดูแล้วน่าจะมีขนาดสี่ห้าสิบตารางเมตร
แต่ภายในพื้นที่ที่กว้างขวางขนาดนี้ กลับมีสิ่งของวางอยู่เต็มไปหมด
นอกจากเตียงหินหนึ่งตัวกับชุดโต๊ะเก้าอี้หินหนึ่งชุดแล้ว บนผนังหินที่สูงจากพื้นประมาณแปดสิบเซ็นติเมตรที่อยู่ภายในถ้ำ ถูกเจาะรูเข้าไปประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้ และมีสิ่งของยัดอยู่ภายในเต็มไปหมด
เพียงแต่สิ่งของที่ถูกวานรขาวเก็บสะสมเป็นดั่งของล้ำค่านั้น ในสายตาของเยี่ยเทียนแล้วกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ของเล่นพวกนั้นมีหม้อ ชาม ทัพพี ช้อน ที่ใช้ในการแคมป์ปิ้งหรือปิกนิคของมนุษย์ มีสีที่ใช้ทา แผ่นปิดกระดาษเขียนภาพที่ใช้วาดภาพแบบพื้นบ้าน แล้วก็ยังมีขวดแก๊ส กระป๋องออกซิเจน เต็นท์ เครื่องเล่นเกมแบบพกพา เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิง กระทั่งยังมีกล่องแต่งหน้าของผู้หญิงอีกด้วย
สิ่งของเหล่านี้ในสายตาของเยี่ยเทียนไม่ต่างอะไรกับขยะ แต่กลับถูกวานรขาวเก็บสะสมเสียอย่างนั้น นอกจากนี้จากตำแหน่งที่มันจัดวางไว้ เห็นได้ชัดว่าได้มองสิ่งของพวกนี้เป็นเหมือนของล้ำค่า
“อย่าขยับของที่อยู่ข้างบนนะ ถ้าพังขึ้นมาเจ้าต้องชดใช้”
เสียงของวานรขาวดังมาจากบนเตียงหิน ดูเหมือนมันจะนอนหลับแล้ว แต่ความจริงมันกำลังคอยจับสังเกตเยี่ยเทียนอยู่ เพราะกลัวว่าเจ้าหนุ่มที่มีพลังยุทธที่ต่ำมากจะทำลายข้าวของของตัวเอง
“ได้ ของรักของท่านผมไม่กล้าแตะต้องครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน จู่ๆ ก็ถูกดึงดูดความสนใจไปที่กำแพง แสงสว่างที่อยู่ในห้องนี้ ราวกับมีต้น กำเนิดมาจากตรงนั้น
“ไข่มุกราตรี?”
เมื่อเยี่ยเทียนเดินเข้าไปใกล้แล้วจึงพบว่า ที่แท้ก็มีไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นของมนุษย์ฝังอยู่ในผนังแห่งนี้ แผ่กระจายแสงสว่างเรืองรองราวกับแสงไฟก็ไม่ปาน
ถึงแม้ในยุคปัจจุบัน ไข่มุกราตรีจะถูกกำหนดให้มีลักษณะเป็นหินเรืองแสงธรรมชาติชนิดหนึ่ง แต่ไข่มุกราตรีที่เกลี้ยงเกลากลมดิกเป็นมันขลับทั้งอันแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่มีน้อยและหายาก
“ในถ้ำของนายท่านมีไข่มุกพวกนั้นเยอะแยะ แต่ให้ข้าแค่อันเดียว ไม่อย่างนั้นจะมอบให้เจ้าก็ไม่เลวเหมือนกัน!” ดูเหมือนเจ้าลิงจะกลัวว่าเยี่ยเทียนจะแย่งของรักของเขา แต่กลับใจกว้างกับของชิ้นนี้
“น้ำใจของท่านผู้อาวุโสผมรับไว้แล้ว แต่ผมไม่ต้องการของพวกนี้หรอก”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถึงอย่างไรไข่มุกราตรีก็เป็นแค่ของประดับตกแต่ง และถึงแม้ของพวกนี้จะมีน้อย แต่ก็ยังสามารถใช้เงินซื้อได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยสนใจมันเท่าไร
เมื่อมองดูภายในถ้ำมานานครึ่งค่อนวัน นอกจากไข่มุกราตรีแล้ว ก็ไม่มีของสิ่งใดที่ดึงดูดสายตาของเยี่ยเทียนได้ เขาวิ่งเหนื่อยมาทั้งวัน พอตกเย็นก็ยังต้องเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้นขนาดนี้ จากนั้นเยี่ยเทียนจึงเดินตรงไปที่ที่ห่างจากเตียงหินไม่ไกล และเตรียมตัวจะนั่งโคจรลมปราณพักผ่อน
“เอ๊ะ? เจ้าสิ่งนี้ดูแปลกจัง!”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิบนพื้น แล้วดวงตาจึงมองเห็นกระบองเหล็กสีดำสนิททั้งแท่ง ความยาวประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตรตั้งอยู่ตรงหัวเตียง
กระบองเหล็กอันนี้ดูเหมือนจะไม่สะดุดตาเท่าไร แต่ตอนนี้เวลาเยี่ยเทียนเห็นของสิ่งใดก็มักจะใช้พลังจิตสำรวจด้วยความเคยชิน จึงทำให้เขาดูออกว่าถึงความแตกต่าง เพราะว่าในกระบองเหล็กนี้ แฝงไปด้วยคลื่นปราณวิเศษที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง
สิ่งของที่สามารถแฝงเร้นปราณวิเศษได้ โดยทั่วไปแล้วจะเรียกว่าเครื่องราง แล้วผลที่เกิดจากเครื่องรางก็แทบไม่เหมือนกัน
เหมือนกับเข็มทิศที่เยี่ยเทียนได้รับจากการสืบทอดมาจากอาจารย์เพื่อใช้ทำนายโชคชะตา ดูฮวงจุ้ยและลักษณะชัยภูมิ มีดสั้นอู๋เหินที่เยี่ยเทียนพกติดตัวไว้ตลอดเวลากับง้าวจันทร์เสี้ยวที่วางอยู่ในค่ายกลชุมนุมพลังที่ฮ่องกง ก็มีผลแค่ใช้ในการฆ่าเท่านั้น
แต่ของสิ่งพวกนั้นหากต้องเทียบกับกระบองเหล็กที่อยู่ตรงหน้านี้ มันเหมือนกับแสงไฟริบหรี่กับแสงของพระอาทิตย์ก็ไม่ปาน ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ข้างในของพวกมันมีน้อยมากจนแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
“ท่านผู้อาวุโส กระบองเหล็กที่อยู่ตรงหน้าเตียงของท่านเป็นของอะไรครับ?”
เมื่อสำรวจอยู่นาน สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ทนความสงสัยอยากรู้ที่อยู่ในใจไม่ได้ จึงถามขึ้นมาเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะมองว่าวานรขาวตัวนี้มีนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็เป็นอาจารย์ เพียงแค่ตัวเองถาม เขาจะต้องได้รับคำตอบอย่างแน่นอน
“ก็กระบองเหล็กไง เจ้าสามารถเอามาเล่นได้!”
เยี่ยเทียนไม่เห็นสายตาเยาะเย้ยที่เผยออกมาจากดวงตาของวานรขาว ที่กำลังนอนหลับอยู่บบนเตียง
“ครับ!” เมื่อได้ยินวานรขาวบอกให้เขาสัมผัสได้ เยี่ยเทียนจึงอดดีใจขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปที่กระบองเหล็กที่อยู่ข้างเตียง ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแล้วจับท่อนหนึ่งของกระบองเหล็ก
“หืม? หนักขนาดนี้เชียว?” เยี่ยเทียนใช้แรงจากมือขวาเล็กน้อย แต่กลับพบว่ากระบองเหล็กนั่นเหมือนกับหยั่งรากลึกไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
“ยกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยเทียนใส่พลังทั้งหมดไปที่มือขวา พร้อมกับคำรามเสียงออกมาจากปาก แต่กระบองเหล็กก็ยังไม่ขยับเหมือนเดิม ราวกับว่าพลังของเยี่ยเทียนไม่มีผลอะไรกับมันเลยสักนิดเดียว ในขณะเดียวกัน หูของเยี่ยเทียนก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของวานรขาว
“เหอะ คิดว่าข้าจะหยิบไม่ขึ้นเรอะ?”
ด้วยวรยุทธที่ต่ำมาก ถูกวานรเยาะเย้ยก็ยังไม่เป็นไร ถึงปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนจะหายไปหมดแล้ว แต่แขนทั้งสองข้างก็ยังมีพลังมหาศาล ถ้าหากแม้แต่กระบองเหล็กยังยกไม่ขึ้น แบบนั้นเขาก็ต้องเสียหน้ามาก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนจึงได้แต่ใช้ทั้งสองมือจับไปที่กระบอง แล้วออกแรงพร้อมกัน ครั้งนี้กระบองขยับแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนขยับ ทว่ามันเอียงลงไปที่พื้น
“เคร้ง!” เกิดเสียงดังกังวาน และบนพื้นของหินปูนก็ถูกกระบองเหล็กทุบจนเป็นรอยบุ๋มลงไป ทำเอาเยี่ยเทียนอ้าปากค้าง ถ้าหากเขาหลบไม่ทัน เกรงว่ากระบองเหล็กนี้จะทับชีวิตน้อยๆ ของเขาไปแล้ว?
“ฮ่าๆๆ!” เสียงหัวเราะของวานรขาวดังขึ้นภายในถ้ำ มันแสร้งทำเป็นหลับไม่ได้อีกต่อไป แล้วจึงขำกลิ้งลงมาจากเตียง
“ท่านผู้อาวุโส นี่มันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงหนักขนาดนี้?”
กระบองเหล็กยาวประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร มีขนาดหนาเท่าไข่ห่าน จากการคำนวณของเยี่ยเทียน มากสุดก็ไม่น่าจะเกินหกเจ็ดสิบชั่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง ว่าน้ำหนักของมันนั้นไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
ฮิๆ นี่คืออาวุธของข้า!
สำหรับการแกล้งเยี่ยเทียนได้สำเร็จ ทำให้วานรขาวสบอารมณ์เป็นอย่างมาก แล้วจึงวิ่งอุตลุดลงมาจากเตียงหิน พลางยื่นมือไปจับกระบองเหล็กไว้ในมือ จากนั้นก็ชูมือโบกกระบองเหล็กไปมา
“อย่า ท่านผุ้อาวุโส ท่านวางมันลงเถอะ”
วานรขาวก็แค่ควงกระบองเหล็กไปรอบตัวนิดหน่อย เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงพลังพิฆาตที่ส่งออกมาจากกระบองนั่น กระตุ้นผิวหนังของเขาทำให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านผู้อาวุโส มันคือเครื่องรางหรือ? แล้วมันทำมาจากวัสดุอะไร?”
กระบองเหล็กนี้ดำสนิทดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด แต่พอผ่านการกระทำเมื่อครู่ เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าดูถูกมันอีก
“ถือว่าเป็นเครื่องราง แต่ต่างจากมีดเล่มเล็กที่อยู่ในกระเป๋าของเจ้า” วานรนำกระบองเหล็กวางลงบนพื้นทันที ทำให้ตัวของกระบองสั้นลงไปหนึ่งนิ้ว เพราะมันได้ถูกเสียบเข้าไปอยู่ในพื้นหินนี้
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของเยี่ยเทียน วานรขาวจึงพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ของสิ่งนี้มีทองบริสุทธิ์หนึ่งร้อยกว่าชั่งผสมอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่หนักขนาดนี้”
“ทองบริสุทธิ์? นั่นคืออะไรครับ? ทองคำเหรอ?” เมื่ออยู่ต่อหน้าวานร เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ มีชื่อมากมายที่เขาฟังไม่เข้าใจ
“มันกลั่นมาจากทองคำ ทองคำหนึ่งพันกิโลกรัม จะกลั่นทองคำบริสุทธิ์ได้ห้ากิโลกรัมมั้ง?”
“หนึ่งพันกิโลกรัมกลั่นทองคำบริสุทธิ์ได้ห้ากิโลกรัม?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตาแทบถลน “ถ้างั้น…ถ้างั้นเครื่องรางนี้ต้องใช้ทองคำถึงยี่สิบตันเหรอ?”
เดิมทีเยี่ยเทียนคิดว่าตัวเองเป็นคนมีเงินแล้ว แต่ราคาของกระบองเหล็กนี้ มากเกินกว่าฐานะของเขาเสียอีก ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกโจมตีอย่างแรง
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน วานรขาวจึงพูดอย่างไม่เห็นด้วย “นายท่านไม่อนุญาตให้ข้าก่อเรื่องในเขตแดนเสินโจว เจ้านี่ข้าไปเอามาจากประเทศพะอะไรเนี่ยแหละ”
ตอนนั้นวานรขาวอยากให้นายท่านช่วยทำอาวุธให้เขา ดังนั้นเขาจึงแอบไปพม่าแล้วขุดทองคำมาจากเหมืองแร่ทองคำสี่ห้าแห่ง จากนั้นจึงกลั่นพวกนี้ออกมา ซึ่งต้องเสียพละกำลังไปมากโขทีเดียว
“บ้าจริง เจ้าวานรตัวนี้เป็นญาติสนิทกับซุนหงอคงหรือไง? ถึงได้ใช้อาวุธเหมือนกัน”
หลังจากได้ยินคำพูดของวานรขาวแล้ว เยี่ยเทียนจึงหมดซึ่งคำพูดจริงๆ เขาโตมาขนาดนี้ยังคิดไม่ถึงเลย ว่าตัวเองจะสงบเสงี่ยมเวลาที่อยู่ต่อหน้าลิงตัวหนึ่ง
เมื่อฟังเรื่องราวหลังจากนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงคิดที่จะสำรวจถ้ำอีกครั้ง เพราะมีเรื่องที่คนอยากโจมตีคนอย่างเขามีมากเหลือ เกิน จากนั้นเขาจึงส่ายหน้าแล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณที่เดิม
“เจ้าก็ดูขยันดีนะ แต่วรยุทธสูญสิ้นหมดแล้ว แถมยังไม่เข้าใจการฝึกจิตดั้งเดิมอีก แบบนี้ผลจากการนั่งโคจรลมปราณจึงไม่ดี!”
เช้าวันที่สอง ตอนที่เยี่ยเทียนลืมตา ก็พบวานรขาวกำลังมองตัวเองอยู่
“ท่านอาวุโส ที่นี่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิเศษ เหมาะสมต่อการฝึกวรยุทธจริงๆ!”
เยี่ยเทียนลุกขึ้น พร้อมกับสายตาที่แสดงความตกตะลึงและประหลาดใจ ปราณวิเศษที่แน่นขนัดอยู่ภายในถ้ำ ไม่ต่างกับค่ายกลชุมนุมพลังที่ฮ่องกงเลย แค่นั่งโคจรลมปราณผ่านไปหนึ่งคืน ความเหนื่อยล้าของเมื่อวานก็ฟื้นฟูกลับมาทั้งหมด
วานรขาวเชิดคาง แล้วพูดอย่างได้ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ค่ายกลแห่งฟ้าดินไม่ได้แค่จัดวางเอาไว้เฉยๆ ข้าก็แค่ยืมปราณวิเศษมาจากที่นั่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ยืมปราณวิเศษ? ท่านอาวุโส ใครเป็นคนสร้างค่ายกลนั่นครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงตกตะลึง เพราะเรื่องนี้ดูแปลกๆ ยังไงพิกล เจ้าลิงไม่พบปะกับคนภายนอก แล้วใครเป็นคนสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมากันแน่?
“อันนี้…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากลักษณะแล้ว เหมือนจะเป็นนายท่าน!” เจ้าลิงเอามือลูบแก้มทั้งสองข้าง พร้อมกับสายตาที่เผยความฉงนสนเท่ห์ออกมา
ที่แท้เมื่อสามปีก่อน มีเศรษฐีในประเทศจีนคนหนึ่งได้ทำการพัฒนาหมู่บ้านมู่อวี๋ สร้างเส้นทางภูเขาเข้าไปในแท่นบูชาที่สองแห่งฟ้าดิน
ตอนนั้นวานรขาวก็สงสัยไม่หยุด และยังเคยไปแอบฟังที่บ้านพักของเศรษฐีคนนั้นอยู่สองสามวัน แต่กลับได้ยินเพียงแค่ว่าคนอื่นไหว้วานให้สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา ส่วนเป็นใครนั้นเจ้าลิงก็ไม่รู้แล้ว
ทว่าจากการคาดเดาของเจ้าลิง ด้วยความสามารถที่จะสร้าง เสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) ได้แบบนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่นายท่านคนก่อนของมันเท่านั้น นักบวชชาวลัทธิเต๋าคนอื่นๆ ต่างก็มีถ้ำเป็นของตัวเอง จึงไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
เจ้าลิงไม่มีความอดทน พอใช้ความคิดแล้วคิดไม่ออกก็เกิดความว้าวุ่นใจ จากนั้นจึงยื่นมือไปจับกระบองเหล็กขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “ไป ข้าจะพาเจ้าไปตลาด”
“ครับ จะได้เปิดหูเปิดตากับท่านผู้อาวุโสบ้าง!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่สามารถหาวิธีการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้ แต่ก็ได้รู้จักการแบ่ง แยกขอบเขตของการฝึกฝน ทำให้เยี่ยเทียนได้รับประโยชน์มากมาย
สถานที่ที่วานรขาวอาศัยอยู่ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก หลังจากเดินผ่านยอดเขาลูกหนึ่ง ทั้งสองคนก็มาถึงช่องเขาที่มีหน้าผาอันชะโงกเงื้อมอยู่โดยรอบ
หรืออาจจะเป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศ ลมเหนือคำรามจากด้านนอก แต่ในช่องเขาแห่งนี้กลับอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้บางต้นยังมีผลไม้ป่าอยู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝันก็ไม่ปาน
“นี่ก็คือตลาด?” เยี่ยเทียนมองไปรอบๆ นอกจากอุณหภูมิที่สูงกว่าบริเวณใกล้เคียงแล้ว ก็มองไม่เห็นสถานที่ที่มีความพิเศษเฉพาะตัวอะไร
ตอนที่ 694 โอกาสและจังหวะ
Ink Stone_Fantasy
“ที่นี่หรือ?”
วานรขาวเผยสีหน้าเยาะเย้ยออกมาแล้วพูดว่า “สถานที่ซื้อขายของผู้ฝึกตน สายตาของมนุษย์ธรรมดาจะมองเห็นได้ยังไง? เจ้าอย่าดูถูกฝีมือของพวกเขาเชียวนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นอยู่ที่ไหน?”
เยี่ยเทียนมองวานรขาวอย่างไม่เข้าใจ ถ้าจะพูดว่าเป็นช่องเขา สู้ใช้คำว่าหุบเขาสองคำนี้มาบรรยายถึงจะเหมาะสมกว่า เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าปากทางหุบเขา ก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของหุบเขาทั้งหมดได้
“ฮิๆ เจ้าหนุ่ม ดูให้ดีนะ!”
วานรขาวหัวเราะฮิๆ จากนั้นก็พลันกระโดดตัวขึ้นไป แล้วพุ่งเข้าไปที่กำแพงหินที่อยู่ตรงหน้า กระทั่งร่างกายกำลังจะสัมผัสหินนั้น ก็ไม่ได้คิดจะลดความเร็วลง?
“เฮ้ย หรือว่าเซ็งชีวิตจนอยากจะฆ่าตัวตาย?”
เมื่อเห็นการกระทำของวานรขาว เยี่ยเทียนจึงเกิดความคิดไร้สาระขึ้นมา ว่าสติของเจ้าลิงตัวนี้คงจะสับสนและไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว?
เพียงแต่ยังไม่รอให้เยี่ยเทียนใช้ความคิดเสร็จ จู่ๆ กำแพงหินนั่นก็เกิดระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ขึ้นมาในทันทีทันใด ร่างกายของวานรขาวเดินทะลุเข้าไป แล้วหายวับไปต่อหน้าต่อตาของเยี่ยเทียน
“คนล่ะ? หายไปไหนแล้ว?” ภาพนี้ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงอ้าปากค้าง จากนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปที่กำแพงนั่น แล้วใช้มือลูบเข้าไป
“นี่…นี่มันคือก้อนหินจริงๆ นี่นา แต่…แต่ทำไมเจ้าลิงนั่นถึงเดินผ่านเข้าไปได้?”
ความรู้สึกเย็นเยียบผ่านเข้ามาที่มือ ทำให้เยี่ยเทียนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ หรือว่าเจ้าลิงตัวนี้จะเป็นวิชาทะลุกำแพง แล้วจึงเดินทะลุผ่านเข้าไปข้างในกำแพงหินได้?
เยี่ยเทียนพยายามใช้มือตบไปที่หิน จนกระทั่งรู้สึกมือชา เขาก็ยังสังเกตไม่ออกถึงความผิดปกติ แล้วจึงพูดเสียงดัง “ท่านผู้อาวุโส ท่านอยู่ที่ไหน? ผมจะเข้าไปได้ยังไง?”
“โง่จริงๆ เลย เจ้าฝึกจิตดั้งเดิมมาทำไม? ทำไมไม่รู้จักใช้พลังจิตตรวจสอบดู?”
มีเสียงหนึ่งดังมาที่ข้างหูของเยี่ยเทียน แล้วศีรษะของเจ้าลิงตัวนั้นก็โผล่ออกมาจากหิน แต่ร่างกายกลับยังอยู่ภายในหิน มองดูแล้วแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด
“ได้ครับ!”
เยี่ยเทียนรีบตอบรับทันที แล้วจึงปล่อยแสงสว่างที่มองไม่เห็นออกมาจากดวงตาทั้งสอง มองไปที่กำแพงหินนั่น หลังจากที่พลังจิตสัมผัสกับก้อนหิน เขาก็พบความผิดปกติทันที
สิ่งที่เหมือนเป็นกำแพงหินของภูเขา เวลานี้กลับโปร่งใสอยู่ในดวงตาของเยี่ยเทียน เขาสามารถมองเห็นร่างกายของเจ้าลิงที่อยู่ในหินกับทิวทัศน์ที่อยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน
หุบเขาที่อยู่ตรงหน้ามีขนาดใหญ่มาก แต่ด้านหลังของกำแพงหินนี้กลับมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่มากกว่า นอกจากนี้ยังมีหญ้าสีเขียวขจี ดอกไม้ป่าเต็มภูเขา ไม่มีบรรยากาศที่เปล่าเปลี่ยวของฤดูใบไม้ร่วงเหมือนอย่างข้างนอก
“ท่านผู้อาวุโส หรือว่าหลังกำแพงหินนี้จะเป็นดินแดนแห่งความเพ้อฝัน?”
เมื่อสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ เยี่ยเทียนก็ไม่กลัวการสัมผัสก้อนหินแล้ว แล้วจึงยกเท้าเดินเข้าไป เพียงแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเขา หน้าผากก็ชนกำแพงหินเข้าเต็มเปา
“อ้าว เป็นของจริงเรอะ?!” พอเอามือลูบหน้าผากที่ถูกชน เยี่ยเทียนก็มองไปที่เจ้าลิงอย่างสงสัย
“ไร้สาระ ถ้ามีฝีมือเพียงแค่นี้ แบบนี้ถ้าใครอยากเข้าไปข้างในก็เข้าไปได้งั้นซิ?”
วานรขาวถลึงตาใส่เยี่ยเทียนอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดว่า “ปล่อยจิตดั้งเดิมของเจ้าออกมา แล้วกำแพงภูเขาจะเปิดประตูบานหนึ่งเอง”
“บัดซบ ถ้าโกหกอีกเดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องที่ซุนหงอคงถูกกักขังไว้ที่หุบเขาห้านิ้วให้แกฟัง”
พอเห็นวานรขาวหดศีรษะเข้าไป เยี่ยเทียนจึงสบถด่าอยู่ในใจด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ยังทำตามที่เจ้าลิงบอกอย่างเชื่อฟัง แบ่งจิตดั้งเดิมออกมาครึ่งหนึ่งแล้วสัมผัสไปบนภูเขาอันสูงชะโงกเงื้อม
ครั้งนี้เจ้าลิงไม่ได้โกหกเขา หลังจากจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนสัมผัสก้อนหิน กำแพงหินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาทันที แล้วระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ก็แบ่งประตูบานใหญ่ออกมาบานหนึ่ง
เยี่ยเทียนไม่รีรอ รีบเก็บจิตดั้งเดิมแล้วก้าวเข้าไปในประตู หลังจากที่ร่างกายของเขาเข้าไปแล้ว ประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็ปิดทันที
เมื่อเห็นการกระทำของเยี่ยเทียน วานรขาวจึงเบ้ปากแล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่ม คราวหน้าอย่าเก็บจิตดั้งเดิมเร็วแบบนี้ ไม่อย่างนั้นหากไม่ระวังก็จะเล่นงานตัวเองถึงตายได้”
เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างมาก ว่าประตูบานใหญ่จำเป็นต้องใช้พลังของจิตดั้งเดิมในการเปิด เมื่อครู่เยี่ยเทียนเก็บพลังจิตเร็วเกินไป ถ้าหากเขาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ไม่แน่อาจจะถูกหินที่กำลังจะปิดหนีบตัวไว้ก็เป็นได้
เมื่อได้ยินคำเตือนของเจ้าลิงแล้ว เยี่ยเทียนก็ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลไปทั่วทั้งตัว แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกดึงดูดความสนใจจากปราณวิเศษที่อยู่ในหุบเขาลูกนี้
ภายในหุบเขาลูกนี้ มีปราณวิเศษที่เข้มข้น พลังแห่งฟ้าดินต่อเนื่องไม่ขาดสายได้ไหลเข้าทุกรูขุมขนทั่วทั้งตัวผ่านเข้าไปภายในร่างกายของเขา
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนพยายามฝืนก่อตัวจิตดั้งเดิม แล้วดูดกลืนพลังปราณชีวิตเข้าไปอย่างเต็มที่แล้ว เกรงว่าด้วยสภาพร่างกายของเยี่ยเทียนในตอนนี้ คงจะถูกปราณวิเศษทำให้ระเบิดตายทั้งเป็น
แต่ปราณวิเศษที่เต็มเปี่ยมมีประโยชน์ต่อจิตดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ แม้ว่าไม่มีวรยุทธในการฝึกฝน แต่ความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษนั้นก็สูงกว่าค่ายกลชุมนุมพลังที่ฮ่องกงของเขา
“ที่แท้เหนือเขายังมีเขา เหนือคนยังมีคน!”
เมื่อสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของจิตดั้งเดิมที่อยู่ภายในร่างกายแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดถอนหายใจไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าค่ายกลชุมนุมพลังที่ตัวเองสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีค่ายกลใดในโลกสามารถเทียบเคียงได้ แต่ในหุบเขาลูกนี้ กลับทำให้เขาได้รับการโจมตีอย่างแรง
“ปราณวิเศษของแท่นบูชาที่สองแห่งฟ้าดินที่อยู่ข้างนอกถูกดึงมาที่นี่ทั้งหมด ปราณวิเศษจึงมีอย่างเต็มที่เป็นธรรมดา!”
เห็นได้ชัดว่าวานรขาวรู้สึกพอใจกับสีหน้าที่ตกตะลึงของเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก แต่ตอนที่สายตาของมันมองไปในหุบเขานั้น ก็รู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันที
วานรขาวไม่สนใจเยี่ยเทียนอีกต่อไป แล้วจึงส่งเสียงร้องประหลาดออกมา พุ่งไปในหุบเขา แล้วปีนขึ้นไปบนต้นท้ออย่างรวดเร็ว บนต้นไม้นั่นมีลูกท้อขนาดเท่ากำปั้นออกลูกเต็มไปหมด
“ต้นท้อสามปีถึงจะออกผล ต้นพลัมสี่ปีถึงจะออกผล ไม่คิดว่าเดือนนี้ยังจะมีลูกท้ออีก”
เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในหุบเขา เขาไม่ได้สนใจลูกท้อสักเท่าไร แต่สิ่งที่อยู่ใต้ต้นท้อนั้นกลับทำให้เขาตกตะลึง “นี่…อายุของเห็ดหลินจือนี้น่าจะถึงหนึ่งพันปีแล้วใช่ไหม?”
ใต้ต้นท้อที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน ปกคลุมไปด้วยเห็ดหลินจือสีแดงเพลิงขนาดเท่าแท่นโม่หิน ส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมาเป็นระลอกน่าหลงใหล
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าคิดไม่ดีกับของสิ่งนั้น อีกสองสามปีมันก็จะมีอายุหนึ่งพันปีแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจำเป็นต้องใช้มันในการฝ่าด่าน!”
เจ้าลิงรู้สึกถึงสายตาของเยี่ยเทียน แล้วจึงทิ้งลูกท้อหนึ่งลูกหนึ่งลงมาจากต้นไม้ พร้อมกับพูดบ่นไปด้วย “นายท่านไม่สอนวิชากลั่นยาวิเศษให้ข้า ถ้ากินแบบนี้ ก็น่าเสียดายจริงๆ แต่ถ้าไปหาจมูกโค (คำเรียกดูหมิ่นนักพรตเต๋า) พวกนั้น ไม่แน่คงจะถูกพวกเขาแย่งไปได้!”
“ท่านอาวุโส ท่านบอกว่ายอดฝีมือพวกนั้น ก็มาที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าลิงแล้ว เยี่ยเทียนจึงถามอย่างแปลกใจ “ถ้าหากพวกเขาอยากจะเก็บเห็ดหลินจือ ก็แค่เดินมาที่นี่ก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?”
“พวกเขาสามารถหาที่นี่เจอหรือ?” เจ้าลิงพูดอย่างดูถูก “ตอนที่นายท่านจากไป ได้ย้ายตลาดมาไว้ที่นี่ ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูแผนที่ในหัว ว่าตำแหน่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่า?”
“อืม ห่างกันมากจริงๆ” เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง เมื่อมีเจ้าลิงเป็นคนนำทาง เขาจึงไม่ได้ดูแผนที่อีก แต่พอดูเวลานี้ ตำแหน่งของตลาดที่ปรากฏนั้น ไม่ใช่ตำแหน่งที่ตัวเองอยู่จริงๆ
สำหรับวิธีการของผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาอธิบายได้ เยี่ยเทียนรู้สึกชาอยู่บ้าง จึงรีบส่ายหน้าทันที พร้อมกับกัดลูกท้อที่อยู่ในมือไปหนึ่งคำ
“เอ๊ะ เจ้าสิ่งนี้ก็มีปราณวิเศษแฝงอยู่ด้วย?”
ลูกท้อที่ถูกเยี่ยเทียนกัดไปหนึ่งคำ พอเข้าปากไปก็ละลายทันที จากนั้นปราณวิเศษที่บริสุทธิ์ก็ไหลเข้าสู่ไขกระดูกและร่างกาย มันสบายจนเยี่ยเทียนเกือบจะร้องครวญครางออกมา
ปกติเวลาที่เยี่ยเทียนดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน จำเป็นต้องได้รับการหลอมละลายจากจุดตันเถียนภายในร่างกายก่อน แล้วจึงจะนำไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ แต่ปราณวิเศษที่อยู่ในลูกท้อนี้ กลับมีผลเข้าไปในร่างกายได้โดยตรง หากจะเรียกว่าเป็นผลไม้วิเศษก็ยังได้
หลังจากยัดลูกท้อที่อยู่ในมือเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว เยี่ยเทียนจึงยืดแขนขา แล้วมองไปที่วานรขาวอย่างน่าสงสาร
ถ้าหากลูกท้อทุกลูกมีสรรพคุณแบบนี้ อย่างนั้นร่างกายของเยี่ยเทียนก็แข็งแกร่งจนยากจะเกินบรรยาย ไม่แน่อาจจะสร้างจุดตันเถียนที่ถูกทำลายให้กลับมาใหม่ได้อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงลืมจุดประสงค์ของการมาที่ตลาดในทันที
“อย่ามองข้า ป่าท้อนี้เป็นนายท่านย้ายมาจากทิศตะวันตกของภูเขาคุนหลุน เพียงแต่จะมีผลในคำแรก ถ้าจะกินอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
เมื่อเห็นสายตาแห่งความหวังของเยี่ยเทียน วานรขาวจึงทิ้งลูกท้ออีกลูก แล้วตัวเองก็กินอย่างมีความสุขมาก แถมยังมีน้ำของลูกท้อติดอยู่ข้างปาก
“ไม่มีประโยชน์จริงเหรอ?” เยี่ยเทียนกัดลูกท้ออีกหนึ่งคำ พบว่าเป็นเหมือนที่วานรขาวพูดไม่มีผิด ถึงแม้จะยังหอมหวานมากกว่าปกติ แต่ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ภายในกลับไม่มีเลยสักนิดเดียว
“ไม่มีประโยชน์แล้วยังจะกินอย่างไม่คิดชีวิต?”
เยี่ยเทียนแอบตำหนิวานรขาวที่กำลังกินลูกท้ออยู่บนต้นไม้อยู่ในใจ จากนั้นจึงย้ายสายตามองไปที่อื่น ปราณวิเศษของที่นี่มีอย่างเปี่ยมล้นเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นยาสมุนไพรที่ธรรมดาที่สุด สรรพคุณก็ยังสูงกว่าที่อยู่ข้างนอกแน่นอน
“เหอโส่วอู? เจ้านี่น่าจะมีอายุสองสามร้อยปีแล้วมั้ง?”
ขณะที่เยียเทียนกำลังคิดอยู่ พลางสำรวจบริเวณรอบๆ ไปด้วย จึงมองเห็นสมุนไพรมากมาย โดยเฉพาะชีเย่เหอโส่วอู ยอดอ่อนของมันเกือบจะโผล่พ้นออกมาจากดินแล้ว
อย่าพูดถึงอย่างอื่นเลย แค่เหอโส่วอูอย่างเดียว ถ้าหากเยี่ยเทียนสามารถได้มาในตอนนั้น ผมที่ขาวไปทั่วศีรษะของเขาก็คงฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมนานแล้ว
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าคิดอะไรกับของที่อยู่ที่นี่ เพราะทุกอย่างล้วนเป็นของฉัน!”
วานรขาวเหมือนจะสัมผัสถึงสายตาที่ร้อนระอุของเยี่ยเทียนได้ จึงกระโดดลงมาจากต้นไม้พร้อมกับถือลูกท้อเต็มทั้งสองมือ พลางมองเยี่ยเทียนอย่างระแวดระวัง “ก่อนนายท่านจะไปได้กำชับให้ข้าดูแลที่นี่ให้ดี เจ้าอย่าคิดมิดีมิร้ายเด็ดขาด”
“ท่านผู้อาวุโส ของพวกนี้ถ้ากินโดยตรงจะสิ้นเปลืองเกินไป หากกลั่นเป็นยา จะมีประสิทธิผลมากกว่านี้หลายเท่า”
เยี่ยเทียนใช้ความคิด แล้วจึงพูดต่อ “ขอเพียงท่านผุ้อาวุโสสามารถแก้ปัญหาการฝึกวรยุทธของผมได้ กับวิธีการกลั่นยา ผมก็สามารถกลั่นยาวิเศษให้กับท่านผู้อาวุโสได้!”
“แน่นอนข้าเข้าใจอยู่แล้ว…”
วานรขาวเกาหูเกาแก้มเมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน มันรู้อยู่แล้วว่าการกินยาสมุนไพรเข้าไปโดยตรง จะได้รับคุณสมบัติของยาไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน เพียงแต่มันเป็นปีศาจที่บำเพ็ญตบะ จึงไม่สามารถใช้เพลิงแท้ในขั้นตอนการกลั่นยาในขั้นตอนสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีทางกลั่นยาวิเศษได้
หลังจากวานรขาวเดินวนอยู่ที่เดิมไปมาสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นจึงก็หยุดลง เหมือนได้ทำการตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วมองไปที่เยี่ยเทียน “เจ้าหนุ่ม เจ้าตามข้ามา แต่จะมีโอกาสและจังหวะหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว!”
“ท่านอาวุโส เชิญครับ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของวานรขาว จิตใจของเยี่ยเทียนจึงร้อนระอุขึ้นมา เพราะเจ้าลิงตัวนี้หาข้ออ้างต่างๆ นานามาตั้งนาน สงสัยคงจะยอมควักของดีออกมาจริงๆ แล้ว
เมื่อเดินตามวานรขาวผ่านป่าท้อแห่งนี้ แล้วเบื้องหน้าก็ปรากฏลานกว้างพื้นที่ประมาณสองร้อยตารางเมตร ที่ถูกปูด้วยหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้งหมด
จุดสิ้นสุดของลานกลว้างนั้น กลับมีกระท่อมไม้เล็กๆ อยู่หนึ่งหลัง มีเถาวัลย์สีเขียวปกคลุมอยู่ข้างบนเต็มไปหมด
ตอนที่ 695 กระดิ่งซานชิง
Ink Stone_Fantasy
“เอ๊ะ พลังจิตของผมมองเข้าไปไม่ได้?”
การเข้าไปในตลาดจำเป็นต้องใช้พลังจิต ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงปล่อยพลังจิตออกมาด้วยความเคยชิน เพื่อสำรวจภายในกระท่อม แต่หลังจากที่พลังจิตของเขาสัมผัสกับเถาวัลย์สีเขียวพวกนั้น กลับเด้งออกมา ทำให้เขาถึงกับมึนศีรษะ
“เจ้าหนุ่ม เถาวัลย์พวกนั้นนายท่านเป็นคนย้ายมาเอง คิดว่าคนอย่างเจ้าจะเปิดออกรึ?”
วานรขาวมองดูท่าทางขมวดคิ้วของเยี่ยเทียน แล้วจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุขกับความซวยของเขา พลางพูดว่า “เมื่อจิตดั้งเดิมถึงระยะกลางและระยะสุดท้าย ไม่เพียงแต่สามารถใช้พลังจิตท่องเที่ยวไปข้างนอกได้แล้ว ยังสามารถใช้ในการต่อสู้ได้อีก อย่างเจ้ายังห่างอีกไกลนัก”
“ท่านผู้อาวุโสก็ไม่บอกแต่แรก…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมา โชคดีที่เขาปล่อยพลังจิตอย่างระมัดระวัง จึงได้รับการโจมตีกลับไม่รุนแรงมาก พอปรับลมหายใจเล็กน้อยก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม
“เจ้าหนุ่ม ขอพูดเรื่องข้อห้ามให้เจ้าฟังก่อนนะ หลังจากเข้าไปแล้วห้ามหยิบของมั่วซั่ว เพราะของพวกนั้นล้วนมีเจ้าของ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะมาเอาคืนเมื่อไร?”
เมื่อมาอยู่ตรงหน้ากระท่อม วานรขาวจึงทำตัวเคร่งขรึมขึ้นมา พลางพูดกำชับ “ถ้าหากมีวิธีการฝึกฝนวรยุทธ เจ้าก็จดบันทึกอยู่ข้างในก็พอ จะเอาออกมาไม่ได้!”
“ท่านผู้อาวุโส นี่…ที่นี่มีวิธีการฝึกวรยุทธไหม แม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่รู้?”
เยี่ยเทียนรู้สึกสับสนกับคำพูดของวานรขาว ถึงแม้ตลาดแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นจากคนของตระกูลซือถู แต่คนพวกนั้นก็จากไปนานแล้ว และด้วยนิสัยของวานรขาว มีหรือจะไม่รื้อค้นที่นี่ให้ทั่ว?
“ข้าไม่ได้สังเกตว่าข้างในมีตำราหรือเปล่า?”
เจ้าลิงเหลือกตาขาวไปมา แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายท่านได้ลงจุดต้องห้ามในสิ่งของพวกนั้นแล้ว ถึงข้าอยากจะเอาไปก็เอาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะพูดทำไมว่าให้ดูความโชคดีของเจ้า?”
เยี่ยเทียนเห็นเจ้าลิงตัวนี้จู่ๆ ก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา จึงรีบพูดว่า “เอาล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
วานรขาวพยักหน้า ทันใดนั้นจึงใช้สองมือวาดไปข้างหน้า แล้วยันต์เต๋าใบหนึ่งก็แปะอยู่ที่ด้านหน้าของกระท่อมไม้
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ จากการกระทำของเจ้าลิง ทำให้ปราณวิเศษรอบตัวเกิดความยุ่งเหยิง ดูเหมือนมันกำลังยืมใช้พลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินที่อยู่ในหุบเขาเพื่อเปิดกระท่อมหลังนี้
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เถาวัลย์ที่พันรอบกระท่อมไม้ จู่ๆ ก็เหมือนจะตกใจ แล้วรีบถอยลงจากกระท่อมไม้ทันที จากนั้นประตูบานหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
“เอาล่ะ เข้าไปกันเถอะ!” วานรขาวผลักประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป ด้วยท่าทางที่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นท่าทางของวานรขาว เยี่ยเทียนจึงระวังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ด้วยฝีมือของผู้ที่บำเพ็ญตบะมักจะเกินขอบเขตความเข้าใจของคนธรรมดาทั่วไป หากไม่ระวังก็อาจจะถูกกักตัวอยู่ในหน้าผาหินได้
กระท่อมไม่ใหญ่มาก มีขนาดประมาณสิบตารางเมตร แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเข้ามาจากด้านนอก ทำให้มองเห็นทุกซอกทุกมุมที่อยู่ภายในอย่างชัดเจน มีชั้นวางของที่ทำจากท่อนไม้หนึ่งแถววางอยู่รอบๆ กระท่อม และมีของมากมายวางอยู่ข้างบน
ของพวกนี้ส่วนใหญ่ทำมาจากเหล็กกล้า มีมีดสั้นยาวประมาณสามนิ้ว มีห่วงเหล็กดำสนิททั้งอันที่ดูคล้ายกับห่วงวัชระก็ไม่ปาน แล้วก็ยังมีแส้ขนหางจามรีที่นักพรตเต๋าชอบใช้ กระทั่งยังมีที่คาดผมของผู้คนอันหนึ่ง จัดวางกระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของชั้นวางของ
แต่เมื่อดูด้วยตาเปล่าแล้ว ของพวกนี้ดูไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลยสักนิด แต่ละอย่างไม่มีสีสันที่สะดุดตา เยี่ยเทียนมองมีดสั้นเล่มนั้นอยู่นาน ก็มองไม่ออกว่าเป็นของสำนักไหน
“ห้ามใช้พลังจิตสัมผัส ไม่อย่างนั้นถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะโทษข้าไม่ได้นะ” วานรขาวถือว่ามีคุณธรรมอยู่บ้าง เพราะว่าตอนนี้เยี่ยเทียนอยากจะใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบสิ่งของที่อยู่บนชั้นวางของเหล่านั้น
“ห้ามใช้พลังจิต? อย่างนั้นใช้มือก็น่าจะได้ใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง พลางยื่นมือขวาออกเพื่ออยากจับมีดสั้นเล่มนั้นที่อยู่ข้างกาย การที่มันถูกวางอยู่ในนี้เป็นร้อยปีแต่ไม่เป็นสนิมเลย แสดงว่าของสิ่งนี้ต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
“เอ๊ะ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ตอนที่มือขวาของเยี่ยเทียนอยู่ห่างจากมีดสั้นในระยะสิบเซนติเมตรกว่าๆ ก็มีพลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ดีดให้มือของเยี่ยเทียนลอยสูงขึ้น
“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดอะไรไม่ดี ถ้าหากเอาไปได้ ข้าก็คง…”
วานรขาวมองเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่ดูถูก แต่ก็เกือบเผลอหลุดปาก เพราะเขาก็อยากได้ของพวกนี้จนน้ำลายไหลมานานแล้ว ถ้าหากสามารถเอาไปได้ มีหรือจะปล่อยจนถึงป่านนี้?
แต่ใช่ว่าวานรขาวจะไม่ได้อะไร มันใช้เวลากว่าสิบปี ในการทำลายจุดต้องห้ามจุดหนึ่ง แล้วจึงเอาชุดนักพรตเต๋าที่ถักทอมาจากตัวไหมออกมาได้หนึ่งตัว ซึ่งก็คือชุดที่มันกำลังสวมใส่อยู่นั่นเอง
“นี่…ที่นี่ก็คือที่ท่านผู้อาวุโสพูดว่าต้องดูโอกาสและจังหวะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงฝืนยิ้มอย่างขมขื่น พลางแอบบ่นในใจไม่หยุด สิ่งของที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถใช้พลังจิตตรวจสอบได้ แล้วก็ยังเอาไปไม่ได้อีก เช่นนั้นเจ้าลิงพาเขามาที่นี่จะมีประโยชน์อะไร?
วานรขาวส่ายหน้าแล้วพูด “นายท่านเคยพูดว่า คนที่มีวาสนา จะสามารถเอาของที่อยู่ในนี้ไปได้ หรือของที่เป็นเจ้าของเดิมเคยพามา ก็สามารถนำไปได้!”
“ของพวกนี้ไม่ใช่ของท่านอาวุโสซือถู? อย่างนั้นมันมาจากไหนละ?” เยี่ยเทียนได้ยินเบาะแสบางอย่างจากคำพูดของเจ้าลิง ของที่วางอยู่บนชั้นวางของ ดูเหมือนจะไม่ใช่ของเจ้านายของเจ้าลิงเกือบทั้งหมด
“นับจากปีนี้ดูเหมือนจะผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ผู้ฝึกตนที่อยู่ทั่วทุกสารทิศเคยมาชุมนุมกันที่เสินหนงเจี้ย (อาณาเจตแห่งเทพกสิกร) เพื่อจัดงานชุมนุมที่ตลาดครั้งหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุใด ทั้งสองฝ่ายกลับต่อสู้กันขึ้นมา…”
หรือบางทีเวลาอาจจะผ่านไปนานแล้ว เจ้าลิงจึงย้อนความทรงจำพลางพูดว่า “ตอนนั้นนายท่านก็ห้ามไม่อยู่ หลังจากนั้นคนที่มาร่วมงานชุมนุมที่ตลาดเกือบทั้งหมดก็ถูกดึงเข้ามาในนี้ สุดท้ายจึงบอบช้ำทั้งสองฝ่าย มีคนตายและบาดเจ็บสามสี่สิบคน…”
ตอนนั้นเจ้าลิงยังเด็ก สติปัญญาเพิ่งเกิด เมื่อเจอเรื่องการต่อสู้ จึงต้องหลบให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากเหตุการณ์จบลง มันจึงวิ่งออกมา และผู้ฝึกตนเหล่านั้นต่างก็แยกย้ายไปกันหมด และของพวกนี้ก็เป็นของที่พวกเขาทำหล่นหาย
เครื่องรางที่ผู้ฝึกตนพกติดตัว แน่นอนว่ามีความสำคัญมาก ต่อมาจึงมีคนจำนวนไม่น้อยทยอยรับของกลับไป ซึ่งก็เป็นคนรุ่นหลังของผู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้
แต่ในกลุ่มผู้ฝึกตน ก็ยังมีจอมยุทธผู้กล้าและทรงคุณธรรมจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงมีคนรุ่นหลังมารับของกลับไป แต่ก็มีของจำนวนมากที่ยังไม่มีคนมารับ ซึ่งก็คือของเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน
เจ้านายของวานรขาวมีวรยุทธเลิศล้ำ การฝึกจิตขาดอีกเพียงขั้นเดียวก็เข้าสู่ระดับจินตันสำเร็จมหามรรคแล้ว ดังนั้นจึงไม่โลภของขลังพวกนี้ และตอนที่ตัวเองจะจากไป จึงร่ายเวทมนต์เป็นจุดต้องห้ามบนของพวกนี้
ของต้องห้ามเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่สามารถทำลายได้ ถ้าหากเป็นเจ้าของของขลัง ก็จะรับกลับไปได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนรุ่นหลังมาที่นี่ ก็ต้องมีวิชายุทธที่สามารถทำให้ของขลังตอบสนองได้ ก็จะสามารถทำลายจุดต้องห้ามพวกนี้ได้
แน่นอนว่า ยังมีวิธีที่โง่อีกหนึ่งวิธี ก็คือใช้จิตดั้งเดิมโจมตีเกราะที่ปกคลุมจุดต้องห้ามเหล่านี้ทุกวัน พอนานวันเข้า ก็จะสามารถเปิดออกได้ และเจ้าลิงก็ใช้วิธีนี้
“คนตายและบาดเจ็บสามสี่สิบคน? อย่างนั้นระดับของผู้ฝึกตนก็มีความเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้เชียวรึ?”
คำพูดของวานรขาวทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก เขากับอาจารย์หลี่ซั่นหยวนท่องยุทธภพไปทั่วทุกสารทิศ แม้แต่ผู้ฝึกบำเพ็ญตบะสักคนก็ยังไม่เคยเจอ กระทั่งคนที่ฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าก็ยังไม่มี
หากยึดตามคำพูดของวานรขาวแล้ว การต่อสู้ในครั้งนั้นมีคนตายและบาดเจ็บราวสามสี่สิบคน ก็เท่ากับมีคนมากมายที่ถูกดึงเข้ามาในนี้ไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นคนเหล่านี้ก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีวรยุทธสูงและอายุยืนยาว แต่ทำไมจนถึงป่านนี้กลับหาไม่เจอสักคนเล่า?
สมองของเยี่ยเทียนก็ไม่ต่างจากเจ้าลิง เขากำลังครุ่นคิด ว่าในช่วงหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้คนที่ถูกมนุษย์ขนานนามว่าเป็นเซียนถึงหายตัวไป?
“นี่ เจ้าหนุ่ม คิดอะไรอยู่?”
วานรขาวเห็นเยี่ยเทียนเงียบไป จึงใช้มือจิ้มไปที่เขาอย่างหมดอารมณ์แล้วพูดว่า “เจ้ารีบๆ ดูว่ามีโอกาสไหม อีกสักพักเถาวัลย์พวกนั้นจะงอกกลับมาแล้ว!”
“หา? ได้ครับ…”
เยี่ยเทียนถูกเจ้าลิงเตือน จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านอาวุโส ตอนนั้นมีผู้ฝึกตนตั้งมากมาย แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด? ทำไมจนถึงตอนนี้ก็หาไม่เจอสักคน?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง?”
เจ้าลิงเหลือกตาขาว แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ตอนนั้นปราณวิเศษที่อยู่ในโลกมนุษย์มีอยู่เต็มเปี่ยมแค่ไหน? ดูเหมือนจะเริ่มจากเมื่อแปดเก้าสิบปีก่อน ที่ปราณวิเศษแห่งฟ้าดินค่อยๆ อ่อนลง จนถึงตอนนี้ ข้างนอกจึงไม่เหมาะที่จะฝึกวรยุทธแล้ว”
วานรขาวเหมือนจะนึกอะไรออก แล้วจึงพูดอย่างลังเล “ก่อนที่นายท่านจะไปเหมือนจะพูดว่า พวกเขาจะไปปรึกษาหารือเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งที่ภูเขาคุนหลุน แต่หลังจากนั้นนายท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย ส่วนปรึกษากันเรื่องอะไรข้าก็ไม่รู้!”
“เฮ้อ น่าเสียดายที่หาผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ไม่เจอสักคน ต่อไปผมคงต้องไปดูที่ภูเขาคุนหลุนเสียหน่อย!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าลิงแล้ว เยี่ยเทียนจึงถอนหายใจ ความจริงของประวัติศาสตร์ จึงมีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ หรือบางทีต้องได้เจอคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น เขาถึงจะรู้คำตอบ
“พอแล้ว เจ้าหนุ่ม รีบๆ เข้าเถอะ ถ้ายังไม่เลือกอีก พวกเราก็จะออกไปแล้ว!” ขณะที่วานรขาวนึกถึงเรื่องในอดีต ในใจก็เกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แล้วจึงพูดเร่งรัดเยี่ยเทียน
“ครับ ผมจะลองดู!”
เยี่ยเทียนรู้ว่าตัวเองมีโอกาสแค่ครั้งเดียว จึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขายื่นมือไปจับสิ่งของที่อยู่ข้างๆ มีดสั้นเล่มนั้น แต่ไม่สามารถใช้พลังจิตได้ เขาจึงได้แต่ใช้วิธีที่โง่แบบนี้
“ไม่ได้!”
นั่นคือห่วงวัชระเป็นมันวาวที่มาจากเหล็กทั้งแท่ง เพียงแต่มันก็เหมือนกับมีดสั้น เยี่ยเทียนยังไม่ทันสัมผัส มือของเขาก็ถูกดีดออกมาแล้ว
“ไม่ได้!”
“อันนี้ก็ไม่ได้!”
“ยังไม่ได้อีก!”
เมื่อลองไปทีละอย่าง เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีบนชั้นวางของมีของอยู่เพียงสิบเจ็ดสิบแปดชิ้น และตอนนี้เขาลองไปเกือบครึ่งแล้ว ก็ไม่มีอันไหนที่มีวาสนากับตัวเองเลย ล้วนแต่ดีดเขาออกอย่างไร้เยื่อใย
“เอ๊ะ ที่นี่มีของสิ่งนี้ได้ยังไง?” ตอนที่เยี่ยเทียนเดินมาถึงมุมสุดท้ายของกระท่อมนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที
บนชั้นวางของนั้น มีของที่มีความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร ข้างล่างเป็นรูปกระดิ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเก้าเซ็นติเมตร ข้างบนมีด้ามจับอันหนึ่ง และด้านบนสุดของด้ามจับมีรูปลักษณะเป็นส้อมก่อรูปเป็นคำว่าภูเขา ซึ่งก็คือกระดิ่งซานชิงที่นักพรตเต๋าใช้นั่นเอง!
เยี่ยเทียนรู้ว่า กระดิ่งซานชิงมีชื่อเรียกอย่างอื่นว่า ระฆังจักรพรรดิ ระฆังสัจธรรม กระดิ่งสัจธรรม หลิงซู ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังที่สำคัญของลัทธิเต๋า ใน ‘คัมภีร์ไท่ชิงวี่เช่อ’ ได้กล่าวไว้ว่า “ลัทธิเต๋ามีระฆังจักรพรรดิอยู่ในมือ เหวี่ยงไฟได้เป็นหมื่นลี้ เหมือนกับหลิวหลิงปาชง”
และในเรื่องของฮวงจุ้ย กระดิ่งซานชิงก็มีประโยชน์มาก สามารถทำให้จิตใจสงบ และในตำราที่ได้รับการถ่ายทอดอยู่ในหัวของเยี่ยเทียน ก็มีรูปภาพของกระดิ่งซานชิง ซึ่งเหมือนกับอันที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น