ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 69-80
ตอนที่ 69 พวกเจ้ายังเป็นคนอยู่อีกหรือ?
ฉวยโอกาสที่มีช่องว่างนี้เกิดขึ้น ตู๋กูเหลียนก็แย่งเอากระดิ่งนั้นกลับมาไว้ในมือของนาง เขย่าเบาๆ ครั้งหนึ่ง
“กริ้ง~” เสียงสะท้อนที่เยือกเย็นและกังวานใสดังขึ้น ทำให้ผีตายโหงนั่นไปเกาะอยู่บนหลังของนางอย่างเหนียวแน่น
สายตาของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนเป็น ‘ว่างเปล่า’ ขึ้นมาทันที
นางยืนนิ่งอยู่กับที่ ผีตายโหงชุดแดงนั่นก็ยื่นสองมือออกมาโอบล้อมรอบคอของนางไว้
ผีนั่นมองนางอย่างตะกละตะกลาม เล็บยาวสีแดงเลือดแทบจะจิกลึกลงไปในลำคอของนาง
ซี๊ดด…..ช่างยั่วยวนชวนน้ำสายสอนัก
ตู๋กูเหลียนมองดูท่าทางของนางอย่างพอใจ มือก็คว้าเอาปิ่นปักผมอันหนึ่งบนศีรษะของตู๋กูซิงหลันลงมา ยัดใส่มือของตู๋กูซิงหลันไว้ หัวเราะฮาๆ บอกกับนางว่า “พี่สาว ท่านดูฉีผินต้องมีชีวิตอยู่อย่างลำบากถึงเพียงไหน ท่านก็สงเคราะห์นางหน่อยแล้วกัน~”
พูดจบนางก็พลักหลังตู๋กูซิงหลันออกไปครั้งหนึ่ง ผมของตู๋กูซิงหลันสยายยาวลงมา คนก็ขยับไปตามแรงส่งนั้นราวกับตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตตัวหนึ่งเขยิบเข้าหาฉีผินทีละก้าว
ฉีผินตาโตด้วยความตื่นตระหนก รีบหันไปทางตู๋กูเหลียน “นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ? “
ต่อให้สายตาของนางจะย่ำแย่เพียงไหน ก็พอจะดูออกว่าตู๋กูซิงหลันกำลังไม่ปกติ
“ฮาๆ พี่สาวฉีผิน ท่านถูกขังในนี้มานานแล้ว แม้แต่หัวสมองก็ไม่มีแล้วหรือไง? ” ตู๋กูเหลียนปิดปากหัวเราะเสียงเย็น ฉับพลันสายตาของนางก็เปลี่ยนเป็นอำมหิตโหดเ**้ยมขึ้นมา “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าเต๋อเฟยที่เจ้าเฝ้าครุ่นคิดถึงจะช่วยเหลือเจ้า? “
ฉีผินถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง พอเห็นตู๋กูซิงหลันที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ นางก็รีบถอยกรูดไปข้างหลัง ตะโกนใส่ตู๋กูเหลียนว่า “เต๋อเฟยคิดจะฆ่าข้าปิดปากเรอะ? “
“เจ้าคิดว่าไงละ? “
“แต่ว่านางรับปากข้าแล้วชัดๆ ขอเพียงข้าสามารถล่อตู๋กูซิงหลันออกมาได้ จะช่วยข้า และปกป้องทุกคนในครอบครัวของข้า ” ฉีผินอย่างไรก็ยังไม่อยากจะเชื่อ เพราะตลอดเวลาที่นางอยู่ในคุกแห่งนี้ แม้ต้องรับทัณฑ์ทรมานอย่างไรนางก็ไม่ยอมแพร่งพรายชื่อเต๋อเฟยแม้สักครึ่งคำ แล้ใยเต๋อเฟยจึงยังจะคิดฆ่านาง?
” พี่สาวฉีผิน ท่านหลงคิดว่าตนเองเป็นคนพิเศษนักหรือ ในสายของเต๋อเฟย ท่านสำคัญนักหรือไง? “
ตู๋กูเหลียนมองนางอย่างรังเกียจ “หลังจากคืนนี้ไป ทุกคนก็จะรู้ว่า ไทเฮาในตำหนักเย็น ฉวยโอกาสที่กลับบ้านมาเซ่นไหว้ท่านย่าของตนเอง ฆ่าสนมฉีผินในคุกของกรมราชทัณฑ์ เจ้าน่ะ ตายอย่างคุ้มค่าแล้ว เป็นไง มียอดพธูอันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจวเป็นเพื่อนเจ้าไปยังแม่น้ำเหลือง ก็ถือว่าเจ้าได้รับเกียรติยิ่งใหญ่แล้วนะ”
ต่อให้ฝ่าบาททรงโปรดนังสวะนี้สักแค่ไหน แต่หากมันกลายเป็นฆาตกรฆ่านักโทษ พระองค์จะทรงคุ้มครองได้อีกหรือ?
ฉีผินตาโตเบิกกว้าง มองดูตู๋กูเหลียนที่หัวเราะอย่างกับคนผีเข้า ต่อให้นางคาดคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ถึงว่า เต๋อเฟยจะใช้ชีวิตของนางมากำจัดตู๋กูซิงหลัน!
เต๋อเฟยที่ยามปกติแสนใจดีมีเมตตา ที่แท้ก็แล้วกลับซ่อนพิษร้าย? ก่อนนี้นางดูไม่ออกเลย!
เพราะฉะนั้นยามนี้จึงถูกผู้อื่นขายทิ้ง ทั้งยังช่วยนับเงินส่งให้เขา!
“เจ้าวางใจเถอะ พอเจ้าตายไปแล้ว เต๋อเฟยจะยังคงเมตตาต่อครอบครัวของเจ้าต่อไป อ๋อใช่สิ เจ้ายังมีน้องสาวอยู่อีกคนนี่ใช่ไหม? เต๋อเฟยถูกใจนางเข้าแล้ว จะให้นางเข้าวังมาคอยปรนิบัติรับใช้ ” ตู๋กูเหลียนมองดูเล็บที่พึ่งทาสีมาใหม่ของตนเอง ในดวงตาทอแววอึมครึม
ในคุกที่มืดมิด มีเพียงแสงสว่างรางๆ จากตะเกียงน้ำมันสองดวงบนกำแพงที่อับชื้น
ใต้แสงตะเกียงนั้น ดวงหน้าซีดขาวของตู๋กูเหลียนยิ่งดูน่าเกลียดน่ากลัว
“น้องสาวของข้าพึ่งจะอายุได้สิบขวบเท่านั้น พวกเจ้ายังเป็นคนอยู่อีกหรือ? ” ฉีผินเกรี้ยวกราด เต๋อเฟยจิตใจซับซ้อนชั่วร้าย จะทำเช่นไรกับน้องสาวของนางกัน
“คนหรอ? ฮ่าๆๆๆ ….” ตู๋กูเหลียนพลันหัวเราะเสียงดังออกมา “เจ้าคิดว่าในวังหลังเนี่ย ยังจะมีใครเหมือนคนกันละ”
เพื่อความโปรดปราน เพื่อเกียรติยศความรุ่งเรือง เจ้าหลอกข้า ข้าลวงเจ้า จะมีใครที่มือสะอาดได้อีกล่ะ?
พูดจบแล้ว นางก็เขย่ากระดิ่งในมืออีกครึ้งหนึ่ง คราวนี้เจาะจงพูดกับตู๋กูซิงหลันโดยเฉพาะ “เจ้ามัวทำอะไรอยู่? ไยไม่ไปฆ่ามันเสีย? “
กระดิ่งดังกริ๊งกรั๊ง เส้นผมของผีตายโหงในชุดแดงกลายเป็นเชือกสีดำหลายเส้นพันลงไปบนมือและเท้าของตู๋กูซิงหลัน ภายใต้การควบคุมของผีร้าย สาวน้อยที่งดงามกลายเป็นตุ๊กตาหุ่นชักในทันที ทำเอาฉีผินหวาดผวาจนล้มลงไปก้นกระแทกพื้น
นางคว้าเอาคอของฉีผินเอาไว้ ปิ่นปักผมในมือถูกชูขึ้นสูง เห็นอยู่ว่ากำลังจะปักลงไปบนลำคอของฉีผิน
ตู๋กูเหลียนในตอนนี้ก็หัวเราะออกมาเสียงจนกรามค้าง “เดี๋ยวพอนังสวะนี่ฆ่าฉีผินแล้ว ดวงจิตของมันก็จะตกเป็นของเจ้าทั้งหมด คืนนี้เจ้าจะได้เสพกินอย่างอิ่มหนำแน่นอน “
ผีปีศาจมักจะดูดกลืนดวงจิตของมนุษย์และสัตว์เป็นอาหาร ผู้ที่ถูกดูดกลืนดวงจิตจนหมดสิ้นก็จะกลายเป็นคนบ้าเสียสติ กลายเป็นเพียงขยะที่ไร้ประโยชน์
ผีตายโหงได้ยินที่นางกล่าวมา ก็แสยะยิ้มหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนี้พาให้แสงตะเกียงที่อ่อนจางบนฝาผนังลุกโชนขึ้นมา
ฉีผินมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติเหล่านี้ แต่ว่านางกลับรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวเข้าแก่นกระดูกที่แนบอยู่บนร่าง แม้กระทั่งหนังศีรษะยังเย็นวาบจนเหน็บชา
ในตอนนั้นเอง ปิ่นปักผมของตู๋กูซิงหลันก็ทิ่มเข้าใส่ลำคอของฉีผิน กำลังจะแทงทะลุเข้าไปในตัวนาง
ฉีผินมองเห็นใบหน้าที่งดงามอย่างไร้ที่เปรียบของนาง มองดูสายตาที่ว่างเปล่าของดวงตาดอกท้อคู่นั้น นางสำนึกผิดเสียดายขึ้นมาแล้ว ……..หากว่านางเลือกที่จะเชื่อไทเฮา วันนี้ก็อาจจะไม่ต้องตายใช่หรือไม่?
เพราะตอนนั้น…..ไทเฮายังสามารถส่งคนชุดดำเข้ามาในคุกหลวงได้ แสดงว่าจะต้องมีความสามารถอยู่ไม่น้อยใช่ไหม?
แต่ว่าสำนึกได้ตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร?
นางปิดตาลงอย่างสิ้นหวัง
ปิ่นปักผมแทงเข้ามาในผิว เลือดสีแดงรินไหลซึมออกมา สร้างความเจ็บปวดจนฉีผินต้องลืมตาได้ขึ้น นางคิดว่าตนเองจะต้องจบชีวิตไปในทันทีทันใดแล้ว แต่ว่าปิ่นนั่นเพียงขูดข่วนผิวหนัง แล้วก็หยุดลงในทันใด
นางลืมตาขึ้นดู สบตากับดวงตาดำขลับนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า จะมาช่วยเจ้า ไยต้องสิ้นหวังถึงเพียงนี้? “
ฉีผินชะงักไปแล้ว เมื่อครู่นี้….เมื่อครู่นี้ท่าทางของตู๋กูซิงหลันเหมือนถูกคนควบคุมอยู่ชัดๆ แล้วทำไม?
นางตื่นตะลึงไปในทันที ฉับพลันก็มีปฎิกิริยาขึ้นมา คุกเข่าลงกระแทกพื้นอย่างแรง กอดขาตู๋กูซิงหลันร้องไห้เสียงดังว่า “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว โปรดทรงช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะเชื่อฟังพระองค์ผู้เดียว จริงๆ นะเพคะ! “
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองนางอยู่แวบหนึ่ง ฉีผินที่ร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้ ช่างน่าเกลียดจริงๆ
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูเหลียนเองก็ตื่นตะลึงไปแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าผีตายโหงนั้นควบคุมนางสวะนี้อยู่ชัดๆ ทำไมมันถึงได้คืนสติขึ้นมาได้กัน?
พอนางเริ่มคิดได้ก็เขย่ากระดิ่งนั่นอีกครั้ง นางไม่สามารถควบคุมผีร้ายนั่นได้ เพียงแต่อาศัยกระดิ่งนี้มากระตุ้นผีตายโหงนั่นเท่านั้น
พอกระดิ่งขยับดังกริ๊ง ก็เห็นตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา ปิ่นในมือตู๋กูซิงหลันตวัดบินออกไป กระแทรกกระดิ่งในมือนางเป็นเศษเล็กเศษน้อย
พลังที่รุนแรงนั้น กระท้อนสะท้านจนมือของตู๋กูเหลียนเจ็บชา
ทันทีที่กระดิ่งแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนราวดวงใจแตกสลายจากผีตัวนั้น วิญญาณทมิฬที่รออยู่นานแล้วอ้าปากสีแดงโลหิตออกกว้าง กัดขยุ้มลงบนหัวของมัน
สิ้นเสียงกัดกร๊วมลงไป หัวส่วนหนึ่งของมันก็ถูกกระชากขาดออกมา เลือดสีดำหยาดหยดไหลนอง
ตู๋กูเหลียนตกตะลึงจนขยับไม่ออกไปแล้ว นางหันไปเขม้นมองตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นคนค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เชิดคางขึ้นช้าๆ แย้มยิ้มให้นางอย่างลึกลับ
ที่ด้านหลังของนาง ผีตายโหงในชุดแดงนั่นกำลังเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่สุด หัวของมันหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แขนขาปัดป่ายวุ่นวาย พยายามจะคลานหนีออกจากร่างของตู๋กูซิงหลัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับถูกกดเอาไว้จนไม่อาจขยับได้
เส้นผมที่เคยโอบรัดแขนขาของตู๋กูซิงหลันก็พลันฉีกขาดออกเป็นเศษเสี้ยวกระจัดกระจาย
ตอนที่ 70 ยำเกรงราวกับลูกหลานคนหนึ่ง
” เกิดอะไรขึ้น? เจ้าทำอะไรลงไป?! ” ตู๋กูเหลียนตระหนกสุดขีด ผีตายโหงนั่นเป็นนางใช้ดวงจิตและโลหิตสดของตนเองหล่อเลี้ยง คนผู้นั้นบอกเอาไว้ว่า มันมีอิทธิฤทธิ์สูงส่ง ไยตู๋กูซิงหลันจึงสลัดหลุดจากการควบคุมของมันได้?
“ก็อย่างที่เจ้าเห็น ว่าเราเหนือล้ำเกินบรรยาย ” ตู๋กูซิงหลันสางผมที่ข้างหูช้าๆ ดวงตาทั้งสองทอประกายสุกใส
นางใช้มือเพียงข้างเดียวบีบคอผีตายโหงนั้นไว้ลากคอมันออกมายืดยาวเสมือนยีราฟต่อหน้าต่อตาตู๋กูเหลียน
ศีรษะของผีตายโหงกำลังจะถูกฉีกทิ้ง แต่เจ้าถวนจื่อตัวดำบนบ่ากลับทำท่าราวสิงโตขู่กรรโชกออกมา มันทำฮึดฮัดวุ่นวาย แม้แต่ศีรษะที่เหลืออยู่อีกเพียงครึ่งเดียวของผีนั้น เจ้าถวนจื่อก็ยังอยากจะกลืนกินลงไปให้ได้
นี่มันคือตัวอะไรกันแน่? กลืนกินได้แม้กระทั่งผีสาง! ไยก่อนหน้านี้จึงไม่เคยเห็นเคยเจอตัวเช่นนี้มาก่อน?
แล้วหญิงผู้นี้คือตัวอะไรกันแน่? ไยจึงสามารถใช้มือเปล่าฉีกทึ้งมันได้? พละกำลังที่เหลือเฟือนั่นแทบจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ แล้ว
ตู๋กูซิงหลันลากผีตายโหงลงมาจากหลังโยนลงไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นจากพื้น เหยียบลงบนครึ่งหน้าที่เหลืออยู่ บดขยี้ลงไปช้าๆ พลางหันไปจ้องมองตู๋กูเหลียนด้วยสายตาอึมครึม “อธิบายมาซิ ใครสอนให้เจ้าเลี้ยงมันไว้? “
เจ้าผีร้ายนั่นพยายามจะพลิกตัว บิดตัวไปมาวุ่นวาย เส้นผมของมันงอกออกมาพันมือเท้าของตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง พยายามที่จะควบคุมบังคับร่างกายของนาง
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตามองอยู่หลายครั้ง ยกหมัดขึ้นมากำประหนึ่งหัวฆ้อน หมัดนี้กระแทกลงไป อวัยวะบนใบหน้าครึ่งนั้นก็จมลงไปประหนึ่งโดนทุบจนแบน ผีตายโหงนั่นกระอักดวงจิตออกมาคำโต แทบจะดวงจิตแตกสลายไปเสียเดี๋ยวนี้
“เอ๋ๆๆ เจ้าลงมือเบาหน่อยได้ไหม หากทุบจนเละแล้วมันจะไม่อร่อย! ” วิญญาณทมิฬที่อยู่ด้านข้างรีบพูดขึ้นอย่างเร่งร้อน
นังหนูนี่เวลาจับภูตผีทีไรทำไมถึงได้ใช้แต่กำลัง เหมือนตอนอยู่โลกก่อนไม่มีผิด
กว่าจะหาผีตายโหงแบบนี้ได้ ไม่ใช่ง่ายๆ พวกเราอ่อนโยนสักหน่อยดีไหมหืม?
ผีตายโหง “!!! ” ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทุบข้าให้เละเถอะ ถึงจะถูกทุบจนวิญญาณต้องแตกสลายก็ยังดีกว่าถูกเจ้าถวนจื่อนี่กลืนกิน
ตู๋กูเหลียนได้แต่ซีดจนหน้าเขียวเป็นผัก ท่าทางของนางเสมือนได้เจอตู๋กูซิงหลันเป็นครั้งแรก “เจ้าไม่ใช่ตู๋กูซิงหลัน เจ้าเป็นใครกันแน่? “
ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงหญิงสาวสูงศักดิ์ที่อ่อนโยนผู้หนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะสามารถจับผีด้วยมือเปล่าได้กัน?
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มบางๆ พริบตาเดียวก็หิ้วผีตายโหงที่สภาพร่อแร่ไปที่เบื้องหน้าตู๋กูเหลียน ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางนางขึ้นมา จ้องเข้าไปในดวงตาของตู๋กูเหลียน “ที่เราถามเจ้า เจ้ายังไม่ได้ตอบ มัวพร่ามอะไรอยู่? “
ตู๋กูเหลียนไม่รู้วิธีควบคุมภูติผีแม้แต่น้อย เป็นใครกันที่มีความสามารถขนาดทำให้นางชุบเลี้ยงผีตายโหงชุดแดงได้?
เต๋อเฟยรึ? อาจไม่แน่ว่าใช่
“ไม่พูดหรือไง? ” ตู๋กูซิงหลันเห็นนางปิดปากไม่ว่ากล่าวก็ไม่โกรธเคือง
นางปล่อยมือจากตู๋กูเหลียน กำหมัดขึ้นมาอีกครั้ง ต่อยออกหมัดหนึ่งกระแทกลงบนอกบริเวณหัวใจของผีตายโหงนั่น ดวงจิตของผีร้ายสั่นสะท้าน แทบจะแตกสลายกับคืนสู่ธรรมชาติ
วิญญาณทมิฬปวดใจเหลือเกิน หากว่าอาหารของมันถูกทุบจนแหลกเละ รสสัมผัสก็จะไม่ดีเท่าไหร่ ทั้งยังมีผลต่อคุณภาพอาหารด้วย
มันขยับตัวดุ๊กดิ๊ก ขยำมือเล็กๆ ไปมา อย่าจะเข้าไปห้ามแต่ก็ไม่กล้า เพราะตู๋กูซิงหลันไม่เหลือบแลมันแม้แต่น้อย
ตู๋กูเหลียนเองก็เจ็บปวดบริเวณหัวใจจนกระตุกขึ้นมาเช่นกัน นางทำสัญญาผูกพันกับผีร้ายนั่นไปแล้ว หากว่าผีร้ายนั่นตาย ตัวนางแม้ไม่ตายก็เท่ากับเหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียว แต่ตู๋กูซิงหลันกลับไม่หยุดมือ นางล้วงเอายัตน์เหลืองแผ่นหนึ่งออกมาไว้ในมือ จากนั้นก็ต่อยกระหน่ำลงไปแบบไม่ยั้ง ทุกหมัดที่กระแทกลงไป ผีร้ายเป็นต้องร่ำร้องอย่างโหยหวน หลังจากห้าหกหมัดที่กระหน่ำลงไปติดๆ กัน มันก็ทนทานไม่ไหวอีกต่อไป ใช้ปากที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวนั้นพูดว่า “พอแล้วๆ อย่าตีข้าอีกเลย หากยังตีต่อไปคงไม่เหลือชีวิตผีอีกแล้ววววว…..”
ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก กวาดตามองมันราวกับจอมมารตนหนึ่ง “อ๋อ ที่แท้เจ้าก็พูดจาได้นิ? “
ผีตายโหง “……” ต่อให้ข้าพูดไม่ได้ยามนี้ก็ต้องถูกบังคับให้พูดออกมาแล้ว
ตู๋กูเหลียนที่เจ็บปวดจนมึนไปหมดก็ยังตระหนกจนไม่ได้สติ นางคิดมาตลอดว่าผีตายโหงตัวนี้เป็นใบ้ รู้จักแต่ดื่มเลือดกลืนกินดวงจิต
“เดิมข้าเป็นเพียงนางกำนัลในวังที่ถูกโยนทิ้งลงบ่อน้ำให้ตายอย่างอนาถ เมื่อตายแล้วก็มีแรงพยาบาทเข้มข้น โชคดีบังเอิญได้พบกับผู้บำเพ็ญเซียนผู้หนึ่งช่วยให้ข้าได้กลายเป็นภูตผี ท่านเซียนมีบุญคุณต่อข้า ครั้งนี้เพียงแต่ต่อการให้ข้าตอบแทนบุญคุณ เท่านั้น ให้ข้าทำความต้องการของหญิงผู้นี้ให้สำเร็จ ” ผีตายโหยพูดอย่างอ่อนแรง ตู๋กูเหลียนเองก็เจ็บปวดจนสลบไสลไปแล้ว
จากนั้นก็ได้ยินมันกล่าวต่อว่า “ผีอย่างพวกเราก็ต้องมีคุณธรรมใช่ไหม ได้รับบุญคุณมาแม้เล็กน้อยย่อมต้องตอบแทน ท่านดูเถอะ ข้าเป็นผีที่ดีขนาดไหน ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ท่านได้โปรดปราณีมีเมตตาปล่อยข้าไปได้ไหม? “
ตู๋กูซิงหลันจ้องเขม็งไปที่มัน “ดังนั้นท่านเซียนนั่นคือใครกันแน่? “
ใช่ว่าเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่บงการผึ้งพิษของหยวนเฟยหรือไม่?
ผีตายโหงส่ายศีรษะไปมา “เซียนผู้นั้นเป็นผู้สูงศักดิ์ ฐานะของท่าน ผีน้อยอย่างข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? “
ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าผี กินมันไปเถอะ ไอ้นี่มันไร้ประโยชน์แล้ว”
วิญญาณทมิฬที่รอคอยอยู่ด้านข้างนานแล้วก็กระโดดเข้าใส่ เมื่อครู่มันกลืนผีร้ายนั่นไปครึ่งหัว ฟันทั้งหมดของมันก็งอกคืนมาครบแล้ว ดวงจิตก็แข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อย หากว่าได้กินลงไปทั้งหมดล่ะก็ ร่างจิตของมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว! นี่ช่างเป็นโชคดีจริงๆ!
พอเห็นถวนจื่อตัวดำอ้าปากสีแดงเลือดขึ้นมา ผีตายโหงก็หวาดผวาจนเข้าไปกอดขาตู๋กูซิงหลันไว้ “ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ๆ เซียนผู้นั้นก็เหมือนกับท่าน รู้จักวิชาไสย์เวทย์! สามารถเสกยันต์ได้….แต่ว่าอ่อนโยนกว่าท่านมาก ข้าน้อยรู้แต่เพียงเท่านี้จริงๆ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเซียนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ขอท่านโปรดปล่อยข้าไปเถอะ”
ผีตายโหงร่ำไห้แล้ว น้ำตาเป็นสายเลือด ขดตัวเป็นก้อนกลม ยำเกรงประหนึ่งเป็นเพียงลูกหลานคนหนึ่ง
“ยังมีอีกอย่าง น้ำเสียงของท่านเสียงน่าฟังมาก แต่ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ ” ผีตายโหงที่กลัวว่าจะต้องตายอีกครั้งได้แต่บอกทุกสิ่งที่ตนรู้
จริงๆ นะ สตรีตรงหน้านี้ยังน่ากลัวกว่าจอมมารเสียอีก!
ครั้งหน้าหากได้พบเจอ มันจะต้องอ้อมหลบไป อย่าได้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับสตรีผู้นี้มีแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยถามต่อว่า “หากว่าเจ้าได้เจอเซียนผู้นั้นอีก จะจดจำได้ไหม? “
ผีตายโหงสั่นศีรษะหลายครั้ง แล้วค่อยพยักหน้าติดๆ กัน “ข้า ข้า ข้าก็ไม่แน่ใจ ……….ท่านเซียนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ตลอดเวลา…”
“หลัน หลัน เจ้าจะมัวพูดมากไร้สาระไปทำไม อั๊วหิวจะตายอยู่แล้ว ตกลงจะให้กินได้หรือยัง ” วิญญาณทมิฬรีบร้อนเสียจนจะไฟลุกอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจมัน นางใช้มือข้างเดียวหิ้วผีร่อแร่หมดสภาพนั้นขึ้นมา หยิบยันต์แผ่นหนึ่งผนึกเข้าไปในร่างของมัน จากนั้นก็โยนมันลงไปบนร่างของตู๋กูเหลียนใหม่อีกครั้ง
ตู๋กูเหลียนสำลักอากาศออกมาครั้งหนึ่ง ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา
ที่แท้เมื่อครู่เจ้าผีตายโหงนั่นคืบคลานช้าๆ เข้าไปในตัวตู๋กูเหลียน หลังจากนางชะงักไปชั่วครู่ แววตาก็พลันเปลี่ยนไป
นางลุกขึ้นยืน หันมาตอบตู๋กูซิงหลันว่า “ขอบคุณท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่เมตตาไว้ชีวิต! “
นางจอมมารผู้นี้ ไม่เพียงไม่ฆ่ามัน ทั้งยังยอมให้มันยึดร่างของตู๋กูเหลียน!
ได้อยู่ในร่างที่อบอุ่นมีชีวิต ทำเอาผีตายโหงน้ำตาไหล ……ความรู้สึกที่ได้กลับมาเป็นคนมีชีวิต ช่างดีเหลือเกิน
ตอนที่ 71 นั่นคือ........จีเฉวียน?
ตู๋กูซิงหลันมองมันด้วยสายตาเยือกเย็น กล่าวว่า “ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตอบแทนบุญคุณไว้ชีวิตของเราแล้ว”
ผีตายโหง “……” มันกล้าไม่ตอบแทนด้วยหรือ? สตรีผู้นี้ผนึกยันต์สยบวิญญาณเอาไว้ในดวงจิตของมัน หากเมื่อไรที่มันไม่เชื่อฟังก็อาจดวงจิตแตกซ่าน วิญญาณสลายไปได้ทุกขณะ!
วิญญาณทมิฬ “……” ปัดโถ่เว้ย เนื้ออยู่ในปากแท้ๆ ทำไมยังบินหนีไปได้อีกหือ?
ไม่! อั๊วจะไม่ทิ้งมันไป! ไม่ยอมถอดใจเด็ดขาด! ใครจะรู้ว่ากว่าจะได้เหยื่อดีๆ สักตัวต้องรอนานถึงเพียงไหน!
รอให้เจ้าเนื้อก้อนนี้ทำงานเสร็จเมื่อไหร่ จะต้องจับมันกินให้เกลี้ยง! ไม่ให้เหลือแม้แต่ข้อนิ้วเลยทีเดียว!
‘เนื้อติดมัน’มองดูเจ้าถวนจื่อตัวดำที่อยู่ด้านข้าง ก็พลันรู้สึกหนาวๆ เย็นๆ ขึ้นมา
………………………………………
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ สุสานประจำตระกูลตู๋กู บนเขาที่สูงที่สุด
ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยดอกชมจันทราสีขาว ผลิบานอย่างงดงามที่สุด
ภายในเขตเมืองหลวงที่รุ่งเรือง คงมีแต่สถานที่แห่งนี้ที่ยังเงียบสงบ เต็มไปด้วยบุปผาผลิบานวิหคขับขาน สายหมอกม้วนตัว กำเนิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามเกินจะบรรยาย
สุสานของเย่วฮูหยินซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกชมจันทราเหล่านี้นี่เอง
บนป้ายสุสานมีรูปสลักจากหินที่งดงามปราณีต แกะสลักเป็นรูปสาวน้อยที่บอบบางงามสง่าผู้หนึ่ง หากมองให้ละเอียดละก็ สตรีผู้นี้และตู๋กูซิงหลันมีความคล้ายคลึงกันอยู่สามส่วน
ด้านข้างของหิน สลักอักษรตัวโตคำว่า ‘ ภรรยาสุดที่รัก ตู๋กูซื่อเจียงเย่ว ‘ ลงนาม ‘ สามี ตู๋กูถิง’
สุสานของเย่วฮูหยินมีขนาดไม่เล็กนัก ฟังว่าตอนที่กลบฝังนั้น ตู๋กูถิงบรรจุสมบัติล้ำค่าคณานับใส่ลงไปด้วย ตัวสุสานเองก็ก่อสร้างอย่างปราณีต การตกแต่งแม้ไม่อาจเทียบได้กับเหล่าราชนิกูลสายใน แต่อย่างใดก็ไม่ด้อยไปกว่าเชื้อพระวงค์สูงศักดิ์เด็ดขาด
ผู้คนทั้งหลายต่างทราบดีว่า ท่านผู้เฒ่าตู๋กูรักใคร่ภรรยาเอกเจียงเย่วมากเพียงใด ตลอดชีวิตเพียงรับอนุไว้แค่คนเดียว และอนุผู้นั่นก็เป็นน้องสาวของเย่วฮูหยิน
หลังจากที่เย่วฮูหยินจากโลกนี้ไปแล้ว นายท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้ยกย่องอนุผู้นั้นขึ้นมาเป็นภรรยา นี่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจิตใจที่นายท่านผู้เฒ่ามีต่อเย่วฮูหยินนั้นมั่งคงเพียงไร
ที่จริงแล้ว สำหรับเหล่าบุรุษในแคว้นต้าโจว การมีสามภรรยาสี่อนุก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าตลอดชีวิตมีเพียงหนึ่งภรรยาหนึ่งอนุเรียกว่าน้อยเสียจนแค่หยิบมือ อย่าว่าแต่ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นตู๋กูถิงเลย
อีกทั้งเย่วฮูหยินยังเป็นผู้ที่คนทั้งหลายกล่าวขวัญกันว่า อดีตฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ของต้าโจวต่างให้ความเคารพอย่างที่สุด
ทั้งยังเล่าลือกันว่า ปฐมกษัตริย์ทรงบัญญัติข้อกำหนดไว้ว่า ลูกหลานตระกูลจีทั้งหมดพึงให้ความเคารพเย่วฮูหยิน
ดังนั้นที่ผ่านมายามอดีตฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์อยู่ ทุกปียามถึงวันรำลึกถึงเย่วฮูหยินก็จะต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ก่อนหน้านี้ยามตระกูลตู๋กูยังรุ่งเรืองอยู่ พวกผู้สูงศักดิ์ที่ชอบประจบประแจงทั้งหลายต่างก็แย่งชิงกันจะมาช่วยเฝ้าสุสานเย่วฮูหยิน ยามถึงวันรำลึกก็รีบมาแสดงความกตัญญู
เรียกว่าในช่วงวันรำลึกถึงเย่วฮูหยินนั้น สุสานแห่งนี้ได้กลายเป็นที่จัดงานสำคัญไปแล้ว
วันนี้ตระกูลตู๋กูไม่อาจทัดเทียมเหมือนเมื่อก่อน ผู้มาเยือนก็พลอยบางตาไปด้วย
ทุกคนต่างทราบแก่ใจดีว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงเกลียดชังตระกูลตู๋กู จึงเกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย พวกเขาจึงไม่กล้าจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลตู๋กูมากนัก
ผู้คนที่มาในงานรำลึกปีนี้ น้อยนิดจนนับนิ้วได้
มีเพียงอี้อ๋องผู้ไม่เคยขาดหาย ทั้งยังนำอดีตพระสนมเสียนไท่เฟยที่น้อยครั้งจะออกนอกวังมาด้วย
ทั้งสองแต่งกายสุภาพราบเรียบ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพ
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างสดใส เสียนไท่เฟยทรงกางร่มกระดาษสีขาว สวมชุดกระโปรงชาววังสีดำสนิท ดวงตาและหว่างคิ้วของนางเผยสีหน้ามีเมตตาเห็นอกเห็นใจผู้ทุกข์ยากอยู่หลายส่วน ในมืออีกข้างก็ประคองพระไตรปิฎกที่คัดด้วยตนเองเอาไว้ ให้ชิงผินนางกำนัลประจำตัวนำไปเผาที่ด้านหน้าสุสานเย่วฮูหยิน
แม่ลูกอี้อ๋องรำลึกถึงความผูกพันแต่หนหลัง ผู้คนทั้งหลายต่างทราบดีว่า หลายปีก่อนนั้นตระกูลตู๋กูมีบุญคุณต่อแม่ลูกอี้อ๋องเพียงไร
หากว่าตอนนี้ผู้ที่สืบทอดบัลลังก์คืออี้อ๋องละก็ ตระกูลตู๋กูก็คงจะยิ่งรุ่งเรืองขึ้นไปอีกแน่แล้ว
น่าเสียดาย……….ศึกในการช่วงชิงบัลลังก์นั้น อี้อ๋องกลับพ่ายแพ้
จีเย่ว์ขึ้นไปจุดธูปไหว้เย่วฮูหยินด้วยตนเอง สายตาของเขาทอดมองไปในหมู่ผู้คน เจียงเหม่ยหยู่นำผู้คนยืนอยู่ด้านหนึ่ง สมาชิกในตระกูลตู๋กูส่วนใหญ่ต่างมากันแล้ว แต่กลับไม่เจอหลันเอ๋อร์ และไม่เห็นตู๋กูจุนด้วยเช่นกัน
เขากวาดมองไกลออกไปก็ยังไม่พบตู๋กูซิงหลัน แต่กลับเห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา
นั่นคือ……..จีเฉวียนหรือ?
ผู้คนต่างก็หันไปมอง กระทั่งคนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้ จึงพบว่าเป็นฮ่องเต้จริงๆ!
ไม่ใช่ว่าฝ่าบาททรง……..เกลียดชังตระกูลตู๋กูหรอกหรือ? ไยจึงมาที่นี่ได้กัน?
และที่ยิ่งทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงไปอีกก็คือ พระสนมเต๋อเฟยที่มาพร้อมกับฝ่าบาท
วันนี้พระสนมเต๋อเฟยสวมชุดที่เรียบยิ่งกว่าเดิม บนศีรษะเพียงปักดอกไม้ขาวดอกหนึ่ง ดูไปราวกับหลานสาวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเย่วฮูหยินเสียเอง
ตลอดทั้งตัวของนางดูบริสุทธิ์สะอาด ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางดอกชมจันทราด้วยแล้ว ราวกับเซียนในชุดขาวที่ไม่ข้องแวะทางโลก ทำให้ผู้ที่ได้เห็นต่างเกิดความประทับใจด้วยกันทั้งนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นฝ่าบาททรงนำพระสนมสักคนออกนอกวัง
ผลจากการการเลือกไข่มุกในครั้งก่อน ท่านรองมหาเสนาฯ ถูกฝ่าบาทสั่งริบสมบัติทั้งหมดในบ้าน แม้กระทั่งไข่มุกจากทะเลตงไห่ที่เคยพระราชทานให้เต๋อเฟยก็ยังเรียกคืนไป พวกเขานึกว่าเต๋อเฟยจะต้องตกต่ำไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป
ดูเอาสิ……เพียงไม่กี่วัน นางก็ได้มายืนเคียงข้างฝ่าบาทอีกครั้ง
สำหรับผู้ที่มีน้ำใจเย็นชาเช่นฝ่าบาทแล้ว หากว่าไม่มีน้ำพระทัยต่อเต๋อเฟยแม้แต่น้อย ยังจะยินยอมให้นางอยู่ข้างกายอีกหรือ?
เจียงเหม่ยหยู่เห็นแล้วก็รีบเข้ามาคำนับ นำพาคนตระกูลตู๋กูทั้งหลายมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้และเต๋อเฟย “หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรเต๋อเฟยเพคะ! “
ครั้งนี้นางเองก็คาดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ยามนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะดีใจหรือโกรธเคืองดีกันแน่
ที่ดีใจก็เพราะว่านางสามารถรายงานต่อหน้านายท่านได้ว่า ขณะที่นางดูแลบ้านอยู่นี้ แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังทรงเสด็จมาร่วมกราบไหว้เจียงเย่ว
แต่ที่โกรธเคืองก็คือ นังหญิงชั่วนั่นตายไปแล้ว แต่ผู้คนทั้งหลายยังคงระลึกถึงอยู่ แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ยังทรงรำลึกถึง และให้ความเคารพ
สีหน้าของนางจึงแสดงออกอย่างสับสนวุ่นวาย
จีเฉวียนทรงเหลือบพระเนตรมองนางอย่างเย็นชาวูบหนึ่ง ทั้งยังแลไปยังเหล่าสมาชิกในตระกูลตู๋กูที่อยู่ด้านหลังนาง เมื่อไม่ทรงพบตู๋กูซิงหลันก็ขมวดพระขนงขึ้น
สตรีผู้นี้ใช่ว่ายังมีน้ำใจอยู่บ้างหรือไม่? ครบรอบสิบปีของวันรำลึกท่านย่าตนเองแท้ๆ ยังจะมาไม่ตรงเวลาอีก?
หลี่กงกงที่ตามเสด็จมาก็ชักจะเหงื่อตกขึ้นมาแล้ว ตอนแรกนั้น ฝ่าบาทมิได้ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จมาแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่เต๋อเฟยขอเข้าเฝ้าแล้ว ก็กลายเป็นจะเสด็จมาเสียอย่างงั้น
ในพระทัยของฝ่าบาทพระสนมเต๋อเฟยมีน้ำหนักถึงเพียงนั้นจริงหรือ?
แต่ว่าทำไม ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ สายพระเนตรของฝ่าบาทถึงไม่ได้มองมาที่เต๋อเฟยแม้แต่น้อย ดูไปคล้ายว่ามีแต่จะทรงมองหา…..ไทเฮา?
หรือว่าเขาบังอาจก้าวล่วงคาดเดาพระดำริของฝ่าบาทเกินไปแล้ว?
ฝ่าบาทยังไม่มีรับสั่ง พวกเจียงเหม่ยหยู่ก็ไม่กล้าลุกขึ้น
ยังคงเป็นพระสนมเต๋อเฟยผู้มีเมตตาพยุงนางขึ้นมาด้วยตัวเอง “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านรีบลุกขึ้น ในบรรดาผู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจัดงานรำลึกถึงเย่วฮูหยินนั้น ท่านนับว่าเหนื่อยยากที่สุดแล้ว “
เต๋อเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวล ฟังแล้วช่างแสนอบอุ่น ช่างเป็นที่ประทับใจของผู้คน
“ขอบพระทัยพระสนมเต๋อเฟยเพคะ ” หัวเข่าของนางเจียงซื่อเหน็บชาไปหมด เมื่อได้รับการพยุงจากเต๋อเฟยด้วยตนเองจึงซาบซึ้งจากใจจริง
ต่างก็เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์เหมือนกันแท้ๆ แต่ว่าเต๋อเฟยกับนังเด็กชั่วร้ายตู๋กูซิงหลันนั่นกลับไม่เหมือนกันเลย
“ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจไปแล้ว ” เต๋อเฟยตอบอย่างอ่อนโยน “ท่านย่าของข้ากับเย่วฮูหยินเคยมีไมตรีต่อกัน วันรำลึกสิบปีของเย่วฮูหยิน ข้าย่อมต้องมากราบไหว้อยู่แล้ว”
พูดแล้ว นางก็หันไปพยักหน้าให้ซิ่วเหอ เห็นซิ่วเหอประคองกล่องไม้ที่งดงามใบหนึ่งเข้ามา “ด้านในคือยันต์เสริมวาสนาในภพหน้าที่พระสนมของพวกเราไปขอมาเพื่อเย่วฮูหยินโดยเฉพาะเจ้าค่ะ “
เพียงพูดจบ ผู้คนก็พากันตื่นตะลึง ยันต์เสริมวาสนาในภพหน้า เพียงชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นยันต์ที่ใช้ขอพรให้ผู้ที่จากไปได้อยู่ดีมีบุญบารมีมีวาสนา ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ว่าก็สามารถทำให้ญาติมิตรที่ยังมีชีวิตอยู่สุขใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ฟังว่ายันต์ผืนนี้มีแต่ต้องไปขอมาจากอารามเทียนเก๋อกวนมาเท่านั้น อารามเทียนเก๋อกวนนั่นคือที่ใดกัน?
ตอนที่ 72 ทั้งสองร่ำสุราครวญเพลงกันจนดึกดื่นค่อนคืน
นับตั้งแต่รัชกาลก่อน อารามเทียนเก๋อกวนก็เป็นที่เชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับในหมู่เชื้อพระวงค์ เล่าลือกันว่านักพรตปี้จูอู๋เลี่ยงผู้ก่อตั้งอารามสุดท้ายสำเร็จวิชาเป็นเซียนไปแล้ว
ในอารามล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้มีความสามารถ ได้รับความเมตตาจากฟ้า เป็นที่บูชาของผู้คน แม้แต่ในยามที่ปฐมกษัตริย์แคว้นต้าโจวเข้ายึดครองเมืองหลวงแห่งนี้ ยังมิได้แตะต้องอารามเทียนเก่อเจี้ยนแม้สักขุมขน
พระสนมเต๋อเฟยเพียรวอนขอยันต์เสริมวาสนาในภพหน้าให้กับเย่วฟูเหรินเห็นชัดว่ามีน้ำใจมากถึงเพียงไหน
“นับตั้งแต่ครึ่งปีก่อนพระสนมก็ทรงเริ่มขอยันต์นี้แล้ว ในที่สุดความตั้งใจของนางสร้างความประทับใจให้กับท่านอาจารย์อู้เจิ้นในอาราม……” ซิ่วเหออธิบายพลาง ดวงตาของนางก็สะท้อนแววชอกช้ำ
ผู้คนทั้งหลายต่างก็แปลกใจไม่น้อย ท่านอาจารย์อู้เจิ้นผู้นั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดผู้สูงส่งของอารามผู้หนึ่ง ที่ผ่านมาใจแข็งยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเต๋อเฟยจะสามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ นี้แสดงว่านางจะต้องเป็นผู้ที่มีเมตตาสูงส่งอย่างยิ่ง
ทั้งที่ตู๋กูซิงหลันทำเช่นนั้นกับนาง แต่เต๋อเฟยกลับใช้คุณธรรมตอบแทนความชั่ว วอนขอสิ่งที่ล้ำค่าหาอยากเช่นนี้มาให้ เห็นชัดว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่งน่าเคารพชื่นชมถึงเพียงไหน
“สิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรได้หรอก” เต๋อเฟยก้าวขึ้นมาหลายก้าว ยืนอยู่ด้านข้างจีเฉวียนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันยังขอยันต์มาถวายฉางซุนฮองเฮาอีกชุดหนึ่ง เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่กล้านำมาถวายพระองค์….”
จีเฉวียนกวาดตามองนางครั้งหนึ่ง “เจ้ามีน้ำใจแล้ว”
“หม่อฉันสมควรทำเช่นนี้อยู่แล้ว” เต๋อเฟยหลุบตาลงตอบเสียงเบา แล้วจึงค่อยเงยหน้าขึ้นกวาดตาดูรอบด้าน พอพบเห็นอี้อ๋องและเสียนไท่เฟยก็ผงกศีรษะให้เล็กน้อย ค่อยหันเหสายตาไปทางอื่น
ครู่หนึ่งจึงค่อยถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เอ๋? ยามนี้ก็เป็นเวลาไม่เช้าแล้ว ไยจึงยังไม่เห็นไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตอีก? “
“ทูลพระสนมเต๋อเฟย ไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตเป็นผู้มีผลงานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เมื่อคืนทั้งสองยังร่ำสุราครวญเพลงกันจนดึกดื่นค่อนคืน คาดว่าคงลืมวันรำลึกของท่านย่าใหญ่ไปตั้งแต่แรกแล้ว ” คนที่ตอบคำก็คือตู๋กูอี้ หลานชายของเจียงเหมยหยู่
พอได้ฟังแล้วพระพักตร์ที่เดิมทีไม่แสดงพระอารมณ์ใดๆ ของฝ่าบาทก็เริ่มจะมืดครึ้มลง เพราะประเด็นหลักที่ทรงสดับไว้ก็คือ ‘ทั้งสองร่ำสุราครวญเพลงจนดึกดื่น’
ตู๋กูซิงหลันมิใช่สาวน้อยแล้ว ถึงแม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่อย่างไรเสียชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันเพียงลำพัง เหมาะสมที่ไหนกัน?
หลี่กงกงที่ยืนด้านข้างของฝ่าบาทชักจะเริ่มตัวสั่นสะท้านขึ้นมา เขามีความรู้สึกว่า ฝ่าบาททรงเสด็จมาวันนี้ก็เพื่อจะมาพบไทเฮา
ผู้คนทั้งหลายเห็นฝ่าบาทพระพักตร์เคร่งขรึมลง ก็เข้าใจชัดเจนไปว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยในตัวตู๋กูจุนและตู๋ซิงหลัน
ก็คงใช่อยู่ จะอย่างไรตู๋กูซิงหลันยังไม่ถือว่าได้ออกจากตำหนักเย็นอย่างถูกต้อง เพียงแต่ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาปล่อยนางกลับมาทำความเคารพบรรพชน นางกลับถือดีนัก กล้าคิดเองทำเองขึ้นมา รานน้ำพระทัยอันดีของฝ่าบาท
” จะพูดไปก็เป็นเรื่องไม่ดีภายในบ้าน แม้แต่คนนอกเช่นพระสนมเต๋อเฟยยังสามารถทำเพื่อพี่สาวขนาดนี้ หลานชายหลานสาวของข้านั้น…..เฮ่อ….” นางเจียงเหม่ยหยู่ก็พลอยทอดถอนใจไปด้วย “ต้องโทษว่าข้าผู้เฒ่าไม่ดี ไม่อาจสั่งสอนพวกเขาได้”
เมื่อคืนนางโกรธไม่น้อย สีหน้าจึงไม่น่าดูอย่างยิ่ง ตอนนี้ก็ยิ่งทำท่าทำทางอึดอัดคับข้องใจว่าไม่อาจทำสิ่งใดได้
ผู้คนทั้งหลายพอได้ฟังคำของนาง ประกอบกับยิ่งเห็นท่าทีของนางเจียงซื่อก็รู้ดีว่า ยามปกตินางคงถูกข่มเหงไม่น้อย ก็คงเป็นเช่นนี้ละ สองพี่น้องตู๋กูจุนที่แม้แต่ท่านย่าแท้ๆ ของตนเองยังไม่ให้ความเคารพเช่นนี้ จะไปคาดหวังให้พวกเขามีน้ำใจต่อนางเจียงซื่อได้อย่างไร?
นางเจียงซื่อผู้นี้แม้ว่าจะเป็นแค่อนุของนายท่านผู้เฒ่า แต่ก็ถือว่าเป็นอนุภรรยาผู้มีศักดิ์ฐานะ เป็นน้องสาวของเย่วฮูหยิน ไม่สมควรจะถูกหมิ่นหยาม
ท่ามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของผู้คนทั้งหลาย เจียงเหม่ยหยู่ก็ทำท่าน้ำตาซึมออกมา
ช่วงเวลาเช่นนี้แน่นอนว่า เต๋อเฟยย่อมต้องก้าวออกมาวางท่าเป็นคนดี “ฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์อย่าได้ทรงตำหนิไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตเลยนะเพคะ พวกเขาพี่น้องพึ่งจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง จะต้องมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย หรืออาจบางทีหลับจนเลยเวลาไป แค่ส่งคนไปเรียกก็พอแล้ว”
จากนั้นนางก็ไม่ลืมหันไปปลอบใจเจียงเหม่ยหยู่ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านวางใจเถอะ ไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตต่างก็เป็นผู้ที่รู้จักเหตุผล คำสอนของท่านพวกเขาจะต้องรับฟังแน่นอน”
แม้ว่าเต๋อเฟยจะกล่าวเช่นนั้น แต่สายตาของนางกลับแฝงความเย็นชาอยู่ลึกๆ เช้าวันนี้ พวกนางได้รับข่าวสารจากตู๋กูเหลียนแล้วว่า ฉีผินนั่นตายแล้ว ถูกตู๋กูซิงหลันฆ่าตายกับมือ
ดังนั้นนางจึงได้หาวิธีการชักนำให้ฝ่าบาททรงพานางมาทำความเคารพเจียงเย่วที่สุสานก่อน เพื่อที่นางจะได้เห็นท่าทางของตู๋กูซิงหลันยามที่ชื่อเสียงย่อยยับด้วยตนเอง
ในเมื่อนางกลายเป็นฆาตกรฆ่านักโทษ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ แม้ฝ่าบาทจะมีพระทัยอยากปกป้องช่วยเหลือนางพระองค์ก็ไม่อาจทำได้
ไม่รู้ว่าหากทุกคนได้ทราบเรื่องไทเฮาฆ่าคนแล้วละก็ จะแสดงออกเช่นไร?
คิดถึงตรงนี้ นางก็จ้องไปยังตู๋กูเหลียนที่เอาแต่ยืนอยู่ข้างเจียงเหม่ยหยู่ ไม่ยอมพูดยอมจามาโดยตลอด
วันนี้เหลียนไฉเหรินคล้ายกับยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว คาดว่าน่าจะเป็นเพราะเมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยมากไป เห็นหน้าผากหมองคล้ำ ดวงตาก็ช้ำ ดูท่าแล้วเรื่องเมื่อคืนคงจัดการได้ไม่ง่ายนัก
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเต๋อเฟย ‘ตู๋กูเหลียน’ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา สงสายตาบอกใบ้ว่า ‘วางใจเถอะ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว’
คราวนี้เต๋อเฟยถึงได้วางใจ ตู๋กูเหลียนเกลียดชังตู๋กูซิงหลันถึงเพียงไหน แล้วมีหรือจะยอมปล่อยนางไป?
เมื่อพวกนางร่วมมือกันเช่นนี้ นางสวะนั่นจะต้องตายอย่างไร้ทางรอด
ผู้คนทั้งหลายต่างมองเต๋อเฟยด้วยสายตาที่เคารพ ต่างรู้สึกว่านางช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี ไยตู๋กูซิงหลันถึงได้กระทำกับนางถึงเพียงนี้? อยากจะรีบกำจัดกันให้จบสิ้นเลยหรือไร?
เพราะสำหรับวังหลังแล้ว เต๋อเฟยก็คือหินรองเท้าที่นังหญิงร้ายนี่จะใช้เหยียบย่างขึ้นไป
แต่เต๋อเฟยกระทั่งยามนี้ก็ยังคงพูดจาออกหน้าเพื่อพวกเขาพี่น้องอยู่เลย!
จีเย่ว์มองดูเต๋อเฟย เขาก็คิดจะกล่าวอะไรออกมา แต่กลับถูกเสียนไท่เฟยรั้งเอาไว้ นางตวัดสายตาแฝงความเยือกเย็นชนิดหนึ่ง ส่ายศีรษะเบาๆ “เย่เอ๋อร์ อย่าได้ก่อเรื่องแล้ว”
วันนี้ พวกเขามาเพื่อกราบไหว้เย่วฮูหยินเท่านั้น
จีเย่ว์ถอดทอนหายใจ เขาจะทนเห็นหลันเอ๋อร์ต้องถูกหมิ่นเกียรติได้อย่างไร
“มีท่านแม่ทัพผู้พิชิตอยู่ด้วย นางย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องได้เด็ดขาด ” เสียนไท่เฟยตบไหล่เขาเบาๆ ขยับร่มมาบังแดดให้จีเย่ว์ไว้ “เจ้าต้องเยือกเย็นเข้าไว้”
ตั้งแต่ฝ่าบาทปรากฎพระองค์ จีเย่ว์ก็ไม่อาจรักษาความสุขุมไว้ได้
พูดแล้ว เสียนไท่เฟยก็หันไปมองจีเฉวียน
ดวงพระเนตรหงส์ของฮ่องเต้หรี่ลงเล็กน้อยๆ ฝ่าบาททรงฉลองพระองค์ดำประทับอยู่ท่ามกลางดอกชมจันทรา สายลมพริ้วพัดพาชายฉลองพระองค์ให้ไหวเบาๆ หางคิ้วยาวขมวดขึ้น แฝงรอยขุ่นเคือง
ยามที่เสียนไท่เฟยทอดพระเนตรมานั้น ก็พอดีกับที่จีเฉวียนทรงกวาดพระเนตรไปทางนาง สายพระเนตรของพระองค์เปี่ยมไปด้วยความเย็นชาที่แทรกเข้าไปในกระดูก
ครู่หนึ่งจีเฉวียนถึงได้เก็บสายพระเนตรกลับมา กล่าวกับหลี่กงกงว่า
“ไปเชิญเสด็จไทเฮา”
เต๋อเฟยซ่อนยิ้มเย็นอยู่ในใจ นังสวะนั่น วันนี้ไม่มีทางมาได้แล้ว
อีกสักครู่ก็จะมีข่าวสารมาถึง ว่าตู๋กูซิงหลันฆ่าฉีผินตาย ฮึๆ งิ้วที่น่าสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
เจียงเหม่ยหยู่เองก็ลอบยิ้มบางๆ ตั้งแต่ตอนที่เหลียนเออร์กลับมาจากในวังก็ได้บอกกับนางไว้แล้ว ว่าในวันรำลึกนี้ ช่วงเวลาที่เคยดีงามของตู๋กูซิงหลันจะจุดสิ้นสุดไป เมื่อเห็นเหลียนเออร์มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น นางก็เฝ้ารอคอยไปด้วยเช่นกัน
ครู่หนึ่ง ‘ตู๋กูเหลียน’ ก็ขยับเข้ามาใกล้นาง หยอดยาหอมให้นางวางใจว่า “ท่านย่า วางใจเถอะเจ้าค่ะ นางตายแน่แล้ว”
คราวนี้ เจียงเหม่ยหยู่ค่อยวางใจลงได้เช่นกัน
หลี่กงกงเช็ดเหงื่อเย็นบนใบหน้า ขณะที่ตระเตรียมจะใช้คนไปเชิญเสด็จไทเฮา เท้ายังไม่ทันจะก้าวออกไป ก็เห็นวางที่เชิงเขาด้านล่างมีความเคลื่อนไหว
เสียงฝีเท้าม้า และเสียงคนเดินเท้า สร้างผงฝุ่นปลิวคลุ้งขึ้นมาจากพื้นดิน
ผู้คนทั้งหลายต่างมองลงไป ก็เห็นฝุ่นคลุ้งพัดมาจนถึงบริเวณที่มีดอกชมจันทรางอกงาม ค่อยหยุดลง ผู้คนสิบกว่าคนปรากฎตัวขึ้นมา
ครู่หนึ่งค่อยมองเห็นว่า ที่แท้ก็คือ…….
ตอนที่ 73 เกิดมางดงามก็ได้ทุกอย่างไป
ครู่ต่อมาสิ่งที่กระทบสู่สายตาของพวกเขาก็คือ ประกายแวววาวของคมดาบใหญ่! และยังมีเกราะเหล็กสีเงินยวง!
ภายใต้แสงอาทิตย์แรงกล้าสาดส่อง ดาบใหญ่และเสื้อเกราะเงินยิ่งสะท้อนประกายแสงสว่าง พาให้คนทั้งหลายต้องปิดตามอง ด้วยเกรงว่าแสงนี้จะทำร้ายดวงตาจนมืดบอด
เพียงปิดตาไปไม่กี่ลมหายใจเข้าออก ก็พบว่าทหารของตระกูลตู๋กูหลายสิบคนเดินขึ้นเขามาแล้ว พวกเขาทุกคนพกดาบ ปล่อยผมยาว คึกคักประหนึ่งกำลังจะไปออกศึกสังหารศัตรู
อีกทั้งใหหมู่พวกเขา มีม้าขาวปลอดราวหิมะตัวหนึ่ง และท่านแม่ทัพผู้พิชิตที่องอาจ ถือดาบทลายภูผานำทางม้าตัวนั้นขึ้นมา คนก้าวเดินอย่างขึงขังไม่มองใครทั้งซ้ายขวา
แม่นางน้อยที่อยู่บนหลังม้า งดงามประหนึ่งภาพวาด เส้นผมยาวของนางพลิ้วไหว เมื่ออยู่ใต้ประกายของคมดาบที่แวววาวและดอกชมจันทรา ก็ยิ่งสร้างความตื่นตะลึงอันน่าประทับใจ!
ชั่วขณะนั้นสายตาของผู้คนทั้งหลายต่างจับจ้องอยู่บนร่างของนาง จนไม่อาจละสายตาได้
หากจะเว้นวรรคอุปนิสัยใจคอของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ก่อน รูปโฉมของนางจัดว่างามล้ำเลิศจริงๆ งามเสียจนพาลให้สายตาพร่ามัว ดึงดูดจิตวิญญาณ เพียงได้พบหน้าสักครั้งก็ไม่อาจลืมเลือนได้เลย
ความงามที่สามารถทำให้อดีตฮ่องเต้ทรงสดุดพระทัยจนถึงขั้นสิ้นพระชนม์ ย่อมจะต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
แม้จะสวมชุดขาวเหมือนกัน แต่นางงดงามจนโลกต้องตื่นตะลึงดุจเทพธิดาที่จุติลงมา ความงามของเต๋อเฟยดูบอบบางปานจะปลิวลม แต่ก็เป็นเพียงหยกงามในบ้าน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เต๋อเฟยย่อมสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย
จีเฉวียนเองก็จ้องมองนาง พระองค์ทรงคุ้นเคยกับตู๋กูซิงหลันที่สวมชุดกระโปรงผ้าป่านดำอมเขียว คุ้นเคยกับท่าทีหยาบกระด้างไร้สกุลรุนชาติของนาง
ทั้งยังเคยเห็นนางทำกิริยาหยาบคายได้อย่างไม่อายผู้คน
แต่ว่ายังไม่เคยเห็นนางยามสง่างามดุจเทพธิดามาก่อน
นางขี่ม้ามาท่ามกลางดอกชมจันทราที่รายล้อม ไหนเลยจะเป็นเพียงสาวน้อยบอบบางได้ กลับมีความอาจหาญที่บรรยายไม่ถูกอยู่หลายส่วน
คงจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากแม่ทัพตู๋กูจุนมาเป็นแน่
จีเย่ว์เองก็เหม่อลอยไปเสียแล้ว เขากับหลันเอ๋อร์เติบโตมาด้วยกันแต่เล็ก ตอนที่นางยังไม่ได้เข้าวัง กององครักษ์ที่ติดตามยามออกไปข้างนอกยังมากมายกว่านี้ไม่รู้เท่าไหร่ แต่ว่าไม่มีสักครั้งที่จะดูเปล่งประกายหาญกล้าเช่นยามนี้
นางเติบโตกลายเป็นสุขุมสง่างามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
รอจนกระทั่งขบวนเข้ามาใกล้ ผู้คนค่อยเห็นว่าบนหลังม้าด้านหน้าของสาวน้อย มัดเอาไว้ด้วยบุรุษชุดเขียวผู้หนึ่ง
ใบหน้าของบุรุษนั้นคว่ำอยู่บนหลังมา ผู้คนจึงไม่อาจมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน ดูไปก็คงจะไม่ใช่คนสำคัญอะไร ก็ผู้มีตำแหน่งที่ไหนจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวบ้านธรรมดาเช่นนี้?
เมื่อเข้ามาใกล้ ตู๋กูจุนก็จูงม้า นำขบวนทหารติดตามมาจนถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้
“โยววว ทุกท่านยังรีบร้อนมาก่อนเราอีกนะเนี่ย ช่างทำให้เราปลาบปลื้มยิ่งนัก ” ตรัสแล้ว นางก็หย่อนสายบังเ**ยน เตรียมพลิกตัวลงจากหลังม้า
ผู้คนทั้งหลาย “…..” ความสามารถของนังตัวร้ายนี่แค่กระพริบตาก็เสกถ้อยคำร้ายกาจออกมาได้เสมอ นี่มันเกือบจะยามเที่ยงแล้ว เจ้ายังเรียกว่ารีบร้อนมา?
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ขยับตัว ก็เห็นพี่ชายตนเองขยับเข้ามาใกล้ถึงข้างตัวนาง ยืนมืออกมายกตัวนางไว้ “มา พี่ใหญ่อุ้ม”
ในใจของตู๋กูซิงหลันคิดจะบ่ายเบี่ยง แต่ไม่อยากจะปฎิเสธความจริงใจของพี่ชาย ตู๋กูจุนใช้แขนเดียวโอบรอบใต้แขนนาง ยกทั้งตัวขึ้นอย่างสบายๆ โอบอุ้มเอาไว้ในอ้อมอกของเขา จากนั้นค่อยๆ วางนางลงอย่างระมัดระวัง
จากนั้นยังไม่ลืมช่วยนางจัดแต่งเสื้อผ้าและทรงผมให้เรียบร้อย น้องน้อยออกมาปรากฎตัว ไม่ว่าที่ใดตรงไหนจะต้องดูแลให้สวยงาม
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรดูภาพเบื้องหน้า เมฆหมอกในสายพระเนตรก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้าลั่นเปรี้ยงปร้างพายุฝนกระหน่ำครึ้มมาแล้ว
สตรีที่สมควรตายผู้นี้! ทำไมถึงปล่อยให้บุรุษมากอดนาง อุ้มนางได้?
นางจดจำฐานะของตนเองไม่ได้หรือยังไง? นางเป็นสตรีม่าย สมควรอยู่ให้ห่างไกลจากบุรุษ!
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย มีชีวิตมาสองชาติภพนี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้รับการดูแลดั่งเด็กน้อย แถมยังเป็นต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงรู้สึกว่าทำเกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย
เต๋อเฟยยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน พอเห็นนังหญิงร้ายนั่นปรากฎตัวขึ้นเดิมก็ตกตะลึงมากแล้ว พอยิ่งเห็นสายพระเนตรขุ่นมัวของฝ่าบาท ความประหลาดใจของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวรุนแรง
ดู๋ดูฝ่าบาทสิ…….พระอารมณ์ของพระองค์ทั้งหมดเป็นเพราะนังสวะนั่น!
นางหันกลับไปจ้องตาตู๋กูเหลียน ใช้ประกายตาที่แหลมคมประหนึ่งปลายดาบสอบถามนาง
ตู๋กูเหลียนเองก็แสดงท่า ‘ตกตะลึง’ ออกมา ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้นาง กล่าวเสียงเบาที่ข้างหูนางว่า “เต๋อเฟยเพคะ หม่อมฉันเห็นนางลงมือฆ่าฉีผินด้วยตาตนเอง นี่จะต้องเป็นอุบายผีหลอกของตู๋กูจุน ช่วยเหลือนางออกมาแน่”
เต๋อเฟยขมวดคิ้วมุ่น นางมองเข้าไปในดวงตาของตู๋กูเหลียนด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน
ตู๋กูเหลียนกับตู๋กูซิงหลันที่สุดแล้วยังคงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หากไม่ระวังปล่อยให้ทั้งสองคนร่วมมือกันอาจหันมาทำร้ายนางเอาได้ ในวังหลังนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้น
ต่อหน้าผู้คนมากมายนางย่อมไม่สมควรพูดคุยสนิทสนมตู๋กูเหลียนมากไป ได้แต่ใช้สายตาข่มขู่ หากว่านังนี่มันกล้าทำเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ละก็ ต่อให้นางต้องตายก็จะไม่ยอมให้มันได้อยู่รอดปลอดภัยอย่างเด็ดขาด
ดวงตาดอกท้อนั้นจ้องมองมาทางเต๋อเฟยอย่างประหลาดใจ “ย่าห์ เต๋อเฟยน้อยก็มาด้วยแล้ว ร่างกายดีขึ้นแล้วหรือ? กระโดดโลดเต้นได้หรือไม่? หากว่ายังกระโดดโลดเต้นไม่ได้ ก็รีบกลับวังไปพักผ่อนเสียเถอะนะ เราเกรงว่าร่างกายเจ้าจะทนไม่ไหว เกิดเป็นลมเป็นแล้งไป เราคงปวดใจแย่? “
เต๋อเฟย “………..” นังตัวร้ายนี่ช่วยปิดปากเสียบ้างได้ไหม? ฝีปากดั่งอีกาค่อยแต่จะสาปแช่งนางหรือไง?
ด้านฮ่องเต้ผู้ทรงไม่ได้รับความสนใจใดๆ ทั้งสิ้น “……..” เขาเป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจว แต่ในสายตาของสตรีนางนี้กลับสู้พระสนมคนหนึ่งไม่ได้หรือไร?
เต๋อเฟยงามกว่าเขาหรือไง? มีเงินทองมีอำนาจมากกว่าเขาหรือไง? ไยจึงเอาแต่สนใจเต๋อเฟยเท่านั้น?
ฮ่องเต้ทรงขบพระทนต์ อดกลั้นโทสะในพระทัย ทรงดำริว่าหากกลับเข้าวังเมื่อไหร่ จะต้องให้นางได้รู้สำนึก
นางจะต้องได้รู้ว่า ในแคว้นต้าโจวนี้ ตัวเขาจีเฉวียนคือผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุด ใครก็ไม่อาจมีความสำคัญในสายตาของนางเกินเขาทั้งสิ้น!
ฮืม!
“ไทเฮาเพคะ พระสนมเต๋อเฟยทรงเสด็จมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่เพียงแต่มา แต่ยังนำยันต์เสริมวาสนาในภพหน้าจากท่านนักพรตอู๋เจินแห่งอารามเทียนเก๋อกวนมาด้วย น้ำใจเช่นนี้ แม้แต่ลูกหลานในตระกูลตู๋กูของบ้านเราคงไม่อาจเทียบได้”
ทันใดนั้น เจียงเหม่ยหยู่ก้าวออกมา พูดพลางนำกล่องใส่ยันต์ออกมาอวด “น่าสงสารพี่สาวตอนยังมีชีวิตอยู่รักเอ็นดูพวกเจ้านัก พอตายไปแล้วลูกหลานพวกนี้ แม้แต่แค่มาร่วมงานก็ยังมาสาย ช่างใจดำ……”
ผู้คนทั้งหลานต่างเห็นพ้องด้วยแล้ว เจ้าดูสตรีเลวร้ายผู้นี้สิ นางมาสายก็แย่แล้ว แต่นี่สายโด่งขนาดนี้!
สายโด่งยังไม่พอ ยังจะต้องมากระแนะกระแหนเต๋อเฟยอีก หรือว่าเกิดมาสวยก็ไม่ต้องมีความกตัญญูแล้วหรือ? อยากจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่างหรือไง?
หากว่าเย่วฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ละก็ คงอยากจะไล่ลูกหลานเช่นนี้ออกไป แล้วรับเอาพระสนมเต๋อเฟยไว้เป็นหลานแทนแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองกล่องนั่นแวบหนึ่ง ค่อยตอบอย่างแปลกใจว่า “ย่าห์ นี่ช่างล้ำค่ายิ่งนัก”
นางพูดอย่างจริงใจ แต่ว่าผู้คนทั้งหลายกลับรู้สึกว่านางแกล้งทำแปลกใจ เพื่องัดข้อกับเต๋อเฟย
เจียงเหม่ยหยู่อดจะสะใจไม่ได้ นางค่อยๆ ถอนหายใจเบาๆ “ทุกสิ่งในวันงานรำลึกพี่สาวนี้ ข้าล้วนแต่จัดการด้วยมือตนเอง ไทเฮาและท่านแม่ทัพไม่อยากเหน็ดเหนื่อยก็แล้วไปเถอะ แต่วันนี้คงไม่ได้มามือเปล่าใช่ไหม? “
ตามธรรมเนียมแคว้นต้าโจวแล้ว ในวันรำลึกลูกหลานจะต้องจัดเตรียมสิ่งของสำหรบเซ่นไหว้ ดูสิว่า นังตัวร้ายนี้นอกจากหอบผู้คนมาด้วยแล้ว ยังจะมีสิ่งใดอีกหรือไม่?
ตอนที่ 74 เราเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ
เป็นถึงไทเฮาแท้ๆ แต่ธรรมเนียมเล็กน้อยยังไม่รู้จักกระทำหรือ? น่าอับอายขายหน้านัก!
แต่ว่าหากถอยอออกมาพิจารณาดูห่างๆ ต่อให้วันนี้นางและตู๋กูจุนนำสิ่งของมากราบไหว้ก็ตาม ยังจะเปรียบเทียบกับเต๋อเฟยได้อีกหรือ?
นั่นเป็นยันต์เสริมดวงในภพหน้าที่ใช้เวลาตั้งแต่ครึ่งปีอ้อนวอนขอมาด้วยความยากลำบาก!
แล้วยังได้อ้อนวอนขอมาจากท่านนักพรตอู๋เจินเชียวนะ! ท่านนักพรตอู๋เจินเนี่ย! ผู้คนมากมายตั้งเท่าไหร่ที่ทั้งไปคำนับไปกราบไหว้อยู่หลายครั้งก็ยังไม่ได้เข้าพบ!
วันนี้ต่อให้ตู๋กูซิงหลันนำไข่มุกลูกเท่าศีรษะมาเซ่นไหว้ก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี
นอกจากว่า……..นางจะสามารถหายันต์ที่สุดยอดมากกว่านี้มาได้
แต่ว่าเจียงเหม่ยหยู่ขบคิดจนสมองระเบิดก็ยังคิดไม่ออก ว่าในโลกนี้จะยังมียันต์ใดที่เหนือล้ำกว่ายันต์เสริมดวงในภพหน้าเช่นนี้อีก นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ
“จริงด้วย ไทเฮาเพคะ ท่านแม่ทัพผู้พิชิต ด้วยฐานะของท่านทั้งสองคงไม่ถึงขนาดที่ว่า แม้แต่ของเซ่นไหว้สักชิ้นก็ยังไม่มีหรอกใช่ไหม? ” มีบางคนเริ่มพูดตามขึ้นมา
ผู้คนที่มากันในวันนี้ ก็ใช่ว่าจะมีแต่มิตรสหายในอดีตของตระกูลตู๋กูเท่านั้น ยังมีพวกคิดจะมาจับปลาตอนน้ำขุ่นอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นว่ามีเรื่องสนุกก็ย่อมไม่พลาดที่จะขยายความให้เป็นเรื่องใหญ่
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงประทับอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า ฝ่าบาทไม่โปรดตระกูลตู๋กู ถึงแม้ว่าวันนี้จะมาเพื่อกราบไหว้สุสานของเย่วฮูหยินก็เถอะ แต่ว่าน้ำหนักน่าจะไปทางเสด็จมาชมเรื่องน่าหัวเราะเยาะเสียมากกว่าละมั้ง?
ดังนั้นหากว่าใครสามารถสร้างเรื่องมาหยามหยันสองพี่น้องตู๋กูจุนได้สักหน่อย ก็อาจจะเรียกความสนพระทัยจากฝ่าบาทได้
ฮ่องเต้ทรงประทับยืนอยู่ท่ามกลางหมู่บุปผา ไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใด พระองค์กำลังดำริว่า เมื่อเอาตัวตู๋กูซิงหลันกลับวังไปแล้วจะทรงให้แขวนเอาไว้แล้วเฆี่ยน หรือว่ามัดเอาไว้แล้วทุบ หรือว่าเอาแก้วแหวนสมบัติแวววาวทั้งหลายมาวางหราต่อหน้านางให้นางดูจนตาบอดดี
ดวงตาคู่นั้นแม้แต่ฮ่องเต้ผู้องอาจเปี่ยมบุญบารมีเช่นพระองค์ยังทำเป็นมองไม่เห็น มีเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์เสียเปล่าๆ
หลี่กงกงที่ยืนอยู่ข้างพระองค์เหงื่อไหลโทรมไม่หยุด ทั้งไม่ลืมที่จะหาช่องสบตาตู๋กูซิงหลันให้ได้ ไทเฮาของบ่าวเอ๋ย วอนท่านตรัสกับฝ่าบาทสักคำเถอะ!
ต่อให้เป็นแค่เสียง ‘ไง’ ก็ได้พะยะค่ะ
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับทำเสมือนตาบอด แม้แต่หลี่กงกงก็ยังมองไม่เห็นเสียแล้ว
ตอนนี้นางไม่อยากมองหน้าจีเฉวียน พอมองหน้าจีเฉวียนในสมองเป็นต้องเห็นภาพศีรษะของเขาถูกตัดขาด เลือกกระเด็นพุ่งสูงขึ้นไปสามเมตร
และยิ่งสมองแล่นนางยิ่งรู้สึกตื่นเต้นสะใจ……
นางกลัวว่าหากมองมากไป ตัวเองจะอดใจไม่ไหว ไปคว้าเอาดาบของพี่ใหญ่มาตัดหัวเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ด้วยตนเอง
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูจุนมองดูพวกชอบกระพือไฟสร้างเรื่องพวกนั้น เขาอยากจะตวัดดาบออกไปปาดลิ้นพวกมันให้หมด แต่ละตัวจิ๊ๆ จ๊ะๆ ช่างน่าหนวกหูแทบตายแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเขารับปากน้องเล็กเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าไม่อาจลงมือโดยพลการ พวกมันจะอวดกล้าถึงเพียงนี้หรือ?
กองทหารของตระกูลตู๋กูเองก็ยืนประจำอยู่ด้านหลังของพวกเขา คุณหนูถูกคนรังแกทั้งที่อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขาเช่นนี้นะหรือ?
ไม่เห็นหรือไง? ดาบใหญ่ของพวกเขากำลังกระหายจนยากจะระงับไว้แล้ว
ท่ามกลางเสียงพูดคุยพึมพำของผู้คน เต๋อเฟยค่อยออกปากกล่าวอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาว่า “ทุกท่านอย่าได้มัวแต่พูดกันอยู่เลย ทุกสิ่งที่ข้าทำไม่ถือว่ามีค่าอะไร ไทเฮาและท่านแม่ทัพต่างก็เป็นหลายชายหลานสาวสายตรงของเย่วฮูหยิน ขอเพียงพวกเขามาก็ถือว่าเป็นการให้ความเคารพเย่วฮูหยินอย่างที่สุดแล้ว”
ฟังสิฟัง! ระหว่างคนกับคนทำไมถึงได้ผิดแผกแตกต่างกันจนถึงขนาดนี้นะ?
แค่มาก็ถือว่าให้ความเคารพอย่างที่สุดแล้ว แบบนี้มันมีที่ไหนกัน ลูกหลานที่อกตัญญูเช่นนี้ จะมีหรือไม่มีก็ถือว่าช่างเถอะ!
“พระสนมเต๋อเฟยเพคะ ท่านช่างงดงามและมีเมตตา แคว้นต้าโจวมีพระสนมเช่นท่านถือเป็นบุญยิ่งนัก” เจียงเหม่ยหยู่รีบกล่าว
จากนั้นนางก็ไม่ลืมหันไปมองสองเดรัจฉานสายตรงนั่นด้วยสายตาตำหนิ ทำไมนะทำไมฝ่าบาทถึงไม่ทรงขังนังเด็กร้ายกาจนั่นเอาไว้ในตำหนักเย็นจนตายไปเลยนะ?
ปล่อยมันออกมาง่ายๆ ให้เป็นปีศาจเช่นนี้น่ะหรือ?
แล้วก็เจ้าตู๋กูจุนนั่น ให้มันอยู่ที่ชายแดนดินแดนเป่ยเจียงนั่นไป อย่าได้กลับมาตลอดไปเลยก็ดี!
พอพวกเขาชื่นชมเต๋อเฟยกันเสร็จแล้ว ก็เริ่มหันปลายหอกมาทางตู๋กูจุนพี่ชายน้องสาว
ก็ผ่านมาตั้งครู่ใหญ่แล้ว ฝ่าบาทยังไม่ทรงตรัสสิ่งใดสักคำ แสดงว่าทรงพอพระทัยกับการแสดงออกของพวกเขาแล้ว
ตู๋กูซิงหลันโก่งคิ้วงามดั่งคิ้วไต้หยู่ขึ้น ใช้มือตีหน้าผากตนเองเบาๆ ดวงหน้าของนางแดงเล็กน้อย คล้ายกับละอายจนอยากจะมุดพื้นลงไปอยู่รอมร่อ
เห็นท่าทางของนางเช่นนั้น ผู้คนก็ยิ่งเปิดประเด็นสร้างข้อหาขึ้นมาอีก
“ไทเฮา พะยะค่ะ ท่านแม่ทัพ ขอรับ เหตุใดพวกท่านจึงไม่กล่าววาจาเสียบ้าง คงจะไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้เตรียมอะไรมาจริงๆ ใช่ไหม? “
ในยามนี้จีเย่ว์ปวดใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่ว่าเสียนไท่เฟยจะรั้งเอาไว้อย่างไรเขาก็ต้องการจะไปยืนอยู่เคียงข้างตูกูซิงหลัน
เขาก้าวออกไปด้านหน้าหลายก้าวใหญ่ ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สายตาเปี่ยมไปด้วยแววเย็นชา กวาดมองผู้คนทั้งหลาย “ที่พวกเจ้าพากันมาในวันนี้ ก็เพื่อจะมากราบไหว้เย่วฮูหยิน หรือว่ามาหาเรื่องกัน? “
ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงไป แทบจะไม่มีใครคิดมาก่อนว่าอี้อ๋องจะกล้าพูดคลี่คลายสถานการณ์ให้กับตู๋กูซิงหลัน
“ไทเฮาพระชนม์มายุยังเยาว์ ถูกกักอยู่ในตำหนักเย็นมาตั้งนาน แม้แต่อาหารยังกินไม่อิ่มท้อง พวกเจ้าจะหวังให้นางเอาสิ่งใดมากราบไหว้กัน? “
เขาเคยเห็นกับตาตนเอง นางหิวโหยเสียจนต้องลอบเข้าไปห้องเครื่องเพื่อขโมยของกิน
ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้กันดีว่า อี้อ๋องเป็นบุรุษที่สุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด แต่ว่ามาคราวนี้ น้ำเสียงของเขากลับเหน็บหนาวและเย็นชาราวกระบี่เล่มหนึ่ง
ดาบทะลายภูผาของพี่ใหญ่เบื่อหน่ายจนทนไม่ไหวแล้ว นี่มันเรื่องตลกอันใด? ตอนที่น้องเล็กอยู่ในตำหนักเย็นแม้แต่ข้าวก็ได้กินไม่พออิ่มท้องหรือ?
จีเฉวียนไอ้ฮ่องเต้สุนัข มันทำเช่นนั้นจริงๆ เรอะ!
เขาหันไปมองจีเฉวียน แต่จีเฉวียนกลับทอดพระเนตรไปยังจีเย่ว์กับตู๋กูซิงหลัน
ดาบทะลายภูผาเล่มใหญ่ยังไม่ทันได้ขยับ ก็เห็นฮ่องเต้ทรงสบัดชายแขนฉลองพระองค์ เสด็จมาทางด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน
สายลมพัดโชยฉลองพระองค์สีดำของพระองค์ กระทั่งพระเกศาดกดำยาวก็พลอยเริงรำบำขยับปลิว สายพระเนตรเปล่งประกายเย็นยะเยือกราวกับแสงสะท้อนจากภูเขาน้ำแข็ง
ชั่วขณะนั้นราวกับว่ามีไอเย็นกำจายรายล้อมออกมาจากรอบพระองค์
พระองค์มิได้ทรงทอดพระเนตรมองอี้อ๋องแม้แต่น้อย แต่กลับดึงตู๋กูซิงหลันมาที่ด้านข้างพระองค์ ฝ่ามือใหญ่โตนั่นเกาะกุมข้อมือของนางไว้อย่างแม่นมั่น สายพระเนตรคมกล้าและเย็นชา
ตู๋กูซิงหลันยั้งตัวไม่ทันก็กระแทกเข้ากับพระอุระ ศีรษะของนางแทบจะปูดบวมเป็นก้อนซาลาเปาขึ้นในทันที
วิญญาณทมิฬบอกไว้แล้วไม่ผิด เจ้าสุนัขนี่มันกินหินเข้าไปถึงได้โตขึ้นมาได้!
ขณะเดียวกัน ตู๋กูจุนและผู้ติดตามของเขาก็พากันชักดาบออกมา
จีเย่ว์เองก็ยื่นหัตถ์ออกมา คิดจะดึงเอวตู๋กูซิงหลันกลับไป
จุ๋ๆๆ สถานะการณ์ตอนนี้ พาให้ผู้คนใจเต้นตื่นตะลึงด้วยกันทั้งนั้น!
ดูเอาสิ ฝ่าบาททรงพิโรธเข้าแล้วจริงๆ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเพราะอี้อ๋องและตู๋กูซิงหลันแอบลอบกลับมาสานสัมพันธ์กัน ทั้งยังมุ่งหมายในพระราชบัลลังก์
ขณะที่ผู้คนต่างก็คิดว่าพระองค์ทรงพิโรธขึ้นมาแล้ว ดำริจะประหารผู้คนขึ้นมานั้น ก็เห็นฝ่าบาททรงเค้นรอยยิ้มออกมาจากพระพักตร์ จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลันตรัสว่า “ไทเฮาทรงลืมนำสิ่งของออกจากวังมาด้วยแล้ว “
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปจนถูกพระองค์แย้มสรวลเยือกเย็นเข้าใส่ คนอดรู้สึกหนาววูบขึ้นมาทั้งตัวไม่ได้
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ คอยืดคอยาวกันขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ตกลงว่านางลืมนำสิ่งใดมาด้วยนะ!
เพียงครู่เดียว ก็เห็นฝ่าบาททรงมีดาบจากที่ใดก็ไม่อาจทราบได้กำอยู่ในพระหัตถ์ ตัดพระเกศาริมพระกันต์ออกมาอย่างเบามือ แล้ววางลงในใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน
ผู้คนทั้งหมดต่างตกตะลึงไปแล้ว ร่างกาย ผิวหนังและเส้นผม ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับจากบิดามารดา ไม่อาจทำลายได้!
ตู๋กูซิงหลันเองก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก ได้แต่มองดูปอยผมที่สามารถนับได้ด้วยตาเปล่าในมือตนเอง เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ทำอะไร?
จีเฉวียนทรงกุมมือของนางไว้ พันปลายผมทบเข้าในฝ่ามือของนาง ค่อยตรัสด้วยพระพักตร์เฉยชาว่า “เจ้าไม่ใช่ว่าพยายามอ้อนวอนขอร้องเรา ว่าต้องการหนวดมังกรจากเรา เพื่อนำกลิ่นอายของโอรสสวรรค์มาเซ่นไหว้ท่านย่าหรอกหรือ? ทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้ถึงได้ลืมไปได้เล่า?
ฮึ สตรีเอ๋ย ขอบพระทัยเราสิ! ดูสิว่าเราทำให้เจ้ามีหน้ามีตามากเพียงไร!
เราเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐที่แท้จริง!
ตู๋กูซิงหลัน “!!! “
นางลืมตากลมโตใส่บุรุษที่อยู่ตรงหน้า จดจ้องไปบนนิลเม็ดใหญ่ที่ประดับที่อยู่บนรัดเกล้าด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไอ้ฮ่องเต้สุนัขสุดตระหนี่ขี้งก! เอาผมมาให้ไม่กี่เส้นมาทำเหลวไหลกับผู้อื่น!
หากว่ามีความสามารถจริง ก็เอานิลเม็ดนั้นลงมาเป็นของเซ่นไหว้สิ ขอบใจ!
ตอนที่ 75 ไยเราจะต้องไปหาเรื่องกับสมบัติเงินทองด้วย
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นท่าทางที่ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออกของนาง ในพระทัยก็เกิดความพอพระทัยขึ้นมาบ้าง
เห็นไหม นางซาบซึ้งใหญ่แล้ว
แต่พอพระองค์ทรงทอดพระเนตรไปเรื่อยๆ ก็ชักจะทรงรู้สึกพระองค์ว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง ทำไมนางถึงได้เอาแต่มองไปยังรัดเกล้าของพระองค์?
หรือว่าพระองค์จะทรงงามสู้รัดเกล้าอันนี้ไม่ได้กัน?
ไม่ถูกสิ…..สายตาของนางเป็นประกายวูบวาบด้วยความโลภหลง จดจ้องอยู่ที่นิลน้ำงามบนพระเศียร
ฮ่องเต้ “……..”
ช่างสมควรตาย เขาไม่ควรช่วยเหลือสตรีผู้นี้เพราะความใจร้อน!
เจ้าตัวไม่รู้จักความกตัญญู! พระเกศาของฮ่องเต้ถือเป็นของสูงค่าเปี่ยมด้วยพระบารมีของกษัตริย์ แต่ในสายตาของนางกลับเทียบไม่ได้กับนิลเม็ดหนึ่ง?
ฮ่องเต้ทรงอยากจะกระชากเอารัดเกล้าบนพระเศียรมากระทืบให้เป็นผุยผง แต่พอทรงดำริย้อนไปมาว่ารัดเกล้านี้ทำจากทองคำบริสุทธ์ นิลเม็ดนี้ก็มีค่าควรเมือง ครู่หนึ่งก็สงบพระทัยลงได้
เส้นผมตัดไปแล้วยังงอกยาวใหม่ได้ แต่นิลน้ำงามหากแตกร้าวก็หมดคุณค่า
ช่างเถอะ ไยเราจะต้องไปหาเรื่องกับสมบัติเงินทองด้วย
ไม่มีผู้ใดเข้าใจน้ำพระทัยอันซับซ้อนของฝ่าบาท เพราะถูกดวงพระพักตร์หล่อเหลางดงามนั้นสะกดอยู่ เสมือนหนึ่งจ้องมองบุปผชาติบนชะง่อนผาที่ไม่อาจได้มาเชยชม
ฉะนั้นผู้คนทั้งหลายจึงได้แต่ตื่นตะลึงจนลูกตาแทบหลุดออกมา ที่ฝ่าบาทถึงขนาด….ประทานเส้นพระเกศาให้กับนังตัวร้ายนั่นไปเป็นของกราบไหว้เลยหรือ?
ทั่วทั้งแคว้นต้าโจวนี้ ถึงแม้เป็นชาวบ้านธรรมดาทั้งหลายก็ไม่มีผู้ใดยอมตัดผมโดยง่าย!
พระเกศาของกษัตริย์ นั่นยิ่งเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด!
ชั่วขณะนั้นพวกเขาแต่ละคนต่างก็รู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งตัวขึ้นมา เดิมทีพวกเขาคิดว่า….ฝ่าบาททรงเกลียดชังตระกูลตู๋กูเสียอีก
แต่ว่าตอนนี้ ฝ่าบาทกลับทรงตัดพระเกศาให้กับเย่วฮูหยินที่จากไปนานถึงสิบปีแล้ว!
ยันต์ภพหน้าของพระสนมเต๋อเฟยถึงแม้ล้ำค่าหายาก แต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเส้นพระเกศาของฝ่าบาทแล้ว…..ไม่สิ นี่มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ?
มีไอมังกรของโอรสสวรรค์เป็นสิ่งรำลึก เกิดใหม่ชาติหน้ายังจะมิใช่ผู้สูงศักดิ์มากบารมีอีกหรือ?
ตู๋กูจุนที่ตอนแรกกุมดาบกระชับมั่นไว้ก็อดจะคลายมือลงไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็มองจีเฉวียนไม่ออกแล้ว ทำเช่นนี้เพื่ออะไร? อยากจะผูกมิตรกับครอบครัวของเขาหรือ?
คิดไปก็น่าจะใช่อยู่ ถึงแม้ฮ่องเต้สุนัของค์นี้จะเกลียดชังพวกเขาเพียงไหน แต่อย่างไรก็จำเป็นต้องให้พวกเขาช่วยเหลือขยายดินแดน ออกศึกปราบศัตรู ฉะนั้นแล้วการแสดงออกครั้งนี้ของเขานับว่ากระทำได้ยอดเยี่ยมนัก
เช่นเดียวกับท่าทีที่เขาปฎิบัติต่อน้องเล็ก ต่อหน้านับว่าพอจะให้เกียรตินางอยู่บ้าง แต่ลับหลังกลับปล่อยให้นางต้องกินไม่อิ่นนอนไม่อุ่น ทั้งยังริบเงินทองของนางไว้
ฉะนั้นว่าไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่จะกระทำสิ่งใด เขาย่อมทำไปอย่างมีจุดประสงค์แน่
ไม่อาจหลงเชื่อเขาง่ายๆ ได้อีกต่อไปแล้ว
จีเย่ว์ยืนอยู่ที่ด้านข้างของพวกเขา มองดูจีเฉวียนที่กุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แนบแน่น เนตรของเขาก็ทอประกายเย็นวาบ
ดวงใจเจ็บปวดราวถูกมีดแทง ทั้งเกิดโทสะรุนแรงและสำนึกเสียดายยากจะทนทาน
ด้วยสำนึกของบุรุษด้วยกัน เขารู็สึกได้ว่าจีเฉวียนกำลังคิดไม่ซื่อกับหลันเอ๋อร์ ราวกับอสูรร้ายที่คิดครอบครองเหยื่อล้ำค่า
หลันเอ๋อร์ของเขาโดดเด่น งดงามเป็นเอก จะมีบุรุษใดในโลกหล้าที่ไม่หวั่นไหวได้กัน?
ต่อให้เป็นจีเฉวียนที่ชมชอบบุรุษด้วยกัน แต่เมื่อมีสตรีเช่นหลันเอ๋อร์ ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้า เขาจะยังนิ่งเฉยอยู่ได้หรือ?
เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน เขาก็มีปฎิกิริยาถึงเพียงนี้แล้ว?
หากว่าตอนนั้นตัวเขาแต่งหลันเอ๋อร์มาเป็นภรรยาเสียก่อน ก็คงไม่ต้องมามีเรื่องทรมานใจเช่นนี้แล้ว!
อีกด้านหนึ่งเสียนไท่เฟยทรงกางร่มเสด็จเข้ามาใกล้ ก็คว้าชายแขนฉลองพระองค์ของจีเย่ว์เอาไว้มั่น
“เย่เอ๋อร์ อย่าได้หุนหันเช่นนี้” พระนางกระซิบเสียงเบาข้างหูของเขา ทั้งยังไม่ยอมคลายหัตถ์ออก ดวงเนตรล้ำลึกคู่นั้นมองไปที่ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนพลันสะท้อนแววแห่งความว้าวุ่นสับสนออกมา
นางประมาทพลังในการดึงดูดของตู๋กูซิงหลันไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจีเฉวียนจะบังเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อนางขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิใช่คนโง่ เมื่อเห็นปฎิกิริยาของผู้คนทั้งหลาย ก็รู้สึกขึ้นมาว่าพระเกศาของเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้ชักจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เพราะว่าตามประวัติศาตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่ในโลกโน้น หากกษัตริย์ตัดพระเกศาก็เสมือนกับเป็นลางว่าประเทศชาติจะเผชิญเภทภัยจนล่มจม
ถึงแม้ในโลกมิตินี้แคว้นต้าโจวจะไม่ได้มีธรรมเนียมเช่นนั้น แต่ว่าดูท่าทางแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยกว่ากันเลย
ใจของนางวูบไป มองดูพระพักตร์ของฮ่องเต้ พอเห็นดวงพระเนตรที่แวววาวราวกับมีประกายน้ำแข็งคู่นั้น ก็รู้แล้วว่าเขากำลังเขม่นนาง
นี่ไม่ใช่กลายเป็นว่าดึงดูดเอาความเกลียดชังมาเข้าตัวทั้งเป็น ทำให้นางกลายเป็นศัตรูของผู้คนทั้งหลายหรือ?
ก็เหมือนกับตอนที่เขาประทานพระตำหนักเฟิ่งหมิงให้นางอยู่ ทำให้นางดึงดูดเอาความเกลียดชังของเหล่าพระสนมทั้งหลายเข้ามา
หลังจากวันนี้ไป เกรงว่าชื่อเสียงของสตรีชั่วร้ายเช่นนางคงจะถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
โว้ย! เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ไม่เพียงงดงามน่าดึงดูดระดับเทพเจ้า แต่จิตใจยังลึกซึ้งชั่วร้ายอย่างที่สุดด้วย
นางกำเส้นผมเหล่านั้นเอาไว้ในมือ คิดจะผลักมันคืนกลับไปให้เขา แล้วก็ตัดหัวสุนัขของเขาลงมา! พี่ใหญ่ ดาบล่ะ?
ในตอนนี้ เต๋อเฟยจากที่ตื่นตะลึงได้กลายเป็นสงบเงียบลงแล้ว นางไม่ได้ถลึงตาโต แต่ในดวงตาของนางกลับปรากฎเส้นเลือดขึ้นมา
ทำไมกัน…..ตั้งแต่อี้อ๋องไปจนกระทั่งฝ่าบาท แต่ละคนต่างต้องการปกป้องนังหญิงสวะนั่น?
นางรู้อยู่ว่า ตอนนี้ฝ่าบาททรงถูกนังแพศยานั่นครอบงำแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะทรงถูกครอบงำอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้!
ยามที่ท่านแม่ของนางจากโลกนี้ไป นางเคยทูลขอไข่มุกประดับพระมาลาเม็ดหนึ่ง เพื่อเป็นสมบัติร่วมกลบฝังของมารดา แต่ฝ่าบาทไม่แม้แต่ทรงรับไว้พิจารณาก็ปฎิเสธเสียแล้ว
ยามนี้…..พระองค์กลับทรงตัดพระเกศาด้วยพระองค์เองเพื่อท่านย่าที่จากไปแล้วหลายปีของตู๋กูซิงหลัน?!
ดวงใจของเต๋อเฟยมีแต่ความเจ็บปวด ทั้งความเกลียดชัง ทั้งความโกรธแค้น ความขุ่นข้องทั้งหลายทั้งมวลรวมกันอยู่ภายใต้การแสดงที่มักจะสงบนิ่ง อ่อนแอ บอบบางของนาง
นางไม่สามารถวางสีหน้าสงบเสงี่ยมต่อหน้าตู๋กูซิงหลันได้อีกต่อไปแล้ว ยามที่นางมองไปมีแต่ประกายแปลบปลาบของความอาฆาตแค้น
นางปีศาจที่ล่มชาติล้างเมือง! ก่อนหน้านี้ก็ยึดครองอี้อ๋องเอาไว้! ตอนนี้ก็ยังจะมายั่วยวนฝ่าบาท นางเป็นแม่ม่ายแท้ๆ กลับไม่รู้จักใช้ชีวิตสำรวมเลยแม้แต่น้อย!
“พระสนมเพคะ~ ” ยังคงเป็นซิ่วเหอที่เข้ามาเตือน นางพยุงเต๋อเฟยเอาไว้ กลัวว่าพระสนมจะกระทำพิรุธใดออกไป กลายเป็นข้อผิดพลาดให้จับได้
เมื่อเต๋อเฟยหันกลับมา ประกายอาฆาตพยาบาทในดวงตาถึงได้ค่อยๆ เลือนหายไป นางกุมหัวใจไว้ ขมวดคิ้วแน่น ท่าทางเสมือนหนึ่งจะเป็นลมล้มลง
ผู้คนทั้งหลายต่างก็มองนางด้วยความเห็นใจจนเจ็บปวด ดูพระสนมเต๋อเฟยสิ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจไปเท่าไหร่เพื่อวอนขอยันต์ภพหน้า แต่ไหนเลยจะเทียบได้กับตู๋กูซิงหลันที่ใช้มารยาสาไถหลอกลวงฮ่องเต้ได้
นางไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ เลยด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวออกมาว่าฮ่องเต้ทรงกำลังลุ่มหลงในความงามเสียจนหัวทิ่ม
เจียงเหม่ยหยู่ตกตะลึงจนสมองชาไปเสียแล้ว นี่คือ ‘วันดีๆ ของนังตัวร้ายนั่นกำลังจะจบลง’ ที่เหลียนเอ๋อร์พูดถึงนะหรือ?
ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าวันดีๆ ของนางเดรัจฉานนั่นกำลังจะเริ่มขึ้นต่างหากละ?
นางอ้าปากค้าง คิดจะด่านังเดรัจฉานนั่นสักหลายคำ แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วกลับไม่อาจเปล่งออกมาได้ พอพึ่งจะกลืนคำเหล่านั้นลงท้องไป ก็ได้ยินเสียง’ตู๋กูเหลียน’ กล่าวออกมาดังๆ ว่า “ไทเฮาเพคะ วันรำลึกถึงท่านย่าของตัวท่านเองแท้ๆ แต่กลับเอาพระเกศาของฝ่าบาทมาเป็นสิ่งเซ่นไหว้แสดงความกตัญญูแทนท่าน เช่นนี้จะใช้ได้อย่างไร? “
หากว่านางไม่แสดงออกว่าเกลียดชังตู๋กูซิงหลันอย่างสุดแสนละก็ เต๋อเฟยไม่สงสัยในตัวนางก็แปลกแล้ว
พอมีคนนำเช่นนี้แล้ว เหล่าผู้คนทั้งหลายที่มีความไม่พอใจอยู่ต่างก็ฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว
“จริงด้วย เห็นชัดเจนเลยว่า ต้องเป็นพระสนมเต๋อเฟยต่างหากที่ทุมเทแรงใจมากที่สุด! “
นางตัวร้ายนี่คิดหรือว่ามีฝ่าบาทคอยช่วยเหลืออยู่เช่นนี้ แล้วพวกเขาจะต้องยอมศิโรราบต่อนาง? แล้วนางจะไม่กลายเป็นลูกหลานอกตัญญู!
เต๋อเฟยเองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดแล้ว เพียงแสดงสีหน้าเปราะบางอ่อนแอออกมาเท่านั้น
ไร้เสียงก็คือมีเสียง ยิ่งสามารถเรียกความเห็นใจจากคนทั้งหมด
พอ’ตู๋กูเหลียน’ พูดออกมาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงได้คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของผู้คน กลับมีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งแทรกขึ้นมา
” ถ้าเช่นนั่น………..ขอให้ข้านักพรตขัดจังหวะเสียหน่อยแล้วกัน”
ผู้คนทั้งหลายต่างหันไปมอง ก็พบเห็น…………..
ตอนที่ 76 จอมมารสองชาติภพ
ม้าขาวย่างก้าวเข้ามา บุรุษชุดเขียวที่เดิมถูกจับคว่ำไว้บนหลังม้า ถูกเจ้าม้าขาวพาวิ่งโขยกเขยกเข้ามาใกล้
ขณะที่ม้าเดินไป เขาก็อ้วกโอ้กอ้ากไปด้วย ทุกสิ่งที่สำรอกออกมาก็กระจายอยู่บนดอกชมจันทรา หยดเป็นทางยาวระยะหนึ่ง ‘รอยเท้า’ เลยทีเดียว
ผู้คนทั้งหลาย “………..”
นี่มันอะไรกัน?
แม้แต่ตัวตู๋กูจุนเองยังอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ดอกชมจันทราของท่านย่า……….ท่านปู่ทนุถนอมนัก
ม้าขาวตัวนั้นเยื้องย่างมาจนถึงเบื้องหน้าตู๋กูจุน ยกเท้าขึ้นตะกุยอากาศครั้งหนึ่ง ก็สะบัดก้นเสียอีกทีหนึ่ง คนที่แบกมาก็ถูกเททิ้งลงบนพื้น
บุรุษผู้นั้นยังไม่ทันยืนได้มั่งคง ก็หงายท้องก้นจ้ำเบ้ากับพื้นอีก เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นมา แต่หันไปอาเจียนโอ้กอ้ากอีกชุดใหญ่ ค่อยยื่นมือออกไปหาตู๋กูจุน “ท่านแม่ทัพ รบกวนดึงข้านักพรตขึ้นหน่อย “
ที่จริงตู๋กูจุนรู้สึกรังเกียจอย่างมาก!
ติดตรงที่ว่าเจ้าคนนี้เป็นน้องเล็กจับมาด้วยตนเอง จำต้องอดกลั้นความไม่พอใจนั้นไว้ ดึงเขาขึ้นมาในครั้งเดียว
คราวนี้ผู้คนทั้งหลายถึงสามารถมองเขาได้อย่างชัดเจน บุรุษที่หนวดเครารุงรัง หน้าตามันเยิ้มผู้นี้ ดูไปมีอายุประมาณสามสิบปี สวมชุดเขียวสามัญทั่วไป ผมเผ้าหน้าตาก็ไร้การตกแต่งไม่มีแม้แต่เครื่องประดับ บนลำคอเพียงสวมประคำสายหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นพอยืนได้มั่นคง ก็ใช้ชายแขนเสื้อของตู๋กูจุนเช็ดถูมุมปากที่เปื้อนคราบอาเจียน
ตู๋กูจุน “!!! ” อย่ามาจับข้า ชักดาบของเจ้าออกมา!
ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันเดินเข้ามา ขวางอยู่ระหว่างพี่ใหญ่กับบุรุษผู้นั้น นางจับแขนเสื้อของบุรุษผู้นั้นไว้ พลางแนะนำต่อผู้คนทั้งหลายว่า “เกือบจะลืมไปเสียแล้ว เราพาของเครื่องเซ่นไหว้ชั้นเลิศมาด้วยนิ? “
ผู้คนทั้งหลาย “??? “
นางจับบุรุษสกปรกซกมกผู้หนึ่งมาเป็นของเซ่นไหว้มีชีวิตหรือ? ทำไมกัน หรือเห็นว่าท่านย่าของเจ้าโดดเดี่ยวอ้าวว้างอยู่ในยมโลก เลยต้องการจะเผาบุรุษสักคนส่งไปให้หรือ?
ถ้าเช่นนั้นไยจึงไม่เลือกเอาบุรุษที่หน้าตาดีกว่านี้สักหน่อยละ!
เจ้าดูคนผู้นี้สิ เป็นบุรุษที่ไม่มีความโดดเด่นในที่ใดเลย ดวงตาข้างซ้ายก็มีรอยแผลเป็นจากคมดาบเสียด้วยซ้ำ!
ด้วยหน้าตาท่าทางเช่นนี้ แม้แต่ไปเป็นบ่าวรับใช้ในบ้านยังไม่เป็นที่ต้องการเลยด้วยซ้ำมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันคงต้องการล้อเล่นเป็นแน่ ตัวตลกเช่นนี้ยังจะกล้านำมาโอ้อวดอีก ฮ่าๆๆ
“โอ๊ยเง็กเซียนบนสวรรค์! ไทเฮาพะยะค่ะ เครื่องไหว้สักการะล้วนต้องเป็นสิ่งของ ข้านักพรตเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ย่อมไม่อาจใช่แทนเครื่องเซ่นสรวงได้ ” บุรุษผู้นั้นรีบยกสองมือไขว้กันไว้ ไม่ทันไรก็อดทนไม่ไหว อาเจียนโอ้กอ้ากออกมาอีกสองคำ
” นี่เป็นที่ขบขันต่อทุกท่านแล้ว ข้านักพรตเมาม้า เมื่อครู่พึ่งจะได้สติขึ้นมาหน่อย ” เขาพูดจบแล้ว ก็คิดจะไปคว้าเอาชายแขนเสื้อของตู๋กูจุนมาเช็ดปากอีกสักรอบ
ตู๋กูจุนใช้สายตาอำมหิตจดจ้องเขาครั้งหนึ่ง บุรุษผู้นั้นจึงค่อยๆ เก็บสายตากลับไป
นางเจียงเหม่ยหยู่ก็คิดว่าโอกาสดีมาถึงแล้ว นางขมวดหัวคิ้ว ทำเสียงพิลึกกล่าวว่า “ไทเฮา และท่านแม่ทัพ ที่นี่คือสุสานของพี่สาว ไม่ใช่ที่ใครที่ไหนหรืออะไรนึกจะมาก็มาได้ เจ้าทั้งสองนำตัวตลกอะไรมากัน คิดจะพามาลบหลู่พี่สาวหรือไงฮึ? “
” ยังจะไม่ใช่อีกหรือ เจ้าไม่รู้จักกตัญญู! ” ผีตายโหงในตัว ‘ตู๋กูเหลียน’ ชักสีหน้า
“ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ ท่านไงจึงได้พูดเช่นนั้นเล่า? ” นักพรตผู้นั้นสบัดแขนเสื้อเหยียดหลังตั้งตรงประหนึ่งพู่กันด้ามหนึ่ง “ท่านรู้หรือไม่ว่า ไทเฮาและท่านแม่ทัพ ได้เพียรพยายามมากเพียงไร ถึงได้สามารถเชิญข้านักพรตมาประกอบพิธีสวดมนต์ให้กับเย่วฮูหยินได้ “
จะไม่พยายามอย่างยิ่งได้หรือ?
ตอนแรกเขายังปิดวาจากักตนอยู่ในตึกผานหยุน (เมฆาเคลื่อนคล้อย) ของอารามเทียนเก๋อกวนแท้ๆ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่ได้อาบน้ำตัดแต่งหนวดเคราเลยสักครั้ง ก็ถูกโจรลักพาตัวเอาดาบพาดคอลากตัวออกมาทั้งอย่างนั้น
ที่จริงแล้วไอ้ตัวหัวหน้าโจรนั่น ใช่เลย ก็คือเจ้าตู๋กูจุนนั่น! มันโหดเ**้ยมมาก! พูดไม่ถูกใจแม้สักคำ เอะอะก็จะตัดคอท่าเดียว!
โอ้ยเง็กเซียนของข้า เจ้าพวกนี้มันพวกชั่วร้าย ชั่วร้ายจริงๆ
จากนั้นไทเฮาน้อยชื่อเสียงเหม็นกระฉ่อนนั้น ก็จับเขาขึ้นม้าเร่งรีบมาตลอดทางจากอารามเทียนเก๋อกวนจนถึงที่นี่
ระหว่างทางที่มานั้น ไทเฮาน้อยนั่นยังใช้ดาบสั้นเจ็ดนิ้วมาคอยกระตุ้นสติของเขาอยู่ตลอด สร้างความหวาดผวาไม่รู้จักจบจักสิ้นอยู่ในสมองของเขา นางช่างรู้จักวิธีการมากมายนัก!
ทั้งยังโหดอำมหิตยิ่งเสียกว่าตู๋กูจุนเสียอีก ข่มขู่เสียงจนเขาไม่อาจไม่ยินยอม ไม่กล้าจะขัดขืนนาง
แน่นอน ประเด็นสำคัญนั่นก็เพราะว่า ไทเฮาน้อยนาง…..
น่าเสียดายเป็นเพราะเมาม้ามากไป ตลอดทางเมาจนแทบไม่ได้สติ พอตื่นมาก็พบเห็นผู้คนมากมาย เขาย่อมรู้สึกละอายมากแล้ว
เจียงเหม่ยหยู่อยากจะหัวเราะให้ฟันโยกแล้ว เจ้าคนซกมกเช่นนี้ยังต้องไปเชิญมาอีกหรือ?
” เจ้าพวกลวงโลกตัวสกปรกนี้มาจากที่ใดกัน? เด็กๆ จับมันโยนออกไปให้ข้า! ทันใดนั่นนางก็ร้องขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด
นางรู้ดีว่า ฝ่าบาททรงรังเกียจสิ่งสกปรกเลอะเทอะ ก่อนหน้านี่เหลียนเอ๋อร์เพียงแต่ผายลมต่อหน้าเขาไปไม่กี่ที เขาก็สั่งลดขั้นจากไฉเหรินกลายเป็นเหม่ยเหริน
เช่นนี้หากนางจะไล่เจ้าคนสกปรกนี่ออกไป ฝ่าบาทย่อมไม่ทรงตำหนิแน่
พวกเจ้าดูสิ พระขนงของฝ่าบาทขมวดมุ่นจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว แสดงว่าไม่ทรงสบพระทัยอยู่เป็นแน่
ใช่แล้ว ฮ่องเต้ไม่ทรงสบพระทัยอย่างยิ่งจริงๆ เห็นหรือไม่ว่าเมื่อครู่ตู๋กูซิงหลันกระทำสิ่งใดลงไป?
นางจับจูงชายแขนเสื้อของบุรุษตัวสกปรกผู้นั้น!
เป็นถึงไทเฮาแท้ๆ ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายยังจะกล้าใกล้ชิดบุรุษอื่นได้อีกหรือ? และยังจะเป็นคนที่สกปรกซกมกขนาดนั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้บุรุษนั่นกับนางยังขี่ม้าตัวเดียวมาด้วยกัน!
หากว่าอดีตฮ่องเต้ทรงมองดูอยู่ คงจะทรงกริ้วจนกระโดดออกมาจากพระสุสานแล้ว!
ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอย่างหมกมุ่น ยิ่งเขาได้เจอะเจอตู๋กูซิงหลันบ่อยครั้งมากเท่าไร เขายิ่งพบว่าสตรีผู้นี้ยิ่งทียิ่งไม่เคารพกฎเกณท์มากเท่านั้น
รอให้กลับถึงวังเมื่อไหร่ เขาจะให้หัวหน้านางกำนัลที่มีประสบการณ์ดูแลสั่งสอนเข้มข้นที่สุดมาอบรมนางให้จงหนัก อะไรคือมารยาทของเชื้อพระวงค์! อะไรคือพระเกียรติยศของไทเฮา!
บุรุษผู้นั้นก็คล้ายกับว่าจะรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตที่ส่งออกมา เขาถึงได้รีบถอยออกให้ห่างจากจีเฉวียนสักหน่อย หันไปตอบเจียงเหม่ยหยู่ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ข้านักพรตคือนักพรตอู๋เจินจากอารามเทียนเก๋อกวน มาที่นี่เพื่อทำพิธีสวดมนต์ให้กับเย่วฮูหยินเป็นพิเศษ จะใช่คนหลอกลวงที่ไหนกันละ? “
“ท่านนักพรตอู๋เจินคือนักพรตผู้สูงส่ง ฟังว่ารูปลักษณ์สง่าราศีไม่ธรรมดา แล้วจะเหมือนเจ้าที่ดูไปคล้ายกับขอทานได้อย่างไรกัน? ” ในหมู่ผู้คนเองก็มีผู้ที่นับถือเหล่านักพรต
พวกเขาย่อยเกิดความรู้สึกว่าภูมิปัญญาของตนเองนั้นกำลังถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรง
ตู๋กูซิงหลันและตู๋กูจุนช่างชอบก่อเรื่องก่อราวดีนัก ไม่รู้ไปสรรหาใครจากไหนมาปลอมตัวเป็นนักพรตอู๋เจิน
“โอ้ยข้าแต่เง็กเซียนบนสวรรค์ นี่ไม่ใช่ว่าไทเฮาและท่านแม่ทัพสามารถเป็นพยานยืนยันให้ได้หรอกหรือ? ” นักพรตอู๋เจินรู้สึกหมดปัญญาอยู่บ้าง ได้แต่ใช้สองมือนวดขมับพลางทอดถอนหายใจ
ยามปกติเขามักจะให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ สูงส่งเยือกเย็น ไม่ยินยอมพบกับใครโดยง่าย ไม่สนใจไปเจอะเจอผู้ใด……และมักจะไม่ให้ความช่วยเหลือใครด้วยซ้ำ
และไม่ใช่เพราะคราวนี้ไม่ทันได้ตั้งตัวไปเสียหน่อยถึงได้ถูกจอมมารสองชาติภพนี่จับตัวมาหรอกหรือ?
พวกเจ้าก็ลองมาไม่อาบน้ำสักเดือนดูบ้างสิ หากว่ายังดูหล่อเหลาสง่างามเหนือธรรมดาอยู่ได้ละก็ เขายินดีตัดหัวตนเองมาทำเก้าอี้นั่งเลย
“เฮอะๆๆๆๆๆ ตลกจริงๆ? เจ้าเป็นคนที่ไทเฮาและท่านแม่ทัพนำมา พวกเขาจะนับเป็นพยานได้อย่างไร? ” เจียงเหม่ยหยู่หัวเราะร่วนเสียจนฟันจะหลุดออกมา เจ้าเดรัจฉานสองตัวนั่นชอบโอ้อวดก็นับว่าแย่แล้ว นี่จะยังโง่เขลาอีกหรือ?
จะโง่เองก็ช่างเถอะ แต่นี้ยังอุตส่าห์เอาคนที่โง่ยิ่งกว่ามาด้วย
นักพรตอู๋เจิน “………”
พอยิ่งเห็นเขาไม่ปริปากพูดจา เจียงเหม่ยหยู่ก็ยิ่งคิดขึ้นมาได้ นางหันไปมองทางเต๋อเฟย กล่าวว่า “พระสนมเต๋อเฟยเพคะ ท่านวอนขอยันต์เสริมวาสนาภพหน้ามาจากท่านนักพรตอู๋เจิน ท่านต้องเคยพบกับเขามาแล้ว รบกวนท่านช่วยพิจารณาดูสักหน่อย ว่านี่ใช่ท่านนักพรตอู๋เจินหรือไม่? “
“จริงด้วย เต๋อเฟยพะยะค่ะ ขอท่านจงได้โปรดเปิดโปงเจ้าคนลวงโลกผู้นี้ต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย! ไทเฮาและท่านแม่ทัพถูกหลอกไปแล้ว! แต่ว่าพวกเราไม่มีทางโง่งมเสียจนถูกหลอกได้เช่นนั้น!
ที่น่าโกรธแค้นก็คือว่า พวกเขาเกรงว่าพระสนมจะหวาดกลัวไทเฮาและท่านแม่ทัพ เสียจนไม่กล้าพูดความจริง
เพราะว่าดูไปแล้ว บุรุษผู้นี้จะอย่างไรก็ดูคล้ายกับพวกหากินหลอกลวงไปทั่วแผ่นดิน
เจ้าสองพี่น้องชายหญิงตัวเลวร้ายนี่ ไม่ใช่ว่ากำลังพยายามโกหกทั้งๆ ที่ลืมตามองอยู่หรือไง?
ตอนที่ 77 แอบไปสมัครคณะละครมา
สีหน้าของเต๋อเฟยเดิมทีก็ค่อนไปทางย่ำแย่อยู่แล้ว คราวนี้เมื่อถูกผู้คนผลักขึ้นมาจนถึงปลายยอดคลื่น ใบหน้าน้อยๆ นั่นกลับยิ่งทียิ่งซีดขาวเสียแล้ว
นางกุมอกเอาไว้กระแอมไออยู่สองสามที ดวงตาทั้งสองมองไปทางบุรุษสกปรกซกมกผู้นั้น
ผู้คนทั้งหมดพากันจดจ้องมาที่นาง ดูจากท่าทีที่ลังเลของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว คงจะไม่รู้จักคนผู้นั้นแน่แล้ว
ครู่ต่อมา ก็เห็นเต๋อเฟยหันไปมองดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันไปมองดูฝ่าบาทอีก สุดท้ายค่อยหันกลับมามองดูนักพรตผู้นั้นอีกครั้ง
ท่าทางของนางคล้ายกับถูกบังคับ ไม่กล้าพูดความจริงใดๆ ออกมา
ที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดอะไร ทุกคนต่างก็เข้าใจแล้ว บุรุษเนื้อตัวมอมแมมผู้นี้เป็นคนหลอกลวง
นักพรตอู๋เจินเองก็มองดูนางเช่นกัน เห็นนางสวมชุดขาวตลอดทั้งตัว ก็ตื่นตะลึงไป ตอนนี้เขาเป็นโรคหวาดกลัวสตรีชุดขาวเข้าเสียแล้ว คงมีแต่ฟ้าดินที่รู้ว่าเขาถูกไทเฮาน้อยชุดขาวผู้นั้นข่มขู่อย่างทรมานขนาดไหน
ผู้คนทั้งหลายเห็นสีหน้าของเขาทั้งตื่นตะลึงทั้งหวาดกลัว ต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา
สงสัยว่าก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะพาเจ้าตัวตลกนี่มา นางคงจะไม่ได้รู้ละสิ ว่าเต๋อเฟยได้ทำการวอนขอยันต์ภพหน้ามาก่อนแล้ว ถึงได้ไปหาใครก็ได้มาปลอมตัวเป็นผู้มีวิชาสูงส่ง
คราวนี้จะไม่ถูกเปิดโปงจนหมดเปลือกหรอกหรือ?
วันนี้ได้มีงิ้วสนุกต่อเนื่องแน่ๆ
แน่นอนว่า คนอย่างเต๋อเฟยย่อมไม่พลาดที่จะมองเห็นความตระหนกของนักพรตอู๋เจิน ฉับพลันนั้นนางก็ตัดสินใจได้ ส่งเสียงออกมาเบาๆ ว่า “ข้าาา….น่าจะไม่เคย..พบเห็นคนผู้นี้มาก่อน”
ยันต์แผ่นนี้นางขอมาจากอารามเทียนเก๋อกวนก็จริง แต่ว่าผู้ที่วาดยันต์ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่นักพรตอู๋เจิน นางเองก็คิดไม่ถึงว่าตู๋กูซิงหลันจะพาคนเช่นนี้มาด้วย ดังนั้นจึงไม่กล้าชี้ชัดไปว่า คนผู้นี้ใช่ตัวจริงหรือไม่
ยามนี้เห็นคนผู้นั้นแสดงท่าทีหวาดกลัวนางออกมา ถึงได้มั่นใจว่า เขาจะต้องเป็นตัวปลอม
ทันทีที่นางพูดออกไป ผู้คนทั้งหลายก็เอ็ดอึงขึ้นมา
“คนผู้นี้เป็นพวกหลอกลวง! ” ผีตายโหงตู๋กูเหลียนตะโกนนำผู้คนด้วยเสียงอันดัง นางชักจะรู้สึกว่างานรับหน้าที่กวนน้ำให้ขุ่นเช่นนี้ก็สนุกสนานดีเหมือนกัน
เต๋อเฟยเหลือบมองดูนางพริบตาหนึ่ง คราวนี้พระสนมจึงค่อยรู้สึกว่าความหวาดระแวงที่มีอยู่ละลายหายไป เรื่องของฉีผินนั้น ตู๋กูเหลียนอาจทำได้ไม่สำเร็จ แต่ว่านังคนนี้จะอย่างไรก็ยังอยู่ฝั่งเดียวกับนาง เก็บมันไว้ก็ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง
พอได้ยินคำพูดของ’ตู๋กูเหลียน’ เจียงเหม่ยหยู่ก็กระโดดออกมาเต้นเร่าๆ “ไทเฮา! ท่านแม่ทัพ! พวกเจ้าทำเกินไปแล้วนะ ลูกหลานตระกูลตู๋กูของบ้านเราทำไมถึงได้กลายเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงเช่นนี้ได้? ต่อให้พวกเจ้าหาของดีๆ มาไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะลบหลู่พี่สาวเช่นนี้! แล้วนี่จะให้วิญญาณของนางในปรภพสงบสุขได้อย่างไรกัน? “
เจียงเหม่ยหยู่พูดไป น้ำตาก็ไหลเป็นสาย ประหนึ่งว่านางรักเคารพเจียงเย่วเสียเหลือเกิน
“พวกเจ้ายังจำได้บ้างไหม ยามที่พี่สาวยังมีชีวิตอยู่ นางรักเอ็นดูพวกเจ้ามากมายขนาดไหน …….หากว่านายท่านผู้เฒ่ากลับมาเห็นเข้าเช่นนี้ จิตใจคงจะปวดร้าวอย่างยิ่งแล้ว….” ใบหน้าชราของเจียงเหม่ยหยู่มีน้ำตารินไหลอาบ รอบนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลัยยังรู้สึกว่านางช่างทำได้สมบทบาทยิ่งนัก
ตู๋กูจุนเหลือบมองน้องสาวของตนเองคราหนึ่ง เห็นนางกัดริมฝีปากล่าง สองคิ้วขมวดแน่น ท่าทางของนางประหนึ่ง ‘แผนที่วางไว้ ถูกเปิดโปงเสียจนไม่รู้จะแก้ตัวว่าอย่างไร’
คราวนี้เขาถึงกับพูดไม่ออกเสียแล้ว …..หรือว่าน้องเล็กแอบไปสมัครเรียนวิชากับคณะละครโดยที่เขาไม่รู้กันนะ?
เจ้านักพรตอู๋เจินนั่นพวกเขาลงมือจับมันมาด้วยตัวเองแท้ๆ ไหนเลยจะมีตัวปลอมได้อีก?
“นั่นเอ่อ…….” ผ่านไปนานสองนานแล้วท่านนักพรตอู๋เจินนั่นถึงได้สติขึ้นมาจากความผวาสตรีชุดขาว เขาถูมือไปมา คิดจะหาช่องทางอธิบาย
“นี่ เจ้าคนสกปรกโสโครกยังไม่รีบปิดปากของเจ้าลงอีก ที่นี่ไหนเลยจะมีที่ทางให้เจ้าได้พูด! ” เจียงเหม่ยหยู่ตะคอกใส่ อยากจะเรียกคนมาลากตัวเขาออกไปนัก
นักพรตอู๋เจินเองก็คร้านจะอธิบายให้เจียงเหม่ยหยู่ฟังอีก เขาก้าวออกไป สะบัดชายเสื้อขึ้นครั้งหนึ่ง กล่องใส่ยันต์ภพหน้าในมือเจียงเหม่ยหยู่ก็ลอยวูบมาอยู่ในมือของตน
จากนั้นเพียงเห็นเขาใช่ฝ่ามือกระแทกเพียงครั้งเดียว กล่องใบนั้นก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาหยิบยันต์ขึ้นมามอง สองคิ้วขมวดแนบแน่น สีหน้าปรากฎร่องรอยแห่งความแปลกใจอยู่หลายส่วน “โอ้ สวรรค์ได้โปรดเถอะ นี่มันยันต์อะไรกัน!?
“หึ ตัวปลอมอย่างเจ้ายังจะปากกล้าอะไรอีก! ” เจียงเหม่ยหยู่โกรธเสียจนตาโปน นางกำไม้เท้าเอาไว้แน่น แทบจะบุกเข้าไปตีหัวเจ้าตัวปลอมนี้ให้หัวร้างข้างแตกเสียให้ได้
“นี่คือยันต์ภพหน้าที่ท่านนักพรตอู๋เจินวาดด้วยตนเอง ตัวปลอมอย่างเจ้ายังจะกล้ามาทำให้เปรอะเปื้อนอีก! ” ตู๋กูอี้หลานชายของเจียงเหม่ยหยู่ตะโกนด่าไปก็ทำท่าจะเข้าไปแย่งเอายันต์คืนมา
นักพรตอู๋เจินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ขออย่างได้ใส่ร้ายป้ายสีข้านักพรต ยันต์เช่นนี้ข้านักพรตไม่มีทางวาดออกมาได้เด็ดขาด”
ผู้คนทั้งหลายต่างหัวเราะเสียงเย็น ย่อมต้องไม่ผิด หากว่าตัวปลอมอย่างเจ้ายังสามารถวาดยันต์ภพหน้าออกมาได้ เช่นนั้นท่านนักพรตอู๋เจินตัวจริงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
แต่แล้ว ก็เห็นเขานำยันต์แผ่นนั้นเดินเข้าไปหาเต๋อเฟย
เต๋อเฟย ‘หวาดกลัว’ จนถอยหลังไปหลายก้าว พอถอยไปถึงข้างกายจีเฉวียนก็กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวเหลือเกินเพคะ…~”
จีเฉวียนหันมามองนางคราหนึ่ง เขาไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดก็ขยับไปด้านข้าง เข้าใกล้ตู๋กูซิงหลันไปอีกนิด “ไทเฮาอ่อนเยาว์กว่าเจ้ายังไม่เห็นกลัว เจ้าจะกลัวอะไร? “
เต๋อเฟย “! “
ผู้คนทั้งหลาย “??? “
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
ฝ่าบาทพระองค์ทรงพลาดอะไรไปหรือไม่ เจ้าคนสกปรกนั่นเป็นไทเฮาทรงนำมา นางจะไปกลัวหรือ?
ขอพระองค์โปรดทรงปกป้องพระสนมเต๋อเฟยที่น่าสงสารสักนิดเถอะ นางเป็นเพียงสาวน้อยผู้อ่อนแอบอบบางเท่านั้น
แต่น่าเสียดายดวงพักตร์ของฮ่องเต้กลับไม่แสดงพระอารมณ์ใดๆ ทรงทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์แม้แต่น้อย
นี่มันบุรุษมากรัก ที่รู้จักแต่ลอยชายตัวพ่อ
สายพระเนตรของพระองค์เอาแต่จับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น
ดูเจ้าตัวแสบน้อยจอมหลอกลวงนี่สิ นางทำท่าเสมือนว่าตนก่อเรื่องใหญ่โตจะเป็นจะตายแล้ว มารยา!
ในหัวและในตัวนางมีแต่เล่ห์เหลี่ยมแผนร้าย ช่างรู้จักวางแผนจัดการผู้อื่นนัก
ฮ่องเต้กลับทรงรู้สึกว่า เฝ้าดูเจ้าตัวแสบนี่เล่นละคร ก็สนุกดีอยู่เหมือนกัน
ตู๋กูซิงหลันไม่กล้าเอ่ยวาจาใดๆ แม้สักคำ ราวกับว่านางกลัวผู้คนจะหันมากลุ้มรุมนางเสียอย่างนั้น
ผู้คนต่างก็ปวดใจสงสารเต๋อเฟยอย่างที่สุด ยังจะไม่ใช่เพราะตู๋กูซิงหลันหรือ? หากไม่ใช่เพราะนางล่อลวงจิตใจของฝ่าบาทไปจนหมด มีหรือฝ่าบาทจะทรงโหดร้ายกับเต๋อเฟยถึงเพียงนี้?
นักพรตอู๋เจินยืนอยู่เบื้องหน้าเต๋อเฟย กระพริบตาปริบๆ ไปที่นาง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาค่อยกล่าวออกมาว่า “เจ้ากลัวข้าทำไม ข้านักพรตเป็นผู้บำเพ็ญเพียร กินเจ เจ้าเป็นของคาว ข้านักพรตไม่กินเจ้าหรอก”
พูดแล้ว ท่านนักพรตอู๋เจินก็ได้แต่กุมกระเพาะอ้วกโอ้กอ้ากออกมาอีกรอบ ผู้คนต่างเห็นชัดเจนเลยว่า ในบรรดาเศษอาหารที่เขาสำรอกออกมายังมีเศษเนื้อม้วนที่ยังย่อยไม่หมด…..
“อะ ขอโทษที ข้ายังเมาม้าอยู่ไม่หาย…” ท่านนักพรตอู๋เจินโบกมือไปมาอย่างขออภัย
เต๋อเฟยพูดไม่ออกเสียแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าว ดูสิว่าตอนนี้ฝ่าบาทกับตู๋กูซิงหลันอยู่ติดชิดกันถึงเพียงไหน ส่วนนาง…ราวกับถูกลืมอยู่ในซอกหลืบของวังอย่างน่ารังเกียจ ไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแม้สักน้อย
ฝ่าบาททรงทำเกินไปแล้ว ถึงกลับปล่อยให้เจ้าตัวตลกนี่เข้ามาใกล้นางได้
ทั้งๆ ที่ก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะปรากฎตัวขึ้นมานั้น ไม่ใช่อย่างนี้สักหน่อย…
เจียงเหม่ยหยู่ทนดูต่อไปไม่ไหว นำเหล่าองครักษ์ของตระกูลตู๋กูเข้ามาล้อมตัวนักพรตอู๋เจินเอาไว้ กล่าวเสียงเข้มเด็ดขาดว่า “จับเจ้าคนไร้มารยาทจอมหลอกลวงนี้ลงเขาไปให้ข้า ไล่มันออกนอกเมืองไป หากไม่ได้รับอนุญาต อย่าให้มันได้เหยียบเมืองหลวงแม้สักครึ่งก้าว! “
ว่ากันตามจริงแล้ว ที่นี่เป็นที่กลบฝังเหล่าบรรพชนตระกูลตู๋กูของพวกนาง ตอนนี้นางคือประมุขหญิงของตระกูล แน่นอนว่าย่อมมีสิทธ์ขับไล่คนออกไป
ต่อให้เป็นฝ่าบาท ก็ไม่อาจยื่นพระหัตถ์สอดแทรกได้ใช่ไหม?
เพราะอย่างไร นี่ก็คือเรื่องของตระกูลตู๋กูเอง
ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไปจับคน ก็พลันได้ยินเสียงม้าของทหารตระกูลตู๋กูที่เชิงเขาส่งเสียงร้องอย่างผิดปกติขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็รู้สึกได้ถึงสายลมหอบหนึ่งพัดโหมมาถึง เมื่อหรี่ตามองไปก็เห็นคนสิบกว่าคนในชุดนักพรตสีเขียวสดใสต่างถือแซ่ปัดเอาไว้ในมือลอยลมลงมา
ที่จริงเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย จะมากจะน้อยต่างก็มีวิชาเหาะเหินเดินอากาศกันทุกคน แต่ว่ายามท่านนักพรตเหล่านี้ปรากฎกายขึ้น แต่ละท่านบุคลิกประดุจเทพเซียนผู้ลึกล้ำในชั้นฟ้าจุติลงมาบนพิภพ เมื่อรวมกับทิวทัศน์ของดอกชมจันทราที่ผลิบานอยู่ทั่วภูเขาเข้าด้วยกัน ย่อมสร้างความประทับใจอันน่าตื่นตะลึงแก่ผู้คน
ท่านนักพรตทั้งหลายต่างรักษาความเคร่งขรึม หลังกวาดตามองไปในหมู่ผู้คนรอบหนึ่ง ก็รีบรุดเดินมาถึงเบื้องหน้านักพรตอู๋เจิน ตวัดแส้ปัดลง กล่าวอย่างเคารพนพนอบว่า “ท่านผู้อาวุโสอู๋เจิน พวกศิษย์มาช้าเกินไป ขอโปรดอภัย”
——
拂尘 (Fu Chen) แส้ปัด
酱肘子 (jiang zhou ji) เนื้อม้วนหมักซอสจิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยว
ตอนที่ 78 นางจะรับไหวหรือไม่
ท่านนักพรตอู๋เจินโบกมือหัวเราะฮะๆ แล้วอนุญาตให้พวกเขายืนตรงได้ “ไม่ช้าๆ เด็กๆ ทั้งหลายลำบากพวกเจ้าแล้ว”
ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งนอกและในสุสานล้วนตกอยู่ในความเงียบสงัด
ดวงตาของพวกเขาได้แต่ประทับอยู่บนร่างของเหล่านักพรตผู้สง่างามประดุจเทพเซียนเหล่านั้น และจดจำคำที่ดังเข้าหูมาว่า ‘ท่านผู้อาวุโสอู๋เจิน’
ท่านผู้อาวุโสอู๋เจิน……..ก็คือบุรุษที่อยู่ตรงหน้านี้?
นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ผู้คนที่โห่ไล่อยู่เมื่อครู่ต่างก็ตาโตด้วยความตกตะลึง รู้สึกเหมือนทั่วทั้งร่างกายถูกกระหน่ำโจมตี เจ้าพี่น้องตัวร้ายถึงแม้จะรู้จักปลอมแปลงแกล้งแสดงอย่างไร ก็คงไม่อาจทำได้จนถึงขั้นสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้หรอกใช่ไหม?
ลองมองดูนักพรตพวกนั่นสิ บนหน้าผากของพวกเขามีรอยประทับสีขาวจางๆ อยู่รอยหนึ่ง นั่นน่ะเป็นสัญญลักษณ์เฉพาะของเหล่านักพรตแห่งอารามเทียนเก๋อกวน
สิ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปลอมแปลงได้!
เจียงเหม่ยหยู่เองก็ถึงขนาดตัวแข็งเป็นก้อนหินไปเสียแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกแย่ยิ่งกว่าต้องกลืนแมลงวันร้อยตัวเข้าไปเสียอีก
บรรดาองครักษ์ตระกูลตู๋กูไหนเลยจะยังกล้าล้อมคนเอาไว้ ต่างก็ได้แต่ถอยไปรวมกันอยู่อีกด้านหนึ่งแล้ว
อารามเทียนเก๋อกวน เป็นสถานที่ที่แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงค์ยังพึงให้ความเคารพอยู่สามส่วน ……พวกเขาไหนเลยจะกล้าล่วงเกิน
เต๋อเฟยเองก็รู้สึกว่าฟ้าพลิกแผ่นดินตลบคว่ำลงมา หากไม่ใช่เพราะว่าซิ่วเหอคอยประคองนางไว้ เกรงว่านางในตอนนี้ต้องลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว
บุรุษผู้ที่ดูเอน็จอนาถตัวมันเยิ้มคนนั้น…..ไยจึงกลายเป็นนักพรตอู๋เจินไปได้?
งั้นก่อนหน้านี้ ตอนที่เขามองนาง แล้วแสดงอาการหวาดกลัวออกมานั่นคืออะไรกัน?
ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะว่าเขาหวาดกลัวว่านางจะเปิดโปงว่าเขาเป็นตัวปลอมหรอกหรือ?
“พระสนมเพคะ~ ท่านอย่าได้ใจร้อน ” ซิ่วเหอรีบกระตุ้นเตือน เพราะนางรู้สึกว่าฝ่ามือของนางหญิงเย็นเหลือเกิน
คราวนี้พวกนางคงตกหลุมพรางแน่แล้ว!
นังตู๋กูซิงหลันนั่นคงจะแอบล่อลวงนักพรตอู๋เจินได้สำเร็จ ถึงได้ให้เขาร่วมมือกันมาแสดงละครฉากหนึ่ง จุดประสงค์ย่อมต้องเป็นการทำให้พระสนมเสียหน้า
แต่ว่าปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ไยมันจึงรู้ได้ว่าวันนี้พระสนมจะนำยันต์มาด้วย?
พอคิดถึงตรงนี้ ซิ่วเหอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังตู๋กูเหลียนอีกครั้ง
ท่าทางของ’ตู๋กูเหลียน’คล้ายกับว่านางไม่รู้เรื่องใดๆ จริงๆ ทั้งยังถูกเข้าใจผิดอย่างไม่ยุติธรรม
เจ้าไม่รู้หรอกว่าไทเฮาน้อยปีศาจผู้นี้ร้ายกาจขนาดไหน ตวัดมือก็เสกยันต์ออกมาใบหนึ่ง ทั้งยังมีเจ้าตัวกลมๆ ดำๆ ขมุกขมัวที่คอยจ้องแต่จะกินมันอีกตัว เช่นนี้มันไหนเลยจะไม่กล้าว่าง่ายกัน?
มันเป็นผีตายโหง สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยดวงจิต เมื่อได้ทำสัญญาผูกพันกับตู๋กูเหลียนไปแล้ว ย่อมรู้กระจ่างในทุกๆ เรื่องที่ตู๋กูเหลียนรู้ รวมถึงเรื่องที่นางและเต๋อเฟยร่วมมือกันอย่างลับๆ นี่ด้วย
ตู๋กูซิงหลันก็ทราบเรื่องนี้จากมัน วันนี้จึงได้วางกับดักเอาไว้ และเต๋อเฟยก็กระโดดลงไปอย่างยินดี
……………………………..
ยามนี้จิตใจของผู้คนทั้งหลายต่างสับสนวุ่นวายใจอย่างที่สุด ต่างก็พากันหันไปมองดูฮ่องเต้ รีรอให้ฝ่าบาทแสดงทีท่าออกมา
แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้มักไม่ทรงตรัสมากความ แต่ละถ้อยคำของพระองค์นั้น เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างคาดเดากันอยู่ครึ่งค่อนวัน วันนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าสุสานของเย่วฮูหยิน พระองค์ยิ่งทรงเขร่งขรึมกว่าเดิม แม้แต่ยามที่พบเห็นเหล่านักพรตจากอารามเทียนเก๋อกวน ก็ยังไม่แสดงสีพระพักตร์ใดๆ ออกมา
ยามนี้ เหล่านักพรตทั้งหลายจึงค่อยหันมาทางจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน น้อมคำนับพวกเขาด้วยความเคารพนอบน้อม “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรไทเฮา พวกข้าทั้งหลายเป็นศิษย์ของอารามเทียนเก๋อกวน วันนี้มีโจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งบุกรุกเข้าไปในอาราม ลักพาตัวท่านผู้อาวุโสอู๋เจินที่กำลังกักตนบำเพ็ญเพียรออกมา พวกข้าไล่กวดติดตามมาตลอดทาง จึงได้สร้างความตระหนกให้กับขบวนเสด็จ ขอฝ่าบาททรงประทานอภัย”
แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไร คนกลุ่มนั้นกับพวกของไทเฮาและท่านแม่ทัพก็ดูคล้ายคลึงกันมากเหลือเกิน
จีเฉวียนทอดพระเนตรดูเหล่านักพรตที่แต่ละคนล้วนมีหน้าตาบริสุทธฺ์จริงใจ แล้วก็หันไปทอดพระเนตรดูนักพรตอู๋เจินที่สกปรกมอมแมม ก็ได้แต่กรอกพระเนตรรอบหนึ่ง ตรัสว่า “ไม่เป็นไร”
ทันทีที่เขาตรัสออกไปเช่นนั้น ก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่แสร้งทำหงอยไม่สู้มาตลอด เบิกตาโตกระโดดโลดเต้นออกมาในทันที
จากนั้นก็หันไปทางเจียงเหม่ยหยู่และเจ้าพวกคนใจคดทั้งหลาย “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าคนผู้นี้คือนักพรตอู๋เจิน พวกเจ้ากลับไม่ยอมเชื่อ ว่าไงละ เห็นคำพูดของข้าเป็นเพียงแค่ผายลมหรือไง? “
“เพราะฉะนั้นนะ อีกหน่อยอย่าดื้อ ก็รู้จักฟังคำพูดของเราให้ดี ดูสิเห็นไหม พอพวกเจ้าไม่ฟังคำเรา ถึงได้ต้องขาดทุนเช่นนี้ใช่ไหม? “
“ที่ผ่านมาทุกวันทุกคืน เราล้วนเป็นคนกตัญญูผู้หนึ่ง มีหรือจะเอาใครที่ไหนก็ได้มาทำร้ายท่านย่าของตนเอง? พวกเจ้านี่มันสมองหมูกันหมดหรือยังไง? “
“ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ รู้หรือไม่ว่าคำแทนตัวว่า อายเจีย (คำที่ไทเฮาแทนตัวเอง) นี้ ก็หมายความว่า อดีตฮ่องเต้สวรรคตแล้ว ข้านั้นเศร้าเสียใจอย่างที่สุด ด้วยเรื่องโศกเศร้าที่ลึกล้ำนี้ ข้าจึงกลายเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นต้าโจว”
” นี่คือท่าทีให้ความเคารพสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในต้าโจวของพวกเจ้าแต่ละคนหรือ? หืม? “
“นี่เป็นเพราะฮ่องเต้บุตรชายของเราสูญสิ้นพระเกียรติแล้ว หรือเป็นเพราะท่านแม่ทัพพี่ชายของเรายกดาบไม่ไหวแล้ว? “
ถ้อยคำที่ตู๋กูซิงหลันจิกกัดแต่ละคำ ล้วนสร้างความปวดหัวให้กับผู้คนทั้งหลาย แต่ละคำของนางนี้แทบคร่าชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว! ขอร้องเถอะเจ้าหุบปากซะ!
ทันใดนั้นตู๋กูจุนก็กุมดาบทะลายภูผาขึ้นมากระชับไว้ “น้องเล็ก ดาบเล่มนี้ พี่ใหญ่สามารถถือมันปกป้องเจ้าได้จนชั่วชีวิต! “
ผู้คนทั้งหลาย “…….”
จีเย่ว์เองก็เหม่อมองตู๋กูซิงหลันจนกล่าวสิ่งใดไม่ออกไปแล้ว ที่แท้….ความสามารถในการพูดจาของหลันเอ๋อร์กลับสูงส่งถึงเพียงนี้ ไยตอนที่อยู่ร่วมกันก่อนหน้านี้เขาจึงไม่เคยรู้มาก่อน?
เดิมทีนักพรตอู๋เจินก็อุดหูตนเองเอาไว้แต่แรกแล้ว…….ตอนนี้มาได้ยินนางเปิดปากเจรจาเขาก็ปวดสมองอย่างหนัก
นั่นเพราะถ้อยคำจิ๊ๆ จ๊ะๆ สุดเชือดเฉือนของนางสามารถแผดเผาทำร้ายจิตบำเพ็ญเพียรของเขาจนเสียหายอย่างรุนแรง
ใครก็ตามที่ทำให้นางไม่พอใจล้วนไม่อาจได้รับการกลบฝังอย่างปกติสุข
นางเป็นไทเฮานั่นไม่ผิด แต่นางลืมไปแล้วหรือว่า นางเป็นไทเฮาที่ถูกกักอยู่ในตำหนักเย็น!
ตำหนักเย็นนะ! มันหมายความว่าอะไร สตรีใดที่หลุดเข้าไปชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งชาตินี้อย่าหวังจะได้พลิกฟื้นอีกเลย!
ฝ่าบาทเพียงแค่ทรงเห็นแก่ครบรอบวันรำลึกปีที่สิบของเย่วฮูหยินถึงได้ปล่อยนางออกมาเท่านั้น นางจะมาทำอวดอ้างอะไรกัน?
ก่อเรื่องสร้างความผิดยิ่งใหญ่ไว้ถึงเพียงนั้น กลับเข้าวังไปแล้วก็ยังต้องไปอยู่ในตำหนักเย็นอยู่ดี!
หากถอยออกมาดูให้ดี ต่อให้อีกหน่อยนางสามารถออกมาจากตำหนักเย็นได้ก็เถอะ นางอายุน้อยถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทจะทรงประทานอำนาจให้นางด้วยหรือ?
มีอันใดต้องเกรงกลัวด้วย?
ที่น่าขำที่สุดก็คือ ยังจะกล้าเรียกฝ่าบาทเป็นบุตรชาย นางเคยมีบุตรเป็นองค์ชายที่ไหนกัน?
พอคิดได้ถึงตรงนี้ ผู้คนทั้งหลายก็พากันเมินหน้าไปอย่างเงียบๆ ต่างก็หันไปดูแต่ฮ่องเต้เท่านั้น
แต่ถ้าพูดกันแบบแบ่งแยกชัดเจนละก็……ฮ่องเต้ผู้ทรงมีพระชนม์มากกว่าไทเฮาน้อยถึงแปดปีองค์นี้ก็นับว่าเป็นบุตรของนางอยู่เหมือนกัน
ยามนี้ ‘ลูกชายฮ่องเต้’กำลังทอดพระเนตรมองนางด้วยความเคร่งขรึม หืม? ถึงกับกล้าเรียกเขาเป็นลูกแล้ว?
รอให้กลับถึงวังเมื่อไหร่ จะให้นางได้รู้ว่า มีลูกชายฮ่องเต้ตัวโตเช่นเขาเยี่ยงนี้ นางจะรับไหวหรือไม่!
เจียงเหม่ยหยู่มึนงงอยู่ขึ้นค่อยวันถึงได้ทอดถอดลมหายใจออกมาคำหนึ่ง นางพึ่งจะจับประเด็นสำคัญได้เรื่องหนึ่ง ‘เจ้าโจร ลักพาตัว ‘ ที่พวกนักพรตทั้งหลายพูดถึงก็คือพวกทหารของตู๋กูจุนมิใช่หรือ?
ที่แท้นักพรตอู๋เจินกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ก็ถูกคนลักพาตัวออกมาใช่ไหม? มิน่าทั้งเนื้อทั้งตัวถึงสกปรกมอมแมมจนดูน่าอนาถเช่นนี้!
“ท่านนักพรตอู๋เจิน เมื่อครู่นี้ข้าผู้เฒ่าเสียมารยาทไปแล้ว ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสา ” ตอนนี้เจียงเหม่ยหยู่ไม่มีท่าทางขู่ตะคอกผู้คนอย่างเมื่อครู่
นางหันไปคำนับนักพรตอู๋เจิน “ข้าผู้เฒ่าเพียงแต่คิดไม่ถึง ว่าไทเฮาและท่านแม่ทัพที่มีฐานะถึงเพียงนี้จะกระทำตนเป็นผู้ใช้กำลังบังคับแข็งขืนผู้คน….”
คำพูดของนางยังไม่ทันจบ ก็เห็นนักพรตอู๋เจินหน้าเสียอย่างรุนแรง “ฮูหยินผู้เฒ่า พูดเรื่องอะไรกัน? ข้านักพรตถูกคนลักพาตัว แต่เพราะโชคดีได้พบกับท่านแม่ทัพและไทเฮา ถึงได้รับความช่วยเหลือ จึงได้ติดตามมาตอบแทนบุณคุณพวกท่านทั้งสองต่างหาก”
“ท่านนี่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าได้ยังไงกัน ทำไมจึงเอาแต่หาเรื่องขัดแย้งกับลูกหลานของตนเองละฮื้อ? คนชราสมควรมีเมตตาเปี่ยมด้วยคุณธรรม ไม่เช่นนั้นจะเอาบุญวาสนามาจากที่ไหนกัน”
เจียงเหม่ยหยู่ “………”
ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูนักพรตอู๋เจิน นางหรี่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นลงเล็กน้อย พอใช้ได้ไม่เลว สมกับที่ตักเตือนสร้างจิตสำนึกมาตลอดทาง นับว่าไม่เสียแรงกายแรงใจไปอย่างเปล่าประโยชน์ เจ้าตัวร้ายนี่นับว่ารู้จักพลิกแพลงได้ทันอยู่
นักพรตอู๋เจินถูกนางมองเสียจนขนลุกเย็นวาบขึ้นมา ก็รีบกางยันต์ภพหน้าในมือออก เปลี่ยนหัวข้อพูดไปว่า “มาๆๆ พวกเรามาดูกันหน่อยสิ ไอ้ยันต์ชั่วร้ายคร่าชีวิตผืนนี้……”
ตอนที่ 79 น่ากลัวเหลือเกิน หงิงๆๆๆ
ยันต์คร่าชีวิต?
ผู้คนทั้งหลายต่างตกใจ!
แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ตาโตขึ้นมาแล้ว!
” ท่านนักพรตอู๋เจินกล่าวผิดไปแล้วมั้ง นั่นเป็นยันต์เสริมวาสนาภพหน้า ที่พระสนมเต๋อเฟยวอนขอมาต่างหาก! ” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงของเจียงเหม่ยหยู่ก็ค่อยๆ แผ่วลงไป
เต๋อเฟยบอกแล้วว่า ยันต์แผ่นนั้นเป็นนางใช่เวลาตั้งแต่ครึ่งปีก่อนหน้าอ้อนวอนขอนักพรตอู๋เจินมาอย่างยากลำบาก แต่ว่าตอนนี้แม้แต่โฉมหน้าของนักพรตอู๋เจินนางกลับไม่รู้จัก เช่นนั้นยันต์ผืนนี้……
“ข้านักพรตวาดยันต์มาก็หลายปี คนที่กล้าสงสัยในสายตาของข้านักพรต พึ่งจะมีฮูหยินผู้เฒ่าท่านเป็นคนแรก” นักพรตอู๋เจินเขม่นมองเจียงเหม่ยหยู่คราหนึ่ง เจียงเหม่ยหยู่ถึงได้ปิดปากลง
เป็นเพราะแผลเป็นจากดาบบนตาข้างซ้ายนั่นกับแววตาที่หนาวเย็นของเขารวมกันพาลให้ผู้พบเห็นต้องผวา
ครู่ต่อมาก็เห็นนักพรตอู๋เจินนำยันต์ผืนนั้นขึ้นมา ขมวดคิ้วแน่นพลางกล่าวว่า “โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ของข้า~ ข้าวกินมั่วยังพอได้ แต่ยันต์ไม่อาจใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ยันต์ผืนนี้หากถูกลูกหลานของเย่วฮูหยินนำมาเผาเซ่นไหว้ต่อหน้าสุสานละก็ นี่จะกลายเป็นเคราะห์หนักแล้ว บุญบารมีของบรรพบุรุษที่สะสมมาเสื่อมสลาย ลูกหลายสายสกุลทั้งหมดต้องสิ้นสูญ นี่จะต้องมีผู้ที่มีแค้นลึกล้ำขนาดไหนทำขึ้นมา? ถึงได้ลงมือหนักขนาดนี้ “
แคว้นต้าโจวมีธรรมเนียมในการเซ่นไหว้ผู้ที่จากไป จะต้องให้ผู้ที่มีสายเลือดใกล้ชิดที่สุดจุดไฟเผาส่ง
ยังดีที่วันนี้เขาอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นหากว่ายันต์ผืนนี้ถูกไทเฮาและท่านแม่ทัพสองพี่น้องเผาไปละก็ ผลร้ายที่จะตามมาเขาคงไม่กล้าคาดคิด
พูดไปแล้ว เขาก็พยักหน้าติดๆ กันหลายครั้ง พลางเหลือบตาไปทางตู๋กูซิงหลัน เห็แม่นางน้อยชุดขาวนั่นจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด ใจของเขาก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอีก
สตรีที่สามารถทำให้ฮ่องเต้หลงใหลในความงามจนถึงกับสิ้นพระชนม์ไปได้ สตรีที่ทั้งฝีปากดีเป็นพิเศษและยังมักจะอารมณ์รุนแรง สตรีที่น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าผีปีศาจ……จะมีคู่แค้นมากหน่อยก็ถือว่าสมควรอยู่
“แต่ว่ายันต์นั่น เทียบกับยันต์ภพหน้าแล้วดูคล้ายกันมาก ” ในบรรดาผู้ที่อยู่ที่นี่ก็มีผู้ที่มากประสบการณ์รวมอยู่ด้วย “ท่านนักพรตอู๋เจิน คงไม่ใช่แค่ท่านกล่าวว่ามันเป็นยันต์แช่ง มันก็ถือว่ามันใช่แล้วหรอกนะ? “
“อักขระยันต์นี้นับว่าคล้ายคลึงกับยันต์ภพหน้ามากอยู่ เพียงเปลี่ยนแปลงไม่กี่ลายภู่กันเท่านั้น พวกเจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรวิชาเต๋า จะไปรู้อะไร? ” นักพรตอู๋เจินขู่ใส่คนพวกนั้น “ยิ่งไปกว่านั้น ยันต์ผืนนี้ใช้เลือดเขียนขึ้นมา เป็นเลือดจากศพคน พวกเจ้าคิดว่ายันต์ที่ใช้สิ่งอัปมงคลเช่นนี้วาดขึ้นมาจะยังเป็นยันต์ที่ดีได้อีกหรือ? “
“แต่ไหนแต่ไรผู้อาวุโสล้วนไม่เคยมุสา หากทุกท่านข้องใจในตัวผู้อาวุโส ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพอารามเทียนเก๋อกวนเรา” บรรดาลูกศิษย์ของนักพรตอู๋เจินชักจะเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว คำพูดของนักพรตในอารามเทียนเก๋อกวน พวกคนธรรมดาสามัญเหล่านี้กลับกล้าแสดงความสงสัยออกมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
คำพูดพึ่งกล่าวจบไป ในมือของนักพรตอู๋เจินก็เกิดเปลวเพลิงสีน้ำเงินขึ้นบนกลางฝ่ามือ เผาทำลายยันต์ผืนนั้น พลันเกิดกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนอย่างรุนแรง ทำให้ผู้อยู่ใกล้พะอืดพะอม
เป็นกลิ่นที่เกิดจากเลือดของศพที่ยันต์ผืนนี้ใช้วาดขึ้นมา
คราวนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยอีกแล้ว
เมื่อมองเห็นยันต์คำสาปกลายเป็นเถ้าถ่าน ผู้คนทั้งหลายก็พากันหันไปมองเต๋อเฟยแล้ว
พวกเขาล้วนรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อเลย พระสนมเต๋อเฟยที่มีเมตตาปราณีหนักหนา จะทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
เรื่องนี้จะต้อง มีความเข้าใจผิดในที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ใช่ไหม?
เต๋อเฟยกุมมือไว้ที่ทรวงอก ดวงตาทั้งคู่ล้วนมีประกายน้ำตาคลออยู่แล้ว สะท้อนความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและความชอกช้ำเพราะความอยุติธรรมที่ได้รับ ยันต์ที่นางขอมาไม่มีทางเกิดปัญหาได้!
ทั้งหมดนี่เป็นตู๋กูซิงหลันและนักพรตอู๋เจินนั่นร่วมมือกัน คิดจะผลักนางให้ไร้ซึ่งหนทางอีกต่อไป!
สองขาของนางอ่อนแรง ทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าฝ่าบาท “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันถูกใส่ความ หม่อมฉันไม่มีทางกระทำเรื่องเลวทรามโหดร้ายเช่นนั้นได้! ขอพระองค์ทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ~”
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างๆ จีเฉวียน สายตาของนางจดจ้องอยู่ที่เต๋อเฟยอย่างเย็นชาสุดขีด
ดูใบหน้าน้อยๆ นั่นสิ ทำเป็นโศกเสียจนเสมือนดอกไม้สลด ใครเห็นเป็นต้องเกิดความสงสาร
ปกติเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันจะต้องชิงลงมือก่อนเต๋อเฟยก้าวหนึ่ง โผเข้ามาหาฮ่องเต้เรียกคะแนนสงสารไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทผู้ทรงเตรียมพระองค์ไว้อย่างดีว่าจะถูกนางเข้ามากระเง้ากระงอดเพื่อการณ์นี้ ถึงกับทำพระองค์ไม่ถูกเพราะไม่เคยชินเสียแล้ว
นางสมควรจะคว้าฉลองพระองค์ของเขาไว้คร่ำครวญว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันกลัว นี่มันช่างน่ากลัวเหลือเกินเพคะ หงิงๆๆๆ ~”
แต่ว่าคราวนี้นางกลับไม่มากระเง้ากระงอดเขาแล้ว เพียงแต่ยืนอย่างสงบนิ่งข้างๆ เขา ราวกับว่าเรื่องนี้จะมีเขามาเอี่ยวด้วยหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยจนรุ่มร้อนอย่างไร้สาเหตุ เขาถูกตู๋กูซิงหลันพะเน้าพะนอมานานจนเคยเสียแล้ว หากว่านางกลายเป็นเฉยชาไร้อารมณ์ เขารู้สึกว่าไม่ดีไม่เหมาะอย่างไรไม่รู้
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เคร่งขรึมลง กวาดพระเนตรมองเต๋อเฟยที่น้ำตาตกดังสายฝนครั้งหนึ่ง “ตกลงว่าเจ้าขอยันต์มาจากผู้ใดกันแน่? “
เต๋อเฟยรีบทูลตอบว่า “หม่อมฉันได้ทำการวอนขอยันต์จากท่านนักพรตอู๋เจินจริงๆ เพคะ แต่ว่าท่านนักพรตไม่เคยยอมออกมาพบ ต่อมาลูกศิษย์ของท่านนักพรตถูกหม่อมฉันวิงวอนจนหวั่นไหว จึงได้มอบยันต์ให้สองผืน เขาบอกว่าอักขระยันต์นี้เป็นท่านนักพรตอู๋เจินเขียนด้วยตนเอง….หม่อมฉันย่อมต้องเชื่อ เพราะว่าสถานที่เช่นอารามเทียนเก๋อกวนนั้น คนเช่นหม่อมฉันจะกล้าสงสัยได้อย่างไร…..”
เต๋อเฟยร่ำไห้ไม่หยุด ท่าทางของนางราวกับได้รับความอยุติธรรมอย่างหนักหนา
นางกัดริมฝีปากจนแทบจะเลือดออก วันนี้นางต้องเจอเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มีหรือจะยอมถอดใจไปได้!
นังตู๋กูซิงหลันช่างมีพิษสงนัก วางแผนร้ายใส่นาง! นางจะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด!
“พอดีเชียว ศิษย์ทั้งหมดขอข้านักพรตล้วนอยู่ที่นี่แล้ว พระสนมเต๋อเฟยท่านลองดูสิ ว่าเป็นคนหนึ่งคนใดในพวกเขาหรือ? ” นักพรตอู๋เจินนำศิษย์ทั้งหมดมาที่เบื้องหน้าของเต๋อเฟย ให้นางได้ชี้ตัวคน
เต๋อเฟยกวาดตามอง แล้วก็ชะงักไป ในบรรดาคนพวกนี้……ไม่มีผู้ใดเหมือนกับนักพรตผู้นั้นเลย
นางกัดริมฝีปากย้ำลงไปอีก มองไปที่ตู๋กูซิงหลันด้วยแววตาโกรธเกลียด ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ตู๋กูซิงหลันวางหมากเอาไว้อย่างดีถึงเพียงนี้!
นางเคยคิดว่าตนเองวางแผนแต่ละก้าวเอาไว้อย่างดี กลับคาดไม่ถึงว่าตนเองจะตกลงไปในหลุมพรางของนังตัวร้ายนั่น
ช่างยอดเยี่ยมนัก นังไทเฮาที่ทำตัวเป็นหมูกินเสือ!
ยันต์ที่เอาชีวิตนางได้ผืนนั้น จะต้องเป็ตู๋กูซิงหลันวางแผนให้คนนำมาให้นาง!
นังตัวร้ายนั่นไม่พอใจนางอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว! ย่อมต้องเป็นเพราะเคยเห็นนางและอี้อ๋องพุดคุยกัน ถึงได้เกิดความหึงหวง!
และเพราะคราวนี้ นังหญิงชั่วนั่นคิดจะเกาะติดฝ่าบาท คิดจะเปลี่ยนตนเองจากไทเฮามาเป็นพระสนม ไม่สิ อาจจะเป็นถึงฮองเฮา!
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางกำจัดผู้ที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญเช่นตนเอง!
หมากตานี้ช่างชั่วช้านัก!
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้นางใจไม่เ**้ยมมือไม้อ่อนเกินไปละก็ มันคงต้องตายไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง!
ตอนนั้นยาที่ใส่ให้มันตอนที่ส่งขึ้นเตียงบรรทมของฝ่าบาท………. ตัวยาน้อยเกินไปแล้ว!
ตู๋กูซิงหลันมองดูนางอย่างเงียบๆ คำพูดของเต๋อเฟยนางเชื่อถือเพียงแค่ครึ่งเดียว
นางอาจจะไม่รู้จริงๆ ว่ายันต์นั่นเป็นยันต์สาปแช่ง เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของเต๋อเฟยในวันนี้ คือต้องการให้ ‘ฆาตกรฆ่านักโทษ’ เช่นนางพ่ายแพ้ชื่อเสียงย่อยยับ ให้ฝ่าบาทจำต้องจัดการลงโทษนางต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางและพี่ใหญ่ย่อมไม่มีโอกาสมานั่งเผายันต์ผืนนั้นแล้ว
เช่นนี้ก็มีปัญหาอยู่บ้างแล้ว…..ตกลงว่าเป็นฝีมือของใครกันแน่ ที่คิดจะยืมมือของเต๋อเฟย มาจัดการพวกนางตระกูลตู๋กูไม่ให้ตายดี?
จีเฉวียนหรือ?
ตู๋กูซิงหลันคิดถึงเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่เป็นคนแรก นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง
พอดีกับที่ต่างฝ่ายก็ประสานสายตาหากัน
ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังคงเย็นชาเหมือนเช่นเคย แต่ว่ากลับมีแววภูมิใจอยู่ไม่น้อย
มองมาที่เรา หมายความว่าอยากให้เราหนุนหลังเจ้า
จีเฉวียนยกคางขึ้นเล็กน้อย สงสายตากลับไปว่า ‘ขอร้องเราสิ’!
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้สนใจการสื่อสารทางสายตาของเขาสักนิด นางลอบส่ายศีรษะเบาๆ
ไม่ใช่เขา….เมื่อสักครู่ก็ได้ยินเต๋อเฟยพูดแล้วว่า นางขอยันต์นั่นมาสองผืน อีกผืนหนึ่งเตรียมจะถวายฉางซุนไทเฮา
เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนผู้นี้ คิดลงมือใครก็ได้อยู่แต่ไม่มีทางทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน
แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะจงใจทำยันต์สาปแช่งนั่นขึ้นมาอีกชุด เพราะถึงอย่างไรจะเผาหรือไม่เผาก็อยู่ที่ตัวเขาเอง
หากว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่เผายันต์นั่นต่อหน้าพระสุสานของฉางซุนฮองเฮาละก็……..
ตู๋กูซิงหลันลูบคางอย่างครุ่นคิด พลางหันไปมองดูผู้คนที่อยู่โดยรอบ สุดท้ายก็หยุดลงที่จีเย่ว์และเสียนไท่เฟยที่เสมือนไม่มีตัวตนมาโดยตลอด
ในแผ่นดินต้าโจวนี้ ผู้ที่อยากจะให้เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นตายวันตายพรุ่ง นอกจากตัวนางตู๋กูซิงหลันแล้ว ก็คือสองแม่ลูกอี้อ๋องนี้ละ
ตอบที่ 80 สนมร้าย
เสียนไท่เฟยถือร่มเอาไว้ ทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็นเพียงร่มขาวด้ามหนึ่ง แต่กลับบดบังแสงอาทิตย์ทั้งหมดเอาไว้ แสงสว่างไม่อาจเล็ดลอดลงมาได้
สายตาลึกลับคู่นั้นจดจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังแฝงความห่วงใยอยู่เล็กน้อย
สีหน้าของนางสงบนิ่ง แม้แต่ยามสบตากับตู๋กูซิงหลัน นางก็ไม่ได้หลบหลีก ทำให้คนยากจะดูออก
กลับเป็นจีเย่ว์ ที่พอเขาได้สบตากับตู๋กูซิงหลันนั้น ใจทั้งดวงก็สั่นสะท้านเสียแล้ว
ในที่สุดนางก็……ยอมมองมาที่เขาแล้วหรือ?
ขณะที่เต๋อเฟยยังแต่ร่ำไห้อยู่นั้น นักพรตอู๋เจินก็ถามขึ้นอีกครั้ง “พระสนมเต๋อเฟย ท่านหาพบหรือยังว่าเป็นศิษย์คนใดของข้าที่มอบยันต์ให้ท่านไป? “
หากว่าเต๋อเฟยผู้นี้ไม่ได้มุสา การที่มียันต์สาปแช่งชั่วร้ายเช่นนี้ถูกส่งออกไปจากอารามเทียนเก๋อกวนของพวกเขา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง
แต่หากว่าเต๋อเฟยผู้นี้เป็นคนมดเท็จหลอกลวง สตรีเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระสนมในวังหลังของต้าโจว
เพราะว่าจิตใจที่โหดเ**้ยมร้ายกาจเช่นนี้ หากว่าภายหน้าเกิดสามารถสร้างความหลงใหลให้กับผู้ครองแคว้น เช่นนั้นก็ถือเป็นเภทภัยของบ้านเมืองและปวงประชาแล้ว
เต๋อเฟยส่ายศีรษะ “คนผู้นั้นไม่อยู่ในกลุ่ม……ไม่รู้ว่าอารามเทียนเก๋อกวนดูแลสั่งสอนกันอย่างไร ถึงได้ปล่อยให้มีคนปลอมแปลงกระทั่งลูกศิษย์ของผู้อาวุโสขึ้นมาได้”
พูดออกไปแล้ว นางก็หันไปร่ำไห้น้ำตานองกับจีเฉวียน เพียงวาดหวังว่าเขาจะยังมีเยื่อใยอยู่บ้าง เชื่อมั่นในตัวนาง
แต่สายพระเนตรของฝ่าบาทมีแต่ความเย็นชา ดุจแท่งน้ำแข็งของดวงจันทร์ในฤดูหนาว ทำให้ทั่วร่างของนางกลายเป็นหนาวเหน็บในทันใด
นางมองไปยังผู้คน หวังว่าจะมีใครก้าวออกมาพูดแก้ต่างให้กับตนเอง
แต่ว่าเมื่อมองไปแล้ว สายตาของผู้คนทั้งหลายต่างระแวงคลางแคลงใจ
เมื่อครู่ก่อนคนพวกนี้ยังสรรเสริญนางว่ามีเมตตาปราณีราวพระโพธิสัตว์อยู่เลย ต่างชมเชยว่านางทั้งงดงามและมีจิตใจบริสุทธิ์ แทบจะโอบอุ้มนางลอยขึ้นฟ้าไป….เฮอะแต่ว่าตอนนี้ ต่างก็ลังเลทั้งยังไม่มีน้ำใจ
“พระสนมเพคะ~” ซิ่วเหอเข้ามาพยุงนาง ก่อนหน้านี้ยามที่พระสนมยังเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์นั้น นางมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนที่ส่งเทียบมาสู่ขอมีมากมายจนประตูจวนใหญ่แทบจะพัง
แต่ว่าพระสนมไม่เหลือบแลผู้ใด กลับเอาแต่ปักใจต่อผู้ที่ไม่สมควรจะมอบใจให้ผู้นั้น…..
จวบจนกระทั่งฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ เพราะไม่อาจขัดพระบัญชาจึงจำต้องเข้าวังมาเป็นพระสนม
แต่ว่าฝ่าบาททรงได้สตรีที่ดีงามเช่นพระสนมไปกลับไม่ใส่พระทัย…. ไปยอมให้นังสวะนั่นล่อลวง
หยาดน้ำตาของเต๋อเฟยหยดลงบนพระวรกายของจีเฉวียน แต่จีเฉวียนกลับสนใจมองดูแต่เพียงตู๋กูซิงหลัน
เช่นนี้ก็หมายความว่า ในสายพระเนตรของฝ่าบาท นางไม่มีทางจะเปรียบได้กับเส้นผมสักเส้นของตู๋กูซิงหลันเลยหรือ?
นางกำหมัดแล้วกำหมัดเล่า ภายใต้การพยุงขึ้นของซิ่วเหอ นางตัดสินใจแม่นมั่น มองไปยังจีเฉวียนกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมีความผิด แต่อย่างมากก็เป็นเพียงเพราะถูกนักพรตเลวของอารามเทียนเก๋อกวนนั่นหลอกลวงเอา ทำให้ทำผิดไปโดยมิได้มีเจตนา พระองค์ทรงพระปรีชา จะต้องสามารถช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้กับหม่อมฉัน ใช่ไหมเพคะ? “
ยังมีผู้คนไม่น้อยที่เห็นใจนางอยู่ พวกเขาต่างไม่อาจเชื่อได้ว่าพระสนมเต๋อเฟยจะทำเรื่องเลวร้าย
เจียงเหม่ยหยู่ถึงกับก้าวออกมาเป็นคนแรก “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์สมควรสั่งให้มีการสืบสวนอารามเทียนเก๋อกวน คืนความบริสุทธิ์ให้กับพระสนมเต๋อ! หม่อมฉันไม่เชื่อว่า พระสนมเต๋อเฟยที่เป็นคนมีเมตตา จะทำเรื่องร้ายๆ เช่นนั้น”
จีเฉวียนเพียงแต่สาดพระเนตรเย็นชาออกไป ก็ทำให้เจียงเหม่ยหยู่ตกกะใจจนหุบปากลง
หลี่กงกงก็ถลึงตาใส่นาง “ฝ่าบาททรงประสงค์จะทำสิ่งใด ยังจะต้องให้เจ้ามาสั่งสอนหรือ? “
เจียงเหม่ยหยู่ไหนเลยจะกล้าพูดอีก ได้แต่หลั่งเหงื่อเย็นท่วมศีรษะค่อยๆ ถอยออกไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
เต๋อเฟยทำท่าจะพูดอยู่หลายครั้ง คิดจะอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและเห็นบุรุษหนุ่มในชุดขุนนางผู้หนึ่งขี่ม้ามาถึง ที่ด้านหลังของเขายังมีรถม้าขนาดเล็กคันหนึ่งตามมาด้วย
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ชะงักไป บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ว่าเป็น……..
ษุรุษผู้นั้นพอมาถึงก็รีบลงจากหลังม้า คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าของจีเฉวียน “กระหม่อม ชิงจิ่งหยูแห่งกรมสืบสวนคดี ถวายพระพรฝ่าบาท”
จีเฉวียนโบกพระหัตถ์เบาๆ “ลุกขึ้นแล้วค่อยพูดเถอะ”
“ทูลฝ่าบาท พระสนมฉีผินมีเรื่องสำคัญต้องการจะกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ กระหม่อมไม่กล้ารอช้า จึงได้นำตัวนางมาเข้าเฝ้าโดยพละกาล ทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองพระทัยพระองค์แล้ว”
พอได้ยินเขากราบทูลออกมาเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายต่างอดที่จะตกใจไม่ได้ เรื่องของฉีผินผู้นั้นได้ยินว่านางวางยาพิษทำร้ายฝ่าบาท จึงถูกจับขังอยู่ที่กรมสืบสวนมาโดยตลอด แต่กลับสอบไม่ได้ความอันใดออกมา ทำไมถึงได้อยู่ดีๆ ก็มาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทกันล่ะ?
ประเด็นสำคัญก็คือ จิ่งหยูถึงกับกล้านำนางมาเข้าเฝ้าด้วย? ไม่เกรงหรือว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ?
ขุนนางกรมสืบสวนกราบทูลจบ ก็เห็นว่าม่านบนรถม้าถูกแง้มออกมา ฉีผินที่ผ่ายผอมราวหนังหุ้มกระดูกค่อยๆ ลงมาจากรถม้า คุกเข่าลงตรงหน้าจีเฉวียนโดยทันที
“ฝ่าบาทเพคะ~ ขอทรงพระกรุณาให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยเพคะ~”
ทันทีที่เห็นฉีผินปรากฎตัว สีหน้าของเต๋อเฟยก็กลายเป็นซีดขาวไปในทันที ขณะที่นางจดจ้องไปที่ฉีผิน เลือดในตัวทั้งหมดก็จับตัวจนเย็นเฉียบ
ยามที่ฉีผินเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาที่ปูดโปนนั่นราวกับผีตายโหง จ้องมองนางด้วนความเคียดแค้น
ชั่วขณะนั้นความรู้สึกไม่ดีอย่างรุนแรงก็ก่อตัวขึ้นจับหัวใจของเต๋อเฟย ทำให้แม้แต่มือของนางยังสั่นสะท้าน
คราวนี้ แม้แต่ซิ่วเหอเองก็พูดอะไรไม่ออกไปแล้ว ……นางหันไปมองหาตู๋กูเหลียนจ้องนางด้วยแววตาเย็นยะเยือก ใช้สายตาเย็นวาบนั่นไต่ถามนางว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน
ฉีผินไม่ได้ถูกตู๋กูซิงหลันฆ่าตายก็แล้วไป แต่ทำไมถึงได้เลือกที่จะมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทในช่วงเวลาเช่นนี้ด้วย?
เสียดายที่ ‘ตู๋กูเหลียน’ ก็หน้าเสียและตื่นตระหนกเช่นกัน ราวกับว่านางไม่กล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นอยู่ด้วยซ้ำ
เต๋อเฟยและซิ่วเหอย่อมไม่กล้าไปหาเรื่องเอาความต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย
ซิ่วเหอส่งสายตาเย็นชา พอเห็นฉีผินเริ่มเปิดปากพูด นางก็ล้วงเอาเข็มพิษออกมา
เพียงแต่นางเองก็ไม่กล้าเขวี้ยงออกไปโดยง่าย ข้างกายของฉีผินมีตู๋กูจุนอยู่ใกล้ๆ หากขว้างเข็มนี้ออกไป แล้วเกิดโดนตู๋กูจุนจับได้ ก็จะยิ่งแก้ตัวได้ลำบากแล้ว
นางลังเลอยู่เป็นนาน ถึงได้ยอมล้มเลิกความตั้งใจ
ขณะนั้นเองก็ได้ยินฉีผินกราบทูลฝ่าบาท “ฝ่าบาทเพคะ! หม่อมฉันมีความผิด! ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่ควรหลงเชื่อเต๋อเฟย วางแผนลงมือโหดเ**้ยมต่อไทเฮา ไหนเลยจะรู้ว่าเกิดความผิดพลาดจับพลัดจับผลูกลายเป็นทำร้ายพระองค์เข้า! และเพราะครอบครัวของหม่อมฉันตกอยู่ภายใต้อำนาจของท่านรองมหาเสนาฯ จึงไม่มีทางเลือก แม้แต่ยามอยู่ในคุกของกรมสืบสวนหม่อมฉันก็ยังไม่กล้าจะสารภาพชื่อของเต๋อเฟยออกมาแม้สักคำ! “
ผู้คนทั้งหลาย “??? “
เต๋อเฟยมีโทสะขึ้นมาแล้ว “ฉีผิน ที่ผ่านมาข้าเอ็นดูเจ้าดุจน้องสาวแท้ๆ แต่เจ้ากลับมีใจอำมหิตโหดร้ายคิดให้ร้ายใส่ความข้าหรือ? “
เดิมทีเต๋อเฟยเองก็ตื่นตระหนกเพราะเรื่องยันต์สาปแช่งนี้อยู่แล้ว ตอนนี้กลับเพิ่มเรื่องของฉีผินเข้าไปอีก นางสุดที่จะรับมือได้ทันแล้วจริงๆ
ถึงแม้นางจะเคยสงบนิ่งเยือกเย็นถึงเพียงไหน แต่ยามนี้ถึงกลับลืมตนไปแล้ว
“เฮอะ พระสนมเต๋อเฟย ท่านรีบเอาหน้ากากเมตตาจอมปลอมนั่นเก็บไปเถอะ ” ฉีผินหัวเราะเสียงเย็น “ข้ายังไม่ตาย เจ้าประหลาดใจมากใช่ไหมเล่า? ใครให้สวรรค์มีตากันล่ะ เจ้าคิดกระทั่งจะฆ่าข้าปิดปาก แล้วผลักความผิดไปให้ไทเฮา หรือยังจะให้ข้าต้องทนรับแทนเจ้าต่อไปอีกหรือ? ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เกิดมาสูงส่งเช่นเจ้า แต่ก็จะไม่ยอมให้เจ้าได้เหยียบย่ำได้อีก! “
ผู้คนทั้งหลาย “!!! ” หากนี่ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วไยฉีผินถึงได้มีสภาพเช่นนี้?
เพราะอย่างไรบิดาของนางก็ยังทำงานอยู่ใต้การบังคับบัญชาของรองมหาเสนาบดี ก็เสมือนหนึ่งว่าคนทั้งบ้านตกอยู่ภายใต้ฝ่ามือของรองมหาเสนาฯ
อย่าว่าแต่ขุนนางกรมสืบสวนมีชื่อเสียงลือลั่นเรื่องการสืบเสาะหาข่าว ……ฉีผินสามารถอดทนการเค้นข่าวของจิ่งหยู ก็แสดงว่านางเป็นคนที่อดทนอย่างยิ่ง ปิดปากแน่นราวขวดถูกผนึก หากไม่ใช่เพราะเต๋อเฟยทำเกินกว่าเหตุไป ฉีผินไหนเลยจะมาสารภาพต่อหน้าชี้ตัวนางออกมาได้?
พูดจบแล้ว ฉีผินก็ล้วงเอาหนังสือโลหิตม้วนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “ฝ่าบาท เรื่องราวทั้งหมดหม่อมฉันได้สารภาพไว้ในฏีกาโลหิตฉบับนี้แล้ว มิว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินเช่นไร หม่อมฉันล้วนยอมรับโทษ หากแต่ขอฝ่าบาททรงล้างพระเนตรให้กระจ่างใส อย่าได้ถูกสนมร้ายข้างพระองค์อาศัยโฉมหน้าเมตตามาหลอกลวงพระองค์อีกต่อไป! “
ขณะที่นางพูดถึงสนมร้ายอยู่นั้น ผู้คนต่างก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พากันหันไปดูตู๋กูซิงหลันเป็นตาเดียว
ไม่ว่าจะพิจารณาดูอย่างไร นังตัวร้ายนั่นก็ดูคล้ายสนมร้ายมากกว่าเถอะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น